More Related Content
Similar to เครื่องชี้วัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
Similar to เครื่องชี้วัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (20)
More from Pannatut Pakphichai
More from Pannatut Pakphichai (12)
เครื่องชี้วัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
- 1. เครื่องชี้วัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นการดาเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้เกิดการเจริญเติบโต
อย่างเหมาะสมและมีเสถียรภาพ ส่งผลให้รายได้ที่แท้จริงเฉลี่ยต่อบุคคลเพิ่มสูงขึ้น และท้ายที่สุดทาให้คุณภาพ
ชีวิตของประชาชนดีขึ้น
ดังนั้นเครื่องชี้วัดทางเศรษฐกิจของไทยจึงสามารถวัดได้จาก 1. การพัฒนาเศรษฐกิจจาก
ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับ 2. ความอยู่ดีกินดีของประชาชน ดังนี้
1. ดัชนีวัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแสดงถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เช่น ผลิตภัณฑ์มวลรวม
ภายในประเทศ ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ รายได้ประชาชาติ เป็นต้น
2. ดัชนีวัดความอยู่ดีกินดีของประชาชนแสดงถึงระดับความเป็นอยู่ของประชาชน เช่น อัตรา
การอ่านออกเขียนได้ อายุเฉลี่ยของประชากร อัตราการตายของทารก อัตราส่วนของแพทย์ต่อจานวน
ประชากร เป็นต้น
ทั้งนี้ดัชนีชี้วัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นดัชนีที่จะสะท้อนภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจของ
ประเทศ ดังนี้
1. ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP)
เป็นตัวชี้วัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่นิยมใช้มากที่สุด เพราะแสดงถึงความสามารถในการผลิต
และการบริโภคของประเทศ โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เป็นมูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย
ซึ่งผลิตขึ้นโดยใช้ทรัพยากรภายในประเทศในรอบระยะเวลา 1 ปี GDP : มูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย
ที่ผลิตขึ้นโดยคนไทยและชาวต่างชาติ โดยใช้ทรัพยากรของประเทศไทย
GDP = GNP + (รายจ่ายปัจจัยการผลิตไปต่างประเทศ – รายได้จากปัจจัยการผลิตต่างประเทศ)
2. ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (Gross National Product : GNP)
แสดงถึง ความสามารถในการผลิต การบริโภคของคนไทยทั้งประเทศ โดยผลิตภัณฑ์มวลรวม
ประชาชาติเป็นมูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย ซึ่งผลิตขึ้นโดยคนไทยในประเทศและคนไทยใน
ต่างประเทศ
GNP = GDP + (รายได้จากปัจจัยการผลิตต่างประเทศ – รายจ่ายปัจจัยการผลิตไปต่างประเทศ)
3. รายได้ประชาชาติ (National Income : NI) คือ มูลค่าของรายได้ที่ประชาชน คนไทยในประเทศ
และคนไทยที่ไปทางานในต่างประเทศได้รับในช่วงระยะเวลา 1 ปี ทั้งนี้รายได้ประชาชาติคานวณจากผลิตภัณฑ์
มวลรวมประชาชาติหักด้วยภาษีทางอ้อมและค่าเสื่อมราคา
NI = GNP – ค่าเสื่อมราคา – ค่าภาษีทางอ้อม – ค่าระวาง (ขนส่ง)
ใบความรู้ที่ 11.1
เรื่อง เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจของ
ไทย
ก
- 2. 4. รายได้เฉลี่ยต่อบุคคล (Per Capita Income) คานวณได้จากรายได้ประชาชาติหารด้วย
จานวนประชากร ซึ่งใช้เป็นดัชนีสาหรับเปรียบเทียบระดับความอยู่ดีกินดีของประชาชนของประเทศต่าง ๆ
การวัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นส่วนหนึ่งของการวัดการพัฒนาเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีแนวคิดการวัดความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness :
GNH) ขึ้น เนื่องจากการพัฒนาที่ผ่านมามุ่งเน้นแต่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว จนละเลย
ความสุขซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ยังไม่มีดัชนีวัดความสุขมวลรวม
ประชาชาติที่แน่นอนหรือชัดเจนในขณะนี้ แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการให้ความสาคัญกับความสุขของ
ประชาชนมากกว่าการมุ่งเน้นแต่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
ประเทศที่เป็นผู้นาเสนอแนวคิดการวัดความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness
: GNH) ขึ้น คือ ประเทศภูฏาน โดยมีหลักการสาคัญ 4 ประการ คือ
1. การพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน 3. การรักษาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
2. การอนุรักษ์และส่งเสริมคุณค่าทางวัฒนธรม 4. การมีธรรมาภิบาล
GNP กับ GDP แตกต่างกันอย่างไร
GNP ย่อมาจากคาว่า Gross National Product หมายถึง ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ จะนับ
มูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายเฉพาะที่ใช้ทรัพยากรของคนในประเทศนั้น ๆ ในการผลิต โดยไม่สนใจว่า
คนของประเทศนั้น ๆ จะอยู่ที่ใดในโลก หรือก็คือรายได้ของคนในประเทศที่ไปทารายได้ทั้งในและต่างประเทศ
แต่ถ้า GDP ย่อมาจาก Gross Domestic Product หมายถึง ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ มูลค่า
ของสินค้าและบริการเฉพาะที่เกิดอยู่ในประเทศ ไม่ต้องคิดว่าชาติใดเป็นผู้ผลิต หรือก็คือรายได้ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ในประเทศทั้งจากคนในประเทศและชาวต่างชาติ
ประเทศไทยประกอบด้วย 76 จังหวัด จะมีกิจกรรมการผลิตมากมาย ที่เป็นกิจการของ
ชาวไทย ที่เป็นของต่างชาติก็มีจานวนมากในระดับหนึ่ง มูลค่าผลผลิตจากทั้งกิจการของไทยและกิจการ
ต่างชาติ ทั้งหมดที่ทาอยู่ในราชอาณาจักรไทย รวมกันในแต่ละปีก็คือ GDP ของไทย
แต่ถ้าจะนับ GNP ของไทย ก็ต้องนับเฉพาะมูลค่าการผลิตของกิจการไทย โดยนับทั้งโลก คือ นับทั้ง
