อารยธรรมอียิปต์
จัดทำโดย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่  5/1 นางสาวสุภาพร ศรีภูชน เลขที่  17 นางสาวสุพัตรา พลเรือง เลขที่  16 นางสาวศิรินนาสน์  ชมศิริ เลขที่  13 นางสาววนิดา  ทิพกันยา เลขที่  12 นางสาวรันดา  กฤตาคม  เลขที่  11
รูปแบบของอารยธรรมอียิปต์ เป็นวัฒนธรรมจักรวรรดิ เพราะมีความเป็นปึกแผ่น  ปกครองต่อเนื่องกันโดยราชวงศ์  28  ราชวงศ์ ก่อนตกอยู่ใต้การปกครองของจักรวรรดิเปอร์เซีย รูปแบบของอารยธรรมลุ่มน้ำไนล์หรืออารยธรรมอียิปต์
มีทะเลทรายที่ห้อมล้อมทั้งทิศตะวันตก  ทิศตะวันออก และทิศใต้ ส่วนทิศเหนือเป็นสามเหลี่ยมเดลตาไม่มีชายฝั่งที่เรือจอดได้ มีชัยภูมิดีในการป้องกันการบุกรุกของศัตรู แม่น้ำไนล์เปรียบเสมือนกระดูกสันหลัง และระบบประสาทในการรวมดินแดนเป็นรัฐที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน   ** ดังนั้นชาวอียิปต์จึงมีคติต่อแม่น้ำไนล์ดังคำกล่าวของเฮโรโดตุส บิดาประวัติศาสตร์ชาวกรีกว่า  อียิปต์เป็นของขวัญจากแม่น้ำไนล์  แหล่งที่ตั้ง และสภาพแวดล้อมของอารยธรรมอียิปต์
อียิปต์เป็นของขวัญจากแม่น้ำไนล์
เป็นช่วงระยะเวลา ประมาณ  4,500-3,110 B.C.  ชาวอียิปต์โบราณได้เข้าตั้งมั่นบริเวณลุ่มน้ำไนล์มีการรวมตัวเป็นกลุ่ม มักมีการแย่งชิงดินแดนซึ่งกันและกัน สองฝั่งของลุ่มแม่น้ำไนล์ถูกแบ่งออกเป็น   2  ส่วน คือ 1. อียิปต์บน ( Upper  egypt )  ตั้งอยู่ตอนใต้ในบริเวณที่เป็นที่ราบจนถึงเมืองอัสวาน บริเวณดังกล่าวเป็นป่าทึบและเกาะแก่งน้ำตก พื้นที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก ผู้คนอยู่บางเบา 2. อียิปต์ล่าง   ทางตอนเหนือปากแม่น้ำไนล์ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เหนือนครเมมฟิส โดยแต่ละอาณาจักรมีอำนาจปกครองเหนือมณฑลต่างๆ  1. สมัยก่อนราชวงศ์
อาณาจักรของอียิปต์ อียิปต์ล่าง อียิปต์บน
2.1 สมัยต้นราชวงศ์   อยู่ในช่วงราชวงศ์ที่  1-2   ราชาแมงป่อง  ( Scorpion king)  ผู้ครองนครธีส  ( This)   ได้เข้ายึดครองนครรัฐต่างๆในอียิปต์บน ทรงปรารถนาจะรวมอียิปต์เข้าด้วยกันแต่สิ้นพระชนม์เสียก่อน โอรส นาเมอร์ ( Namer)   จึงได้เข้าโจมตีอียิปต์ล่าง จนกระทั่งสามารถผนวกทั้งสองอาณาจักรเข้าด้วยกัน สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นฟาโรห์ ( Pharaoh) พระองค์แรกของราชอาณาจักรอียิปต์โดยตั้งเมืองหลวงที่ เมมฟิส  ( Memphis)  แต่ชาวอียิปต์โบราณก็ยังนิยมเรียกชาติตนครั้งนั้นว่า  Land of Two Lands    2. สมัยราชวงศ์
