More Related Content
Similar to การพัฒนาเศรษกิจชุมชนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงบทที่ 6 (20)
More from ศุภวัฒน์ ปภัสสรากาญจน์ (20)
การพัฒนาเศรษกิจชุมชนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงบทที่ 6
- 4. นิยามดังกล่าวแบ่งได้เป็น 3 ประเด็นหลักได้แก่
1) กิจกรรมการผลิต โดยเฉพาะในภาคการเกษตร ที่ไม่ทาลาย สิ่งแวดล้อมแต่ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนอย่างคุ้มค่า ด้วยการหมุนเวียนทุน
ธรรมชาติภายในพื้นที่ และด้วยวิธีการทาเกษตร ที่เน้นปลูกเพื่อกินเองก่อน ที่ผ่านมาชุมชนได้ทากิจกรรมต่างๆ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น
กิจกรรมการทาปุ๋ยชีวภาพ การปลูกผักและข้าวที่ปลอดสารพิษ การทาสวนสมุนไพรของชุมชน การคิดค้นสารไล่แมลงสมุนไพรทาถ่านชีวภาพ การ
รวมกลุ่มขยายพันธุ์ปลา การแปรรูปผลผลิตและการทาการ เกษตรผสมผสาน เป็นต้น
2) การรวมกลุ่มกันเพื่อทากิจกรรมร่วมกันของสมาชิกในชุมชน ด้วยทุนทางสังคมที่มีอยู่ ชุมชนได้รวมตัวกันทากิจกรรมต่างๆ ที่เกิดจากความรัก
และความเอื้ออาทรของสมาชิกในชุมชน เช่น กิจกรรมต่อต้านยาเสพย์ติด การนมัสการพระให้มาช่วยสอนจริยธรรมและศีลธรรมในโรงเรียนของ
ชุมชน กิจกรรมการรวมกลุ่มเพื่อเรียนรู้ร่วมกัน ผ่านศูนย์การเรียนรู้หรือโรงเรียนเกษตรกรในหมู่บ้าน การร่วมมือร่วมใจของสมาชิกในชุมชนทา
กิจกรรมต่างๆภายในวัด การจัดตั้งร้านค้าที่เป็นของชุมชนเอง การจัดทาแผนแม่บทชุมชน การจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ การจัดตั้งกองทุนสวัสดิการ การ
รวมกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และกิจกรรมการผลิตของกลุ่มต่างๆ เช่น การรวมกลุ่มทาขนมของแม่บ้าน หรือรวมกลุ่มเพื่อปลูก
พืชผักสวนครัว นอกจากนี้ชุมชน ยังได้ตั้งกองทุนข้าวสารร่วมกับชุมชนอื่นๆในต่างภูมิภาค เพื่อค้าขายหรือผลิตระหว่างกัน รวมทั้งเพื่อการเรียนรู้
แลกเปลี่ยนประสบการณ์และขยายผลการพัฒนาไปยังเครือข่ายชุมชนอื่นๆ
3) กิจกรรมที่ส่งเสริมคุณธรรม จิตสานึกท้องถิ่น ส่งเสริมวิถีชีวิต และวัฒนธรรมของเศรษฐกิจพอเพียง ชุมชนได้เริ่มกิจกรรม ที่มุ่งปลูกฝัง
จริยธรรมความดีงามและจิตสานึกรักท้องถิ่นให้เกิดขึ้นแก่สมาชิกของชุมชน เช่น กิจกรรมที่ปลูกฝังสมาชิกในชุมชนให้มีความเอื้ออาทรต่อกันมากกว่า
คานึงถึงตัวเงินหรือวัตถุเป็นพื้นฐานความสัมพันธ์ กิจกรรมที่ส่งเสริมให้สมาชิกทาบัญชีอย่างโปร่งใสและสุจริต กิจกรรมการพัฒนาครูในชุมชนให้มี
คุณภาพและมีจิตผูกพันกับท้องถิ่นเป็นสาคัญ รวมทั้งกิจกรรมที่ส่งเสริมให้สมาชิกในชุมชนพึ่งตนเองก่อนที่จะพึ่งหรือขอความช่วยเหลือจากคนอื่น
- 5. การปฏิสัมพันธ์ที่มีต่อโลกาภิวัตน์
ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียงในอีกแง่มุมหนึ่งคือ2 ความสามารถของชุมชนเมือง รัฐ ประเทศ หรือภูมิภาค ใน
การผลิตสินค้าและบริการทุกชนิดเพื่อเลี้ยงสังคมนั้น ๆ ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยต่างๆ ที่เราไม่ได้เป็น
เจ้าของ เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจาเป็นที่จะต้องมีระบบ
ภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้
จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบและความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนาวิชาการต่างๆมาใช้ในการวางแผน
และดาเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของ
รัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสานึกในคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม
ดาเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญาและความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมที่จะรองรับการ
เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็น
อย่างดี
- 6. การประยุกต์เพื่อปรับใช้ในยุคของการเปลี่ยนแปลงของโลกาภิวัตน์
1) ความมีวินัย เช่น วินัยทางการเงิน วินัยในการออม เพื่ออนาคต ระมัดระวังไม่ในการใช้จ่ายเพื่อไม่ให้
เกิดหนี้สินเกินความสามารถและต้องไม่โลภ
2) ใฝ่รู้ขวนขวายตามหลักการสาคัญของแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเนื่องจากในปัจจุบันคือ ยุคแห่งการ
เรียนรู้ และสามารถสืบค้นข้อมูลต่างๆ โดยผ่านเว็บไซด์เพื่อหาข้อมูลที่ต้องการ หรือเพื่อการอ่านข้อมูล
ข่าวสารต่างๆ ทั้งยังสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ โปรแกรมสนทนา
3) การใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น (Local Wisdom)
4) การถนอมใช้ทรัพยากรธรรมชาติและรักษาสภาพแวดล้อม
5) การปลูกฝังจริยธรรมและคุณธรรม
ทั้งนี้ การปฏิสัมพันธ์ในระดับภูมิภาคหรือระดับระหว่างประเทศ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ใน
ปัจจุบัน โดยเฉพาะการปฏิสัมพันธ์ในด้านเศรษฐกิจ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรม
- 7. ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง
1) ปัจจัยด้านทุนทางสังคมทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ได้แก่ วัฒนธรรม ภูมิปัญญา นวัตกรรมเทคโนโลยี ความเอื้ออาทรต่อ
กัน ความสัมพันธ์และความไว้วางใจซึ่งกันและกันเป็นต้น
จากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของชุมชนพบว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงด้านทุนทางสังคมคือกระบวนการการ
แก้ไขปัญหาร่วมกันโดยมีเป้าหมายของผลประโยชน์ร่วมกัน สร้างเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาสิ่งต่างๆ เรียกว่า
กระบวนการขับเคลื่อนทุนทางสังคม
ปัญหา สานึก กระบวนการ
มาตรการ
การคานึงถึง
ผลประโยชน์ร่วมกันการสร้างเครือข่าย
ความร่วมมือกันในการพัฒนา
กระบวนการขับเคลื่อนทุนทางสังคม
- 8. ▪ 2) ปัจจัยด้านการรวมกลุ่มและการเป็นชุมชนที่เข้มแข็ง เป็นการรวมกลุ่มเพื่อประกอบกิจกรรมทาง
เศรษฐกิจและสังคมร่วมกันของคนในชุมชนและระหว่างชุมชน ด้วยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การ
เรียนรู้ถึงความสาเร็จและความล้มเหลวของการประกอบกิจกรรม กระบวนการสาคัญของปัจจัยด้าน
การรวมกลุ่มและการเป็นชุมชนที่เข้มแข็งคือ ภาวะผู้นาของกลุ่ม การเลือกตัวแทนผู้นาคนเดิม การ
ถ่ายทอดภูมิปัญญา ความรู้และเทคโนโลยี และการเรียนรู้โดยวิธีการค้นหาชุมชนเข้มแข็งหลัก
ชุมชนเข้มแข็งรองและชุมชนเงาเพื่อการถ่ายทอดและเป็นแกนหลักของเครือข่ายเพื่อการถ่ายทอด
การเรียนรู้ประสบการณ์ที่สาคัญคือการแสวงหาแหล่งเงินทุนในการดาเนินการดังกล่าว
▪ 3) ปัจจัยด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ ของทรัพยากรและ
สิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่มีอยู่และเป็นข้อได้เปรียบต่อการพัฒนาศักยภาพด้านต่างๆและสามารถพัฒนา
ไปสู่การปฏิสัมพันธ์ในเชิงโลกาภิวัตน์ ดังนั้นการดารงรักษาปัจจัยดังกล่าวจึงเป็ นสิ่งสาคัญ แนวคิด
จากประสบการณ์ของชุมชนต่อแนวคิดดังกล่าว คือกระบวนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงด้วย
