More Related Content
Similar to อียิปต์โบราณ(Egypt)
Similar to อียิปต์โบราณ(Egypt) (12)
More from Me'e Mildd (15)
อียิปต์โบราณ(Egypt)
- 3. ข้อมูลเบื้องต้นของอียิปต์โบราณ
อียิปต์โบราณ หรือ ไอยคุปต์ เป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ทาง
ตอนตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกามีพื้นที่ตั้งแต่ตอนกลางจนถึงปากแม่น้ําไนล์ ปัจจุบัน
เป็นที่ตั้งของประเทศอียิปต์ อารยธรรมอียิปต์โบราณเริ่มขึ้นประมาณ 3150 ปีก่อนคริต
ศักราช โดยการรวมอํานาจทางการเมืองของอียิปต์ตอนเหนือและตอนใต้ ภายใต้ฟาโรห์องค์
แรกแห่งอียิปต์ และมีการพัฒนาอารยธรรมเรื่อยมากว่า 5,000 ปี ประวัติของอียิปต์โบราณ
ปรากฏขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรือที่รู้จักกันว่า "ราชอาณาจักร" มีการแบ่งยุคสมัยของอียิปต์
โบราณเป็นราชอาณาจักร ส่วนมากแบ่งตามราชวงศ์ที่ขึ้นมาปกครอง
- 11. ยุคราชวงศ์
„ ราชวงศ์ต้นๆ (ราชวงศ์ที่หนึ่ง และ ราชวงศ์ที่สอง)
„ ราชอาณาจักรเก่า (ราชวงศ์ที่สาม ถึง ราชวงศ์ที่หก)
„ ช่วงต่อระยะที่หนึ่ง (ราชวงศ์ที่เจ็ด ถึง ราชวงศ์ที่สิบเอ็ด)
„ ราชอาณาจักรกลาง (ราชวงศ์ที่สิบเอ็ด ถึง ราชวงศ์ที่สิบสี่)
„ ช่วงต่อระยะที่สอง (ราชวงศ์ที่สิบห้า ถึง ราชวงศ์ที่สิบเจ็ด)
„ ราชอาณาจักรใหม่ (ราชวงศ์ที่สิบแปด ถึง ราชวงศ์ที่ยี่สิบ)
„ ช่วงต่อระยะที่สาม (ราชวงศ์ที่ยี่สิบเอ็ด ถึง ราชวงศ์ที่
ยี่สิบห้า)
„ ยุคปลาย (ราชวงศ์ที่ยี่สิบหก ถึง ราชวงศ์ที่สามสิบเอ็ด)
„ ยุคกรีก ‟ โรมัน (พ.ศ. 211 ถึง พ.ศ. 1182)
„ กษัตริย์มาซิโดเนีย (พ.ศ. 211 ถึง พ.ศ. 238)
„ ราชวงศ์ปโตเลมี (พ.ศ. 238 ถึง พ.ศ. 513)
„ อียิปต์ตุส (รัฐหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน พ.ศ. 513
ถึง พ.ศ. 1182)
- 13. ตามตํานานของกรีก กล่าวว่า ไอกีปตอส เป็นผู้ตั้งชื่อแผ่นดินอียิปต์ ว่า
ไอกึปตอส เทพองค์นี้เป็นโอรสของเบลอส และอันฆินอย ฝ่ายบิดานั้นสืบตระกูล
จากโปเซย์ดอน ส่วนฝ่ายมารดาสืบตระกูลจากเนย์ลอส เทพเจ้าแห่งลุ่มน้ําไนล์
ไอกึปตอสได้ครอบครองดินแดนอาระเบีย ซึ่งเรียกว่า เมลัมโปเดส
(Melampodes = เท้าสีดํา) ครั้นภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นไอกึปตอส
- 15. ในมหากาพย์โอดิสซี ของโฮเมอร์ เล่มที่ 18 มีกล่าวถึงแม่น้ําไอกึปตอส เมื่อโอดิสเซ
อุส เดินทางไปถึงแผ่นดินอียิปต์ แม่น้ําดังกล่าวก็คือ แม่น้ําไนล์นั่นเอง
ในภาษากรีกยังมีการใช้คําว่า ไอกึปตอส หมายถึงคนอียิปต์ และแผ่นดินอียิปต์ด้วย
ส่วนวิชาอียิปต์วิทยา (หรือ ไอยคุปวิทยา) มีในภาษากรีกมานานแล้ว ใช้คําว่า ไอกึปตอลอ
เกีย (Aigyptologia) ภาษาละตินใช้ว่า Egyptology และในภาษาอังกฤษถอดโดยตรง
ว่า Egyptology
- 16. ในภาษาละตินยังมีคําศัพท์เรียกอียิปต์ว่า ไอกึปตุส, ไอกึปตี (Egypt-us,Egypt-i) ซึ่ง
นอกจากหมายถึงแผ่นดินอียิปต์แล้ว ยังหมายถึงกษัตริย์อียิปต์ในตํานานพระองค์หนึ่ง นอกจากนี้
ยังมีคําศัพท์เชื่อมโยง กล่าวถึงภาษาอียิปต์ไว้ว่า "ลิงกัว ไอกึปติอาคา" (Lingua
ฦgyptiaca)
นักภาษาโบราณเสนอว่าคําว่า "ไอกึปตอส" น่าจะได้เค้ามาจากภาษาอียิปต์โบราณ จาก
คําว่า ฮิ-คุป-ตาฮ (Hi-kup-tah) หรือ ฮา-คา-ปตาฮ (Ha-ka-ptah) ซึ่งถอดจากอักษร
ภาพ มีความหมายว่า เทพเจ้า คา แห่งปตาฮ์ อันเป็นอีกชื่อหนึ่งของเมืองเมมฟิส คําดังกล่าวมี
ปรากฏในศิลาจารึกโรเซ็ตตาสโตน (Rosetta Stone) ที่พบ ณ เมืองโรเซ็ตตาด้วย
- 17. ไอยคุปต์ในภาษาไทย
• ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการใช้คํา "ไอยคุปต์" ในภาษาไทยมาช้านานเพียงใด แต่ที่มีการกล่าวถึง
ชัดเจน คือพจนานุกรมไทยของ มานิต มานิตเจริญ อธิบายไว้ว่า "ไอยคุปต์ หมายถึง อียิปต์"
• อย่างไรก็ตาม ที่ชัดเจนที่สุด น่าจะเป็นข้อทักท้วงและเสนอแนะของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจ้าอยู่หัว ที่แสดงพระราชนิยมเกี่ยวกับการใช้คําศัพท์เรียกชื่อทางภูมิศาสตร์ เมื่อราว พ.ศ. 2465
ดังนี้
• "นามประเทศ อิยิปต์ รักให้เรียก ไอยคุปต์ ตามแบบหนังสือสันสกฤต"
• ข้อความดังกล่าว แสดงว่าทรงนิยมให้ใช้ "ไอยคุปต์" แต่ประเด็นที่ว่าตามแบบหนังสือสันสกฤตนั้น
ไม่ชัดเจน ว่าหมายถึงอย่างไร เนื่องจากในพจนานุกรมภาษาสันสกฤต เท่าที่ปรากฏในปัจจุบัน
ระบุชื่อ อียิปต์ว่า "มิสรเทศ" (สอดคล้องกับคําที่ภาษาอื่นๆ ในตระกูลภาษาอาหรับใช้เรียกชื่อ
ประเทศอียิปต์)
- 19. จุดกําเนิด
ชาวอียิปต์เชื่อว่าอักษรนี้ประดิษฐ์โดยเทพเจ้าโทห์ และเรียกชื่ออักษรว่า mdwt ntr
(คําพูดของพระเจ้า) คําว่าไฮโรกลิฟฟิก มาจากภาษากรีก hieros (ศักดิ์สิทธิ์) + glypho
(จารึก) คํานี้ใช้เป็นครั้งแรก โดยคลีเมนต์แห่งอเล็กซานเดรีย การเขียนในอียิปต์ที่เก่าที่สุด เริ่มเมื่อ
ราว 2,867 ปีก่อนพุทธศักราช ส่วนอักษร ไฮโรกลิฟฟิกที่ใหม่ที่สุด เป็นประกาศที่กําแพงวิหารในฟิ
แล (philae) อายุราว พ.ศ. 939 อักษรนี้ใช้กับจารึกอย่างเป็นทางการ ตามกําแพงวิหารและหลุม
