1. บทที่ ๒
แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการปรับพฤติกรรมตามหลัก
ของแบนดูร่า
เมื่อแบนดูร่า (Bandura) เป็นนักจิตวิทยากลุ่มทฤษฎีการ
เรียนรู้ทางสังคมที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด ดังนั้นการศึกษา
เรื่องแนวทัศนะเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์และแนวทางพัฒนา
พฤติกรรมมนุษย์ตามหลักของแบนดูร่าจึงน่าสนใจ แต่การจะ
ศึกษาทั้งสองประเด็นดังกล่าวจำาเป็นต้องเข้าใจเรื่องความหมาย
ของพฤติกรรมและประเภทของพฤติกรรมในจิตวิทยาสมัยใหม่เป็น
พื้นฐานก่อน
๒.๑ ความหมายและประเภทของพฤติกรรมในจิตวิทยา
๒.๑.๑ ความหมายของพฤติกรรมในจิตวิทยา
ความหมายของพฤติกรรมสามารถศึกษาจากคำาอธิบาย
ของนักวิชาการต่างๆ โดยเริ่มจากคำาอธิบายของ เรย์ คอร์ซีนี
(Ray Corsini) ที่ว่า “พฤติกรรม หมายถึง การกระทำา ปฏิกิริยา
และการมีปฏิกิริยา เพื่อตอบสนองสิ่งเร้าภายนอกหรือภายใน ซึ่ง
ครอบคลุมไปถึงกิจกรรมที่สามารถสังเกตได้ด้วยการแสดงออก
กิจกรรมที่สามารถสังเกตได้ด้วยตนเอง และกระบวนการที่ไร้
สติสัมปชัญญะ”
“Actions, reactions, and interactions in reponse to
external or internal stimuli, including objectively observable
activities, instrospectively observable activities, and
unconscious processes.” - R. J. Corsini, The Dictionary of
Psychology, (New York, NY : Brunner-Routledge, 2002), p.
99, นอกจากนี้ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์จิตวิทยา, (อักษร
A-L), (กรุงเทพมหานคร : ศักดิโสภาการพิมพ์, ๒๕๔๘), หน้า ๔๑ ยังได้
อธิบายคำาว่า สติสัมปชัญญะ (consciousness) ว่าหมายถึง การตระหนักรู้
เกี่ยวกับการสัมผัส ความคิด และความรู้สึก ซึ่งบุคคลมีประสบการณ์ในขณะ
นั้น.
2. โฮเวอร์ด ซี. วอร์เรน (Howard C. Warren) อธิบายว่า
พฤติกรรม คือ “ชื่อโดยทั่วไปของความเป็นไปได้ทุกรูปแบบของ
ระบบกล้ามเนื้อและระบบต่อมในการตอบสนองของชีวิตต่อการก
ระตุ้น”
แอนดรู เอ็ม. โคลแมน (Andrew M. Colman) ได้ให้
ความหมายของพฤติกรรมว่า กิจกรรมทางกายของสิ่งมีชีวิต รวม
ถึงการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างเห็นได้ชัดทางสายตา และ
ต่อมภายในร่างกาย และระบบสรีรวิทยาซึ่งเป็นที่รวมของร่างกาย
ของสิ่งมีชีวิตและปฏิกิริยาของร่างกายที่มีต่อสิ่งแวดล้อม คำานี้ยัง
หมายถึงการตอบรับทางร่างกายต่อสิ่งที่มากระตุ้นหรือระดับของ
การกระตุ้นด้วย
ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายไว้ว่า พฤติกรรม
หมายถึง “การกระทำาหรืออาการที่แสดงออกทางท่าทาง ความคิด
และความรู้สึก เพื่อตอบสนองสิ่งเร้า”
สุโท เจริญสุข อธิบายถึงพฤติกรรมว่าหมายถึง “อาการ
แสดงออกของอินทรีย์ทั้งทางกล้ามเนื้อและต่อม”
สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต ให้ความหมายพฤติกรรมว่า
“a generic name for all modes of muscular or
glandular response of the organism to stimulation”- H. C.
Warren, Dictionary of Psychology, (Cambridge, MA : The
Riberide Press, 1934), p. 30.
