SlideShare a Scribd company logo
1 of 61
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจ ย ที่เ กี่ย วข้อ ง
ั

การศึกษาเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา
คอมพิวเตอร์ (ง 31244) เรื่องการสร้างเอกสารจาก Microsoft
office word 2010 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
โรงเรียนชิโนรสวิทยาลัย ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่
เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นแนวทางในการทำาวิจัย ดังนี้
1.
การศึกษา
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
3.
วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ
4. Microsoft Office
5. สือการเรียนการสอน
่
6. หลักและทฤษฎีทางจิตวิทยาที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ของ
มนุษย์
7. คอมพิวเตอร์กับการศึกษา
8. แผนการจัดการเรียนรู้
9. ความพึงพอใจ
1. การศึก ษา
การศึกษา หรือ “Education” ในภาษาอังกฤษ มีรากศัพท์มา
จากภาษาละตินว่า Educare แปลว่า บำารุง เลี้ยง อบรม รักษา
ทำาให้งอกงาม หรืออีกนัยหนึ่ง Educare หมายถึง การอบรมเด็ก
ทั้ง ทางกาย และทางสมอง ส่วนคำาว่า “การศึกษา” ในภาษาไทย
นั้น เป็นคำามาจากภาษาสันสกฤต ตรงกับภาษาบาลีว่า สิกขา
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมาย
ว่า การเล่าเรียน ฝึกฝน และอบรม
1.1 ความหมายของการศึก ษาตามทัศ นะของชาวต่า ง
ประเทศ
อริสโตเติล (Aristotle ก่อน ค.ศ.384-322) ชาวกรีก
กล่าวว่า การศึกษา หมายถึง การอบรมคนให้เป็นพลเมืองดี และ
ดำาเนินชีวิตด้วยการทำาดี
จอห์น ล๊อ ค (John Locke ค.ศ.1632-1704) ชาว
อังกฤษ กล่าวว่า การศึกษา คือ องค์ประกอบของพลศึกษา
จริยศึกษา และพุทธิศึกษา
ยอง ยัค ส์ รุส โซ (Jean Jacques Rousseau ค.ศ.
1712-1778) กล่าวว่า การศึกษา คือ การนำาความสามารถในตัว
บุคคลมาใช้ให้เกิดประโยชน์โดยการจัดการศึกษาต้องสอดคล้อง
กับ ธรรมชาติของบุคคล
จอห์น ดิว อี้ (John Dewey ค.ศ.1857-1952) ชาว
อเมริกัน กล่าวว่า การศึกษา คือชีวิต (Education is life) ไม่ใช่
เป็นการเตรียมตัวเพื่อชีวิตในภายหน้า การศึกษา คือ ความเจริญ
งอกงาม (Education is growth) ทั้งในด้านร่างกาย อารมณ์
สังคม และสติปัญญา
ทัลคอทท์ พาร์ส ัน (Talcott Parson) นักสังคมวิทยา
กล่าวว่า การศึกษาคือ เครื่องมือเตรียมเด็กและเยาวชนให้มี
บทบาทในวงการอาชีพต่าง ๆ ของผู้ใหญ่
1.2 ความหมายของการศึก ษาตามทัศ นะของ
นัก การศึก ษาไทย
สาโรช บัว ศรี ให้ความหมายว่า การศึกษา คือ การ
พัฒนาขันธ์ 5 โดยใช้มรรค 8 เพื่อให้อกุศลมูล คือ ความโลภ
ความโกรธ และความหลง ลดน้อยลง หรือเบาบางลงมากที่สุด
ขันธ์ 5 ประกอบด้วย
- รูป คือ ร่างกาย (Physical Structure)
- เวทนา คือ ความรู้สึก (Feeling หรือ Sensation)
- สัญญา คือ ความทรงจำา (Memory หรือ
Perception)
- สังขาร คือ เครื่องปรุงแต่ง (Aggregatet) เช่น
ทัศนคติ ความสนใจ ความสามารถ และทักษะ
เป็นต้น
- วิญญาณ คือ การเกิดความรู้ (Consciousness)
วิจิตร ศรีสะอ้าน กล่าวว่า การศึกษา เป็นกระบวนการ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลให้เป็นไปในแนวทางที่พึง
ปรารถนา การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้เป็นไปอย่างจงใจ มีการ
กำาหนด จุดมุ่งหมายและดำาเนินการอย่างเป็นระบบ มีกระบวนการ
เหมาะสมและผ่านสถาบันทางสังคม ที่ได้รับมอบหมายให้ทำาหน้าที่
ด้านการศึกษา
2. ผลสัม ฤทธิ์ท างการเรีย น (Learning Achievement)
2.1 ความหมายของผลสัม ฤทธิท างการเรีย น
์
ผลสัมฤทธิทางการเรียน (Learning Achievement)
์
เป็นผลทีเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ในการจัดการศึกษา นักศึกษาได้ให้
่
ความสำาคัญกับผลสัมฤทธิทางการเรียน และเนืองจากผลสัมฤทธิ์
์
่
ทางการเรียนเป็นดัชนีประการหนึ่งที่สามารถบอกถึงคุณภาพการ
ศึกษา ดังที่ อนาตาซี (1970 : 107 อ้างถึงใน ปริยทิพย์ บุญ
คง, 2546 : 7) กล่าวไว้พอสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมี
ความสัมพันธ์กับองค์ประกอบด้านสติปญญา และองค์ประกอบด้านที่
ั
ไม่ใช้สติปญญา ได้แก่ องค์ประกอบด้านเศรษฐกิจ สังคม แรงจูงใจ
ั
และองค์ประกอบที่ไม่ใช้สติปัญญาด้านอื่น
ไอแซงค์ อาโนลด์ และไมลี (อ้างถึงใน ปริยทิพย์ บุญ
คง, 2546 : 7) ให้ความหมายของคำาว่า ผลสัมฤทธิ์ หมายถึง
ขนาดของความสำาเร็จที่ ได้จากการทำางานที่ ต้องอาศัยความ
พยายามอย่างมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการกระทำาที่ต้องอาศัยทั้ง
ความสามารถทั้งทางร่างกายและทางสติปัญญา ดังนั้นผล
สัมฤทธิ์ทางการเรียนจึงเป็นขนาดของความสำาเร็จที่ได้จากการ
เรียนโดยอาศัยความสามารถเฉพาะตั วบุ คคล ผลสั มฤทธิ์ ทางการ
เรี ยนอาจได้ จากกระบวนการที่ ไม่ ต้ องอาศั ยการทดสอบ เชนการ
สังเกต หรือการตรวจการบ้าน หรืออาจได้ในรูปของเกรดจาก
โรงเรียน ซึ่งต้องอาศัยกระบวนการทีซบซ้อน และระยะเวลานานพอ
่ ั
สมควร หรืออาจได้จากการวัดแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั่วไป
ซึงสอดคล้องกับ ไพศาล หวังพานิช (2536 : 89) ทีให้ความ
่
่
หมายผลสัมฤทธิทางการเรียนว่า หมายถึง คุณลักษณะและความ
์
สามารถของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอนเป็นการ
เปลียนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์การเรียนทีเกิดขึนจากการ
่
่
้
ฝึกอบรมหรือการสอบ จึงเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถของ
บุคคลว่าเรียนแล้วมีความรูเท่าใด สามารถวัดได้โดยการใช้แบบ
้
ทดสอบต่าง ๆ เช่น ใช้ขอสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ข้อสอบวัดภาคปฏิบติ
้
ั
สามารถวัดได้ 2 รูปแบบ ดังนี้
1. การวัดด้านปฏิบัติ เป็นการตรวจสอบระดับความ
สามารถในการปฏิบัติโดยทักษะของผู้เรียน โดยมุ่งเน้นให้ผู้
เรียนแสดงความสามารถดังกล่าว ในรูปของการกระทำาจริง
ให้ออกเป็นผลงาน การวัดต้องใช้ข้อสอบภาคปฏิบัติ
2. การวัดด้านเนื้อหา เป็นการตรวจสอบความ
สามารถเกี่ยวกับเนื้อหา ซึ่งเป็นประสบการณ์เรียน รวมถึง
พฤติกรรมความสามารถในด้านต่างๆ สามารถวัดได้โดยใช้
แบบวัดผลสัมฤทธิ์
จากความหมายข้างต้นสรุปได้วา ผลสัมฤทธิทางการเรียน
่
์
หมายถึง ผลการวัด การเปลียนแปลง และประสบการณ์การ
่
เรียนรู้ ในเนือหาสาระทีเรียนมาแล้วว่าเกิดการเรียนรูเท่าใดมี
้
่
้
ความสามารถชนิดใด โดยสามารถวัดได้จากแบบทดสอบวัด
สัมฤทธิ์ ในลักษณะต่ าง ๆ และการวัดผลตามสภาพจริง เพื่ อ
บอกถึงคุณภาพการศึกษาความหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน
เรีย น

2.2 ความหมายของแบบทดสอบวัด ผลสัม ฤทธิท างการ
์

นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของแบบ
ทดสอบวัดผลสัมฤทธิทางการเรียนไว้ดงนี้
์
ั
สมนึก ภัททิยธนี (2546 : 78-82) ได้ให้ความหมายของ
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า หมายถึง แบบทดสอบ
วัดสมรรถภาพทางสมองต่างๆ ที่นักเรียนได้รับการเรี ยนรู้ ผ่ านมา
แล้ ว ซึ่ งแบ่ งได้ เป็ น 2 ประเภท คื อ แบบทดสอบที่ ครู สร้ างกั บ
แบบทดสอบมาตรฐาน แต่ เนื่องจากครูต้องทำาหน้าที่วัดผล
นักเรียน คือเขียนข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ตนได้สอน ซึ่งเกี่ยวข้อง
โดยตรงกับแบบทดสอบที่ครูสร้างและมีหลายแบบแต่ที่นิยมใช้มี
6 แบบ ดังนี้
2.2.1
ข้อสอบแบบอัตนัยหรือความเรียง
ลักษณะทั่วไปเป็นข้อสอบที่มีเฉพาะคำาถาม แล้วให้นักเรียน
เขียนตอบอย่างเสรี เขียนบรรยายตามความรู้ และข้อคิดเห็น
แต่ละคน
2.2.2
ข้อสอบแบบกาถูก-ผิด ลักษณะทั่วไป ถือ
ได้ว่าข้อสอบแบบกาถูก-ผิด คือ ข้อสอบแบบเลือกตอบที่มี 2
ตัวเลือก แต่ตัวเลือกดังกล่าวเป็นแบบคงที่และมีความหมาย
ตรงกันข้าม เช่น ถูก-ผิด ใช่-ไม่ใช่ จริง-ไม่จริง เหมือนกันต่างกัน เป็นต้น
2.2.3
ข้อสอบแบบเติมคำา ลักษณะทั่วไปเป็น
ข้อสอบที่ประกอบด้วยประโยคหรือข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์
ให้ผู้ตอบเติมคำา หรือประโยค หรือข้อความลงในช่องว่างที่
เว้นไว้นั้น เพื่อให้มีใจความสมบูรณ์และถูกต้อง
2.2.4
ข้อสอบแบบตอบสั้นๆ ลักษณะทั่วไป
ข้อสอบประเภทนี้คล้ายกับข้อสอบแบบเติมคำา แต่แตกต่างกัน
ที่ข้อสอบแบบตอบสั้นๆ เขียนเป็นประโยคคำาถามสมบูรณ์
(ข้อสอบเติมคำาเป็นประโยคที่ ยั งไม่ สมบู รณ์ ) แล้ วให้ ผู้ ตอบ
เป็ นคนเขี ยนตอบ คำา ตอบที่ ต้ องการจะสั้ นและกะทั ดรั ด
ได้ ใจความสมบูรณ์ไม่ใช่เป็นการบรรยายแบบข้อสอบอัตนัย
หรือความเรียง
2.2.5 ข้อสอบแบบจับคู่ ลักษณะทั่วไป เป็นข้อสอบ
เลือกตอบชนิดหนึ่งโดยมีคำาหรือข้อความแยกจากกันเป็น 2
ชุด แล้วให้ผู้ตอบเลือกจับคู่ว่า แต่ละข้อความในชุดหนึ่ง
(ตัวยืน) จะคู่ กับคำา หรือข้อความใดในอีกชุดหนึ่ง (ตัว
เลือก) ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้ออก
ข้อสอบกำาหนดไว้
2.2.6 ข้อสอบแบบเลือกตอบลักษณะทั่ วไป ข้อสอบ
แบบเลือกตอบนี้ จะประกอบด้วย 2 ตอน ตอนนำาหรือคำาถาม
กับตอนเลือก ในตอนเลือกนี้จะประกอบด้วยตัวเลือกที่เป็นคำา
ตอบถูกและตัวเลือกที่เป็นตัวลวง ปกติจะมีคำาถามที่
กำาหนดให้นักเรียนพิจารณาแล้วหาตัวเลือกที่ถูก
ต้องมากที่สุดเพียงตัวเลือกเดียวจากตั ว เลื อ กอื่ นๆ และ
คำา ถามแบบเลื อ กตอบที่ ดี นิ ย มใช้ ตั ว เลื อ กที่ ใกล้ เ คี ย งกั น
ดู เผิ นๆ จะเห็ นว่ าทุ ก ตัวเลือกถูกหมด แต่ความจริงมีนำ้า
หนักถูกมากน้อยต่างกัน
พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2543 : 96) ได้กล่าวถึงแบบ
ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ย นในทำานองเดียวกันว่า หมาย
ถึง แบบทดสอบที่วัดความรู้ของนักเรียนที่ได้เรียนไปแล้ว ซึ่งมัก
จะเป็นข้อคำาถามให้นกเรียนตอบด้วยกระดาษและดินสอกับให้
ั
นักเรียนปฏิบตจริง
ั ิ
จากความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิทางการ
์
เรียนทีกล่าวมาแล้ว สรุปได้วาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิทางการเรียน
่
่
์
หมายถึง แบบทดสอบทีวดความรูความสามารถทางการเรียนด้าน
่ ั
้
เนือหา ด้านวิชาการและทักษะต่าง ๆ ของวิชาต่าง ๆ
้
2.3 หลัก เกณฑ์ใ นการสร้า งแบบทดสอบวัด ผลสัม ฤทธิ์
ทางการเรีย น
ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิทางการเรียน ผูวจย
์
้ ิ ั
ได้วเคราะห์จากนักการศึกษาหลายๆ ท่าน ทีกล่าวถึงหลัก
ิ
่
เกณฑ์ไว้สอดคล้องกัน และได้ลำาดับเป็นขันตอนดังนี้
้
2.3.1 เนื้อหาหรือทักษะที่ครอบคลุมในแบบทดสอบนั้น
จะต้องเป็นพฤติกรรมที่สามารถวัด ผลสัมฤทธิได้
์
2.3.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ใช้แบบทดสอบวัดนั้น
ถ้านำาไปเปรียบเทียบกันจะต้องให้ทุก คนมีโอกาสเรียนรูในสิง
้
่
ต่าง ๆ เหล่านันได้ครอบคลุมและเท่าเทียมกัน
้
2.3.3 วัดให้ตรงกับจุดประสงค์ การสร้างแบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิทางการเรียน ควรจะวัดตามวัตถุประสงค์ทกอย่าง
์
ุ
ของการสอน และจะต้องมันใจว่าได้วดสิงทีตองการจะวัดได้
่
ั ่ ่ ้
จริง
2.3.4 การวั ด ผลสั ม ฤทธิ์ ท างการเรี ย น เป็ นการวั ด
ความเจริ ญ งอกงามของนั กเรี ย น การเปลียนแปลงและ
่
ความก้าวหน้าไปสูวตถุประสงค์ทวางไว้ ดังนัน ครูควรจะทราบ
่ ั
ี่
้
ว่าก่อนเรียนนักเรียนมีความรู้ ความสามารถอย่างไร เมื่ อ
เรียนเสร็จแล้วมีความรู้ แตกต่างจากเดิมหรือไม่
โดย
การทดสอบก่อนเรียนและทดสอบหลังเรียน
2.3.5 การวัดผลเป็นการวัดผลทางอ้อม เป็นการยากทีจะ
่
ใช้ขอสอบแบบเขียนตอบวัดพฤติกรรมตรง ๆ ของบุคคลได้ สิง
้
่
ทีวดได้ คือ การตอบสนองต่อข้อสอบ ดังนัน การเปลียน
่ ั
้
่
วัตถุประสงค์ให้เป็นพฤติกรรมทีจะสอบ จะต้องทำาอย่าง
่
รอบคอบและถูกต้อง
2.3.6 การวัดการเรียนรู้ เป็นการยากทีจะวัดทุกสิงทุกอย่าง
่
่
ทีสอนได้ภายในเวลาจำากัด สิงทีวดได้เป็นเพียงตัวแทนของ
่
่ ่ ั
พฤติกรรมทังหมดเท่านัน ดังนันต้องมันใจว่าสิงทีวดนันเป็น
้
้
้
่
่ ่ ั ้
ตัวแทนแท้จริงได้
2.3.7 การวัดผลสัมฤทธิทางการเรียนเป็นเครืองช่วย
์
่
พัฒนาการสอนของครู และเป็นเครืองช่วยในการเรียนของเด็ก
่
2.3.8 ในการศึ กษาที่ สมบู รณ์ นั้ น สิ่ งสำา คั ญไม่ ได้ อยู่ ที่
การทดสอบแต่ เพี ยงอย่ างเดี ยวการทบทวนการสอนของครู
ก็เป็นสิงสำาคัญยิง
่
่
2.3.9 การวัดผลสัมฤทธิทางการเรียน ควรจะเน้นในการ
์
วัดความสามารถในการใช้ความรูให้เป็นประโยชน์ หรือ
้
การนำาความรูไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ ๆ
้
2.3.10 ควรใช้คำาถามให้สอดคล้องกับเนือหาวิชาและ
้
วัตถุประสงค์ทวด
ี่ ั
2.3.11 ให้ขอสอบมีความเหมาะสมกับนักเรียนในด้าน
้
ต่าง ๆ เช่น ความยากง่ายพอเหมาะ มีเวลาพอสำาหรับ
นักเรียนในการทำาข้อสอบ
จากทีกล่าวข้างต้น สรุปได้วา ในการสร้างแบบทดสอบ
่
่
ให้มคณภาพ วิธการสร้างแบบทดสอบที่ เป็ นคำา ถาม เพื่ อวั ด
ี ุ
ี
เนื้ อหาและพฤติ กรรมที่ สอนไปแล้ วต้ องตั้ งคำา ถามที่
สามารถวั ด พฤติกรรมการเรียนการสอนได้อย่างครอบคลุม
และตรงตามจุดประสงค์การเรียนรู้
2.4 ชนิด ของแบบทดสอบวัด ผลสัม ฤทธิท างการเรีย น
์
ล้ วน สายยศ และอั งคณา สายยศ (2538 : 146) ได้
ให้ ความหมายของแบบทดสอบวั ดผลสั มฤทธิ์ ทางการเรี ย น
ไว้ ว่ า เป็ นแบบทดสอบที่ วั ดความรู้ ของนั กเรี ยนหลั งจากที่
ได้ เรี ยนไปแล้ วซึ่ งมั กจะเป็ นข้ อคำา ถามให้ นั กเรี ยนตอบ
ด้ วยกระดาษและดิ นสอกั บให้ นั กเรี ยนปฏิ บั ติ จริ ง ซึ่ งแบ่ง
แบบทดสอบประเภทนี้เป็น 2 ประเภท คือ
2.4.1 แบบทดสอบของครู หมายถึง ชุดของข้อคำาถามที่
ครูเป็นผู้สร้างขึ้น เป็นข้อคำาถามที่เกี่ยวกับความรู้ที่นักเรียน
ได้เรียนในห้องเรียน เป็นการทดสอบว่านักเรียนมีความ
รู้มากแค่ไหนบกพร่องในส่วนใดจะได้สอนซ่อมเสริม หรือ
เป็นการวัดเพื่อดูความพร้อมที่จะเรียนในเนื้อหาใหม่ ทั้งนี้ขึ้น
อยู่กับความต้องการของครู
2.4.2 แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถึง แบบทดสอบที่
สร้างขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชา หรือจากครูที่
สอนวิชานั้น แต่ผ่านการทดลองหาคุณภาพหลายครั้ง จนมี
คุณภาพดีจึงสร้างเกณฑ์ปกติของแบบทดสอบนั้น สามารถ
ใช้หลักและเปรียบเทียบผลเพื่อประเมินค่าของการเรียนการ
สอนในเรื่องใดๆ ก็ได้ แบบทดสอบมาตรฐานจะมีคู่มือดำาเนิน
การสอบบอดถึงวิธีการ และยังมีมาตรฐานในด้านการแปล
คะแนนด้วยทั้งแบบทดสอบของครูและแบบทดสอบมาตรฐาน
จะมีวิธี การในการสร้ างข้ อคำา ถามที่ เหมื อนกั น เป็ นคำา ถาม
ที่ วั ดเนื้ อหาและพฤติ กรรมในด้ านต่ างๆ ทั้ ง 4 ด้าน ดังนี้
2.4.2.1 วัดด้านการนำาไปใช้
2.4.2.2 วัดด้านการวิเคราะห์
2.4.2.3 วัดด้านการสังเคราะห์
2.4.2.4 วัดด้านการประเมินค่า
3. วิช าคอมพิว เตอร์
ความหมายของวิช าคอมพิว เตอร์

