More Related Content Similar to โครงงานปริศนาแห่งอียิปต์
Similar to โครงงานปริศนาแห่งอียิปต์ (11) โครงงานปริศนาแห่งอียิปต์2. 1. ลำดับราชวงศ์และฟาโรห์แห่งอียิปต์ ปลายยุคก่อนราชวงศ์ราว 3100 ปีก่อน ค . ศ . ในช่วงปลายยุคก่อนราชวงศ์ มีการแยกการปกครองออกเป็น 2 อาณาจักร คือ อียิปต์เหนือ และอียิปต์ใต้ อียิปต์เหนือ หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม “ Red Land” ประกอบด้วยอาณาเขตทางตอนล่างของแม่น้ำไนล์ รวมไปถึงทะเลทรายรอบข้าง โดยมีผู้ปกครองดังนี้ สกอร์เปียนที่ 1 , โร , กา , คิง สกอร์เปียน คิง สกอร์เปียน ( King Scorpion) หรือ สกอร์เปียน ที่ 2 ( Scorpion II) ฟาโรห์ผู้รวบรวมอาณาจักรอียิปต์ทั้งบนและใต้เข้าไว้ด้วยกัน ในราว 3 , 200 ปีก่อนคริสตกาล ในปลายยุคก่อนราชวงศ์ เป็นผู้ครองนครธีส ( This) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณตอนกลางลุ่มน้ำไนล์ได้กรีฑาทัพ เข้ายึดครองนครรัฐต่าง ๆ ในอียิปต์บนและตั้งตนเป็นฟาโรห์แห่งอาณาจักรบน พระองค์ปรารถนาจะรวมอียิปต์เข้าด้วยกัน แต่กลับสิ้นพระชนม์เสียก่อน โอรสของพระองค์ ( ข้อนี้นักประวัติศาสตร์ยังไม่แน่ใจนักแต่จากหลักฐานที่มีแสดงว่าทั้งสองพระองค์ น่าจะเกี่ยวดองกัน ) ที่มีนามว่า นาเมอร์ ( Namer) ได้สานต่อนโยบายและกรีฑาทัพเข้าโจมตีอียิปต์ล่าง จนกระทั่งมาถึงสมัยของ ฟาโรห์เมเนส ( Menese) พระองค์สามารถผนวกทั้งสองอาณาจักรเข้าด้วยกันได้สำเร็จและ สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นฟาโรห์พระองค์แรกของอียิปต์โดยตั้งเมืองหลวงที่ เมมฟิส ( Memphis) ซึ่งอยู่ตอนกลางของลุ่มน้ำไนล์ ซึ่งนักประวัติศาสตร์ได้นับฟาโรห์เมเนสเป็นฟาโรห์องค์แรกแห่งราชวงศ์ที่ 1 ของอาณาจักรอียิปต์โบราณ 3. อียิปต์ใต้ อิยิปต์ใต้ หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม “ Black Land” ประกอบด้วยอาณาเขตทางตอนเหนือของแม่น้ำไนล์ รวมไปถึงพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ มีผู้ปกครองดังนี้ ตีอู , เทช , เซคีอู , วาสเนอร์ 4. 2. เทพเจ้าแห่งอียิปต์ เทพรา รา คือ เทพแห่งดวงอาทิตย์ใน ตำนานเทพเจ้าแห่งไอยคุปต์ ในช่วงที่มีการสร้างโลก เทพรา ( Ra) เร ( Re) อาเมน - รา ( Amen-Ra) หรือ อามอน - รา ( Amon-Ra) ถือกำเนิดมาจากแม่น้ำแห่งเทพนุน กายล้อมรอบด้วยกลีบดอกบัว ทุกวันเมื่อเข้าสู่ราตรีกาล เทพราจะกลับมาบรรทมในดอกบัวนี้ สัญลักษณ์ของพระองค์เป็นนกศักดิ์สิทธิ์ เรียกว่า นกเบนนู ( Bennu bird) เกาะที่ยอดพีระมิด ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งแสงอาทิตย์ เทพราเป็นดั่งบิดาแห่งมวลมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลาย ทรงสร้างเทพชู เทพแห่งลม เทวีเตฟนุต เทวีแห่งสายฝน เทพเกบ เทพแห่งปฐพี เทวีนุต เทวีแห่งท้องฟ้าและเทพแห่งแม่น้ำนิลนาม เทพฮาปี