SlideShare a Scribd company logo
1 of 36
Download to read offline
บทที่ ๒
แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการปรับพฤติกรรมตามหลักของแบนดูร่า
เมื่อแบนดูร่า (Bandura) เป็นนักจิตวิทยากลุ่มทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมที่ได้รับการ
ยอมรับมากที่สุด ดังนั้นการศึกษาเรื่องแนวทัศนะเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์และแนวทางพัฒนา
พฤติกรรมมนุษย์ตามหลักของแบนดูร่าจึงน่าสนใจ แต่การจะศึกษาทั้งสองประเด็นดังกล่าว
จาเป็นต้องเข้าใจเรื่องความหมายของพฤติกรรมและประเภทของพฤติกรรมในจิตวิทยาสมัยใหม่
เป็นพื้นฐานก่อน
๒.๑ ความหมายและประเภทของพฤติกรรมในจิตวิทยา
๒.๑.๑ ความหมายของพฤติกรรมในจิตวิทยา
ความหมายของพฤติกรรมสามารถศึกษาจากคาอธิบายของนักวิชาการต่างๆ โดยเริ่มจาก
คาอธิบายของ เรย์คอร์ซีนี (Ray Corsini) ที่ว่า “พฤติกรรม หมายถึง การกระทา ปฏิกิริยา และการมี
ปฏิกิริยา เพื่อตอบสนองสิ่งเร้าภายนอกหรือภายใน ซึ่งครอบคลุมไปถึงกิจกรรมที่สามารถสังเกตได้
ด้วยการแสดงออก กิจกรรมที่สามารถสังเกตได้ด้วยตนเอง และกระบวนการที่ไร้สติสัมปชัญญะ”๑
โฮเวอร์ด ซี. วอร์เรน (Howard C. Warren) อธิบายว่า พฤติกรรม คือ “ชื่อโดยทั่วไปของ
ความเป็นไปได้ทุกรูปแบบของระบบกล้ามเนื้อและระบบต่อมในการตอบสนองของชีวิตต่อการ
กระตุ้น”๒
๑
“Actions, reactions, and interactions in reponse to external or internal stimuli, including
objectively observable activities, instrospectively observable activities, and unconscious processes.” - R. J.
Corsini, The Dictionary of Psychology, (New York, NY : Brunner-Routledge, 2002), p. 99, นอกจากนี้
ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์จิตวิทยา, (อักษร A-L), (กรุงเทพมหานคร : ศักดิโสภาการพิมพ์, ๒๕๔๘),
หน้า ๔๑ ยังได้อธิบายคาว่า สติสัมปชัญญะ (consciousness) ว่าหมายถึง การตระหนักรู้เกี่ยวกับการสัมผัส
ความคิด และความรู้สึก ซึ่งบุคคลมีประสบการณ์ในขณะนั้น.
๒
“a generic name for all modes of muscular or glandular response of the organism to stimulation”-
H. C. Warren, Dictionary of Psychology, (Cambridge, MA : The Riberide Press, 1934), p. 30.
๑๒
แอนดรู เอ็ม. โคลแมน (Andrew M. Colman) ได้ให้ความหมายของพฤติกรรมว่า
กิจกรรมทางกายของสิ่งมีชีวิต รวมถึงการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างเห็นได้ชัดทางสายตา และ
ต่อมภายในร่างกาย และระบบสรีรวิทยาซึ่งเป็นที่รวมของร่างกายของสิ่งมีชีวิตและปฏิกิริยาของ
ร่างกายที่มีต่อสิ่งแวดล้อม คานี้ยังหมายถึงการตอบรับทางร่างกายต่อสิ่งที่มากระตุ้นหรือระดับของ
การกระตุ้นด้วย๓
ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายไว้ว่า พฤติกรรมหมายถึง “การกระทาหรืออาการที่
แสดงออกทางท่าทาง ความคิด และความรู้สึก เพื่อตอบสนองสิ่งเร้า”๔
สุโท เจริญสุข อธิบายถึงพฤติกรรมว่าหมายถึง “อาการแสดงออกของอินทรีย์ทั้งทาง
กล้ามเนื้อและต่อม”๕
สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต ให้ความหมายพฤติกรรมว่า
สิ่งที่บุคคลกระทา แสดงออก ตอบสนองหรือโต้ตอบต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในสภาพการณ์ใด
สภาพการณ์หนึ่งที่สามารถสังเกตเห็นได้ ได้ยิน อีกทั้งวัดได้ตรงกัน ด้วยเครื่องมือที่เป็นวัตถุ
วิสัย ไม่ว่าการแสดงออกหรือการตอบสนองนั้นจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกร่างกายก็ตาม
เช่น การร้องไห้ การกิน การวิ่ง การขว้าง การอ่านหนังสือ การเต้นของชีพจร การเต้นของ
หัวใจ การกระตุกของกล้ามเนื้อ เป็นต้น๖
พรรณราย ทรัพยะประภา ให้ความหมายพฤติกรรมว่า “การกระทาใดๆ ก็ตามซึ่ง
สามารถสังเกตได้โดยบุคคลอื่น หรือ โดยการใช้เครื่องมือ พฤติกรรมมิได้หมายความเฉพาะแต่เพียง
๓
“The physical activity of an organism, including overt bodily movements and internal
glandular and other physiological processes, constituting the sumtotal of the organism’s physical responses to
its environment. The term also denotes the specific physical responses of an organism to particular stimuli or
classes of stimuli”- Andrew M. Colman, Dictionary of Psychology, (New York : Oxford University Press
Inc., 2004), p. 83.
๔
ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์จิตวิทยา, (อักษร A-L), (กรุงเทพมหานคร : ศักดิโสภาการ
พิมพ์, ๒๕๔๘), หน้า ๒๒.
๕
สุโท เจริญสุข, พจนานุกรมคาศัพท์จิตวิทยา และ ประวัติจิตวิทยาสาระสาคัญ, (กรุงเทพมหานคร :
สานักพิมพ์โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๐), หน้า ๑๘.
๖
สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต, การปรับพฤติกรรม,(กรุงเทพมหานคร:โอเดียนสโตร์ ,๒๕๒๖), หน้า๒.
๑๓
การแสดงออกทางด้านร่างกายภายนอกเท่านั้น ยังรวมไปถึงการกระทาหรือกิจกรรมภายใน
ความรู้สึกของบุคคลด้วย”๗
กันยา สุวรรณแสง ให้ความหมายพฤติกรรมว่า “กิริยา อาการ บทบาท ลีลา ท่าทาง
การประพฤติ ปฏิบัติ การกระทาที่แสดงออกให้ปรากฏสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทางใดทางหนึ่ง
ใน ๕ ทวาร คือ โสตสัมผัส จักษุสัมผัส ชิวหาสัมผัส ฆานสัมผัส และทางผิวหนัง หรือมิฉะนั้นก็
สามารถวัดได้ด้วยเครื่องมือ”๘
ถวิล ธาราโภชน์, ศรัณย์ ดาริสุข อธิบายว่า
พฤติกรรม (Behavior) เป็นลักษณะของกิจกรรมหรือการกระทาต่างๆ ที่สามารถสังเกต
บันทึก และวัดได้ เป็นคาที่ใช้อย่างกว้างๆ เพื่อบอกถึงการเปลี่ยนแปลงในการกระทาต่างๆ
ของอินทรีย์ทั้งภายในและภายนอก นั่นคือ อาการกระตุก การฉีด หรือการเต้นซึ่งเกิดขึ้นใน
อวัยวะ ในต่อม หรือในโครงสร้างภายในอื่นๆ สิ่งเหล่านี้นับได้ว่าเป็นพฤติกรรม แต่ว่าเรา
มองไม่เห็นและสิ่งที่เรามองเห็นเมื่อมีการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น การเดิน การพูด หรือการ
ให้สัญญาณ จัดได้ว่าเป็นพฤติกรรมเช่นกัน การคิด, การจา, การอยากรู้ สิ่งเหล่านี้มองไม่
เห็นและไม่มีใครรู้นอกจากตัวเอง ก็เป็นพฤติกรรมอีกเหมือนกัน๙
ประสานและทิพวรรณ หอมพูล ได้ให้ความหมายของคาว่า “พฤติกรรม” ไว้เป็น ๒ นัย
ใหญ่ๆ ดังนี้ คือ
๑. หมายถึง การกระทากิจกรรมต่างๆ ซึ่งสิ่งมีชีวิตและบุคคลอื่นสามารถสังเกตเห็นได้จาก
การกระทากิจกรรมเหล่านั้น ซึ่งมีทั้งทางดีและทางไม่ดี เช่น การหัวเราะ การร้องไห้ เสียใจ
การออกกาลังกาย เป็นต้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นผลจากกระบวนการทางจิตวิทยา ได้แก่ การ
จูงใจ การเรียนรู้ การจา การลืม และความรู้สึกนึกคิด เป็นต้น ๒. หมายถึง กระบวนการต่างๆ
ของบุคคลที่ปฏิบัติต่อสภาพแวดล้อมของบุคคลเหล่านั้นออกมาในรูปของการกระทา หรือ
๗
พรรณราย ทรัพยะประภา, จิตวิทยาอุตสาหกรรม, (กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๙),
หน้า ๒.
๘
กันยา สุวรรณแสง, จิตวิทยาทั่วไป, พิมพ์ครั้งที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร : อักษรพิทยา, ๒๕๔๒), หน้า
๙๒.
๙
ถวิล ธาราโภชน์, ศรัณย์ ดาริสุข, จิตวิทยาทั่วไป, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ทิพย
วิสุทธิ์, ๒๕๔๑), หน้า ๑๒.
๑๔
การแสดงออกของมนุษย์โดยมีวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ภายใต้กลไกของความรู้สึก
นึกคิดของตนเอง๑๐
นอกจากนักวิชาการทางจิตวิทยาเหล่านี้ ยังมีนักวิชาการท่านอื่นๆ ที่ให้ความหมายของ
พฤติกรรมไว้ซึ่งสอดคล้องกัน๑๑
ดังนั้น คาว่า “พฤติกรรม” (behavior) จึงหมายถึง การกระทาทุกอย่างที่มนุษย์และ
สิ่งมีชีวิตแสดงออกมาเพื่อตอบสนองสิ่งเร้า หรือสิ่งกระตุ้น ทั้งที่สังเกตได้ด้วยประสาทสัมผัส ที่ไม่
สามารถสังเกตได้แต่รู้ได้โดยอาศัยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ และที่ต้องสังเกตด้วยตนเอง
ตัวอย่างในส่วนที่สังเกตได้ด้วยประสาทสัมผัสนั้น เช่น การยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม
พูด การหัวเราะ การร้องไห้ การอ่านหนังสือ การแสดงความดีใจและเสียใจ ส่วนตัวอย่างในส่วน
ที่จาเป็นต้องอาศัยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์นั้น เช่น การวัดความดันโลหิต คลื่นสมอง และการวัด
๑๐
ประสาน และทิพวรรณ หอมพูล. จิตวิทยาทั่วไป , (กรุงเทพมหานคร : พิศิษฐ์การพิมพ์ ,๒๕๓๗),
หน้า ๗๓-๗๔.
๑๑
Lida L. David off, Introduction to Psychology, (New York : McGraw – Hill Book Company,
1987), p.7, มุกดา ศรียงค์และคณะ, จิตวิทยาทั่วไป, ภาควิชาจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง,
๒๕๓๙, หน้า ๓, มธุรส สว่างบารุง, จิตวิทยาทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : กิตติการพิมพ์, ๒๕๔๒), หน้า ๒, ศิริ
โสภาคย์ บูรพาเดชะ, จิตวิทยาทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : คณะพาณืชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย, ๒๕๑๙), หน้า ๓, อรทัย ชื่นมนุษย์และคณะ, จิตวิทยาทั่วไป, พิมพ์ครั้งที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร :
สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคาแหง, ๒๕๓๕), หน้า ๑๗, โยธิน ศันสนยุทธ์ และคณะ, จิตวิทยา,
(กรุงเทพมหานคร : ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ, ๒๕๓๓), หน้า ๓, ทรงพล ภูมิพัฒน์, จิตวิทยาทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร
: ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา ฝ่ายเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยศรีปทุม, ๒๕๓๘), หน้า ๑๒, เติมศักดิ์ คทวณิช,
จิตวิทยาทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : ซีเอ็ดยูเคชั่น, ๒๕๔๖), หน้า ๑๒, ลิขิต กาญจนาภรณ์, จิตวิทยา : พื้นฐาน
พฤติกรรมมนุษย์, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร, ม.ป.พ.), หน้า ๓, โสภา ชูพิกุลชัย, ความรู้
เบื้องต้นทางจิตวิทยา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์สูตรไพศาล, ๒๕๒๘), หน้า ๕, เอนกกุล กรีแสง, จิตวิทยา
ทั่วไป, (พิษณุโลก : แผนกเอกสารและการพิมพ์โครงการตาราวิชาการมหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ, ๒๕๑๙),
หน้า ๒, วิภาพร มาพบสุข, จิตวิทยาทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ, ๒๕๔๑) ,หน้า ๓, สงวน
สุทธิเลิศอรุณ, จิตวิทยาทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ทิพยวิสุทธิ์, ๒๕๓๒), หน้า ๔๖, วิทยา เชียงกูล,
Dictionary of Psychology and Self Development อธิบายศัพท์ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์เดือนตุลา, ๒๕๕๒), หน้า ๓๒, สร้อยตระกูล (ติวยานนท์) อรรถมานะ, พฤติกรรม
องค์การทฤษฎีและการประยุกต์, (กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ , ๒๕๔๑), หน้า ๑๓–
๑๔.
๑๕
การเต้นของหัวใจ และตัวอย่างในส่วนที่จาเป็นต้องสังเกตด้วยตนเองนั้น เช่น การคิด การจา และ
การอยากรู้
๒.๑.๒ ประเภทของพฤติกรรมในจิตวิทยา
พฤติกรรมสามารถแบ่งออกเป็ น ๒ ประเภท คือ๑๒
พฤติกรรมเปิ ดเผย (overt
behavior)๑๓
และพฤติกรรมปกปิด (covert behavior)๑๔
พฤติกรรมเปิดเผยสามารถสังเกตได้ด้วย
ประสาทสัมผัสและเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ส่วนพฤติกรรมปกปิดไม่สามารถสังเกตได้ นอกจาก
การสังเกตกิริยาอาการที่เจ้าของพฤติกรรมแสดงออกมาผ่านพฤติกรรมเปิดเผยทางการกระทาและ
คาพูด เช่น การแสดงความโกรธออกมาทางสีหน้า การเลือกสิ่งของบางอย่างที่เขาตัดสินใจแล้ว
เป็นต้น
นอกจากนี้พฤติกรรมเปิดเผยยังสามารถแบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะ คือ (๑) พฤติกรรมองค์
รวม (molar behavior)๑๕
ได้แก่ พฤติกรรมที่สามารถสังเกตได้ด้วยด้วยประสาทสัมผัส โดยมิต้อง
อาศัยเครื่องมือ เช่น การยืน เดิน นั่ง นอน หัวเราะ ร้องไห้ อ่านหนังสือ เล่นกีฬา เป็นต้น
พฤติกรรมลักษณะนี้แสดงออกอย่างมีความหมาย ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่กระทาเพื่อให้บรรลุถึง
จุดประสงค์บางประการที่หวังไว้ หรือเพื่อหลีกเลี่ยงภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้น พฤติกรรมองค์รวมนี้
เป็นพฤติกรรมที่ซับซ้อน และนักจิตวิทยาสนใจศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมประเภทนี้กันมาก
๑๒
G. Egan, “Skill Helping: A Problem-Management Framwork for Helping and Helper Training”,
in Teaching Psychological Skills : Models for Giving Psychology Away, edited by D. Larson, (Monterey,
CA : Brook/Cole Publishing Company, 1984), p. 140, R. K. Sharma, and R. Sharma, Social Psychology, (New
Delhi : Atlantic Publisher and Distributors, 1997), p. 181, N. H. Cobb, “Cognitive-Behavioral Theory and
Treatment”, in Theoretical Perspectives for Direct Social Work Practice, edited by N. Coady, and P.
Lehmann, 2nd
edition, (New York, NY : Spring Publishing Company, LLC, 2008), p. 223, R. A. Powell, D. G.
Symbaluk, and P. L. Honey, Introduction to Learning and Behavior, 3rd
edition, (Belmont, CA : Wadsworth,
2009), pp. 53-54.
๑๓
ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์จิตวิทยา, (อักษร M-Z), (กรุงเทพมหานคร : ศักดิโสภาการ
พิมพ์, ๒๕๕๐), หน้า ๒๘๙.
๑๔
ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์จิตวิทยา, (อักษร A-L), หน้า ๔๔, มีการแปล overt behavior
กับ covert behavior ว่า พฤติกรรมภายนอก กับ พฤติกรรมภายใน ตามลาดับ เช่นใน เติมศักดิ์ คทวณิช, จิตวิทยา
ทั่วไป, หน้า ๑๒, ลิขิต กาญจนาภรณ์, จิตวิทยา : พื้นฐานพฤติกรรมมนุษย์, หน้า ๔, ไพบูลย์เทวรักษ์, จิตวิทยา
ศึกษาพฤติกรรมภายนอกและใน, หน้า ๕-๖, ถวิล ธาราโภชน์, ศรัณย์ดาริสุข, จิตวิทยาทั่วไป, หน้า ๑๒.
๑๕
ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์จิตวิทยา, (อักษร M-Z), หน้า ๒๖๒.
๑๖
(๒) พฤติกรรมย่อย (molecular behavior)๑๖
ได้แก่ พฤติกรรมที่สังเกตได้ด้วยเครื่องมือทาง
วิทยาศาสตร์ เช่น การวัดความดันโลหิต คลื่นสมอง คลื่นหัวใจ การทางานของต่อมต่าง ๆ ภายใน
ร่างกาย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการปฏิบัติงานของระบบกลไกที่ปฏิบัติตามคาสั่งของสมอง
พฤติกรรมนอกจากสามารถจาแนกเป็นพฤติกรรมเปิดเผย กับพฤติกรรมปกปิดแล้ว ยัง
สามารถจาแนกตามลักษณะการเกิดเป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือ (๑) พฤติกรรมติดตัวมาแต่กาเนิด
(inborn หรือ innate behavior) หมายถึง การกระทาที่มนุษย์และสัตว์สามารถปฏิบัติได้ตั้งแต่เกิด
ซึ่งเป็นไปตามวุฒิภาวะ หรือความพร้อมของร่างกายโดยไม่จาเป็นต้องฝึกหัดหรือผ่านการฝึกฝนมา
ก่อน ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน อยู่ที่ใด และมีวัฒนธรรมอย่างไรก็สามารถแสดงพฤติกรรมเหล่านั้นได้
เองตามธรรมชาติ เช่น เด็กทารกสามารถนั่ง คลาน ยืน เดิน วิ่งได้ด้วยตนเอง เมื่อร่างกายมีความ
พร้อมที่จะเคลื่อนไหวได้ เมื่อถึงกาหนดระยะเวลาทุกคนสามารถทาได้เหมือนกัน พฤติกรรม
บางอย่างที่ติดตัวมาแต่กาเนิดในสัตว์เรียกว่า สัญชาตญาณ (instinet) เช่น สัญชาตญาณ แมลงเม่า
บินเข้ากองไฟ สัญชาตญาณการสร้างรังของนก เป็นต้น (๒) พฤติกรรมเรียนรู้ (learned behavior)
เป็นการกระทาที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้รับการฝึกหัดหรือฝึกฝนแล้ว เช่น การว่ายน้า การขับรถ
การพิมพ์ดีด ฯลฯ พฤติกรรมเหล่านี้จะต้องมีการฝึกฝนบ่อยๆ จนเกิดการเรียนรู้ขึ้น พฤติกรรมจึง
เปลี่ยนจากทาไม่ได้มาเป็นได้ ยิ่งมีการฝึกฝนบ่อยเท่าใดก็ยิ่งจะทาพฤติกรรมซับซ้อนมากกว่า
พฤติกรรมของสัตว์มากมาย พฤติกรรมที่แสดงออกของมนุษย์ในแต่ละสถานการณ์จะมีความ
แตกต่างกันแล้วแต่ปัจจัยแวดล้อม๑๗
พฤติกรรมไม่เพียงสามารถจาแนกออกเป็น ๒ ประเภทเท่านั้น แต่ยังสามารถจาแนกออก
ด้วยนัยอื่นอีก เช่น การจาแนกเป็น ๓ ประเภท คือ (๑) พฤติกรรมทั่วไป ได้แก่พฤติกรรมที่บุคคล
แสดงออกโดยทั่ว ๆ ไป เพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้า โดยสั่งการจากระบบประสาทส่วนกลาง เช่น
การเคลื่อนไหว การพูด การหัวเราะ การร้องไห้ และการกวักมือ (๒) พฤติกรรมปฏิกิริยาสะท้อน
(reflexion behavior) ได้แก่พฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกไปเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้าโดยฉับพลัน
เช่น บุคคลที่ถูกไฟฟ้ าดูดจะชักส่วนของอวัยวะให้พ้นจากที่ถูกดูดโดยทันที ทั้งนี้เซลล์ประสาทที่
๑๖
เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๖๒, มีการใช้หรือแปลทับศัพท์ทั้งคาว่า molar behavior กับ molecular
behavior เช่นใน ชัยพร วิชชาวุธ, มูลสารจิตวิทยา, (กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
๒๕๒๕), หน้า ๑๖, สุวรี ศิวแพทย์, จิตวิทยาทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, ๒๕๑๙), หน้า ๕๙, โสภา