ภาพ 1 อุป กรณ์ข องเครื่อ งคอมพิว เตอร์

3.1 คอมพิว เตอร์ คือ อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์
(electrinic device) ที่มนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการ
กับข้อมูลที่อาจเป็นได้ ทั้งตัวเลข ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ที่ใช้
แทนความหมายในสิ่งต่าง ๆ โดยคุณสมบัติที่สำาคัญของ
คอมพิวเตอร์คือการที่สามารถกำาหนดชุดคำาสั่งล่วงหน้า หรือ
โปรแกรมได้ (programmable) นั่นคือคอมพิวเตอร์สามารถ
ทำางานได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับชุดคำาสั่งที่เลือกมาใช้งาน
ทำาให้สามารถนำาคอมพิวเตอร์ไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างกว้าง
ขวาง เช่น ใช้ในการตรวจคลื่นความถี่ของหัวใจ การฝาก - ถอน
เงินในธนาคาร การตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ เป็นต้น ข้อดีของ
คอมพิวเตอร์ คือ เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำางานได้อย่างมีประ
สิทธภาพ มีความถูกต้อง และมีความรวดเร็ว
เครื่องคอมพิวเตอร์จะมีวงจรการทำางานพื้นฐาน 4 อย่าง
(IPOS cycle) คือ
1 รับข้อมูล (Input) เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำาการรับ
ข้อมูลจากหน่วยรับข้อมูล (input unit) เช่น คีบอร์ด หรือ
เมาส์
2. ประมวลผล (Processing) เครื่องคอมพิวเตอร์จะ
ทำาการประมวลผลกับข้อมูล เพื่อแปลงให้อยู่ในรูปอื่นตามที่
ต้องการ
3. แสดงผล (Output) เครื่องคอมพิวเตอร์จะให้
ผลลัพธ์จากการประมวลผลออกมายังหน่วยแสดงผลลัพธ์
(output unit) เช่น เครื่องพิมพ์ หรือจอภาพ
4. เก็บข้อมูล (Storage) เครื่องคอมพิวเตอร์จะ
ทำาการเก็บผลลัพธ์จากการประมวลผลไว้ในหน่วยเก็บข้อมูล
เพื่อให้สามารถนำามาใช้ใหม่ได้ในอนาคต
3.2 คอมพิว เตอร์ หมายถึง เครื่องคำานวณ
อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำางานคำานวณผลและเปรียบเทียบค่าตาม
ชุดคำาสั่งด้วยความ เร็วสูงอย่างต่อเนื่องและอัตโนมัติ พจนานุกรม
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 ได้ให้คำาจำากัดความของ
คอมพิวเตอร์ไว้ค่อนข้างกะทัดรัดว่า เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบ
อัตโนมัติ ทำาหน้าที่เสมือนสมองกล ใช้สำาหรับแก้ปัญหาต่างๆ ทั้ง
ที่ง่ายและซับซ้อน โดยวิธีทางคณิตศาสตร์ หรืออาจกล่าวได้ว่า
เครื่องคอมพิวเตอร์หมายถึง เครื่องมือที่ช่วยในการคำานวณและ
การประมวลผลข้อมูล จากคุณสมบัตินี้ของเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่ง
ไม่ใช่เครื่องคิดเลข เครื่องคอมพิวเตอร์จึงประกอบด้วยคุณสมบัติ
3 ประการคือ
1. ความเร็ว (Speed) เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถ
ทำางานได้ด้วยความเร็วสูงมาก ซึ่งหน่วยความเร็วของการทำางาน
ของคอมพิวเตอร์วัดเป็น
- มิลลิเซกัน (Millisecond)
ซึ่งเปรียบเทียบ
ความเร็วเท่ากับ 1/1000 วินาที หรือ ของวินาที
- ไมโครเซกัน (Microsecond) ซึ่งเทียบความเร็ว
เท่ากับ 1/1,000,000 วินาที หรือของวินาที
- นาโนเซกัน (Nanosecond) ซึ่งเปรียบเทียบ
ความเร็วเท่ากับ 1/1,000,000,000 วินาที หรือของ
วินาที
ความเร็วที่ต่างกันนี้ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของอุปกรณ์
คอมพิวเตอร์แต่ละยุค ซึ่งได้มีการพัฒนาให้เครื่อง
คอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การใช้เครื่อง
คอมพิวเตอร์ประมวลข้อมูล ได้เร็วในเวลาไม่เกิน 1 วินาที
จะทำาให้คอมพิวเตอร์มีบทบาทในการนำามาเป็นเครื่องมือใช้
งานอย่างดียิ่ง
2. หน่วยความจำา (Memory) เครื่องคอมพิวเตอร์
ประกอบไปด้วยความจำา ซึ่งสามารถใช้บันทึกและ
เก็บ ข้อมูลได้คราวละมากๆ และสามารถเก็บคำาสั่ง
(Instructions) ต่อๆกันได้ที่เราเรียกว่าโปรแกรม แลนำามา
ประมวลในคราวเดียวกัน ซึ่งเป็นปัจจัยทำาให้คอมพิวเตอร์
สามารถทำางานเก็บข้อมูลได้ครั้งละมากๆ เช่น การสำารวจ
สำามะโนประชากร หรือรายงานผลการเลือกตั้งซึ่งทำาให้มี
การประมวลได้รวดเร็วและถูกต้อง จากการที่หน่วยความ
จำาสามารถบันทึกโปรแกรมและข้อมูลไว้ในเครื่องได้ ทำาให้
เครื่องคอมพิวเตอร์มีคุณสมบัติพิเศษ คือสามารถทำางานได้
อย่างอัตโนมัติ ในกรณีที่มีงานที่ต้องทำาซำ้าๆหรือบ่อยครั้ง
ถ้าใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยในการทำา งานเหล่านั้นก็จะทำาให้
เกิดประสิทธิภาพสูงซึ่งจะได้ทั้งความรวดเร็ว ถูกต้องแม่นยำา
และประหยัดเนื่องจากการเขียนคำาสั่งเพียงครั้งเดียวสามารถ
ทำางาน ซำ้าๆได้คราวละจำานวนมากๆ
3. ความสามารถในการเปรียบเทียบ (Logical) ใน
เครื่องคอมพิวเตอร์ประกอบไปด้วยหน่วยคำานวณและตรรกะ
ซึ่งนอกจากจะสามารถใน การคำานวณแล้วยังสามารถใช้ใน
การเปรียบเทียบซึ่งความสามารถนี้เองที่ทำาให้ เครื่อง
คอมพิวเตอร์ต่างกับเครื่องคิดเลข และคุณสมบัตินี้ทีทำาให้นัก
คอมพิวเตอร์สร้างโปรแกรมอัตโนมัติขึ้นใช้ อย่างกว้างขวาง
เช่นการจัดเรียงข้อมูลจำาเป็นต้องใช้วิธีการเปรียบเทียบ การ
ทำางานซำ้าๆตามเงื่อนไขที่กำาหนด หรือการใช้คอมพิวเตอร์
ในกิจการต่างๆซึ่งเกิดขึ้นมากมายในปัจจุบัน และการใช้
แรงงานจากคอมพิวเตอร์แทนแรงงานจากมนุษย์ทำาให้
รวดเร็วถูกต้อง สะดวกและแม่นยำา เป็นการผ่อนแรงมนุษย์
ได้เป็นอย่างมาก

คือ

3.3 ยุค ของคอมพิว เตอร์
ยุคของคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งได้เป็น 5 ยุค ดังนี้
คอมพิว เตอร์ย ุค ที่ 1
อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2488 ถึง พ.ศ. 2501 เป็น
คอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสุญญากาศซึ่ง ใช้กำาลังไฟฟ้าสูง จึงมี
ปัญหาเรื่องความร้อนและไส้หลอดขาดบ่อย ถึงแม้จะมีระบบระบาย
ความร้อนที่ดีมาก การสั่งงานใช้ภาษาเครื่องซึ่งเป็นรหัส
ตัวเลขที่ยุ่งยากซับซ้อน เครื่อง
คอมพิวเตอร์ของยุคนี้มีขนาด
ใหญ่โต เช่น มาร์ค วัน (MARK I), อีนิแอค (ENIAC), ยูนิแวค
(UNIVAC)

ภาพ 2 ยุค คอมพิว เตอร์ท ี่ 1 รุ่น มาร์ค วัน (MARK I)

ภาพ 3 ยุค คอมพิว เตอร์ท ี่ 1 รุ่น

อีน ิแ อค (ENIAC)

ภาพ 4 ยุค คอมพิว เตอร์ท ี่ 1 รุ่น ยูน แ วค (UNIVAC)
ิ
คอมพิว เตอร์ย ุค ที่ 2
คอมพิวเตอร์ยุคที่สอง อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง
พ.ศ. 2506 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ ทรานซิสเตอร์ โดยมีแกนเฟอร์
ไรท์เป็นหน่วยความจำา มีอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำารองในรูปของ สื่อ
บันทึกแม่เหล็ก เช่น จานแม่เหล็ก ส่วนทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีการ
พัฒนาดีขึ้น โดย สามารถเขียนโปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงซึ่งเป็น
ภาษาที่เขียนเป็นประโยคที่คนสามารถ เข้าใจได้ เช่น ภาษาฟอร์
แทน ภาษาโคบอล เป็นต้น ภาษาระดับสูงนี้ได้มีการพัฒนาและใช้
งานมาจนถึงปัจจุบัน
คอมพิว เตอร์ย ุค ที่ 3
คอมพิวเตอร์ยุคที่สาม อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2507 ถึง
พ.ศ. 2512 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ วงจรรวม (Integrated
Circuit : IC) โดยวงจรรวมแต่ละตัวจะมีทรานซิสเตอร์บรรจุอยู่
ภายในมากมายทำาให้เครื่องคอมพิวเตอร์จะออกแบบซับซ้อน
มากขึ้น และสามารถสร้างเป็น
โปรแกรมย่อย ๆ ในการ
กำาหนดชุดคำาสั่งต่าง ๆ ทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีระบบควบคุมที่มี
ความสามารถสูงทั้งในรูประบบแบ่งเวลาการทำางานให้กับ
งานหลาย ๆ อย่าง

ภาพ 5 ยุค คอมพิว เตอร์ท ี่ 3 วงจรรวม (Integrated Circuit :
IC)

คอมพิว เตอร์ย ุค ที่ 4
คอมพิวเตอร์ยุคที่สี่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 จนถึงปัจจุบัน
เป็นยุคของคอมพิวเตอร์ที่ใช้ วงจรรวมความจุสูงมาก(Very Large
Scale Integration : VLSI) เช่น ไมโครโพรเซสเซอร์ที่ บรรจุ
ทรานซิสเตอร์นับหมื่นนับแสนตัว ทำาให้ขนาดเครื่องคอมพิวเตอร์มี
ขนาดเล็กลง
สามารถตั้งบนโต๊ะในสำานักงานหรือพกพาเหมือน
กระเป๋าหิ้วไปในที่ต่าง ๆ ได้ ขณะเดียวกันระบบซอฟต์แวร์ก็ได้
พัฒนาขีดความสามารถสูงขึ้นมาก มีโปรแกรมสำาเร็จให้ เลือกใช้
กันมากทำาให้เกิดความสะดวกในการใช้งานอย่างกว้างขวาง

ภาพ 6 ยุค คอมพิว เตอร์ท ี่ 4

คอมพิว เตอร์ย ุค ที่ 5
คอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า เป็นคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์พยายาม
นำามาเพื่อช่วยในการ ตัดสินใจและแก้ปัญหาให้ดียิ่งขึ้น โดยจะมี
การเก็บความรอบรู้ต่าง ๆ เข้าไว้ในเครื่อง
สามารถเรียกค้น
และดึงความรู้ที่สะสมไว้มาใช้งานให้เป็นประโยชน์ คอมพิวเตอร์
ยุคนี้เป็น ผลจากวิชาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial
Intelligence : AI) ประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่ ว่าจะเป็น
สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในทวีปยุโรปกำาลังสนใจค้นคว้า
และพัฒนา ทางด้านนี้กันอย่างจริงจัง

ภาพ 7 ยุค คอมพิว เตอร์ท ี่ 5

4. Microsoft Office
Microsoft Office คือ บุคคลที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ
วิศวกรรมซอฟต์แวร์เช่นในการออกแบบ การวางแผนพัฒนา ซึ่ง
ขอบเขตงานจะกว้างกว่าการเขียนโปรแกรม โดยอาจมีส่วนร่วม
ในระดับทั้งโครงงาน แทนการดูแลส่วนของชิ้นงาน ซึ่งในกลุ่มนี้
อาจรวมถึงโปรแกรมเมอร์ฟรีแลนซ์

ภาพ 8 Microsoft Office

4.1 Microsoft office Excel 2010
โปรแกรม Microsoft Excel เป็นโปรแกรมประเภท
สเปรดชีต (spreadsheet) หรือโปรแกรมตารางทำางานซึ่งใช้เก็บ
ข้อมูลต่าง ๆ สูตรคำานวณ ลงบนแผ่นตารางงานคล้ายกับการเขียน
ข้อมูลลงไปในสมุดที่มีการตีช่องตารางทั้งแนวนอนและแนวตั้ง
ตารางแต่ละช่องจะมีชื่อกำากับไว้ในแนวตั้งหรือสดมภ์ของตาราง
เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษเริ่มจาก A,B,C,...เรื่อยไปจนสุดขอบ
ตารางทางขวา มีทั้งหมด 256 สดมภ์ (Column) แนวนอนมี
หมายเลขกำากับเป็นบรรทัดที่ 1,2,3,...เรื่อยไปจนถึงบรรทัด
สุดท้ายจำานวนบรรทัดจะต่างกันในแต่ละโปรแกรมในที่นี้เท่ากับ
65,536 แถว (Row) ช่องที่แนวตั้งและแนวนอนตัดกันเรียกว่า
เซลล์ (Cell) ใช้บรรจุข้อมูล ข้อความ หรือสูตรคำานวณ ปัจจุบัน
โปรแกรมตารางทำางาน มีความสามารถ 3 ด้าน คือ คำานวณ นำา
เสนองานด้วยกราฟและแผนภูมิ จัดการฐานข้อมูล โปรแกรม
ประเภทตารางทำางานมีผู้พัฒนาขึ้นมาหลายโปรแกรม เช่น ปี
2522 ใช้โปรแกรมตารางทำางานชื่อว่า วิสิแคล(VisiCalc) ต่อมา
ปรับปรุงชื่อว่า ซุปเปอร์แคล (SuperCalc) ในปี 2525 ใน
พัฒนาโปรแกรมชื่อว่า มัลติแพลน (Multiplan) ปี 2526 ได้
ปรับปรุงโปรแกรมชื่อว่าโลตัส 1-2-3 (Lotus 1-2-3) เป็นที่นิยม
อย่างมาก
ภาพ 10