“The physical activity of an organism, including
overt bodily movements and internal glandular and other
physiological processes, constituting the sumtotal of the
organism’s physical responses to its environment. The term
also denotes the specific physical responses of an organism
to particular stimuli or classes of stimuli”- Andrew M.
Colman, Dictionary of Psychology, (New York : Oxford
University Press Inc., 2004), p. 83.
ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์จิตวิทยา, (อักษร A-L),
(กรุงเทพมหานคร : ศักดิโสภาการพิมพ์, ๒๕๔๘), หน้า ๒๒.
สุโท เจริญสุข, พจนานุกรมคำาศัพท์จิตวิทยา และ ประวัติ
จิตวิทยาสาระสำาคัญ, (กรุงเทพมหานคร : สำานักพิมพ์โอเดียนสโตร์,
๒๕๒๐), หน้า ๑๘.
12
6. พฤติกรรมสามารถแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ พฤติกรรม
เปิดเผย (overt behavior) และพฤติกรรมปกปิด (covert
behavior) พฤติกรรมเปิดเผยสามารถสังเกตได้ด้วยประสาท
สัมผัสและเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ส่วนพฤติกรรมปกปิดไม่
สามารถสังเกตได้ นอกจากการสังเกตกิริยาอาการที่เจ้าของ
พฤติกรรมแสดงออกมาผ่านพฤติกรรมเปิดเผยทางการกระทำาและ
คำาพูด เช่น การแสดงความโกรธออกมาทางสีหน้า การเลือก
สิ่งของบางอย่างที่เขาตัดสินใจแล้ว เป็นต้น
นอกจากนี้พฤติกรรมเปิดเผยยังสามารถแบ่งออกเป็น ๒
ลักษณะ คือ (๑) พฤติกรรมองค์รวม (molar behavior) ได้แก่
พฤติกรรมที่สามารถสังเกตได้ด้วยด้วยประสาทสัมผัส โดยมิต้อง
อาศัยเครื่องมือ เช่น การยืน เดิน นั่ง นอน หัวเราะ ร้องไห้
G. Egan, “Skill Helping: A Problem-Management
Framwork for Helping and Helper Training”, in Teaching
Psychological Skills : Models for Giving Psychology Away,
edited by D. Larson, (Monterey, CA : Brook/Cole Publishing
Company, 1984), p. 140, R. K. Sharma, and R. Sharma,
Social Psychology, (New Delhi : Atlantic Publisher and
Distributors, 1997), p. 181, N. H. Cobb, “Cognitive-
Behavioral Theory and Treatment”, in Theoretical
Perspectives for Direct Social Work Practice, edited by N.
Coady, and P. Lehmann, 2nd
edition, (New York, NY : Spring
Publishing Company, LLC, 2008), p. 223, R. A. Powell, D. G.
Symbaluk, and P. L. Honey, Introduction to Learning and
Behavior, 3rd
edition, (Belmont, CA : Wadsworth, 2009), pp.
53-54.
ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์จิตวิทยา, (อักษร M-Z),
(กรุงเทพมหานคร : ศักดิโสภาการพิมพ์, ๒๕๕๐), หน้า ๒๘๙.
ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์จิตวิทยา, (อักษร A-L),
หน้า ๔๔, มีการแปล overt behavior กับ covert behavior ว่า
พฤติกรรมภายนอก กับ พฤติกรรมภายใน ตามลำาดับ เช่นใน เติมศักดิ์ คท
วณิช, จิตวิทยาทั่วไป, หน้า ๑๒, ลิขิต กาญจนาภรณ์, จิตวิทยา : พื้น
ฐานพฤติกรรมมนุษย์, หน้า ๔, ไพบูลย์ เทวรักษ์, จิตวิทยา ศึกษา
พฤติกรรมภายนอกและใน, หน้า ๕-๖, ถวิล ธาราโภชน์, ศรัณย์ ดำาริ
สุข, จิตวิทยาทั่วไป, หน้า ๑๒.
ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์จิตวิทยา, (อักษร M-Z),
หน้า ๒๖๒.