ชูพิกุลชัย, ความรู้เบื้องต้นทางจิตวิทยา, หน้า ๖, เอนกกุล กรีแสง, จิตวิทยาทั่วไป, หน้า ๒, นอกจากนี้ยังมีการ
แปลว่า พฤติกรรมรวม กับ พฤติกรรมแบบย่อย ตามลาดับ เช่นใน ศิริโสภาคย์ บูรพาเดชะ, จิตวิทยาทั่วไป,
(กรุงเทพมหานคร : คณะพาณืชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๑๙), หน้า ๔-๕.
๑๗
วิภาพร มาพบสุข, จิตวิทยาทั่วไป, หน้า ๔.
๑๗
ผิวหนังจะส่งความรู้สึกตรงไปยังศูนย์รวมเซลล์ประสาทที่ไขสันหลัง ณ ที่ศูนย์นี้จะสั่งการโดย
ฉับพลันให้ตอบสนองในทันที ปฏิกิริยาสะท้อนในร่างกาย เช่น ม่านตาจะหรี่ลงถ้ามีแสงสว่างมาก
เกินไป และการกะพริบตาเพราะมีสิ่งเร้าเข้าใกล้ (๓) พฤติกรรมที่ซับซ้อน (complex behavior)
ได้แก่ พฤติกรรมในลักษณะซับซ้อนยุ่งยาก ต้องใช้ระบบประสาทส่วนกลาง หรือสมองในการคิด
และแสดงออก เช่น พฤติกรรมการคิด เล่นหมากรุก เล่นการพนัน เกมการต่อสู้ เกมการแข่งขัน
และการเรียนรู้๑๘
จากเนื้อหาทั้งหมดนี้สามารถแสดงให้เห็นว่าจิตวิทยาจาแนกพฤติกรรมเป็นประเภท
ต่างๆ ได้หลายนัย อย่างไรก็ดี นัยที่เป็นฐานความรู้ต่อการสร้างความเข้าใจเรื่องพฤติกรรมมนุษย์ใน
แนวคิดของแบนดูร่า คือ การจาแนกพฤติกรรมออกเป็นพฤติกรรมเปิดเผยกับพฤติกรรมปกปิด โดย
ที่พฤติกรรมเปิดเผยมี ๒ ลักษณะ คือ พฤติกรรมองค์รวมกับพฤติกรรมย่อย ซึ่งรายละเอียดจะได้
นาเสนอเป็นลาดับไป
๒.๒ ความหมายของพฤติกรรมในแนวคิดของแบนดูร่า
นักจิตวิทยาชาวแคนาดา อัลเบิร์ท แบนดูร่า (Albert Bandura)๑๙
ได้พัฒนาทฤษฎีการ
เรียนรู้ทางปัญญาสังคม ซึ่งเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์หนึ่งที่ได้รับความสนใจและการ
ยอมรับจากนักจิตวิทยา อย่างไรก็ดี การทาความเข้าใจเรื่องพฤติกรรมมนุษย์ในแนวคิดของแบนดูร่า
จาเป็นต้องศึกษาให้เข้าใจก่อนว่า ความหมายของพฤติกรรมในแนวคิดของแบนดูร่ามีขอบเขตของ
ความหมายที่เหมือนหรือต่างไปจากการให้ความหมายจากหัวข้อที่ผ่านมา
พฤติกรรมในแนวคิดของแบนดูร่าเป็นปัจจัยซึ่งกันและกันกับองค์ประกอบส่วนบุคคล
แม้รายละเอียดจะได้ศึกษาในหัวข้อถัดไป แต่การเข้าใจองค์ประกอบส่วนบุคคลนี้จะสามารถสร้าง
ความเข้าใจถึงความหมายของพฤติกรรมในแนวคิดของแบนดูร่าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นักจิตวิทยาหรือ
นักวิชาการที่ศึกษาทฤษฎีของแบนดูร่าในส่วนนี้๒๐
ได้แสดงความเห็นว่า๒๑
ในแนวคิดของแบนดูร่า
๑๘
สงวน สุทธิเลิศอรุณ, จิตวิทยาทั่วไป, หน้า ๔๗.
๑๙
ภูมิหลังของอัลเบิร์ท แบนดูร่า ดูใน ภาคผนวก.
๒๐
A. Bandura, Aggression : A Social Learning Analysis, (Englewood Cliffs, NJ : Prentice-Hall,
Inc., 1973), p. 53, A. Bandura, Social Learning Theory, (Englewood Cliffs, NJ : Prentice-Hall, Inc., 1976), p.
9-13, A. Bandura, Social Foundations of Thought and Action : A Social Cognitive Theory, (Englewood
Cliffs, NJ : Prentice-Hall, Inc., 1986), p. 24.
๒๑
A. J. Christensen, René Martin, and J. M. Smyth, Encyclopedia of Health Psychology, (New
York, NY : Kluwer Acadamic/Plenum Publishers, 2004), p. 261, S. L. Williams, and D. Cervone, “Social
๑๘
องค์ประกอบส่วนบุคคล คือ การรู้คิด (cognition, ซึ่งหมายรวมถึงการรับรู้ การจา และการคิด ฯ)๒๒
อารมณ์ความรู้สึก และปฏิกิริยาเคมีภายในร่างกายของบุคคล ในขณะที่พฤติกรรมมุ่งเพียงแค่ส่วนที่
สามารถแสดงออกมาทางการกระทา และคาพูดเท่านั้น
หากพิจารณาถึงองค์ประกอบส่วนบุคคลที่เป็นปัจจัยซึ่งกันและกันกับพฤติกรรมนั้น ใน
ส่วนของการรู้คิดและอารมณ์ความรู้สึก แม้ในบางกรณีจะสามารถสังเกตผ่านการกระทาและคาพูด
ได้ แต่ยังถูกจัดเป็นพฤติกรรมปกปิดที่ไม่สามารถสังเกตได้ นอกจากนี้ในส่วนของปฏิกิริยาเคมี
ภายในร่างกายของบุคคลยังจัดเป็นพฤติกรรมเปิดเผยประเภทพฤติกรรมย่อย
ในขณะที่พฤติกรรมนั้นมุ่งเพียงแค่ส่วนที่สามารถแสดงออกมาทางการกระทา และ
คาพูดดังกล่าว ซึ่งเป็นลักษณะของพฤติกรรมเปิดเผย และการกระทาและคาพูดนั้นสามารถ
สังเกตเห็นได้ โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือมาตรวจจับซึ่งเป็นลักษณะของพฤติกรรมเปิดเผยในประเภท
พฤติกรรมองค์รวม
ดังนั้น ความหมายของพฤติกรรมในแนวคิดของแบนดูร่าจึงมีขอบเขตเนื้อหาที่
เฉพาะเจาะจงแคบกว่าความหมายของพฤติกรรมในจิตวิทยาที่ได้นาเสนอไปข้างต้น โดยมุ่งไปที่
พฤติกรรมเปิดเผยที่เป็นองค์รวม เนื่องจากลักษณะของส่วนประกอบส่วนบุคคลและพฤติกรรมใน
แนวคิดของแบนดูร่า
สรุป ความหมายของพฤติกรรมตามแนวคิดของแบนดูร่า ได้แก่การแสดงออกของ
ความคิด เขาเน้นความสาคัญของบทบาทของความคิดซึ่งเป็นตัวกาหนดพฤติกรรม เขาเห็นว่า
ความคิดเป็นเหตุทาให้เกิดพฤติกรรมอย่างแท้จริง พฤติกรรมเกิดขึ้นได้เพราะปัจจัย ๓ อย่างเป็น
ตัวกาหนดซึ่งกันและกัน กล่าวคือ บุคคล สิ่งแวดล้อม และพฤติกรรม
๒.๓ หลักการเรื่องพฤติกรรมมนุษย์ของแบนดูร่า
จากหัวข้อที่ผ่านมาได้ทราบโดยสังเขปมาแล้วว่า พฤติกรรมไม่ได้เกิดขึ้นและ
เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากปัจจัยทางสภาพแวดล้อมแต่เพียงอย่างเดียว พฤติกรรมในแนวคิดของ
แบนดูร่าเป็นปัจจัยซึ่งกันและกันกับองค์ประกอบส่วนบุคคล ความซับซ้อนของแนวคิดของแบนดูร่า
Cognitive Theories of Personality”, in Advanced Personality, edited by D. F. Barone, M. Hersen, and V. B.
Van Hasselt, (New York, NY: Kluwer, 1998), p. 175, สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต, ทฤษฎีและเทคนิคการปรับ
พฤติกรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๐), หน้า ๔๙.
๒๒
ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์จิตวิทยา, (อักษร A-L), หน้า ๓๔.
๑๙
ไม่ใช่มีเพียงเท่านั้น พฤติกรรม องค์ประกอบส่วนบุคคล และสภาพแวดล้อมนั้น แต่ละส่วนล้วน
ต่างเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน (reciprocal determinism)๒๓
ซึ่งเขียนได้ดังภาพต่อไปนี้
จากรูปนี้แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรม (B) องค์ประกอบส่วนบุคคล (P) และองค์ประกอบ
ทางสิ่งแวดล้อม (E) มีอิทธิพลซึ่งกันและกัน๒๔
กล่าวคือ พฤติกรรมของมนุษย์สามารถกาหนด
สิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมก็สามารถกาหนดพฤติกรรม พฤติกรรมสามารถกาหนดองค์ประกอบส่วน
บุคคล องค์ประกอบส่วนบุคคลก็สามารถกาหนดพฤติกรรมได้เช่นกัน ในทานองเดียวกัน
องค์ประกอบทางสิ่งแวดล้อมและองค์ประกอบส่วนบุคคลก็มีอิทธิพลซึ่งกันและกัน ซึ่งสามารถ
อธิบายได้ในลักษณะเดียวกัน๒๕
เนื้อหาในเรื่องนี้ยังต้องทาความเข้าใจอีกมาก แต่เพื่อง่ายต่อการนาเสนอ งานวิจัยฉบับนี้
จะใช้ตัวอักษรย่อ B P และ E แทน พฤติกรรม องค์ประกอบส่วนบุคคล และองค์ประกอบทาง
สิ่งแวดล้อม ตามลาดับ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
๒๓
A. Bandura, Social Learning Theory, p.9.
๒๔
Ibid, p.9.
๒๕
A. Bandura, Social Foundations of Thought and Action : A Social cognitive theory,
(Englewood Cliffs, New Jersey : Prentice-Hall, Inc., 1986), p. 24, A. Bandura, Social Learning Theory, pp. 9-
10.
P
B E
ที่มา : A. Bandura, Social Learning Theory, (Englewood Cliffs, New Jersey : Prentice-Hall, Inc.,
1976), p. 9-10, A. Bandura, Social Foundations of Thought and Action : A Social cognitive
theory, (Englewood Cliffs, New Jersey : Prentice-Hall, Inc., 1986), p. 24.
รูปที่ ๒.๑ รูปแสดงการกาหนดซึ่งกันและกันของปัจจัยทางพฤติกรรม (B) ปัจจัยทาง
สภาพแวดล้อม (E) และปัจจัยส่วนบุคคล (P)
๒๐
การกาหนดซึ่งกันและกันของ P กับ B เป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับพฤติกรรม
และพฤติกรรมกับบุคคลซึ่งมีอิทธิพลต่อกันและกัน บุคคลสามารถกาหนดพฤติกรรมได้ และ
พฤติกรรมก็สามารถกาหนดบุคคลได้ ขึ้นอยู่กับความรู้สึก การรับรู้ การตัดสิน ประสบการณ์และ
สติปัญญา ของบุคล เช่น การที่บุคคลกางร่มกันแดด เพราะเขารับรู้ หรือมีความรู้สึกว่าแดดร้อน
การกางร่มก็เป็นตัวกาหนดให้บุคคลต้องกางร่ม เพราะในสถานการณ์บังคับคือบุคคลอาจจะมีวิธี
ป้ องกันแดดได้หลายวิธีเช่น การใส่หมวก การใช้แผ่นกระดาษหนาๆ กั้น การใช้ผ้ากั้น เป็นต้น แต่
ในสถานการณ์นั้นสิ่งเหล่านี้ไม่มี มีแต่ร่ม ดังนั้น เขาจึงกางร่ม
การกาหนดซึ่งกันและกันของ E กับ P เป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่าง สภาพแวดล้อมกับ
บุคคล สภาพแวดล้อมสามารถกาหนดบุคคลได้และบุคคลก็สามารถกาหนดสภาพแวดล้อมได้ เช่น
สภาพแวดล้อมทางสังคมที่บุคคลอาศัยอยู่ คติความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรม ภูมิปัญญา เป็นต้น
สามารถกาหนดให้บุคคลมีคติความเชื่อตามสภาพแวดล้อมทางสังคม ในขณะเดียวกัน บุคคลก็
สามารถกาหนดสภาพแวดล้อมได้เช่นกัน เช่น บุคคลในสังคมอาจจะกาหนดประเพณี วัฒนธรรม
คติความเชื่อขึ้นมาในสังคมของตน หรือยกเลิกประเพณี วัฒนธรรมบางอย่างที่เห็นว่าไม่เหมาะกับ
ยุคสมัยก็ได้ เช่น การประกาศเลิกทาสของรัชกาลที่ ๕ การประกาศให้ยืนตรงเคารพธงชาติในเวลา
๐๘.๐๐ น. และเวลา ๑๘.๐๐ น. เป็นต้น
การกาหนดซึ่งกันและกันของ B กับ E เป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับ
สภาพแวดล้อม และสภาพแวดล้อมกับพฤติกรรม ทั้งสองมีอิทธิพลต่อกันและกัน และเป็นเงื่อนไข
ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่กันและกันได้ กล่าวคือ สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปทาให้พฤติกรรม
เปลี่ยนไปด้วย แต่ทั้งสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมจะไม่มีอิทธิพลต่อบุคคล จนกว่าจะมีพฤติกรรม
บางอย่างเกิดขึ้น เช่น หัวหน้าไม่มีอิทธิพลต่อลูกน้อง จนกว่าจะถึงเวลาเข้าทางาน ผู้ปกครองจะไม่
ชมเด็กถ้าเด็กยังไม่แสดงพฤติกรรมที่จะให้ชื่นชม การที่พฤติกรรมกับสภาพแวดล้อมมีอิทธิพลต่อ
กันและกันอย่างนี้ สภาพแวดล้อมจึงถูกสร้างขึ้นโดยบุคคลและในขณะเดียวกันบุคคลก็เป็นผลผลิต
ของสภาพแวดล้อมด้วย
การที่ปัจจัยทั้ง ๓ ทาหน้าที่กาหนดซึ่งกันและกันนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งสามปัจจัย
นั้นจะมีอิทธิพลในการกาหนดซึ่งกันและกันอย่างเท่าเทียมกัน บางปัจจัยอาจมีอิทธิพลมากกว่าอีก
บางปัจจัย และอิทธิพลของปัจจัยทั้ง ๓ นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน หากแต่ต้องอาศัยเวลาในการ
ที่ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งจะมีผลต่อการกาหนดปัจจัย อื่น ๆ๒๖
๒๖
A, Bandura, “Social cognitive theory”, in Annals of Child Development, edited by R. Vasta,
(Greenwich, CT : JAI Press, 1989), vol. 6, pp. 2-5.
๒๑
ตัวอย่างเช่น พฤติกรรมในการใช้ร่มกันแดดของบุคคล บุคคลกางร่มเพื่อกันแดด (B) ซึ่ง
ถูกกาหนดโดยสิ่งแวดล้อม (E) คือ อากาศร้อนจัดและแดดร้อนจัด (E) ทาให้บุคคลต้องกางร่ม การ
กางร่มยังถูกกาหนดโดยองค์ประกอบส่วนบุคคล (P) คือ บุคคลนั้นอาจเป็นคนสุขภาพไม่ค่อย
แข็งแรง เป็นไข้หวัดง่าย และการที่บุคคลนี้เป็นผู้ที่มีสุขภาพไม่แข็งแรง (P) จึงจาเป็นต้องหาทาง
ควบคุมสิ่งแวดล้อมโดยการทาให้แดดไม่สามารถถูกตัวเขาได้ (E) ก็คือป้ องกันด้วยการกางร่ม (B)
ซึ่งจะเห็นได้ว่า พฤติกรรม องค์ประกอบส่วนบุคคล และองค์ประกอบทางสิ่งแวดล้อมต่างก็มี
อิทธิพลซึ่งกันและกันตลอดเวลา
๒.๔ แนวคิดเรื่องการปรับพฤติกรรมตามหลักของแบนดูร่า
แบนดูร่าไม่เพียงนาเสนอถึงหลักการที่เกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเสนอแนว
ทางการปรับพฤติกรรมมนุษย์อีกด้วย โดยมีแนวทางปฏิบัติอยู่ ๓ ประการ ได้แก่ ๑. แนวทางการ
เรียนรู้โดยการสังเกต (observational learning หรือ modeling) ๒. แนวทางการกากับตนเอง (self-
regulation) ๓. แนวทางการรับรู้ความสามารถของตนเอง (self-efficacy)
๒.๔.๑ แนวทางการเรียนรู้โดยการสังเกต
การเรียนรู้โดยการสังเกตเป็นแนวทางปฏิบัติแรกในการปรับพฤติกรรมมนุษย์ตามหลัก
ของแบนดูร่า ซึ่งรายละเอียดของแนวทางปฏิบัตินี้มีเนื้อหาครอบคลุมไปถึงวิธีการและตัวแปรสาคัญ
ของการเรียนรู้โดยการสังเกต ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและสิ่งแวดล้อม ขั้นตอน กระบวนการที่
สาคัญ และปัจจัยที่สาคัญของการเรียนรู้โดยการสังเกต ประเด็นต่างๆ เหล่านี้จะได้นาเสนอเป็น
ลาดับไป
๒.๔.๑.๑ วิธีการเรียนรู้โดยการสังเกต
วิธีการเรียนรู้โดยการสังเกตของแบนดูร่าจาแนกเป็น ๒ วิธี ได้แก่ การเรียนรู้จากผล
ของการกระทา (learning by response consequences) และการเรียนรู้จากการเลียนแบบ (learning
through modeling) ดังรายละเอียดต่อไปนี้
๒๒
ก. การเรียนรู้จากผลของการกระทา๒๗
วิธีการเรียนรู้ที่ถือว่าเป็นการเรียนรู้เบื้องต้นที่สุดและเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์
ตรง คือ การเรียนรู้จากผลของการกระทาทั้งทางบวกและทางลบ ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมถือว่า
มนุษย์มีความสามารถทางสมองในการที่จะใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ที่ผ่านมา มนุษย์มี
ความสามารถที่จะรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทาและผลของการกระทา กระบวนการเรียนรู้
จากผลของการกระทาจะทาหน้าที่ ๓ ประการ คือ
๑. การทาหน้าที่ให้ข้อมูล (informative function) การเรียนรู้ของมนุษย์นั้นไม่เพียงแต่
เรียนรู้เพื่อการตอบสนองเท่านั้น แต่มนุษย์ยังสังเกตผลของการกระทานั้นด้วย โดยการสังเกตความ
แตกต่างของผลที่ได้รับจากการกระทาของเขาว่า การกระทาใดในสภาพการณ์ใดก่อให้เกิดผลของ
การกระทาอย่างไร ข้อมูลด้านนี้จะเป็นแนวทางหนึ่งในการกาหนดพฤติกรรมของมนุษย์ในอนาคต
๒. การทาหน้าที่จูงใจ (motivational function) กระบวนการเรียนรู้ผลของการกระทา
ที่ทาหน้าที่จูงใจ คือ ความเชื่อในการคาดหวังผลของการกระทาของบุคคล เมื่อพิจารณาว่าผลของ
การกระทาใดเป็นที่พึงปรารถนาย่อมจูงใจให้เกิดการกระทามาก ผลของการกระทาใดไม่เป็นที่พึง
ปรารถนาย่อมจูงใจให้เกิดการกระทาน้อย และมนุษย์ย่อมพยายามหลีกเลี่ยงการกระทานั้น ดังนั้น
กระบวนการเรียนรู้ผลของการกระทาจึงสามารถจูงใจให้เกิดการพัฒนาพฤติกรรมได้
๓. การทาหน้าที่เสริมแรง (reinforcing function) การกระทาใดๆ ก็ตามถ้าได้รับการ
เสริมแรง การกระทานั้นย่อมมีแนวโน้มเกิดขึ้นอีก แต่สิ่งสาคัญคือเงื่อนไขการเสริมแรง
(reinforcement contingency) ซึ่งบุคคลจะเรียนรู้ได้จากข้อมูลเดิมและการจูงใจ ตลอดจนการหา
ข้อสรุปได้ถูกต้อง การเสริมแรงจะไม่มีอิทธิพลเลย ถ้าบุคคลไม่รู้ว่าเงื่อนไขการเสริมแรงมีไว้ว่า
อย่างไร การเสริมแรงในที่นี้จะเน้นถึงการกระทาให้พฤติกรรมนั้นคงอยู่มากกว่าการสร้างพฤติกรรม
ใหม่
ข. การเรียนรู้จากการเลียนแบบ๒๘
การเรียนรู้ของมนุษย์จากผลของการกระทามีข้อจากัดอยู่มาก ทั้งนี้เพราะสิ่งที่จะ
เรียนรู้มีมากกว่าที่เวลาและโอกาสจะอานวย ดังนั้นการเรียนรู้จากการเลียนแบบจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่
ทาให้มนุษย์สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างกว้างขวางขึ้น พฤติกรรมของมนุษย์หลายอย่างเกิด
๒๗
A. Bandura, Social learning theory, pp. 17-22.
๒๘
Ibid, pp. 22-24.
๒๓
ขึ้นมาโดยที่มนุษย์ไม่เคยมีประสบการณ์ตรงเลย แต่มนุษย์สังเกตเห็นตัวแบบหรือผู้อื่นกระทา เช่น
คนส่วนมากงดเว้นจากการเสพเฮโรอีน ทั้งๆ ที่ไม่เคยประสบกับผลของการกระทาที่จะได้รับจาก
การเสพเฮโรอีน ทั้งนี้เพราะคนเหล่านี้เรียนรู้ว่า การเสพเฮโรอีนจะได้รับผลของการกระทาทางลบ
คือ การทาลายสุขภาพจนถึงการตายในที่สุด การเรียนรู้เช่นนี้ไม่ได้เรียนรู้โดยประสบการณ์ตรง แต่
เรียนรู้จากการสังเกตตัวแบบ คือ เห็นผู้อื่นเสพแล้วได้รับผลของการกระทาทางลบดังกล่าวจึงงด
เว้นการเสพเฮโรอีน ตัวแบบอาจเป็นตัวแบบจริงตัวแบบจากภาพยนตร์ หรือตัวแบบในรูปของสิ่ง
อื่นๆ
การเรียนรู้จากตัวแบบอาศัยกระบวนการเรียนรู้โดยการสังเกตเป็ นสาคัญ
กระบวนการเรียนรู้จากการสังเกตตัวแบบจะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบที่สาคัญ ๔ ประการ ซึ่ง
จะได้กล่าวถึงรายละเอียดในหัวข้อถัดๆ ไปที่ว่าด้วยกระบวนการสาคัญในการเรียนรู้โดยการสังเกต
๒.๔.๑.๒ ตัวแปรสาคัญของการเรียนรู้โดยการสังเกต
ในเบื้องต้นเมื่อพิจารณาการเลียนแบบ น่าจะเป็นกระบวนการตรงไปตรงมาไม่
สลับซับซ้อน เมื่อมีผู้สังเกตการณ์และตัวแบบ การเลียนแบบย่อมดาเนินไปได้แต่เกิดคาถามขึ้นว่า ผู้
สังเกตการณ์จะยอมเลียนแบบพฤติกรรมของตัวแบบหรือไม่ การค้นหาคาตอบนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะขึ้นอยู่กับตัวแปรหลายอย่าง๒๙
ตัวแปรตัวหนึ่ง คือ คุณลักษณะของบุคลิกภาพของผู้สังเกตการณ์ ยกตัวอย่างเช่น เพศ
ของผู้สังเกตการณ์อาจเป็นตัวกาหนดว่าเขาจะเลียนแบบหรือไม่ เพราะบางครั้งพฤติกรรมของเพศ
หนึ่งกับอีกเพศหนึ่งเลียนแบบกันไม่ได้ นอกจากนี้ เด็กผู้ชายจะก้าวร้าวมากกว่าเวลาดูตัวแบบชายที่
ก้าวร้าว ส่วนเด็กผู้หญิงจะก้าวร้าวมากกว่าเวลาดูตัวแบบผู้หญิงที่ก้าวร้าว๓๐
ทั้งๆ ที่มีการ
เปลี่ยนแปลงบทบาทและสถานะของสตรีในช่วง ๒ ทศวรรษที่ผ่านมา และเด็กๆ ชายหญิงมี
แนวโน้มที่จะเลียนแบบคนเพศเดียวกัน๓๑