สัญ ลัก ษณ์ข อง โปรแกรม Microsoft Office Excel
2010

คุณ สมบัต ิข องโปรแกรม Microsoft Excel 2010
4.1.1 ความสามารถด้านการคำานวณ Excel สามารถป้อน
สูตรการคำานวณทางคณิตศาสตร์ เช่น บวก ลบ คูณ หาร เป็นต้น
4.1.2 ความสามารถด้านใช้ฟังก์ชั่น เช่นฟังก์ชั่นเกี่ยวกับ
ตัวอักษร ตัวเลข วันที่ ฟังก์ชั่นเกี่ยวกับการเงิน หรือเกี่ยวกับการ
ตัดสินใจ
4.1.3 ความสามารถในการสร้างกราฟ Excel สามารถนำา
ข้อมูลที่ปอนลงในตารางมาสร้างเป็นกราฟได้ทันที
้
4.1.4. ความสามารถในการตกแต่งตารางข้อมูล Excel
สามารถตกแต่งตารางข้อมูลหรือกราฟ ข้อมูลด้วยภาพ สี และรูป
แบบตัวอักษรต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสวยงามและทำาให้แยกแยะ
ข้อมูลได้ง่ายขึ้น
4.1.5. ความสามารถในการเรียงลำาดับข้อมูล Excel
สามารถคัดเลือกเฉพาะข้อมูลที่ต้องการมาวิเคราะห์ได้
4.1.6. ความสามารถในการพิมพ์งานออกทางเครื่องพิมพ์
Excel สามารถพิมพ์งานทั้งข้อมูลและรูปภาพหรือกราฟออกทาง
เครื่องพิมพ์ได้ทันที ซึ่งทำาให้ง่ายต่อการสร้างรายงาน
4.1.7. ความสามารถในการแปลงข้อมูลในตารางให้เป็น
เว็บเพจ เพื่อนำาไปแสดงในโฮมเพจ
1. การจัด การเอกสารของคุณ ในมุม มอง
Backstage
ในมุมมอง Microsoft Office Backstage จะ
สามารถทำาทุกอย่างกับแฟ้มได้โดยที่ไม่ ต้องเข้าไปทำาในแฟ้มนั้น
นวัตกรรมล่าสุดในส่วนติดต่อผู้ใช้ Microsoft Office Fluent
และ คุณลักษณะเสริมสำาหรับ Ribbon นั่นคือ มุมมอง
Backstage ซึ่งเป็นที่ที่จะจัดการกับแฟ้ม
ของเราได้ ไม่ว่า
จะเป็นการสร้าง บันทึกเอกสารของเรา
2. แ ท็ บ แ ฟ้ ม จ ะ แ ท น ที่ ปุ่ ม Microsoft Office
และเมนูแ ฟ้ม ที่ใ ช้ใ น Microsoft
Office รุ่ น ก่ อ น
หน้า นี้
โดยแท็บ แฟ้ม จะอยู่ที่มุมบนซ้ายของโปรแกรม
Microsoft Office 2010 เมื่อคลิกที่แท็บแฟ้ม จะเห็นคำา
สั่งพื้นฐานเช่นเดียวกับที่เห็นเมื่อคลิกที่ ปุ่ม Microsoft
Office หรือเมนูแฟ้ม ใน Microsoft Office รุ่นก่อนหน้า
ซึ่งจะพบกับคำาสั่ง เปิด บันทึก และ พิมพ์ เช่นเดียวกับคำาสั่ง
ใหม่ของมุมมอง Backstage คือ แถบบันทึกและส่ง ซึ่งจะมี
ตัวเลือกหลากหลายเพื่อส่งหรือใช้เอกสารร่วมกัน
3. การค้น หาสิ่ง ที่ต ้อ งการในเอกสารขนาด
ยาวด้ว ย บานหน้า ต่า งนำา ทางเอกสาร และ การ
ค้น หาแบบใหม่
ใน Microsoft Excel 2010 เราสามารถค้นหาสิ่งที่
ต้องการในเอกสารที่มีความยาวมากได้อย่างรวดเร็ว ซึ่ง
สามารถจัดระเบียบเอกสารของเราใหม่ได้ง่ายๆ ด้วยการลาก
แล้วปล่อยส่วนหัว แทนการคัดลอกและวาง และสามารถ
ค้นหาเนื้อหาได้โดยการใช้การค้นหาเพิ่มเติม ดังนั้น เราจึง
ไม่จำาเป็นต้องทราบแน่นอนถึงสิ่งที่กำาลังค้นหาในการค้นหา
นั้นๆ
4. ก า ร ป รั บ แ ต่ ง ข้ อ ค ว า ม ด้ ว ย คุ ณ ลั ก ษ ณ ะ
OpenType
Microsoft Excel 2010 สนับสนุนคุณลักษณะการ
จัดรูปแบบข้อความขั้นสูง ซึ่งรวมถึงการตั้งค่าตัวอักษรควบ
แบบต่างๆ และตัวเลือกของชุดอักษรดัดแปลงและรูปแบบ
ตัวเลข ซึ่งสามารถใช้คุณลักษณะใหม่เหล่านี้กับแบบอักษร
OpenType มากมายเพื่อการพิมพ์ที่สวยงามขึ้นไปอีกระดับ
5. การเพิ่ม ลัก ษณะพิเ ศษแนวศิล ป์ใ ห้ก ับ
รูป ภาพ
Microsoft Excel 2010 สามารถนำาลักษณะพิเศษ “
แนวศิลป์ ” ที่ซับซ้อนมาใช้กับรูปภาพในเอกสาร เพื่อทำาให้
รูปภาพดูเหมือนภาพร่าง ภาพวาด หรือภาพระบายสีได้ ซึ่ง
เป็นวิธีง่ายๆในการปรับรูปภาพต่างๆโดยที่ไม่ต้องใช้
โปรแกรมแก้ไขรูปภาพอื่นๆเพิ่มเติม ทำาให้การจัดการ
รูปภาพต่างๆในเอกสารสะดวกและสวยงามยิ่งขึ้น
6. การเอาพื้น หลัง ของรูป ภาพออกโดย
อัต โนมัต ิ
ตัวเลือกการแก้ไขรูปภาพขั้นสูงอีกอย่างหนึ่งใน
โปรแกรม Microsoft Excel 2010 ก็คือ ความสามารถใน
การเอาส่วนของภาพที่ไม่ต้องการ เช่น พื้นหลังออกโดย
อัตโนมัติ เพื่อเน้นหรือทำาให้ภาพเด่นขึ้น หรือ นำาราย
ละเอียดที่เบี่ยงเบนความสนใจออกไปจาก
รูปภาพที่ใส่ลงในเอ
การ
7. การแทรกภาพหน้า จอ
โปรแกรม Microsoft Excel 2010 สามารถเพิ่ม
ภาพจากหน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์
ได้เอง โดยจะมีคำาสั่งที่
ใช้ในการจับภาพหน้าจอและรวมภาพลงในหน้าเอกสารของ
โปรแกรม และ หลังจากที่เพิ่มภาพหน้าจอแล้ว ก็ยัง
สามารถใช้เครื่องมือบนแท็บ
เครื่องมือรูปภาพ ในการแก้ไข
และปรับรูปภาพได้
8. เค้า โครงภาพกราฟิก SmartArt ใหม่
เราสามารถใช้เค้าโครงรูปภาพกราฟิก SmartArt
แบบใหม่ เพื่อเล่าเรื่องราวได้ด้วย รูปถ่ายหรือ รูปอื่นๆ ได้ เพียง
แค่แทรกรูปภาพลงไปในรูปร่าง SmartArt ของเค้าโครง
ไดอะแกรมรูปภาพ และ รูปร่างแต่ละรูปก็สามารถใส่คำา
อธิบายต่างๆลงไปในภาพนั้นได้ อีกด้วยยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากมี
รูปภาพอยู่ในเอกสารอยู่แล้ว ก็สามารถแปลงรูปภาพให้เป็น
กราฟิก SmartArt ได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับข้อความใน
เอกสารนั่นเอง
5. สื่อ การเรีย นการสอน
ความหมายของสื่อ การสอนเพื่อ การเรีย นรู้
สื่อ (Medium,pl.medie) เป็นภาษาละตินว่า
"Medium" แปลว่า "ระหว่าง" "Between" หมายถึงสิ่งใด
ก็ตามที่บรรจุข้อมูลสารสนเทศหรือเป็นตัวกลางให้ข้อมูลส่งผ่าน
จากผู้ส่งหรือแหล่งส่งไปยังผู้รับเพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับสามารถติดต่อ
สื่อสารกันได้ตามจุดประสงค์
ในการศึกษาเล่าเรียน เมื่อผู้สอนนำาสื่อมาใช้ประกอบการ
สอนจะเรียกว่า "สื่อการสอน" และนำามาให้ผู้เล่าเรียนใช้เรียกว่า
"สื่อการเรียน" (Learning media) โดยเรียกรวมกันว่า "สือ
่
การเรียนการสอน" หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "สื่อการสอน" หมายถึง
สิ่งใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นเทปบันทึกเสียง สไลด์ วิทยุ โทรทัศน์
วีดีทัศน์ แผนภูมิ รูปภาพ ฯลฯ ซื่งเป็นวัสดุบรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับ
การเรียนการสอน หรือเป็นอุปกรณ์เพื่อถ่ายทอดจากเนื้อหาวัสดุ
สิ่งเหล่านี้เป็นวัสดุอุปกรณ์ทางกายภาพที่นำามาใช้ในเทคโนโลยี
การศึกษา เป็นสิ่งที่ใช้เป็นเครื่องมือหรือช่องทางสำาหรับทำาให้การ
สอนของผู้สอนส่งไปถึงผู้เรียน ทำาให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียน
รู้ตามวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายที่ผู้สอน วางไว้ได้เป็นอย่างดี
นักวิชาการในวงการเทคโนโลยีทางการศึกษา โสต
ทัศนศึกษา และวงการการศึกษา ได้ให้คำาจำากัดความของ “สือการ
่
สอน” ไว้อย่างหลากหลาย เช่น
ชอร์ส กล่าวว่า เครื่องมือที่ช่วยสื่อความหมายจัดขึ้นโดย
ครูและนักเรียน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ เครื่องมือการสอนทุกชนิด
จัดเป็นสื่อการสอน เช่น หนังสือในห้องสมุด โสตทัศนวัสดุต่าง ๆ
เช่น โทรทัศน์ วิทยุ สไลด์ ฟิล์มสตริป รูปภาพ แผนที่ ของจริง
และทรัพยากรจากแหล่งชุมชน
บราวน์ และคณะ กล่าวว่า จำาพวกอุปกรณ์ทั้งหลายที่
สามารถช่วยเสนอความรู้ให้แก่ผู้เรียนจนเกิดผลการ เรียนที่ดี
ทั้งนี้รวมถึง กิจกรรมต่าง ๆ ที่ไม่เฉพาะแต่สิ่งที่เป็นวัตถุหรือเครื่อง
มือเท่านั้น เช่น การศึกษานอกสถานที่ การแสดง บทบาทนาฏการ
การสาธิต การทดลอง ตลอดจนการสัมภาษณ์และการสำารวจ
เป็นต้น
เปรื่อง กุมุท กล่าวว่า สื่อการสอน หมายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ใช้
เป็นเครื่องมือหรือช่องทางสำาหรับทำาให้การสอนของครูถึงผู้เรียน
และทำา ให้ผู้เรียนเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายที่ครูวาง
ไว้ได้เป็น อย่างดี
ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ให้ความหมาย สือการสอนว่า วัสดุ
่
อุปกรณ์และวิธีการประกอบการสอนเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการสื่อ
ความหมาย ที่ผสอนประสงค์จะส่ง หรือถ่ายทอดไปยังผู้เรียนได้
ู้
อย่างมีประสิทธิภาพนอกจากนี้ ยังมีคำาอื่น ๆ ที่มีความหมายใกล้
เคียงกับสื่อการสอน เป็นต้นว่า
สื่อการเรียน หมายถึง เครื่องมือ ตลอดจนเทคนิคต่าง ๆ ที่
จะมาสนับสนุนการเรียนการสอน เร้าความสนใจผู้เรียนรู้ให้เกิด
การเรียนรู้ เกิดความเข้าใจดีขึ้น อย่างรวดเร็ว
สื่อการศึกษา คือ ระบบการนำาวัสดุ และวิธีการมาเป็น
ตัวกลางในการให้การศึกษาความรู้แก่ผู้เรียนโดยทั่วไป
โสตทัศนูปกรณ์ หมายถึง วัสดุทั้งหลายที่นำามาใช้ใน
ห้องเรียน หรือนำามาประกอบการสอนใด ๆ ก็ตาม เพื่อช่วยให้การ
เขียน การพูด การอภิปรายนั้นเข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น
5.1 คุณ ค่า ของสื่อ เพื่อ การเรีย นรู้
สื่อหรือตัวกลางในการถ่ายทอดความรู้ระหว่างผู้สอน
กับผู้เรียน มีคุณค่าต่อการ เรียนการสอน ทั้งกับผู้สอนและผู้
เรียนเป็นอย่างมาก กล่าวคือ ในส่วนของผู้สอนสื่อ ช่วย ให้
บรรยากาศในการสอน น่าสนใจยิ่งขึ้น ช่วยแบ่งเบาภาระของครู
ในการเตรียม เนื้อหา
เพราะอาจให้นักเรียนศึกษาได้จาก
สื่อ และยังช่วยให้ผู้สอนคิดค้นเทคนิคใหม่ๆที่ ช่วยในการเรียนรู้
ให้น่าสนใจยิ่งขึ้น
ในส่วนของผู้เรียน สื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนที่
ยุ่งยากซับซ้อนได้ง่ายขึ้นใน เวลาอัน สั้นเกิดความคิดรวบยอดได้
ถูกต้อง สามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนได้ สะดวกช่วยให้
ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าด้วย ตนเอง กระตุ้นความสนใจในการเรียน
และสนอง ความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียนได้ดี
5.2 ความสำา คัญ ของสื่อ การสอนเพื่อ การเรีย นรู้
ไชยยศ เรืองสุวรรณ กล่าวว่า ปัญหาอย่างหนึ่ง
ในการสอนก็คือ แนวทางการ
ตัดสินใจจัดดำาเนินการให้ผู้
เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมขึ้น ตามจุดมุ่งหมาย ซึ่งการ
สอนโดยทั่วไป ครูมักมีบทบาทในการจัดประสบการณ์ต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นด้านเนื้อหาสาระ
หรือทักษะและมีบทบาทในการ
จัดประสบการณ์เพื่อการเรียนการสอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตัว ผู้เรียน
แต่ละคนด้วยว่า ผู้เรียนมีความต้องการอย่างไร ดังนั้นการจัดการ
เรียนการสอนใน รูปแบบนี้ การจัดสภาพแวดล้อมที่ดีเพื่อการเรียน
การสอนจึงมีความสำาคัญมาก ทั้งนี้เพื่อ สร้างบรรยากาศและแรง
จูงใจผู้เรียนให้เกิดความอยากเรียนรู้และ เพื่อเป็นแหล่งศึกษา
ค้นคว้าหาความรู้ของผู้เรียนได้ตามจุดมุ่งหมาย สภาพ
แวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ทั้งมวลที่จัด
ขึ้นมาเพื่อการเรียนการ
สอนนั้น ก็คือ การเรียนการสอนนั่นเอง
5.3 เอ็ด การ์ เดล ได้ก ล่า วสรุป ถึง ความสำา คัญ
ของสื่อ การสอน ดัง นี้
5.3.1 สื่อการสอน ช่วยสร้างรากฐานที่เป็นรูปธรรมขึ้น
ในความคิดของ ผู้เรียน การฟังเพียงอย่างเดียวนั้น ผู้เรียนจะต้อง
ใช้จินตนาการเข้าช่วยด้วย เพื่อให้สิ่งที่เป็นนามธรรมเกิดเป็นรูป
ธรรมขึ้นในความคิด แต่สำาหรับสิ่งที่ยุ่งยากซับซ้อน
ผู้เรียน
ย่อมไม่มีความสามารถจะทำาได้ การใช้อุปกรณ์เข้าช่วยจะทำาให้ผู้
เรียนมีความเข้าใจ
และสร้างรูปธรรมขึ้นในใจ ได้
5.3.2 สือการสอน ช่วยเร้าความสนใจของผู้
่
เรียน เพราะผู้เรียนสามารถใช้
ประสาทสัมผัสได้ด้วยตา หู และ
การเคลื่อนไหวจับต้องได้แทนการฟังหรือดูเพียงอย่าง เดียว
5.3.3 เป็นรากฐานในการพัฒนาการเรียนรู้และ
ช่วยความทรงจำาอย่างถาวร ผู้เรียนจะสามารถนำาประสบการณ์
เดิมไปสัมพันธ์กับประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้ เมื่อมีพื้นฐาน
ประสบการณ์เดิมที่ดีอยู่แล้ว
5.3.4 ช่วยให้ผู้เรียนได้มีพัฒนาการทางความ
คิด ซึ่งต่อเนื่องเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันทำาให้เห็นความสัมพันธ์
เกี่ยวข้องกับ สิ่งต่าง ๆ เช่น เวลา สถานที่ วัฏจักรของ
สิ่งมีชีวิต
5.3.5 ช่วยเพิ่มทักษะในการอ่านและเสริมสร้าง
ความเข้าใจในความหมาย ของคำาใหม่ ๆ ให้มากขึ้น ผู้เรียนที่
อ่านหนังสือช้าก็จะสามารถอ่านได้ทันพวกที่อ่านเร็วได้ เพราะ
ได้ยินเสียงและได้เห็นภาพประกอบกันเปรื่อง กุมุท ให้ความสำาคัญ
ของสือการสอน ดังนี้
่
1. ช่วยให้คุณภาพการเรียนรู้ดีขึ้น เพราะมี
ความจริงจังและมี
ความหมาย
ชัดเจนต่อผู้เรียน
2. ช่วยให้นักเรียนรู้ได้ในปริมาณมากขึ้นใน
เวลาที่กำาหนดไว้จำานวนหนึ่ง
3. ช่วยให้ผู้เรียนสนใจและมีส่วนร่วมอย่างแข็ง
ขันในกระบวนการเรียน
การสอน
4. ช่วยให้ผู้เรียนจำา ประทับความรู้สึก และทำา
อะไรเป็นเร็วขึ้นและดีขึ้น
5. ช่วยส่งเสริมการคิดและการแก้ปัญหาใน
ขบวนการเรียนรู้ของนักเรียน
6. ช่วยให้สามารถเรียนรู้ในสิ่งที่เรียนได้ลำาบาก
โดยการช่วยแก้ปัญหา
หรือข้อจำากัดต่าง ๆ ได้ดังนี้
- ทำาสิ่งที่ซับซ้อนให้ง่ายขึ้น
- ทำานามธรรมให้มีรูปธรรมขึ้น
ทำาสิ่งที่เคลื่อนไหวเร็วให้ดูช้าลง
ทำาสิ่งที่ใหญ่มากให้ย่อยขนาดลง
ทำาสิ่งที่เล็กมากให้ขยายขนาดขึ้น
- นำาอดีตมาศึกษาได้
- นำาสิ่งที่อยู่ไกลหรือลี้ลับมาศึกษาได้
7. ช่วยให้นักเรียนเรียนสำาเร็จง่ายขึ้นและสอบ
ได้มากขึ้น
เมื่อทราบ
ความสำาคัญของสื่อการสอนดัง
กล่าวข้างต้นแล้ว สิ่งที่ควรพิจารณาอีกประการก็คือ
ประเภท หรือชนิดของสื่อการสอน ดังจะกล่าวต่อไปดังนี้
ประเภทของสื่อ การสอน
เอ็ดการ์ เดล จำาแนกประสบการณ์ทางการศึกษา
เรียงลำาดับจากประสบการณ์ที่
เป็นรูปธรรมไปสู่ประสบการณ์ที่
เป็นนามธรรม โดยยึดหลักว่า คนเราสามารถเข้าใจสิ่งที่ เป็นรูป
ธรรมได้ดีและเร็วกว่าสิ่งที่เป็นนามธรรม ซึ่งเรียกว่า "กรวยแห่ง
ประสบการณ์" (Cone of Experiences) ซึ่งมีทั้งหมด 10 ขั้น
1. สื่อ เพื่อ พัฒ นาสติป ัญ ญาและความคิด ริเ ริ่ม
สร้า งสรรค์ อาจแบ่ง ได้ด ัง นี้
1.1 สื่อ เพื่อ ฝึก การรับ รู้
1.1.1 สือฝึกการรับรู้เกี่ยว
่
กับขนาด ได้แก่ การจัดหาวัสดุสิ่งของ กล่อง
บล็อก วางให้
เด็กจับต้อง วางซ้อนกัน นำาของสองสิ่ง สามสิ่งมาเปรียบเทียบ
ขนาด
เล็กใหญ่ เล็กที่สุด ใหญ่ที่สด
ุ
1.1.2 สือฝึกการรับรู้เกี่ยว
่
กับรูปร่าง ครูให้เด็กเล่นภาพตัดต่อ ลองวาง
ชิ้นส่วนให้
พอดีกับช่อง เช่น ช่องวงกลม เด็กต้องหยิบรูปวงกลมวางลงใน
ช่อง
สี่เหลี่ยม เด็กต้องหยิบรูปสี่เหลี่ยมวางได้ถูกต้อง
นอกจากนี้ให้เด็กแยกรูปร่าง
สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม
วงรี ได้
1.1.3 สือฝึกการรับรู้เกี่ยว
่
กับเรื่องสี แนะนำาให้เด็กรู้จักสี เล่นสิ่งของ
เครื่องใช้
บล็อก แผ่นกระดาษรูปทรงเรขาคณิตที่มีสีต่าง ๆ โดยเฉพาะเด็ก
ชอบสี
สดใส ให้เด็กแยกสิ่งของ วัตถุ รูปภาพ ที่มีสี
เหมือนกัน
1.1.4 สือฝึกการรับรู้เกี่ยว
่
กับเนื้อผิวของวัตถุ ให้เด็กได้สำารวจสิ่งของ
ใกล้ตัว ได้รับ
ได้สัมผัสสิ่งของที่มีความอ่อน นุ่ม แข็ง หยาบ และบอกได้ว่าของ
แต่
ละชิ้น มีลักษณะอย่างไร เช่น กระดาษทราบหยาบ
สำาลีนุ่ม ก้อนหินแข็ง ฯลฯ
1.2 สือเพื่อฝึกความคิดรวบยอด อาจใช้
่
วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการจัดสิ่งแวดล้อม
เช่น เรียนรู้เกี่ยวกับ
ชีวิตของสัตว์ ครูควรจัดสวนสัตว์จำาลอง เล่านิทาน เชิดหุ่น
เกี่ยวกับสัตว์ สนทนาซักถามเกี่ยวกับสัตว์ที่เด็กรู้จัก
เปรียบเทียบลักษณะของสัตว์
แต่ละชนิด วาด ปั้น ฉีก
แปะ รูปร่างสัตว์
การจัดกิจกรรมความคิดรวบยอดเกี่ยวกับ
อาชีพ เกี่ยวกับสิ่งของ เครื่องใช้
และบุคคลในสังคม ครู
ควรใช้สื่อสถานการณจำาลอง เสริมให้เด็กเข้าใจได้ถูกต้อง
รวดเร็วขึ้น
การรู้จักตัวเลขมีความคิดรวบยอดทาง
คณิตศาสตร์ ด้วยการใช้วิธีการให้
เด็กค้นพบด้วยตนเอง จัด
วัสดุอุปกรณ์ เช่น กระดุมสีต่าง ๆ ฝาเบียร์ ดอกไม้ ใบไม้
ขวด บล็อก ให้เด็กจับต้อง นับ สอนให้เข้าใจเลขคี่เลขคู่
2. สื่อ เพื่อ พัฒ นาทางด้า นภาษา
การใช้สื่อพัฒนาการทางภาษาจะต้องคำานึงถึง
พัฒนาการที่สำาคัญของเด็กเล็กและ
ต้องศึกษาว่าการรับฟัง
และการเข้าใจภาษาของเด็กว่าอยู่ระดับที่สามารถฟังและ แยก
เสียง ต่าง ๆ ได้ เช่น เสียงสัตว์ เสียงดนตรีบางชนิด ฟังประโยค
และข้อความสั้นและยาว
พอสมควร เข้าใจคำาจำากัดความ
เข้าใจหน้าที่ของสิ่งต่าง ๆ แยกภาพตามหน้าที่ได้ เช่น สิ่งที่
ใช้
กินนอน หรือสิ่งที่อยู่ในบ้าน ในครัว เปรียบเทียบภาพเหมือนไม่
เหมือนได้ อ่านรูปภาพ
จำาชื่อตัวเองและเพื่อนได้ เป็นต้น ดัง
นั้นครูเด็กเล็กจะต้องใช้สื่อประเภทวิธีการ สือประเภท
่
วัสดุ
อุปกรณ์มาจัดกิจกรรมเสริมความพร้อมทางด้านภาษาให้เด็กได้
พัฒนาตามเกณฑ์
ดังกล่าวข้างต้น สื่อที่ครูควรจัดเพื่อเสริม
พัฒนาการทางภาษา ได้แก่ หนังสือภาพ แผ่นภาพ ภาพประกอบ
คำาคล้องจอง หุนมือ หุนนิ้วมือ หุ่นเชิด หุนถุงกระดาษ เกมเลียน
่
่
่
เสียงสัตว์ เกม สัมพันธ์ภาพกับคำา เกมเรียนรู้ด้านการฟัง เกม
ทายเรื่อง เกมจับคู่ภาพเหมือนและแยกภาพ ต่าง ๆ การเล่นนิ้ว
มือประกอบคำาร้องหรือเรื่องราว วิธีการเล่นบทบาทสมมุติ มุมบล็อค
ต่างๆ ให้เล่นเป็นกลุ่มในมุมบ้าน เทป วิทยุ เครื่องเสียง
3. สื่อ เพื่อ พัฒ นาความพร้อ มกล้า มเนื้อ เล็ก
ใหญ่ และประสาทสัมพันธ์
ครูจะต้องศึกษา พัฒนาเกี่ยวกับการทรงตัว ความ
มั่นคงของการใช้กล้ามเนื้อตาม วัย เพื่อจะเลือกใช้สื่อได้เ
หมาะ สื่อประเภทวัสดุอุปกรณ์และวิธีการที่ครูสามารถเลือก
ใช้ ได้มีดังนี้
ลูกบอล ดนตรี กลอง ฉิ่ง ฉาบ กรับ ตีขณะ
ที่ให้เด็กยืนทรงตัว เพื่อให้เกิด
ความว่องไวในการบังคับ
กล้ามเนื้อ
ลูกบอล ตุ๊กตาผ้า ลูกตุ้มทำาด้วยฟางข้าว
หรือผ้าสำาหรับแข่งขว้างไกล ๆ
รองเท้า เชือกผูกรองเท้า กระดุม ซิป
สำาหรับฝึกการบังคับกล้ามเนื้อมือ
และฝึกสายตา
แผ่นภาพ รูปภาพ สิ่งของ นำามาแขวนจัด
เรียงกันให้เด็กมองกรอกสายตา
ตามภาพหรือของที่วางไว้
ขีดเส้นใต้เติมตามเส้นคดเคี้ยว แผ่นภาพ
ขีดเป็นช่องสำาหรับใช้นิ้วลากตาม
เส้นทางที่ครูกำาหนด ดิน
เหนียวให้เด็กใช้ปั้นเป็นรูปต่าง ๆ อุปกรณ์วาดภาพ สีไม้ สี
เทียน สีดินสอ สีจากพืช
ฉีกกระดาษปะเป็นรูปต่าง ๆ ขยำากระดาษ
หนังสือพิมพ์ ร้อยดอกไม้ เล่น
ตัดเมล็ดพืช เป่าสีด้วย
หลอดกาแฟ ต่อภาพแบบโยนโบว์ลิ่ง ตวงทราย กรอกนำ้าใส่
ขวด เรียงลูกคิดลงหลัก วางแผ่นรูปทรงลงในช่องที่กำาหนด
เดินกระดานแผ่นเดียว
เล่นภาพตัดต่อ เล่นเครื่องเล่น
สนาม ยิงปืนก้านกล้วย ร้อยเชือกรอบแผ่นภาพ ฝึก
ประสาท
สัมพันธ์ เล่นเกมจำาแนกหมวดหมู่
สือดังกล่าวนี้มักจะถูกเลือกมาใช้ตามความ
่
เหมาะสม ซึ่งอาจมีการใช้ครั้ง
ละชนิดหรือใช้พร้อมกัน
เกินกว่าหนึ่งชนิด หรือใช้ตามลำาดับก่อนหลังก็ได้
4. แนวโน้ม การใช้ส ื่อ เพื่อ การเรีย นรู้
การพิจารณาแนวโน้มการใช้สื่อเพื่อการเรียนรู้จะต้อง
ดูแนวโน้มของการ จัด การศึกษาในอนาคตควบคู่กันไปด้วย จะ
เห็นได้ว่าแนวโน้มของการจัดการศึกษาไทย เปลี่ยนแปลงไปตาม
กระแสการเปลี่ยน แปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และความก้าวหน้า
ด้าน เทคโนโลยีโดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศและ
โทรคมนาคมรวมถึง การเปลี่ยนแปลง แนวคิดและปรัชญาการ
ศึกษาที่มุ่งให้การศึกษาต่อเนื่องตลอด ชีวิตกับคนทุกคนและแนว
ทางการจัดการศึกษาที่ถือว่าผู้เรียนสำาคัญที่สุด แนวโน้มการ
ใช้สื่อการเรียนรู้ในอนาคต น่าจะมีลักษณะดังนี้
- เป็นสื่อที่เอื้อประโยชน์ให้กับผู้เรียนที่มี
ความแตกต่างหลากหลายทั้งใน
ด้าน เวลาและสถานที่
ความสนใจ ความพร้อม ฯลฯ ให้มีสิทธิเสมอภาค และมี
โอ
กาศในการเรียนรู้ เท่าเทียมกัน เช่น สื่อโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต
การสอนทางไกล
- เป็นสื่อที่สนองจุดประสงค์ในการฝึก
ทักษะกระบวนการคิด การจัดการ
การเผชิญสถานการณ์
และการประยุกต์ความรู้มาใช้แก้ไขปัญหา เช่น สถานการณ์
จำาลอง เกมชุดการเรียน ฯลฯ
- เป็นสื่อจากแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตใน
ชุมชน เช่นห้องสมุดประชาชน
พิพิธภัณฑ์ สวน
สาธารณะเป็นต้น
- สือที่อาศัยคลื่นความถี่เป็นตัวนำา หรือสื่อ
่
ผ่านระบบเครือข่าย เช่น วิทยุ
โทรทัศน์ โทรคมนาคม
จะเข้ามามีบทบาทในการจัดการเรียนรู้ ในระบบดรงเรียน
นอกระบบโรงเรียน และการศึกษาตามอัธยาศัยอย่างจิงจัง
และมีประสิทธิภาพ
- สือที่จัดอยู่ในลักษณะของประสบการณ์
่
สำาเร็จรูป เพื่อสอนเนื้อหาเรื่อง
ใดเรื่องหนึ่ง ที่จดกิจกรรม
ั
ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนผ่านสื่อ จน
ประสบผลสำาเร็จ จะได้รับความนิยมมากขึ้น อาทิ เช่น บท
เรียนคอมพิวเตอร์ช่วย
สอน (CAI) ชุดการเรียน ( model)
เป็นต้น
6. หลัก และทฤษฎีท างจิต วิท ยาที่เ กี่ย วกับ การเรีย นรู้ข อง
มนุษ ย์
ทฤษฎีการเรียนรู้เป็นเรื่องที่สำาคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ครูจะต้อง
ศึกษาก่อนการ เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ ทฤษฎีการเรียนรู้ต่าง
ๆ จะทำาให้ครูเข้าใจกระบวนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งจะส่งผลโดยตรง
กับ ผู้เรียน ในการจัดการเรียนรู้ถ้าครูศึกษาทฤษฎีการเรียนรู้ก่อน
แล้วนำาแนวคิดจากทฤษฎีไป สู่การปฏิบัติคือการจัดการเรียนรู้ จะ
ทำาให้การจัดการเรียนรู้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะดี
กว่าการที่เราจัดการเรียนรู้โดยไม่มีทฤษฎีรองรับเพราะทฤษฎี
ต่างๆ นั้นได้มีการค้นคว้าทดลองจนเป็นที่ยอมรับ พูดง่าย ๆ ก็คือ
ได้ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว สามารถนำาไปประยุกต์ใช้ได้เลย ทิศนา
แขมมณี (2550 : 40 - 107) ได้สรุปแนวคิดและแนวปฏิบัติของ
ทฤษฎีการเรียนรู้ไว้ตั้งแต่แนวคิดเกี่ยวกับ การกระทำาหรือ
พฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งมี 3 แนวคิด แนวที่ 1 เชื่อว่าพฤติกรรม
หรือการกระทำาของมนุษย์ เกิดขึ้นจากแรงกระตุ้นภายในตนเอง
แนวที่ 2 เชื่อว่าพฤติกรรมหรือการกระทำาของมนุษย์ เกิดขึ้นจาก
อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม มิใช่มาจากแรงกระตุ้นภายใน แนวที่ 3
เชื่อว่าพฤติกรรมหรือการกระทำาของมนุษย์ เกิดขึ้นทั้งจากสิ่ง
แวดล้อมและจากแรงกระตุ้นภายในตัวบุคคล
ทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้ในช่วงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 มี
3 กลุ่ม คือกลุ่มที่เน้นการฝึกจิตหรือสมอง กลุ่มที่เน้นการพัฒนาไป
ตามธรรมชาติและกลุ่มที่เน้นการรับรู้และเชื่อมโยง ความคิดทฤษฎี
เกี่ยวกับการเรียนรู้ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 มี 4 กลุ่มคือกลุ่ม
พฤติกรรมนิยม กลุ่มพุทธินิยม กลุ่มมนุษยนิยมและกลุ่มผสมผสาน
นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีการเรียนรู้และการสอนร่วมสมัย เช่น ทฤษฎี
กระบวนการทางสมองและการประมวลข้อมูล ทฤษฎีพหุปัญญา
ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วย
ตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงานและทฤษฎีการเรียนรู้ แบบร่วม
มือ เป็นต้น
ทิศนา แขมมณี (2550 : 45 - 50) ได้กล่าวถึงทฤษฎีเกี่ยว
กับการเรียนรู้ในช่วงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 และหลักการจัดการ
ศึกษาและการสอนไว้ดังนี้
นัก คิดกลุ่มนี้มีความเชื่อว่าจิตหรือสมองหรือสติปัญญา
(mind) สามารถพัฒนาให้ปราดเปรื่องได้โดยการฝึก เช่นเดียวกับ
กล้ามเนื้อซึ่งจะแข็งแรงได้ด้วยการฝึกออกกำาลังกาย ในการฝึกจิต
หรือสมองนี้ทำาได้โดยการให้บุคคลเรียนรู้เรื่อง ที่ยาก ๆ ยิ่งยาก
มากเท่าไรจิตก็จะได้รับการฝึกให้แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น นักคิดกลุ่ม
นี้มีแนวคิดแยกออกเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ (Bigge,1964 : 19 –
30 อ้างถึงในทิศนา แขมมณี 2550 : 45 – 48)
1.1 กลุ่มที่เชื่อในพระเจ้า (Theistic Mental
Discipline) นักคิดที่สำาคัญของกลุ่มนี้ คือ เซนต์ออกุสติน (St.
Augustine) จอห์น คาลวิน (John Calvin) และคริสเตียน โวล์ฟ
(Christian Wolff) นักคิดกลุ่มนี้มีความเชื่อ ดังนี้
ความเชื่อ เกี่ย วกับ การเรีย นรู้
1.1.1 มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความชั่วและการก
ระทำาใด ๆ ของมนุษย์เกิด
จากแรงกระตุ้นภายในตัว
มนุษย์เอง (bad-active)
1.1.2 มนุษย์พร้อที่จะทำาความชั่วหากไม่ได้รับ
การสั่งสอนอบรม
1.1.3 สมองของมนุษย์นั้นแบ่งออกเป็นส่วน ๆ
(faculties) ซึ่งหากได้รับ
การฝึกอย่างเหมาะสมจะช่วย
ทำาให้เกิดความเข้มแข็ง สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้
1.1.4 การฝึกสมองหรือฝึกระเบียบวินัยของจิต
เป็นสิ่งจำาเป็นต่อการ
พัฒนาให้มนุษย์เป็นคนดีและ
ฉลาด
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ
บทที่2เสร็จ