ในประเทศไทย (เฉพาะมูลค่าผลผลิตของกิจการไทย) และนอกประเทศไทย (เช่น รายได้จากการขายบริการ
(แรงงาน) ในต่างแดน เป็นต้น)
- 3. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
1. ความหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คือ การกาหนดแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของ
ประเทศ เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยการเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชนทุกขั้นตอน
อย่างเป็นระบบ
2. ความเป็นมาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประเทศไทยได้มีการริเริ่มจัดทาแผนพัฒนาเศรษฐกิจของชาติมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 ในสมัยรัฐบาล
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยในปี พ.ศ. 2504 ได้ประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับแรกขึ้น
หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดทาแผน คือ สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ
สังคมแห่งชาติ โดยปัจจุบันประเทศไทยกาลังอยู่ในช่วงของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12
(พ.ศ. 2560-2564)
1. แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2504-2509) มีสาระสาคัญ ดังนี้
เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นสาคัญ โดยเฉพาะลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ได้แก่
ทางหลวงแผ่นดิน ประปา และเน้นการลงทุนภาคเอกชนเป็นหลัก
2. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2510-2514) มีสาระสาคัญ ดังนี้
เพิ่มการพัฒนาภาครัฐ พัฒนาพื้นที่ทุรกันดาร เช่น โครงการเร่งรัดพัฒนาชนบท
3. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2515-2519) มีสาระสาคัญ ดังนี้
เน้นการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมการส่งออก รักษาระดับราคาสินค้าเกษตร
4. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2520-2524) มีสาระสาคัญ ดังนี้
เน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศมุ่งขยายการผลิตสาขาเกษตร
5. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525-2529) มีสาระสาคัญ ดังนี้
เป็นการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การเงิน เร่งระดมเงินออม ปรับปรุงโครงสร้าง
ทางเศรษฐกิจ เช่น ปรับโครงสร้างการผลิตทางด้านอุตสาหกรรม
6. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2530-2534) มีสาระสาคัญ ดังนี้
เน้นการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน การคลัง
7. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535-2539) มีสาระสาคัญ ดังนี้
เน้นการรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ การกระจายรายได้สู่ภูมิภาค การพัฒนาทรัพยากร
มนุษย์บนพื้นฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน
แผนพัฒนาฯ 1 - 11 แผนพัฒนาฯฉบับที่12
- 4. 8. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544) มีสาระสาคัญ ดังนี้
เน้นความมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยเน้นคนเป็นศูนย์กลางการพัฒนาและใช้เศรษฐกิจเป็น
เครื่องช่วยพัฒนาความสุขและคุณภาพชีวิตของคน เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจจากวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น แก้ปัญหา
การว่างงาน
9. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549) มีสาระสาคัญ ดังนี้
มีการนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการพัฒนาประเทศควบคู่ไปกับการพัฒนา
ที่เน้นคนเป็นศูนย์กลาง ยึดทางสายกลางเพื่อให้ประเทศพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจ นาไปสู่การพัฒนาที่สมดุลและ
ยั่งยืน
10. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554) มีสาระสาคัญดังนี้
ประเทศยังคงเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ได้มีการเตรียมความพร้อมของคน
สู่การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก โดยนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเน้นคนเป็นศูนย์กลางมาเป็น
แนวทางการพัฒนาประเทศ
11. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559) มีสาระสาคัญ ดังนี้
แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11เน้นการพัฒนาให้เกิด “สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขด้วยความเสมอ
ภาคเป็นธรรมและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง”
12. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) มีสาระสาคัญดังนี้
มุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านประเทศไทยจากประเทศที่มีรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง
มีความมั่นคง และยั่งยืน สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข โดยน้อมนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ใน
การพัฒนาประเทศ
แหล่งที่มา :
สานักงานเศรษฐกิจการคลัง. (2546). เศรษฐศาสตร์น่ารู้. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา :
http://www.fpo.go.th/S-I/Source/ECO/ECO1.htm.
สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2558). สรุปสาระสาคัญของแผนพัฒนา
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 - 11. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา :
http://www.nesdb.go.th/download.
สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2560). สรุปสาระสาคัญของแผนพัฒนา
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่สิบสอง พ.ศ. 2560 – 2564. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา :
http://www.nesdb.go.th/download/plan12.