และบุคคลที่ขาดความเชื่อมั่นหรือบุคคลที่ไม่เก่ง รวมทั้ง
๒๙
A. Bandura, Social learning theory, p. 25.
๓๐
A. Bandura, D. Ross, and S. A. Ross, “Imitation of film-mediated aggressive models”, Journal
of Abnormal and Social Psychology, vol. 66 no. 1 (1963) : 3-11.
๓๑
K. Bussey, and A. Bandura, “Social cognitive theory of gender development and
differentiation”, Psychological Review, vol. 106 (1999) : 676-713.
๒๔
คนที่มีพฤติกรรมเลียนแบบที่เคยถูกเสริมแรงมาก่อน จะมีแนวโน้มที่จะเลียนแบบตัวแบบที่ประสบ
ความสาเร็จ๓๒
นอกจากคุณลักษณะและประสบการณ์ในอดีตของผู้สังเกตการณ์แล้ว คุณลักษณะ
ของตัวแบบยังมีส่วนสาคัญต่อกระบวนการเลียนแบบ ผู้สังเกตการณ์จะเลียนแบบคนเก่งมากกว่าคน
ไม่เก่ง นอกจากนี้ คนเลียนแบบยังชอบเลียนแบบคนที่ดูแลตัวเองและคนที่ให้รางวัลกับตัว และ
ชอบเลียนแบบคนที่ควบคุมทรัพยากรในอนาคตของผู้เลียนแบบ รางวัลหรือการทาโทษที่เกี่ยวกับ
พฤติกรรมของตัวแบบสามารถมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมเลียนแบบ เราเรียนรู้เมื่อเราเห็นว่าพฤติกรรม
ของคนอื่นได้รับการเสริมแรง แล้วเราจึงปรับพฤติกรรมตาม ดูเหมือนว่าข้อนี้จะง่ายเกินไป คนต้อง
หยุดคิดก่อนแล้วค่อยเลียนแบบไม่ใช่เลียนแบบกันง่ายๆ โดยการเห็นผู้อื่นได้ของแล้วก็ทาตาม
เพราะการทาตามแบบนั้นอันตราย เพราะถ้าคนอื่นถูกหลอกเราย่อมถูกหลอกด้วย หรือการเสริมแรง
จากการเห็นคนอื่นได้นี้มีชื่อว่า “vicarious reinforcement”๓๓
แบนดูร่าได้ทาการทดลองโดยการให้ตัวแบบแสดงความก้าวร้าวในห้องแล็บกับตุ๊กตา
Bobo doll ในทุกรูปแบบ เด็กซึ่งเป็นเด็กกลุ่มควบคุม (control group) เห็นแค่ภาพของความก้าวร้าว
แต่ไม่เห็นผล ส่วนเด็กที่ถูกทดลอง (experimental group) ได้เห็นภาพที่ตัวแบบได้รับรางวัลหรือถูก
ทาโทษที่ทาอย่างนั้น ในสภาพที่ให้รางวัล ผู้ใหญ่อีกคนชมตัวแบบที่ก้าวร้าวแล้วให้โซดาป้ อบและ
ลูกอม ส่วนในสภาพที่ทาโทษ ผู้ใหญ่อีกคนพูดดูหมิ่นตัวแบบ กล่าวหาว่าขี้ขลาดและเป็นจอมรังแก
นอกจากนี้ผู้ใหญ่ที่มาทาโทษตัวแบบ ยังใช้หนังสือพิมพ์ที่ม้วนไว้ตีเขา และขู่ว่าจะตีอีกถ้าแสดง
ความก้าวร้าว ตัวแปรอิสระในเรื่องนี้ คือ วิธีการเสริมแรงซึ่งใช้กับตัวแบบที่ก้าวร้าว ตัวแปรตาม
(dependent variable) คือ พฤติกรรมของเด็กเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระในสภาพทั้งสามอย่างที่พวก
เขาเผชิญ เด็กถูกพาไปที่ห้องอื่นที่มีตุ๊กตา Bobo doll โดยมีลูกบอลสามลูก ไม้ตีและไม้กระดาน ที่มี
ตอหมุด และของเล่นอื่นๆ มีของให้เล่นมาก เพื่อว่าเด็กจะได้เลือกว่าจะก้าวร้าวหรือไม่ก้าวร้าวได้
จากนั้นผู้ทดลองจะออกจากห้องให้ดูเหมือนว่าจะไปเอาของเล่นมาอีก เด็กๆ ถูกปล่อยให้เล่นตาม
ลาพัง และผู้ทดลองได้สังเกตพวกเด็กๆ จากกระจกด้านเดียว ผลลัพธ์เป็นไปตามที่คาดหมาย เด็กที่
ได้เห็นตัวแบบรับรางวัลจะเลียนแบบตัวแบบที่ก้าวร้าวมากกว่าตัวแบบที่ถูกทาโทษ การทดลอง
ดังกล่าวแสดงให้เห็นการเสริมแรงและการทาโทษสร้างพฤติกรรมเลียนแบบที่ไม่เหมือนกัน เด็ก
อาจจะไร้เดียงสา ถูกจัดการได้ง่าย แต่ผู้ใหญ่จะมีพฤติกรรมที่ซับซ้อนกว่านี้อีกทั้งการทดลองเป็น
๓๒
A. Bandura, Social learning theory, p. 122.
๓๓
Ibid, p p. 122-125.
๒๕
สภาพซึ่งไม่จริง ถ้าอยู่ในชีวิตจริง เด็กๆ อาจมีพฤติกรรมที่ต่างกันก็ได้เพราะเวลาเด็กก้าวร้าว ผู้ใหญ่
จะเตือนและสั่งสอนเด็กก็จะไม่เลียนแบบ๓๔
เมื่อพิจารณาต่อไปจะเกิดคาถามอีกว่า มีการเลียนแบบจริงในสภาพที่ถูกเสริมแรง
แล้วเด็กจะรับเป็นพฤติกรรมของตนหรือไม่ และเป็นไปได้หรือไม่ว่าเด็กทุกคนได้เรียนรู้พฤติกรรม
แต่มีพวกเห็นเขาได้รับรางวัลและไม่เห็นใครถูกทาโทษเท่านั้นที่เลียนแบบ แบนดูร่าได้ทาการ
ทดลองต่อไป โดยการให้ของรางวัลที่น่าสนใจถ้าเลียนแบบ ผลปรากฏว่าเด็กทุกคนเลียนแบบหมด
บทเรียนข้อนี้คือต้องสอนลูกให้มีภูมิต้านทางสังคม เพื่อป้ องกันไม่ให้ถูกหลอก
ปัญหาที่รุนแรงอีกประการ คือ ปัญหาความก้าวร้าวทางสังคม โดยการดูหนัง ดูทีวี ถ้า
การเลียนแบบเกิดขึ้นได้ง่าย สังคมย่อมเต็มไปด้วยคนก้าวร้าว แต่ตามความเป็นจริง มนุษย์รู้จัก
แยกแยะ ด้วยเหตุนี้ แม้หนังและทีวีจะรุนแรง แต่คนจะไม่เลียนแบบกันเยอะ แม้สิ่งเหล่านี้จะเพิ่ม
ความก้าวร้าวได้ ทั้งนี้เพราะมนุษย์ซึ่งรวมทั้งเด็กส่วนใหญ่รู้จักแยกแยะ๓๕
๒.๔.๑.๓ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและสิ่งแวดล้อม
แบนดูร่า มีความเห็นว่าทั้งสิ่งแวดล้อม และตัวผู้เรียนมีความสาคัญเท่าๆ กัน แบนดูรา
กล่าวว่า คนเรามีปฏิสัมพันธ์ (interact) กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเราอยู่เสมอการเรียนรู้เกิดจาก
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งผู้เรียนและสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อกันและกัน
พฤติกรรมของคนเราส่วนมากจะเป็นการเรียนรู้โดยการสังเกต (observational learning) หรือการ
เลียนแบบจากตัวแบบ (modeling) สาหรับตัวแบบไม่จาเป็นต้องเป็นตัวแบบที่มีชีวิตเท่านั้น แต่
อาจจะเป็นตัวสัญลักษณ์ เช่น ตัวแบบที่เห็นในโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์หรืออาจจะเป็นรูปภาพ
การ์ตูนหนังสือก็ได้นอกจากนี้ คาบอกเล่าด้วยคาพูดหรือข้อมูลที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรก็เป็นตัว
แบบได้การเรียนรู้โดยการสังเกตไม่ใช่การลอกแบบจากสิ่งที่สังเกตโดยผู้เรียนไม่คิด คุณสมบัติของ
ผู้เรียนมีความสาคัญ เช่น ผู้เรียนจะต้องมีความสามารถที่จะรับรู้สิ่งเร้า และสามารถสร้างรหัสหรือ
กาหนดสัญลักษณ์ของสิ่งที่สังเกตเก็บไว้ในความจาระยะยาว และสามารถเรียกใช้ในขณะที่ผู้สังเกต
ต้องการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ
๓๔
A. Bandura, D. Ross, and S. A. Ross, “Transmission of aggressive Through imitation of
aggressive models”, Journal of Abnormal and Social Psychology, vol. 63, Issue 3, (November 1961) : 575-
582.
๓๕
A. Bandura, J. E. Grusex, and F. L. Menlove, “Observational Learning as a Function of
Symbolization and Incentive Set”, Child Development, vol. 37 no. 3 (1966) : 499-506.
๒๖
แบนดูราได้เริ่มทาการวิจัยเกี่ยวกับการเรียนรู้โดยการสังเกต หรือการเลียนแบบ ตั้งแต่
ปี ค.ศ. ๑๙๖๐ เป็นต้นมา ได้ทาการวิจัยเป็นโครงการระยะยาว และได้ทาการพิสูจน์สมมติฐานที่ตั้ง
ไว้ทีละอย่าง โดยใช้กลุ่มทดลองและควบคุมอย่างละเอียดและเป็นขั้นตอน๓๖
การเรียนรู้โดยการสังเกต สามารถประยุกต์ใช้ในการสอนได้ เช่น การเรียนรู้ที่จะเล่น
ฟุตบอล วิธีการเล่นฟุตบอลส่วนใหญ่เรียนรู้โดยการสังเกต และแม้แต่เด็กที่กลัวที่จะไปพบ
ทันตแพทย์ เพื่อที่จะถอนฟันที่กาลังปวด นักจิตวิทยาชื่อ เครก (Craig) ใช้การเรียนรู้โดยการสังเกต
ช่วยเด็กที่กลัวการไปพบทันตแพทย์ โดยแบ่งเด็กเป็นสองกลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งเป็นกลุ่มทดลองให้ดู
ภาพยนตร์ ที่ตัวแบบกลัวทันตแพทย์ แต่พยายามควบคุมความกลัวไม่แสดงออก หลังจากทันต
แพทย์ถอนฟันแล้วได้รับคาชมเชย และได้ของเล่น หลังจากดูภาพยนตร์เด็กกลุ่มที่หนึ่งจะวิกตก
กังวล และกลัวการไปพบทันตแพทย์น้อยกว่าเด็กกลุ่มที่สอง ซึ่งเป็นกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้ดู
ภาพยนตร์๓๗
การทดลองของแบนดูราที่เกี่ยวกับการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือเลียนแบบมีผู้นาไป
ทาซ้า ปรากฏผลการทดลองเหมือนกับแบนดูราได้รับ นอกจากนี้มีนักจิตวิทยาหลายท่านได้ใช้แบบ
การเรียนรู้ โดยวิธีการสังเกตในการเรียนการสอนวิชาต่างๆ
๒.๔.๑.๔ ขั้นของการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือเลียนแบบ
แบนดูรากล่าวว่า การเรียนรู้ทางสังคมด้วยการรู้คิดจากการเลียนแบบมี ๒ ขั้น คือ ขั้น
แรกเป็นขั้นการได้รับมาซึ่งการเรียนรู้ (acquisition) ทาให้สามารถแสดงพฤติกรรมได้ ขั้นที่ ๒
เรียกว่าขั้นการกระทา (performance) ซึ่งอาจจะกระทาหรือไม่กระทาก็ได้ การแบ่งขั้นของการเรียนรู้
แบบนี้ทาให้ทฤษฎีการเรียนรู้ของแบนดูราแตกต่างจากทฤษฎีพฤติกรรมนิยมชนิดอื่นๆ การเรียนรู้ที่
แบ่งออกเป็น ๒ ขั้น อาจจะแสดงด้วยแผนผังที่ ๒.๒ และขั้นการรับมาซึ่งการเรียนรู้ ประกอบด้วย
ส่วนประกอบที่สาคัญเป็นลาดับ ๓ ลาดับ ดังแสดงในแผนผังที่ ๒.๓
๓๖
เช่น A. Bandura, D. Ross, and S. A. Ross, “Transmission of aggressive Through imitation of
aggressive models”, pp. 575-582, A. Bandura, D. Ross, and S. A. Ross, “Imitation of film-mediated aggressive
models”, pp. 3-11.
๓๗
จิราภา เต็งไตรรัตน์ และคณะ, จิตวิทยาทั่วไป, พิมพ์ครั้งที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๕๒), หน้า ๑๓๗.
๒๗
จากแผนผังนี้เห็นว่า ส่วนประกอบทั้ง ๓ อย่าง ของการรับมาซึ่งการเรียนรู้เป็น
กระบวนการรู้คิด (cognitive processes) ความใส่ใจที่เลือกสิ่งเร้ามีบทบาทสาคัญในการเลือกตัว
แบบ
สาหรับขั้นการกระทา (performance) นั้นขึ้นอยู่กับผู้เรียน เช่น ความสามารถทางด้าน
ร่างกาย ทักษะต่างๆ รวมทั้งความคาดหวังที่จะได้รับแรงเสริมซึ่งเป็นแรงจูงใจ
ความใส่ใจเลือกสิ่งเร้า
Selective Attention
การเข้ารหัส
(Coding)
การจดจา
(Retention)
ตัวแบบ
input
model
ที่มา : A. Bandura, Social Learning Theory, (Englewood Cliffs, New Jersey : Prentice-Hall, Inc.,
1976), p. 38.
รูปภาพที่ ๒.๓ แผนผังส่วนประกอบของการเรียนรู้ขึ้นกับการรับมาซึ่งการเรียนรู้
สิ่งเร้าหรือ
การรับเข้า
(Input)
บุคคล
(Person)
พฤติกรรมสนองตอบ
หรือการส่งออก
(output)
ขั้นที่ ๑ ขั้นที่ ๒
ขั้นการรับมาซึ่งความรู้
(Acquisition)
ขั้นการกระทา
(Performance)
ที่มา : A. Bandura, Social Learning Theory, (Englewood Cliffs, New Jersey : Prentice-Hall, Inc.,
1976), p. 79.
รูปภาพที่ ๒.๒ แผนผังขั้นของการเรียนรู้โดยการเลียนแบบ
๒๘
๒.๔.๑.๕ กระบวนการที่สาคัญในการเรียนรู้โดยการสังเกต
แบนดูราได้อธิบายว่ากระบวนการที่สาคัญในการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการเรียนรู้
โดยตัวแบบมีทั้งหมด ๔ อย่างคือ ก. กระบวนการความเอาใจใส่ (attention) ข. กระบวนการจดจา
(retention) ค. กระบวนการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวอย่าง (reproduction) ง. กระบวนการการจูงใจ
(motivation)๓๘
๓๘
A. Bandura, Social Foundations of Thought and Action : A Social cognitive theory,
(Prentice-Hall, Inc., Englewood Cliffs, New Jersey 1986), pp. 51-70, A. Bandura, A Social learning theory,
(Prentice-Hall, Inc., Englewood Cliffs, New Jersey 1976), pp. 23-28, A. Bandura, Principles of Behavior
Modification, (Holt, Rinehart and Winston, Inc, New York, 1969), pp. 136-143, A. Bandura, Aggression : a
social learning analysis, (Prentice-Hall, Inc., Englewood Cliffs, New Jersey 1973), pp. 68-72.
รูปภาพที่ ๒.๔ แผนผังกระบวนการในการเรียนรู้โดยการสังเกต
กระบวนการตั้งใจ
เหตุการณ์ของตัวแบบ
เด่นชัด
ก่อให้เกิดความพึงพอใจ
ความซับซ้อน
ดึงดูดจิตใจ
มีคุณค่า
ผู้สังเกต
ความสามารถในการรับรู้
ชุดของการรับรู้
ความสามารถทางปัญญา
ระดับของการตื่นตัว
ความชอบจากการเรียนรู้มา
ก่อน
กระบวนการเก็บจา
การเก็บรหัสเป็นสัญลักษณ์
การจัดระบบโครงสร้างทางปัญญา
การซักซ้อมทางปัญญา
การซักซ้อมด้วยการกระทา
ผู้สังเกต
ทักษะทางปัญญา
โครงสร้างทางปัญญา
กระบวนการกระทา
สิ่งที่จาได้ในปัญญา
การสังเกตการกระทา
การได้ข้อมูลป้อนกลับ
การเทียบเคียงการกระทากับภาพ
ในปัญญา
ผู้สังเกต
ความสามารถทางร่างกาย
ทักษะในพฤติกรรมย่อย ๆ
กระบวนการจูงใจ
สิ่งล่อใจภายนอก
การรับรู้
วัตถุสิ่งของ
สังคม
ควบคุม
สิ่งล่อใจที่เห็นผู้อื่นได้รับ
สิ่งล่อใจตนเอง
วัตถุสิ่งของ
การประเมินตนเอง
ผู้สังเกต
ความพึงพอใจในสิ่งล่อใจ
ความลาเอียงจากการเปรียบเทียบ
ทางสังคม
มาตรฐานภายในของตนเอง
ที่มา : A. Bandura, Social Learning Theory, (Englewood Cliffs, New Jersey : Prentice-Hall, Inc.,
1976), p. 23.
๒๙
ในตอนเริ่มแรกของการวิจัย ที่แบนดูร่าใช้ชื่อว่าทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (social
learning theory) แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น การเรียนรู้ทางปัญญาสังคม (social cognitive theory)
ก. กระบวนการความใส่ใจ ( attentional processes )
ความใส่ใจของผู้เรียนเป็นสิ่งสาคัญมาก ถ้าผู้เรียนไม่มีความใส่ใจในการเรียนรู้ โดยการ
สังเกตหรือการเลียนแบบก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้น การเรียนรู้แบบนี้ความใส่ใจจึงเป็นสิ่งแรกที่ผู้เรียน
จะต้องมี แบนดูรากล่าวว่าผู้เรียนจะต้องรับรู้ส่วนประกอบที่สาคัญของพฤติกรรมของผู้ที่เป็นตัว
แบบ องค์ประกอบที่สาคัญของตัวแบบที่มีอิทธิพลต่อความใส่ใจของผู้เรียนมีหลายอย่าง เช่น เป็นผู้
ที่มีเกียรติสูง (High Status) มีความสามารถสูง (High Competence) หน้าตาดี รวมทั้งการแต่งตัว การ
มีอานาจที่จะให้รางวัลหรือลงโทษ
คุณลักษณะของผู้เรียนก็มีความสัมพันธ์กับกระบวนการใส่ใจ ตัวอย่างเช่น วัยของ
ผู้เรียน ความสามารถทางด้านพุทธิปัญญา ทักษะทางการใช้มือและส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รวม
ทั้งตัวแปรทางบุคลิกภาพของผู้เรียน เช่น ความรู้สึกว่าตนนั้นมีค่า (Self-Esteem) ความต้องการและ
ทัศนคติของผู้เรียน ตัวแปรเหล่านี้มักจะเป็นสิ่งจากัดขอบเขตของการเรียนรู้โดยการสังเกต
ตัวอย่างเช่น ถ้าครูต้องการให้เด็กวัยอนุบาลเขียนพยัญชนะไทยที่ยาก ๆ เช่น ฆ ม โดยพยายามแสดง
การเขียนให้ดูเป็นตัวอย่าง ทักษะการใช้กล้ามเนื้อในการเคลื่อนไหวของเด็กวัยอนุบาลยังไม่พร้อม
ฉะนั้นเด็กวัยอนุบาลบางคนจะเขียนหนังสือตามที่ครูคาดหวังไม่ได้๓๙
๓๙
A. Bandura, Social Learning Theory, p. 24-25.
ความใส่ใจ
attention
การจดจา
retention
การแสดงพฤติกรรม
เหมือนตัวอย่าง
reproduction
แรงจูงใจ
motivation
ที่มา. A, Bandura, Social Foundations of Thought and Action : A Social cognitive theory, (Englewood
Cliffs, New Jersey, Prentice-Hall, Inc., 1997), p. 23.
รูปภาพที่ ๒.๕ แผนผังกระบวนการในการเรียนรู้โดยการสังเกต
๓๐
ข. กระบวนการจดจา (Retention Process)
แบนดูรา อธิบายว่า การที่ผู้เรียนหรือผู้สังเกตสามารถที่จะเลียนแบบหรือแสดง
พฤติกรรมเหมือนตัวแบบได้ก็เป็นเพราะผู้เรียนบันทึกสิ่งที่ตนสังเกตจากตัวแบบไว้ในความจาระยะ
ยาว แบนดูรา พบว่าผู้สังเกตที่สามารถอธิบายพฤติกรรม หรือการกระทาของตัวแบบด้วยคาพูด หรือ
สามารถมีภาพพจน์สิ่งที่ตนสังเกตไว้ในใจจะเป็นผู้ที่สามารถจดจาสิ่งที่เรียนรู้โดยการสังเกตได้
ดีกว่าผู้ที่เพียงแต่ดูเฉย ๆ หรือทางานอื่นในขณะที่ดูตัวแบบไปด้วย สรุปแล้วผู้สังเกตที่สามารถระลึก
ถึงสิ่งที่สังเกตเป็นภาพพจน์ในใจ (Visual Imagery) และสามารถเข้ารหัสด้วยคาพูดหรือถ้อยคา
(Verbal Coding) จะเป็นผู้ที่สามารถแสดงพฤติกรรมเลียนแบบจากตัวแบบได้แม้ว่าเวลาจะผ่านไป
นาน ๆ และนอกจากนี้ถ้าผู้สังเกตหรือ ผู้เรียนมีโอกาสที่จะได้เห็นตัวแบบแสดงสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ซ้า
ก็จะเป็นการช่วยความจาให้ดียิ่งขึ้น๔๐
ค. กระบวนการแสดงพฤติกรรมเหมือนกับตัวแบบ (Motor Reproduction Process)
กระบวนการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบเป็นกระบวนการที่ผู้เรียน แปรสภาพ
(Transform) ภาพพจน์ (Visual Image) หรือสิ่งที่จาไว้เป็นการเข้ารหัสเป็นถ้อยคา (Verbal Coding)
ในที่สุดแสดงออกมาเป็นการกระทาหรือแสดงพฤติกรรมเหมือนกับตัวแบบ ปัจจัยที่สาคัญของ
กระบวนการนี้คือ ความพร้อมทางด้านร่างกายและทักษะที่จาเป็นจะต้องใช้ในการเลียนแบบของ
ผู้เรียน ถ้าหากผู้เรียนไม่มีความพร้อมก็จะไม่สามารถที่จะแสดงพฤติกรรมเลียนแบบได้
แบนดูรา กล่าวว่าการเรียนรู้โดยการสังเกต หรือการเลียนแบบ ไม่ใช่เป็นพฤติกรรมที่
ลอกแบบอย่างตรงไปตรงมา การเรียนรู้โดยการสังเกตประกอบด้วยกระบวนการทางพุทธิปัญญา
(Cognitive Process) และความพร้อมทางด้านร่างกายของผู้เรียน ฉะนั้นในขั้นการแสดงพฤติกรรม
เหมือนตัวแบบ (Reproduction) ของแต่ละบุคคลจึงแตกต่างกันไปผู้เรียนบางคนก็อาจจะทาได้ดีกว่า
ตัวแบบที่ตนสังเกตหรือบางคนก็สามารถเลียนแบบได้เหมือนมาก บางคนก็อาจจะทาได้ไม่
เหมือนกับตัวแบบเพียงแต่คล้ายคลึงกับตัวแบบมีบางส่วนเหมือนบางส่วนไม่เหมือนกับตัวแบบและ
ผู้เรียนบางคนจะไม่สามารถแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ ฉะนั้น แบนดูราจึงให้คาแนะนาแก่ผู้ที่มี
หน้าที่เป็นตัวแบบ เช่น ผู้ปกครองหรือครูควรใช้ผลย้อนกลับที่ต้องตรวจสอบแก้ไข (Correcting
๔๐
A. Bandura, Social Learning Theory, pp.25-26.
บทที่ ๒ (จริง)๑
บทที่ ๒ (จริง)๑
บทที่ ๒ (จริง)๑
บทที่ ๒ (จริง)๑
บทที่ ๒ (จริง)๑
บทที่ ๒ (จริง)๑
บทที่ ๒ (จริง)๑
บทที่ ๒ (จริง)๑
บทที่ ๒ (จริง)๑
บทที่ ๒ (จริง)๑
บทที่ ๒ (จริง)๑
บทที่ ๒ (จริง)๑
บทที่ ๒ (จริง)๑
บทที่ ๒ (จริง)๑
บทที่ ๒ (จริง)๑
บทที่ ๒ (จริง)๑

