More Related Content Similar to ชื่อของเครื่องดนตรีไทย
Similar to ชื่อของเครื่องดนตรีไทย (18) More from leemeanshun minzstar
More from leemeanshun minzstar (20) ชื่อของเครื่องดนตรีไทย2. จะเข้ เป็นเครื่องดนตรีไทยประเภทเครื่องดีดมี3 สายเข้าใจว่าได้ปรับปรุงแก้ไขมาจากพิณคือกระจับปี่ซึ่งมี4 สาย
นามาวางดีดกับพื้นเพื่อความสะดวกมีประวัติและมีหลักฐานครั้งแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยา
จะเข้ได้นาเข้าร่วมบรรเลงอยู่ในวงมโหรีคู่กับกระจับปี่ในสมัยรัชกาลที่2แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีผู้นิยมเล่นจะเข้กันมาก
ทาให้กระจับปี่ค่อยๆ หายไปในปัจจุบันเนื่องจากหาผู้เล่นเป็นน้อย
ตัวจะเข้ทาเป็นสองตอนคือตอนหัวและตอนหางโดยลักษณะทางตอนหัวเป็นกระพุ้งใหญ่ ทาด้วยไม้แก่นขนุนหนาประมาณ 12ซม.
ยาวประมาณ52ซม.และกว้างประมาณ11.5ซม.ท่อนหัวและท่อนหางขุดเป็นโพรงตลอดรวมทั้งสิ้นมีความยาวประมาณ 130–
132 ซม. ปิดใต้ทองด้วยแผ่นไม้ มีเท้ารองตอนหัว 4 เท้า และตอนปลายปางอีก1เท้า วัดจากปลายเท้าถึงตอนบนของตัวจะเข้
สูงประมาณ19ซม. ทาหลังนูนตรงกลางให้สองข้างลาดลงโยงสายจากตอนหัวไปทางตอนหางเป็น3สายมีลูกบิดประจาสายละ1
อัน สาย1 ใช้เส้นลวดทองเหลืองอีก 2 สายใช้เส้นเอ็นมีหย่องรับสายอยู่ตรงปลายหางก่อนจะถึงลูกบิด
ระหว่างตัวจะเข้มีแป้ นไม้เรียกว่า นมรองรับสายติดไว้บนหลังจะเข้ รวมทั้งสิ้น11อันเพื่อไว้เป็นที่สาหรับนิ้วกดนมแต่ละอันสูง
เรียงลาดับขึ้นไปตั้งแต่2 ซม. จนสูง 3.5 ซม.
เวลาบรรเลงใช้ดีดด้วยไม้ดีดกลมปลายแหลมทาด้วยงาช้างหรือกระดูกสัตว์เคียนด้วยเส้นด้ายสาหรับพันติดกับปลายนิ้วชี้ข้างขวาของ
ผู้ดีด และใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วกลางช่วยจับให้มีกาลังเวลาแกว่งมือส่ายไปมาให้สัมพันธ์กับมือข้างซ้ายขณะกดสายด้วย
ไม้ดีดควรยาวประมาณ7-8เซนติเมตรมีสายยาวประมาณ 45เซนติเมตร
สายของจะเข้
สายของจะเข้นั้นจะมีอยู่3 สายส่วนใหญ่ทามาจากไหมหรือเอ็นสามารถแบ่งได้ดังนี้
สายที่อยู่ติดกับตัวผู้เล่นจะเข้ มีชื่อเรียกว่า สายลวดเป็นสายที่ทามาจากลวดทองเหลือง
สายที่อยู่ทางด้านนอกสุดของจะเข้ มีชื่อเรียกว่า สายเอกทามาจากไหมหรือเอ็น
สายที่อยู่ตรงกลางมีชื่อเรียกว่าสายทุ้มทามาจากไหมหรือเอ็น
ครูจะเข้ ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน
ดนตรีไทยนั้นมีการสืบทอดมาเป็นรุ่นสู่รุ่นและก็เช่นเดียวกับวิชาการด้านอื่นๆ
นั่นคือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเครื่องดนตรีชนิดใดชนิดหนึ่งโดยเฉพาะจะเรียกว่า"คน"เครื่องดนตรีนั้นๆเช่นสมชายเป็นคนซอด้วง
ก็หมายความว่านายสมชายเป็นคนที่มีความถนัดหรือมีความเชี่ยวชาญในการเล่นเครื่องดนตรี ซอด้วงมากกว่าเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆ
ซึ่งในสมชายอาจจะสามารถเล่นเครื่องดนตรีอื่นๆได้ เช่น เล่นซออู้, เล่นจะเข้ เป็นต้นครูจะเข้ ก็ย่อมหมายถึงครูที่เป็นคนจะเข้
คือเป็นผู้ที่มีความถนัดมีความรู้ความชานาญในการเล่นจะเข้โดยเฉพาะซึ่งตั้งแต่อดีตอาจกล่าวย้อนไปถึงสมัยรัชกาลที่ 6คือ
"หลวงว่องจะเข้รับ"(โต กมลวาทิน)
3. จะเข้
ซึง เป็นเครื่องดนตรีประเภทดีดมี 4 สายแต่แบ่งออกเป็น 2 เส้นเส้นละ2 สายมีลักษณะคล้ายกระจับปี่ แต่มีขนาดเล็กกว่า
ความยาวทั้งคันทวนและกะโหลกรวมกันประมาณ81ซม.กะโหลกมีรูปร่างกลมวัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ประมาณ 21ซม.