16
9. ๒.๒ ความหมายของพฤติกรรมในแนวคิดของแบนดูร่า
นักจิตวิทยาชาวแคนาดา อัลเบิร์ท แบนดูร่า (Albert
Bandura) ได้พัฒนาทฤษฎีการเรียนรู้ทางปัญญาสังคม ซึ่งเป็น
ทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์หนึ่งที่ได้รับความสนใจและการ
ยอมรับจากนักจิตวิทยา อย่างไรก็ดี การทำาความเข้าใจเรื่อง
พฤติกรรมมนุษย์ในแนวคิดของแบนดูร่าจำาเป็นต้องศึกษาให้เข้าใจ
ก่อนว่า ความหมายของพฤติกรรมในแนวคิดของแบนดูร่ามี
ขอบเขตของความหมายที่เหมือนหรือต่างไปจากการให้ความหมาย
จากหัวข้อที่ผ่านมา
พฤติกรรมในแนวคิดของแบนดูร่าเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน
กับองค์ประกอบส่วนบุคคล แม้รายละเอียดจะได้ศึกษาในหัวข้อถัด
ไป แต่การเข้าใจองค์ประกอบส่วนบุคคลนี้จะสามารถสร้างความ
เข้าใจถึงความหมายของพฤติกรรมในแนวคิดของแบนดูร่าได้
ชัดเจนยิ่งขึ้น นักจิตวิทยาหรือนักวิชาการที่ศึกษาทฤษฎีของแบน
ดูร่าในส่วนนี้ ได้แสดงความเห็นว่า ในแนวคิดของแบนดูร่า องค์
ประกอบส่วนบุคคล คือ การรู้คิด (cognition, ซึ่งหมายรวมถึง
การรับรู้ การจำา และการคิด ฯ) อารมณ์ความรู้สึก และปฏิกิริยา
ภูมิหลังของอัลเบิร์ท แบนดูร่า ดูใน ภาคผนวก.
A. Bandura, Aggression : A Social Learning
Analysis, (Englewood Cliffs, NJ : Prentice-Hall, Inc., 1973), p.
53, A. Bandura, Social Learning Theory, (Englewood Cliffs,
NJ : Prentice-Hall, Inc., 1976), p. 9-13, A. Bandura, Social
Foundations of Thought and Action : A Social Cognitive
Theory, (Englewood Cliffs, NJ : Prentice-Hall, Inc., 1986), p.
24.
A. J. Christensen, René Martin, and J. M. Smyth,
Encyclopedia of Health Psychology, (New York, NY : Kluwer
Acadamic/Plenum Publishers, 2004), p. 261, S. L. Williams,
and D. Cervone, “Social Cognitive Theories of Personality”, in
Advanced Personality, edited by D. F. Barone, M. Hersen,
and V. B. Van Hasselt, (New York, NY: Kluwer, 1998), p. 175,
สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต, ทฤษฎีและเทคนิคการปรับพฤติกรรม, พิมพ์
ครั้งที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
๒๕๕๐), หน้า ๔๙.
ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์จิตวิทยา, (อักษร A-L),
หน้า ๓๔.
19
11. ปัจจัยซึ่งกันและกัน (reciprocal determinism) ซึ่งเขียนได้ดัง
ภาพต่อไปนี้
จากรูปนี้แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรม (B) องค์ประกอบส่วน
บุคคล (P) และองค์ประกอบทางสิ่งแวดล้อม (E) มีอิทธิพลซึ่งกัน
และกัน กล่าวคือ พฤติกรรมของมนุษย์สามารถกำาหนดสิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมก็สามารถกำาหนดพฤติกรรม พฤติกรรมสามารถ
กำาหนดองค์ประกอบส่วนบุคคล องค์ประกอบส่วนบุคคลก็สามารถ
กำาหนดพฤติกรรมได้เช่นกัน ในทำานองเดียวกัน องค์ประกอบ
ทางสิ่งแวดล้อมและองค์ประกอบส่วนบุคคลก็มีอิทธิพลซึ่งกันและ
กัน ซึ่งสามารถอธิบายได้ในลักษณะเดียวกัน
เนื้อหาในเรื่องนี้ยังต้องทำาความเข้าใจอีกมาก แต่เพื่อง่าย
ต่อการนำาเสนอ งานวิจัยฉบับนี้จะใช้ตัวอักษรย่อ B P และ E แทน
พฤติกรรม องค์ประกอบส่วนบุคคล และองค์ประกอบทางสิ่ง
แวดล้อม ตามลำาดับ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
A. Bandura, Social Learning Theory, p.9.
Ibid, p.9.