More Related Content

What's hot

บทที่8
บทที่8บทที่8
บทที่8josodaza
 
เทคนิคการสอน กระบวนการกลุ่ม
เทคนิคการสอน  กระบวนการกลุ่มเทคนิคการสอน  กระบวนการกลุ่ม
เทคนิคการสอน กระบวนการกลุ่มJunya Punngam
 
วิจัยในชั้นเรียน
วิจัยในชั้นเรียนวิจัยในชั้นเรียน
วิจัยในชั้นเรียนAon Narinchoti
 
การจัดการเรียนการสอนที่มีทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์
การจัดการเรียนการสอนที่มีทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์การจัดการเรียนการสอนที่มีทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์
การจัดการเรียนการสอนที่มีทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์Jintana Kujapan
 
01นำเสนอการวิจัยปฏิบัติการบท1 2 ดร.เกื้อ
01นำเสนอการวิจัยปฏิบัติการบท1 2 ดร.เกื้อ01นำเสนอการวิจัยปฏิบัติการบท1 2 ดร.เกื้อ
01นำเสนอการวิจัยปฏิบัติการบท1 2 ดร.เกื้อJeeraJaree Srithai
 
Task analysis (การวิเคราะห์ภาระงาน)
Task analysis (การวิเคราะห์ภาระงาน)Task analysis (การวิเคราะห์ภาระงาน)
Task analysis (การวิเคราะห์ภาระงาน)ssuser2812ac
 
Logarithm2555
Logarithm2555Logarithm2555
Logarithm2555wongsrida
 

What's hot (12)

บทที่8
บทที่8บทที่8
บทที่8
 
เทคนิคการสอน กระบวนการกลุ่ม
เทคนิคการสอน  กระบวนการกลุ่มเทคนิคการสอน  กระบวนการกลุ่ม
เทคนิคการสอน กระบวนการกลุ่ม
 
Reasoning
ReasoningReasoning
Reasoning
 
บทความวิชาการ
บทความวิชาการบทความวิชาการ
บทความวิชาการ
 
วิจัยในชั้นเรียน
วิจัยในชั้นเรียนวิจัยในชั้นเรียน
วิจัยในชั้นเรียน
 
Plan10
Plan10Plan10
Plan10
 
การจัดการเรียนการสอนที่มีทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์
การจัดการเรียนการสอนที่มีทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์การจัดการเรียนการสอนที่มีทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์
การจัดการเรียนการสอนที่มีทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์
 
01นำเสนอการวิจัยปฏิบัติการบท1 2 ดร.เกื้อ
01นำเสนอการวิจัยปฏิบัติการบท1 2 ดร.เกื้อ01นำเสนอการวิจัยปฏิบัติการบท1 2 ดร.เกื้อ
01นำเสนอการวิจัยปฏิบัติการบท1 2 ดร.เกื้อ
 
Ex
ExEx
Ex
 
Task analysis (การวิเคราะห์ภาระงาน)
Task analysis (การวิเคราะห์ภาระงาน)Task analysis (การวิเคราะห์ภาระงาน)
Task analysis (การวิเคราะห์ภาระงาน)
 
Logarithm2555
Logarithm2555Logarithm2555
Logarithm2555
 
ข้อสอบวิช..
ข้อสอบวิช..ข้อสอบวิช..
ข้อสอบวิช..
 

Viewers also liked

บทที่2 (เสร็จ)
บทที่2 (เสร็จ)บทที่2 (เสร็จ)
บทที่2 (เสร็จ)Annop Phetchakhong
 
ส่วนเนื้อหา Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwanส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา Report end_arunwanArunwan Permlap
 
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องบทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องBenny BC
 
บทความบทที่ 2 คณิตศาสตร์
บทความบทที่  2  คณิตศาสตร์บทความบทที่  2  คณิตศาสตร์
บทความบทที่ 2 คณิตศาสตร์supanyasaengpet
 
เฉลยข้อสอบโอเน็ตคณิตศาสตร์ ม.6 ปีการศึกษา 2555
เฉลยข้อสอบโอเน็ตคณิตศาสตร์ ม.6 ปีการศึกษา 2555เฉลยข้อสอบโอเน็ตคณิตศาสตร์ ม.6 ปีการศึกษา 2555
เฉลยข้อสอบโอเน็ตคณิตศาสตร์ ม.6 ปีการศึกษา 2555ครู กรุณา
 
เฉลยการวัดตำแหน่งและกระจาย
เฉลยการวัดตำแหน่งและกระจายเฉลยการวัดตำแหน่งและกระจาย
เฉลยการวัดตำแหน่งและกระจายkrurutsamee
 
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
บทที่  2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องบทที่  2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องmoohhack
 
สูตรสถิติ
สูตรสถิติสูตรสถิติ
สูตรสถิติTaew Nantawan
 
เฉลยค่ากลางของข้อมูล
เฉลยค่ากลางของข้อมูลเฉลยค่ากลางของข้อมูล
เฉลยค่ากลางของข้อมูลkrurutsamee
 

Viewers also liked (11)

บทที่2 (เสร็จ)
บทที่2 (เสร็จ)บทที่2 (เสร็จ)
บทที่2 (เสร็จ)
 
ส่วนเนื้อหา Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwanส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา Report end_arunwan
 
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องบทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
 
บทความบทที่ 2 คณิตศาสตร์
บทความบทที่  2  คณิตศาสตร์บทความบทที่  2  คณิตศาสตร์
บทความบทที่ 2 คณิตศาสตร์
 
การวัดผลและประเมินผลสื่อ (Media Evaluation : Ch 8)
การวัดผลและประเมินผลสื่อ (Media Evaluation : Ch 8)การวัดผลและประเมินผลสื่อ (Media Evaluation : Ch 8)
การวัดผลและประเมินผลสื่อ (Media Evaluation : Ch 8)
 
เฉลยข้อสอบโอเน็ตคณิตศาสตร์ ม.6 ปีการศึกษา 2555
เฉลยข้อสอบโอเน็ตคณิตศาสตร์ ม.6 ปีการศึกษา 2555เฉลยข้อสอบโอเน็ตคณิตศาสตร์ ม.6 ปีการศึกษา 2555
เฉลยข้อสอบโอเน็ตคณิตศาสตร์ ม.6 ปีการศึกษา 2555
 
เฉลยการวัดตำแหน่งและกระจาย
เฉลยการวัดตำแหน่งและกระจายเฉลยการวัดตำแหน่งและกระจาย
เฉลยการวัดตำแหน่งและกระจาย
 
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
บทที่  2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องบทที่  2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
 
สูตรสถิติ
สูตรสถิติสูตรสถิติ
สูตรสถิติ
 
แนวข้อสอบ 100 ข้อ
แนวข้อสอบ  100  ข้อแนวข้อสอบ  100  ข้อ
แนวข้อสอบ 100 ข้อ
 
เฉลยค่ากลางของข้อมูล
เฉลยค่ากลางของข้อมูลเฉลยค่ากลางของข้อมูล
เฉลยค่ากลางของข้อมูล
 

Similar to บทที่2เสร็จ

ทฤ.หลักสูตร
ทฤ.หลักสูตรทฤ.หลักสูตร
ทฤ.หลักสูตรTawatchai Bunchuay
 
วิจัยเรื่องผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กระบวนการทางคณิตศาสตร์ ประกอบด้วย การแก้ปัญห...
วิจัยเรื่องผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กระบวนการทางคณิตศาสตร์ ประกอบด้วย การแก้ปัญห...วิจัยเรื่องผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กระบวนการทางคณิตศาสตร์ ประกอบด้วย การแก้ปัญห...
วิจัยเรื่องผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กระบวนการทางคณิตศาสตร์ ประกอบด้วย การแก้ปัญห...apiwat97
 
การออกแบบการจัดการการเรียนรู้อิงมาตรฐาน หลักสูตรแกนกลาง 2551 ...
การออกแบบการจัดการการเรียนรู้อิงมาตรฐาน   หลักสูตรแกนกลาง 2551               ...การออกแบบการจัดการการเรียนรู้อิงมาตรฐาน   หลักสูตรแกนกลาง 2551               ...
การออกแบบการจัดการการเรียนรู้อิงมาตรฐาน หลักสูตรแกนกลาง 2551 ...Weerachat Martluplao
 
apiwat act ppt
apiwat act pptapiwat act ppt
apiwat act pptapiwat97
 
วิจัยในชั้นเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กระบวนการทางคณิตศาสตร์ ประกอบด้วย การแ...
วิจัยในชั้นเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กระบวนการทางคณิตศาสตร์ ประกอบด้วย การแ...วิจัยในชั้นเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กระบวนการทางคณิตศาสตร์ ประกอบด้วย การแ...
วิจัยในชั้นเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กระบวนการทางคณิตศาสตร์ ประกอบด้วย การแ...apiwat97
 