ทั้งกะโหลกและคันทวนใช้ไม้เนื้อแข็งชิ้นเดียวคว้านตอนที่เป็นกะโหลกให้เป็นโพรงตัดแผ่นไม้ให้กลม
แล้วเจาะรูตรงกลางทาเป็นฝาปิดด้านหน้าเพื่ออุ้มเสียงให้กังวานคันทวนเป็นเหลี่ยมแบนตอนหน้าเพื่อติดตะพานหรือนมรับนิ้ว
จานวน 9 อันตอนปลายคันทวนทาเป็นรูปโค้งและขุดให้เป็นร่องเจาะรูสอดลูกบิดข้างละ 2อันรวมเป็น 4 อันสอดเข้าไปในร่อง
สาหรับขึ้นสาย4สายสายของซึงใช้สายลวดขนาดเล็ก 2สายและสายใหญ่ 2สาย
ซึงเป็นเครื่องดีดที่ชาวไทยทางภาคเหนือนิยมนามาเล่นร่วมกับปี่ซอหรือปี่จุ่ม และสะล้อ
แบ่งตามลักษณะได้ 3ประเภทคือซึงเล็ก ซึ่งกลางและซึงหลวง(ซึงที่มีขนาดใหญ่)
แบ่งตามประเภทได้ 2 ชนิด คือซึงลูก 3 และซึงลูก4 (แตกต่างกันที่เสียงลูก3เสียงซอลจะอยู่ด้านล่างส่วนซึงลูก4
เสียงซอลจะอยู่ด้านบน)
อธิบายคาว่าสะล้อซอซึง ที่มักจะพูดกันติดปากว่าเป็นเครื่องดนตรีของชาวล้านนาแต่ที่จริงแล้วมีแค่ซึงและสะล้อ
เท่านั้นที่เป็นเครื่องดนตรีของชาวล้านนาส่วนคาว่าซอในที่นี้หมายถึงการขับซอซึ่งเป็นการร้องการบรรยายพรรณณาเป็นเรื่องราว
ประกอบกับวงปี่จุ่ม
ซึง
พิณเปี๊ยะหรือพิณเพียะเป็นเครื่องดนตรีพื้นเมืองล้านนาชนิดหนึ่งเป็นเครื่องดนตรีประเภทดีด
ลักษณะของพิณเปี๊ยะมีคันทวนยาวประมาณ1เมตรเศษ
ตอนปลายคันทวนทาด้วยเหล็กรูปหัวช้างทองเหลืองสาหรับใช้เป็นที่พาดสายใช้สายทองเหลืองเป็นพื้น
สายทองเหลืองนี้จะพาดผ่านสลักตรงกะลาแล้วต่อไปผูกกับสลักตรงด้านซ้ายสายของพิณเปี๊ยะมีทั้ง2สายและ4สาย
กะโหลกของพิณเปี๊ยะทาด้วยเปลือกน้าเต้าตัดครึ่งหรือกะลามะพร้าวก็ได้ เวลาดีดใช้กะโหลกประกบติดกับหน้าอก
ขยับเปิดปิดให้เกิดเสียงตามต้องการเช่นเดียวกับพิณน้าเต้าของภาคกลาง
ในสมัยก่อนชาวเหนือมักจะใช้พิณเปี๊ยะดีดคลอกับการขับลานาในขณะที่ไปเที่ยวสาว
พิณเปี๊ยะไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควรเพราะเป็นเครื่องดนตรีที่เล่นยาก
5. ตอนปลายเป็นสี่เหลี่ยมโอนไปทางหลังมีลูกบิดสาหรับพันปลายสาย ๒อันเนื่องจากซอด้วงเป็นซอเสียงเล็กแหลมจึง
ใช้สายที่ทาด้วยไหมหรือเอ็นเป็นเส้นเล็กๆส่วนคันชักนั้นร้อยเส้นหางม้าให้เข้าอยู่ในระหว่างสายทั้งสอง
ซอด้วง
ซออู้ เป็นซอสองสาย ตัวกะโหลกทาด้วยกะลามะพร้าวโดยตัดปาดกะลาออกเสียด้านหนึ่งและใช้หนังลูกวัวขึงขึ้นหน้าซอ
กว้างประมาณ13–14 ซมเจาะกะโหลกให้ทะลุตรงกลางเพื่อใส่คันทวนที่ทาด้วยไม้จริงผ่านกะโหลกลงไป
ออกทะลุรูตอนล่างใกล้กะโหลกคันทวนซออู้นี้ยาวประมาณ79ซมใช้สายซอสองสายผูกปลายทวนใต้กะโหลกแล้วพาดผ่านหน้าซอ
ขึ้นไปผูกไว้กับลูกบิดสองอันลูกบิดซออู้นี้ยาวประมาณ 17–18 ซม โดยเจาะรูคันทวนด้านบน
แล้วสอดลูกบิดให้ทะลุผ่านคันทวนออกมาและใช้เชือกผูกรั้งกับทวนตรงกลางเป็นรัดอกเพื่อให้สายซอตึง
และสาหรับเป็นที่กดสายใต้รัดอกเวลาสีส่วนคันสีของซออู้นั้นทาด้วยไม้จริงยาวประมาณ 70ซมใช้ขนหางม้าประมาณ160 -200
เส้นตรงหน้าซอใช้ผ้าม้วนกลมๆเพื่อทาหน้าที่เป็นหมอนหนุนสายให้พ้นหน้าซอด้านหลังของกะโหลกซอ
แกะสลักเป็นรูปลวดลายสวยงามและเป็นช่องทางให้เสียงออกด้านนี้ด้วย
ซออู้มีรูปร่างคล้ายๆกับซอของจีนที่เรียกว่าฮู – ฮู้ (Hu-hu ) เหตุที่เรียกว่าซออู้ก็เพราะ
เรียกตามเสียงที่ได้ยินนั่นเองซอด้วงและซออู้ ได้เข้ามามีบทบาทในวงดนตรีเครื่องสายตั้งแต่ปลายรัชกาลที่4นี่เอง
โดยได้ดัดแปลงมาจากวงกลองแขกเครื่องใหญ่ ซึ่งมีเครื่องดนตรีที่ทาลานาประกอบด้วยซอด้วง
ซออู้ จะเข้ และ ปี่อ้อ ต่อมาได้เอากลองแขกปี่อ้อ ออก และเอาทับกับรามะนาและขลุ่ยเข้ามาแทน
เรียกวงดนตรีชนิดนี้ว่าวงมโหรีเครื่องสายมีคนเล่นทั้งหมด6คนรวมทั้งฉิ่งด้วย
ซออู้ เป็นเครื่องสีที่มีสาย๒สายทาด้วยไหมหรือเอ็นเรียกว่าสายเอกและสายทุ้มเช่นเดียวกับซอด้วง
แต่กะโหลกซึ่งเป็นเครื่องอุ้มเสียงทาด้วยกะลามะพร้าวตัดตามยาวให้พูอยู่ข้างบนขึงหน้าด้วยหนังแพะหรือหนังลูกวัวมีทวน(คัน)
เสียบยาวขึ้นไปกลึงกลมตลอดปลายมีลูกบิดสาหรับพันสาย ๒อันคันชักนั้นร้อยเส้นหางม้าให้อยู่ภายในระหว่างสายทั้งสอง
6. ซออู้
ซอสามสาย เป็นเครื่องดนตรีไทยชนิดหนึ่งจาพวกเครื่องสายมีขนาดใหญ่กว่าซอด้วงหรือซออู้ และมีลักษณะพิเศษคือมีสามสาย
มีคันชักอิสระกะโหลกซอมีขนาดใหญ่ นับเป็นเครื่องดนตรีที่มีความสง่างามชิ้นหนึ่งในวงเครื่องสาย
ผู้เล่นจะอยู่ในตาแหน่งด้านหน้าของวง
ประวัติ[แก้]
ปรากฏหลักฐานจากจดหมายเหตุลาลูแบร์ (หน้า30) ที่บันทึกไว้ว่าชาวสยามมีเครื่องดุริยางค์เล็กๆมีสามสายเรียกว่า “ซอ”….”