More Related Content

What's hot

ศาสตราจารย์บันดูรา การเรียนรู้โดยการสังเกต
ศาสตราจารย์บันดูรา การเรียนรู้โดยการสังเกตศาสตราจารย์บันดูรา การเรียนรู้โดยการสังเกต
ศาสตราจารย์บันดูรา การเรียนรู้โดยการสังเกตorawan chaiyakhan
 
แผนการจัดกิจกรรมผู้บำเพ็ญประโยชน์
แผนการจัดกิจกรรมผู้บำเพ็ญประโยชน์แผนการจัดกิจกรรมผู้บำเพ็ญประโยชน์
แผนการจัดกิจกรรมผู้บำเพ็ญประโยชน์Wichai Likitponrak
 
พุทธศาสนานิกายมหายาน
พุทธศาสนานิกายมหายานพุทธศาสนานิกายมหายาน
พุทธศาสนานิกายมหายานChainarong Maharak
 
หลักสูตรกิจกรรมผู้บำเพ็ญ56
หลักสูตรกิจกรรมผู้บำเพ็ญ56หลักสูตรกิจกรรมผู้บำเพ็ญ56
หลักสูตรกิจกรรมผู้บำเพ็ญ56Wichai Likitponrak
 
การสร้างเครื่องมือวัดทักษะหรือการปฏิบัติ
การสร้างเครื่องมือวัดทักษะหรือการปฏิบัติการสร้างเครื่องมือวัดทักษะหรือการปฏิบัติ
การสร้างเครื่องมือวัดทักษะหรือการปฏิบัติNU
 
นำเสนอคุณธรรมจริยธรรม
นำเสนอคุณธรรมจริยธรรมนำเสนอคุณธรรมจริยธรรม
นำเสนอคุณธรรมจริยธรรมssuser34255a
 
เกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกายสำหรับเด็กไทยอายุ 7-18 ปี โดย กรมพลศึกษา
เกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกายสำหรับเด็กไทยอายุ 7-18 ปี โดย กรมพลศึกษาเกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกายสำหรับเด็กไทยอายุ 7-18 ปี โดย กรมพลศึกษา
เกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกายสำหรับเด็กไทยอายุ 7-18 ปี โดย กรมพลศึกษาOhm Tarit
 
แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรม
แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมแบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรม
แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมkruuni
 
เทคนิคการเขียนเอกสารประกอบการสอน
เทคนิคการเขียนเอกสารประกอบการสอนเทคนิคการเขียนเอกสารประกอบการสอน
เทคนิคการเขียนเอกสารประกอบการสอนPrachyanun Nilsook
 
พัฒนาการของมนุษย์
พัฒนาการของมนุษย์พัฒนาการของมนุษย์
พัฒนาการของมนุษย์khuwawa2513
 
แบบสังเกตุชั้นเรียน
แบบสังเกตุชั้นเรียนแบบสังเกตุชั้นเรียน
แบบสังเกตุชั้นเรียนIct Krutao
 
3.แผนสุขศึกษาหลีกเลี่ยงความรุนแรงม. 3
3.แผนสุขศึกษาหลีกเลี่ยงความรุนแรงม. 33.แผนสุขศึกษาหลีกเลี่ยงความรุนแรงม. 3
3.แผนสุขศึกษาหลีกเลี่ยงความรุนแรงม. 3Kruthai Kidsdee
 
หน่วย2_การผลิตสินค้าและบริการppt.pdf
หน่วย2_การผลิตสินค้าและบริการppt.pdfหน่วย2_การผลิตสินค้าและบริการppt.pdf
หน่วย2_การผลิตสินค้าและบริการppt.pdfsurakitsiin
 
สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ประถม
สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ประถมสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ประถม
สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ประถมTa Lattapol
 
1.กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ PPT เเก้ไขได้ ล่าสุด.pptx
1.กระบวนการทางวิทยาศาสตร์  PPT เเก้ไขได้ ล่าสุด.pptx1.กระบวนการทางวิทยาศาสตร์  PPT เเก้ไขได้ ล่าสุด.pptx
1.กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ PPT เเก้ไขได้ ล่าสุด.pptxTinnakritWarisson
 
การให้คะแนนแบบรูบิค[1]
การให้คะแนนแบบรูบิค[1]การให้คะแนนแบบรูบิค[1]
การให้คะแนนแบบรูบิค[1]Siriphan Kristiansen
 

What's hot (20)

ศาสตราจารย์บันดูรา การเรียนรู้โดยการสังเกต
ศาสตราจารย์บันดูรา การเรียนรู้โดยการสังเกตศาสตราจารย์บันดูรา การเรียนรู้โดยการสังเกต
ศาสตราจารย์บันดูรา การเรียนรู้โดยการสังเกต
 
แผนการจัดกิจกรรมผู้บำเพ็ญประโยชน์
แผนการจัดกิจกรรมผู้บำเพ็ญประโยชน์แผนการจัดกิจกรรมผู้บำเพ็ญประโยชน์
แผนการจัดกิจกรรมผู้บำเพ็ญประโยชน์
 
พุทธศาสนานิกายมหายาน
พุทธศาสนานิกายมหายานพุทธศาสนานิกายมหายาน
พุทธศาสนานิกายมหายาน
 
หลักสูตรกิจกรรมผู้บำเพ็ญ56
หลักสูตรกิจกรรมผู้บำเพ็ญ56หลักสูตรกิจกรรมผู้บำเพ็ญ56
หลักสูตรกิจกรรมผู้บำเพ็ญ56
 
การสร้างเครื่องมือวัดทักษะหรือการปฏิบัติ
การสร้างเครื่องมือวัดทักษะหรือการปฏิบัติการสร้างเครื่องมือวัดทักษะหรือการปฏิบัติ
การสร้างเครื่องมือวัดทักษะหรือการปฏิบัติ
 
นำเสนอคุณธรรมจริยธรรม
นำเสนอคุณธรรมจริยธรรมนำเสนอคุณธรรมจริยธรรม
นำเสนอคุณธรรมจริยธรรม
 
เกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกายสำหรับเด็กไทยอายุ 7-18 ปี โดย กรมพลศึกษา
เกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกายสำหรับเด็กไทยอายุ 7-18 ปี โดย กรมพลศึกษาเกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกายสำหรับเด็กไทยอายุ 7-18 ปี โดย กรมพลศึกษา
เกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกายสำหรับเด็กไทยอายุ 7-18 ปี โดย กรมพลศึกษา
 
แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรม
แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมแบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรม
แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรม
 
Math e book release2-1.1
Math e book release2-1.1Math e book release2-1.1
Math e book release2-1.1
 
เทคนิคการเขียนเอกสารประกอบการสอน
เทคนิคการเขียนเอกสารประกอบการสอนเทคนิคการเขียนเอกสารประกอบการสอน
เทคนิคการเขียนเอกสารประกอบการสอน
 
พัฒนาการของมนุษย์
พัฒนาการของมนุษย์พัฒนาการของมนุษย์
พัฒนาการของมนุษย์
 
แบบสังเกตุชั้นเรียน
แบบสังเกตุชั้นเรียนแบบสังเกตุชั้นเรียน
แบบสังเกตุชั้นเรียน
 
3.แผนสุขศึกษาหลีกเลี่ยงความรุนแรงม. 3
3.แผนสุขศึกษาหลีกเลี่ยงความรุนแรงม. 33.แผนสุขศึกษาหลีกเลี่ยงความรุนแรงม. 3
3.แผนสุขศึกษาหลีกเลี่ยงความรุนแรงม. 3
 
หน่วย2_การผลิตสินค้าและบริการppt.pdf
หน่วย2_การผลิตสินค้าและบริการppt.pdfหน่วย2_การผลิตสินค้าและบริการppt.pdf
หน่วย2_การผลิตสินค้าและบริการppt.pdf
 
สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ประถม
สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ประถมสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ประถม
สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ประถม
 
แบบประเม น
แบบประเม นแบบประเม น
แบบประเม น
 
ความหนาแน่น
ความหนาแน่นความหนาแน่น
ความหนาแน่น
 
1.กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ PPT เเก้ไขได้ ล่าสุด.pptx
1.กระบวนการทางวิทยาศาสตร์  PPT เเก้ไขได้ ล่าสุด.pptx1.กระบวนการทางวิทยาศาสตร์  PPT เเก้ไขได้ ล่าสุด.pptx
1.กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ PPT เเก้ไขได้ ล่าสุด.pptx
 
การให้คะแนนแบบรูบิค[1]
การให้คะแนนแบบรูบิค[1]การให้คะแนนแบบรูบิค[1]
การให้คะแนนแบบรูบิค[1]
 
ความแข็ง
ความแข็งความแข็ง
ความแข็ง
 

Viewers also liked

After civilization
After civilization After civilization
After civilization vgrinb
 
Algemene Rekenkamer: Transparantie in de 21ste eeuw
Algemene Rekenkamer: Transparantie in de 21ste eeuwAlgemene Rekenkamer: Transparantie in de 21ste eeuw
Algemene Rekenkamer: Transparantie in de 21ste eeuwArjan Fassed
 
Sales Coaching with IMPACT!!
Sales Coaching with IMPACT!!Sales Coaching with IMPACT!!
Sales Coaching with IMPACT!!KUMAR LANG
 
Minicurso iniciando com Android no Androidos Day
Minicurso iniciando com Android no Androidos DayMinicurso iniciando com Android no Androidos Day
Minicurso iniciando com Android no Androidos DayMessias Batista
 
Research, Monitoring, Transparency
Research, Monitoring, TransparencyResearch, Monitoring, Transparency
Research, Monitoring, TransparencyArjan Fassed
 
ประเภทของกฏหมาย
ประเภทของกฏหมายประเภทของกฏหมาย
ประเภทของกฏหมายnongnoon
 
Vita di don orione in italiano (1)
Vita di don orione in italiano (1)Vita di don orione in italiano (1)
Vita di don orione in italiano (1)adamoa4
 
Hergebruik overheidsinformatie
Hergebruik overheidsinformatieHergebruik overheidsinformatie
Hergebruik overheidsinformatieArjan Fassed
 
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒วัดดอนทอง กาฬสินธุ์
 
Actividad n°1 mapa conceptual tecnologia educativa
Actividad n°1 mapa conceptual tecnologia educativaActividad n°1 mapa conceptual tecnologia educativa
Actividad n°1 mapa conceptual tecnologia educativaEdwin Quintero Monsalve
 
Failed Sales Training? Here's your answer.
Failed Sales Training? Here's your answer.Failed Sales Training? Here's your answer.
Failed Sales Training? Here's your answer.KUMAR LANG
 

Viewers also liked (20)

บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
 
After civilization
After civilization After civilization
After civilization
 
Algemene Rekenkamer: Transparantie in de 21ste eeuw
Algemene Rekenkamer: Transparantie in de 21ste eeuwAlgemene Rekenkamer: Transparantie in de 21ste eeuw
Algemene Rekenkamer: Transparantie in de 21ste eeuw
 
Sales Coaching with IMPACT!!
Sales Coaching with IMPACT!!Sales Coaching with IMPACT!!
Sales Coaching with IMPACT!!
 