ราชาแมงป่อง
  เรียกอย่างหนึ่งว่าสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธ์ เป็นอักษรภาพจารึกในแผ่นศิลาหรือฝาผนังหินขนาดใหญ่ต่อมาพัฒนาให้เขียนได้ง่ายขึ้นแต่ยังคงเป็นอักษรภาพอยู่ เรียกว่า อักษรเฮียราติก  ( hieratic )  เขียนลงในกระดาษปาปิรุส ที่ทำจากต้าปาปิรุสต่อมาจึงพัฒนามาเป็นพยัญชนะด้วยแต่ยังไม่เป็นระบบตัวอักษร  อักษรไฮโลกลิฟิก ( hieroglyphic )
อักษรไฮโลกลิฟิก อักษรไฮโลกลิฟิก
2.2  สมัยอาณาจักรเก่า กษัตริย์อียิปต์หรือฟาโรห์ สามารถสถาปนาอำนาจสูงสุดควบคุมขุนนางได้ มีฐานะเป็นเทวราช  ( god king )  ที่เป็นเจ้าของแผ่นดินทั้งหมดของอียิปต์ มีหน้าที่ควบคุมระบบชลประธาร การเพาะปลูกการเก็บเกี่ยวผลผลิต แต่อาณาจักรเก่าสิ้นสุดลง ในราชวงศ์ที่  6   เพราะกษัตริย์ไร้ความสามารถในการปกครองและการรบ อียิปต์โบราณเกิดสงครามกลางเมืองและตกอยู่ภายใต้การปกครองของพวกขุนนาง
  ด้วยความเชื่อว่าฟาโรห์เป็นพระเจ้าจึงเกิดวัฒนธรรมการเชิดชูฟาโรห์และราชวงศ์ มีการสร้างสุสานขนาดใหญ่เรียกว่า พีระมิด เพื่อเก็บรักษาพระศพ ภายในมีการตกแต่งภาพวาดตามฝาผนังอย่างงดงามพีระมิดสำคัญๆสร้างขึ้นในราชวงศ์ที่  4  ใกล้นครเมมฟิส ที่เปลี่ยนจากการสร้างแบบบันไดเป็นพีระมิดด้านเรียบ ที่ใหญ่ที่สุดเป็นพีระมิดของฟาโรห์คูฟู ข้างหน้ามีตัวสฟิงส์ ความสำเร็จของการสร้างยังเป็นปริศนามาทุกวันนี้ และยังยกย่องเป็น  1  ใน  7  สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ  เหตุการณ์สำคัญ
พีระมิด พีระมิดของฟาโรห์คูฟู
  เป็นการรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อย โดย ชำระล้างศพให้สะอาด แยกอวัยวะภายในที่สำคัญ แล้วผ่ายกรรมวิธีที่ซับซ้อนกว่าใช้ผ้าขาวยาวพันรอบศพ จะแห้งและไม่เน่าเปื่อย เพื่อให้ผู้ตายโดยเฉพาะฟาโรห์ให้มีชีวิตนิรันดร์เยาว์วัยตลอดการณ์ ดังมีคำพูดประกอบพิธีกรรมมัมมี่ว่า    ขอให้พระองค์ทรงมีพระชนมายุอีกครั้ง ขอให้มีพระชนมายุตลอดกาลนาน ขอให้ทรงเยาว์วัยอีกครั้งและชั่งนิจนิรันดร์ การทำมัมมี่
การทำมัมมี่ / มัมมี่
2.3  สมัยอาณาจักรกลาง ชาวอียิปต์ไม่นิยมสร้างพีระมิดขนาดใหญ่อีกต่อไป ฟาโรห์หันมาสนใจการบำรุงสุขแก่ประชาชน มีการจักทำโครงการระบายน้ำและสร่งเขื่อน ทำให้อียิปต์ตอนใต้มีเขตเพาะปลูกมากขึ้น และคนจนมีสิทธิ์ที่จะทำมัมมี่ สร้างสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่เป็นวิหารเพื่อบูชาเทพอะมอน ( เป็นศาสนาที่นับถือสำคัญ )  ที่มีอำนาจสูงสุด เช่น วิหารคาร์นัก   หน้าวิหารมีเสาแกะสลักรูปฟาโรห์รามเสสที่แสดงให้เห็นถึงอำนาจของฟาโรห์