ซึ่งชี้ให้เห็นว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาหรือก่อนนั้นมีซอสามสายและนิยมเล่นกัน
และลักษณะรูปร่างของซอสามสายก็คงจะยังไม่สวยงามมากอย่างในปัจจุบันนี้
จนมาถึงยุคต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่2
สืบเนื่องมาจากที่พระองค์ท่านมีอัจฉริยภาพในทางศิลปะด้านต่างๆเช่น
ทรงแกะสลักบานประตูพระวิหารวัดสุทัศน์เทพวรารามด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เองอีกประการหนึ่ง
พระองค์ท่านยังโปรดทรงซอสามสายเป็นอย่างยิ่งจึงทาให้พระองค์ท่านได้ประดิษฐ์คิดสร้างซอสามสายได้ด้วยความประณีตงดงาม
และเป็นแบบอย่างมาจนถึงปัจจุบันนี้
ส่วนต่างๆของซอสามสายมีชื่อเรียกดังนี้
ทวนบน เป็นส่วนบนสุดของคันซอคว้านด้านในให้เป็นโพรงโดยตลอดด้านบนสุดมีรูปร่างเป็นทรงเทริดทวนบนนี้
เจาะรูด้านข้างสาหรับใส่ลูกบิด3ลูก ด้านหน้าตรงปลายทวนตอนล่างเจาะรูสาหรับร้อยสายซอที่สอดออกมาจากรัดอก
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอกซอทวนบนนี้ทาหน้าที่คล้ายๆกับท่ออากาศ(Aircolumn)
ให้เสียงที่เกิดจากกะโหลกเป็นความถี่ของเสียงแล้วลอดผ่านออกมาทางทวนบนนี้ได้
ทวนล่างคือส่วนของซอที่ต่อลงมาจากทวนบนทาเป็นรูปทรงกระบอกและประดิษฐ์ลวดลายสวยงามเช่นลงยาตะทองลงถมปัด
ประดับมุก หรืออย่างอื่นเป็นการเพิ่มความวิจิตรงดงามและเรียกทวนล่างนี้ว่าทวนเงินทวนทองทวนมุกทวนลงยาเป็นต้น
ทวนล่างนี้สวมยึดไว้กับทวนบนและเป็นที่สาหรับผูก รัดอกเพื่อบังคับให้สายซอทั้ง3 เส้นติดอยู่กับทวนนอกจากนั้นทวนล่าง
ยังทาหน้าที่เป็นตาแหน่งสาหรับกดนิ้วลงบนสายในตาแหน่งต่างๆ
7. พรมบน คือส่วนที่ต่อจากทวนล่างลงมาส่วนบนกลึงเป็นลูกแก้วส่วนตอนล่างทาเป็นรูปปากช้างเพื่อประกบกับกะโหลกซอ
พรมล่างคือส่วนที่ต่อจากกะโหลกซอลงมาข้างล่างส่วนที่ประกบกับกะโหลกซอทาเป็นรูปปากช้างเช่นเดียวกับส่วนล่างของพรมบน
ตรงกลางของพรมล่างเจาะรูด้านบนเพื่อใช้สาหรับเป็นที่ร้อยหนวดพราหมณ์ เพื่อคล้องกับสายซอทั้งสามสายและเหนี่ยวรั้งให้ตึง
ตรงส่วนปลายสุดของพรมล่างกลึงเป็นเกลียวเจดีย์ และตอนปลายสุดเลี่ยมด้วยทองคาหรือทองเหลืองเป็นยอดแหลม
เพื่อที่จะปักกับพื้นได้ สะดวกยิ่งขึ้นคันซอสามสายทั้ง4ท่อนนี้จะมีลักษณะกลวงตลอด
ยกเว้นพรมล่างตอนที่เป็นเกลียวเจดีย์เท่านั้นที่เป็นส่วนที่ตันเพราะต้องการความแข็งแรงในขณะปักสีเวลาบรรเลงและคันซอทั้ง 4
ท่อนนี้จะสวมไว้กับแกนที่สอดไว้กับกะโหลกซอ
ถ่วงหน้า ถ่วงหน้าของซอสามสายเป็นอุปกรณ์ที่สาคัญติดอยู่ตรงหน้าซอเพื่อควบคุมความถี่ของเสียง
ทาให้มีเสียงนุ่มนวลไพเราะน่าฟังยิ่งขึ้น
หย่องทาด้วยไม้ไผ่แกะให้เป็นลักษณะคู้ ปลายทั้งสองของหย่องคว้านเป็นเบ้าขนมครกเพื่อทาให้เสียง
ที่เกิดขึ้นส่งผ่านไปยังหน้าซอมีความกังวานมากยิ่งขึ้น
คันสี (คันชัก) คันสีของซอสามสายประกอบด้วยไม้และหางม้าคันสีนั้นเหลาเป็นรูปคันศรโดยมากนิยมใช้ไม้แก้ว
เพราะเป็นไม้เนื้อแข็งและมีลวดลายงดงาม
เสียงของซอสามสาย
สายเอกถ้าปล่อยไม่จับสายจะเป็นเสียงซอลและใช้ปลายนิ้วแตะที่ข้างสายโดยใฃ้นิ้วชี้จะเป็นเสียงลา,
ใช้นิ้วกลางแตะที่ข้างสายจะเป็นเสียงที,ใช้นิ้วนางแตะที่ข้างสายจะเป็นเสียงโด,ใช้นิ้วก้อยแตะที่ข้างสายจะเป็นเสียงเร(เสียงสูง),
ใช้นิ้วก้อยรูดที่สายจะเป็นเสียงมี(เสียงสูง)
สายกลางถ้าปล่อยไม่จับสายจะเป็นเสียงเรและใช้นิ้วชี้กดลงบนสายจะเป็นเสียงมี,ใช้นิ้วกลางกดลงบนสายจะเป็นเสียงฟา,
ใช้นิ้วนางกดลงบนสายเป็นเสียงซอล
สายทุ้มถ้าปล่อยไม่จับสายจะเป็นเสียงลาและใช้นิ้วชี้กดลงที่สายจะเป็นเสียง ที,ใช้นิ้วกลางกดลงที่สายจะเป็นเสียงโด,
ใช้นิ้วนางกดลงที่สายจะเป็นเสียงเร
เครื่องดนตรีที่ต้องใช้เส้นหางม้าหลายๆเส้นรวมกันสีไปบนสายซึ่งทาด้วยไหมหรือเอ็นนี้โดยมากเรียกว่า "ซอ"ทั้งนั้น
ซอของไทยที่มีมาแต่โบราณก็คือ"ซอสามสาย"ใช้บรรเลงประกอบในพระราชพีธีสมโภชต่างๆซอสามสายนี้กะโหลกสาหรับอุ้มเสียง