Proba
ProbaProba
Proba
 
Earthquakes
EarthquakesEarthquakes
Earthquakes
 
Minicurso iniciando com Android no Androidos Day
Minicurso iniciando com Android no Androidos DayMinicurso iniciando com Android no Androidos Day
Minicurso iniciando com Android no Androidos Day
 
Research, Monitoring, Transparency
Research, Monitoring, TransparencyResearch, Monitoring, Transparency
Research, Monitoring, Transparency
 
Bata Home
Bata HomeBata Home
Bata Home
 
03essay
03essay03essay
03essay
 
ประเภทของกฏหมาย
ประเภทของกฏหมายประเภทของกฏหมาย
ประเภทของกฏหมาย
 
Vita di don orione in italiano (1)
Vita di don orione in italiano (1)Vita di don orione in italiano (1)
Vita di don orione in italiano (1)
 
Hergebruik overheidsinformatie
Hergebruik overheidsinformatieHergebruik overheidsinformatie
Hergebruik overheidsinformatie
 
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๒
 
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
 
ปกสารนิพนธ์ (พฤติกรรม)๑
ปกสารนิพนธ์ (พฤติกรรม)๑ปกสารนิพนธ์ (พฤติกรรม)๑
ปกสารนิพนธ์ (พฤติกรรม)๑
 
บทที่ ๒ (จริง)๑
บทที่ ๒ (จริง)๑บทที่ ๒ (จริง)๑
บทที่ ๒ (จริง)๑
 
Actividad n°1 mapa conceptual tecnologia educativa
Actividad n°1 mapa conceptual tecnologia educativaActividad n°1 mapa conceptual tecnologia educativa
Actividad n°1 mapa conceptual tecnologia educativa
 
Adjectives
AdjectivesAdjectives
Adjectives
 
Failed Sales Training? Here's your answer.
Failed Sales Training? Here's your answer.Failed Sales Training? Here's your answer.
Failed Sales Training? Here's your answer.
 

Similar to บทที่ ๒ (จริง)๑

9789740330592
97897403305929789740330592
9789740330592CUPress
 
จริยศาสตร์ประเมินบทที่222 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่222 3-ปีจริยศาสตร์ประเมินบทที่222 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่222 3-ปีPa'rig Prig
 
ศึกษาเปรียบเทียบหลักจริยศาสตร์ของโสคราตีสกับพุทธปรัชญาเถรวาท
ศึกษาเปรียบเทียบหลักจริยศาสตร์ของโสคราตีสกับพุทธปรัชญาเถรวาทศึกษาเปรียบเทียบหลักจริยศาสตร์ของโสคราตีสกับพุทธปรัชญาเถรวาท
ศึกษาเปรียบเทียบหลักจริยศาสตร์ของโสคราตีสกับพุทธปรัชญาเถรวาทpentanino
 
9789740330349
97897403303499789740330349
9789740330349CUPress
 
บทนำเกี่ยวกับจิตวิทยา Present
บทนำเกี่ยวกับจิตวิทยา Presentบทนำเกี่ยวกับจิตวิทยา Present
บทนำเกี่ยวกับจิตวิทยา PresentKobchai Khamboonruang
 
ปรัชญาและปรัชญาการศึกษา 29 ต.ค.52
ปรัชญาและปรัชญาการศึกษา 29 ต.ค.52ปรัชญาและปรัชญาการศึกษา 29 ต.ค.52
ปรัชญาและปรัชญาการศึกษา 29 ต.ค.52juriporn chuchanakij
 
จิตวิทยาการเรียนร้
จิตวิทยาการเรียนร้จิตวิทยาการเรียนร้
จิตวิทยาการเรียนร้kungcomedu
 
บทความวิชาการ
บทความวิชาการบทความวิชาการ
บทความวิชาการSupattra Rakchat
 
จิตวิทยาการเรียนร้2
จิตวิทยาการเรียนร้2จิตวิทยาการเรียนร้2
จิตวิทยาการเรียนร้2kungcomedu
 
จิตวิทยาการเรียนร้2
จิตวิทยาการเรียนร้2จิตวิทยาการเรียนร้2
จิตวิทยาการเรียนร้2kungcomedu
 

Similar to บทที่ ๒ (จริง)๑ (20)

บทที่ ๒ (จริง)๑
บทที่ ๒ (จริง)๑บทที่ ๒ (จริง)๑
บทที่ ๒ (จริง)๑
 
9789740330592
97897403305929789740330592
9789740330592
 
Intro sciproject
Intro sciprojectIntro sciproject
Intro sciproject
 
Astroplan10
Astroplan10Astroplan10
Astroplan10
 
จริยศาสตร์ประเมินบทที่222 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่222 3-ปีจริยศาสตร์ประเมินบทที่222 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่222 3-ปี
 
ศึกษาเปรียบเทียบหลักจริยศาสตร์ของโสคราตีสกับพุทธปรัชญาเถรวาท
ศึกษาเปรียบเทียบหลักจริยศาสตร์ของโสคราตีสกับพุทธปรัชญาเถรวาทศึกษาเปรียบเทียบหลักจริยศาสตร์ของโสคราตีสกับพุทธปรัชญาเถรวาท
ศึกษาเปรียบเทียบหลักจริยศาสตร์ของโสคราตีสกับพุทธปรัชญาเถรวาท
 
แผนการจัดการเรียนรู้ที่๖
แผนการจัดการเรียนรู้ที่๖แผนการจัดการเรียนรู้ที่๖
แผนการจัดการเรียนรู้ที่๖
 
บทที่ ๔ (จริง)
บทที่ ๔ (จริง)บทที่ ๔ (จริง)
บทที่ ๔ (จริง)
 
51105
5110551105
51105
 
9789740330349
97897403303499789740330349
9789740330349
 
บทนำเกี่ยวกับจิตวิทยา Present
บทนำเกี่ยวกับจิตวิทยา Presentบทนำเกี่ยวกับจิตวิทยา Present
บทนำเกี่ยวกับจิตวิทยา Present
 
บทที่ ๑ (จริง)
บทที่ ๑ (จริง)บทที่ ๑ (จริง)
บทที่ ๑ (จริง)
 
บทที่ ๑ (จริง)
บทที่ ๑ (จริง)บทที่ ๑ (จริง)
บทที่ ๑ (จริง)
 
ปรัชญาและปรัชญาการศึกษา 29 ต.ค.52
ปรัชญาและปรัชญาการศึกษา 29 ต.ค.52ปรัชญาและปรัชญาการศึกษา 29 ต.ค.52
ปรัชญาและปรัชญาการศึกษา 29 ต.ค.52
 
จิตวิทยาการเรียนร้
จิตวิทยาการเรียนร้จิตวิทยาการเรียนร้
จิตวิทยาการเรียนร้
 
สังคมศึกษา ปลาย
สังคมศึกษา ปลายสังคมศึกษา ปลาย
สังคมศึกษา ปลาย
 
อังกฤษ ปลาย
อังกฤษ ปลายอังกฤษ ปลาย
อังกฤษ ปลาย
 
บทความวิชาการ
บทความวิชาการบทความวิชาการ
บทความวิชาการ
 
จิตวิทยาการเรียนร้2
จิตวิทยาการเรียนร้2จิตวิทยาการเรียนร้2
จิตวิทยาการเรียนร้2
 
จิตวิทยาการเรียนร้2
จิตวิทยาการเรียนร้2จิตวิทยาการเรียนร้2
จิตวิทยาการเรียนร้2
 

More from วัดดอนทอง กาฬสินธุ์

กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๓ กสิณ ๑๐
กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๓    กสิณ ๑๐กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๓    กสิณ ๑๐
กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๓ กสิณ ๑๐วัดดอนทอง กาฬสินธุ์
 
เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1
เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1
เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1วัดดอนทอง กาฬสินธุ์
 
เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1
เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1
เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1วัดดอนทอง กาฬสินธุ์
 

More from วัดดอนทอง กาฬสินธุ์ (20)

กถาวัตถุ
กถาวัตถุกถาวัตถุ
กถาวัตถุ
 
กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๓ กสิณ ๑๐
กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๓    กสิณ ๑๐กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๓    กสิณ ๑๐
กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๓ กสิณ ๑๐
 
กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๒
กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๒กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๒
กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๒
 
กรรมฐาน (สื่อการสอน ๑) สัปดาห์ที่ ๑
กรรมฐาน (สื่อการสอน ๑) สัปดาห์ที่ ๑กรรมฐาน (สื่อการสอน ๑) สัปดาห์ที่ ๑
กรรมฐาน (สื่อการสอน ๑) สัปดาห์ที่ ๑
 
กรรมฐาน (เอกสาร ๑)
กรรมฐาน (เอกสาร ๑)กรรมฐาน (เอกสาร ๑)
กรรมฐาน (เอกสาร ๑)
 
เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1
เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1
เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1
 
องค์ประกอบของการสัมมนา๒
องค์ประกอบของการสัมมนา๒องค์ประกอบของการสัมมนา๒
องค์ประกอบของการสัมมนา๒
 
รูปแบบการสัมมนา
รูปแบบการสัมมนารูปแบบการสัมมนา
รูปแบบการสัมมนา
 
เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1
เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1
เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1
 
ธรรมภาคปฏิบัติ ๑ รหัส ๐๐๐ ๑๕๑
ธรรมภาคปฏิบัติ ๑ รหัส ๐๐๐ ๑๕๑ธรรมภาคปฏิบัติ ๑ รหัส ๐๐๐ ๑๕๑
ธรรมภาคปฏิบัติ ๑ รหัส ๐๐๐ ๑๕๑
 
ธรรมภาคปฏิบัติ ๓ Ppt
ธรรมภาคปฏิบัติ ๓ Pptธรรมภาคปฏิบัติ ๓ Ppt
ธรรมภาคปฏิบัติ ๓ Ppt
 
ธรรมภาคปฏิบัติ ๓
ธรรมภาคปฏิบัติ ๓ธรรมภาคปฏิบัติ ๓
ธรรมภาคปฏิบัติ ๓
 
ธรรมภาคปฏิบัติ ๕
ธรรมภาคปฏิบัติ ๕ธรรมภาคปฏิบัติ ๕
ธรรมภาคปฏิบัติ ๕
 
๐๐๐ ๒๕๔ ธรรมภาคปฏิบัติ ๔
๐๐๐ ๒๕๔ ธรรมภาคปฏิบัติ ๔๐๐๐ ๒๕๔ ธรรมภาคปฏิบัติ ๔
๐๐๐ ๒๕๔ ธรรมภาคปฏิบัติ ๔
 
รายละเอียดวิชาพระสงฆ์กับภาวะผู้นำ
รายละเอียดวิชาพระสงฆ์กับภาวะผู้นำรายละเอียดวิชาพระสงฆ์กับภาวะผู้นำ
รายละเอียดวิชาพระสงฆ์กับภาวะผู้นำ
 
มคอ ๓ วิชาธรรมภาคปฏิบัติ ๓
มคอ ๓ วิชาธรรมภาคปฏิบัติ ๓มคอ ๓ วิชาธรรมภาคปฏิบัติ ๓
มคอ ๓ วิชาธรรมภาคปฏิบัติ ๓
 
มคอ ๓ วิชาธรรมภาคปฏิบัติ ๕
มคอ ๓ วิชาธรรมภาคปฏิบัติ ๕มคอ ๓ วิชาธรรมภาคปฏิบัติ ๕
มคอ ๓ วิชาธรรมภาคปฏิบัติ ๕
 
รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษ1
รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษ1รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษ1
รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษ1
 
รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษา(2)
รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษา(2)รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษา(2)
รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษา(2)
 
รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษา(1)
รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษา(1)รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษา(1)
รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษา(1)
 