ฝังศพ บางแห่งมีการระบายสีด้วย การเขียนทั่วไป ในชีวิตประจําวันใช้อักษรเฮียราติกหลังจาก
จักรพรรดิทีออสซิอุสที่1สั่งปิดวิหารของพวกเพเกิน ทั่วจักรวรรดิโรมันในช่วงพ.ศ. 1000 ความรู้
เกี่ยวกับอักษรนี้ได้สูญหายไป จนกระทั่งชอง-ฟรองซัว ชองโปเลียงชาวฝรั่งเศสถอดความอักษรนี้ได้
- 20. ลักษณะ
อักษรไฮโรกลิฟฟิกอาจจะเก่ากว่าอักษรรูปลิ่มของชาวซูเมอร์ทิศทางการเขียนเป็นได้หลาย
แบบ ทั้งแนวนอน ซ้ายไปขวาหรือขวาไปซ้าย แนวตั้งจากบนลงล่าง ซ้ายไปขวาหรือขวาไปซ้าย
การบอกทิศทาง สังเกตจากการหันหน้าของรูปคนหรือสัตว์ ซึ่งจะหันหน้าเข้าหาจุดเริ่มต้นของเส้น
อียิปต์ยุคต้นและยุคกลาง (ราว 1,457-1,057 ปีก่อนพุทธศักราช) ใช้สัญลักษณ์ 700 ตัว ในยุค
กรีก-โรมัน ใช้สัญญลักษณ์มากกว่า 5,600 ตัว สัญลักษณ์แต่ละตัวบอกทั้งการออกเสียงและ
ความหมาย เช่นสัญลักษณ์ของจระเข้ เป็นรูปจระเข้รวมกับสัญลักษณ์แทนเสียง “msh” เช่นเดียวกับ
คําว่าแมว “miw” จะใช้รูปแมว รวมกับสัญลักษณ์แทนอักษร m i และ w
อักษรที่มีลักษณะเช่นเดียวกับอักษรไฮโรกลิฟฟิกของอียิปต์จะเรียกอักษรไฮโรกลิฟฟิกด้วย
เช่น อักษรไฮโรกลิฟฟิกของชาวลูเวียและชาวฮิตไตน์
- 23. ทฤษฎีการสร้าง
ช่วงแรก เป็นการจัดเตรียม วัสดุอุปกรณ์ และการปรับพื้นที่ ที่จะใช้ก่อสร้าง การปรับ
ระดับพื้นดิน ที่ฐานพีระมิด ให้เรียบเท่ากันนั้น ชาวอียิปต์จะสร้าง กําแพงเตี้ย ๆ ขึ้น
ล้อมรอบบริเวณนั้นทั้งหมด ต่อจากนั้น ก็ขุดร่องให้น้ําไหลเข้ามา ท่วมในกําแพงนี้ หลังจาก
ปล่อยน้ําออกแล้ว ส่วนที่สูง ๆ ต่ํา ๆ ก็จะโผล่ให้เห็น จากนั้นจึงมีการ ปรับสภาพดิน หรือ
หินตรงนั้น ให้ราบเรียบเท่ากัน ขั้นต่อมา ทําฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยใช้หินปูน ที่ขัด แล้ว
วางลงไปเป็นฐานขั้นแรก ระหว่างที่คนงานกลุ่มหนึ่ง กําลังปรับพื้นดิน คนงานอีกกลุ่มที่
เหมืองหิน ก็จะสกัดหิน ไปเรื่อย ๆ พวกเขาจะเอาทองแดงไปเผา แล้วตีจนขึ้นรูปเป็นสิ่ว
จากนั้นจุ่มลงในน้ํา เพื่อให้เนื้อทองแดงแกร่ง ชาวอียิปต์ใช้สิ่ว เจาะเซาะลงไป จนถึงชั้นหินปูน
แล้ว จึงแยกหินปูน ออกมาจากเนื้อหินทีละก้อน
- 24. เวลาสกัด สําหรับหินปูนจะง่ายหน่อย เพราะเป็นหินตะกอน ซึ่งมักจะแตกออกเป็นชั้น
ในทางแนวนอน และร้าวได้ง่าย ตามแนวตั้ง แต่หินแกรนิต มีเนื้อแข็ง และไม่มีรอยแยก
ตามธรรมชาติ จึงต้องใช้วิธีก่อไฟ บนผิวของหินแกรนิต เมื่อหินร้อนได้ที่ ก็ราดน้ําเย็นลงไป
ทําให้หิน ส่วนบนมีตําหนิ และแยกออก เผยให้เห็นเนื้อหิน คุณภาพดีข้างใต้ การแยก
หินแกรนิต ออกจากเนื้อหิน เขาจะใช้ ก้อนหินโดเลอไรท์ ตอกทั้ง 4 ด้าน แล้วช่างหิน จะ
เซาะฐานล่าง ของก้อนหิน ให้เป็นร่อง แล้วตอก ลิ่มไม้ลงไป ตามร่องนี้ แล้วเอาน้ํา ราดลง
ไปบน ลิ่มไม้ เพื่อให้มันพองตัว และแยกก้อนหิน ออกจากเนื้อหิน แต่ก่อน นําออกมาจาก
เหมือง ก็ต้องมีการ ตกแต่งหินกัน ซักหน่อยเป็นการทําอย่างหยาบ ๆ เพราะการตกแต่ง
ขั้นสุดท้าย จะทํากันที่ จุดก่อสร้าง ซึ่งมีช่างฝีมืออยู่
- 25. เมื่อเตรียมสิ่งต่าง ๆ เรียบร้อย ก็มาถึงช่วงของ การขนย้ายวัสดุอันหนักอึ้ง มาที่ก่อสร้าง
วัสดุหลัก ที่พวกเขาใช้ส่วนใหญ่ จะเป็นหินปูน ซึ่งเอามา จากเหมืองใกล้ ๆ ทีjก่อสร้าง ส่วนหินปูน
ขาว เนื้อละเอียด ที่ใช้หุ้มผิวนอก ของพีระมิด มาจากเหมืองข้างหน้าผา ที่ทูรา ห่างออกไป 13
กิโลเมตร (คนละฝั่งกับแม่น้ําไนล์) หินแกรนิต ที่ใช้กรุห้อง ภายในพีระมิด มาจากเหมือง ที่
เมืองอัสวาน เหนือลําน้ําขึ้นไป 960 กิโลเมตร
จะเห็นได้ว่า ระยะทางในการขนย้ายหิน จากเหมือง มาที่ก่อสร้างไม่ใช่ใกล้ ๆ แต่ด้วยภูมิ
ปัญญา ของชนอียิปต์ พวกเขาได้เลือกช่วงเวลา ที่แม่น้ําไนล์เอ่อล้นฝั่ง เป็นช่วงของ การขนย้าย
ก้อนหิน พวกคนงาน จะยกหินลงเรือ หรือแพ โดยอาศัยคานงัด และเชือก แล้วล่องข้ามแม่น้ํา ไป
ยังทางเดินบนฝั่ง ที่ใกล้จุดก่อสร้าง เมื่อมาอยู่บนพื้นดิน การขนย้าย จะใช้เลื่อนไม้ ที่มีคนชักลาก
ระหว่างนั้น ก็จะมีการเทสารเหลว เพื่อใช้หล่อลื่น ทําให้เลื่อน เคลื่อนที่ได้สะดวก
- 26. สําหรับการก่อสร้าง จะเริ่มจากพื้นชั้นล่างก่อน ชาวอียิปต์จะสร้าง ทางลาดไว้ ลําเลียง
ก้อนหิน จากพื้นดินพาดวนขึ้นไป จะทําเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะสร้างเสร็จ ขณะที่สร้าง
องค์พีระมิดอยู่ เขาจะสร้างห้องภายใน และทางเดินไปพร้อม ๆ กัน ก่อนที่พีระมิดจะเสร็จ
งานขั้นสุดท้าย จะทําจากยอดลงสู่ฐาน คือ เมื่อสร้างทางลาดสูงขึ้น เรื่อย ๆ จนจรดยอดบน
และวางหินรูปพีระมิด ไว้ที่ชั้นยอดเสร็จ ช่างหินก็จะเริ่มขัดแต่ง ผิวหินปูนสีขาว เนื้อละเอียด
ที่หุ้มพีระมิด โดยเริ่มขัด จากด้านบนลงด้านล่าง เมื่อขัด บริเวณใดเสร็จ ก็จะค่อย ๆ รื้อ
ทางลาด แต่ละระดับลง
- 29. นโปเลียน โบนาปาร์ต กับ ภาพนิมิตในมหาพีระมิด
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อปี พ.ศ. 2341 พระเจ้านโปเลียนมหาราช ได้ทรงกรีฑาทัพ
เข้าสู่อียิปต์ โดยทางเรือ ทัพนี้มีกําลังพล 36,000 คน และเรือ 330 ลํา การสู้