เทพรามีหลายพระนามด้วยกันคือ ในตอนเช้ามักถูกเรียกว่า เฆปรี ( Khepri) หรือ เฆเปรา ( Khepera) เรียกว่าราในตอนกลางวัน และตุม ( Tum) หรืออาตุม ( Atum) ในตอนเย็น เทพราจะเสด็จออกจากเมืองเฮลีโอโปลิสพร้อมกับเหล่าเทพเจ้า โดยใช้เรือสุริยันเป็นยานพาหนะ เพื่อตรวจเยื่ยมราษฎรในแคว้นทั้ง 12 แคว้น ทำให้เกิดแสงอาทิตย์ตลอด 12 ชั่วโมงใน 1 วัน มีตำนานเกี่ยวกับเทพราอีกมากมาย แต่ก่อนเทพราจะมีเฉพาะฟาโรห์เท่านั้นที่สักการะได้ บางครั้งสัญลักษณ์ของเทพราคือวงกลมหนุนอยู่บนเรือ แต่ส่วนมากมักเป็นมนุษย์ พระเศียรเป็นนกเหยี่ยว 5. เทพโอซีริส ( Osiris) คือหนึ่งในเทพของ ตำนานเทพเจ้าแห่งไอยคุปต์ เทพแห่งเกษตรกรรม โบราณ ซึ่งผู้นับถือมาจากซีเรีย ( Syria) ทรงเป็นพระโอรสองค์แรกของเทพเกบและเทวีนุต ทรงเกิดที่เมืองธีบส์ ( Thebes) เมื่อทรงประสูติ มีเสียงร้องดังเข้าไปถึงในวิหารร้องว่า กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่และเพียบพร้อมได้ประสูติแล้ว หรือเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดได้เข้ามาสู่แสงสว่างแล้ว กล่าวกันว่าเทพโอซีริส และเทวีไอซิสตกหลุมรักกันตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ บางกรณีก็กล่าวว่าทั้งสองพระองค์ทรงอภิเษกกัน และเทพโอซีริสได้บัลลังค์จากเทพเกบผู้เป็นบิดา ตามตำนานของเทพโอซีริส พระองค์ได้สอนศิลปวิทยาการทั้งหลายแก่มวลมนุษย์ โดยมีเทพธอธเป็นผู้ช่วย ในช่วงที่เทพโอซีริสไม่อยู่นั้น เทพเซ็ตซึ่งเป็นพระอนุชาคิดกบฎ อยากได้บัลลังค์และตัวเทวีไอซิส ทั้งยังต้องการเปลี่ยนกฎระเบียบใหม่ แต่เทวีไอซิสรู้ทันทุกครั้ง ครั้งเมื่อเทพโอซีริสเสด็จกลับมาไม่นาน เทพเซ็ตและอาโส ( Aso) ราชินีแห่งเอธิโอเปียและกบฏอีก 72 คน ได้ร่วมกันล้มล้างเทพโอซีริสจนสำเร็จ ร่างของเทพโอสซีริสถูกจับโยนลงแม่น้ำนิล เทวีไอซิสพยายามค้นหาจนพบแล้วใช้พลังมายิกของพระนางร่วมกับความช่วยเหลือของเทพธอธเทวีเนฟธีสเทพอานูบิสและเทพฮอรัส ทำให้เทพโอซีริสซึ่งได้เดินทางไปยังโลกแห่งความตายหรือมตภพดูอัตแล้วกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่พระองค์อยากปกครองโลกแห่งความตายมากกว่า ดังนั้นจึงยกราชสมบัติให้เทพฮอรัสผู้เป็นโอรสแทน สัญลักษณ์ของพระองค์มักเป็นชาย ประทับยืนอยู่หรือประทับนั่งบนบังลังค์ หรือวาดเป็นมนุษย์กำลังลุกจากแท่นตั้งศพ หรือเป็นกษัตริย์พระหัตถ์โผล่ขึ้นมาจากผ้าพันมัมมี่ ถือแส้เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุด พระวรกายเป็นสีแดงแสดงถึงพื้นดิน หรือสีเขียวที่แสดงถึงพืชพันธุ์ ทรงสวมมงกุฏสีขาวแสดงถึงไอยคุปต์ตอนบน และมีขนนกสีแดงสองเส้นแห่งเมืองบูสีริส ( Busiris) ประดับอยู่ บางครั้งจะสวมวงสุริยะและเขาสัตว์ 6. เทพฮอรัส คือหนึ่งในเทพของ ตำนานเทพเจ้าแห่งไอยคุปต์ เทพฮอรัส ( Horus) ทรงเป็นพระโอรสของเทพโอซีริส