ทาด้วยกะลามะพร้าวตัดขวางให้เหลือพูทั้งสามอยู่ด้านหลังขึงหน้าด้วยหนังแพะหรือหนังลูกวัวมีคัน(ทวน)ตั้งต่อจากกะโหลก
ขึ้นไปยาวประมาณ๑.๒๐เมตร ทาด้วยงาช้างหรือไม้แก่นกลึงตอนปลายให้สวยงามมีลูกบิดสอดขวางคันทวน ๓อัน
สาหรับพันปลายสายเร่งให้ตึงหรือหย่อนตามต้องการมีทวนล่างต่อลงไปจากกะโหลกกลึงให้เรียวเล็กลงไปจนแหลม
เลี่ยมโลหะตอนปลายเพื่อให้แข็งแรงสาหรับปักลงกับพื้นสายทั้งสามนั้นทาด้วยไหมหรือเอ็น
ขึงจากทวนล่างผ่านหน้าซอซึ่งมีหย่องรองรับขึ้นไปตามทวนและร้อยเข้าในรู ไปพันลูกบิดสายละอันส่วนคันชักหรือคันสีนั้น
ทาคล้ายคันกระสุนขึงด้วยเส้นหางม้าหลายๆเส้นสีไปมาบนสายทั้งสามตามต้องการสิ่งสาคัญของซอสามสายอย่างหนึ่ง
คือ"ถ่วงหน้า"ถ่วงหน้านี้ทาด้วยโลหะประดิษฐ์ให้สวยงามบางทีถึงแก่ฝังเพชรพลอยก็มี
แต่จะต้องมีน้าหนักได้ส่วนสัมพันธ์กับหน้าซอสาหรับติดตรงหน้าซอตอนบนด้านซ้ายถ้าไม่มีถ่วงหน้าแล้วเสียงจะดังอู้อี้ไม่ไพเราะ
9. ขนาดใหญ่เรียกตรัว
บางครั้งจะเห็นมีการดัดแปลงประยุกต์กะโหลกซอโดยใช้กระป๋ องหรือปี๊บซึ่งอาจเรียกแทนว่าซอกระป๋ องหรือซอปี๊บได้
ซอกันตรึม
รือบับ(อังกฤษ:Rebab;อาหรับ: الراببหรือ)رابب
เป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นเครื่องดนตรีที่มีการละเล่นกันตั้งแต่ในบริเวณสามจังหวัดชายแดนใต้ มาเลเซียสุมาตราเหนือของประเทศอินโดนี
เซีย และชวาใช้ในการแสดงเมาะโย่งหรือมะโย่ง
ซึ่งการละเล่นนี้ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นเป็นศิลปะละครราในวัฒนธรรมหลวงหรือเป็นวัฒนธรรมราษฎร์ของคนถิ่นมลายูแต่ที่ปัตตานี
ปรากฏหลักฐานการละเล่นนี้ที่หนังสือฮิกายัดปัตตานีหรือพงศาวดารปัตตานีในสมัยคริสต์ศตวรรษที่17
รือบับมีลักษณะโดยรวมคล้ายกับซอสามสายของภาคกลาง
เครื่องตี เครื่องไม้
ระนาดเอกเป็นเครื่องตีชนิดหนึ่งที่วิวัฒนาการมาจากกรับแต่เดิมคงใช้กรับสองอันตีเป็นจังหวะต่อมาก็เกิดความคิดว่า
ถ้าเอากรับหลายๆอันวางเรียงราดลงไปแล้วแก้ไขประดิษฐ์ให้มีขนาดลดหลั่นกันแล้วทารางรองอุ้มเสียง
และใช้เชือกร้อยไม้กรับขนาดต่างๆกันนั้นให้ติดกันและขึงไว้บนรางใช้ไม้ตีให้เกิดเสียง
นาตะกั่วผสมกับขี้ผึ้งมาถ่วงเสียงโดยนามาติดหัวท้ายของไม้กรับนั้นให้เกิดเสียงไพเราะยิ่งขึ้น
เรียกไม้กรับที่ประดิษฐ์เป็นขนาดต่างๆกันนั้นว่า ลูกระนาดเรียกลูกระนาดที่ผูกติดกันเป็นแผ่นเดียวกันว่า ผืนระนาดเอกใช้ในงานมงค
ล เป็นเครื่องดนตรีเป็นมงคลในบ้านบรรเลงในวงปี่พาทย์และวงมโหรี โดยทาหน้าที่เป็นผู้นาวง
ลักษณะทั่วไป
ส่วนประกอบของระนาดเอกมี3 ส่วนได้แก่ ผืนรางและไม้ตี
ผืนประกอบด้วยลูกระนาดซึ่งทาด้วยไม้ชิงชันหรือไม้ไผ่ผืนระนาดไม้เนื้อนุ่มเสียงจะหอมอิ่ม
และดังคมชัดเหมาะสาหรับบรรเลงในวงปี่พาทย์ไม้แข็งส่วนผืนระนาดที่ทาจากไม้ไผ่จะให้เสียงที่นุ่มนวล
เหมาะสาหรับวงปี่พาทย์ไม้นวมและวงปี่พาทย์ผสมเครื่องสายลูกระนาดมีทั้งหมด 23-32ลูก โดยลูกที่22 มีชื่อเรียกว่าลูกหลีกหรือ
ลูกหลิบที่ท้องของลูกระนาดจะคว้านและใช้ขี้ผึ้งผสมกับตะกั่วถ่วงเพื่อให้เกิดความแตกต่างระหว่างเสียง
โดยเสียงจากผืนระนาดขึ้นอยู่กับส่วนประกอบ3ส่วนด้วยกันคือส่วนแรกขึ้นอยู่กับขนาดใหญ่-เล็กของไม้ที่ใช้ทาส่วนที่สอง
ขึ้นอยู่กับการคว้านท้องไม้ลูกระนาดว่ามาก-น้อยเพียงใดส่วนที่สามขึ้นกับปริมาณมาก-น้อยของตะกั่วที่ถ่วงใต้ลูกระนาดแต่ละลูก
ลูกระนาดทั้งหมดจะถูกเจาะรูเพื่อร้อยเชือกและแขวนบนรางระนาด
รางเป็นส่วนที่เป็นกล่องเสียงของระนาดทาให้หน้าที่อุ้มเสียงนิยมทาด้วยไม้สักและทาด้วยน้ามันขัดเงา
ปัจจุบันการใช้ระนาดที่ทาด้วยไม้และทาด้วยน้ามันลดความนิยมลง
10. นักดนตรีนิยมใช้รางระนาดที่แกะสลักลวดลายไทยและลงรักปิดทองเพื่อความสวยงามบางโอกาสอาจมีการฝังมุกประกอบงา
ซึ่งราคาก็จะสูงตามไปด้วยจากการรณรงค์พิทักษ์สัตว์ป่าที่มีอยู่ทั่วไปรางประกอบงาจึงไม่ได้รับความนิยม