A. Bandura, Social Foundations of Thought and
Action : A Social cognitive theory, (Englewood Cliffs, New
Jersey : Prentice-Hall, Inc., 1986), p. 24, A. Bandura, Social
Learning Theory, pp. 9-10.
P
B E
ที่มา : A. Bandura, Social Learning Theory, (Englewood
Cliffs, New Jersey : Prentice-Hall, Inc., 1976), p. 9-10,
A. Bandura, Social Foundations of Thought and
Action : A Social cognitive theory, (Englewood Cliffs,
New Jersey : Prentice-Hall, Inc., 1986), p. 24.
รูปที่ ๒.๑ รูปแสดงการกำาหนดซึ่งกันและกันของ
ปัจจัยทางพฤติกรรม (B) ปัจจัยทาง สภาพแวดล้อม
(E) และปัจจัยส่วนบุคคล (P)
21
17. เพศหนึ่งกับอีกเพศหนึ่งเลียนแบบกันไม่ได้ นอกจากนี้ เด็กผู้ชาย
จะก้าวร้าวมากกว่าเวลาดูตัวแบบชายที่ก้าวร้าว ส่วนเด็กผู้หญิงจะ
ก้าวร้าวมากกว่าเวลาดูตัวแบบผู้หญิงที่ก้าวร้าว ทั้งๆ ที่มีการ
เปลี่ยนแปลงบทบาทและสถานะของสตรีในช่วง ๒ ทศวรรษที่ผ่าน
มา และเด็กๆ ชายหญิงมีแนวโน้มที่จะเลียนแบบคนเพศเดียวกัน
และบุคคลที่ขาดความเชื่อมั่นหรือบุคคลที่ไม่เก่ง รวมทั้งคนที่มี
พฤติกรรมเลียนแบบที่เคยถูกเสริมแรงมาก่อน จะมีแนวโน้มที่จะ
เลียนแบบตัวแบบที่ประสบความสำาเร็จ
นอกจากคุณลักษณะและประสบการณ์ในอดีตของผู้
สังเกตการณ์แล้ว คุณลักษณะของตัวแบบยังมีส่วนสำาคัญต่อ
กระบวนการเลียนแบบ ผู้สังเกตการณ์จะเลียนแบบคนเก่งมากกว่า
คนไม่เก่ง นอกจากนี้ คนเลียนแบบยังชอบเลียนแบบคนที่ดูแลตัว
เองและคนที่ให้รางวัลกับตัว และชอบเลียนแบบคนที่ควบคุม
ทรัพยากรในอนาคตของผู้เลียนแบบ รางวัลหรือการทำาโทษที่
เกี่ยวกับพฤติกรรมของตัวแบบสามารถมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม
เลียนแบบ เราเรียนรู้เมื่อเราเห็นว่าพฤติกรรมของคนอื่นได้รับการ
เสริมแรง แล้วเราจึงปรับพฤติกรรมตาม ดูเหมือนว่าข้อนี้จะง่ายเกิน
ไป คนต้องหยุดคิดก่อนแล้วค่อยเลียนแบบไม่ใช่เลียนแบบกัน
ง่ายๆ โดยการเห็นผู้อื่นได้ของแล้วก็ทำาตาม เพราะการทำาตามแบบ
นั้นอันตราย เพราะถ้าคนอื่นถูกหลอกเราย่อมถูกหลอกด้วย หรือ
การเสริมแรงจากการเห็นคนอื่นได้นี้มีชื่อว่า “vicarious
reinforcement”
แบนดูร่าได้ทำาการทดลองโดยการให้ตัวแบบแสดงความ
ก้าวร้าวในห้องแล็บกับตุ๊กตา Bobo doll ในทุกรูปแบบ เด็กซึ่ง
เป็นเด็กกลุ่มควบคุม (control group) เห็นแค่ภาพของความ
ก้าวร้าว แต่ไม่เห็นผล ส่วนเด็กที่ถูกทดลอง (experimental
group) ได้เห็นภาพที่ตัวแบบได้รับรางวัลหรือถูกทำาโทษที่ทำา
A. Bandura, D. Ross, and S. A. Ross, “Imitation of
film-mediated aggressive models”, Journal of Abnormal
and Social Psychology, vol. 66 no. 1 (1963) : 3-11.