โครงงานคอม
โครงงานคอมโครงงานคอม
โครงงานคอมApisit Chaiya
 
โครงงานคณิตบทที่ 2
โครงงานคณิตบทที่ 2โครงงานคณิตบทที่ 2
โครงงานคณิตบทที่ 2Jutarat Bussadee
 
Teahingint
TeahingintTeahingint
Teahingintprisana2
 
Teahingint
TeahingintTeahingint
Teahingintkorakate
 
Teahingint[1]
Teahingint[1]Teahingint[1]
Teahingint[1]numpueng
 
การเรียนรู้แบบร่วมมือ
การเรียนรู้แบบร่วมมือการเรียนรู้แบบร่วมมือ
การเรียนรู้แบบร่วมมือKrumath Pawinee
 
รายงานการประเมินตนเอง 2 54
รายงานการประเมินตนเอง 2 54รายงานการประเมินตนเอง 2 54
รายงานการประเมินตนเอง 2 54Jiraporn
 
สอบ วิจัย อ.สมพงษ์ มข.
สอบ วิจัย อ.สมพงษ์ มข.สอบ วิจัย อ.สมพงษ์ มข.
สอบ วิจัย อ.สมพงษ์ มข.Kaisorn Sripuwong
 

Similar to บทที่2เสร็จ (20)

ทฤ.หลักสูตร
ทฤ.หลักสูตรทฤ.หลักสูตร
ทฤ.หลักสูตร
 
บทความวิชาการ
บทความวิชาการบทความวิชาการ
บทความวิชาการ
 
วิจัยเรื่องผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กระบวนการทางคณิตศาสตร์ ประกอบด้วย การแก้ปัญห...
วิจัยเรื่องผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กระบวนการทางคณิตศาสตร์ ประกอบด้วย การแก้ปัญห...วิจัยเรื่องผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กระบวนการทางคณิตศาสตร์ ประกอบด้วย การแก้ปัญห...
วิจัยเรื่องผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กระบวนการทางคณิตศาสตร์ ประกอบด้วย การแก้ปัญห...
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
เนื้อหาความรู้เรื่องโครงงานวิทย์
เนื้อหาความรู้เรื่องโครงงานวิทย์เนื้อหาความรู้เรื่องโครงงานวิทย์
เนื้อหาความรู้เรื่องโครงงานวิทย์
 
เนื้อหาความรู้เรื่องโครงงานวิทย์
เนื้อหาความรู้เรื่องโครงงานวิทย์เนื้อหาความรู้เรื่องโครงงานวิทย์
เนื้อหาความรู้เรื่องโครงงานวิทย์
 
การออกแบบการจัดการการเรียนรู้อิงมาตรฐาน หลักสูตรแกนกลาง 2551 ...
การออกแบบการจัดการการเรียนรู้อิงมาตรฐาน   หลักสูตรแกนกลาง 2551               ...การออกแบบการจัดการการเรียนรู้อิงมาตรฐาน   หลักสูตรแกนกลาง 2551               ...
การออกแบบการจัดการการเรียนรู้อิงมาตรฐาน หลักสูตรแกนกลาง 2551 ...
 
apiwat act ppt
apiwat act pptapiwat act ppt
apiwat act ppt
 
วิจัยในชั้นเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กระบวนการทางคณิตศาสตร์ ประกอบด้วย การแ...
วิจัยในชั้นเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กระบวนการทางคณิตศาสตร์ ประกอบด้วย การแ...วิจัยในชั้นเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กระบวนการทางคณิตศาสตร์ ประกอบด้วย การแ...
วิจัยในชั้นเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กระบวนการทางคณิตศาสตร์ ประกอบด้วย การแ...
 
Commm
CommmCommm
Commm
 
โครงงานคอม
โครงงานคอมโครงงานคอม
โครงงานคอม
 
โครงงานคณิตบทที่ 2
โครงงานคณิตบทที่ 2โครงงานคณิตบทที่ 2
โครงงานคณิตบทที่ 2
 
Ch 2
Ch 2Ch 2
Ch 2
 
Teahingint
TeahingintTeahingint
Teahingint
 
Teahingint
TeahingintTeahingint
Teahingint
 
Teahingint[1]
Teahingint[1]Teahingint[1]
Teahingint[1]
 
การเรียนรู้แบบร่วมมือ
การเรียนรู้แบบร่วมมือการเรียนรู้แบบร่วมมือ
การเรียนรู้แบบร่วมมือ
 
รายงานการประเมินตนเอง 2 54
รายงานการประเมินตนเอง 2 54รายงานการประเมินตนเอง 2 54
รายงานการประเมินตนเอง 2 54
 
สอบ วิจัย อ.สมพงษ์ มข.
สอบ วิจัย อ.สมพงษ์ มข.สอบ วิจัย อ.สมพงษ์ มข.
สอบ วิจัย อ.สมพงษ์ มข.
 

More from Annop Phetchakhong

สรุปผลการประเมินความพึงพอใจ
สรุปผลการประเมินความพึงพอใจสรุปผลการประเมินความพึงพอใจ
สรุปผลการประเมินความพึงพอใจAnnop Phetchakhong
 
โครงการติวเตอร์ เตรียมลุยข้อสอบปลายภาค
โครงการติวเตอร์ เตรียมลุยข้อสอบปลายภาคโครงการติวเตอร์ เตรียมลุยข้อสอบปลายภาค
โครงการติวเตอร์ เตรียมลุยข้อสอบปลายภาคAnnop Phetchakhong
 
กิตติกรรมประกาศ (เสร็จ)
กิตติกรรมประกาศ (เสร็จ)กิตติกรรมประกาศ (เสร็จ)
กิตติกรรมประกาศ (เสร็จ)Annop Phetchakhong
 
บทที่3 (เสร็จ)
บทที่3 (เสร็จ)บทที่3 (เสร็จ)
บทที่3 (เสร็จ)Annop Phetchakhong
 
บทที่1(เสร็จ)
บทที่1(เสร็จ)บทที่1(เสร็จ)
บทที่1(เสร็จ)Annop Phetchakhong
 
ใหม่ _ชื่อโครงการ โครงการ ติวเตอร์ เตรียมลุยข้อสอบกลางภาค วิชาเทคโนโลยีสา...
ใหม่  _ชื่อโครงการ  โครงการ ติวเตอร์ เตรียมลุยข้อสอบกลางภาค   วิชาเทคโนโลยีสา...ใหม่  _ชื่อโครงการ  โครงการ ติวเตอร์ เตรียมลุยข้อสอบกลางภาค   วิชาเทคโนโลยีสา...
ใหม่ _ชื่อโครงการ โครงการ ติวเตอร์ เตรียมลุยข้อสอบกลางภาค วิชาเทคโนโลยีสา...Annop Phetchakhong
 
บทที่3 (เสร็จ)
บทที่3 (เสร็จ)บทที่3 (เสร็จ)
บทที่3 (เสร็จ)Annop Phetchakhong
 
บทที่1(เสร็จ)
บทที่1(เสร็จ)บทที่1(เสร็จ)
บทที่1(เสร็จ)Annop Phetchakhong
 
บทที่1(เสร็จ)
บทที่1(เสร็จ)บทที่1(เสร็จ)
บทที่1(เสร็จ)Annop Phetchakhong
 

More from Annop Phetchakhong (11)

สรุปผลการประเมินความพึงพอใจ
สรุปผลการประเมินความพึงพอใจสรุปผลการประเมินความพึงพอใจ
สรุปผลการประเมินความพึงพอใจ
 
โครงการติวเตอร์ เตรียมลุยข้อสอบปลายภาค
โครงการติวเตอร์ เตรียมลุยข้อสอบปลายภาคโครงการติวเตอร์ เตรียมลุยข้อสอบปลายภาค
โครงการติวเตอร์ เตรียมลุยข้อสอบปลายภาค
 
กิตติกรรมประกาศ (เสร็จ)
กิตติกรรมประกาศ (เสร็จ)กิตติกรรมประกาศ (เสร็จ)
กิตติกรรมประกาศ (เสร็จ)
 
บทที่5
บทที่5บทที่5
บทที่5
 
บทที่4
บทที่4บทที่4
บทที่4
 
บทที่3 (เสร็จ)
บทที่3 (เสร็จ)บทที่3 (เสร็จ)
บทที่3 (เสร็จ)
 
บทที่1(เสร็จ)
บทที่1(เสร็จ)บทที่1(เสร็จ)
บทที่1(เสร็จ)
 
ใหม่ _ชื่อโครงการ โครงการ ติวเตอร์ เตรียมลุยข้อสอบกลางภาค วิชาเทคโนโลยีสา...
ใหม่  _ชื่อโครงการ  โครงการ ติวเตอร์ เตรียมลุยข้อสอบกลางภาค   วิชาเทคโนโลยีสา...ใหม่  _ชื่อโครงการ  โครงการ ติวเตอร์ เตรียมลุยข้อสอบกลางภาค   วิชาเทคโนโลยีสา...
ใหม่ _ชื่อโครงการ โครงการ ติวเตอร์ เตรียมลุยข้อสอบกลางภาค วิชาเทคโนโลยีสา...
 
บทที่3 (เสร็จ)
บทที่3 (เสร็จ)บทที่3 (เสร็จ)
บทที่3 (เสร็จ)
 
บทที่1(เสร็จ)
บทที่1(เสร็จ)บทที่1(เสร็จ)
บทที่1(เสร็จ)
 
บทที่1(เสร็จ)
บทที่1(เสร็จ)บทที่1(เสร็จ)
บทที่1(เสร็จ)
 