กับมูราด เบย์ ผู้มีตําแหน่ง เป็นผู้ว่าการ ของจักรวรรดิ์ เตอรกีออตโตมาน ที่อ
เล็กซานเดรีย ในทะเลทราย อียิปต์ นโปเลียนเป็นฝ่าย กําชัยชนะไว้ได้ อย่าง
ง่ายดาย ความจริงแล้ว ในการบุกอียิปต์ครั้งนี้ นโปเลียนตั้งใจ จะมาค้นคว้า
ความลับ ของพีระมิดด้วย
- 30. ดังนั้น เมื่อการศึกเสร็จเรียบร้อย นโปเลียนได้เสด็จไปยัง มหาพีระมิดแห่งคูฟู
พร้อม คณะผู้ติดตาม แต่พอถึงห้องพระราชา พระองค์กลับเสด็จ เข้าไปเพียงลําพัง
หลังจากที่ พระองค์เสด็จกลับออกมา มีเรื่องเล่าว่า คืนนั้น พระองค์ไม่อาจจะ
บรรทมลงได้ เพราะทรง ได้ยินเสียง ๆ หนึ่ง ดังมาจากทางมุมห้อง ที่บรรทม
พระองค์ทรงคว้าเอาดาบขึ้นมา แล้วตะโกนถามว่า "ใคร?" แต่สิ่งที่พระองค์
ทรงทอดพระเนตรเห็นก็คือ ภาพนิมิต เป็นแสงสีแดง สว่างโพลน ที่โชนออกมาจาก
มุมห้อง
- 31. "ท่านเป็นใคร ?" พระองค์ตรัสถาม แสงดังกล่าวค่อย ๆ รวมตัว เป็นร่าง
ของ ชายคนหนึ่ง "แล้วนโปเลียนหละ เป็นใคร" เสียงนั้นย้อนถาม แล้วพูดต่อว่า
"ชัยชนะ ของท่าน ที่มีต่อดินแดนนี้ จะไม่ยั่งยืน และท่านก็มีเวลา เหลืออีกไม่นาน
ที่จะสร้าง สันติภาพให้กับโลกนี้" เมื่อพูดเสร็จ ภาพนิมิตดังกล่าว ก็หายไปทันที
ว่ากันว่า ภาพนิมิตดังกล่าว ยังคงมาปรากฏ ให้นโปเลียนเห็นบ่อย ๆ
จนกระทั่ง นโปเลียนก็สิ้นพระชมน์ และบรรดา ผู้ที่คอยเฝ้าพระองค์เล่าว่า ภาพ
นิมิตดังกล่าว มาปรากฏให้เห็นอีกครั้ง เป็นครั้งสุดท้าย ตามที่นโปเลียนขอร้อง
ด้วย
- 32. เสียงประหลาด และพลังไฟฟ้า บนยอดพีระมิด
คนที่เจอเหตุการณ์นี้คือ เซอร์ดับบริว. ซีแมนส์ (W. Seimans) ซึ่งเป็นนักประดิษฐ์
ชาวอังกฤษ
เขามาเที่ยวที่พีระมิดแห่งกิซา ในสมัย ที่ยังให้นักท่องเที่ยว ปีนขึ้นไป บนยอดได้
(ปัจจุบันไม่อนุญาตแล้ว เพราะเกรงว่า จะเกิดอันตราย กับนักท่องเที่ยว) เมื่อซีแมนส์ ขึ้นไป
ยืนบนยอด ของมหาพีระมิด เขาสังเกตว่า ทุกครั้งที่เขายกมือขึ้น แล้วกางนิ้วออก เขาจะ ได้
ยินเสียงประหลาด คล้ายเสียงกระดิ่งดังขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเขายกมือข้างเดียว โดยเฉพาะ
นิ้วชี้ เขาจะรู้สึกคัน หรือกระตุกที่นิ้ว
- 33. นอกจากนั้น เมื่อเขายกขวดเบียร์ ซึ่งนําติดตัวมาด้วย ขึ้นดื่ม พอแตะกับริม
ฝีปาก มันเหมือนมีไฟดูดเบา ๆ ซีแมนส์เอากระดาษชื้น ๆ มาห่อรอบขวด ทําให้
ขวด เปลี่ยนสภาพ เป็นที่เก็บไฟฟ้า หรือแบตเตอรี่ อย่างหยาบ ๆ จากนั้นเขาก็ชู
ขวดขึ้น เหนือศีรษะ มันก็สะสม กระแสไฟฟ้ามากขึ้น ถึงกับเกิดประกายขึ้น ใน
ขวดเลยทีเดียว ด้วยความแปลกใจ ทําให้ซีแมนส์ เอาขวดไปแตะแขนไกด์ ที่นํา
ทางเขา ปรากฏว่า ไกด์เกิดอาการกระตุก คล้ายถูกไฟฟ้าช็อต จนลงไปนั่งตัวสั่น
กับพื้น ท่านเซอร์เอง ก็ตกใจ จึงรีบปีนลงจากพีระมิด ทันที
- 34. ปีศาจหลอน ในห้องพระราชา
นักสํารวจชาวอังกฤษชื่อ ดร. พอล บรูนตัน (Paul Brunton) ได้ขออนุญาต
ทางรัฐบาลอียิปต์ เพื่อขอเข้าไปค้างคืน ในห้องพระราชา ในมหาพีระมิดคูฟู 1 คืน ทาง
รัฐบาลอนุญาต อย่างไม่เต็มใจนัก และเขาก็ได้เข้าไป นั่งในห้องเดียวกับ ที่นโปเลียน เคย
เข้าไป ประทับยืนอยู่ ของที่เขานําติดตัวเข้าไป มีเพียงกระบอกไฟฉาย อันเดียวเท่านั้น
ตอนแรกที่เขาเข้าไป ในห้องพระราชา เขาบรรยายว่า ห้องดังกล่าว มีความแปลก
ประหลาด มันมีความหนาวเย็น ราวกับความตาย ซึ่งแทรกลึกเข้าไปถึง โพรงกระดูก เลย
ทีเดียว และโลงศพหิน ที่วางอยู่ทางมุมห้อง ด้านตะวันตกมีชาวอียิปต์ เคยเล่าให้ฟังว่า วันดี
คืนดี จะมีเสียงดัง ผิดปกติออกมา สิ่งประหลาดอย่างหนึ่ง ที่เขาพบคือ มีแผ่นหินอ่อน วาง
อยู่ใกล้ ๆ โลงศพ ซึ่งหันไปในแนวเหนือ-ใต้ อย่างถูกต้อง
- 35. ดร. พอลบรรยายต่ออีกว่า "ความกลัว ความตื่นตระหนก ได้รุกเร้าเข้าหาผม เพราะมี
ภูตผีปิศาจ ที่แสดงใบหน้า ที่น่ากลัวของมัน ให้ผมเห็นตลอดเวลา ภาพซึ่งมีทีท่าอันเป็นศัตรู ผุด
ออกมาเรื่อย ๆ ไม่หยุดหย่อน ร่างของมันทะมึนมหึมา.. ชวนให้ขนหัวลุก มีวิญญาณ ของภูต ผี
เข้ามาล้อมตัวผม เต็มไปหมด..."
ในหนังสือของแมกซ์ ทอธ (Max Toth) ได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับ ดร.บรูนตัน ที่เข้าไป
ในมหาพีระมิดว่า ก่อนที่ดร.พอลจะเข้าไป ภายในพีระมิด เขามีการเตรียมตัว ทั้งกายและใจ ด้วย
การอดอาหาร พร้อมกับทําสมาธิ กําหนดจิตให้สงบ เป็นเวลา 3 วัน
- 36. ภายในห้องนั้น พอลเข้าไปนั่งลง ตรงหน้าโลงศพหิน โดยหันหลังให้ แล้วปิดสวิตซ์ ไฟฉาย
ทําให้ห้องนั้นมืดสนิท และน่าขนพองสยองเกล้า จากนั้นเขาก็เริ่มนั่งสมาธิ ให้จิตใจสงบ ทันใดนั้น เขา
รู้สึกว่า มีพลังบาง อย่างมาล้อมรอบตัวเขา ความกลัว ทําให้ขนลุกซู่... มันกดดันทําให้เขา อยากออก
จากห้องนั้นโดยเร็ว
ดร.พอล พยายามรวบรวมสมาธิ เพื่อขมความกลัว แต่บรรยากาศนั้น ก็ยังคงคุกคามเขา
มากขึ้นอีก หากแค่ซักพักเดียวเท่านั้น พอเขาสงบจิต ตั้งมั่นได้แล้ว บรรยากาศก็ค่อย ๆ คลายลง
กลายเป็นความอบอุ่น ที่แฝงด้วยความเป็นมิตร แล้วเขาก็แลเห็น ภาพนักบวชชรา ร่างสูงใหญ่ ยืนจังก้า
อยู่หน้าเขา โสตประสาทได้ยินเสียงพูดชัดเจน ...