K. Bussey, and A. Bandura, “Social cognitive theory of
gender development and differentiation”, Psychological
Review, vol. 106 (1999) : 676-713.
A. Bandura, Social learning theory, p. 122.
Ibid, p p. 122-125.
27
18. อย่างนั้น ในสภาพที่ให้รางวัล ผู้ใหญ่อีกคนชมตัวแบบที่ก้าวร้าว
แล้วให้โซดาป้อบและลูกอม ส่วนในสภาพที่ทำาโทษ ผู้ใหญ่อีกคน
พูดดูหมิ่นตัวแบบ กล่าวหาว่าขี้ขลาดและเป็นจอมรังแก นอกจากนี้
ผู้ใหญ่ที่มาทำาโทษตัวแบบ ยังใช้หนังสือพิมพ์ที่ม้วนไว้ตีเขา และขู่
ว่าจะตีอีกถ้าแสดงความก้าวร้าว ตัวแปรอิสระในเรื่องนี้ คือ วิธี
การเสริมแรงซึ่งใช้กับตัวแบบที่ก้าวร้าว ตัวแปรตาม (dependent
variable) คือ พฤติกรรมของเด็กเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระใน
สภาพทั้งสามอย่างที่พวกเขาเผชิญ เด็กถูกพาไปที่ห้องอื่นที่มี
ตุ๊กตา Bobo doll โดยมีลูกบอลสามลูก ไม้ตีและไม้กระดาน ที่มี
ตอหมุด และของเล่นอื่นๆ มีของให้เล่นมาก เพื่อว่าเด็กจะได้เลือก
ว่าจะก้าวร้าวหรือไม่ก้าวร้าวได้ จากนั้นผู้ทดลองจะออกจากห้อง
ให้ดูเหมือนว่าจะไปเอาของเล่นมาอีก เด็กๆ ถูกปล่อยให้เล่นตาม
ลำาพัง และผู้ทดลองได้สังเกตพวกเด็กๆ จากกระจกด้านเดียว
ผลลัพธ์เป็นไปตามที่คาดหมาย เด็กที่ได้เห็นตัวแบบรับรางวัลจะ
เลียนแบบตัวแบบที่ก้าวร้าวมากกว่าตัวแบบที่ถูกทำาโทษ การ
ทดลองดังกล่าวแสดงให้เห็นการเสริมแรงและการทำาโทษสร้าง
พฤติกรรมเลียนแบบที่ไม่เหมือนกัน เด็กอาจจะไร้เดียงสา ถูก
จัดการได้ง่าย แต่ผู้ใหญ่จะมีพฤติกรรมที่ซับซ้อนกว่านี้อีกทั้งการ
ทดลองเป็นสภาพซึ่งไม่จริง ถ้าอยู่ในชีวิตจริง เด็กๆ อาจมี
พฤติกรรมที่ต่างกันก็ได้ เพราะเวลาเด็กก้าวร้าว ผู้ใหญ่จะเตือน
และสั่งสอนเด็กก็จะไม่เลียนแบบ
เมื่อพิจารณาต่อไปจะเกิดคำาถามอีกว่า มีการเลียนแบบ
จริงในสภาพที่ถูกเสริมแรง แล้วเด็กจะรับเป็นพฤติกรรมของตน
หรือไม่ และเป็นไปได้หรือไม่ว่าเด็กทุกคนได้เรียนรู้พฤติกรรมแต่มี
พวกเห็นเขาได้รับรางวัลและไม่เห็นใครถูกทำาโทษเท่านั้นที่เลียน
แบบ แบนดูร่าได้ทำาการทดลองต่อไป โดยการให้ของรางวัลที่น่า
สนใจถ้าเลียนแบบ ผลปรากฏว่าเด็กทุกคนเลียนแบบหมด บท
เรียนข้อนี้คือต้องสอนลูกให้มีภูมิต้านทางสังคม เพื่อป้องกันไม่ให้
ถูกหลอก
A. Bandura, D. Ross, and S. A. Ross, “Transmission of
aggressive Through imitation of aggressive models”,
Journal of Abnormal and Social Psychology, vol. 63, Issue
3, (November 1961) : 575-582.