วิหารคาร์นัก
2.4.   สมัยอาณาจักรใหม่หรือสมัยจักรวรรดิ  (1554-109   B.C. )   นักบวชเริ่มมีอำนาจมากขึ้นทั้งลัทธิบูชาเทพโอซิริสเป็นที่นิยมนับถือกันอย่างกว้างขวาง นักบวชจึงอ้างเรื่องเหล่านี้เพื่อเรียกค่าใช้จ่าย    ฟาโรห์อัคเคนาตัน จึงพยายามทำลายกลุ่มนักบวชและปฏิรูปศาสนา จาการนับถือเทพหลายองค์เป็นการนับถือเทพองค์เดียวได้แก่ สุรยเทพ อะตัน ที่ฟาโรห์และราชวงศ์เท่านั้นนับถือ ประชาชนทั่วไปต้องนับถือฟาโรห์ จึงสร้างความแตกแยกขึ้นและนำความเสื่อมถ่อยมาสู่อียิปต์ จนพวกนักบวชสามารถจักตั้งราชวงศ์ขึ้นปกครองอียิปต์ตอนได้สำเร็จ
ระหว่าง  670-654  ปีก่อนค . ศ .  อียิปต์ถูกพวกอัสซีเรียเข้ายึดครองแต่ถูกราชวงศ์ที่  26  ขับไล่ ต่อมาจึงถูกเปอร์เซีย กรีก และโรมัน ปกครองตามลำดับ ในกลางคริสศตวรรษที่  7  อียิปต์ได้หันมานับถือศาสนาอิสลามและเป็นส่วนหนึ่งของโลกอิสลาม
1. ชนชั้นสูง -  กษัตริย์และราชวงศ์ -  พระและขุนนาง ชนทั้งสองกลุ่มนี้จัดเป็นชนชั้นสูงรองจากกษัตริย์ 2. ชนชั้นกลาง -  พ่อค้า เสมียน ช่างฝีมือและศิลปิน 3. ชนชั้นต่ำ -  พวกชาวนา ผู้ใช้แรงงาน  -  ทาส เป็นชนชั้นต่ำสุดถูกกวาดต้อนมาภายหลังพ่ายแพ้สงคราม การแบ่งชนชั้นในสังคม
ลักษณะการปกครองเป็นแบบเทวธิปไตย  ( Theocracy )  อยู่ใต้การปกครองของกษัตริย์องค์เดียว กล่าวคือ ฟาโรห์มีฐานะเป็นโอรสของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์คือสุริยเทพ ระบบการปกครอง
การรุกรานของชนทะเล  ( Sea people)  ด้านเมดิเตอเรเนียนได้เกิดความวุ่นวาย เนื่องจากภาวะแห้งแล้ง   ชาวทะเลจึงมุ่งหน้ามายังอียิปต์ดินแดนอู่ข้าวอู่น้ำของโลกโบราณ  สิ่งที่พวกนี้ต้องการ คือดินแดนใหม่ที่ อุดมสมบูรณ์ซึ่งพวกเขาจะตั้งถิ่นฐานได้    หลังการสวรรคตของรามเสสที่  3  อียิปต์กลับสู่ความวุ่นวายอีกครั้ง ทั้งจากปัญหาการเมืองและความอดอยาก ในที่สุดอียิปต์ก็แตกแยกกลายเป็นก๊กเป็นเหล่า บรรดาเมืองต่างๆตั้งตนเป็นอิสระ เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอารยธรรม
ผลงานสำคัญที่เกิดจากการสร้างสรรค์อารยธรรมอียิปต์ พีระมิด
สฟิงซ์
วิหารคาร์นัค
วิหารอาบูซิมเบล
Mummy
อักษรไฮโลกลิฟิก
จบการนำเสนอภาพนิ่ง

อารายธรรมอียิปต์โบราญ

  • 1.