บทที่2เสร็จ

  • 1. บทที่ 2 เอกสารและงานวิจ ย ที่เ กี่ย วข้อ ง ั การศึกษาเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คอมพิวเตอร์ (ง 31244) เรื่องการสร้างเอกสารจาก Microsoft office word 2010 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชิโนรสวิทยาลัย ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่ เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นแนวทางในการทำาวิจัย ดังนี้ 1. การศึกษา 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3. วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ 4. Microsoft Office 5. สือการเรียนการสอน ่ 6. หลักและทฤษฎีทางจิตวิทยาที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ของ มนุษย์ 7. คอมพิวเตอร์กับการศึกษา 8. แผนการจัดการเรียนรู้ 9. ความพึงพอใจ 1. การศึก ษา การศึกษา หรือ “Education” ในภาษาอังกฤษ มีรากศัพท์มา จากภาษาละตินว่า Educare แปลว่า บำารุง เลี้ยง อบรม รักษา ทำาให้งอกงาม หรืออีกนัยหนึ่ง Educare หมายถึง การอบรมเด็ก ทั้ง ทางกาย และทางสมอง ส่วนคำาว่า “การศึกษา” ในภาษาไทย นั้น เป็นคำามาจากภาษาสันสกฤต ตรงกับภาษาบาลีว่า สิกขา พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมาย ว่า การเล่าเรียน ฝึกฝน และอบรม 1.1 ความหมายของการศึก ษาตามทัศ นะของชาวต่า ง ประเทศ อริสโตเติล (Aristotle ก่อน ค.ศ.384-322) ชาวกรีก กล่าวว่า การศึกษา หมายถึง การอบรมคนให้เป็นพลเมืองดี และ ดำาเนินชีวิตด้วยการทำาดี
  • 2. จอห์น ล๊อ ค (John Locke ค.ศ.1632-1704) ชาว อังกฤษ กล่าวว่า การศึกษา คือ องค์ประกอบของพลศึกษา จริยศึกษา และพุทธิศึกษา ยอง ยัค ส์ รุส โซ (Jean Jacques Rousseau ค.ศ. 1712-1778) กล่าวว่า การศึกษา คือ การนำาความสามารถในตัว บุคคลมาใช้ให้เกิดประโยชน์โดยการจัดการศึกษาต้องสอดคล้อง กับ ธรรมชาติของบุคคล จอห์น ดิว อี้ (John Dewey ค.ศ.1857-1952) ชาว อเมริกัน กล่าวว่า การศึกษา คือชีวิต (Education is life) ไม่ใช่ เป็นการเตรียมตัวเพื่อชีวิตในภายหน้า การศึกษา คือ ความเจริญ งอกงาม (Education is growth) ทั้งในด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ทัลคอทท์ พาร์ส ัน (Talcott Parson) นักสังคมวิทยา กล่าวว่า การศึกษาคือ เครื่องมือเตรียมเด็กและเยาวชนให้มี บทบาทในวงการอาชีพต่าง ๆ ของผู้ใหญ่
  • 3. 1.2 ความหมายของการศึก ษาตามทัศ นะของ นัก การศึก ษาไทย สาโรช บัว ศรี ให้ความหมายว่า การศึกษา คือ การ พัฒนาขันธ์ 5 โดยใช้มรรค 8 เพื่อให้อกุศลมูล คือ ความโลภ ความโกรธ และความหลง ลดน้อยลง หรือเบาบางลงมากที่สุด ขันธ์ 5 ประกอบด้วย - รูป คือ ร่างกาย (Physical Structure) - เวทนา คือ ความรู้สึก (Feeling หรือ Sensation) - สัญญา คือ ความทรงจำา (Memory หรือ Perception) - สังขาร คือ เครื่องปรุงแต่ง (Aggregatet) เช่น ทัศนคติ ความสนใจ ความสามารถ และทักษะ เป็นต้น - วิญญาณ คือ การเกิดความรู้ (Consciousness) วิจิตร ศรีสะอ้าน กล่าวว่า การศึกษา เป็นกระบวนการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลให้เป็นไปในแนวทางที่พึง ปรารถนา การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้เป็นไปอย่างจงใจ มีการ กำาหนด จุดมุ่งหมายและดำาเนินการอย่างเป็นระบบ มีกระบวนการ เหมาะสมและผ่านสถาบันทางสังคม ที่ได้รับมอบหมายให้ทำาหน้าที่ ด้านการศึกษา 2. ผลสัม ฤทธิ์ท างการเรีย น (Learning Achievement) 2.1 ความหมายของผลสัม ฤทธิท างการเรีย น ์ ผลสัมฤทธิทางการเรียน (Learning Achievement) ์ เป็นผลทีเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ในการจัดการศึกษา นักศึกษาได้ให้ ่ ความสำาคัญกับผลสัมฤทธิทางการเรียน และเนืองจากผลสัมฤทธิ์ ์ ่ ทางการเรียนเป็นดัชนีประการหนึ่งที่สามารถบอกถึงคุณภาพการ ศึกษา ดังที่ อนาตาซี (1970 : 107 อ้างถึงใน ปริยทิพย์ บุญ คง, 2546 : 7) กล่าวไว้พอสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมี ความสัมพันธ์กับองค์ประกอบด้านสติปญญา และองค์ประกอบด้านที่ ั ไม่ใช้สติปญญา ได้แก่ องค์ประกอบด้านเศรษฐกิจ สังคม แรงจูงใจ ั และองค์ประกอบที่ไม่ใช้สติปัญญาด้านอื่น ไอแซงค์ อาโนลด์ และไมลี (อ้างถึงใน ปริยทิพย์ บุญ คง, 2546 : 7) ให้ความหมายของคำาว่า ผลสัมฤทธิ์ หมายถึง
  • 4. ขนาดของความสำาเร็จที่ ได้จากการทำางานที่ ต้องอาศัยความ พยายามอย่างมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการกระทำาที่ต้องอาศัยทั้ง ความสามารถทั้งทางร่างกายและทางสติปัญญา ดังนั้นผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนจึงเป็นขนาดของความสำาเร็จที่ได้จากการ เรียนโดยอาศัยความสามารถเฉพาะตั วบุ คคล ผลสั มฤทธิ์ ทางการ เรี ยนอาจได้ จากกระบวนการที่ ไม่ ต้ องอาศั ยการทดสอบ เชนการ สังเกต หรือการตรวจการบ้าน หรืออาจได้ในรูปของเกรดจาก โรงเรียน ซึ่งต้องอาศัยกระบวนการทีซบซ้อน และระยะเวลานานพอ ่ ั สมควร หรืออาจได้จากการวัดแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั่วไป ซึงสอดคล้องกับ ไพศาล หวังพานิช (2536 : 89) ทีให้ความ ่ ่ หมายผลสัมฤทธิทางการเรียนว่า หมายถึง คุณลักษณะและความ ์ สามารถของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอนเป็นการ เปลียนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์การเรียนทีเกิดขึนจากการ ่ ่ ้ ฝึกอบรมหรือการสอบ จึงเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถของ บุคคลว่าเรียนแล้วมีความรูเท่าใด สามารถวัดได้โดยการใช้แบบ ้ ทดสอบต่าง ๆ เช่น ใช้ขอสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ข้อสอบวัดภาคปฏิบติ ้ ั สามารถวัดได้ 2 รูปแบบ ดังนี้ 1. การวัดด้านปฏิบัติ เป็นการตรวจสอบระดับความ สามารถในการปฏิบัติโดยทักษะของผู้เรียน โดยมุ่งเน้นให้ผู้ เรียนแสดงความสามารถดังกล่าว ในรูปของการกระทำาจริง ให้ออกเป็นผลงาน การวัดต้องใช้ข้อสอบภาคปฏิบัติ 2. การวัดด้านเนื้อหา เป็นการตรวจสอบความ สามารถเกี่ยวกับเนื้อหา ซึ่งเป็นประสบการณ์เรียน รวมถึง พฤติกรรมความสามารถในด้านต่างๆ สามารถวัดได้โดยใช้ แบบวัดผลสัมฤทธิ์ จากความหมายข้างต้นสรุปได้วา ผลสัมฤทธิทางการเรียน ่ ์ หมายถึง ผลการวัด การเปลียนแปลง และประสบการณ์การ ่ เรียนรู้ ในเนือหาสาระทีเรียนมาแล้วว่าเกิดการเรียนรูเท่าใดมี ้ ่ ้ ความสามารถชนิดใด โดยสามารถวัดได้จากแบบทดสอบวัด สัมฤทธิ์ ในลักษณะต่ าง ๆ และการวัดผลตามสภาพจริง เพื่ อ บอกถึงคุณภาพการศึกษาความหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน
  • 5. เรีย น 2.2 ความหมายของแบบทดสอบวัด ผลสัม ฤทธิท างการ ์ นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของแบบ ทดสอบวัดผลสัมฤทธิทางการเรียนไว้ดงนี้ ์ ั สมนึก ภัททิยธนี (2546 : 78-82) ได้ให้ความหมายของ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า หมายถึง แบบทดสอบ วัดสมรรถภาพทางสมองต่างๆ ที่นักเรียนได้รับการเรี ยนรู้ ผ่ านมา แล้ ว ซึ่ งแบ่ งได้ เป็ น 2 ประเภท คื อ แบบทดสอบที่ ครู สร้ างกั บ แบบทดสอบมาตรฐาน แต่ เนื่องจากครูต้องทำาหน้าที่วัดผล นักเรียน คือเขียนข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ตนได้สอน ซึ่งเกี่ยวข้อง โดยตรงกับแบบทดสอบที่ครูสร้างและมีหลายแบบแต่ที่นิยมใช้มี 6 แบบ ดังนี้ 2.2.1 ข้อสอบแบบอัตนัยหรือความเรียง ลักษณะทั่วไปเป็นข้อสอบที่มีเฉพาะคำาถาม แล้วให้นักเรียน เขียนตอบอย่างเสรี เขียนบรรยายตามความรู้ และข้อคิดเห็น แต่ละคน 2.2.2 ข้อสอบแบบกาถูก-ผิด ลักษณะทั่วไป ถือ ได้ว่าข้อสอบแบบกาถูก-ผิด คือ ข้อสอบแบบเลือกตอบที่มี 2 ตัวเลือก แต่ตัวเลือกดังกล่าวเป็นแบบคงที่และมีความหมาย ตรงกันข้าม เช่น ถูก-ผิด ใช่-ไม่ใช่ จริง-ไม่จริง เหมือนกันต่างกัน เป็นต้น 2.2.3 ข้อสอบแบบเติมคำา ลักษณะทั่วไปเป็น ข้อสอบที่ประกอบด้วยประโยคหรือข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์ ให้ผู้ตอบเติมคำา หรือประโยค หรือข้อความลงในช่องว่างที่ เว้นไว้นั้น เพื่อให้มีใจความสมบูรณ์และถูกต้อง 2.2.4 ข้อสอบแบบตอบสั้นๆ ลักษณะทั่วไป ข้อสอบประเภทนี้คล้ายกับข้อสอบแบบเติมคำา แต่แตกต่างกัน ที่ข้อสอบแบบตอบสั้นๆ เขียนเป็นประโยคคำาถามสมบูรณ์ (ข้อสอบเติมคำาเป็นประโยคที่ ยั งไม่ สมบู รณ์ ) แล้ วให้ ผู้ ตอบ เป็ นคนเขี ยนตอบ คำา ตอบที่ ต้ องการจะสั้ นและกะทั ดรั ด ได้ ใจความสมบูรณ์ไม่ใช่เป็นการบรรยายแบบข้อสอบอัตนัย หรือความเรียง
  • 6. 2.2.5 ข้อสอบแบบจับคู่ ลักษณะทั่วไป เป็นข้อสอบ เลือกตอบชนิดหนึ่งโดยมีคำาหรือข้อความแยกจากกันเป็น 2 ชุด แล้วให้ผู้ตอบเลือกจับคู่ว่า แต่ละข้อความในชุดหนึ่ง (ตัวยืน) จะคู่ กับคำา หรือข้อความใดในอีกชุดหนึ่ง (ตัว เลือก) ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้ออก ข้อสอบกำาหนดไว้ 2.2.6 ข้อสอบแบบเลือกตอบลักษณะทั่ วไป ข้อสอบ แบบเลือกตอบนี้ จะประกอบด้วย 2 ตอน ตอนนำาหรือคำาถาม กับตอนเลือก ในตอนเลือกนี้จะประกอบด้วยตัวเลือกที่เป็นคำา ตอบถูกและตัวเลือกที่เป็นตัวลวง ปกติจะมีคำาถามที่ กำาหนดให้นักเรียนพิจารณาแล้วหาตัวเลือกที่ถูก ต้องมากที่สุดเพียงตัวเลือกเดียวจากตั ว เลื อ กอื่ นๆ และ คำา ถามแบบเลื อ กตอบที่ ดี นิ ย มใช้ ตั ว เลื อ กที่ ใกล้ เ คี ย งกั น ดู เผิ นๆ จะเห็ นว่ าทุ ก ตัวเลือกถูกหมด แต่ความจริงมีนำ้า หนักถูกมากน้อยต่างกัน พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2543 : 96) ได้กล่าวถึงแบบ ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ย นในทำานองเดียวกันว่า หมาย ถึง แบบทดสอบที่วัดความรู้ของนักเรียนที่ได้เรียนไปแล้ว ซึ่งมัก จะเป็นข้อคำาถามให้นกเรียนตอบด้วยกระดาษและดินสอกับให้ ั นักเรียนปฏิบตจริง ั ิ จากความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิทางการ ์ เรียนทีกล่าวมาแล้ว สรุปได้วาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิทางการเรียน ่ ่ ์ หมายถึง แบบทดสอบทีวดความรูความสามารถทางการเรียนด้าน ่ ั ้ เนือหา ด้านวิชาการและทักษะต่าง ๆ ของวิชาต่าง ๆ ้ 2.3 หลัก เกณฑ์ใ นการสร้า งแบบทดสอบวัด ผลสัม ฤทธิ์ ทางการเรีย น ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิทางการเรียน ผูวจย ์ ้ ิ ั ได้วเคราะห์จากนักการศึกษาหลายๆ ท่าน ทีกล่าวถึงหลัก ิ ่ เกณฑ์ไว้สอดคล้องกัน และได้ลำาดับเป็นขันตอนดังนี้ ้ 2.3.1 เนื้อหาหรือทักษะที่ครอบคลุมในแบบทดสอบนั้น จะต้องเป็นพฤติกรรมที่สามารถวัด ผลสัมฤทธิได้ ์
  • 7. 2.3.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ใช้แบบทดสอบวัดนั้น ถ้านำาไปเปรียบเทียบกันจะต้องให้ทุก คนมีโอกาสเรียนรูในสิง ้ ่ ต่าง ๆ เหล่านันได้ครอบคลุมและเท่าเทียมกัน ้ 2.3.3 วัดให้ตรงกับจุดประสงค์ การสร้างแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิทางการเรียน ควรจะวัดตามวัตถุประสงค์ทกอย่าง ์ ุ ของการสอน และจะต้องมันใจว่าได้วดสิงทีตองการจะวัดได้ ่ ั ่ ่ ้ จริง 2.3.4 การวั ด ผลสั ม ฤทธิ์ ท างการเรี ย น เป็ นการวั ด ความเจริ ญ งอกงามของนั กเรี ย น การเปลียนแปลงและ ่ ความก้าวหน้าไปสูวตถุประสงค์ทวางไว้ ดังนัน ครูควรจะทราบ ่ ั ี่ ้ ว่าก่อนเรียนนักเรียนมีความรู้ ความสามารถอย่างไร เมื่ อ เรียนเสร็จแล้วมีความรู้ แตกต่างจากเดิมหรือไม่ โดย การทดสอบก่อนเรียนและทดสอบหลังเรียน 2.3.5 การวัดผลเป็นการวัดผลทางอ้อม เป็นการยากทีจะ ่ ใช้ขอสอบแบบเขียนตอบวัดพฤติกรรมตรง ๆ ของบุคคลได้ สิง ้ ่ ทีวดได้ คือ การตอบสนองต่อข้อสอบ ดังนัน การเปลียน ่ ั ้ ่ วัตถุประสงค์ให้เป็นพฤติกรรมทีจะสอบ จะต้องทำาอย่าง ่ รอบคอบและถูกต้อง 2.3.6 การวัดการเรียนรู้ เป็นการยากทีจะวัดทุกสิงทุกอย่าง ่ ่ ทีสอนได้ภายในเวลาจำากัด สิงทีวดได้เป็นเพียงตัวแทนของ ่ ่ ่ ั พฤติกรรมทังหมดเท่านัน ดังนันต้องมันใจว่าสิงทีวดนันเป็น ้ ้ ้ ่ ่ ่ ั ้ ตัวแทนแท้จริงได้ 2.3.7 การวัดผลสัมฤทธิทางการเรียนเป็นเครืองช่วย ์ ่ พัฒนาการสอนของครู และเป็นเครืองช่วยในการเรียนของเด็ก ่ 2.3.8 ในการศึ กษาที่ สมบู รณ์ นั้ น สิ่ งสำา คั ญไม่ ได้ อยู่ ที่ การทดสอบแต่ เพี ยงอย่ างเดี ยวการทบทวนการสอนของครู ก็เป็นสิงสำาคัญยิง ่ ่ 2.3.9 การวัดผลสัมฤทธิทางการเรียน ควรจะเน้นในการ ์ วัดความสามารถในการใช้ความรูให้เป็นประโยชน์ หรือ ้ การนำาความรูไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ ๆ ้ 2.3.10 ควรใช้คำาถามให้สอดคล้องกับเนือหาวิชาและ ้ วัตถุประสงค์ทวด ี่ ั
  • 8. 2.3.11 ให้ขอสอบมีความเหมาะสมกับนักเรียนในด้าน ้ ต่าง ๆ เช่น ความยากง่ายพอเหมาะ มีเวลาพอสำาหรับ นักเรียนในการทำาข้อสอบ จากทีกล่าวข้างต้น สรุปได้วา ในการสร้างแบบทดสอบ ่ ่ ให้มคณภาพ วิธการสร้างแบบทดสอบที่ เป็ นคำา ถาม เพื่ อวั ด ี ุ ี เนื้ อหาและพฤติ กรรมที่ สอนไปแล้ วต้ องตั้ งคำา ถามที่ สามารถวั ด พฤติกรรมการเรียนการสอนได้อย่างครอบคลุม และตรงตามจุดประสงค์การเรียนรู้ 2.4 ชนิด ของแบบทดสอบวัด ผลสัม ฤทธิท างการเรีย น ์ ล้ วน สายยศ และอั งคณา สายยศ (2538 : 146) ได้ ให้ ความหมายของแบบทดสอบวั ดผลสั มฤทธิ์ ทางการเรี ย น ไว้ ว่ า เป็ นแบบทดสอบที่ วั ดความรู้ ของนั กเรี ยนหลั งจากที่ ได้ เรี ยนไปแล้ วซึ่ งมั กจะเป็ นข้ อคำา ถามให้ นั กเรี ยนตอบ ด้ วยกระดาษและดิ นสอกั บให้ นั กเรี ยนปฏิ บั ติ จริ ง ซึ่ งแบ่ง แบบทดสอบประเภทนี้เป็น 2 ประเภท คือ 2.4.1 แบบทดสอบของครู หมายถึง ชุดของข้อคำาถามที่ ครูเป็นผู้สร้างขึ้น เป็นข้อคำาถามที่เกี่ยวกับความรู้ที่นักเรียน ได้เรียนในห้องเรียน เป็นการทดสอบว่านักเรียนมีความ รู้มากแค่ไหนบกพร่องในส่วนใดจะได้สอนซ่อมเสริม หรือ เป็นการวัดเพื่อดูความพร้อมที่จะเรียนในเนื้อหาใหม่ ทั้งนี้ขึ้น อยู่กับความต้องการของครู 2.4.2 แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถึง แบบทดสอบที่ สร้างขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชา หรือจากครูที่ สอนวิชานั้น แต่ผ่านการทดลองหาคุณภาพหลายครั้ง จนมี คุณภาพดีจึงสร้างเกณฑ์ปกติของแบบทดสอบนั้น สามารถ ใช้หลักและเปรียบเทียบผลเพื่อประเมินค่าของการเรียนการ สอนในเรื่องใดๆ ก็ได้ แบบทดสอบมาตรฐานจะมีคู่มือดำาเนิน การสอบบอดถึงวิธีการ และยังมีมาตรฐานในด้านการแปล คะแนนด้วยทั้งแบบทดสอบของครูและแบบทดสอบมาตรฐาน จะมีวิธี การในการสร้ างข้ อคำา ถามที่ เหมื อนกั น เป็ นคำา ถาม ที่ วั ดเนื้ อหาและพฤติ กรรมในด้ านต่ างๆ ทั้ ง 4 ด้าน ดังนี้ 2.4.2.1 วัดด้านการนำาไปใช้ 2.4.2.2 วัดด้านการวิเคราะห์
  • 9. 2.4.2.3 วัดด้านการสังเคราะห์ 2.4.2.4 วัดด้านการประเมินค่า 3. วิช าคอมพิว เตอร์ ความหมายของวิช าคอมพิว เตอร์ ภาพ 1 อุป กรณ์ข องเครื่อ งคอมพิว เตอร์ 3.1 คอมพิว เตอร์ คือ อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ (electrinic device) ที่มนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการ กับข้อมูลที่อาจเป็นได้ ทั้งตัวเลข ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ที่ใช้ แทนความหมายในสิ่งต่าง ๆ โดยคุณสมบัติที่สำาคัญของ คอมพิวเตอร์คือการที่สามารถกำาหนดชุดคำาสั่งล่วงหน้า หรือ โปรแกรมได้ (programmable) นั่นคือคอมพิวเตอร์สามารถ ทำางานได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับชุดคำาสั่งที่เลือกมาใช้งาน ทำาให้สามารถนำาคอมพิวเตอร์ไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างกว้าง ขวาง เช่น ใช้ในการตรวจคลื่นความถี่ของหัวใจ การฝาก - ถอน เงินในธนาคาร การตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ เป็นต้น ข้อดีของ คอมพิวเตอร์ คือ เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำางานได้อย่างมีประ สิทธภาพ มีความถูกต้อง และมีความรวดเร็ว เครื่องคอมพิวเตอร์จะมีวงจรการทำางานพื้นฐาน 4 อย่าง (IPOS cycle) คือ 1 รับข้อมูล (Input) เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำาการรับ ข้อมูลจากหน่วยรับข้อมูล (input unit) เช่น คีบอร์ด หรือ เมาส์