28
19. ปัญหาที่รุนแรงอีกประการ คือ ปัญหาความก้าวร้าวทาง
สังคม โดยการดูหนัง ดูทีวี ถ้าการเลียนแบบเกิดขึ้นได้ง่าย สังคม
ย่อมเต็มไปด้วยคนก้าวร้าว แต่ตามความเป็นจริง มนุษย์รู้จัก
แยกแยะ ด้วยเหตุนี้ แม้หนังและทีวีจะรุนแรง แต่คนจะไม่เลียน
แบบกันเยอะ แม้สิ่งเหล่านี้จะเพิ่มความก้าวร้าวได้ ทั้งนี้เพราะ
มนุษย์ซึ่งรวมทั้งเด็กส่วนใหญ่รู้จักแยกแยะ
๒.๔.๑.๓ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและสิ่ง
แวดล้อม
แบนดูร่า มีความเห็นว่าทั้งสิ่งแวดล้อม และตัวผู้เรียนมี
ความสำาคัญเท่าๆ กัน แบนดูรากล่าวว่า คนเรามีปฏิสัมพันธ์
(interact) กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเราอยู่เสมอการเรียนรู้เกิด
จาก ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งผู้เรียนและสิ่ง
แวดล้อมมีอิทธิพลต่อกันและกัน พฤติกรรมของคนเราส่วนมากจะ
เป็นการเรียนรู้โดยการสังเกต (observational learning) หรือ
การเลียนแบบจากตัวแบบ (modeling) สำาหรับตัวแบบไม่จำาเป็น
ต้องเป็นตัวแบบที่มีชีวิตเท่านั้น แต่อาจจะเป็นตัวสัญลักษณ์ เช่น
ตัวแบบที่เห็นในโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์หรืออาจจะเป็นรูปภาพ
การ์ตูนหนังสือก็ได้ นอกจากนี้ คำาบอกเล่าด้วยคำาพูดหรือข้อมูลที่
เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรก็เป็นตัวแบบได้ การเรียนรู้โดยการ
สังเกตไม่ใช่การลอกแบบจากสิ่งที่สังเกตโดยผู้เรียนไม่คิด
คุณสมบัติของผู้เรียนมีความสำาคัญ เช่น ผู้เรียนจะต้องมีความ
สามารถที่จะรับรู้สิ่งเร้า และสามารถสร้างรหัสหรือกำาหนด
สัญลักษณ์ของสิ่งที่สังเกตเก็บไว้ในความจำาระยะยาว และสามารถ
เรียกใช้ในขณะที่ผู้สังเกตต้องการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ
แบนดูราได้เริ่มทำาการวิจัยเกี่ยวกับการเรียนรู้โดยการ
สังเกต หรือการเลียนแบบ ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๖๐ เป็นต้นมา ได้
ทำาการวิจัยเป็นโครงการระยะยาว และได้ทำาการพิสูจน์สมมติฐาน
A. Bandura, J. E. Grusex, and F. L. Menlove,
“Observational Learning as a Function of Symbolization and
Incentive Set”, Child Development, vol. 37 no. 3 (1966) :
499-506.