  • 2.
    จัดทำโดย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 นางสาวสุภาพร ศรีภูชน เลขที่ 17 นางสาวสุพัตรา พลเรือง เลขที่ 16 นางสาวศิรินนาสน์ ชมศิริ เลขที่ 13 นางสาววนิดา ทิพกันยา เลขที่ 12 นางสาวรันดา กฤตาคม เลขที่ 11
  • 3.
    รูปแบบของอารยธรรมอียิปต์ เป็นวัฒนธรรมจักรวรรดิ เพราะมีความเป็นปึกแผ่น ปกครองต่อเนื่องกันโดยราชวงศ์ 28 ราชวงศ์ ก่อนตกอยู่ใต้การปกครองของจักรวรรดิเปอร์เซีย รูปแบบของอารยธรรมลุ่มน้ำไนล์หรืออารยธรรมอียิปต์
  • 4.
    มีทะเลทรายที่ห้อมล้อมทั้งทิศตะวันตก ทิศตะวันออกและทิศใต้ ส่วนทิศเหนือเป็นสามเหลี่ยมเดลตาไม่มีชายฝั่งที่เรือจอดได้ มีชัยภูมิดีในการป้องกันการบุกรุกของศัตรู แม่น้ำไนล์เปรียบเสมือนกระดูกสันหลัง และระบบประสาทในการรวมดินแดนเป็นรัฐที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ** ดังนั้นชาวอียิปต์จึงมีคติต่อแม่น้ำไนล์ดังคำกล่าวของเฮโรโดตุส บิดาประวัติศาสตร์ชาวกรีกว่า อียิปต์เป็นของขวัญจากแม่น้ำไนล์ แหล่งที่ตั้ง และสภาพแวดล้อมของอารยธรรมอียิปต์
  • 5.
  • 6.
    เป็นช่วงระยะเวลา ประมาณ 4,500-3,110 B.C. ชาวอียิปต์โบราณได้เข้าตั้งมั่นบริเวณลุ่มน้ำไนล์มีการรวมตัวเป็นกลุ่ม มักมีการแย่งชิงดินแดนซึ่งกันและกัน สองฝั่งของลุ่มแม่น้ำไนล์ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1. อียิปต์บน ( Upper egypt ) ตั้งอยู่ตอนใต้ในบริเวณที่เป็นที่ราบจนถึงเมืองอัสวาน บริเวณดังกล่าวเป็นป่าทึบและเกาะแก่งน้ำตก พื้นที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก ผู้คนอยู่บางเบา 2. อียิปต์ล่าง ทางตอนเหนือปากแม่น้ำไนล์ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เหนือนครเมมฟิส โดยแต่ละอาณาจักรมีอำนาจปกครองเหนือมณฑลต่างๆ 1. สมัยก่อนราชวงศ์
  • 7.
  • 8.
    2.1 สมัยต้นราชวงศ์ อยู่ในช่วงราชวงศ์ที่ 1-2 ราชาแมงป่อง ( Scorpion king) ผู้ครองนครธีส ( This) ได้เข้ายึดครองนครรัฐต่างๆในอียิปต์บน ทรงปรารถนาจะรวมอียิปต์เข้าด้วยกันแต่สิ้นพระชนม์เสียก่อน โอรส นาเมอร์ ( Namer) จึงได้เข้าโจมตีอียิปต์ล่าง จนกระทั่งสามารถผนวกทั้งสองอาณาจักรเข้าด้วยกัน สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นฟาโรห์ ( Pharaoh) พระองค์แรกของราชอาณาจักรอียิปต์โดยตั้งเมืองหลวงที่ เมมฟิส ( Memphis) แต่ชาวอียิปต์โบราณก็ยังนิยมเรียกชาติตนครั้งนั้นว่า Land of Two Lands 2. สมัยราชวงศ์
  • 9.