"เข้ามาที่นี่ทําไม? ความโลภของมนุษย์ ไม่มีวันสิ้นสุดเลยนะ อยากตายนักหรือไง ?"
- 37. "ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดหรอก ท่านผู้เฒ่า ผมมาที่นี่ เพื่อพิสูจน์ความจริง ต่างหาก "
นักบวชผู้นั้น ถอนหายใจ ก่อนกล่าวว่า"ความเพ้อฝันนั้น จะทําให้เจ้าห่างไกล จากเหตุผล บางที
มันอาจทําให้เป็นบ้า จงออกไปเสียเถิด ในขณะที่เจ้ายังมีเวลาเหลืออยู่ มิฉะนั้นเจ้า อาจตายได้"
แต่ดร.พอลยังปฏิเสธเสียงแข็ง
ทันใดนั้น ร่างนักบวชลึกลับ ก็อันตรธานหายไป แต่ซักครู่ เขาก็มอง เห็นนักบวชชรา
อีกองค์ เดินตรงเข้ามาหาเขา ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ท่านขอให้เขา ลงไปนอนในโลงศพหิน ที่
ว่างเปล่า ร่างกายของเขา ทําตามราวถูกสะกดจิต และทันที ที่เขานอนลง เขาก็รู้สึกว่า มีพลัง
ชนิดหนึ่ง พุ่งเข้ามา คลุมร่างกายของเขา ประมาณ 2-3 วินาที
- 38. ดร. พอลรู้สึกว่า ตนเองมาอยู่ในอีกมิติ ร่างกายเบาหวิว ราวปุยนุ่น และมี
แสงสีเงิน เปล่งประกาย โดยรอบคล้ายรัศมี จิตใจของเขา รู้สึกอิ่มเอิบ เบิกบาน
ระหว่างนั้น นักบวชชรา ก็เล่าให้เขาฟังว่า
จงรู้ไว้เถิดว่า ในสถานที่โบราณแห่งนี้ มีบันทึกของเผ่าพันธุ์ แห่งมนุษย์ใน
สมัยแรก ๆ และบันทึกข้อตกลง ซึ่งพวกเขาได้ทําขึ้น กับพระผู้สร้าง โดยผ่านศาสดา
พยากรณ์ ผู้ยิ่งใหญ่ คนแรก (ที่พระองค์แต่งตั้งขึ้น) จงรู้ไว้ด้วยว่า คนที่ได้รับการ
คัดเลือกแล้ว ได้ถูกนํามาที่นี่ ในอดีต ให้รู้จักกับข้อตกลง ดังกล่าวนี้ เพื่อว่าพวกเขาจะ
ได้กลับไปหา เพื่อนพ้องของเขา และเก็บความลับ อันยิ่งใหญ่นี้เอาไว้"
- 39. เจ้าจงกลับไป และบอกเรื่อง ที่ข้าจะบอกต่อไปนี้ กับเพื่อนของเจ้า นี่คือคําเตือน... เมื่อ
มนุษย์ได้ละทิ้ง พระผู้สร้างของพวกเขา และมองดูเพื่อน ด้วยความเกลียดชัง เหมือนกับที่บรรดา เจ้าฟ้า
ชาย ชาวแอตแลนติส ผู้สร้างพีระมิดแห่งนี้ พวกเขาจะถูกทําลาย ด้วยน้ําหนัก แห่งความชั่วร้าย ของ
พวกเขาเอง เฉกเช่นที่ชาวแอตแลนติสประสบ" เมื่อนักบวชองค์นี้ พูดจบ พอลพบว่า ตนเองลอยกลับ
เข้าร่าง เขารู้สึกว่า ตัวหนัก และงุ่มง่าม เมื่อเทียบกับ ก่อนที่เขาจะเข้ามา สักครู่เขาก็ลุกขึ้น สวม
แจ๊กเก็ตแล้ว มองดูนาฬิกา... มันเป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี !
อย่างไรก็ตามเล่ากันว่า เมื่อมีคนไปเอาตัวดร.พอล ออกมาในตอนเช้า เขาอยู่ในสภาพ ที่
เกือบจะเคลื่อนไหวไม่ได้ เลยทีเดียว ซึ่งอาจเป็นเพราะ ความกลัว ที่เขาเผชิญกับมัน เมื่อคืนก็ได้ แต่
ดร.พอล ก็ไม่ใช่คนสุดท้าย ที่โดยพลังประหลาด ภายในพีระมิดเล่นงาน บรรดานักท่องเที่ยว ต่างก็พา
กันบ่นว่า ได้รับอิทธิพล จากมหาพีระมิดแห่งนี้ บ้างเจอ เงาประหลาด บางคนจู่ ๆ กล้ามเนื้อเป็น
ตะคริว ขึ้นมาเฉย ๆ แต่พอพ้นพีระมิดออกมา อาการตะคริวก็หายไป
- 40. เวทมนต์ในการรักษาพีระมิด
การก่อสร้าง พีระมิดแห่งกิซานั้น เริ่มตั้งแต่ เมื่อฟาโรห์คูฟู ขึ้นปกครอง
อียิปต์ โดยสถาปนิกหลวง "เฮมอน" ซึ่งได้รับการถ่ายทอดความรู้ มาจากอิมโฮเทป
(ผู้สร้าง พีระมิดขั้นบันได ของกษัตริย์โซเซอร์) แต่ม้วนปาปิรุส ที่กล่าวกันว่า เป็น
บันทึกที่อิมโฮเทป เขียนคาถา สําหรับป้องกันพีระมิด ให้ปลอดภัยจากแผ่นดินไหว
และฟ้าผ่า ซึ่งเป็นอาวุธร้าย ของเทพ เสตผู้ชั่วร้าย กลับหายไป และไม่มีใครหา
มันพบ
- 41. จนกระทั่งราชบุตรองค์หนึ่ง คือ เจ้าชายฮอร์เดเดฟ (Hordedef) ได้ขอเข้าเฝ้า
พระบิดา แล้วทูลว่า ข้าพระองค์ ได้พบนักเวทมนต์ ที่แข็งแกร่ง และมหัศจรรย์ยิ่งกว่าผู้ใด
ในราชอาณาจักร ของพระองค์แล้ว เขามีนามว่า "เตตา" อาศัยอยู่ที่ไมดุม ใกล้กับพีระมิด
ของเสด็จปู่ เสเนเฟรูไม่มีใครในอียิปต์ เหมือนเขาผู้นี้อีกแล้ว เพราะเขามีอายุถึง 110 ปี
เขามีชีวิตอยู่ตั้งแต่ สมัยฟาโรห์โซเซอร์ และอิมโฮเทป ผู้สร้างพีระมิดองค์แรก เขากิน
ขนมปังวันละ 500 ชิ้น เนื้อวัวซีกหนึ่ง และดื่มเบียร์สด วันละร้อยเหยือก เขารู้วิธี เก็บ
รักษาหัวสัตว์ ที่ถูกตัดออกจากร่าง รู้วิธีที่จะทําให้สิงโต เชื่องราวสุนัข และเขายังบอก อีก
ว่า เขารู้วิธีที่จะช่วยพระองค์ หาปาปิรุสของอิมโฮเทปด้วย
- 42. เมื่อได้ฟังคํากราบทูล ฟาโรห์คูฟู ก็มีราชโองการ ให้เจ้าชายฮอร์เดเดฟ
แล่นเรือไปหา เตตา โดยด่วน เจ้าชายทรงเดินทาง ทวนกระแสน้ําขึ้นไป จนมาถึง
พีระมิดไมดุม ของ ฟาโรห์เสเนเฟรู หลังจากเรือจอดเทียบท่า เจ้าชายก็ทรงเสด็จ
พระราชดําเนิน สู่พีระมิด แล้วอ้อมไปด้านหลัง ซึ่งเป็นหมู่บ้าน ที่เตตาอาศัยอยู่
คณะของเจ้าชาย พบกับชายชรา กําลังนอนบน ตั่งไม้ปาล์ม มีคนใช้ กําลัง
โบกพัด และนวดน้ํามันให้ เจ้าชายฮอร์เดเดฟ ทรงทักทายชายชรา ด้วยความ
เคารพ
- 43. "ข้าอัญเชิญพระราชสาสน์ จากพระบิดา ฟาโรห์คูฟูผู้ยิ่งใหญ่มา พระองค์ทรงมีรับสั่ง
ให้ท่านเข้าเฝ้า"
ข้าพระองค์จะเดินทาง ไปเฝ้าฟาโรห์กับพระองค์ แต่โปรดให้ผู้ติดตามของข้า และ