และเทวีไอซิสและเป็นพระสวามีของเทวีฮาธอร์ทรงเป็นเทพที่เกิดจากการรวมกันของเทพนกเหยี่ยวและเทพแห่งแสงสว่างทรงมีพระเนตรขวาเป็นดวงอาทิตย์และพระเนตรซ้ายเป็นดวงจันทร์สัญลักษณ์ของเทพฮอรัสคือเป็นมนุษย์ที่มีศีรษะเป็นนกเหยี่ยวทรงสวมมงกุฎสองชั้นหรือแกะสลักเป็นรูปวงสุริยะมีปีกอยู่ที่รั้ววิหารประจำพระองค์หรือคือนกเหยี่ยวกำลังบินอยู่เหนือการสู้รบของฟาโรห์ที่อุ้งเล็บมีแส้แห่งความจงรักภักดีและแหวนแห่งความเป็นนิรันดร์อยู่ เทพฮอรัสทรงมีพระนามมากมายตามท้องที่ที่สักการะและความเชื่อ เช่นเทพฮาโรเอริส ( Haroeris) ฮอรัส เบฮ์เดตี ( Horus Behdety) ฮาราเคตฮาร์มาฆิส ( Harmakhis) และ ฮาร์สีเอสิส ( Harsiesis) 7. เทพอานูบิส คือหนึ่งในเทพของ ตำนานเทพเจ้าแห่งไอยคุปต์ เทพอานูบิส ( Anubis) เป็นพระโอรสของเทวีเนฟธีส และเทพโอสิริสทรงมีสัญลักษณ์เป็นสุนัขหรือสุนัขจิ้งจอกซึ่งเป็นสัตว์ในทะเลทรายใกล้สุสานทรงได้รับความเคารพมากในไอยคุปต์โดยเฉพาะในทะเลทรายแห่งตะวันตกที่เรียกว่าบ้านแห่งความตาย ทรงเคยเป็นเทพแห่งความตายมาก่อนเทพโอสีริสและเป็นเทพแห่งความตายสำหรับฟาโรห์องค์แรกเทวีอีสิสทรงเลี้ยงพระองค์มาดั่งลูกในไส้เมื่อโตขึ้นเทพอานูบิสจึงเป็นผู้ปกป้องพระนาง พระองค์เป็นผู้เสาะหาน้ำมันหอมหรือยาที่หายากในการทำมัมมี่ศพเทพโอสีริสร่วมกับเทวีอีสิสและเทวีเนฟธีสพระมารดาจากนั้นพระองค์จะทำพิธีศพให้เทพโอสีริสพิธีที่พระองค์ทรงคิดขึ้นนั้นเป็นรูปแบบพิธีการฝังศพในเวลาต่อมา 8. เทวีไอซิส ( Isis) ทรงประสูติในวันที่ 4 ที่เพิ่มเข้ามา ทรงเป็นเทวีที่มักได้รับความเคารพคู่กับเทพโอซีริสกล่าวกันว่าทั้งสองพระองค์ให้กำเนิดเทพฮอรัสโดยการรวมตัวกัน ในขณะที่เทพฮอรัสยังอยู่ในพระครรภ์หรือหลังจากเทพโอซีริสสิ้นพระชนม์แล้ว ในช่วงที่เทพโอซีริสยังอยู่ พระนางมีบทบาทเพียงช่วยพระสวามีในการสร้างอารยธรรมแก่มวลมนุษย์ เพราะพระนางคือเทวีแห่งมารดร หลังจากเทพโอซีริสวรรคตแล้วพระนางจึงมีบทบาทมากขึ้น ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับพระนาง เทพโอซีริสและพระโอรสอีกมากมาย สัญลักษณ์ของเทวีไอซิสมีหลายแบบ พระนางอาจเป็นมนุษย์ที่มีศีรษะเป็นวัว หรือมีดวงจันทร์สวมบนศีรษะ หรือสวมมงกุฎรูปดอกบัวและมีหูเป็นข้าวโพด หรือถือขาแพะ สัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ แต่ถ้าเป็นรูปปั้นมักเป็นรูปพระมารดากำลังให้นมเทพเจ้าฮฮรัสอยู่ แสดงถึงการปกป้องเด็กๆจากโรคภัย บนศีรษะมีเขาสองเขาและมีวงสุริยะอยู่ตรงกลาง คำว่าไอซิส ( Isis) เป็นนามในภาษากรีกเป็นพระนามของเทวีที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดองค์หนึ่งของชาวไอยคุปต์ที่เรียกกันว่า เทวีเอเซ็ท 9. เทวีเสลเคต ( Selket) หรือเสร์คูเอต ( Serquet) เทวีแมงป่อง มีชื่อเสียงขึ้นมาโดยราชาแมงป่อง กษัตริยก่อนราชวงศ์ พระนางเกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์ เพราะพระนางเป็นหนึ่งในเทวีผู้พิทักษ์ต้นน้ำทั้งสี่แห่งแม่น้ำนิล หน้าที่ของเทวีเสลเคตคือ เป็นคนเฝ้างูอาโปฟิส ศัตรูของเทพราที่ถูกมัดและขังไว้ใต้พิภพ พระนางเป็นชายาของเทพเนเฆบคาอู ( Nekhebkau) เทพแห่งงูใหญ่ มีแขนเป็นมนุษย์ ซึ่งบางครั้งก็ถือว่าเป็นหนึ่งในเหล่าปีศาจซึ่งอาศัยอยู่ใต้โลก กล่าวกันว่าเทวีเสลเคตถูกมัดด้วยโซ่จนสวรรคต แต่พระสวามีของเธอบางครั้งก็เป็นเทพที่ดี คอยให้อาหารแก่วิญญาณของผู้ตาย ถ้าในกรณีนี้ เทวีเสลเคตก็เป็นเทวีที่ดีด้วย โดยปกติแล้วเทวีเสลเคตจะช่วยเทวีไอสิสทำพิธีศพเทพโอสิริสและเป็นผู้ช่วยคอยดูแลเทพโฮรุส พระนางจะประทับยืนอยู่กับเทวีอีสิสตรงปลายโลงศพ และเป็นเทพ 1 ใน 4 ที่ประจำที่ไหเก็บเครื่องในมัมมี่ที่เก็บลำไส้ เทวีเสลเคตมีสัญลักษณ์เป็นมนุษย์ ศีรษะเป็นแมงป่อง หรือกายเป็นแมงป่อง ศีรษะเป็นมนุษย์ บางครั้งก็เป็นเช่นเดียวกับอิมโฮเตป ( Imhotep) เป็นหนึ่งในมนุษย์เทพของ ตำนานเทพเจ้าแห่งไอยคุปต์ 10. 3. ศิลปะอียิปต์โบราณ (2650 ปีก่อน พ . ศ .- พ . ศ .501) ชาวอียิปต์มีศาสนาและพิธีกรรมอันซับซ้อน แทรกซึมอยู่เป็นวัฒนธรรมอยู่ในสังคมเป็นเวลานาน มีการนับถือเทพเจ้าที่มีลักษณะอันหลากหลาย ดังนั้น งานจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมส่วนมาจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา พิธีกรรม โดยเฉพาะพิธีฝังศพ ซึ่งมีความเชื่อ ว่าเมื่อตายแล้วจะยังมีชีวิตอยู่ในโลกใหม่ได้อีก จึงมีการรักษาศพไว้อย่างดี และนำสิ่งของเครื่อง ใช้ที่มีค่าของผู้ตายบรรจุตามลงไปด้วย ลักษณะงานจิตรกรรมของอียิปต์ เป็นภาพที่เขียนไว้บนฝาผนังสุสานและวิหารต่าง ๆ สีที่ใช้เขียนภาพทำจากวัสดุทางธรรมชาติ ได้แก่เขม่าไฟ สารประกอบทองแดง หรือสีจากดินแล้วนำมา ผสมกับน้ำและยางไม้ ลักษณะของงานจิตรกรรมเป็นงานที่เน้นให้เห็นรูปร่างแบน ๆ มีเส้นรอบนอกที่คมชัด จัดท่าทางของคนแสดงอิริยาบถต่าง ๆ ในรูปสัญลักษณ์มากว่าแสดงความเหมือนจริงตามธรรมชาติ มักเขียนอักษรภาพลงในช่องว่างระหว่างรูปด้วย และเน้นสัดส่วนของสิ่งสำคัญ ในภาพให้ใหญ่โตกว่าส่วนประกอบอื่น ๆ เช่นภาพของกษัตริย์หรือฟาโรห์ จะมีขนาดใหญ่กว่า มเหสี และคนทั้งหลาย นิยมระบายสีสดใส บนพื้นหลังสีขาว ลักษณะงานประติมากรรมของอียิปต์ จะมีลักษณะเด่นกว่างานจิตรกรรม มีตั้งแต่รูปแกะสลักขนาดมหึมาไปจนถึงผลงานอันประณีตบอบบางของพวกช่างทอง ชาวอิยิปต์นิยมสร้างรูปสลักประติมากรรมจากหินชนิดต่าง ๆ เช่น หินแกรนิต หินดิโอไรด์ และหินบะซอลท์ หรือบางทีก็เป็นหินอะลาบาสเตอร์ ซึ่งเป็นหินเนื้ออ่อนสีขาว ถ้าเป็นประติมากรรมขนาดใหญ่ก็มักเป็นหิน ทราย นอกจากนี้ยังมีทำจากหินปูน และไม้ซึ่งมักจะพอกด้วยปูนและระบายสีด้วย งานประติมากรรมขนาดเล็ก มักจะทำจากวัสดุมีค่า เช่น ทองคำ เงิน อิเลคตรัม หินลาปิสลาซูลี เซรามิค 11. ฯลฯ ประติมากรรมของอียิปต์มีทั้งแบบนูนต่ำ แบบลอยตัว แบบนูนต่ำมักจะแกะสลักลวดลายภาพบนผนัง บนเสาวิหาร และประกอบรูปลอยตัว ประติมากรรมแบบลอยตัวมักทำเป็น รูปเทพเจ้าหรือรูปฟาโรห์ ที่มีลักษณะคล้ายกับเทพเจ้า นอกจากนี้ยังทำเป็นรูปข้าทาสบริวาร สัตว์เลี้ยง และสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ เพื่อใช้ประกอบในพิธีศพอีกด้วย ลักษณะสถาปัตยกรรมอียิปต์ ใช้ระบบโครงสร้างเป็นเสาและคาน แสดงรูปทรงที่เรียบง่ายและแข็งทื่อ ขนาดช่องว่างภายในมีเล็กน้อยและต่อเนื่องกันโดยตลอด สถาปัตยกรรมสำคัญของชาวอียิปต์ได้แก่ สุสานที่ฝังศพ ซึ่งมีตั้งแต่ของประชาชนธรรมดาไปจนถึงกษัตริย์ ซึ่งจะมีความวิจิตรพิสดาร ใหญ่โตไปตามฐานะ และอำนาจ ลักษณะของการสร้างสุสานที่เป็นสถาปัตยกรรมสำคัญแห่งยุคก็คือ พีระมิด พีระมิดในยุคแรกเป็นแบบขั้นบันได หรือเรียกว่า มาสตาบา ต่อมามีการพัฒนารูปแบบวิธีการก่อสร้างจนเป็นรูปพีระมิดที่เห็นในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีการสร้างวิหารเทพเจ้าเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมของนักบวช และวิหารพิธีศพ เพื่อใช้ประกอบพิธีศพ ในสมัยอาณาจักร ใหม่ (1020 ปีก่อน พ . ศ . – พ . ศ .510) วิหารเหล่านี้มีขนาดใหญ่โต และสวยงาม ทำจากอิฐและหินซึ่งนำรูปแบบวิหารมากจากสมัยอาณาจักรกลางที่เจาะเข้าไปในหน้าผา บริเวณหุบผากษัตริย์ และ หุบผาราชินี ซึ่งเป็นบริเวณที่มีสุสานกษัตริย์และราชินีฝังอยู่เป็นจำนวนมาก 12. 4. อักษรอียิปต์โบราณ ชาวอียิปต์โบราณมีอักษรของตนเอง ซึ่งเรียกว่าอักษร ฮีโรกลีฟิค ( Hieroglyphic) ซึ่งคำว่า ฮีโรกลีฟิคนี้ เป็นชื่อที่ชาวกรีกเรียกเครื่องหมายราณที่ปรากฏอยู่ตามโบราณสถาน สุสาน หีบศพ และตามรูปแกะสลักต่างๆ ความหมายของคำนี้คือ “ อักษรศักดิ์สิทธิ์ ” ทั้งนี้ก็เพราะในสมัยที่ชาวกรีกติดต่อสัมพันธ์กับชาวอียิปต์นั้น ชาวอียิปต์นี้ใช้อักษรชนิดนี้สำหรับบันทึกเรื่องราวทางศาสนาและพิธีกรรมต่างๆ ในตอนแรกเวลาชาวอียิปต์จะเขียนหรือแกะสลักภาษาฮีโรกลีฟิคบน กระดาษปาปิรุส หรือบนผนังหินในสุสาน พวกเขาก็จะพยายามแกะสลักรูปภาพต่างๆ อย่างประณีตบรรจง เพราะนอกจากจะได้เนื้อความทางภาษาแล้ว ภาษาของพวกเขายังดูสวยงามใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่งไปด้วยในตัว แต่ในระยะหลังเมื่อพวกเขามีความเป็นอยู่และวิถีชีวิตที่วุ่นวายซับซ้อนมากขึ้น พวกเขาก็ไม่มีเวลาที่จะมานั่งประดิดประดอยภาษารูปภาพของตนให้สวยงามดังแต่ก่อน โดยเฉพาะเวลารีบๆ เขียนหนังสือลงบน กระดาษปาปิรุสด้วยปากกาทำด้วยต้นกกนั้น พวกเสมียนที่ทำหน้าที่เขียนจะต้องดัดแปลงอักษรบางตัวให้เขียนได้สะดวกยิ่งขึ้น เหตุนี้ทำให้รูปของอักษรเปลี่ยนแปลงไปเป็น อักษรตวัด ซึ่งเรียกว่า อักษรแบบ ฮีราติค ( Hieratic) ในระยะแรกอักษรชนิดนี้ก็ไม่แตกต่างจากอักษร ฮีโรกลิฟิคมากเท่าใดนัก เพียงแค่มีการใช้เครื่องหมายย่อๆ มากขึ้น และเขียนตัวอักษรหวัดขึ้น แต่ในระยะหลัง อักษรแบบฮีราติคนี้ก็มีแบบและหน้าตาแปลกออกไปเป็นของตัวเองโดยเฉพาะ คงเหลือแต่เค้าให้เห็นว่ามีบางสิ่งบางอย่างคล้ายคลึงกันกับอักษร ฮีโรกลิฟิคเท่านั้น 13. 