บทที่ ๒ (จริง)๑

  • 1. บทที่ ๒ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการปรับพฤติกรรมตามหลักของแบนดูร่า เมื่อแบนดูร่า (Bandura) เป็นนักจิตวิทยากลุ่มทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมที่ได้รับการ ยอมรับมากที่สุด ดังนั้นการศึกษาเรื่องแนวทัศนะเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์และแนวทางพัฒนา พฤติกรรมมนุษย์ตามหลักของแบนดูร่าจึงน่าสนใจ แต่การจะศึกษาทั้งสองประเด็นดังกล่าว จาเป็นต้องเข้าใจเรื่องความหมายของพฤติกรรมและประเภทของพฤติกรรมในจิตวิทยาสมัยใหม่ เป็นพื้นฐานก่อน ๒.๑ ความหมายและประเภทของพฤติกรรมในจิตวิทยา ๒.๑.๑ ความหมายของพฤติกรรมในจิตวิทยา ความหมายของพฤติกรรมสามารถศึกษาจากคาอธิบายของนักวิชาการต่างๆ โดยเริ่มจาก คาอธิบายของ เรย์คอร์ซีนี (Ray Corsini) ที่ว่า “พฤติกรรม หมายถึง การกระทา ปฏิกิริยา และการมี ปฏิกิริยา เพื่อตอบสนองสิ่งเร้าภายนอกหรือภายใน ซึ่งครอบคลุมไปถึงกิจกรรมที่สามารถสังเกตได้ ด้วยการแสดงออก กิจกรรมที่สามารถสังเกตได้ด้วยตนเอง และกระบวนการที่ไร้สติสัมปชัญญะ”๑ โฮเวอร์ด ซี. วอร์เรน (Howard C. Warren) อธิบายว่า พฤติกรรม คือ “ชื่อโดยทั่วไปของ ความเป็นไปได้ทุกรูปแบบของระบบกล้ามเนื้อและระบบต่อมในการตอบสนองของชีวิตต่อการ กระตุ้น”๒ ๑ “Actions, reactions, and interactions in reponse to external or internal stimuli, including objectively observable activities, instrospectively observable activities, and unconscious processes.” - R. J. Corsini, The Dictionary of Psychology, (New York, NY : Brunner-Routledge, 2002), p. 99, นอกจากนี้ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์จิตวิทยา, (อักษร A-L), (กรุงเทพมหานคร : ศักดิโสภาการพิมพ์, ๒๕๔๘), หน้า ๔๑ ยังได้อธิบายคาว่า สติสัมปชัญญะ (consciousness) ว่าหมายถึง การตระหนักรู้เกี่ยวกับการสัมผัส ความคิด และความรู้สึก ซึ่งบุคคลมีประสบการณ์ในขณะนั้น. ๒ “a generic name for all modes of muscular or glandular response of the organism to stimulation”- H. C. Warren, Dictionary of Psychology, (Cambridge, MA : The Riberide Press, 1934), p. 30.
  • 2. ๑๒ แอนดรู เอ็ม. โคลแมน (Andrew M. Colman) ได้ให้ความหมายของพฤติกรรมว่า กิจกรรมทางกายของสิ่งมีชีวิต รวมถึงการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างเห็นได้ชัดทางสายตา และ ต่อมภายในร่างกาย และระบบสรีรวิทยาซึ่งเป็นที่รวมของร่างกายของสิ่งมีชีวิตและปฏิกิริยาของ ร่างกายที่มีต่อสิ่งแวดล้อม คานี้ยังหมายถึงการตอบรับทางร่างกายต่อสิ่งที่มากระตุ้นหรือระดับของ การกระตุ้นด้วย๓ ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายไว้ว่า พฤติกรรมหมายถึง “การกระทาหรืออาการที่ แสดงออกทางท่าทาง ความคิด และความรู้สึก เพื่อตอบสนองสิ่งเร้า”๔ สุโท เจริญสุข อธิบายถึงพฤติกรรมว่าหมายถึง “อาการแสดงออกของอินทรีย์ทั้งทาง กล้ามเนื้อและต่อม”๕ สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต ให้ความหมายพฤติกรรมว่า สิ่งที่บุคคลกระทา แสดงออก ตอบสนองหรือโต้ตอบต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในสภาพการณ์ใด สภาพการณ์หนึ่งที่สามารถสังเกตเห็นได้ ได้ยิน อีกทั้งวัดได้ตรงกัน ด้วยเครื่องมือที่เป็นวัตถุ วิสัย ไม่ว่าการแสดงออกหรือการตอบสนองนั้นจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกร่างกายก็ตาม เช่น การร้องไห้ การกิน การวิ่ง การขว้าง การอ่านหนังสือ การเต้นของชีพจร การเต้นของ หัวใจ การกระตุกของกล้ามเนื้อ เป็นต้น๖ พรรณราย ทรัพยะประภา ให้ความหมายพฤติกรรมว่า “การกระทาใดๆ ก็ตามซึ่ง สามารถสังเกตได้โดยบุคคลอื่น หรือ โดยการใช้เครื่องมือ พฤติกรรมมิได้หมายความเฉพาะแต่เพียง ๓ “The physical activity of an organism, including overt bodily movements and internal glandular and other physiological processes, constituting the sumtotal of the organism’s physical responses to its environment. The term also denotes the specific physical responses of an organism to particular stimuli or classes of stimuli”- Andrew M. Colman, Dictionary of Psychology, (New York : Oxford University Press Inc., 2004), p. 83. ๔ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์จิตวิทยา, (อักษร A-L), (กรุงเทพมหานคร : ศักดิโสภาการ พิมพ์, ๒๕๔๘), หน้า ๒๒. ๕ สุโท เจริญสุข, พจนานุกรมคาศัพท์จิตวิทยา และ ประวัติจิตวิทยาสาระสาคัญ, (กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๐), หน้า ๑๘. ๖ สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต, การปรับพฤติกรรม,(กรุงเทพมหานคร:โอเดียนสโตร์ ,๒๕๒๖), หน้า๒.
  • 3. ๑๓ การแสดงออกทางด้านร่างกายภายนอกเท่านั้น ยังรวมไปถึงการกระทาหรือกิจกรรมภายใน ความรู้สึกของบุคคลด้วย”๗ กันยา สุวรรณแสง ให้ความหมายพฤติกรรมว่า “กิริยา อาการ บทบาท ลีลา ท่าทาง การประพฤติ ปฏิบัติ การกระทาที่แสดงออกให้ปรากฏสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทางใดทางหนึ่ง ใน ๕ ทวาร คือ โสตสัมผัส จักษุสัมผัส ชิวหาสัมผัส ฆานสัมผัส และทางผิวหนัง หรือมิฉะนั้นก็ สามารถวัดได้ด้วยเครื่องมือ”๘ ถวิล ธาราโภชน์, ศรัณย์ ดาริสุข อธิบายว่า พฤติกรรม (Behavior) เป็นลักษณะของกิจกรรมหรือการกระทาต่างๆ ที่สามารถสังเกต บันทึก และวัดได้ เป็นคาที่ใช้อย่างกว้างๆ เพื่อบอกถึงการเปลี่ยนแปลงในการกระทาต่างๆ ของอินทรีย์ทั้งภายในและภายนอก นั่นคือ อาการกระตุก การฉีด หรือการเต้นซึ่งเกิดขึ้นใน อวัยวะ ในต่อม หรือในโครงสร้างภายในอื่นๆ สิ่งเหล่านี้นับได้ว่าเป็นพฤติกรรม แต่ว่าเรา มองไม่เห็นและสิ่งที่เรามองเห็นเมื่อมีการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น การเดิน การพูด หรือการ ให้สัญญาณ จัดได้ว่าเป็นพฤติกรรมเช่นกัน การคิด, การจา, การอยากรู้ สิ่งเหล่านี้มองไม่ เห็นและไม่มีใครรู้นอกจากตัวเอง ก็เป็นพฤติกรรมอีกเหมือนกัน๙ ประสานและทิพวรรณ หอมพูล ได้ให้ความหมายของคาว่า “พฤติกรรม” ไว้เป็น ๒ นัย ใหญ่ๆ ดังนี้ คือ ๑. หมายถึง การกระทากิจกรรมต่างๆ ซึ่งสิ่งมีชีวิตและบุคคลอื่นสามารถสังเกตเห็นได้จาก การกระทากิจกรรมเหล่านั้น ซึ่งมีทั้งทางดีและทางไม่ดี เช่น การหัวเราะ การร้องไห้ เสียใจ การออกกาลังกาย เป็นต้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นผลจากกระบวนการทางจิตวิทยา ได้แก่ การ จูงใจ การเรียนรู้ การจา การลืม และความรู้สึกนึกคิด เป็นต้น ๒. หมายถึง กระบวนการต่างๆ ของบุคคลที่ปฏิบัติต่อสภาพแวดล้อมของบุคคลเหล่านั้นออกมาในรูปของการกระทา หรือ ๗ พรรณราย ทรัพยะประภา, จิตวิทยาอุตสาหกรรม, (กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๙), หน้า ๒. ๘ กันยา สุวรรณแสง, จิตวิทยาทั่วไป, พิมพ์ครั้งที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร : อักษรพิทยา, ๒๕๔๒), หน้า ๙๒. ๙ ถวิล ธาราโภชน์, ศรัณย์ ดาริสุข, จิตวิทยาทั่วไป, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ทิพย วิสุทธิ์, ๒๕๔๑), หน้า ๑๒.
  • 4. ๑๔ การแสดงออกของมนุษย์โดยมีวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ภายใต้กลไกของความรู้สึก นึกคิดของตนเอง๑๐ นอกจากนักวิชาการทางจิตวิทยาเหล่านี้ ยังมีนักวิชาการท่านอื่นๆ ที่ให้ความหมายของ พฤติกรรมไว้ซึ่งสอดคล้องกัน๑๑ ดังนั้น คาว่า “พฤติกรรม” (behavior) จึงหมายถึง การกระทาทุกอย่างที่มนุษย์และ สิ่งมีชีวิตแสดงออกมาเพื่อตอบสนองสิ่งเร้า หรือสิ่งกระตุ้น ทั้งที่สังเกตได้ด้วยประสาทสัมผัส ที่ไม่ สามารถสังเกตได้แต่รู้ได้โดยอาศัยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ และที่ต้องสังเกตด้วยตนเอง ตัวอย่างในส่วนที่สังเกตได้ด้วยประสาทสัมผัสนั้น เช่น การยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม พูด การหัวเราะ การร้องไห้ การอ่านหนังสือ การแสดงความดีใจและเสียใจ ส่วนตัวอย่างในส่วน ที่จาเป็นต้องอาศัยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์นั้น เช่น การวัดความดันโลหิต คลื่นสมอง และการวัด ๑๐ ประสาน และทิพวรรณ หอมพูล. จิตวิทยาทั่วไป , (กรุงเทพมหานคร : พิศิษฐ์การพิมพ์ ,๒๕๓๗), หน้า ๗๓-๗๔. ๑๑ Lida L. David off, Introduction to Psychology, (New York : McGraw – Hill Book Company, 1987), p.7, มุกดา ศรียงค์และคณะ, จิตวิทยาทั่วไป, ภาควิชาจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง, ๒๕๓๙, หน้า ๓, มธุรส สว่างบารุง, จิตวิทยาทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : กิตติการพิมพ์, ๒๕๔๒), หน้า ๒, ศิริ โสภาคย์ บูรพาเดชะ, จิตวิทยาทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : คณะพาณืชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๑๙), หน้า ๓, อรทัย ชื่นมนุษย์และคณะ, จิตวิทยาทั่วไป, พิมพ์ครั้งที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคาแหง, ๒๕๓๕), หน้า ๑๗, โยธิน ศันสนยุทธ์ และคณะ, จิตวิทยา, (กรุงเทพมหานคร : ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ, ๒๕๓๓), หน้า ๓, ทรงพล ภูมิพัฒน์, จิตวิทยาทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา ฝ่ายเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยศรีปทุม, ๒๕๓๘), หน้า ๑๒, เติมศักดิ์ คทวณิช, จิตวิทยาทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : ซีเอ็ดยูเคชั่น, ๒๕๔๖), หน้า ๑๒, ลิขิต กาญจนาภรณ์, จิตวิทยา : พื้นฐาน พฤติกรรมมนุษย์, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร, ม.ป.พ.), หน้า ๓, โสภา ชูพิกุลชัย, ความรู้ เบื้องต้นทางจิตวิทยา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์สูตรไพศาล, ๒๕๒๘), หน้า ๕, เอนกกุล กรีแสง, จิตวิทยา ทั่วไป, (พิษณุโลก : แผนกเอกสารและการพิมพ์โครงการตาราวิชาการมหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ, ๒๕๑๙), หน้า ๒, วิภาพร มาพบสุข, จิตวิทยาทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ, ๒๕๔๑) ,หน้า ๓, สงวน สุทธิเลิศอรุณ, จิตวิทยาทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ทิพยวิสุทธิ์, ๒๕๓๒), หน้า ๔๖, วิทยา เชียงกูล, Dictionary of Psychology and Self Development อธิบายศัพท์ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์เดือนตุลา, ๒๕๕๒), หน้า ๓๒, สร้อยตระกูล (ติวยานนท์) อรรถมานะ, พฤติกรรม องค์การทฤษฎีและการประยุกต์, (กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ , ๒๕๔๑), หน้า ๑๓– ๑๔.
  • 5. ๑๕ การเต้นของหัวใจ และตัวอย่างในส่วนที่จาเป็นต้องสังเกตด้วยตนเองนั้น เช่น การคิด การจา และ การอยากรู้ ๒.๑.๒ ประเภทของพฤติกรรมในจิตวิทยา พฤติกรรมสามารถแบ่งออกเป็ น ๒ ประเภท คือ๑๒ พฤติกรรมเปิ ดเผย (overt behavior)๑๓ และพฤติกรรมปกปิด (covert behavior)๑๔ พฤติกรรมเปิดเผยสามารถสังเกตได้ด้วย ประสาทสัมผัสและเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ส่วนพฤติกรรมปกปิดไม่สามารถสังเกตได้ นอกจาก การสังเกตกิริยาอาการที่เจ้าของพฤติกรรมแสดงออกมาผ่านพฤติกรรมเปิดเผยทางการกระทาและ คาพูด เช่น การแสดงความโกรธออกมาทางสีหน้า การเลือกสิ่งของบางอย่างที่เขาตัดสินใจแล้ว เป็นต้น นอกจากนี้พฤติกรรมเปิดเผยยังสามารถแบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะ คือ (๑) พฤติกรรมองค์ รวม (molar behavior)๑๕ ได้แก่ พฤติกรรมที่สามารถสังเกตได้ด้วยด้วยประสาทสัมผัส โดยมิต้อง อาศัยเครื่องมือ เช่น การยืน เดิน นั่ง นอน หัวเราะ ร้องไห้ อ่านหนังสือ เล่นกีฬา เป็นต้น พฤติกรรมลักษณะนี้แสดงออกอย่างมีความหมาย ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่กระทาเพื่อให้บรรลุถึง จุดประสงค์บางประการที่หวังไว้ หรือเพื่อหลีกเลี่ยงภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้น พฤติกรรมองค์รวมนี้ เป็นพฤติกรรมที่ซับซ้อน และนักจิตวิทยาสนใจศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมประเภทนี้กันมาก ๑๒ G. Egan, “Skill Helping: A Problem-Management Framwork for Helping and Helper Training”, in Teaching Psychological Skills : Models for Giving Psychology Away, edited by D. Larson, (Monterey, CA : Brook/Cole Publishing Company, 1984), p. 140, R. K. Sharma, and R. Sharma, Social Psychology, (New Delhi : Atlantic Publisher and Distributors, 1997), p. 181, N. H. Cobb, “Cognitive-Behavioral Theory and Treatment”, in Theoretical Perspectives for Direct Social Work Practice, edited by N. Coady, and P. Lehmann, 2nd edition, (New York, NY : Spring Publishing Company, LLC, 2008), p. 223, R. A. Powell, D. G. Symbaluk, and P. L. Honey, Introduction to Learning and Behavior, 3rd edition, (Belmont, CA : Wadsworth, 2009), pp. 53-54. ๑๓ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์จิตวิทยา, (อักษร M-Z), (กรุงเทพมหานคร : ศักดิโสภาการ พิมพ์, ๒๕๕๐), หน้า ๒๘๙. ๑๔ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์จิตวิทยา, (อักษร A-L), หน้า ๔๔, มีการแปล overt behavior กับ covert behavior ว่า พฤติกรรมภายนอก กับ พฤติกรรมภายใน ตามลาดับ เช่นใน เติมศักดิ์ คทวณิช, จิตวิทยา ทั่วไป, หน้า ๑๒, ลิขิต กาญจนาภรณ์, จิตวิทยา : พื้นฐานพฤติกรรมมนุษย์, หน้า ๔, ไพบูลย์เทวรักษ์, จิตวิทยา ศึกษาพฤติกรรมภายนอกและใน, หน้า ๕-๖, ถวิล ธาราโภชน์, ศรัณย์ดาริสุข, จิตวิทยาทั่วไป, หน้า ๑๒. ๑๕ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์จิตวิทยา, (อักษร M-Z), หน้า ๒๖๒.
  • 6. ๑๖ (๒) พฤติกรรมย่อย (molecular behavior)๑๖ ได้แก่ พฤติกรรมที่สังเกตได้ด้วยเครื่องมือทาง วิทยาศาสตร์ เช่น การวัดความดันโลหิต คลื่นสมอง คลื่นหัวใจ การทางานของต่อมต่าง ๆ ภายใน ร่างกาย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการปฏิบัติงานของระบบกลไกที่ปฏิบัติตามคาสั่งของสมอง พฤติกรรมนอกจากสามารถจาแนกเป็นพฤติกรรมเปิดเผย กับพฤติกรรมปกปิดแล้ว ยัง สามารถจาแนกตามลักษณะการเกิดเป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือ (๑) พฤติกรรมติดตัวมาแต่กาเนิด (inborn หรือ innate behavior) หมายถึง การกระทาที่มนุษย์และสัตว์สามารถปฏิบัติได้ตั้งแต่เกิด ซึ่งเป็นไปตามวุฒิภาวะ หรือความพร้อมของร่างกายโดยไม่จาเป็นต้องฝึกหัดหรือผ่านการฝึกฝนมา ก่อน ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน อยู่ที่ใด และมีวัฒนธรรมอย่างไรก็สามารถแสดงพฤติกรรมเหล่านั้นได้ เองตามธรรมชาติ เช่น เด็กทารกสามารถนั่ง คลาน ยืน เดิน วิ่งได้ด้วยตนเอง เมื่อร่างกายมีความ พร้อมที่จะเคลื่อนไหวได้ เมื่อถึงกาหนดระยะเวลาทุกคนสามารถทาได้เหมือนกัน พฤติกรรม บางอย่างที่ติดตัวมาแต่กาเนิดในสัตว์เรียกว่า สัญชาตญาณ (instinet) เช่น สัญชาตญาณ แมลงเม่า บินเข้ากองไฟ สัญชาตญาณการสร้างรังของนก เป็นต้น (๒) พฤติกรรมเรียนรู้ (learned behavior) เป็นการกระทาที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้รับการฝึกหัดหรือฝึกฝนแล้ว เช่น การว่ายน้า การขับรถ การพิมพ์ดีด ฯลฯ พฤติกรรมเหล่านี้จะต้องมีการฝึกฝนบ่อยๆ จนเกิดการเรียนรู้ขึ้น พฤติกรรมจึง เปลี่ยนจากทาไม่ได้มาเป็นได้ ยิ่งมีการฝึกฝนบ่อยเท่าใดก็ยิ่งจะทาพฤติกรรมซับซ้อนมากกว่า พฤติกรรมของสัตว์มากมาย พฤติกรรมที่แสดงออกของมนุษย์ในแต่ละสถานการณ์จะมีความ แตกต่างกันแล้วแต่ปัจจัยแวดล้อม๑๗ พฤติกรรมไม่เพียงสามารถจาแนกออกเป็น ๒ ประเภทเท่านั้น แต่ยังสามารถจาแนกออก ด้วยนัยอื่นอีก เช่น การจาแนกเป็น ๓ ประเภท คือ (๑) พฤติกรรมทั่วไป ได้แก่พฤติกรรมที่บุคคล แสดงออกโดยทั่ว ๆ ไป เพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้า โดยสั่งการจากระบบประสาทส่วนกลาง เช่น การเคลื่อนไหว การพูด การหัวเราะ การร้องไห้ และการกวักมือ (๒) พฤติกรรมปฏิกิริยาสะท้อน (reflexion behavior) ได้แก่พฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกไปเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้าโดยฉับพลัน เช่น บุคคลที่ถูกไฟฟ้ าดูดจะชักส่วนของอวัยวะให้พ้นจากที่ถูกดูดโดยทันที ทั้งนี้เซลล์ประสาทที่ ๑๖ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๖๒, มีการใช้หรือแปลทับศัพท์ทั้งคาว่า molar behavior กับ molecular behavior เช่นใน ชัยพร วิชชาวุธ, มูลสารจิตวิทยา, (กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๕), หน้า ๑๖, สุวรี ศิวแพทย์, จิตวิทยาทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, ๒๕๑๙), หน้า ๕๙, โสภา ชูพิกุลชัย, ความรู้เบื้องต้นทางจิตวิทยา, หน้า ๖, เอนกกุล กรีแสง, จิตวิทยาทั่วไป, หน้า ๒, นอกจากนี้ยังมีการ แปลว่า พฤติกรรมรวม กับ พฤติกรรมแบบย่อย ตามลาดับ เช่นใน ศิริโสภาคย์ บูรพาเดชะ, จิตวิทยาทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : คณะพาณืชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๑๙), หน้า ๔-๕. ๑๗ วิภาพร มาพบสุข, จิตวิทยาทั่วไป, หน้า ๔.