รูปร่างระนาดเอกคล้ายเรือบดแต่โค้งเรียวกว่าตรงกลางของส่วนโค้งมีเท้าที่ใช้สาหรับตั้งเป็นเท้าเดียวคล้ายพานแว่นฟ้ า
ปลายทั้งสองข้างของส่วนโค้งเรียกว่าโขนจะมีขอสาหรับห้อยผืนระนาดข้างละ 2อัน
ไม้ระนาดเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการให้เกิดเสียงโดยตรงมี 2 ชนิด คือไม้แข็ง และไม้นวมไม้แข็งพันด้วยผ้าอย่างแน่น
และชุมด้วยรักจนเกิดความแข็งเวลาตีจะมีเสียงดังและคมชัด
เหมาะกับวงปี่พาทย์ไม้แข็งวงปี่พาทย์มอญและวงปี่พาทย์นางหงส์ส่วนไม้นวมเป็นไม้ตีระนาดที่พันจากผ้าและใช้ด้ายรัดหลายๆ
รอบเพื่อความสวยงามมีเสียงนุ่มนวมบรรเลงในวงปี่พาทย์ไม้นวมวงมโหรี วงปี่พาทย์ผสมเครื่องสายและวงปี่พาทย์ดึกดาบรรพ์
ขนาดของระนาดเอกลูกต้นมีขนาด39 ซม กว้างราว5ซมและหนา1.5 ซม มีขนาดลดหลั่นลงไปจนถึงลูกที่21 หรือลูกยอดที่มีขนาด
29 ซม เมื่อนาผืนระนาดมาแขวนบนรางแล้วหากวัดจากโขนหัวรางข้างหนึ่งไปยังโขนหัวรางอีกข้างหนึ่งจะมีความยาวประมาณ 120
ซม
การฝึกหัดบรรเลง[แก้]
ท่านั่ง[แก้]
ท่านั่งที่นิยมในการบรรเลงระนาดเอกมี2ลักษณะคือการนั่งขัดสมาธิและนั่งพับเพียบ
โดยท่านั่งแบบขัดสมาธิถือเป็นท่านั่งที่เหมาะสมสาหรับการบรรเลงระนาดเอกมากที่สุดเพราะเป็นท่านั่งที่มีความเป็นธรรมชาติ
มีความสะดวกผ่อนคลายก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบรรเลงได้ดีที่สุด
การจับไม้
ให้ก้านของไม้ระนาดอยู่ในร่องของอุ้งมือนิ้วทุกนิ้วช่วยควบคุมการจับไม้ มือทั้งสองคว่าลงข้อศอกทามุมฉาก
ตาแหน่งแขนซ้ายและขวาขนานกันตาแหน่งของนิ้วอาจแตกต่างกันบ้างแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะคือ
การจับแบบปากกา
ตาแหน่งของนิ้วชี้อยู่บนไม้ระนาดการเริ่มฝึกหัดระนาดเอกควรฝึกหัดโดยลักษณะนี้
ซึ่งนอกจากมีความงดงามแล้วยังมีความสะดวกและมีประสิทธิภาพสูงในการสร้างเสียง
การจัดตาแหน่งของนิ้วชี้จะตกไปอยู่ด้านตรงข้ามกับนิ้วหัวแม่มือ
ก้านของไม้ระนาดอยู่ในตาแหน่งกึ่งกลางระหว่างปลายนิ้วกับข้อบนของนิ้ว
การจับแบบปากนกแก้ว
ตาแหน่งของก้านไม้ระนาดอยู่ในตาแหน่งเส้นข้อนิ้วของข้อบน
ตาแหน่งของเสียง
เมื่อเปรียบเทียบระนาดเอกกับเครื่องดนตรีไทยชนิดอื่นระนาดเอกเป็นเครื่องดนตรีที่มีระดับเสียงมากที่สุดโดยมีจานวน 21-22
ระดับเสียงความที่มีจานวนระดับเสียงถึง22 เสียงทาให้มีความกว้างของระดับเสียงครอบคลุมถึง3ช่วงทบเสียง
ส่งผลให้การเดินทานองของเสียงเป็นไปอย่างไม่ซ้าซากจาเจอยู่ที่ช่วงระดับเสียงใดเสียงหนึ่ง
หลักการตีระนาด[แก้]
หลักปฏิบัติทั่วไป[แก้]
1. ตีตรงกลางลูกระนาด
11. 2. การเคลื่อนของมือโดยที่มือซ้ายและมือขวาต้องอยู่ในแนวขนานกันตาแหน่งของหัวไม้อยู่กึ่งกลางลูกระนาด
และเอียงตามทิศทางของผืนระนาด
3. การยกไม้ เสียงของระนาดเอกจะดังมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพลังในการตีควรยกไม้ระนาดให้สูงจากผืนระนาดประมาณ 6
นิ้วสาหรับตีฉากและ2 นิ้วสาหรับตีสิม
4. น้าหนักมือต้องลงน้าหนักของมือซ้ายและมือขวาให้เท่ากัน
ลักษณะการตีระนาด[แก้]
1.ตีฉาก
2.ตีสิม
3.ตีครึ่งข้อครึ่งแขน
4.ตีข้อ
วิธีการตีระนาด[แก้]
1.ตีกรอ
2.ตีสะบัด
3.ตีรัว
4.ตีกวาด
5.ตีขยี้
6.ตีคาบลูกคาบดอก
นักระนาดเอกที่มีชื่อเสียง[แก้]
1. พระเสนาะดุริยางค์(ขุนเณร)
2. ครูช้อย สุนทรวาทิน
3. ครูสินสินธุสาคร
4. ครูสินศิลปบรรเลง
5. พระยาเสนาะดุริยางค์(แช่มสุนทรวาทิน)
6. พระยาประสานดุริยศัพท์(แปลกประสานศัพท์)
7. หลวงประดิษฐไพเราะ(ศรศิลปบรรเลง)
8. พระเพลงไพเราะ(โสมสุวาทิต)
9. หลวงชาญเชิงระนาด(เงินผลารักษ์)
10. จางวางสวนชิดท้วม
11. ก่กุศลบุญเฟื่อง
ระนาดเอก
ระนาดเป็นเครื่องตีที่ทาด้วยไม้หรือเหล็กหรือทองเหลืองหลายๆอันเรียงเป็นลาดับกันบางอย่างก็ร้อยเชือกหัวท้ายแขวน
บางอย่างก็วางเรียงกันเฉยๆ
ระนาดเอกลูกระนาดทาด้วยไม้ไผ่บงหรือไม้ชิงชังไม้พะยูงและไม้มะหาดลูกระนาดฝานหัวท้ายและท้องตอนกลาง