  • 10. 2. ประมวลผล (Processing) เครื่องคอมพิวเตอร์จะ ทำาการประมวลผลกับข้อมูล เพื่อแปลงให้อยู่ในรูปอื่นตามที่ ต้องการ 3. แสดงผล (Output) เครื่องคอมพิวเตอร์จะให้ ผลลัพธ์จากการประมวลผลออกมายังหน่วยแสดงผลลัพธ์ (output unit) เช่น เครื่องพิมพ์ หรือจอภาพ 4. เก็บข้อมูล (Storage) เครื่องคอมพิวเตอร์จะ ทำาการเก็บผลลัพธ์จากการประมวลผลไว้ในหน่วยเก็บข้อมูล เพื่อให้สามารถนำามาใช้ใหม่ได้ในอนาคต 3.2 คอมพิว เตอร์ หมายถึง เครื่องคำานวณ อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำางานคำานวณผลและเปรียบเทียบค่าตาม ชุดคำาสั่งด้วยความ เร็วสูงอย่างต่อเนื่องและอัตโนมัติ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 ได้ให้คำาจำากัดความของ คอมพิวเตอร์ไว้ค่อนข้างกะทัดรัดว่า เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบ อัตโนมัติ ทำาหน้าที่เสมือนสมองกล ใช้สำาหรับแก้ปัญหาต่างๆ ทั้ง ที่ง่ายและซับซ้อน โดยวิธีทางคณิตศาสตร์ หรืออาจกล่าวได้ว่า เครื่องคอมพิวเตอร์หมายถึง เครื่องมือที่ช่วยในการคำานวณและ การประมวลผลข้อมูล จากคุณสมบัตินี้ของเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่ง ไม่ใช่เครื่องคิดเลข เครื่องคอมพิวเตอร์จึงประกอบด้วยคุณสมบัติ 3 ประการคือ 1. ความเร็ว (Speed) เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถ ทำางานได้ด้วยความเร็วสูงมาก ซึ่งหน่วยความเร็วของการทำางาน ของคอมพิวเตอร์วัดเป็น - มิลลิเซกัน (Millisecond) ซึ่งเปรียบเทียบ ความเร็วเท่ากับ 1/1000 วินาที หรือ ของวินาที - ไมโครเซกัน (Microsecond) ซึ่งเทียบความเร็ว เท่ากับ 1/1,000,000 วินาที หรือของวินาที - นาโนเซกัน (Nanosecond) ซึ่งเปรียบเทียบ ความเร็วเท่ากับ 1/1,000,000,000 วินาที หรือของ วินาที ความเร็วที่ต่างกันนี้ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์แต่ละยุค ซึ่งได้มีการพัฒนาให้เครื่อง คอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การใช้เครื่อง คอมพิวเตอร์ประมวลข้อมูล ได้เร็วในเวลาไม่เกิน 1 วินาที
  • 11. จะทำาให้คอมพิวเตอร์มีบทบาทในการนำามาเป็นเครื่องมือใช้ งานอย่างดียิ่ง 2. หน่วยความจำา (Memory) เครื่องคอมพิวเตอร์ ประกอบไปด้วยความจำา ซึ่งสามารถใช้บันทึกและ เก็บ ข้อมูลได้คราวละมากๆ และสามารถเก็บคำาสั่ง (Instructions) ต่อๆกันได้ที่เราเรียกว่าโปรแกรม แลนำามา ประมวลในคราวเดียวกัน ซึ่งเป็นปัจจัยทำาให้คอมพิวเตอร์ สามารถทำางานเก็บข้อมูลได้ครั้งละมากๆ เช่น การสำารวจ สำามะโนประชากร หรือรายงานผลการเลือกตั้งซึ่งทำาให้มี การประมวลได้รวดเร็วและถูกต้อง จากการที่หน่วยความ จำาสามารถบันทึกโปรแกรมและข้อมูลไว้ในเครื่องได้ ทำาให้ เครื่องคอมพิวเตอร์มีคุณสมบัติพิเศษ คือสามารถทำางานได้ อย่างอัตโนมัติ ในกรณีที่มีงานที่ต้องทำาซำ้าๆหรือบ่อยครั้ง ถ้าใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยในการทำา งานเหล่านั้นก็จะทำาให้ เกิดประสิทธิภาพสูงซึ่งจะได้ทั้งความรวดเร็ว ถูกต้องแม่นยำา และประหยัดเนื่องจากการเขียนคำาสั่งเพียงครั้งเดียวสามารถ ทำางาน ซำ้าๆได้คราวละจำานวนมากๆ 3. ความสามารถในการเปรียบเทียบ (Logical) ใน เครื่องคอมพิวเตอร์ประกอบไปด้วยหน่วยคำานวณและตรรกะ ซึ่งนอกจากจะสามารถใน การคำานวณแล้วยังสามารถใช้ใน การเปรียบเทียบซึ่งความสามารถนี้เองที่ทำาให้ เครื่อง คอมพิวเตอร์ต่างกับเครื่องคิดเลข และคุณสมบัตินี้ทีทำาให้นัก คอมพิวเตอร์สร้างโปรแกรมอัตโนมัติขึ้นใช้ อย่างกว้างขวาง เช่นการจัดเรียงข้อมูลจำาเป็นต้องใช้วิธีการเปรียบเทียบ การ ทำางานซำ้าๆตามเงื่อนไขที่กำาหนด หรือการใช้คอมพิวเตอร์ ในกิจการต่างๆซึ่งเกิดขึ้นมากมายในปัจจุบัน และการใช้ แรงงานจากคอมพิวเตอร์แทนแรงงานจากมนุษย์ทำาให้ รวดเร็วถูกต้อง สะดวกและแม่นยำา เป็นการผ่อนแรงมนุษย์ ได้เป็นอย่างมาก คือ 3.3 ยุค ของคอมพิว เตอร์ ยุคของคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งได้เป็น 5 ยุค ดังนี้ คอมพิว เตอร์ย ุค ที่ 1
  • 12. อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2488 ถึง พ.ศ. 2501 เป็น คอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสุญญากาศซึ่ง ใช้กำาลังไฟฟ้าสูง จึงมี ปัญหาเรื่องความร้อนและไส้หลอดขาดบ่อย ถึงแม้จะมีระบบระบาย ความร้อนที่ดีมาก การสั่งงานใช้ภาษาเครื่องซึ่งเป็นรหัส ตัวเลขที่ยุ่งยากซับซ้อน เครื่อง คอมพิวเตอร์ของยุคนี้มีขนาด ใหญ่โต เช่น มาร์ค วัน (MARK I), อีนิแอค (ENIAC), ยูนิแวค (UNIVAC) ภาพ 2 ยุค คอมพิว เตอร์ท ี่ 1 รุ่น มาร์ค วัน (MARK I) ภาพ 3 ยุค คอมพิว เตอร์ท ี่ 1 รุ่น อีน ิแ อค (ENIAC) ภาพ 4 ยุค คอมพิว เตอร์ท ี่ 1 รุ่น ยูน แ วค (UNIVAC) ิ
  • 13. คอมพิว เตอร์ย ุค ที่ 2 คอมพิวเตอร์ยุคที่สอง อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2506 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ ทรานซิสเตอร์ โดยมีแกนเฟอร์ ไรท์เป็นหน่วยความจำา มีอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำารองในรูปของ สื่อ บันทึกแม่เหล็ก เช่น จานแม่เหล็ก ส่วนทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีการ พัฒนาดีขึ้น โดย สามารถเขียนโปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงซึ่งเป็น ภาษาที่เขียนเป็นประโยคที่คนสามารถ เข้าใจได้ เช่น ภาษาฟอร์ แทน ภาษาโคบอล เป็นต้น ภาษาระดับสูงนี้ได้มีการพัฒนาและใช้ งานมาจนถึงปัจจุบัน คอมพิว เตอร์ย ุค ที่ 3 คอมพิวเตอร์ยุคที่สาม อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2507 ถึง พ.ศ. 2512 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) โดยวงจรรวมแต่ละตัวจะมีทรานซิสเตอร์บรรจุอยู่ ภายในมากมายทำาให้เครื่องคอมพิวเตอร์จะออกแบบซับซ้อน มากขึ้น และสามารถสร้างเป็น โปรแกรมย่อย ๆ ในการ กำาหนดชุดคำาสั่งต่าง ๆ ทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีระบบควบคุมที่มี ความสามารถสูงทั้งในรูประบบแบ่งเวลาการทำางานให้กับ งานหลาย ๆ อย่าง ภาพ 5 ยุค คอมพิว เตอร์ท ี่ 3 วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) คอมพิว เตอร์ย ุค ที่ 4 คอมพิวเตอร์ยุคที่สี่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 จนถึงปัจจุบัน เป็นยุคของคอมพิวเตอร์ที่ใช้ วงจรรวมความจุสูงมาก(Very Large Scale Integration : VLSI) เช่น ไมโครโพรเซสเซอร์ที่ บรรจุ ทรานซิสเตอร์นับหมื่นนับแสนตัว ทำาให้ขนาดเครื่องคอมพิวเตอร์มี ขนาดเล็กลง สามารถตั้งบนโต๊ะในสำานักงานหรือพกพาเหมือน
  • 14. กระเป๋าหิ้วไปในที่ต่าง ๆ ได้ ขณะเดียวกันระบบซอฟต์แวร์ก็ได้ พัฒนาขีดความสามารถสูงขึ้นมาก มีโปรแกรมสำาเร็จให้ เลือกใช้ กันมากทำาให้เกิดความสะดวกในการใช้งานอย่างกว้างขวาง ภาพ 6 ยุค คอมพิว เตอร์ท ี่ 4 คอมพิว เตอร์ย ุค ที่ 5 คอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า เป็นคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์พยายาม นำามาเพื่อช่วยในการ ตัดสินใจและแก้ปัญหาให้ดียิ่งขึ้น โดยจะมี การเก็บความรอบรู้ต่าง ๆ เข้าไว้ในเครื่อง สามารถเรียกค้น และดึงความรู้ที่สะสมไว้มาใช้งานให้เป็นประโยชน์ คอมพิวเตอร์ ยุคนี้เป็น ผลจากวิชาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่ ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในทวีปยุโรปกำาลังสนใจค้นคว้า และพัฒนา ทางด้านนี้กันอย่างจริงจัง ภาพ 7 ยุค คอมพิว เตอร์ท ี่ 5 4. Microsoft Office
  • 15. Microsoft Office คือ บุคคลที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ วิศวกรรมซอฟต์แวร์เช่นในการออกแบบ การวางแผนพัฒนา ซึ่ง ขอบเขตงานจะกว้างกว่าการเขียนโปรแกรม โดยอาจมีส่วนร่วม ในระดับทั้งโครงงาน แทนการดูแลส่วนของชิ้นงาน ซึ่งในกลุ่มนี้ อาจรวมถึงโปรแกรมเมอร์ฟรีแลนซ์ ภาพ 8 Microsoft Office 4.1 Microsoft office Excel 2010 โปรแกรม Microsoft Excel เป็นโปรแกรมประเภท สเปรดชีต (spreadsheet) หรือโปรแกรมตารางทำางานซึ่งใช้เก็บ ข้อมูลต่าง ๆ สูตรคำานวณ ลงบนแผ่นตารางงานคล้ายกับการเขียน ข้อมูลลงไปในสมุดที่มีการตีช่องตารางทั้งแนวนอนและแนวตั้ง ตารางแต่ละช่องจะมีชื่อกำากับไว้ในแนวตั้งหรือสดมภ์ของตาราง เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษเริ่มจาก A,B,C,...เรื่อยไปจนสุดขอบ ตารางทางขวา มีทั้งหมด 256 สดมภ์ (Column) แนวนอนมี หมายเลขกำากับเป็นบรรทัดที่ 1,2,3,...เรื่อยไปจนถึงบรรทัด สุดท้ายจำานวนบรรทัดจะต่างกันในแต่ละโปรแกรมในที่นี้เท่ากับ 65,536 แถว (Row) ช่องที่แนวตั้งและแนวนอนตัดกันเรียกว่า เซลล์ (Cell) ใช้บรรจุข้อมูล ข้อความ หรือสูตรคำานวณ ปัจจุบัน โปรแกรมตารางทำางาน มีความสามารถ 3 ด้าน คือ คำานวณ นำา เสนองานด้วยกราฟและแผนภูมิ จัดการฐานข้อมูล โปรแกรม ประเภทตารางทำางานมีผู้พัฒนาขึ้นมาหลายโปรแกรม เช่น ปี 2522 ใช้โปรแกรมตารางทำางานชื่อว่า วิสิแคล(VisiCalc) ต่อมา ปรับปรุงชื่อว่า ซุปเปอร์แคล (SuperCalc) ในปี 2525 ใน พัฒนาโปรแกรมชื่อว่า มัลติแพลน (Multiplan) ปี 2526 ได้ ปรับปรุงโปรแกรมชื่อว่าโลตัส 1-2-3 (Lotus 1-2-3) เป็นที่นิยม อย่างมาก
  • 16. ภาพ 10 สัญ ลัก ษณ์ข อง โปรแกรม Microsoft Office Excel 2010 คุณ สมบัต ิข องโปรแกรม Microsoft Excel 2010 4.1.1 ความสามารถด้านการคำานวณ Excel สามารถป้อน สูตรการคำานวณทางคณิตศาสตร์ เช่น บวก ลบ คูณ หาร เป็นต้น 4.1.2 ความสามารถด้านใช้ฟังก์ชั่น เช่นฟังก์ชั่นเกี่ยวกับ ตัวอักษร ตัวเลข วันที่ ฟังก์ชั่นเกี่ยวกับการเงิน หรือเกี่ยวกับการ ตัดสินใจ 4.1.3 ความสามารถในการสร้างกราฟ Excel สามารถนำา ข้อมูลที่ปอนลงในตารางมาสร้างเป็นกราฟได้ทันที ้ 4.1.4. ความสามารถในการตกแต่งตารางข้อมูล Excel สามารถตกแต่งตารางข้อมูลหรือกราฟ ข้อมูลด้วยภาพ สี และรูป แบบตัวอักษรต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสวยงามและทำาให้แยกแยะ ข้อมูลได้ง่ายขึ้น 4.1.5. ความสามารถในการเรียงลำาดับข้อมูล Excel สามารถคัดเลือกเฉพาะข้อมูลที่ต้องการมาวิเคราะห์ได้ 4.1.6. ความสามารถในการพิมพ์งานออกทางเครื่องพิมพ์ Excel สามารถพิมพ์งานทั้งข้อมูลและรูปภาพหรือกราฟออกทาง เครื่องพิมพ์ได้ทันที ซึ่งทำาให้ง่ายต่อการสร้างรายงาน 4.1.7. ความสามารถในการแปลงข้อมูลในตารางให้เป็น เว็บเพจ เพื่อนำาไปแสดงในโฮมเพจ 1. การจัด การเอกสารของคุณ ในมุม มอง Backstage
  • 17. ในมุมมอง Microsoft Office Backstage จะ สามารถทำาทุกอย่างกับแฟ้มได้โดยที่ไม่ ต้องเข้าไปทำาในแฟ้มนั้น นวัตกรรมล่าสุดในส่วนติดต่อผู้ใช้ Microsoft Office Fluent และ คุณลักษณะเสริมสำาหรับ Ribbon นั่นคือ มุมมอง Backstage ซึ่งเป็นที่ที่จะจัดการกับแฟ้ม ของเราได้ ไม่ว่า จะเป็นการสร้าง บันทึกเอกสารของเรา 2. แ ท็ บ แ ฟ้ ม จ ะ แ ท น ที่ ปุ่ ม Microsoft Office และเมนูแ ฟ้ม ที่ใ ช้ใ น Microsoft Office รุ่ น ก่ อ น หน้า นี้ โดยแท็บ แฟ้ม จะอยู่ที่มุมบนซ้ายของโปรแกรม Microsoft Office 2010 เมื่อคลิกที่แท็บแฟ้ม จะเห็นคำา สั่งพื้นฐานเช่นเดียวกับที่เห็นเมื่อคลิกที่ ปุ่ม Microsoft Office หรือเมนูแฟ้ม ใน Microsoft Office รุ่นก่อนหน้า ซึ่งจะพบกับคำาสั่ง เปิด บันทึก และ พิมพ์ เช่นเดียวกับคำาสั่ง ใหม่ของมุมมอง Backstage คือ แถบบันทึกและส่ง ซึ่งจะมี ตัวเลือกหลากหลายเพื่อส่งหรือใช้เอกสารร่วมกัน 3. การค้น หาสิ่ง ที่ต ้อ งการในเอกสารขนาด ยาวด้ว ย บานหน้า ต่า งนำา ทางเอกสาร และ การ ค้น หาแบบใหม่ ใน Microsoft Excel 2010 เราสามารถค้นหาสิ่งที่ ต้องการในเอกสารที่มีความยาวมากได้อย่างรวดเร็ว ซึ่ง สามารถจัดระเบียบเอกสารของเราใหม่ได้ง่ายๆ ด้วยการลาก แล้วปล่อยส่วนหัว แทนการคัดลอกและวาง และสามารถ ค้นหาเนื้อหาได้โดยการใช้การค้นหาเพิ่มเติม ดังนั้น เราจึง ไม่จำาเป็นต้องทราบแน่นอนถึงสิ่งที่กำาลังค้นหาในการค้นหา นั้นๆ 4. ก า ร ป รั บ แ ต่ ง ข้ อ ค ว า ม ด้ ว ย คุ ณ ลั ก ษ ณ ะ OpenType Microsoft Excel 2010 สนับสนุนคุณลักษณะการ จัดรูปแบบข้อความขั้นสูง ซึ่งรวมถึงการตั้งค่าตัวอักษรควบ
  • 18. แบบต่างๆ และตัวเลือกของชุดอักษรดัดแปลงและรูปแบบ ตัวเลข ซึ่งสามารถใช้คุณลักษณะใหม่เหล่านี้กับแบบอักษร OpenType มากมายเพื่อการพิมพ์ที่สวยงามขึ้นไปอีกระดับ 5. การเพิ่ม ลัก ษณะพิเ ศษแนวศิล ป์ใ ห้ก ับ รูป ภาพ Microsoft Excel 2010 สามารถนำาลักษณะพิเศษ “ แนวศิลป์ ” ที่ซับซ้อนมาใช้กับรูปภาพในเอกสาร เพื่อทำาให้ รูปภาพดูเหมือนภาพร่าง ภาพวาด หรือภาพระบายสีได้ ซึ่ง เป็นวิธีง่ายๆในการปรับรูปภาพต่างๆโดยที่ไม่ต้องใช้ โปรแกรมแก้ไขรูปภาพอื่นๆเพิ่มเติม ทำาให้การจัดการ รูปภาพต่างๆในเอกสารสะดวกและสวยงามยิ่งขึ้น 6. การเอาพื้น หลัง ของรูป ภาพออกโดย อัต โนมัต ิ ตัวเลือกการแก้ไขรูปภาพขั้นสูงอีกอย่างหนึ่งใน โปรแกรม Microsoft Excel 2010 ก็คือ ความสามารถใน การเอาส่วนของภาพที่ไม่ต้องการ เช่น พื้นหลังออกโดย อัตโนมัติ เพื่อเน้นหรือทำาให้ภาพเด่นขึ้น หรือ นำาราย ละเอียดที่เบี่ยงเบนความสนใจออกไปจาก รูปภาพที่ใส่ลงในเอ การ 7. การแทรกภาพหน้า จอ โปรแกรม Microsoft Excel 2010 สามารถเพิ่ม ภาพจากหน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้เอง โดยจะมีคำาสั่งที่ ใช้ในการจับภาพหน้าจอและรวมภาพลงในหน้าเอกสารของ โปรแกรม และ หลังจากที่เพิ่มภาพหน้าจอแล้ว ก็ยัง สามารถใช้เครื่องมือบนแท็บ เครื่องมือรูปภาพ ในการแก้ไข และปรับรูปภาพได้ 8. เค้า โครงภาพกราฟิก SmartArt ใหม่ เราสามารถใช้เค้าโครงรูปภาพกราฟิก SmartArt แบบใหม่ เพื่อเล่าเรื่องราวได้ด้วย รูปถ่ายหรือ รูปอื่นๆ ได้ เพียง แค่แทรกรูปภาพลงไปในรูปร่าง SmartArt ของเค้าโครง ไดอะแกรมรูปภาพ และ รูปร่างแต่ละรูปก็สามารถใส่คำา อธิบายต่างๆลงไปในภาพนั้นได้ อีกด้วยยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากมี รูปภาพอยู่ในเอกสารอยู่แล้ว ก็สามารถแปลงรูปภาพให้เป็น
  • 19. กราฟิก SmartArt ได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับข้อความใน เอกสารนั่นเอง 5. สื่อ การเรีย นการสอน ความหมายของสื่อ การสอนเพื่อ การเรีย นรู้ สื่อ (Medium,pl.medie) เป็นภาษาละตินว่า "Medium" แปลว่า "ระหว่าง" "Between" หมายถึงสิ่งใด ก็ตามที่บรรจุข้อมูลสารสนเทศหรือเป็นตัวกลางให้ข้อมูลส่งผ่าน จากผู้ส่งหรือแหล่งส่งไปยังผู้รับเพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับสามารถติดต่อ สื่อสารกันได้ตามจุดประสงค์ ในการศึกษาเล่าเรียน เมื่อผู้สอนนำาสื่อมาใช้ประกอบการ สอนจะเรียกว่า "สื่อการสอน" และนำามาให้ผู้เล่าเรียนใช้เรียกว่า "สื่อการเรียน" (Learning media) โดยเรียกรวมกันว่า "สือ ่ การเรียนการสอน" หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "สื่อการสอน" หมายถึง สิ่งใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นเทปบันทึกเสียง สไลด์ วิทยุ โทรทัศน์ วีดีทัศน์ แผนภูมิ รูปภาพ ฯลฯ ซื่งเป็นวัสดุบรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับ การเรียนการสอน หรือเป็นอุปกรณ์เพื่อถ่ายทอดจากเนื้อหาวัสดุ สิ่งเหล่านี้เป็นวัสดุอุปกรณ์ทางกายภาพที่นำามาใช้ในเทคโนโลยี การศึกษา เป็นสิ่งที่ใช้เป็นเครื่องมือหรือช่องทางสำาหรับทำาให้การ สอนของผู้สอนส่งไปถึงผู้เรียน ทำาให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียน รู้ตามวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายที่ผู้สอน วางไว้ได้เป็นอย่างดี นักวิชาการในวงการเทคโนโลยีทางการศึกษา โสต ทัศนศึกษา และวงการการศึกษา ได้ให้คำาจำากัดความของ “สือการ ่ สอน” ไว้อย่างหลากหลาย เช่น ชอร์ส กล่าวว่า เครื่องมือที่ช่วยสื่อความหมายจัดขึ้นโดย ครูและนักเรียน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ เครื่องมือการสอนทุกชนิด จัดเป็นสื่อการสอน เช่น หนังสือในห้องสมุด โสตทัศนวัสดุต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ สไลด์ ฟิล์มสตริป รูปภาพ แผนที่ ของจริง และทรัพยากรจากแหล่งชุมชน บราวน์ และคณะ กล่าวว่า จำาพวกอุปกรณ์ทั้งหลายที่ สามารถช่วยเสนอความรู้ให้แก่ผู้เรียนจนเกิดผลการ เรียนที่ดี ทั้งนี้รวมถึง กิจกรรมต่าง ๆ ที่ไม่เฉพาะแต่สิ่งที่เป็นวัตถุหรือเครื่อง มือเท่านั้น เช่น การศึกษานอกสถานที่ การแสดง บทบาทนาฏการ