5. เลขอียิปต์โบราณ เมื่อกล่าวถึงคณิตศาสตร์ ทุกคนคงคิดว่าเป็น “ ศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องตัวเลข ” ซึ่งอันที่จริงแล้วคำจำกัดความนี้เป็นเพียงคำจำกัดความดั่งเดิมของคณิตศาสตร์เท่านั้น ปัจจุบันคณิตศาสตร์ได้ถูกพัฒนาจนไม่สามารถใช้คำจำกัดความดังกล่าวได้อีกต่อไป ซึ่งหากน้องๆ อยากรู้ว่าคณิตศาสตร์มีประวัติความเป็นมาอย่างไร มีอะไรมากไปกว่าตัวเลข พี่ก็คงบอกได้แต่เพียงว่า น้องๆต้องติดตามกันต่อไป อย่างไรก็ตาม คำจำกัดความนี้สามารถชี้ให้เห็นถึงรากฐาน และที่มาของคณิตศาสตร์ได้อย่างชัดเจน นั่นก็คือ ตัวเลข นั่นเอง แน่นอนทีเดียวที่แต่ละประเทศย่อมมีสัญลักษณ์แทนตัวเลขที่แตกต่างกันไป พี่จึงขอเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของคณิตศาสตร์ด้วยตัวเลขที่แต่ละอารยธรรมคิดค้นขึ้น โดยอารยธรรมแรกที่จะขอกล่าวถึงคือ อียิปต์โบราณ อียิปต์โบราณได้รับการก่อตั้งขึ้นเมื่อ 5 , 464 - 30 ปีก่อนคริสตกาล มีอาณาเขตครอบคลุมที่ราบลุ่มแม่น้ำไนล์จากเมืองแอสวาน ( Aswan) จนจรดชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรนียนของประเทศอียิปต์ปัจจุบัน ( ดังแสดงในรูปที่ 1) อียิปต์โบราณเป็นอารยธรรมหนึ่งที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และเป็นอารยธรรมแรกที่ส่งเสริมวิทยาศาสตร์ ชาวอียิปต์โบราณให้ความสำคัญอย่างมากกับการจดบันทึก และการสื่อสารจึงได้ประดิษฐ์กระดาษปาปิรุส ( papyrus) ขึ้น ซึ่งทำมาจากต้นกกที่เติบโตอย่างแพร่หลายในแถบลุ่มแม่น้ำไนล์นั่นเอง ชาวอียิปต์โบราณสื่อความหมายด้วยอักษรภาพที่เรียกว่า ไฮโรกลิฟ ( Hieroglyph) ซึ่งรวมไปถึงตัวเลขด้วย 14. 6. พีระมิดแห่งอียิปต์ พีระมิดเกิดขึ้นมาได้อย่างไร คำว่า “ พีระมิด ” มาจากคำว่า “ Pyramid” ในภาษา กรีก ซึ่งแปลว่า “ ขนมเค้กข้าวสาลี ” อาจเป็นเพราะพีระมิดมีลักษณะคล้ายกับขนมเค้กก็ได้ ชาวกรีกเป็นผู้เริ่มใช้คำว่า พีระมิด ส่วนคำว่าพีระมิดในภาษาอียิปต์โบราณ เรียกว่า “ เมอร์ ” ( mer ) ในสมัยก่อน ( ราชวงศ์ที่ 1 เรื่อยมาจนถึงปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ที่ 3 ของอียิปต์ ) สุสานของฟาโรห์เป็นลักษณะที่เรียกว่า “ มาสตาบา ” เป็นการสร้างสุสานอย่างง่ายๆ เป็นรูปสี่เหลี่ยมสร้างด้วยอิฐมีประตูหลอกหลายประตู แต่มีประตูจริงเพียงบานเดียว ห้องเก็บพระศพเจาะป็นอุโมงค์ลึกไปตามผืนดินโดให้มีความลึกและเป็นความลับตามพระขององค์ฟาโรห์ จนกระทั่งสมัยของฟาโรห์ซอเซอร์ การสร้างสุสานของฟาโรห์เริ่มเปลี่ยนแปลงไป