13. กรับ เป็นเครื่องดนตรีไทยชนิดหนึ่งซึ่งกรับนั้นมีอยู่3 ชนิดด้วยกันคือกรับคู่ กรับพวง และกรับเสภา
ประเภทของกรับ[แก้]
กรับคู่
ทาด้วยไม้ไผ่ผ่าซีกเหลาให้เรียบและเกลี้ยงอย่าให้มีเสี้ยนมีรูปร่างแบนตามซีกไม้ไผ่หนาตามขนาดของเนื้อไม้ยาวประมาณ 40ซม
ทาเป็น 2 อันหรือเป็นคู่ ใช้ตีให้ผิวกระทบกันทางด้านแบนเกิดเป็นเสียงกรับ
กรับพวง
เป็นกรับชนิดหนึ่งตอนกลางทาด้วยไม้บางๆหรือแผ่นทองเหลืองหรืองาหลายๆอันและทาไม้แก่น2
อันเจาะรูตอนหัวร้อยเชือกประกบไว้ 2ข้างเหมือนด้ามพัดเวลาตีใช้มือหนึ่งถือตรงหัวทางเชือกร้อยแล้วฟาดลงไปบนอีกฝ่ ามือหนึ่ง
เกิดเป็นเสียงกรับขึ้นหลายเสียงจึงเรียกว่ากรับพวงใช้เป็นอานัตสัญญาณเช่นในการเสด็จออกในพระราชพิธีของพระเจ้าแผ่นดิน
เจ้าพนักงานจะรัวกรับและใช้กรับพวงตีเป็นจังหวะในการขับร้องเพลงเรือดอกสร้อยและใช้บรรเลงขับร้องในการแสดง
นาฏกรรมด้วย
กรับเสภา
ทาด้วยไม้แก่นเช่นไม้ชิงชันยาวประมาณ20 ซม หนาประมาณ5 ซม เหลาเป็นรูป4 เหลี่ยมแต่ลบเหลี่ยม
ออกเพื่อมิให้บาดมือและให้สามารถกลิ้งตัวของมันเองกลอกกระทบกันได้โดยสะดวก
ใช้บรรเลงประกอบในการขับเสภาเวลาบรรเลงผู้ขับเสภาจะใช้กรับเสภา 2คู่ รวม4 อัน ถือเรียงกันไว้บนฝ่ ามือของตนข้างละคู่
กล่าวขับเสภาไปพลางมือทั้ง2 ข้างก็ขยับกรับแต่ละข้างให้กลอกกระทบกันเข้าจังหวะกับเสียงขับเสภาจึงเรียกกรับชนิดนี้ว่า
กรับเสภา
กรับคู่ กรับเสภา กรับพวง
โปงลาง เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเคาะหรือเครื่องตีมีลักษณะคล้ายระนาดแต่แขวนในแนวดิ่ง
เป็นที่นิยมในภาคอีสานบางท้องถิ่นอาจเรียกว่าหมากกลิ้งกล่อมหมากขอลอหรือ
เกราะลอ(ผู้เฒ่าผู้แก่ในถิ่นดงมูลอาเภอหนองกุงศรีเรียก"หมากเต๋อเติ่น")เป็นเครื่องดนตรีประจาจังหวัดกาฬสินธุ์
ผู้พัฒนา
นายเปลื้องฉายรัศมีศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง(ดนตรีพื้นบ้าน)ประจาปี พ.ศ.
2529 ชาวจังหวัดกาฬสินธุ์ได้ทาการพัฒนาโปงลางจนมีลักษณะเช่นในปัจจุบันโดยได้พัฒนาโปงลางขึ้นจากเกราะลอ
ซึ่งใช้เคาะส่งสัญญาณในท้องนา[1]
14. พระมหากรุณาธิคุณ
เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์พ.ศ. 2533 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดาเนินมาทรงโปงลางที่วิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์จังหวัดกาฬสินธุ์
ซึ่งสร้างความปลื้มปิติแก่พสกนิกรชาวกาฬสินธุ์เป็นอย่างมากที่ได้มีโอกาสเฝ้ าชมบารมี
ขณะที่ทรงโปงลางอันเป็นสัญลักษณ์ของชาวกาฬสินธุ์[2]
ลายเดี่ยว
ลายกาเต้นก้อน(ครูเปลื้องฉายรัศมีเป็นผู้แต่ง)[3]
ลายลายนกไซบินข้ามทุ่ง
วิธีทา
โปงลาง นิยมทาจากไม้มะหาดหรือไม้หมากเหลื้อมเพราะเป็นไม้ที่มีความอยู่ตัวมากกว่าไม้อื่นๆวิธีการทาเอาไม้ที่แห้งแล้ว
มาถากเหลาให้ได้ขนาดลดหลั่นกันตามเสียงที่ต้องการในระบบ5 เสียงโปงลาง1 ชุดจะมีจานวนประมาณ12 ลูก
ใช้เชือกร้อยรวมกันเป็นผืนเวลาตีต้องนาปลายเชือกด้านหนึ่งไปผูกแขวนไว้กับเสาในลักษณะห้อยลงมา
ส่วนปลายเชือกด้านล่างจะผูกไว้กับหลักหรือเอวของผู้ตีวิธีการเทียบเสียงโปงลางทาโดยการเหลาไม้ให้ได้ขนาด
และเสียงตามต้องการยิ่งเหลาให้ไม้เล็กลงเท่าใดเสียงก็จะยิ่งสูงขึ้นในสมัยอดีตโปงลางนั้นมีด้วยกัน 5เสียงคือโด เรมี ซอล ลา
แต่ในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาโดยนายเปลื้องฉายรัศมีโปงลางที่ได้มาตรฐานจะต้องมี6 เสียง13 ลูกคือ โดเร มี ฟาซอล ลา
(ต่อมามีเสียงที ด้วย)ซึ่งแตกต่างจากระนาดซึ่งมีเจ็ดเสียงและมีการปรับแต่งเทียบเสียงด้วยการใช้ ตะกั่วผสมขี้ผึ้ง ถ่วงใต้ผืนระนาด
เพื่อให้ได้ระดับเสียงตามที่ต้องการ
การตี
การบรรเลงหมากกลิ้งกล่อมหรือโปงลางนิยมใช้ผู้บรรเลงสองคนต่อเครื่องดนตรีหนึ่งชิ้นแต่ละคนใช้ไม้ตี 2 อัน
มี หมอเคาะกับหมอเสิฟหมอเคาะคือผู้ที่ตีทานองของเพลงหรือลายนั้นส่วนหมอเสิฟคือผู้ที่ตีประสานจะตี2ลูก เช่นตี ลา-มี