คัมภีร์ของข้า ได้ติดตามไปในเรือ อีกลําหนึ่งด้วยเถิด
เมื่อทุกสิ่ง ถูกจัดการตามที่เตตา ขอร้องแล้ว เขาก็ล่องเรือ ลงมาตามแม่น้ําไนล์ ด้วย
เรือ พระที่นั่ง พร้อมกับอัญเชิญ พระราชสาสน์ มาจนถึง ในวังเมมฟิส พอมาถึง ฟาโรห์คูฟู
ทรงรับสั่ง ให้เข้าเฝ้าทันที ต่อจากนั้น พระองค์ทรงทดสอบ เตตาว่า สิ่งที่พระองค์เคย ได้
ยินมานั้น ถูกต้องหรือไม่ ทรงให้เตตา สาธิตการต่อศีรษะของสัตว์ ที่ถูกตัดออกมา ให้กลับ
เข้าที่เดิม ซึ่งเขาก็ทําได้ดี จนเป็นที่ พอพระทัย ขององค์ฟาโรห์ ดังนั้น จึงทรงรับสั่ง ถาม
ถึงสิ่งที่พระองค์ อยากรู้มานาน
- 44. "ข้าพระองค์ สามารถบอกได้ว่า ปาปิรุสฉบับนั้น อยู่ที่ไหน มันอยู่ในกล่อง
ศิลา และซ่อนอยู่ในวิหารใหญ่ ของเทพอาเมน-รา ที่เฮลิโอโปลิส ข้าพระองค์บอก
ไม่ได้ว่า กล่องนั้นถูกซ่อนอยู่จุดใด แต่จะมีอยู่คนหนึ่ง ที่สามารถหาสิ่งนี้ ให้
พระองค์ได้"
"คนผู้นั้นเป็นใคร ?"
"ในกลางดึกคืนนี้ ภรรยาของนักบวช ในเฮลิโอโปลิสที่ชื่อ รุด-ดีเดต จะให้
กําเนิด เด็กสามคน ซึ่งเป็นร่างจุติ ของเทพอาเมน-รา หนึ่งในสามคนนั้น จะเป็นผู้
พบกล่องนั้น และจะได้ครองบัลลังก์ ของอียิปต์"
- 45. ฟาโรห์คูฟู ทรงไม่สบายพระทัยนัก เมื่อได้ทราบว่า บุตรของนางจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ ทรง
กังวลว่า จะเกิดสงครามแย่งชิงอํานาจขึ้น แต่เตตาทูลว่า ไม่มีอะไร ที่ต้องเป็นกังวล ก่อนที่ลูกชาย
ของรุด-ดีเดตจะ มานั่งบัลลังก์ พระราชโอรสของพระองค์... เจ้าชายคาฟเร จะได้ครองบัลลังก์ ต่อ
จากพระองค์ และต่อจากนั้น คือพระราชนัดดา... เจ้าชายเมนเกาเร แต่จะมีเพียงเขาเท่านั้น ที่
สามารถพบคาถา และร่ายมนต์ เพื่อให้มหาพีระมิดทั้งสามองค์ แห่งกิซา คงอยู่ชั่วนิรันดร์
ในเวลาเดียวกัน บุตรทั้ง 3 ของรุด-ดีเดต ได้ถือกําเนิดขึ้น ขณะที่บุตร คนโตซึ่งมีชื่อว่า
"อูเสร์-กัฟ" กําลังเล่นอยู่ใน มหาวิหารอาเมน-รา เขาได้พบกล่องศิลา ที่บรรจุม้วนปาปิรุส ของอิม
โฮเทปอยู่ข้างใน และเมื่อเขาเป็นนักบวชหนุ่ม เขาก็ร่ายคาถานั้น ถวายแด่พีระมิด ของฟาโรห์คูฟู
พอเป็นนักบวชชั้นสูง ก็ร่ายเวทย์ถวายพีระมิดคาฟเร และเมื่อเขาได้รับเลือก ให้เป็นว่าที่ฟาโรห์ จึง
ร่ายคาถานั้น ถวายแด่พีระมิด แห่งเมนเกาเร หลังจากนั้น อูเสร์-กัฟ ก็ขึ้นครองราช เป็นปฐม
กษัตริย์ แห่งราชวงศ์ที่ 5
- 46. เลขพิสดารในพีระมิด
มีการประมาณว่า พีระมิดของฟาโรห์คูฟูนั้น มีขนาดใหญ่มาก จนสามารถบรรจุ มหา
วิหาร เวสต์มินสเตอร์ มหาวิหาร เซนต์ปอล แห่งกรุงลอนดอน มหาวิหาร เซนต์ปีเตอร์ แห่ง
กรุงโรม รวมทั้งโบสถ์ สําคัญ ๆ ของเมือง ฟลอเรนซ์และมิลาน เอาไว้ภายในได้ ทั้งหมด...
คิดดูสิว่า มันใหญ่แค่ไหน !!
ทว่าพีระมิดคูฟู ไม่ได้มีแค่ความใหญ่อย่างเดียว หากมันยังซ่อนการค้นพบ ทาง
คณิตศาสตร์ ของคนโบราณ ที่ทําให้คนยุคปัจจุบัน ถึงกับคิ้วขมวด ผูกกันเป็นปมอีกด้วย
- 47. ปีเตอร์ ทอมคินส์ ได้รวบรวมข้อมูล การคํานวณทางคณิตศาสตร์ ของพีระมิดแห่งคูฟู เอาไว้ในหนังสือ
ชื่อ "ความลึกลับของพีระมิด" โดยแบ่งเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้
1. ความยาวเส้นรอบวง ของฐานพีระมิด เมื่อหารด้วย 2 เท่า ของความสูง จากฐานถึงยอด จะมีค่า
เท่ากับค่าพาย (p) ซึ่งเท่ากับ 3.144 ค่าที่ได้นี้ คลาดเคลื่อนไปจาก ค่าที่ถูกต้อง ในปัจจุบันเพียงนิด
เดียว ค่าที่ถูกต้องคือ 3.14159
2. ความยาวของเส้นรอบฐาน พีระมิดคูฟู เมื่อนับเป็น คิวบิท (ภายหลังพัฒนามาเป็น "นิ้ว") วัดได้
365.24 ซึ่งเท่ากับจํานวนวัน ในหนึ่งปี
3. สองเท่าของความสูงพีระมิด เมื่อคูณด้วยเลข 100,000 จะได้ค่าใกล้เคียงกับ ความยาวของ
ระยะทางระหว่างโลก กับดวงอาทิตย์ คือ 93 ล้านไมล์ โดยประมาณ
4. น้ําหนักของพีระมิด เมื่อคูณด้วย 1,000,000,000,000,000 จะได้ค่าใกล้เคียงกับ น้ําหนักของ
โลกเรา โดยประมาณ
- 48. นอกจากค่าตัวเลข แล้วที่ตั้งของพีระมิดแห่งนี้ ยังแบ่งโลกออกเป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กัน
อีก หรือถ้าเราลากเส้นตรง ผ่ากึ่งกลางพีระมิดขึ้นไป จะแบ่งสามเหลี่ยม ของแม่น้ําไนล์
ออกเป็นสองส่วนเท่ากัน
นี่ก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง ที่คนโบราณทําให้เราเกิด ความฉงนว่า พวกเขารู้
เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ได้อย่างไร? ใช้วิธีการอย่างไร ในการวัด ? และเมื่อค้นพบแล้ว ทําไม
ถึงใช้พีระมิด ในการจดบันทึก หรือเพราะชาวอียิปต์โบราณ กลัวว่าความรู้ต่าง ๆ ทาง
ดาราศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ที่เกี่ยวกับโลกเรา จะสูญหายไป เนื่องจากภัยธรรมชาติ ถ้า
บันทึกไว้ด้วยกระดาษ หรือสิ่งอื่น ๆ ก็ชํารุดง่าย เลยใช้วิธีสร้างพีระมิด และใช้มัน เป็นที่
เก็บความรู้ เรื่องต่าง ๆ ที่เขาค้นพบเสียเลย....