การสร ้างจิตสานึกต่อการใช ้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การสร ้างองค์ความรู้รวมทั้งการทา
ความเข้าใจต่อทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมและการส่งเสริมการรวมกลุ่มการเรียนรู้แก่คนรุ่นใหม่ การมี
มาตรการในการใช ้ทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน มาตรการในการดารงดูแลรักษา ท้ายที่สุดคือการ
ส่งเสริมการอนุรักษ์การฟื้นฟูในสิ่งที่ถูกทาลายไปให้กลับมาใช ้ประโยชน์ได้
▪ 4) ปัจจัยด้านนโยบาย เป็นปัจจัยด้านการกาหนดในระดับ ธรรมนูญการปกครอง นโยบายการพัฒนา
ซึ่งกาหนดไว้ใน รัฐธรรมนูญของประเทศ นโยบายการพัฒนาประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและ
สังคม กฎหมาย
ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง
- 9. • เป้าหมายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงเป็นการจัดกระทาในระดับภูมิภาค ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาค
ตะวันออก ภาคตะวันออกและตะวันตกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตกและภาคใต้ทั้งนี้ การดาเนิน การขับเคลื่อน
เศรษฐกิจพอเพียงดังกล่าวกระทาภายใต้พื้นฐานแนวคิดดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น กล่าวคือเน้นเป้าหมายในกิจกรรม
ที่ก่อให้เกิดการมีส่วนร่วม การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์จากความสาเร็จและความล้มเหลว รวมถึงการปลูกฝัง
จิตสานึกเพื่อให้เกิดความเข้มแข็งของชุมชนในภูมิภาคต่างๆ โดยการดึงทุนทางสังคมออกมาเป็นกลไกในการ
ขับเคลื่อนสิ่งดังกล่าว
เป้ าหมายการขับเคลื่อนในแต่ละภาค
- 10. ความสอดคล้องต่อวิถีและกิจกรรมของชุมชนและท้องถิ่น
การนาแนวคิดไปปฏิบัติได้ใน 3 ระดับ
1) ระดับจิตสานึก เพื่อให้เกิดการสร้างจิตสานึกและปรับทัศนคติสู่การพึ่งตนเอง โดย
1.1) สร้างความรู้ความเข้าใจ ในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างถ่องแท้
1.2) ประเมินตนเอง เพื่อให้รู้จักตนเอง รู้ศักยภาพของตนเอง รู้ปัญหาหรือวิกฤตที่ประสบอย
1.3) เกิดความคิด “พึ่งตนเอง” โดยใช้ศักยภาพที่มีอยู่แก้ปัญหา
1.4) ตั้งใจที่จะใช้ชีวิต “อยู่อย่างพึ่งตนเอง” พึ่งตนเองให้ได้โดยลดความต้องการ (กิเลส)
และทาประโยชน์แก่ส่วนรวมมากขึ้น
- 11. การนาแนวคิดไปปฏิบัติได้ใน 3 ระดับ
▪ 2.1) อยู่อย่างพึ่งตนเองในระดับครอบครัว โดยสมาชิกต้องรู้จักพึ่งตนเอง ด้วยการ
ร่วมกันทากิจกรรมลดรายจ่าย เช่น ลด ละ เลิกอบายมุข ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ไม่
สร ้างหนี้ ลดรายจ่าย/ลดต้นทุนการผลิต เช่น ผลิตปุ๋ ยชีวภาพ ลดการใช้สารเคมีใน
การเกษตร ปลูกพืชผักสวนครัวและเลี้ยงสัตว์ขนาดเล็กไว้บริโภค โดยยึดหลัก
“ปลูกทุกอย่างที่กิน/กินทุกอย่างที่ปลูก และใช้ทุกอย่างที่ทา/ทาทุกอย่างที่ใช้ปลูก
พืชสมุนไพรเพื่อใช้รักษาโรคและรู้จักการเก็บออม เป็ นต้น”
▪ 2.2) มีวิถีชีวิตอยู่อย่างพอเพียง โดยดาเนินชีวิตด้วยการเดินทางสายกลางไม่
เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม เช่น ทาเกษตรทฤษฎีใหม่
เกษตรผสมผสาน ไร่นาสวนผสม วนเกษตร เกษตรอินทรีย์เกษตรชีวภาพ เกษตร
ไร ้สารพิษ เกษตรธรรมชาติ สวนสมุนไพรชุมชน แปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเข้า
ร่วมเป็ นสมาชิกกลุ่มต่าง ๆ ด้านทุน ด้านอาชีพ ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านสวัสดิการ
เป็ นต้น
- 12. 2.3) รวมกลุ่มในสังคม “อยู่ร่วมกันอย่างเอื้ออาทร” ด้วยการมีความคิดที่จะแจกจ่าย แบ่งปันให้กับ
ผู้อื่น ซึ่งจะทาให้ได้เพื่อนและเกิดวัฒนธรรมที่ดี ลดความเห็นแก่ตัว โดยจะเห็นได้ว่าในชุมชนที่
เข้มแข็งจะมีการรวมกลุ่มกันหลากหลาย และกลุ่มต่าง ๆ เหล่านั้น ถือได้ว่าเป็ น “ทุนทางสังคมที่
สามารถขับเคลื่อนกิจกรรมเพื่อการช่วยเหลือตนเอง” ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในลักษณะของความ
เอื้ออาทร เช่น กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต กลุ่มผู้ประกอบการสินค้าหนึ่งตาบล หนึ่งผลิตภัณฑ์
(OTOP) และกลุ่มอนุรักษ์แหล่งน้าและป่ าไม้ชุมชน เป็ นต้น
• นอกจากนี้ยังพบว่า ในแต่ละชุมชนมีการรวมกลุ่มกันจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่แตกต่าง
กันไปตามความพร้อม เพื่อแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งในด้านวัตถุและจิตใจอื่น ๆ
อีก เช่น กลุ่มสวัสดิการ กลุ่มฌาปนกิจสงเคราะห์ กองทุนสงเคราะห์ผู้ยากไร้ และกลุ่ม
อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมประเพณี
การนาแนวคิดไปปฏิบัติได้ใน 3 ระดับ
- 13. การนาแนวคิดไปปฏิบัติได้ใน 3 ระดับ
3) ระดับปฏิเวธหรือระดับการบังเกิดและรับผลจากการปฏิบัติ โดยผลจากการปฏิบัติ ก่อประโยชน์โดยตรงแก่ผู้เกี่ยวข้องใน
ทุกระดับให้แก่บุคคล ครัวเรือน กลุ่ม/องค์กร และชุมชน เช่น
3.1) ความพอเพียงในครอบครัว เช่น ครัวเรือนที่มีความเป็นอยู่ที่พึ่งตนเองได้อย่างมีความสุขและทางกายและ
ทางใจ ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ไม่มีภาระด้านหนี้สินของตนเองและครอบครัว สามารถหาปัจจัยสี่มาเลี้ยงตนเองและ
ครอบครัว มีส่วนเหลือเป็นเงินออมของครอบครัว มีส่วนเหลือเป็นเงินออมของครอบครัว และยกระดับรายได้พ้นความ
ยากจน เป็นต้น
3.2) ความพอเพียงในระดับชุมชน เช่น มีการรวมกลุ่มทาประโยชน์เพื่อส่วนรวม บริหารทรัพยากรในชุมชนให้
สามารถนาไปดาเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องสมดุล เพื่อให้เกิดความเป็นอยู่ที่พอเพียงของชุมชนโดยรวมและชุมชนอยู่เย็นเป็น
สุข เป็นต้น
3.3) ความพอเพียงในระดับกลุ่ม เช่น การรวมกลุ่มของชุมชนหลาย ๆ แห่งที่มีความพอเพียง ร่วมแลกเปลี่ยน
ความรู้ สืบทอดภูมิปัญญา และร่วมกันพัฒนาตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง และสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงระหว่างชุมชนแห่ง
ความพอเพียง เกิดเป็นชุมชนแห่งความพอเพียงในที่สุด เป็นต้น
- 14. สรุป
▪ ความสอดคล้องต่อวิถีชุมชนของแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง เป็นการดึงธรรมชาติของชุมชนและ
ท้องถิ่นออกมาเพื่อใช ้เป็นกลไกในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ในลักษณะการสร ้างเสริม และ
สร ้างสรรค์เพื่อให้ชุมชนและท้องถิ่นเกิดความเข้มแข็งและสามารถปรับตัวต่อการปฏิสัมพันธ์ในเชิง
โลกาภิวัตน์ได้
▪ ดังนั้น สิ่งสาคัญซึ่งเป็นปัจจัยสาคัญคือทุนทางสังคมและอัตลักษณ์ของชุมชนด้านอื่นๆรวมถึงจุดเด่น
ของทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายทางสังคม
นอกจากนั้น การเสริมสร ้างให้เกิดความเข้มแข็งดังกล่าวยังไห้ความสาคัญต่อการถ่ายทอดไปสู่คนรุ่น
ใหม่ ในทุกๆ ด้านรวมถึงด้านจริยธรรมและคุณธรรม
▪ อย่างไรก็ตาม การเชื่อมต่อให้เกิดการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น วัฒนธรรมท้องถิ่น และการถ่ายทอด
การเรียนรู้ด้านอื่นๆ ยังมีอุปสรรคปัญหาต่อคนรุ่นใหม่อยู่มาก โดยเฉพาะปัจจัยด้านค่านิยมของระบบ
เศรษฐกิจกระแสหลักที่เน้นการบริโภคนิยม