  • 7. ๑๗ ผิวหนังจะส่งความรู้สึกตรงไปยังศูนย์รวมเซลล์ประสาทที่ไขสันหลัง ณ ที่ศูนย์นี้จะสั่งการโดย ฉับพลันให้ตอบสนองในทันที ปฏิกิริยาสะท้อนในร่างกาย เช่น ม่านตาจะหรี่ลงถ้ามีแสงสว่างมาก เกินไป และการกะพริบตาเพราะมีสิ่งเร้าเข้าใกล้ (๓) พฤติกรรมที่ซับซ้อน (complex behavior) ได้แก่ พฤติกรรมในลักษณะซับซ้อนยุ่งยาก ต้องใช้ระบบประสาทส่วนกลาง หรือสมองในการคิด และแสดงออก เช่น พฤติกรรมการคิด เล่นหมากรุก เล่นการพนัน เกมการต่อสู้ เกมการแข่งขัน และการเรียนรู้๑๘ จากเนื้อหาทั้งหมดนี้สามารถแสดงให้เห็นว่าจิตวิทยาจาแนกพฤติกรรมเป็นประเภท ต่างๆ ได้หลายนัย อย่างไรก็ดี นัยที่เป็นฐานความรู้ต่อการสร้างความเข้าใจเรื่องพฤติกรรมมนุษย์ใน แนวคิดของแบนดูร่า คือ การจาแนกพฤติกรรมออกเป็นพฤติกรรมเปิดเผยกับพฤติกรรมปกปิด โดย ที่พฤติกรรมเปิดเผยมี ๒ ลักษณะ คือ พฤติกรรมองค์รวมกับพฤติกรรมย่อย ซึ่งรายละเอียดจะได้ นาเสนอเป็นลาดับไป ๒.๒ ความหมายของพฤติกรรมในแนวคิดของแบนดูร่า นักจิตวิทยาชาวแคนาดา อัลเบิร์ท แบนดูร่า (Albert Bandura)๑๙ ได้พัฒนาทฤษฎีการ เรียนรู้ทางปัญญาสังคม ซึ่งเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์หนึ่งที่ได้รับความสนใจและการ ยอมรับจากนักจิตวิทยา อย่างไรก็ดี การทาความเข้าใจเรื่องพฤติกรรมมนุษย์ในแนวคิดของแบนดูร่า จาเป็นต้องศึกษาให้เข้าใจก่อนว่า ความหมายของพฤติกรรมในแนวคิดของแบนดูร่ามีขอบเขตของ ความหมายที่เหมือนหรือต่างไปจากการให้ความหมายจากหัวข้อที่ผ่านมา พฤติกรรมในแนวคิดของแบนดูร่าเป็นปัจจัยซึ่งกันและกันกับองค์ประกอบส่วนบุคคล แม้รายละเอียดจะได้ศึกษาในหัวข้อถัดไป แต่การเข้าใจองค์ประกอบส่วนบุคคลนี้จะสามารถสร้าง ความเข้าใจถึงความหมายของพฤติกรรมในแนวคิดของแบนดูร่าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นักจิตวิทยาหรือ นักวิชาการที่ศึกษาทฤษฎีของแบนดูร่าในส่วนนี้๒๐ ได้แสดงความเห็นว่า๒๑ ในแนวคิดของแบนดูร่า ๑๘ สงวน สุทธิเลิศอรุณ, จิตวิทยาทั่วไป, หน้า ๔๗. ๑๙ ภูมิหลังของอัลเบิร์ท แบนดูร่า ดูใน ภาคผนวก. ๒๐ A. Bandura, Aggression : A Social Learning Analysis, (Englewood Cliffs, NJ : Prentice-Hall, Inc., 1973), p. 53, A. Bandura, Social Learning Theory, (Englewood Cliffs, NJ : Prentice-Hall, Inc., 1976), p. 9-13, A. Bandura, Social Foundations of Thought and Action : A Social Cognitive Theory, (Englewood Cliffs, NJ : Prentice-Hall, Inc., 1986), p. 24. ๒๑ A. J. Christensen, René Martin, and J. M. Smyth, Encyclopedia of Health Psychology, (New York, NY : Kluwer Acadamic/Plenum Publishers, 2004), p. 261, S. L. Williams, and D. Cervone, “Social
  • 8. ๑๘ องค์ประกอบส่วนบุคคล คือ การรู้คิด (cognition, ซึ่งหมายรวมถึงการรับรู้ การจา และการคิด ฯ)๒๒ อารมณ์ความรู้สึก และปฏิกิริยาเคมีภายในร่างกายของบุคคล ในขณะที่พฤติกรรมมุ่งเพียงแค่ส่วนที่ สามารถแสดงออกมาทางการกระทา และคาพูดเท่านั้น หากพิจารณาถึงองค์ประกอบส่วนบุคคลที่เป็นปัจจัยซึ่งกันและกันกับพฤติกรรมนั้น ใน ส่วนของการรู้คิดและอารมณ์ความรู้สึก แม้ในบางกรณีจะสามารถสังเกตผ่านการกระทาและคาพูด ได้ แต่ยังถูกจัดเป็นพฤติกรรมปกปิดที่ไม่สามารถสังเกตได้ นอกจากนี้ในส่วนของปฏิกิริยาเคมี ภายในร่างกายของบุคคลยังจัดเป็นพฤติกรรมเปิดเผยประเภทพฤติกรรมย่อย ในขณะที่พฤติกรรมนั้นมุ่งเพียงแค่ส่วนที่สามารถแสดงออกมาทางการกระทา และ คาพูดดังกล่าว ซึ่งเป็นลักษณะของพฤติกรรมเปิดเผย และการกระทาและคาพูดนั้นสามารถ สังเกตเห็นได้ โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือมาตรวจจับซึ่งเป็นลักษณะของพฤติกรรมเปิดเผยในประเภท พฤติกรรมองค์รวม ดังนั้น ความหมายของพฤติกรรมในแนวคิดของแบนดูร่าจึงมีขอบเขตเนื้อหาที่ เฉพาะเจาะจงแคบกว่าความหมายของพฤติกรรมในจิตวิทยาที่ได้นาเสนอไปข้างต้น โดยมุ่งไปที่ พฤติกรรมเปิดเผยที่เป็นองค์รวม เนื่องจากลักษณะของส่วนประกอบส่วนบุคคลและพฤติกรรมใน แนวคิดของแบนดูร่า สรุป ความหมายของพฤติกรรมตามแนวคิดของแบนดูร่า ได้แก่การแสดงออกของ ความคิด เขาเน้นความสาคัญของบทบาทของความคิดซึ่งเป็นตัวกาหนดพฤติกรรม เขาเห็นว่า ความคิดเป็นเหตุทาให้เกิดพฤติกรรมอย่างแท้จริง พฤติกรรมเกิดขึ้นได้เพราะปัจจัย ๓ อย่างเป็น ตัวกาหนดซึ่งกันและกัน กล่าวคือ บุคคล สิ่งแวดล้อม และพฤติกรรม ๒.๓ หลักการเรื่องพฤติกรรมมนุษย์ของแบนดูร่า จากหัวข้อที่ผ่านมาได้ทราบโดยสังเขปมาแล้วว่า พฤติกรรมไม่ได้เกิดขึ้นและ เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากปัจจัยทางสภาพแวดล้อมแต่เพียงอย่างเดียว พฤติกรรมในแนวคิดของ แบนดูร่าเป็นปัจจัยซึ่งกันและกันกับองค์ประกอบส่วนบุคคล ความซับซ้อนของแนวคิดของแบนดูร่า Cognitive Theories of Personality”, in Advanced Personality, edited by D. F. Barone, M. Hersen, and V. B. Van Hasselt, (New York, NY: Kluwer, 1998), p. 175, สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต, ทฤษฎีและเทคนิคการปรับ พฤติกรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๐), หน้า ๔๙. ๒๒ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์จิตวิทยา, (อักษร A-L), หน้า ๓๔.
  • 9. ๑๙ ไม่ใช่มีเพียงเท่านั้น พฤติกรรม องค์ประกอบส่วนบุคคล และสภาพแวดล้อมนั้น แต่ละส่วนล้วน ต่างเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน (reciprocal determinism)๒๓ ซึ่งเขียนได้ดังภาพต่อไปนี้ จากรูปนี้แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรม (B) องค์ประกอบส่วนบุคคล (P) และองค์ประกอบ ทางสิ่งแวดล้อม (E) มีอิทธิพลซึ่งกันและกัน๒๔ กล่าวคือ พฤติกรรมของมนุษย์สามารถกาหนด สิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมก็สามารถกาหนดพฤติกรรม พฤติกรรมสามารถกาหนดองค์ประกอบส่วน บุคคล องค์ประกอบส่วนบุคคลก็สามารถกาหนดพฤติกรรมได้เช่นกัน ในทานองเดียวกัน องค์ประกอบทางสิ่งแวดล้อมและองค์ประกอบส่วนบุคคลก็มีอิทธิพลซึ่งกันและกัน ซึ่งสามารถ อธิบายได้ในลักษณะเดียวกัน๒๕ เนื้อหาในเรื่องนี้ยังต้องทาความเข้าใจอีกมาก แต่เพื่อง่ายต่อการนาเสนอ งานวิจัยฉบับนี้ จะใช้ตัวอักษรย่อ B P และ E แทน พฤติกรรม องค์ประกอบส่วนบุคคล และองค์ประกอบทาง สิ่งแวดล้อม ตามลาดับ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ ๒๓ A. Bandura, Social Learning Theory, p.9. ๒๔ Ibid, p.9. ๒๕ A. Bandura, Social Foundations of Thought and Action : A Social cognitive theory, (Englewood Cliffs, New Jersey : Prentice-Hall, Inc., 1986), p. 24, A. Bandura, Social Learning Theory, pp. 9- 10. P B E ที่มา : A. Bandura, Social Learning Theory, (Englewood Cliffs, New Jersey : Prentice-Hall, Inc., 1976), p. 9-10, A. Bandura, Social Foundations of Thought and Action : A Social cognitive theory, (Englewood Cliffs, New Jersey : Prentice-Hall, Inc., 1986), p. 24. รูปที่ ๒.๑ รูปแสดงการกาหนดซึ่งกันและกันของปัจจัยทางพฤติกรรม (B) ปัจจัยทาง สภาพแวดล้อม (E) และปัจจัยส่วนบุคคล (P)
  • 10. ๒๐ การกาหนดซึ่งกันและกันของ P กับ B เป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับพฤติกรรม และพฤติกรรมกับบุคคลซึ่งมีอิทธิพลต่อกันและกัน บุคคลสามารถกาหนดพฤติกรรมได้ และ พฤติกรรมก็สามารถกาหนดบุคคลได้ ขึ้นอยู่กับความรู้สึก การรับรู้ การตัดสิน ประสบการณ์และ สติปัญญา ของบุคล เช่น การที่บุคคลกางร่มกันแดด เพราะเขารับรู้ หรือมีความรู้สึกว่าแดดร้อน การกางร่มก็เป็นตัวกาหนดให้บุคคลต้องกางร่ม เพราะในสถานการณ์บังคับคือบุคคลอาจจะมีวิธี ป้ องกันแดดได้หลายวิธีเช่น การใส่หมวก การใช้แผ่นกระดาษหนาๆ กั้น การใช้ผ้ากั้น เป็นต้น แต่ ในสถานการณ์นั้นสิ่งเหล่านี้ไม่มี มีแต่ร่ม ดังนั้น เขาจึงกางร่ม การกาหนดซึ่งกันและกันของ E กับ P เป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่าง สภาพแวดล้อมกับ บุคคล สภาพแวดล้อมสามารถกาหนดบุคคลได้และบุคคลก็สามารถกาหนดสภาพแวดล้อมได้ เช่น สภาพแวดล้อมทางสังคมที่บุคคลอาศัยอยู่ คติความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรม ภูมิปัญญา เป็นต้น สามารถกาหนดให้บุคคลมีคติความเชื่อตามสภาพแวดล้อมทางสังคม ในขณะเดียวกัน บุคคลก็ สามารถกาหนดสภาพแวดล้อมได้เช่นกัน เช่น บุคคลในสังคมอาจจะกาหนดประเพณี วัฒนธรรม คติความเชื่อขึ้นมาในสังคมของตน หรือยกเลิกประเพณี วัฒนธรรมบางอย่างที่เห็นว่าไม่เหมาะกับ ยุคสมัยก็ได้ เช่น การประกาศเลิกทาสของรัชกาลที่ ๕ การประกาศให้ยืนตรงเคารพธงชาติในเวลา ๐๘.๐๐ น. และเวลา ๑๘.๐๐ น. เป็นต้น การกาหนดซึ่งกันและกันของ B กับ E เป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับ สภาพแวดล้อม และสภาพแวดล้อมกับพฤติกรรม ทั้งสองมีอิทธิพลต่อกันและกัน และเป็นเงื่อนไข ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่กันและกันได้ กล่าวคือ สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปทาให้พฤติกรรม เปลี่ยนไปด้วย แต่ทั้งสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมจะไม่มีอิทธิพลต่อบุคคล จนกว่าจะมีพฤติกรรม บางอย่างเกิดขึ้น เช่น หัวหน้าไม่มีอิทธิพลต่อลูกน้อง จนกว่าจะถึงเวลาเข้าทางาน ผู้ปกครองจะไม่ ชมเด็กถ้าเด็กยังไม่แสดงพฤติกรรมที่จะให้ชื่นชม การที่พฤติกรรมกับสภาพแวดล้อมมีอิทธิพลต่อ กันและกันอย่างนี้ สภาพแวดล้อมจึงถูกสร้างขึ้นโดยบุคคลและในขณะเดียวกันบุคคลก็เป็นผลผลิต ของสภาพแวดล้อมด้วย การที่ปัจจัยทั้ง ๓ ทาหน้าที่กาหนดซึ่งกันและกันนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งสามปัจจัย นั้นจะมีอิทธิพลในการกาหนดซึ่งกันและกันอย่างเท่าเทียมกัน บางปัจจัยอาจมีอิทธิพลมากกว่าอีก บางปัจจัย และอิทธิพลของปัจจัยทั้ง ๓ นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน หากแต่ต้องอาศัยเวลาในการ ที่ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งจะมีผลต่อการกาหนดปัจจัย อื่น ๆ๒๖ ๒๖ A, Bandura, “Social cognitive theory”, in Annals of Child Development, edited by R. Vasta, (Greenwich, CT : JAI Press, 1989), vol. 6, pp. 2-5.
  • 11. ๒๑ ตัวอย่างเช่น พฤติกรรมในการใช้ร่มกันแดดของบุคคล บุคคลกางร่มเพื่อกันแดด (B) ซึ่ง ถูกกาหนดโดยสิ่งแวดล้อม (E) คือ อากาศร้อนจัดและแดดร้อนจัด (E) ทาให้บุคคลต้องกางร่ม การ กางร่มยังถูกกาหนดโดยองค์ประกอบส่วนบุคคล (P) คือ บุคคลนั้นอาจเป็นคนสุขภาพไม่ค่อย แข็งแรง เป็นไข้หวัดง่าย และการที่บุคคลนี้เป็นผู้ที่มีสุขภาพไม่แข็งแรง (P) จึงจาเป็นต้องหาทาง ควบคุมสิ่งแวดล้อมโดยการทาให้แดดไม่สามารถถูกตัวเขาได้ (E) ก็คือป้ องกันด้วยการกางร่ม (B) ซึ่งจะเห็นได้ว่า พฤติกรรม องค์ประกอบส่วนบุคคล และองค์ประกอบทางสิ่งแวดล้อมต่างก็มี อิทธิพลซึ่งกันและกันตลอดเวลา ๒.๔ แนวคิดเรื่องการปรับพฤติกรรมตามหลักของแบนดูร่า แบนดูร่าไม่เพียงนาเสนอถึงหลักการที่เกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเสนอแนว ทางการปรับพฤติกรรมมนุษย์อีกด้วย โดยมีแนวทางปฏิบัติอยู่ ๓ ประการ ได้แก่ ๑. แนวทางการ เรียนรู้โดยการสังเกต (observational learning หรือ modeling) ๒. แนวทางการกากับตนเอง (self- regulation) ๓. แนวทางการรับรู้ความสามารถของตนเอง (self-efficacy) ๒.๔.๑ แนวทางการเรียนรู้โดยการสังเกต การเรียนรู้โดยการสังเกตเป็นแนวทางปฏิบัติแรกในการปรับพฤติกรรมมนุษย์ตามหลัก ของแบนดูร่า ซึ่งรายละเอียดของแนวทางปฏิบัตินี้มีเนื้อหาครอบคลุมไปถึงวิธีการและตัวแปรสาคัญ ของการเรียนรู้โดยการสังเกต ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและสิ่งแวดล้อม ขั้นตอน กระบวนการที่ สาคัญ และปัจจัยที่สาคัญของการเรียนรู้โดยการสังเกต ประเด็นต่างๆ เหล่านี้จะได้นาเสนอเป็น ลาดับไป ๒.๔.๑.๑ วิธีการเรียนรู้โดยการสังเกต วิธีการเรียนรู้โดยการสังเกตของแบนดูร่าจาแนกเป็น ๒ วิธี ได้แก่ การเรียนรู้จากผล ของการกระทา (learning by response consequences) และการเรียนรู้จากการเลียนแบบ (learning through modeling) ดังรายละเอียดต่อไปนี้
  • 12. ๒๒ ก. การเรียนรู้จากผลของการกระทา๒๗ วิธีการเรียนรู้ที่ถือว่าเป็นการเรียนรู้เบื้องต้นที่สุดและเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ ตรง คือ การเรียนรู้จากผลของการกระทาทั้งทางบวกและทางลบ ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมถือว่า มนุษย์มีความสามารถทางสมองในการที่จะใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ที่ผ่านมา มนุษย์มี ความสามารถที่จะรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทาและผลของการกระทา กระบวนการเรียนรู้ จากผลของการกระทาจะทาหน้าที่ ๓ ประการ คือ ๑. การทาหน้าที่ให้ข้อมูล (informative function) การเรียนรู้ของมนุษย์นั้นไม่เพียงแต่ เรียนรู้เพื่อการตอบสนองเท่านั้น แต่มนุษย์ยังสังเกตผลของการกระทานั้นด้วย โดยการสังเกตความ แตกต่างของผลที่ได้รับจากการกระทาของเขาว่า การกระทาใดในสภาพการณ์ใดก่อให้เกิดผลของ การกระทาอย่างไร ข้อมูลด้านนี้จะเป็นแนวทางหนึ่งในการกาหนดพฤติกรรมของมนุษย์ในอนาคต ๒. การทาหน้าที่จูงใจ (motivational function) กระบวนการเรียนรู้ผลของการกระทา ที่ทาหน้าที่จูงใจ คือ ความเชื่อในการคาดหวังผลของการกระทาของบุคคล เมื่อพิจารณาว่าผลของ การกระทาใดเป็นที่พึงปรารถนาย่อมจูงใจให้เกิดการกระทามาก ผลของการกระทาใดไม่เป็นที่พึง ปรารถนาย่อมจูงใจให้เกิดการกระทาน้อย และมนุษย์ย่อมพยายามหลีกเลี่ยงการกระทานั้น ดังนั้น กระบวนการเรียนรู้ผลของการกระทาจึงสามารถจูงใจให้เกิดการพัฒนาพฤติกรรมได้ ๓. การทาหน้าที่เสริมแรง (reinforcing function) การกระทาใดๆ ก็ตามถ้าได้รับการ เสริมแรง การกระทานั้นย่อมมีแนวโน้มเกิดขึ้นอีก แต่สิ่งสาคัญคือเงื่อนไขการเสริมแรง (reinforcement contingency) ซึ่งบุคคลจะเรียนรู้ได้จากข้อมูลเดิมและการจูงใจ ตลอดจนการหา ข้อสรุปได้ถูกต้อง การเสริมแรงจะไม่มีอิทธิพลเลย ถ้าบุคคลไม่รู้ว่าเงื่อนไขการเสริมแรงมีไว้ว่า อย่างไร การเสริมแรงในที่นี้จะเน้นถึงการกระทาให้พฤติกรรมนั้นคงอยู่มากกว่าการสร้างพฤติกรรม ใหม่ ข. การเรียนรู้จากการเลียนแบบ๒๘ การเรียนรู้ของมนุษย์จากผลของการกระทามีข้อจากัดอยู่มาก ทั้งนี้เพราะสิ่งที่จะ เรียนรู้มีมากกว่าที่เวลาและโอกาสจะอานวย ดังนั้นการเรียนรู้จากการเลียนแบบจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ ทาให้มนุษย์สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างกว้างขวางขึ้น พฤติกรรมของมนุษย์หลายอย่างเกิด ๒๗ A. Bandura, Social learning theory, pp. 17-22. ๒๘ Ibid, pp. 22-24.
  • 13. ๒๓ ขึ้นมาโดยที่มนุษย์ไม่เคยมีประสบการณ์ตรงเลย แต่มนุษย์สังเกตเห็นตัวแบบหรือผู้อื่นกระทา เช่น คนส่วนมากงดเว้นจากการเสพเฮโรอีน ทั้งๆ ที่ไม่เคยประสบกับผลของการกระทาที่จะได้รับจาก การเสพเฮโรอีน ทั้งนี้เพราะคนเหล่านี้เรียนรู้ว่า การเสพเฮโรอีนจะได้รับผลของการกระทาทางลบ คือ การทาลายสุขภาพจนถึงการตายในที่สุด การเรียนรู้เช่นนี้ไม่ได้เรียนรู้โดยประสบการณ์ตรง แต่ เรียนรู้จากการสังเกตตัวแบบ คือ เห็นผู้อื่นเสพแล้วได้รับผลของการกระทาทางลบดังกล่าวจึงงด เว้นการเสพเฮโรอีน ตัวแบบอาจเป็นตัวแบบจริงตัวแบบจากภาพยนตร์ หรือตัวแบบในรูปของสิ่ง อื่นๆ การเรียนรู้จากตัวแบบอาศัยกระบวนการเรียนรู้โดยการสังเกตเป็ นสาคัญ กระบวนการเรียนรู้จากการสังเกตตัวแบบจะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบที่สาคัญ ๔ ประการ ซึ่ง จะได้กล่าวถึงรายละเอียดในหัวข้อถัดๆ ไปที่ว่าด้วยกระบวนการสาคัญในการเรียนรู้โดยการสังเกต ๒.๔.๑.๒ ตัวแปรสาคัญของการเรียนรู้โดยการสังเกต ในเบื้องต้นเมื่อพิจารณาการเลียนแบบ น่าจะเป็นกระบวนการตรงไปตรงมาไม่ สลับซับซ้อน เมื่อมีผู้สังเกตการณ์และตัวแบบ การเลียนแบบย่อมดาเนินไปได้แต่เกิดคาถามขึ้นว่า ผู้ สังเกตการณ์จะยอมเลียนแบบพฤติกรรมของตัวแบบหรือไม่ การค้นหาคาตอบนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะขึ้นอยู่กับตัวแปรหลายอย่าง๒๙ ตัวแปรตัวหนึ่ง คือ คุณลักษณะของบุคลิกภาพของผู้สังเกตการณ์ ยกตัวอย่างเช่น เพศ ของผู้สังเกตการณ์อาจเป็นตัวกาหนดว่าเขาจะเลียนแบบหรือไม่ เพราะบางครั้งพฤติกรรมของเพศ หนึ่งกับอีกเพศหนึ่งเลียนแบบกันไม่ได้ นอกจากนี้ เด็กผู้ชายจะก้าวร้าวมากกว่าเวลาดูตัวแบบชายที่ ก้าวร้าว ส่วนเด็กผู้หญิงจะก้าวร้าวมากกว่าเวลาดูตัวแบบผู้หญิงที่ก้าวร้าว๓๐ ทั้งๆ ที่มีการ เปลี่ยนแปลงบทบาทและสถานะของสตรีในช่วง ๒ ทศวรรษที่ผ่านมา และเด็กๆ ชายหญิงมี แนวโน้มที่จะเลียนแบบคนเพศเดียวกัน๓๑ และบุคคลที่ขาดความเชื่อมั่นหรือบุคคลที่ไม่เก่ง รวมทั้ง ๒๙ A. Bandura, Social learning theory, p. 25. ๓๐ A. Bandura, D. Ross, and S. A. Ross, “Imitation of film-mediated aggressive models”, Journal of Abnormal and Social Psychology, vol. 66 no. 1 (1963) : 3-11. ๓๑ K. Bussey, and A. Bandura, “Social cognitive theory of gender development and differentiation”, Psychological Review, vol. 106 (1999) : 676-713.