- 49. สฟิงค์
นอกจาก สุสานรูปทรงเรขาคณิต ที่ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 องค์แล้ว บนทรายสีเหลืองนุ่ม ของ
ที่ราบสูง แห่งกิซา ยังปรากฏ สิ่งก่อสร้าง ขนาดมหึมา ซึ่งเรารู้จักกันดี... สฟิงซ์ สัตว์
ลูกครึ่ง ที่ทอดร่าง หันหน้าสู่ทิศตะวันออก และหมอบเฝ้า มหาพีระมิด มานับพันปี!!
ตัวสฟิงซ์สัตว์ คือ ที่เกิดจาก การรวมตัว อันแปลก ประหลาด ระหว่างมนุษย์กับสิงโต
ส่วนหัวที่เหมือนมนุษย์นั้น มีสัญลักษณ์ ของฟาโรห์อียิปต์ แสดงไว้ชัดเจน คือมีเคราที่คาง
ตรงหน้าผาก มีงูจงอางแผ่แม่เบี้ย และมีเครื่องประดับ รัดเกล้าแบบกษัตริย์โดยรอบ ความ
กว้างของใบหน้านั้น ประมาณ 14 ฟุต ส่วนลําตัวที่เป็นสิงโต มีความยาวเกินกว่า 240 ฟุต
(วัดจากหัวถึงหาง) ขนาดของมัน มโหฬาร จนคนที่เดินผ่าน เหลือตัวนิดเดียว
- 50. ว่ากันว่า สฟิงซ์ คือ รูปเหมือนขนาดใหญ่ กว่าร่างจริง สองเท่าของฮาร์มา
ชิส เทพแห่งรุ่งอรุณ เมื่อตอนที่แปลงร่าง เป็นสิงโต มีเศียร เป็นฟาโรห์อียิปต์
ออกทําหน้าที่ ล่าสังหารบริวารของเซต
ชาวอียิปต์ไม่ได้เรียกรูปจําลองนี้ว่า "สฟิงซ์" คํา ๆ นี้มาจากภาษากรีก
"sphingo" หรือ "sphingein" แปลว่า การบีบรัด เพราะสฟิงซ์ของชาวกรีก
เป็นสฟิงซ์ที่นิสัยไม่ดี ชอบหยอกเล่นกับเหยื่อ พอมีเหยื่อหลงเข้ามา ก็จะถามคําถาม
และถ้าตอบไม่ถูก จะฆ่าทิ้ง มีอยู่คําถาม
- 51. "อะไรเอ่ย เช้าเดินสี่ขา กลางวันเดินสองขา พอตกเย็นเดินสามขา?" ตอบได้ไหมเอ่ย
... ก็มนุษย์ไง คนที่ตอบถูก เป็นคนแรกคือ โอดีบัส ซึ่งอธิบายว่า เช้าเดินสี่ขา หมายถึงเด็ก
ที่เพิ่งหัดคลาน กลางวันเดินสองขา คือคนที่โตแล้ว (เดิน 2 ขา) ส่วนเย็นเดินสามขา คือ
ผู้เฒ่าผู้แก่ ที่ต้องใช้ไม้เท้า ช่วยพยุงร่างกาย
แต่ถ้าตามแนวคิดของ ไพทากอรัส เขาจะบอกว่า เลข 4 หมายถึง บุคคลในความโง่
เขลา เลข 2 หมายถึง บุคคลที่พัฒนาฉลาดปราดเปรื่อง และเลข 3 คือ บุคคลที่ก้าวสู่
ตําแหน่ง ผู้นําทางวิทยาการต่าง ๆ ของคนอื่น สมกับเป็นไพทากอรัสจริง ๆ แม้แต่ตัวเลข
ก็ยังเอามา วิเคราะห์ แทนบุคลิกของมนุษย์ได้
- 52. ส่วนหน้าที่ ของสฟิงซ์แห่งกิซา นอกจากเฝ้าพีระมิดแล้ว เบื้องหลังและทุกด้าน ของรูป
ปั้นอมนุษย์นี้ ยังมีพื้นที่ที่เรียกว่า "นครมรณะ" รายรอบอยู่ นครมรณะกินอาณา บริเวณ คล
อบคลุมผืนทรายทางใต้ ทางตะวันตก และเหนือของสฟิงซ์ หลุมแล้วหลุมเล่า ต่างถูกขุดเจาะ
เป็นโพรง เพื่อใส่โลงหิน ที่บรรจุร่างของพระราชวงศ์ ขุนนาง และนักบวช ชั้นสูง ซึ่งผ่าน
กรรมวิธี การทํามัมมี่มาแล้ว โดยที่สฟิงซ์ จะคอยขจัดวิญญาณชั่วร้าย ให้พ้นจากหลุมศพ
เหล่านั้น
อายุสฟิงซ์นี้ จากการคํานวณ อายุหินที่ใช้สร้าง โดยใช้คาร์บอน14 ปรากฏว่า สฟิงซ์
มีอายุ เกือบหมื่นปี แต่ว่าประวัติศาสตร์ ชนชาติอียิปต์ เพิ่งเริ่มเมื่อสี่พันกว่าปีก่อนเอง แล้วส
ฟิงซ์ จะอายุเป็นหมื่น ได้อย่างไร บรรดานักวิชาการ จึงออกมาโต้คารมกันยกใหญ่
- 53. บางกลุ่มก็บอกว่า สฟิงซ์ ... ต้องสร้างในสมัย ฟาโรห์คาฟเร (เจ้าของพีระมิดองค์กลาง)
เพราะ ใบหน้าของสฟิงซ์นั้น เหมือนพระพักตร์ ของฟาโรห์ คาฟเรมาก และสาเหตุที่มี การ
แกะสลัก ให้คล้ายกับ พระพักตร์ของ ฟาโรห์คาฟเร อาจเป็นเพราะ พระองค์ได้สมมุติตัวเอง โดย
แสดงเจตนาว่า ตัวสฟิงซ์นั้น แทนพระองค์ ซึ่งเป็นเทพเจ้า แห่งดวงอาทิตย์
แต่ฝ่ายวิเคราะห์ การผุกร่อนของหิน ก็โต้ว่า การผุกร่อนนั้น เกิดจากน้ํามากกว่าที่จะเป็น
ลมและทราย ตามที่เข้าใจ เป็นไปได้ว่า ก่อนที่ทรายจะเข้าปกคลุมบริเวณนี้ เคยเป็นดินแดน ที่ฝน
ตกชุกมาก่อน เลยตั้งสมมุติฐานว่า พอมีความชุ่มชื่น คนโบราณจึงเข้ามาอาศัย แล้วสร้างอนุสรณ์
แห่งความรุ่งเรืองเอาไว้ ก่อนที่จะล่มสลายไป จากนั้นบรรพบุรุษ ของชาวอียิปต์ ก็เข้ามาอาศัยแทนที่
และครอบครอง ซากอารยธรรมอันนี้ ไว้แบบเดียวกับ ชาวเผ่าอินคา
- 54. หลังจากถกเถียงกัน จนคอแห้ง ต่างก็ยอมยุติ สงครามน้ําลายลง เพราะไม่ว่าฝ่ายไหน
ก็หาหลักฐานมายืนยัน ความคิดของตนเองไม่ได้ เนื่องจากคนโบราณ ไม่ได้จารึกถึงวิธี และ
เวลา ในการสร้างสฟิงซ์ เอาไว้เลย แล้วความลับในเรื่อง อายุของสฟิงซ์ ก็ยังคงเป็น
ความลับต่อไป
ทําไมสฟิงซ์จมูกถึงบี้? สาเหตุที่จมูกของสฟิงซ์ แหว่งหายไป เป็นเพราะถูกเอาเป็นเป้า
ไว้ซ้อมยิงปืน ของชาวอาหรับ ก็สมัยนั้น เขากําลังเห่อปืน... อาวุธรุ่นใหม่ ที่เพิ่งออกมา แต่
พอซื้อมาแล้ว ก็หาที่ซ้อมเจ๋ง ๆ ไม่ได้ เลยหันมาเอาสฟิงซ์ เป็นที่ฝึกซ้อม เพราะนอกจาก
จะเป็นเป้านิ่งแล้ว ขนาดที่ใหญ่ ยังเหมาะกับมือสมัครเล่น เป็นที่สุด
- 55. จวบจนทุกวันนี้ สฟิงซ์ก็ยังคงทําหน้าที่ เฝ้านครแห่งความตาย และเหล่ามหา
พีระมิด ทั้ง 3 องค์ โดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน แม้แต่น้อย ดวงตาหินของมัน
ทอดมองสรรพสิ่ง ที่เปลี่ยนไป ตามกาลเวลา โดยไม่ปริปาก เล่าถึงความลับในอดีต
ให้ผู้ใดล่วงรู้... ทิ้งไว้เพียงปริศนา และความลี้ลับ รอให้เหล่ามนุษย์ ผู้มากด้วย
ความสามารถมาไข..