29
20. ที่ตั้งไว้ทีละอย่าง โดยใช้กลุ่มทดลองและควบคุมอย่างละเอียดและ
เป็นขั้นตอน
การเรียนรู้โดยการสังเกต สามารถประยุกต์ใช้ในการ
สอนได้ เช่น การเรียนรู้ที่จะเล่นฟุตบอล วิธีการเล่นฟุตบอลส่วน
ใหญ่เรียนรู้โดยการสังเกต และแม้แต่เด็กที่กลัวที่จะไปพบ
ทันตแพทย์ เพื่อที่จะถอนฟันที่กำาลังปวด นักจิตวิทยาชื่อ เครก
(Craig) ใช้การเรียนรู้โดยการสังเกตช่วยเด็กที่กลัวการไปพบ
ทันตแพทย์ โดยแบ่งเด็กเป็นสองกลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งเป็นกลุ่มทดลอง
ให้ดูภาพยนตร์ ที่ตัวแบบกลัวทันตแพทย์ แต่พยายามควบคุม
ความกลัวไม่แสดงออก หลังจากทันตแพทย์ถอนฟันแล้วได้รับคำา
ชมเชย และได้ของเล่น หลังจากดูภาพยนตร์เด็กกลุ่มที่หนึ่งจะวิก
ตกกังวล และกลัวการไปพบทันตแพทย์น้อยกว่าเด็กกลุ่มที่สอง
ซึ่งเป็นกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้ดูภาพยนตร์
การทดลองของแบนดูราที่เกี่ยวกับการเรียนรู้โดยการ
สังเกตหรือเลียนแบบมีผู้นำาไปทำาซำ้า ปรากฏผลการทดลองเหมือน
กับแบนดูราได้รับ นอกจากนี้มีนักจิตวิทยาหลายท่านได้ใช้แบบ
การเรียนรู้ โดยวิธีการสังเกตในการเรียนการสอนวิชาต่างๆ
๒.๔.๑.๔ ขั้นของการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือ
เลียนแบบ
แบนดูรากล่าวว่า การเรียนรู้ทางสังคมด้วยการรู้คิดจาก
การเลียนแบบมี ๒ ขั้น คือ ขั้นแรกเป็นขั้นการได้รับมาซึ่งการ
เรียนรู้ (acquisition) ทำาให้สามารถแสดงพฤติกรรมได้ ขั้นที่ ๒
เรียกว่าขั้นการกระทำา (performance) ซึ่งอาจจะกระทำาหรือไม่
กระทำาก็ได้ การแบ่งขั้นของการเรียนรู้แบบนี้ทำาให้ทฤษฎีการ
เรียนรู้ของแบนดูราแตกต่างจากทฤษฎีพฤติกรรมนิยมชนิดอื่นๆ
การเรียนรู้ที่แบ่งออกเป็น ๒ ขั้น อาจจะแสดงด้วยแผนผังที่ ๒.๒
เช่น A. Bandura, D. Ross, and S. A. Ross,
“Transmission of aggressive Through imitation of aggressive
models”, pp. 575-582, A. Bandura, D. Ross, and S. A. Ross,
“Imitation of film-mediated aggressive models”, pp. 3-11.
จิราภา เต็งไตรรัตน์ และคณะ, จิตวิทยาทั่วไป, พิมพ์ครั้งที่ ๖,
(กรุงเทพมหานคร : สำานักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๕๒), หน้า
๑๓๗.
30
21. และขั้นการรับมาซึ่งการเรียนรู้ ประกอบด้วยส่วนประกอบที่สำาคัญ
เป็นลำาดับ ๓ ลำาดับ ดังแสดงในแผนผังที่ ๒.๓
จากแผนผังนี้เห็นว่า ส่วนประกอบทั้ง ๓ อย่าง ของการ
รับมาซึ่งการเรียนรู้เป็นกระบวนการรู้คิด (cognitive
สิ่งเร้า
หรือ
การรับ
เข้า
(Input
)
บุคคล
(Pers
on)
พฤติกรรม
สนองตอบ
หรือการส่ง
ออก
(output)ขั้นที่
๑
ขั้นที่
๒
ขั้นการรับมาซึ่ง
ความรู้
(Acquisition)
ขั้นการกระทำา
(Performance
)
ที่มา : A. Bandura, Social Learning Theory, (Englewood
Cliffs, New Jersey : Prentice-Hall, Inc., 1976), p. 79.
รูปภาพที่ ๒.๒ แผนผังขั้นของการเรียนรู้โดยการ
เลียนแบบ
ความใส่ใจเลือก
สิ่งเร้า
Selective
Attention
การเข้า
รหัส
(Codin
g)
การ
จดจำา
(Reten
tion)
ตัว
แบบ
inp
ut
mo
del
ที่มา : A. Bandura, Social Learning Theory, (Englewood
Cliffs, New Jersey : Prentice-Hall, Inc., 1976), p. 38.