  • 10.
    เรียกอย่างหนึ่งว่าสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธ์เป็นอักษรภาพจารึกในแผ่นศิลาหรือฝาผนังหินขนาดใหญ่ต่อมาพัฒนาให้เขียนได้ง่ายขึ้นแต่ยังคงเป็นอักษรภาพอยู่ เรียกว่า อักษรเฮียราติก ( hieratic ) เขียนลงในกระดาษปาปิรุส ที่ทำจากต้าปาปิรุสต่อมาจึงพัฒนามาเป็นพยัญชนะด้วยแต่ยังไม่เป็นระบบตัวอักษร อักษรไฮโลกลิฟิก ( hieroglyphic )
  • 11.
  • 12.
    2.2 สมัยอาณาจักรเก่ากษัตริย์อียิปต์หรือฟาโรห์ สามารถสถาปนาอำนาจสูงสุดควบคุมขุนนางได้ มีฐานะเป็นเทวราช ( god king ) ที่เป็นเจ้าของแผ่นดินทั้งหมดของอียิปต์ มีหน้าที่ควบคุมระบบชลประธาร การเพาะปลูกการเก็บเกี่ยวผลผลิต แต่อาณาจักรเก่าสิ้นสุดลง ในราชวงศ์ที่ 6 เพราะกษัตริย์ไร้ความสามารถในการปกครองและการรบ อียิปต์โบราณเกิดสงครามกลางเมืองและตกอยู่ภายใต้การปกครองของพวกขุนนาง
  • 13.
    ด้วยความเชื่อว่าฟาโรห์เป็นพระเจ้าจึงเกิดวัฒนธรรมการเชิดชูฟาโรห์และราชวงศ์มีการสร้างสุสานขนาดใหญ่เรียกว่า พีระมิด เพื่อเก็บรักษาพระศพ ภายในมีการตกแต่งภาพวาดตามฝาผนังอย่างงดงามพีระมิดสำคัญๆสร้างขึ้นในราชวงศ์ที่ 4 ใกล้นครเมมฟิส ที่เปลี่ยนจากการสร้างแบบบันไดเป็นพีระมิดด้านเรียบ ที่ใหญ่ที่สุดเป็นพีระมิดของฟาโรห์คูฟู ข้างหน้ามีตัวสฟิงส์ ความสำเร็จของการสร้างยังเป็นปริศนามาทุกวันนี้ และยังยกย่องเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ เหตุการณ์สำคัญ
  • 14.
  • 15.
    เป็นการรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยโดย ชำระล้างศพให้สะอาด แยกอวัยวะภายในที่สำคัญ แล้วผ่ายกรรมวิธีที่ซับซ้อนกว่าใช้ผ้าขาวยาวพันรอบศพ จะแห้งและไม่เน่าเปื่อย เพื่อให้ผู้ตายโดยเฉพาะฟาโรห์ให้มีชีวิตนิรันดร์เยาว์วัยตลอดการณ์ ดังมีคำพูดประกอบพิธีกรรมมัมมี่ว่า ขอให้พระองค์ทรงมีพระชนมายุอีกครั้ง ขอให้มีพระชนมายุตลอดกาลนาน ขอให้ทรงเยาว์วัยอีกครั้งและชั่งนิจนิรันดร์ การทำมัมมี่
  • 16.
  • 17.
    2.3 สมัยอาณาจักรกลางชาวอียิปต์ไม่นิยมสร้างพีระมิดขนาดใหญ่อีกต่อไป ฟาโรห์หันมาสนใจการบำรุงสุขแก่ประชาชน มีการจักทำโครงการระบายน้ำและสร่งเขื่อน ทำให้อียิปต์ตอนใต้มีเขตเพาะปลูกมากขึ้น และคนจนมีสิทธิ์ที่จะทำมัมมี่ สร้างสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่เป็นวิหารเพื่อบูชาเทพอะมอน ( เป็นศาสนาที่นับถือสำคัญ ) ที่มีอำนาจสูงสุด เช่น วิหารคาร์นัก หน้าวิหารมีเสาแกะสลักรูปฟาโรห์รามเสสที่แสดงให้เห็นถึงอำนาจของฟาโรห์
  • 18.