- 58. การแพทย์อียิปต์ยุคโบราณ
มาถึงยุคอียิปต์มีผู้ชํานาญการแพทย์ ชื่อ อิมโฮเทพ(Imhotep) ซึ่งต่อมากลายเป็นเสมือน
เทพเจ้าการรักษาของอียิปต์ ในยุคอียิปต์โบราณมีตําราเกิดขึ้นบันทึกเขียนบนกระดาษ ชื่อว่า 'The
Ebers Papyrus' ได้ชื่อมาจากชาวเยอรมัน นักโบราณคดีอียิปต์ที่ชื่อว่า Georg Ebers เขา
ค้นพบและนํามาเปิดเผยในปี ค.ศ.1873 ค้นพบมันได้ที่ necropolis นอกเมือง Thebes เชื่อ
กันว่า ได้ถูกเขียนไว้ในศตวรรษที่ 16 ในเภสัชตํารับนี้มีสูตรยา 800 ตํารับและกล่าวถึงตัวยา
700 ชนิด เช่น ยาดํา Aloe, wormwood, pepermint, น้ํามันละหุ่ง (castor oil),
henbane, มดยอบ(myrth) hemp dogbane,mandragora โดยตัวยาเหล่านี้แพทย์
อียิปต์จะเตรียมในรูปของยาชง, ไวน์, ยาต้ม, ยาลูกกลอน, ครีม และยาพอก(paultics)
- 59. ตํารับ Ebers Papyrus ได้กล่าวถึงตัวอย่างยาชนิดหนึ่งนําเสนอต่อชาวอียิปต์เพื่อใช้
สําหรับโรคเบาหวานนอกจากนี้มีการแนะนําให้ใช้โคลนพอกและขนมปังที่มีเชื้อราขึ้น พอก
บาดแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อ เมื่อเวลา 1,000 ปีต่อมา เราพบว่า ดินโคลน, ขนมปังราขึ้น
จะมีเชื้อจุลทรีย์ ซึ่งเป็นต้นกําเนิดของยาปฏิชีวนะที่ใช้ในปัจจุบัน
- 62. โหราศาสตร์
มนุษย์มองขึ้นไปบนท้องฟ้า เพื่อมองหาแนวทางชีวิต ที่พวกเขาเชื่อว่าถูกลิขิตมาจาก
เบื้องบน บางคนเชื่อว่า ชะตาของคนได้ถูกบัญญัติขึ้นพร้อม ๆ กับ เวลาที่เราร่วงหล่นจาก
ท้องฟัามาเกิดบนดิน และเราไม่มีทางเปลี่ยนลิขิตสววรค์ได้ แต่บางคนก็เชื่อว่าดวงดาวเป็น
เพียงเครื่องนําทาง ไม่ใช่เครื่องกําหนด จึงได้คิดค้นศาสตร์แห่งการคํานวณ หาตําแหน่งการ
โคจรของดวงดาวต่าง ๆ และอิทธิพลของตําแหน่งเหล่านั้น ที่มีผลต่อโลก และมนุษย์ 4000
ปีก่อนคริสตกาล ศาสตร์แห่งการพยากรณ์ ที่เรียกว่าโหราศาสตร์ก็ถือกําเนิดขึ้น
- 63. บนลุ่มแม่น้ําไทกริส ชาวเมโสโปเตเมีย ได้พยายามมองหาสัญญาณจากท้องฟ้า ที่จะ
บอกพวกเขาให้รู้ ถึงปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ ความอด
อยาก ความแห้งแล้ง และโรคระบาด จนถึงเหตุการณ์ของบ้านเมืองและของโลก ต่อมาจึงเริ่ม
มีการพยากรณ์ให้กับกษัตริย์ หลังจากนั้นศาสตร์การพยากรณ์ ก็ได้เผยแพร่ไปยังเปอร์เซีย
กรีก อินเดียและจีน จนเมื่อ 500 ปีก่อนคริสตกาล ถึงได้เริ่มมีการดูดวงให้กับคนทั่วไป
ในช่วงปี 270 ก่อนคริสตกาล ชาวกรีกได้ก่อตั้งโรงเรียนโหราศาสตร์ขึ้น ที่เมืองอเล็ก
ซานเดรีย ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ฟาโรห์ปโตเลมี ได้เขียนตําราโหราศาสตร์ชื่อดังขึ้นมา เรียกว่า
Tetrabiblos ว่าด้วยศาสตร์แห่งจักรวาล ที่มีโลกเป็นศูนย์กลาง ที่ยังมีนักโหราศาสตร์ศึกษา
กันอยู่ ทางฝั่งตะวันตกจนถึงปัจจุบันนี้
- 64. โหราศาสตร์เดินทางจากอินเดียมายังประเทศไทย ผ่านทางศาสนาพราหมณ์ ในสมัย
สุโขทัย ซึ่งในคัมภีร์พระเวทก็มีคําสดุดีดาวเคราะห์ต่าง ๆ การพยากรณ์ชะตาชีวิตแบบไทยจะ
อิงกับตําราเลข 7 ตัว แล้วใช้วัน เดือน ปี และเวลาเกิด แล้วเทียบกับตําแหน่งการโคจรของ
ดวงดาวในการทํานาย ซึ่งก็เกี่ยวข้องกับ 12 จักรราศี เพราะแต่ละจักรราศีจะมีดาวเคราะห์
ประจํา จากนั้นก็จัดให้ธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ํา ลม ไฟ เข้าครองในราศี ตามลักษณะธาตุ
ของราศี โดยจัดให้ธาตุที่เป็นคู่มิตรและคู่ศัตรูอยู่สลับกัน จากนั้น จึงจัดให้ราศีประจําทิศต่าง ๆ
การทํานายก็โดยพยากรณ์ดาวพระเคราะห์ที่โคจรใน 12 ราศี แล้วส่งอิทธิพลมายังดวงชะตา
และลัคนาของคน ๆ นั้น
- 65. ที่พูดถึงโหราศาสตร์ค่อนข้างมากเนื่องจาก เป็นศาสตร์การพยากรณ์ ที่เก่าแก่ที่สุดศาสตร์หนึ่ง
ต่อมาในฝั่งตะวันตกเอง พยากรณ์ศาสตร์ได้แตกแขนงออกไป เช่น การทํานายอนาคตจากอวัยวะ
ภายในของสัตว์ที่ตายแล้วของโรมัน และการเข้าทรง แบบกรีกโบราณอันขึ้นชื่อ เรียกว่า Oracle
ที่วิหารเทพอพอลโลแห่งเดลฟี โดยไม่รู้แน่ชัดว่าคนทรงติดต่อกับเทพเจ้าได้จริง หรือว่าสะกดจิต
ตัวเองให้เชื่อว่าคุยกับเทพได้จริง เพราะนักจิตวิทยาสมัยใหม่สงสัยว่าวิธีการนี้ คล้ายกับคําทํานาย
ของนอสตราดามุส (ผู้อ่านอนาคตจากลูกแก้ว) เพราะมีคําทํานายคลุมเคลือ และจะตีความอย่างไรก็
ได้ นอกจากนั้นนักจิตวิทยาระบุว่า คนที่เป็นคนทรงนั้นเป็นพวกสองหรือหลายบุคลิก โดยสามารถ
เปลี่ยนลักษณะท่าทางตัวเองได้ ส่วนวิธีการทํานายอื่นๆ เช่นการพยากรณ์จากการดูลาง การใช้พลัง
จิต (Psychic) หรือใช้ตาทิพย์ (Clairvoyance) ซึ่งพลังเหล่านี้ถือเป็นปรากฏการณ์เหนือ
ธรรมชาติ โดยบรรจุอยู่ในสาขาปรจิตวิทยา (Parapsychology) และยังไม่เป็นที่ยอมรับทาง
วิทยาศาสตร์นัก ส่วนศาสตร์การพยากรณ์ที่มีหลักการคิดเป็นระบบ และเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย
ได้แก่ การอ่านตัวเลข การดูลายมือ และการดูไพ่ทาโร่ต์ ซึ่งได้รับการยอมรับจากประชาชนว่า มี
ความเป็นศาสตร์และศิลป์ มากกว่าจะเป็นเพียงแค่ไสยศาสตร์
- 67. ค้นหาความลับในมัมมี่
เมื่อปี ค.ศ. 1975 นักวิทยาศาสตร์ ได้นําเอามัมมี่ของฟาโร และขุนนางอียิปต์โบราณ
อายุประมาณ ประมาณ 1600 - 1000 ปีก่อนคริสตศักราชจํานวน 17 ร่าง ของพิพิธพัณฑ์
แมนเชสเตอร์ประเทศอังกฤษ
มาศึกษาโดยการเอกซเรย์ผลการเอกซเรย์พระศพเพื่อไขความลับให้คนรุ่นหลังอย่างเราได้ศึกษา
โดยผลการวิเคราะห์บอกว่า ฟาโรห์ส่วนใหญ่สวรรค์คต เมื่อยังมีพระชนม์น้อย กะโหลกของ
ฟาโรห์หลายพระองค์มีขนาดแตกต่างกันมากบ่งว่าไม่ได้ร่วมสายพระโลหิตเดียวกันแถมยังทําให้
เรารู้ด้วยว่า ฟาโรห์และมเหสีหลายพระองค์ประชวรด้วยโรคไขข้ออักเสบ..