  • 20. การสาธิต การทดลอง ตลอดจนการสัมภาษณ์และการสำารวจ เป็นต้น เปรื่อง กุมุท กล่าวว่า สื่อการสอน หมายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ใช้ เป็นเครื่องมือหรือช่องทางสำาหรับทำาให้การสอนของครูถึงผู้เรียน และทำา ให้ผู้เรียนเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายที่ครูวาง ไว้ได้เป็น อย่างดี ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ให้ความหมาย สือการสอนว่า วัสดุ ่ อุปกรณ์และวิธีการประกอบการสอนเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการสื่อ ความหมาย ที่ผสอนประสงค์จะส่ง หรือถ่ายทอดไปยังผู้เรียนได้ ู้ อย่างมีประสิทธิภาพนอกจากนี้ ยังมีคำาอื่น ๆ ที่มีความหมายใกล้ เคียงกับสื่อการสอน เป็นต้นว่า สื่อการเรียน หมายถึง เครื่องมือ ตลอดจนเทคนิคต่าง ๆ ที่ จะมาสนับสนุนการเรียนการสอน เร้าความสนใจผู้เรียนรู้ให้เกิด การเรียนรู้ เกิดความเข้าใจดีขึ้น อย่างรวดเร็ว สื่อการศึกษา คือ ระบบการนำาวัสดุ และวิธีการมาเป็น ตัวกลางในการให้การศึกษาความรู้แก่ผู้เรียนโดยทั่วไป โสตทัศนูปกรณ์ หมายถึง วัสดุทั้งหลายที่นำามาใช้ใน ห้องเรียน หรือนำามาประกอบการสอนใด ๆ ก็ตาม เพื่อช่วยให้การ เขียน การพูด การอภิปรายนั้นเข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น 5.1 คุณ ค่า ของสื่อ เพื่อ การเรีย นรู้ สื่อหรือตัวกลางในการถ่ายทอดความรู้ระหว่างผู้สอน กับผู้เรียน มีคุณค่าต่อการ เรียนการสอน ทั้งกับผู้สอนและผู้ เรียนเป็นอย่างมาก กล่าวคือ ในส่วนของผู้สอนสื่อ ช่วย ให้ บรรยากาศในการสอน น่าสนใจยิ่งขึ้น ช่วยแบ่งเบาภาระของครู ในการเตรียม เนื้อหา เพราะอาจให้นักเรียนศึกษาได้จาก สื่อ และยังช่วยให้ผู้สอนคิดค้นเทคนิคใหม่ๆที่ ช่วยในการเรียนรู้ ให้น่าสนใจยิ่งขึ้น ในส่วนของผู้เรียน สื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนที่ ยุ่งยากซับซ้อนได้ง่ายขึ้นใน เวลาอัน สั้นเกิดความคิดรวบยอดได้ ถูกต้อง สามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนได้ สะดวกช่วยให้ ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าด้วย ตนเอง กระตุ้นความสนใจในการเรียน และสนอง ความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียนได้ดี 5.2 ความสำา คัญ ของสื่อ การสอนเพื่อ การเรีย นรู้
  • 21. ไชยยศ เรืองสุวรรณ กล่าวว่า ปัญหาอย่างหนึ่ง ในการสอนก็คือ แนวทางการ ตัดสินใจจัดดำาเนินการให้ผู้ เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมขึ้น ตามจุดมุ่งหมาย ซึ่งการ สอนโดยทั่วไป ครูมักมีบทบาทในการจัดประสบการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านเนื้อหาสาระ หรือทักษะและมีบทบาทในการ จัดประสบการณ์เพื่อการเรียนการสอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตัว ผู้เรียน แต่ละคนด้วยว่า ผู้เรียนมีความต้องการอย่างไร ดังนั้นการจัดการ เรียนการสอนใน รูปแบบนี้ การจัดสภาพแวดล้อมที่ดีเพื่อการเรียน การสอนจึงมีความสำาคัญมาก ทั้งนี้เพื่อ สร้างบรรยากาศและแรง จูงใจผู้เรียนให้เกิดความอยากเรียนรู้และ เพื่อเป็นแหล่งศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ของผู้เรียนได้ตามจุดมุ่งหมาย สภาพ แวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ทั้งมวลที่จัด ขึ้นมาเพื่อการเรียนการ สอนนั้น ก็คือ การเรียนการสอนนั่นเอง 5.3 เอ็ด การ์ เดล ได้ก ล่า วสรุป ถึง ความสำา คัญ ของสื่อ การสอน ดัง นี้ 5.3.1 สื่อการสอน ช่วยสร้างรากฐานที่เป็นรูปธรรมขึ้น ในความคิดของ ผู้เรียน การฟังเพียงอย่างเดียวนั้น ผู้เรียนจะต้อง ใช้จินตนาการเข้าช่วยด้วย เพื่อให้สิ่งที่เป็นนามธรรมเกิดเป็นรูป ธรรมขึ้นในความคิด แต่สำาหรับสิ่งที่ยุ่งยากซับซ้อน ผู้เรียน ย่อมไม่มีความสามารถจะทำาได้ การใช้อุปกรณ์เข้าช่วยจะทำาให้ผู้ เรียนมีความเข้าใจ และสร้างรูปธรรมขึ้นในใจ ได้ 5.3.2 สือการสอน ช่วยเร้าความสนใจของผู้ ่ เรียน เพราะผู้เรียนสามารถใช้ ประสาทสัมผัสได้ด้วยตา หู และ การเคลื่อนไหวจับต้องได้แทนการฟังหรือดูเพียงอย่าง เดียว 5.3.3 เป็นรากฐานในการพัฒนาการเรียนรู้และ ช่วยความทรงจำาอย่างถาวร ผู้เรียนจะสามารถนำาประสบการณ์ เดิมไปสัมพันธ์กับประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้ เมื่อมีพื้นฐาน ประสบการณ์เดิมที่ดีอยู่แล้ว 5.3.4 ช่วยให้ผู้เรียนได้มีพัฒนาการทางความ คิด ซึ่งต่อเนื่องเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันทำาให้เห็นความสัมพันธ์ เกี่ยวข้องกับ สิ่งต่าง ๆ เช่น เวลา สถานที่ วัฏจักรของ สิ่งมีชีวิต 5.3.5 ช่วยเพิ่มทักษะในการอ่านและเสริมสร้าง ความเข้าใจในความหมาย ของคำาใหม่ ๆ ให้มากขึ้น ผู้เรียนที่
  • 22. อ่านหนังสือช้าก็จะสามารถอ่านได้ทันพวกที่อ่านเร็วได้ เพราะ ได้ยินเสียงและได้เห็นภาพประกอบกันเปรื่อง กุมุท ให้ความสำาคัญ ของสือการสอน ดังนี้ ่ 1. ช่วยให้คุณภาพการเรียนรู้ดีขึ้น เพราะมี ความจริงจังและมี ความหมาย ชัดเจนต่อผู้เรียน 2. ช่วยให้นักเรียนรู้ได้ในปริมาณมากขึ้นใน เวลาที่กำาหนดไว้จำานวนหนึ่ง 3. ช่วยให้ผู้เรียนสนใจและมีส่วนร่วมอย่างแข็ง ขันในกระบวนการเรียน การสอน 4. ช่วยให้ผู้เรียนจำา ประทับความรู้สึก และทำา อะไรเป็นเร็วขึ้นและดีขึ้น 5. ช่วยส่งเสริมการคิดและการแก้ปัญหาใน ขบวนการเรียนรู้ของนักเรียน 6. ช่วยให้สามารถเรียนรู้ในสิ่งที่เรียนได้ลำาบาก โดยการช่วยแก้ปัญหา หรือข้อจำากัดต่าง ๆ ได้ดังนี้ - ทำาสิ่งที่ซับซ้อนให้ง่ายขึ้น - ทำานามธรรมให้มีรูปธรรมขึ้น ทำาสิ่งที่เคลื่อนไหวเร็วให้ดูช้าลง ทำาสิ่งที่ใหญ่มากให้ย่อยขนาดลง ทำาสิ่งที่เล็กมากให้ขยายขนาดขึ้น - นำาอดีตมาศึกษาได้ - นำาสิ่งที่อยู่ไกลหรือลี้ลับมาศึกษาได้ 7. ช่วยให้นักเรียนเรียนสำาเร็จง่ายขึ้นและสอบ ได้มากขึ้น เมื่อทราบ ความสำาคัญของสื่อการสอนดัง กล่าวข้างต้นแล้ว สิ่งที่ควรพิจารณาอีกประการก็คือ ประเภท หรือชนิดของสื่อการสอน ดังจะกล่าวต่อไปดังนี้ ประเภทของสื่อ การสอน เอ็ดการ์ เดล จำาแนกประสบการณ์ทางการศึกษา เรียงลำาดับจากประสบการณ์ที่ เป็นรูปธรรมไปสู่ประสบการณ์ที่ เป็นนามธรรม โดยยึดหลักว่า คนเราสามารถเข้าใจสิ่งที่ เป็นรูป ธรรมได้ดีและเร็วกว่าสิ่งที่เป็นนามธรรม ซึ่งเรียกว่า "กรวยแห่ง ประสบการณ์" (Cone of Experiences) ซึ่งมีทั้งหมด 10 ขั้น
  • 23. 1. สื่อ เพื่อ พัฒ นาสติป ัญ ญาและความคิด ริเ ริ่ม สร้า งสรรค์ อาจแบ่ง ได้ด ัง นี้ 1.1 สื่อ เพื่อ ฝึก การรับ รู้ 1.1.1 สือฝึกการรับรู้เกี่ยว ่ กับขนาด ได้แก่ การจัดหาวัสดุสิ่งของ กล่อง บล็อก วางให้ เด็กจับต้อง วางซ้อนกัน นำาของสองสิ่ง สามสิ่งมาเปรียบเทียบ ขนาด เล็กใหญ่ เล็กที่สุด ใหญ่ที่สด ุ 1.1.2 สือฝึกการรับรู้เกี่ยว ่ กับรูปร่าง ครูให้เด็กเล่นภาพตัดต่อ ลองวาง ชิ้นส่วนให้ พอดีกับช่อง เช่น ช่องวงกลม เด็กต้องหยิบรูปวงกลมวางลงใน ช่อง สี่เหลี่ยม เด็กต้องหยิบรูปสี่เหลี่ยมวางได้ถูกต้อง นอกจากนี้ให้เด็กแยกรูปร่าง สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม วงรี ได้ 1.1.3 สือฝึกการรับรู้เกี่ยว ่ กับเรื่องสี แนะนำาให้เด็กรู้จักสี เล่นสิ่งของ เครื่องใช้ บล็อก แผ่นกระดาษรูปทรงเรขาคณิตที่มีสีต่าง ๆ โดยเฉพาะเด็ก ชอบสี สดใส ให้เด็กแยกสิ่งของ วัตถุ รูปภาพ ที่มีสี เหมือนกัน 1.1.4 สือฝึกการรับรู้เกี่ยว ่ กับเนื้อผิวของวัตถุ ให้เด็กได้สำารวจสิ่งของ ใกล้ตัว ได้รับ ได้สัมผัสสิ่งของที่มีความอ่อน นุ่ม แข็ง หยาบ และบอกได้ว่าของ แต่ ละชิ้น มีลักษณะอย่างไร เช่น กระดาษทราบหยาบ สำาลีนุ่ม ก้อนหินแข็ง ฯลฯ 1.2 สือเพื่อฝึกความคิดรวบยอด อาจใช้ ่ วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการจัดสิ่งแวดล้อม เช่น เรียนรู้เกี่ยวกับ ชีวิตของสัตว์ ครูควรจัดสวนสัตว์จำาลอง เล่านิทาน เชิดหุ่น เกี่ยวกับสัตว์ สนทนาซักถามเกี่ยวกับสัตว์ที่เด็กรู้จัก เปรียบเทียบลักษณะของสัตว์ แต่ละชนิด วาด ปั้น ฉีก แปะ รูปร่างสัตว์ การจัดกิจกรรมความคิดรวบยอดเกี่ยวกับ อาชีพ เกี่ยวกับสิ่งของ เครื่องใช้ และบุคคลในสังคม ครู ควรใช้สื่อสถานการณจำาลอง เสริมให้เด็กเข้าใจได้ถูกต้อง รวดเร็วขึ้น การรู้จักตัวเลขมีความคิดรวบยอดทาง คณิตศาสตร์ ด้วยการใช้วิธีการให้ เด็กค้นพบด้วยตนเอง จัด
  • 24. วัสดุอุปกรณ์ เช่น กระดุมสีต่าง ๆ ฝาเบียร์ ดอกไม้ ใบไม้ ขวด บล็อก ให้เด็กจับต้อง นับ สอนให้เข้าใจเลขคี่เลขคู่ 2. สื่อ เพื่อ พัฒ นาทางด้า นภาษา การใช้สื่อพัฒนาการทางภาษาจะต้องคำานึงถึง พัฒนาการที่สำาคัญของเด็กเล็กและ ต้องศึกษาว่าการรับฟัง และการเข้าใจภาษาของเด็กว่าอยู่ระดับที่สามารถฟังและ แยก เสียง ต่าง ๆ ได้ เช่น เสียงสัตว์ เสียงดนตรีบางชนิด ฟังประโยค และข้อความสั้นและยาว พอสมควร เข้าใจคำาจำากัดความ เข้าใจหน้าที่ของสิ่งต่าง ๆ แยกภาพตามหน้าที่ได้ เช่น สิ่งที่ ใช้ กินนอน หรือสิ่งที่อยู่ในบ้าน ในครัว เปรียบเทียบภาพเหมือนไม่ เหมือนได้ อ่านรูปภาพ จำาชื่อตัวเองและเพื่อนได้ เป็นต้น ดัง นั้นครูเด็กเล็กจะต้องใช้สื่อประเภทวิธีการ สือประเภท ่ วัสดุ อุปกรณ์มาจัดกิจกรรมเสริมความพร้อมทางด้านภาษาให้เด็กได้ พัฒนาตามเกณฑ์ ดังกล่าวข้างต้น สื่อที่ครูควรจัดเพื่อเสริม พัฒนาการทางภาษา ได้แก่ หนังสือภาพ แผ่นภาพ ภาพประกอบ คำาคล้องจอง หุนมือ หุนนิ้วมือ หุ่นเชิด หุนถุงกระดาษ เกมเลียน ่ ่ ่ เสียงสัตว์ เกม สัมพันธ์ภาพกับคำา เกมเรียนรู้ด้านการฟัง เกม ทายเรื่อง เกมจับคู่ภาพเหมือนและแยกภาพ ต่าง ๆ การเล่นนิ้ว มือประกอบคำาร้องหรือเรื่องราว วิธีการเล่นบทบาทสมมุติ มุมบล็อค ต่างๆ ให้เล่นเป็นกลุ่มในมุมบ้าน เทป วิทยุ เครื่องเสียง 3. สื่อ เพื่อ พัฒ นาความพร้อ มกล้า มเนื้อ เล็ก ใหญ่ และประสาทสัมพันธ์ ครูจะต้องศึกษา พัฒนาเกี่ยวกับการทรงตัว ความ มั่นคงของการใช้กล้ามเนื้อตาม วัย เพื่อจะเลือกใช้สื่อได้เ หมาะ สื่อประเภทวัสดุอุปกรณ์และวิธีการที่ครูสามารถเลือก ใช้ ได้มีดังนี้ ลูกบอล ดนตรี กลอง ฉิ่ง ฉาบ กรับ ตีขณะ ที่ให้เด็กยืนทรงตัว เพื่อให้เกิด ความว่องไวในการบังคับ กล้ามเนื้อ ลูกบอล ตุ๊กตาผ้า ลูกตุ้มทำาด้วยฟางข้าว หรือผ้าสำาหรับแข่งขว้างไกล ๆ รองเท้า เชือกผูกรองเท้า กระดุม ซิป สำาหรับฝึกการบังคับกล้ามเนื้อมือ และฝึกสายตา แผ่นภาพ รูปภาพ สิ่งของ นำามาแขวนจัด เรียงกันให้เด็กมองกรอกสายตา ตามภาพหรือของที่วางไว้
  • 25. ขีดเส้นใต้เติมตามเส้นคดเคี้ยว แผ่นภาพ ขีดเป็นช่องสำาหรับใช้นิ้วลากตาม เส้นทางที่ครูกำาหนด ดิน เหนียวให้เด็กใช้ปั้นเป็นรูปต่าง ๆ อุปกรณ์วาดภาพ สีไม้ สี เทียน สีดินสอ สีจากพืช ฉีกกระดาษปะเป็นรูปต่าง ๆ ขยำากระดาษ หนังสือพิมพ์ ร้อยดอกไม้ เล่น ตัดเมล็ดพืช เป่าสีด้วย หลอดกาแฟ ต่อภาพแบบโยนโบว์ลิ่ง ตวงทราย กรอกนำ้าใส่ ขวด เรียงลูกคิดลงหลัก วางแผ่นรูปทรงลงในช่องที่กำาหนด เดินกระดานแผ่นเดียว เล่นภาพตัดต่อ เล่นเครื่องเล่น สนาม ยิงปืนก้านกล้วย ร้อยเชือกรอบแผ่นภาพ ฝึก ประสาท สัมพันธ์ เล่นเกมจำาแนกหมวดหมู่ สือดังกล่าวนี้มักจะถูกเลือกมาใช้ตามความ ่ เหมาะสม ซึ่งอาจมีการใช้ครั้ง ละชนิดหรือใช้พร้อมกัน เกินกว่าหนึ่งชนิด หรือใช้ตามลำาดับก่อนหลังก็ได้ 4. แนวโน้ม การใช้ส ื่อ เพื่อ การเรีย นรู้ การพิจารณาแนวโน้มการใช้สื่อเพื่อการเรียนรู้จะต้อง ดูแนวโน้มของการ จัด การศึกษาในอนาคตควบคู่กันไปด้วย จะ เห็นได้ว่าแนวโน้มของการจัดการศึกษาไทย เปลี่ยนแปลงไปตาม กระแสการเปลี่ยน แปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และความก้าวหน้า ด้าน เทคโนโลยีโดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศและ โทรคมนาคมรวมถึง การเปลี่ยนแปลง แนวคิดและปรัชญาการ ศึกษาที่มุ่งให้การศึกษาต่อเนื่องตลอด ชีวิตกับคนทุกคนและแนว ทางการจัดการศึกษาที่ถือว่าผู้เรียนสำาคัญที่สุด แนวโน้มการ ใช้สื่อการเรียนรู้ในอนาคต น่าจะมีลักษณะดังนี้ - เป็นสื่อที่เอื้อประโยชน์ให้กับผู้เรียนที่มี ความแตกต่างหลากหลายทั้งใน ด้าน เวลาและสถานที่ ความสนใจ ความพร้อม ฯลฯ ให้มีสิทธิเสมอภาค และมี โอ กาศในการเรียนรู้ เท่าเทียมกัน เช่น สื่อโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต การสอนทางไกล - เป็นสื่อที่สนองจุดประสงค์ในการฝึก ทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้แก้ไขปัญหา เช่น สถานการณ์ จำาลอง เกมชุดการเรียน ฯลฯ
  • 26. - เป็นสื่อจากแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตใน ชุมชน เช่นห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ สวน สาธารณะเป็นต้น - สือที่อาศัยคลื่นความถี่เป็นตัวนำา หรือสื่อ ่ ผ่านระบบเครือข่าย เช่น วิทยุ โทรทัศน์ โทรคมนาคม จะเข้ามามีบทบาทในการจัดการเรียนรู้ ในระบบดรงเรียน นอกระบบโรงเรียน และการศึกษาตามอัธยาศัยอย่างจิงจัง และมีประสิทธิภาพ - สือที่จัดอยู่ในลักษณะของประสบการณ์ ่ สำาเร็จรูป เพื่อสอนเนื้อหาเรื่อง ใดเรื่องหนึ่ง ที่จดกิจกรรม ั ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนผ่านสื่อ จน ประสบผลสำาเร็จ จะได้รับความนิยมมากขึ้น อาทิ เช่น บท เรียนคอมพิวเตอร์ช่วย สอน (CAI) ชุดการเรียน ( model) เป็นต้น 6. หลัก และทฤษฎีท างจิต วิท ยาที่เ กี่ย วกับ การเรีย นรู้ข อง มนุษ ย์ ทฤษฎีการเรียนรู้เป็นเรื่องที่สำาคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ครูจะต้อง ศึกษาก่อนการ เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ ทฤษฎีการเรียนรู้ต่าง ๆ จะทำาให้ครูเข้าใจกระบวนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งจะส่งผลโดยตรง กับ ผู้เรียน ในการจัดการเรียนรู้ถ้าครูศึกษาทฤษฎีการเรียนรู้ก่อน แล้วนำาแนวคิดจากทฤษฎีไป สู่การปฏิบัติคือการจัดการเรียนรู้ จะ ทำาให้การจัดการเรียนรู้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะดี กว่าการที่เราจัดการเรียนรู้โดยไม่มีทฤษฎีรองรับเพราะทฤษฎี ต่างๆ นั้นได้มีการค้นคว้าทดลองจนเป็นที่ยอมรับ พูดง่าย ๆ ก็คือ ได้ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว สามารถนำาไปประยุกต์ใช้ได้เลย ทิศนา แขมมณี (2550 : 40 - 107) ได้สรุปแนวคิดและแนวปฏิบัติของ ทฤษฎีการเรียนรู้ไว้ตั้งแต่แนวคิดเกี่ยวกับ การกระทำาหรือ พฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งมี 3 แนวคิด แนวที่ 1 เชื่อว่าพฤติกรรม หรือการกระทำาของมนุษย์ เกิดขึ้นจากแรงกระตุ้นภายในตนเอง แนวที่ 2 เชื่อว่าพฤติกรรมหรือการกระทำาของมนุษย์ เกิดขึ้นจาก อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม มิใช่มาจากแรงกระตุ้นภายใน แนวที่ 3 เชื่อว่าพฤติกรรมหรือการกระทำาของมนุษย์ เกิดขึ้นทั้งจากสิ่ง แวดล้อมและจากแรงกระตุ้นภายในตัวบุคคล ทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้ในช่วงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 มี
  • 27. 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่เน้นการฝึกจิตหรือสมอง กลุ่มที่เน้นการพัฒนาไป ตามธรรมชาติและกลุ่มที่เน้นการรับรู้และเชื่อมโยง ความคิดทฤษฎี เกี่ยวกับการเรียนรู้ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 มี 4 กลุ่มคือกลุ่ม พฤติกรรมนิยม กลุ่มพุทธินิยม กลุ่มมนุษยนิยมและกลุ่มผสมผสาน นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีการเรียนรู้และการสอนร่วมสมัย เช่น ทฤษฎี กระบวนการทางสมองและการประมวลข้อมูล ทฤษฎีพหุปัญญา ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วย ตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงานและทฤษฎีการเรียนรู้ แบบร่วม มือ เป็นต้น ทิศนา แขมมณี (2550 : 45 - 50) ได้กล่าวถึงทฤษฎีเกี่ยว กับการเรียนรู้ในช่วงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 และหลักการจัดการ ศึกษาและการสอนไว้ดังนี้ นัก คิดกลุ่มนี้มีความเชื่อว่าจิตหรือสมองหรือสติปัญญา (mind) สามารถพัฒนาให้ปราดเปรื่องได้โดยการฝึก เช่นเดียวกับ กล้ามเนื้อซึ่งจะแข็งแรงได้ด้วยการฝึกออกกำาลังกาย ในการฝึกจิต หรือสมองนี้ทำาได้โดยการให้บุคคลเรียนรู้เรื่อง ที่ยาก ๆ ยิ่งยาก มากเท่าไรจิตก็จะได้รับการฝึกให้แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น นักคิดกลุ่ม นี้มีแนวคิดแยกออกเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ (Bigge,1964 : 19 – 30 อ้างถึงในทิศนา แขมมณี 2550 : 45 – 48) 1.1 กลุ่มที่เชื่อในพระเจ้า (Theistic Mental Discipline) นักคิดที่สำาคัญของกลุ่มนี้ คือ เซนต์ออกุสติน (St. Augustine) จอห์น คาลวิน (John Calvin) และคริสเตียน โวล์ฟ (Christian Wolff) นักคิดกลุ่มนี้มีความเชื่อ ดังนี้ ความเชื่อ เกี่ย วกับ การเรีย นรู้ 1.1.1 มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความชั่วและการก ระทำาใด ๆ ของมนุษย์เกิด จากแรงกระตุ้นภายในตัว มนุษย์เอง (bad-active) 1.1.2 มนุษย์พร้อที่จะทำาความชั่วหากไม่ได้รับ การสั่งสอนอบรม 1.1.3 สมองของมนุษย์นั้นแบ่งออกเป็นส่วน ๆ (faculties) ซึ่งหากได้รับ การฝึกอย่างเหมาะสมจะช่วย ทำาให้เกิดความเข้มแข็ง สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ 1.1.4 การฝึกสมองหรือฝึกระเบียบวินัยของจิต เป็นสิ่งจำาเป็นต่อการ พัฒนาให้มนุษย์เป็นคนดีและ ฉลาด