โดยมีเสนาบดีอิมโฮเทปเป็นผู้ออกแบบก่อสร้างพีระมิด โดยพีระมิดสมัยนั้น เรียกว่า “ พีระมิดขั้นบันได ” ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นพีระมิดแท้ในที่สุด สถานที่ตั้ง เมืองกิซา ประเทศอียิปต์ ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้ มหาพีระมิดแห่งอียิปต์เป็นสิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ เพียงสิ่งเดียวที่ยังคงสภาพเกือบสมบูรณ์เหมือนในอดีต ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ณ เมืองกิซ่า ตอนเหนือของกรุงไคโร เมืองหลวงของประเทศอียิปต์ ประกอบไปด้วยพีระมิดใหญ่ 3 องค์ คือ พีระมิดที่บรรจุพระศพของฟาโรห์ คีออปส์ ( Cheops) คีเฟรน ( Chephren) และไมเซอรินัส ( Mycerinus) 16. สาเหตุในการสร้างพีระมิด ชาวอียิปต์โบราณเชื่อเรื่อง “ ชีวิตหลังความตาย ” เมื่อตายไปแล้วจะมีโลกหน้าเพื่อใช้ชีวิตยืนยงและจำเป็นต้องรักษาร่างกายหรือศพไว้ไม่ให้หายสาบสูญ จึงสร้างพีระมิดไว้เพื่อเก็บรักษาศพ และยังเชื่อเรื่องการติดตามฟาโรห์ไปยังโลกหน้า โดยเชื่อว่าฟาโรห์คือพระเจ้า และเพื่อให้ดวงวิญญาณกษัตริย์ของพวกเขามีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับโลกหน้าจึงได้ฝังทรัพย์สินและสิ่งของส่วนพระองค์ไปพร้อมกัน ดังจะเห็นจากหลักฐานที่นักโบราณคดีค้นพบเป็นจำนวนมากในห้องเก็บสมบัติในพีระมิด ได้แก่ เพชรพลอย อาหาร เครื่องเรือน เครื่องดนตรี และอุปกรณ์ล่าสัตว์ รวมถึงหนังสือที่เขียนประวัติผู้ตายจารึกด้วยภาษาอียิปต์ลงบนกระดานปาปิรุส ที่เรียกว่า “ หนังสือของคนตาย ” (Book of the Dead) การก่อสร้างพีระมิดในอารยธรรมอียิปต์โบราณชาวนาชาวไร่จึงต้องการที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างพีระมิด โดยหวังว่าเมื่อเสียชีวิตแล้วจะได้ตามฟาโรห์ไปใช้ชีวิตในโลกหน้า การสร้างพีระมิดในสมัยนั้นจึงเป็นการกระทำด้วยความเต็นใจไม่ได้มีใครบังคับขู่เข็ญ แต่เมื่อสมัยฟาโรห์คูฟู ความเชื่อนั้นก็ค่อยๆเลือนหายไป ฟาโรห์ลดระดับจากพระเจ้าเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดา ทำให้การก่อสร้างพีระมิดในสมัยนั้นเป็นการบังคับ ทั้งยังมีกาใช้แรงงานทาสอีกด้วย จากความยากลำบากในการสร้างและความยิ่งใหญ่งดงามอลังการจนยากที่จะเชื่อได้ว่า พีระมิดแห่งนี้ 17. 7. มัมมี่ 1000 ปี มัมมี่ ( Mummy) เชื่อกันว่ามาจากคำว่า มัมมียะ ( Mummiya) คำในภาษาเปอร์เชียซึ่งหมายถึงร่างของศพที่ถูกทำให้มีสีดำ มัมมี่ คือ ศพที่ดองหรือแช่ในน้ำยาพิเศษในประเทศอียิปต์ พันทั่วทั้งร่างกายด้วยผ้าลินินสีขาว เพื่อเป็นการรักษาสภาพของศพเพื่อรอการกลับคืนร่างของวิญญาณผู้ตาย ตามความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ คำว่า " มัมมี่ " มาจากคำว่า " มัมมียะ " ( Mummiya) ซึ่งเป็นคำในภาษาเปอร์เซียร์ มีความหมายถึงร่างของซากศพที่ถูกดองจนกลายเป็นสีดำ โดยชาวอียิปต์โบราณจะทำมัมมี่ของฟาโรห์และเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ และนำไปฝังในลักษณะแนวนอนภายใต้พื้นแผ่นทรายของอียิปต์ อาศัยแรงลมที่พัดผ่านในแถบทะเลทรายอาระเบียและทะเลทรายในพื้นที่รอบบริเวณของอียิปต์ เพื่อป้องกันการเน่าเปื่อยของซากศพที่อาบด้วยน้ำยา พิธีพระศพของฟาโรห์หรือขั้นตอนการทำมัมมี่ พีระมิดและพิธีศพของฟาโรห์เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันอย่างเลี่ยงกันไม่ได้ เพระพิธีพระศพของฟาโรห์ถือเป็นพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในศาสนาอียิปต์โบราณต่างทำพิธีในบริเวณที่พีระมิดทั้งสิ้น มีการเตรียมพิธีการตั้งแต่ฟาโรห์มีชีวิตอยู่ กล่าวคือ มีการสร้างพีระมิดและหลุมเก็บพระศพขึ้นมาก่อน เมื่อฟาโรห์สิ้นพระชนแล้วจึงจัดพิธีการ พิธีชำระล้างพระศพ จะชำระล้างให้สะอาดในทะเลสาบอันศักดิ์สิทธิของวิหารเทพเจ้าเรแห่งนครเฮลิโอโพลิส แล้จึงนำเข้าสู่วิหารหุบเขา 18. พิธีดองพระศพ ทำในวิหารหุบเขา พระจะทำพิธีผ่าเอาอวัยวะภายในของร่างกายไปเก็บไว้ในโถ เรียกว่า “ คาปิก ” มีทั้งหมดสี่โถ เมื่อบรรจุแล้วก็นำไปเก็บไว้ในกล่องคาโนปิก ส่วนร่างกายจะแช่น้ำยาตรอนเป็นเวลา 70 วัน ก่อนที่จะล้างออกและห่อด้วยผ้าลินินชุบน้ำยาตรอน เพื่อป้องกันการเน่าเปื่อยของร่างกาย พิธีเปิดปากมัมมี่ พระและพระโอรสองค์ใดองค์หนึ่งของฟาณห์ที่สิ้นพระชนจะเดนไปที่รูปปั้นของฟาโรห์ 23 รูป ที่อยู่บริเวณห้องโถงรูปตัวที ในมือมีธูปเทียนที่จุดแล้ว พระโอรสจะพรมน้ำบนรูปปั้นเหล่านี้ แล้วให้ขวานหรือสิ่วแตะบนปากรูปปั้นเบาๆแล้วชโลมปากรูปปั้นทั้งหมดด้วยน้ำนม พิธีนี้ทำขึ้นเพื่อให้ผู้ตายหรือมัมมี่มีพลังในการพูด และหวนกลับมาเพื่อรอคอยการใช้ชีวิตในภพใหม่ ในอียิปต์โบราณมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของชีวิตหลังความตาย เกี่ยวกับการหวนกลับคืนร่างของวิญญาณ โดยมีความเชื่อว่าเมื่อวิญญาณออกจากร่างไปชั่วระยะเวลาหนึ่งจะหวนกลับคืนสู่ร่างเดิมของผู้เป็นเจ้าของ จึงต้องมีการถนอมและรักษาสภาพของร่างเดิม โดยการแช่และดองด้วยน้ำยาบีทูมิน ซึ่งจะช่วยรักษาและป้องกันไม่ให้ซากศพเน่าเปื่อยผุผังไปตามกาลเวลา 19. เอกสารอ้างอิง ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.thaigoodview.com/node/ 41865 นิตยสารยูงทอง ฉบับ “ ค้นหา ” การก่อสร้างพีระมิด อาณาจักรอียิปต์โบราณ ลี้ลับเหนือโลก Edwards, I.E.S. , The Pyramids of Egypt Penguin Books Ltd; New Ed edition ( 5 Dec 1991) , ISBN 978-0-14-013634-0 Lehner, Mark , The Complete Pyramids , Thames & Hudson, 1997 , ISBN 978-0-500-05084-2 Mendelssohn, Kurt , The Riddle of the Pyramids , Thames & Hudson Ltd ( 6 May 1974) , ISBN 978-0-500-05015-6 วารสารเพื่อนเดินทาง ปีที่ 14 ฉบับที่ 147 มีนาคม 2535