หรือซอล-เร เป็นต้น การเรียกชื่อเพลงที่บรรเลงด้วยโปงลางมักจะเรียกตามลักษณะและลีลาของเพลงโดย
การสังเกตจากสภาพของธรรมชาติที่อยู่รอบๆตัวเช่น เพลง"ลายนกไซบินข้ามทุ่ง"เพลง"ลายกาเต้นก้อน"เพลง
"ลายแมลงภู่ตอมดอกไม้"เป็นต้น
วิวัฒนาการของวงโปงลาง
แต่เดิมเครื่องดนตรีพื้นบ้าน
ยังไม่มีการผสมวงกันแต่อย่างใดใช้เล่นเป็นเครื่องเดี่ยวตามความถนัดของนักดนตรีที่มีอยู่ตามท้องถิ่นต่างๆ
โอกาสที่จะมาร่วมเล่นด้วยกันได้ก็ต่อเมื่อมีงานบุญหรืองานประเพณีต่างๆเช่นบุญเผวด
จะมีการแห่กันหลอนของแต่ละคุ้มหรือแต่ละหมู่บ้านมาที่วัดคุ้มไหนหรือหมู่บ้านไหนมีนักดนตรีอะไรก็จะใช้บรรเลงและแห่ต้นกันหลอน
มาที่วัดพอมาถึงวัดก็จะมีการผสมผสานกันของแต่ละเครื่องมือเช่นพิณแคนซอ กลองเป็นต้น
หลังจากผสมผสานกันโดยไม่ได้ตั้งใจแล้วก็จะแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดเชื่อมเข้าหากันโดยเฉพาะนักดนตรีจะไปมาหาสู่กันร่วมกันเล่น
ร่วมกันสร้างในที่สุดก็กลายเป็นวงดนตรีและมีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆเช่นวงโปงลางปี พ.ศ. 2505 หลังจากอาจารย์เปลื้องฉายรัศมี
ซึ่งเป็นผู้ที่สนใจและศึกษาพัฒนาการตีและการทาเกราะลอจนเปลี่ยนชื่อมาเป็นโปงลางและได้รับความนิยมจากชาวบ้านโดยทั่วไป
จากนั้นอาจารย์เปลื้องได้เกิดแนวความคิดในการนาเอาเครื่องดนตรีอีสานชนิดอื่นๆมาบรรเลงรวมกันกับโปงลาง
จึงได้รวบรวมสมัครพรรพวกที่ชอบเล่นดนตรี มาบรรเลงรวมกันปรากฏว่าเป็นที่แตกตื่นของชาวบ้าน
พอตกเย็นก็จะมีคนมามุงดูขอให้บรรเลงให้ฟังแต่ละวันหมดยาเส้นไปหลายหีบทาให้ได้รับความนิยม
15. และเป็นที่สนใจของชาวบ้านเป็นอย่างมากจนมีผู้ว่าจ้างไปบรรเลงเป็นครั้งแรกเนื่องในงานอุปสมบทณบ้านปอแดง ตาบลอุ่นเม่า
อาเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ในราคา 40บาท เป็นที่ชื่นชอบของของผู้ที่พบเห็นและได้ฟังจากงานอุปสมบทของบ้านปอแดง
และได้รับการติดต่อให้ไปแสดงอีกในหลายๆที่ปี พ.ศ. 2511 อาจารย์เปลื้องฉายรัศมี
ได้นาคณะโปงลางไปร่วมแสดงเพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันเฉลิมพรรษา 5ธันวามหาราชจึงมีโอกาสที่ทาให้ได้พบกับนายประชุม
อิทรตุล ป่าไม้อาเภอยางตลาดซึ่งนายประชุมได้นาวงดนตรีสากลมาร่วมบรรเลงประกอบลีลาศ
มหรสพที่แสดงในคืนนั้นมีคณะหมอลาหมู่ซึ่งหัวหน้าหมอลาเป็นเพื่อนอาจารย์เปลื้องทั้งสองจึงไปขอยืมกลองชุดสากล
เพื่อนาไปเล่นเข้ากับหมอลานายประชุมจึงไม่ขัดข้องแต่ต้องให้วงลีลาศเลิกก่อน
หมอลาก็ทาการแสดงไปก่อนได้ครึ่งคืนก็ต้องพักทานข้าวตอนดึกจึงทาให้เกิดช่องว่างของเวทีผู้คนก็ยังไม่กลับยังรอดูหมอลาต่อ
อาจารย์เปลื้องฉายรัศมีจึงได้นาเอาโปงลางที่ตนนามาขึ้นแขวนบนต้นเสาของเวทีในขณะนั้นหัวหน้าหมอลาก็ยังไม่รู้จัก
และไม่เคยเห็นโปงลางมาก่อนทุกคนก็เกิดความสงสัยว่าอาจารย์เปลื้องนาอะไรขึ้นมาแขวนกับต้นเสาบนเวที
แต่พอคณะโปงลางบรรเลงขึ้นทุกคนต่างตกตะลึงและสงสัยว่าสิ่งที่กาลังตีอยู่ในขณะนั้นคืออะไร
หลังจากหมอลากินข้าวเสร็จผู้ชมก็ยังไม่ยอมให้เลิกเล่นขอให้เล่นต่อแทนหมอลาไปเลยก็ได้ จากการแสดงในครั้งนั้นนี่เองนายประชุม
ได้ชวนอาจารย์เปลื้องไปอยู่ด้วยโดยฝากให้เข้าทางานที่โรงเลื่อยยางตลาดนายประชุมอินทรตุลจึงได้สนับสนุนและตั้งวงโปงลางขึ้น
ชื่อว่าวงโปงลางกาฬสินธุ์โดยมอบหมายให้อาจารย์เปลื้องเป็นหัวหน้าวงจากผลงานการแสดงที่หลังจากตั้งวงแล้วไม่นานนายบุรี
พรหมลักขโนผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ได้ติดต่อให้นาโปงลางไปแสดงออกรายการทีวีช่อง5จังหวัดขอนแก่นเพื่อเป็นการเผยแพร่
และท่านได้แนะนาว่าน่าจะมีชุดฟ้ อนราไปด้วยจะน่าดูยิ่งขึ้นนายประชุมอิทรตุลจึงมอบหมายให้คุณเกียงบ้านสูงเนินคุณลดาวัลย์
สิงห์เรือง(ผู้ช่วยผู้อานวยการวิทยาลัยนาฏศิลปะกาฬสินธุ์ในขณะนั้น)และภรรยาของนายประชุมเองฝึกชุดฟ้ อนชุดแรกคือราซวยมือ
ชุดที่สอง คือ ชุดเซิ้งภูไท ชุดเซิ้งสวิงชุดบายศรีสู่ขวัญและไทภูเขาต่อมาคณะโปงลางกาฬสินธุ์ได้มีโอกาสไปแสดงณวังสวนจิตลดา
วังละโว้ วังสวนผักกาดวังสราญรมย์
และแสดงเผยแพร่ในมหาลัยต่างๆhttp://www.youtube.com/watch?v=wm9AJSz39CY&feature=share
การเล่นเป็นคณะโปงลางนั้นนอกจากจะใช้บรรเลงตามลาพังแล้วยังนิยมใช้บรรเลงเป็นวงร่วมกับเครื่องดนตรีอื่นๆเช่นพิณแคน
กลอง เพื่อการฟังและใช้บรรเลงประกอบการฟ้ อนพื้นบ้านอีสานได้เป็นอย่างดีต่อมาภายหลังอาจารย์เปลื้องฉายรัศมี
ซึ่งเป็นศิลปินแห่งชาติได้ประยุกต์วงโปงลางขึ้นใหม่โดยนากระดึงผูกคอวัวที่เป็นโลหะมาแขวนเรียงแทนลูกโปงลางเดิมที่ทาด้วยไม้
ทาให้เกิดมิติของเสียงที่แตกต่างจากการบรรเลงโปงลางแบบเดิมนับเป็นต้นแบบของ การพัฒนาโปงลางในระยะต่อมาเช่น
การทาลูกโปงลางด้วยแผ่นทองเหลืองขนาดต่างๆเรียกว่า"หมากกะโหล่ง"รวมถึงการนาเอาไม้ไผ่มาเหลาให้มีขนาดลดหลั่นกัน
เรียกว่า"โปงลางไม้ไผ่"และการนาเอาท่อเหล็กมาทาเป็น"โปงลางเหล็ก"ด้วย
ทาให้เสียงมีความแตกต่างมากขึ้นและได้นามาเล่นผสมวงกันเกิดเป็นวง หมากกะโหล่งโปงลางโดยวิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์
การประกวด
เป็นการจัดประกวดตามเทศการต่างๆหรือจัดการประกวดตามสถานที่ต่างๆเช่น
การประกวดชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี (ประเภทก.ประชาชนทั่วไป)
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี (ประเภทข.นักเรียนมัธยม)
พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลีพระวรราชาทินัดดามาตุ (ประเภทค.นักเรียนประถม)ในงานประจาปีจังหวัดกาฬสินธุ์
"มหกรรมโปงลางแพรวาและงานกาชาดจังหวัดกาฬสินธุ์"[4]
16. โปงลาง
ระนาดเอกเหล็กเป็นเครื่องดนตรีที่ประดิษฐ์ขึ้นในรัชกาลที่4แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
แต่เดิมลูกระนาดทาด้วยทองเหลืองจึงเรียกกันว่าระนาดทองในเวลาต่อมาได้มีการประดิษฐ์ลูกระนาดด้วยเหล็กระนาดเอกเหล็กมี
จานวน 20 หรือ21 ลูกโดยวางไว้บนรางที่มีไม้ระกาวางพาดไปตามของรางหากไม่มีไม้ระกา
ก็อาจใช้ผ้าพันไม้แล้วนามารองลูกระนาดก็ได้ ลูกต้นของระนาดเอกเหล็กมีขนาด23.5ซมกว้างประมาณ5ซม
ลดหลั่นขึ้นไปจนถึงลูกยอดที่มีขนาด19ซมกว้างประมาณ4ซมรางของระนาดเอกเหล็กนั้นทาเป็นรูปสี่เหลี่ยมมีเท้ารองรับไว้ทั้ง 4
ด้านหรืออาจใส่ลูกล้อเพื่อสะดวกในการขนย้ายก็ได้
ระนาดเอกเหล็กลูกระนาดทาด้วยเหล็กวางเรียงบนรางไม่ต้องเจาะรูร้อยเชือกมี๒๐ลูกหรือมากกว่านั้น
ถ้าลูกระนาดทาด้วยทองเหลืองก็เรียกว่าระนาดทอง ระนาดเอกเหล็กบรรเลงเหมือนระนาดเอกทุกประการ
เพียงแต่ไม่ได้ทาหน้าที่ผู้นา
ระนาดเอกเหล็ก
ระนาดทุ้มเหล็กเป็นเครื่องดนตรีที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลที่4มีพระราชดาริให้สร้างขึ้น
ลูกระนาดทาอย่างเดียวกับระนาดเอกเหล็กระนาดทุ้มเหล็กมีจานวน16หรือ17 ลูกลูกต้นยาวประมาณ35ซมกว้างประมาณ6
ซมและลดหลั่นลงไปจนถึงลูกยอดซึ่งยาวประมาณ 29ซมกว้างประมาณ5.5ซม ตัวรางระนาดยาวประมาณ 1เมตรปากราง
กว้างประมาณ20ซมมีชานยื่นออกไปสองข้างรางถ้านับส่วนกว้างรวมทั้งชานทั้งสองข้างด้วยรางระนาดทุ้มเหล็กจะกว้างประมาณ
36 ซม มีเท้ารองติดลูกล้อ4เท้า เพื่อให้เคลื่อนที่ไปมาได้สะดวกตัวรางสูงจากพื้นถึงขอบบนประมาณ 26ซมระนาด
ทุกชนิดที่กล่าวมานั้นจะใช้ไม้ตี2 อัน
ระนาดทุ้มเหล็กเหมือนระนาดเอกเหล็กทุกประการนอกจากลูกระนาดใหญ่และยาวกว่ามี ๑๗ลูกถ้าทาด้วยทองเหลืองก็เรียก
ระนาดทุ้มทองการเทียบเสียงระนาดเอกเหล็กและระนาดทุ้มเหล็กนี้ใช้ตะไบถูหัวท้ายด้านล่างและท้องลูกระนาด
ไม่ใช้ขี้ผึ้งผสมผงตะถั่วติดเมื่อต้องการให้ลูกไหนเสียงสูงขึ้นก็ตะไบหัวหรือท้ายให้บางถ้าต้องการให้ต่าก็ตะไบท้องให้บาง
ระนาดทุ้มเหล็กทาหน้าที่เดินทานองคล้ายฆ้องวงใหญ่ เพียงแต่เดินทานองห่างกว่า