- 69. กว่าจะเป็นมัมมี่ที่เราเห็น
นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก ท่านแบ่งวิธีการทํามัมมี่ ออกเป็น 3 แบบ ตามความ
ประณีต และราคาค่างวดในการทํา
วิธีแรก ราคาถูกที่สุด ถ้าเรียกตามราคาของตั๋วเครื่องบิน ก็ต้องเรียกว่า มัมมี่ชั้น
ประหยัด เหมาะสําหรับ ผู้ที่ต้องการทํามัมมี่ แต่ทุนทรัพย์น้อย วิธีการ ทําเขาจะทํา
ความสะอาดศพก่อน ถ้าสัปเหร่อใจดี ก็จะเอาพวก ลําไส้เล็กและใหญ่ออกให้ แต่
บางศพก็ปล่อยมัน ไว้ที่เดิม จากนั้นนําไปหมกในสารเนตรอน ซึ่งเอามาจาก
ทะเลสาบ ที่แห้งแล้ง บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ําไนล์ รอจนศพแห้งแล้ว
ค่อยพันผ้า
- 70. วิธีที่สอง ราคาจะแพงขึ้นมาอีกหน่อย สําหรับพวกพ่อค้า และเศรษฐี ทั้งหลาย มัมมี่ชั้นธุรกิจนี้
จะไม่มีการผ่าสีข้าง เอาเครื่องในออก แต่เขาใช้วิธี ฉีดน้ํามันซีดาร์ (Cedar) เข้าไปใน
ร่างกาย แล้วทิ้งไว้ 2-3 วัน เพื่อให้มันละลายอวัยวะภายใน หลังจากนั้น จึงสูบออกซึ่งตับ
ไตไส้พุง จะละลายออกมาด้วย
- 71. วิธีที่สาม มัมมี่ชั้นหนึ่ง เป็นแบบอลังการ ที่ใช้กับกษัตริย์ ราชวงศ์ ขุนนาง คือ
ก่อนจะทํามัมมี่ เขาจะแบกศพ ไปชําระล้างให้สะอาด ที่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ํา
ไนล์ แล้วค่อยนํามา ดึงเอาเนื้อเยื่อสมอง ออกทางรูจมูก ผ่าเอาตับไตไส้พุงออกมา
ทําความสะอาด ช่องท้อง และเย็บแผลเข้าเช่นเดิม นําผู้ตายไปคลุกด้วยสารเนตร
อน พอแห้งแล้ว จึงพันด้วย ผ้าลินินอย่างดี
- 72. ระยะเวลา ในการทํามัมมี่นั้น ใช้เวลาประมาณ 70 วัน นับตั้งแต่วันตาย
จนถึงวันที่นําศพเก็บเข้าสุสาน ดังนั้นคุณสัปเหร่อทั้งหลาย จึงต้องแบ่งเวลาให้ดี
มิฉะนั้นจะห่อศพไม่ทัน
ในระยะสี่วันแรก ศพจะถูกหมักด้วยเกลือ เพื่อป้องกันการเน่าเปื่อย พอครบสี่
วัน จึงนําศพ ไปชําระในแม่น้ําไนล์ ตามความเชื่อที่ว่า "จะทําให้ผู้ตายเป็นอมตะ
ตลอดไป" จากนั้น จึงเริ่มพิธีกรรมผ่าศพ โดยใช้หินเอธิโอเปีย ที่ค่อนข้างคมกรีด
ตรงสีข้างด้านซ้าย ยาวประมาณ 5 นิ้ว (คนที่กรีดศพ เมื่อทําเสร็จแล้ว จะต้องรีบ
หนีให้ไว เพราะบรรดาญาติ จะใช้ก้อนหินปา และสาปแช่ง ที่บังอาจทําร้ายศพ)
- 73. พอเปิดปากแผลแล้ว ก็จะดึงเอาอวัยวะภายใน ออกมาทั้งหมดยกเว้น "หัวใจ"
ซึ่งถือว่า เป็นแหล่งรวมสติปัญญา และเป็นส่วนสําคัญ ที่ต้องคงไว้ในร่างกาย เพื่อ
ใช้ชั่งน้ําหนัก กับขนนกในยมโลก สมองจะถูกดึงออกมาทางจมูก ด้วยเส้นลวดแข็ง
ทําจากบรอนซ์ ปลายโค้งงอ อวัยวะที่ถูกนําออกมา ผู้ทํามัมมี่จะล้างให้สะอาด และ
ตากจนแห้ง หลังจากห่อด้วยผ้า แล้วก็นําไปใส่ในโถ "คาโนปิค" (Canopic
Jars)
- 74. โถ "คาโนปิค" มีทั้งหมด 4 ใบ แต่ละใบ จะแกะสลัก ฝาปิด เป็นรูปเทพเจ้า ผู้คุ้มครอง
ทั้ง 4 (บุตรแห่งเทพเจ้าโฮรัส)
โถบรรจุกระเพาะ ฝาครอบเป็นรูปหมาใน ซึ่งหมายถึง เทพดูอามุเทฟ ( Duamutef )
โถบรรจุลําไส้ ฝาครอบเป็นรูปหัวนกเหยี่ยว ซึ่งหมายถึง เทพเคฟเซเนอฟ
(Qebhsenuef)
โถบรรจุปอด ฝาครอบเป็นรูปหัวลิง หมายถึง เทพฮาปี (Hapi)
โถบรรจุตับ ฝาครอบจะเป็นศีรษะมนุษย์ หมายถึง เทพ อิมเซตี้
- 75. การพันศพ จะใช้ผ้าลินินอย่างดี โดยฉีกเป็นเส้นยาว ประมาณ 150 หลา
พันไปตาม แขนขาและร่างกาย ผ้าเหล่านี้ มักซื้อมาจากวิหารเทพเจ้าต่าง ๆ ถือว่า
เป็นผ้าศักดิ์สิทธิ์ เช่น ผ้าจากวิหารเทพเจ้ารา การพันผ้าชาวอียิปต์ถือเคล็ดว่า ต้อง
พันทับกัน 7 รอบ แต่ละขั้น พันทับเครื่องราง 7 ชนิด อย่างเช่น ดวงตาอัดจั๊ต
เป็นรูปตาเหยี่ยว มักวางไว้ตรงบริเวณ ที่ผ่าเอาเครื่องในออกมา แท่งหินดาเจ๊ด
เครื่องหมายของเทวีไอซิส รูปร่างคล้ายต้นไม้ เป็นต้น