  • 14. ๒๔ คนที่มีพฤติกรรมเลียนแบบที่เคยถูกเสริมแรงมาก่อน จะมีแนวโน้มที่จะเลียนแบบตัวแบบที่ประสบ ความสาเร็จ๓๒ นอกจากคุณลักษณะและประสบการณ์ในอดีตของผู้สังเกตการณ์แล้ว คุณลักษณะ ของตัวแบบยังมีส่วนสาคัญต่อกระบวนการเลียนแบบ ผู้สังเกตการณ์จะเลียนแบบคนเก่งมากกว่าคน ไม่เก่ง นอกจากนี้ คนเลียนแบบยังชอบเลียนแบบคนที่ดูแลตัวเองและคนที่ให้รางวัลกับตัว และ ชอบเลียนแบบคนที่ควบคุมทรัพยากรในอนาคตของผู้เลียนแบบ รางวัลหรือการทาโทษที่เกี่ยวกับ พฤติกรรมของตัวแบบสามารถมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมเลียนแบบ เราเรียนรู้เมื่อเราเห็นว่าพฤติกรรม ของคนอื่นได้รับการเสริมแรง แล้วเราจึงปรับพฤติกรรมตาม ดูเหมือนว่าข้อนี้จะง่ายเกินไป คนต้อง หยุดคิดก่อนแล้วค่อยเลียนแบบไม่ใช่เลียนแบบกันง่ายๆ โดยการเห็นผู้อื่นได้ของแล้วก็ทาตาม เพราะการทาตามแบบนั้นอันตราย เพราะถ้าคนอื่นถูกหลอกเราย่อมถูกหลอกด้วย หรือการเสริมแรง จากการเห็นคนอื่นได้นี้มีชื่อว่า “vicarious reinforcement”๓๓ แบนดูร่าได้ทาการทดลองโดยการให้ตัวแบบแสดงความก้าวร้าวในห้องแล็บกับตุ๊กตา Bobo doll ในทุกรูปแบบ เด็กซึ่งเป็นเด็กกลุ่มควบคุม (control group) เห็นแค่ภาพของความก้าวร้าว แต่ไม่เห็นผล ส่วนเด็กที่ถูกทดลอง (experimental group) ได้เห็นภาพที่ตัวแบบได้รับรางวัลหรือถูก ทาโทษที่ทาอย่างนั้น ในสภาพที่ให้รางวัล ผู้ใหญ่อีกคนชมตัวแบบที่ก้าวร้าวแล้วให้โซดาป้ อบและ ลูกอม ส่วนในสภาพที่ทาโทษ ผู้ใหญ่อีกคนพูดดูหมิ่นตัวแบบ กล่าวหาว่าขี้ขลาดและเป็นจอมรังแก นอกจากนี้ผู้ใหญ่ที่มาทาโทษตัวแบบ ยังใช้หนังสือพิมพ์ที่ม้วนไว้ตีเขา และขู่ว่าจะตีอีกถ้าแสดง ความก้าวร้าว ตัวแปรอิสระในเรื่องนี้ คือ วิธีการเสริมแรงซึ่งใช้กับตัวแบบที่ก้าวร้าว ตัวแปรตาม (dependent variable) คือ พฤติกรรมของเด็กเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระในสภาพทั้งสามอย่างที่พวก เขาเผชิญ เด็กถูกพาไปที่ห้องอื่นที่มีตุ๊กตา Bobo doll โดยมีลูกบอลสามลูก ไม้ตีและไม้กระดาน ที่มี ตอหมุด และของเล่นอื่นๆ มีของให้เล่นมาก เพื่อว่าเด็กจะได้เลือกว่าจะก้าวร้าวหรือไม่ก้าวร้าวได้ จากนั้นผู้ทดลองจะออกจากห้องให้ดูเหมือนว่าจะไปเอาของเล่นมาอีก เด็กๆ ถูกปล่อยให้เล่นตาม ลาพัง และผู้ทดลองได้สังเกตพวกเด็กๆ จากกระจกด้านเดียว ผลลัพธ์เป็นไปตามที่คาดหมาย เด็กที่ ได้เห็นตัวแบบรับรางวัลจะเลียนแบบตัวแบบที่ก้าวร้าวมากกว่าตัวแบบที่ถูกทาโทษ การทดลอง ดังกล่าวแสดงให้เห็นการเสริมแรงและการทาโทษสร้างพฤติกรรมเลียนแบบที่ไม่เหมือนกัน เด็ก อาจจะไร้เดียงสา ถูกจัดการได้ง่าย แต่ผู้ใหญ่จะมีพฤติกรรมที่ซับซ้อนกว่านี้อีกทั้งการทดลองเป็น ๓๒ A. Bandura, Social learning theory, p. 122. ๓๓ Ibid, p p. 122-125.
  • 15. ๒๕ สภาพซึ่งไม่จริง ถ้าอยู่ในชีวิตจริง เด็กๆ อาจมีพฤติกรรมที่ต่างกันก็ได้เพราะเวลาเด็กก้าวร้าว ผู้ใหญ่ จะเตือนและสั่งสอนเด็กก็จะไม่เลียนแบบ๓๔ เมื่อพิจารณาต่อไปจะเกิดคาถามอีกว่า มีการเลียนแบบจริงในสภาพที่ถูกเสริมแรง แล้วเด็กจะรับเป็นพฤติกรรมของตนหรือไม่ และเป็นไปได้หรือไม่ว่าเด็กทุกคนได้เรียนรู้พฤติกรรม แต่มีพวกเห็นเขาได้รับรางวัลและไม่เห็นใครถูกทาโทษเท่านั้นที่เลียนแบบ แบนดูร่าได้ทาการ ทดลองต่อไป โดยการให้ของรางวัลที่น่าสนใจถ้าเลียนแบบ ผลปรากฏว่าเด็กทุกคนเลียนแบบหมด บทเรียนข้อนี้คือต้องสอนลูกให้มีภูมิต้านทางสังคม เพื่อป้ องกันไม่ให้ถูกหลอก ปัญหาที่รุนแรงอีกประการ คือ ปัญหาความก้าวร้าวทางสังคม โดยการดูหนัง ดูทีวี ถ้า การเลียนแบบเกิดขึ้นได้ง่าย สังคมย่อมเต็มไปด้วยคนก้าวร้าว แต่ตามความเป็นจริง มนุษย์รู้จัก แยกแยะ ด้วยเหตุนี้ แม้หนังและทีวีจะรุนแรง แต่คนจะไม่เลียนแบบกันเยอะ แม้สิ่งเหล่านี้จะเพิ่ม ความก้าวร้าวได้ ทั้งนี้เพราะมนุษย์ซึ่งรวมทั้งเด็กส่วนใหญ่รู้จักแยกแยะ๓๕ ๒.๔.๑.๓ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและสิ่งแวดล้อม แบนดูร่า มีความเห็นว่าทั้งสิ่งแวดล้อม และตัวผู้เรียนมีความสาคัญเท่าๆ กัน แบนดูรา กล่าวว่า คนเรามีปฏิสัมพันธ์ (interact) กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเราอยู่เสมอการเรียนรู้เกิดจาก ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งผู้เรียนและสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อกันและกัน พฤติกรรมของคนเราส่วนมากจะเป็นการเรียนรู้โดยการสังเกต (observational learning) หรือการ เลียนแบบจากตัวแบบ (modeling) สาหรับตัวแบบไม่จาเป็นต้องเป็นตัวแบบที่มีชีวิตเท่านั้น แต่ อาจจะเป็นตัวสัญลักษณ์ เช่น ตัวแบบที่เห็นในโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์หรืออาจจะเป็นรูปภาพ การ์ตูนหนังสือก็ได้นอกจากนี้ คาบอกเล่าด้วยคาพูดหรือข้อมูลที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรก็เป็นตัว แบบได้การเรียนรู้โดยการสังเกตไม่ใช่การลอกแบบจากสิ่งที่สังเกตโดยผู้เรียนไม่คิด คุณสมบัติของ ผู้เรียนมีความสาคัญ เช่น ผู้เรียนจะต้องมีความสามารถที่จะรับรู้สิ่งเร้า และสามารถสร้างรหัสหรือ กาหนดสัญลักษณ์ของสิ่งที่สังเกตเก็บไว้ในความจาระยะยาว และสามารถเรียกใช้ในขณะที่ผู้สังเกต ต้องการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ ๓๔ A. Bandura, D. Ross, and S. A. Ross, “Transmission of aggressive Through imitation of aggressive models”, Journal of Abnormal and Social Psychology, vol. 63, Issue 3, (November 1961) : 575- 582. ๓๕ A. Bandura, J. E. Grusex, and F. L. Menlove, “Observational Learning as a Function of Symbolization and Incentive Set”, Child Development, vol. 37 no. 3 (1966) : 499-506.
  • 16. ๒๖ แบนดูราได้เริ่มทาการวิจัยเกี่ยวกับการเรียนรู้โดยการสังเกต หรือการเลียนแบบ ตั้งแต่ ปี ค.ศ. ๑๙๖๐ เป็นต้นมา ได้ทาการวิจัยเป็นโครงการระยะยาว และได้ทาการพิสูจน์สมมติฐานที่ตั้ง ไว้ทีละอย่าง โดยใช้กลุ่มทดลองและควบคุมอย่างละเอียดและเป็นขั้นตอน๓๖ การเรียนรู้โดยการสังเกต สามารถประยุกต์ใช้ในการสอนได้ เช่น การเรียนรู้ที่จะเล่น ฟุตบอล วิธีการเล่นฟุตบอลส่วนใหญ่เรียนรู้โดยการสังเกต และแม้แต่เด็กที่กลัวที่จะไปพบ ทันตแพทย์ เพื่อที่จะถอนฟันที่กาลังปวด นักจิตวิทยาชื่อ เครก (Craig) ใช้การเรียนรู้โดยการสังเกต ช่วยเด็กที่กลัวการไปพบทันตแพทย์ โดยแบ่งเด็กเป็นสองกลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งเป็นกลุ่มทดลองให้ดู ภาพยนตร์ ที่ตัวแบบกลัวทันตแพทย์ แต่พยายามควบคุมความกลัวไม่แสดงออก หลังจากทันต แพทย์ถอนฟันแล้วได้รับคาชมเชย และได้ของเล่น หลังจากดูภาพยนตร์เด็กกลุ่มที่หนึ่งจะวิกตก กังวล และกลัวการไปพบทันตแพทย์น้อยกว่าเด็กกลุ่มที่สอง ซึ่งเป็นกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้ดู ภาพยนตร์๓๗ การทดลองของแบนดูราที่เกี่ยวกับการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือเลียนแบบมีผู้นาไป ทาซ้า ปรากฏผลการทดลองเหมือนกับแบนดูราได้รับ นอกจากนี้มีนักจิตวิทยาหลายท่านได้ใช้แบบ การเรียนรู้ โดยวิธีการสังเกตในการเรียนการสอนวิชาต่างๆ ๒.๔.๑.๔ ขั้นของการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือเลียนแบบ แบนดูรากล่าวว่า การเรียนรู้ทางสังคมด้วยการรู้คิดจากการเลียนแบบมี ๒ ขั้น คือ ขั้น แรกเป็นขั้นการได้รับมาซึ่งการเรียนรู้ (acquisition) ทาให้สามารถแสดงพฤติกรรมได้ ขั้นที่ ๒ เรียกว่าขั้นการกระทา (performance) ซึ่งอาจจะกระทาหรือไม่กระทาก็ได้ การแบ่งขั้นของการเรียนรู้ แบบนี้ทาให้ทฤษฎีการเรียนรู้ของแบนดูราแตกต่างจากทฤษฎีพฤติกรรมนิยมชนิดอื่นๆ การเรียนรู้ที่ แบ่งออกเป็น ๒ ขั้น อาจจะแสดงด้วยแผนผังที่ ๒.๒ และขั้นการรับมาซึ่งการเรียนรู้ ประกอบด้วย ส่วนประกอบที่สาคัญเป็นลาดับ ๓ ลาดับ ดังแสดงในแผนผังที่ ๒.๓ ๓๖ เช่น A. Bandura, D. Ross, and S. A. Ross, “Transmission of aggressive Through imitation of aggressive models”, pp. 575-582, A. Bandura, D. Ross, and S. A. Ross, “Imitation of film-mediated aggressive models”, pp. 3-11. ๓๗ จิราภา เต็งไตรรัตน์ และคณะ, จิตวิทยาทั่วไป, พิมพ์ครั้งที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๕๒), หน้า ๑๓๗.
  • 17. ๒๗ จากแผนผังนี้เห็นว่า ส่วนประกอบทั้ง ๓ อย่าง ของการรับมาซึ่งการเรียนรู้เป็น กระบวนการรู้คิด (cognitive processes) ความใส่ใจที่เลือกสิ่งเร้ามีบทบาทสาคัญในการเลือกตัว แบบ สาหรับขั้นการกระทา (performance) นั้นขึ้นอยู่กับผู้เรียน เช่น ความสามารถทางด้าน ร่างกาย ทักษะต่างๆ รวมทั้งความคาดหวังที่จะได้รับแรงเสริมซึ่งเป็นแรงจูงใจ ความใส่ใจเลือกสิ่งเร้า Selective Attention การเข้ารหัส (Coding) การจดจา (Retention) ตัวแบบ input model ที่มา : A. Bandura, Social Learning Theory, (Englewood Cliffs, New Jersey : Prentice-Hall, Inc., 1976), p. 38. รูปภาพที่ ๒.๓ แผนผังส่วนประกอบของการเรียนรู้ขึ้นกับการรับมาซึ่งการเรียนรู้ สิ่งเร้าหรือ การรับเข้า (Input) บุคคล (Person) พฤติกรรมสนองตอบ หรือการส่งออก (output) ขั้นที่ ๑ ขั้นที่ ๒ ขั้นการรับมาซึ่งความรู้ (Acquisition) ขั้นการกระทา (Performance) ที่มา : A. Bandura, Social Learning Theory, (Englewood Cliffs, New Jersey : Prentice-Hall, Inc., 1976), p. 79. รูปภาพที่ ๒.๒ แผนผังขั้นของการเรียนรู้โดยการเลียนแบบ
  • 18. ๒๘ ๒.๔.๑.๕ กระบวนการที่สาคัญในการเรียนรู้โดยการสังเกต แบนดูราได้อธิบายว่ากระบวนการที่สาคัญในการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการเรียนรู้ โดยตัวแบบมีทั้งหมด ๔ อย่างคือ ก. กระบวนการความเอาใจใส่ (attention) ข. กระบวนการจดจา (retention) ค. กระบวนการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวอย่าง (reproduction) ง. กระบวนการการจูงใจ (motivation)๓๘ ๓๘ A. Bandura, Social Foundations of Thought and Action : A Social cognitive theory, (Prentice-Hall, Inc., Englewood Cliffs, New Jersey 1986), pp. 51-70, A. Bandura, A Social learning theory, (Prentice-Hall, Inc., Englewood Cliffs, New Jersey 1976), pp. 23-28, A. Bandura, Principles of Behavior Modification, (Holt, Rinehart and Winston, Inc, New York, 1969), pp. 136-143, A. Bandura, Aggression : a social learning analysis, (Prentice-Hall, Inc., Englewood Cliffs, New Jersey 1973), pp. 68-72. รูปภาพที่ ๒.๔ แผนผังกระบวนการในการเรียนรู้โดยการสังเกต กระบวนการตั้งใจ เหตุการณ์ของตัวแบบ เด่นชัด ก่อให้เกิดความพึงพอใจ ความซับซ้อน ดึงดูดจิตใจ มีคุณค่า ผู้สังเกต ความสามารถในการรับรู้ ชุดของการรับรู้ ความสามารถทางปัญญา ระดับของการตื่นตัว ความชอบจากการเรียนรู้มา ก่อน กระบวนการเก็บจา การเก็บรหัสเป็นสัญลักษณ์ การจัดระบบโครงสร้างทางปัญญา การซักซ้อมทางปัญญา การซักซ้อมด้วยการกระทา ผู้สังเกต ทักษะทางปัญญา โครงสร้างทางปัญญา กระบวนการกระทา สิ่งที่จาได้ในปัญญา การสังเกตการกระทา การได้ข้อมูลป้อนกลับ การเทียบเคียงการกระทากับภาพ ในปัญญา ผู้สังเกต ความสามารถทางร่างกาย ทักษะในพฤติกรรมย่อย ๆ กระบวนการจูงใจ สิ่งล่อใจภายนอก การรับรู้ วัตถุสิ่งของ สังคม ควบคุม สิ่งล่อใจที่เห็นผู้อื่นได้รับ สิ่งล่อใจตนเอง วัตถุสิ่งของ การประเมินตนเอง ผู้สังเกต ความพึงพอใจในสิ่งล่อใจ ความลาเอียงจากการเปรียบเทียบ ทางสังคม มาตรฐานภายในของตนเอง ที่มา : A. Bandura, Social Learning Theory, (Englewood Cliffs, New Jersey : Prentice-Hall, Inc., 1976), p. 23.
  • 19. ๒๙ ในตอนเริ่มแรกของการวิจัย ที่แบนดูร่าใช้ชื่อว่าทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (social learning theory) แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น การเรียนรู้ทางปัญญาสังคม (social cognitive theory) ก. กระบวนการความใส่ใจ ( attentional processes ) ความใส่ใจของผู้เรียนเป็นสิ่งสาคัญมาก ถ้าผู้เรียนไม่มีความใส่ใจในการเรียนรู้ โดยการ สังเกตหรือการเลียนแบบก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้น การเรียนรู้แบบนี้ความใส่ใจจึงเป็นสิ่งแรกที่ผู้เรียน จะต้องมี แบนดูรากล่าวว่าผู้เรียนจะต้องรับรู้ส่วนประกอบที่สาคัญของพฤติกรรมของผู้ที่เป็นตัว แบบ องค์ประกอบที่สาคัญของตัวแบบที่มีอิทธิพลต่อความใส่ใจของผู้เรียนมีหลายอย่าง เช่น เป็นผู้ ที่มีเกียรติสูง (High Status) มีความสามารถสูง (High Competence) หน้าตาดี รวมทั้งการแต่งตัว การ มีอานาจที่จะให้รางวัลหรือลงโทษ คุณลักษณะของผู้เรียนก็มีความสัมพันธ์กับกระบวนการใส่ใจ ตัวอย่างเช่น วัยของ ผู้เรียน ความสามารถทางด้านพุทธิปัญญา ทักษะทางการใช้มือและส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รวม ทั้งตัวแปรทางบุคลิกภาพของผู้เรียน เช่น ความรู้สึกว่าตนนั้นมีค่า (Self-Esteem) ความต้องการและ ทัศนคติของผู้เรียน ตัวแปรเหล่านี้มักจะเป็นสิ่งจากัดขอบเขตของการเรียนรู้โดยการสังเกต ตัวอย่างเช่น ถ้าครูต้องการให้เด็กวัยอนุบาลเขียนพยัญชนะไทยที่ยาก ๆ เช่น ฆ ม โดยพยายามแสดง การเขียนให้ดูเป็นตัวอย่าง ทักษะการใช้กล้ามเนื้อในการเคลื่อนไหวของเด็กวัยอนุบาลยังไม่พร้อม ฉะนั้นเด็กวัยอนุบาลบางคนจะเขียนหนังสือตามที่ครูคาดหวังไม่ได้๓๙ ๓๙ A. Bandura, Social Learning Theory, p. 24-25. ความใส่ใจ attention การจดจา retention การแสดงพฤติกรรม เหมือนตัวอย่าง reproduction แรงจูงใจ motivation ที่มา. A, Bandura, Social Foundations of Thought and Action : A Social cognitive theory, (Englewood Cliffs, New Jersey, Prentice-Hall, Inc., 1997), p. 23. รูปภาพที่ ๒.๕ แผนผังกระบวนการในการเรียนรู้โดยการสังเกต
  • 20. ๓๐ ข. กระบวนการจดจา (Retention Process) แบนดูรา อธิบายว่า การที่ผู้เรียนหรือผู้สังเกตสามารถที่จะเลียนแบบหรือแสดง พฤติกรรมเหมือนตัวแบบได้ก็เป็นเพราะผู้เรียนบันทึกสิ่งที่ตนสังเกตจากตัวแบบไว้ในความจาระยะ ยาว แบนดูรา พบว่าผู้สังเกตที่สามารถอธิบายพฤติกรรม หรือการกระทาของตัวแบบด้วยคาพูด หรือ สามารถมีภาพพจน์สิ่งที่ตนสังเกตไว้ในใจจะเป็นผู้ที่สามารถจดจาสิ่งที่เรียนรู้โดยการสังเกตได้ ดีกว่าผู้ที่เพียงแต่ดูเฉย ๆ หรือทางานอื่นในขณะที่ดูตัวแบบไปด้วย สรุปแล้วผู้สังเกตที่สามารถระลึก ถึงสิ่งที่สังเกตเป็นภาพพจน์ในใจ (Visual Imagery) และสามารถเข้ารหัสด้วยคาพูดหรือถ้อยคา (Verbal Coding) จะเป็นผู้ที่สามารถแสดงพฤติกรรมเลียนแบบจากตัวแบบได้แม้ว่าเวลาจะผ่านไป นาน ๆ และนอกจากนี้ถ้าผู้สังเกตหรือ ผู้เรียนมีโอกาสที่จะได้เห็นตัวแบบแสดงสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ซ้า ก็จะเป็นการช่วยความจาให้ดียิ่งขึ้น๔๐ ค. กระบวนการแสดงพฤติกรรมเหมือนกับตัวแบบ (Motor Reproduction Process) กระบวนการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบเป็นกระบวนการที่ผู้เรียน แปรสภาพ (Transform) ภาพพจน์ (Visual Image) หรือสิ่งที่จาไว้เป็นการเข้ารหัสเป็นถ้อยคา (Verbal Coding) ในที่สุดแสดงออกมาเป็นการกระทาหรือแสดงพฤติกรรมเหมือนกับตัวแบบ ปัจจัยที่สาคัญของ กระบวนการนี้คือ ความพร้อมทางด้านร่างกายและทักษะที่จาเป็นจะต้องใช้ในการเลียนแบบของ ผู้เรียน ถ้าหากผู้เรียนไม่มีความพร้อมก็จะไม่สามารถที่จะแสดงพฤติกรรมเลียนแบบได้ แบนดูรา กล่าวว่าการเรียนรู้โดยการสังเกต หรือการเลียนแบบ ไม่ใช่เป็นพฤติกรรมที่ ลอกแบบอย่างตรงไปตรงมา การเรียนรู้โดยการสังเกตประกอบด้วยกระบวนการทางพุทธิปัญญา (Cognitive Process) และความพร้อมทางด้านร่างกายของผู้เรียน ฉะนั้นในขั้นการแสดงพฤติกรรม เหมือนตัวแบบ (Reproduction) ของแต่ละบุคคลจึงแตกต่างกันไปผู้เรียนบางคนก็อาจจะทาได้ดีกว่า ตัวแบบที่ตนสังเกตหรือบางคนก็สามารถเลียนแบบได้เหมือนมาก บางคนก็อาจจะทาได้ไม่ เหมือนกับตัวแบบเพียงแต่คล้ายคลึงกับตัวแบบมีบางส่วนเหมือนบางส่วนไม่เหมือนกับตัวแบบและ ผู้เรียนบางคนจะไม่สามารถแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ ฉะนั้น แบนดูราจึงให้คาแนะนาแก่ผู้ที่มี หน้าที่เป็นตัวแบบ เช่น ผู้ปกครองหรือครูควรใช้ผลย้อนกลับที่ต้องตรวจสอบแก้ไข (Correcting ๔๐ A. Bandura, Social Learning Theory, pp.25-26.