รูปภาพที่ ๒.๓ แผนผังส่วนประกอบของการเรียนรู้
ขึ้นกับการรับมาซึ่งการเรียนรู้
31
22. processes) ความใส่ใจที่เลือกสิ่งเร้ามีบทบาทสำาคัญในการเลือก
ตัวแบบ
สำาหรับขั้นการกระทำา (performance) นั้นขึ้นอยู่กับผู้
เรียน เช่น ความสามารถทางด้านร่างกาย ทักษะต่างๆ รวมทั้ง
ความคาดหวังที่จะได้รับแรงเสริมซึ่งเป็นแรงจูงใจ
๒.๔.๑.๕ กระบวนการที่สำาคัญในการเรียนรู้โดย
การสังเกต
แบนดูราได้อธิบายว่ากระบวนการที่สำาคัญในการเรียนรู้
โดยการสังเกตหรือการเรียนรู้โดยตัวแบบมีทั้งหมด ๔ อย่างคือ ก.
กระบวนการความเอาใจใส่ (attention) ข. กระบวนการจดจำา
(retention) ค. กระบวนการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวอย่าง
(reproduction) ง. กระบวนการการจูงใจ (motivation)
A. Bandura, Social Foundations of Thought and
Action : A Social cognitive theory, (Prentice-Hall, Inc.,
Englewood Cliffs, New Jersey 1986), pp. 51-70, A. Bandura,
A Social learning theory, (Prentice-Hall, Inc., Englewood
Cliffs, New Jersey 1976), pp. 23-28, A. Bandura, Principles
of Behavior Modification, (Holt, Rinehart and Winston, Inc,
New York, 1969), pp. 136-143, A. Bandura, Aggression : a
social learning analysis, (Prentice-Hall, Inc., Englewood
Cliffs, New Jersey 1973), pp. 68-72.
32
23. ในตอนเริ่มแรกของการวิจัย ที่แบนดูร่าใช้ชื่อว่าทฤษฎี
การเรียนรู้ทางสังคม (social learning theory) แล้วเปลี่ยนชื่อ
เป็น การเรียนรู้ทางปัญญาสังคม (social cognitive theory)
รูปภาพที่ ๒.๔ แผนผังกระบวนการในการเรียนรู้โดย
การสังเกต
กระบวนการตั้งใจ
เหตุการณ์ของตัวแบบ
เด่นชัด
ก่อให้เกิดความพึง
พอใจ
ความซับซ้อน
ดึงดูดจิตใจ
มีคุณค่า
ผู้สังเกต
ความสามารถในการ
รับรู้
ชุดของการรับรู้
ความสามารถทาง
ปัญญา
ระดับของการตื่นตัว
ความชอบจากการ
เรียนรู้มาก่อน
กระบวนการเก็บจำา
การเก็บรหัสเป็น
สัญลักษณ์
การจัดระบบโครงสร้าง
ทางปัญญา
การซักซ้อมทางปัญญา
การซักซ้อมด้วยการก
ระทำา
ผู้สังเกต
ทักษะทางปัญญา
โครงสร้างทางปัญญา
กระบวนการกระทำา
สิ่งที่จำาได้ในปัญญา
การสังเกตการกระทำา
การได้ข้อมูลป้อนกลับ
การเทียบเคียงการกระ
ทำากับภาพในปัญญา
ผู้สังเกต
ความสามารถทาง
ร่างกาย
ทักษะในพฤติกรรม
ย่อย ๆ
กระบวนการจูงใจ
สิ่งล่อใจภายนอก
การรับรู้
วัตถุสิ่งของ
สังคม
ควบคุม
สิ่งล่อใจที่เห็นผู้อื่นได้
รับ
สิ่งล่อใจตนเอง
วัตถุสิ่งของ
การประเมินตนเอง
ผู้สังเกต
ความพึงพอใจในสิ่งล่อ
ใจ
ความลำาเอียงจากการ
เปรียบเทียบ
ทางสังคม
มาตรฐานภายในของ
ตนเอง
ที่มา : A. Bandura, Social Learning Theory, (Englewood
Cliffs, New Jersey : Prentice-Hall, Inc., 1976), p. 23.
ความใส่ใจ
attention
การจดจำา
retention
การแสดง
พฤติกรรม
เหมือนตัวอย่าง
reproduction
แรงจูงใจ
motivation
ที่มา. A, Bandura, Social Foundations of Thought and
Action : A Social cognitive theory, (Englewood Cliffs, New
Jersey, Prentice-Hall, Inc., 1997), p. 23.
รูปภาพที่ ๒.๕ แผนผังกระบวนการในการเรียนรู้โดย
การสังเกต
33