  • 19.
    2.4. สมัยอาณาจักรใหม่หรือสมัยจักรวรรดิ (1554-109 B.C. ) นักบวชเริ่มมีอำนาจมากขึ้นทั้งลัทธิบูชาเทพโอซิริสเป็นที่นิยมนับถือกันอย่างกว้างขวาง นักบวชจึงอ้างเรื่องเหล่านี้เพื่อเรียกค่าใช้จ่าย ฟาโรห์อัคเคนาตัน จึงพยายามทำลายกลุ่มนักบวชและปฏิรูปศาสนา จาการนับถือเทพหลายองค์เป็นการนับถือเทพองค์เดียวได้แก่ สุรยเทพ อะตัน ที่ฟาโรห์และราชวงศ์เท่านั้นนับถือ ประชาชนทั่วไปต้องนับถือฟาโรห์ จึงสร้างความแตกแยกขึ้นและนำความเสื่อมถ่อยมาสู่อียิปต์ จนพวกนักบวชสามารถจักตั้งราชวงศ์ขึ้นปกครองอียิปต์ตอนได้สำเร็จ
  • 20.
    ระหว่าง 670-654 ปีก่อนค . ศ . อียิปต์ถูกพวกอัสซีเรียเข้ายึดครองแต่ถูกราชวงศ์ที่ 26 ขับไล่ ต่อมาจึงถูกเปอร์เซีย กรีก และโรมัน ปกครองตามลำดับ ในกลางคริสศตวรรษที่ 7 อียิปต์ได้หันมานับถือศาสนาอิสลามและเป็นส่วนหนึ่งของโลกอิสลาม
  • 21.
    1. ชนชั้นสูง - กษัตริย์และราชวงศ์ - พระและขุนนาง ชนทั้งสองกลุ่มนี้จัดเป็นชนชั้นสูงรองจากกษัตริย์ 2. ชนชั้นกลาง - พ่อค้า เสมียน ช่างฝีมือและศิลปิน 3. ชนชั้นต่ำ - พวกชาวนา ผู้ใช้แรงงาน - ทาส เป็นชนชั้นต่ำสุดถูกกวาดต้อนมาภายหลังพ่ายแพ้สงคราม การแบ่งชนชั้นในสังคม
  • 22.
    ลักษณะการปกครองเป็นแบบเทวธิปไตย (Theocracy ) อยู่ใต้การปกครองของกษัตริย์องค์เดียว กล่าวคือ ฟาโรห์มีฐานะเป็นโอรสของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์คือสุริยเทพ ระบบการปกครอง
  • 23.
    การรุกรานของชนทะเล (Sea people) ด้านเมดิเตอเรเนียนได้เกิดความวุ่นวาย เนื่องจากภาวะแห้งแล้ง ชาวทะเลจึงมุ่งหน้ามายังอียิปต์ดินแดนอู่ข้าวอู่น้ำของโลกโบราณ สิ่งที่พวกนี้ต้องการ คือดินแดนใหม่ที่ อุดมสมบูรณ์ซึ่งพวกเขาจะตั้งถิ่นฐานได้ หลังการสวรรคตของรามเสสที่ 3 อียิปต์กลับสู่ความวุ่นวายอีกครั้ง ทั้งจากปัญหาการเมืองและความอดอยาก ในที่สุดอียิปต์ก็แตกแยกกลายเป็นก๊กเป็นเหล่า บรรดาเมืองต่างๆตั้งตนเป็นอิสระ เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอารยธรรม
  • 24.
  • 25.
  • 26.
  • 27.
  • 28.
  • 29.
  • 30.