SlideShare a Scribd company logo
1หน่วยการเรียนรู้ เรื่องยุสมัยของดนตรีไทย
ยุคสมัยของดนตรีไทย
ดนตรีไทยในแต่ละยุคสมัย
ประวัติดนตรีไทยในสมัยต่างๆ
นับตั้งแต่ไทยได้มาตั้งถิ่นฐานในแหลมอินโดจีน และได้ก่อตั้งอาณาจักรไทยขึ้น จึงเป็นการเริ่มต้น
ยุค แ ห่ ง ป ระ วัติ ศ าส ต ร์ ไ ท ย ที่ ป ราก ฎ ห ลัก ฐ าน เป็ น ล ายลัก ษ ณ์ อัก ษ ร ก ล่าวคื อ
เมื่อไทยได้สถาปน าอาณ าจักรสุ โขทัยขึ้ น และ ห ลัง จากที่ พ่อขุน รามคาแห ง มห าราช
ได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้แล้ว นับตั้งแต่นั้นมาจึงปรากฎหลักฐานด้าน ดนตรีไทย ที่เป็นลายลักษณ์อักษร
ทั้ง ใน ห ลักศิลาจารึ ก ห นัง สื อวรรณ คดี และ เอกส ารทาง ประ วัติศาส ตร์ ใ น แต่ละ ยุค
ซึ่งสามารถนามาเป็ นหลักฐานในการพิจารณา ถึงความเจริญและวิวัฒนาการของ ดนตรีไทย
ตั้งแต่สมัยสุโขทัย เป็นต้นมา จนกระทั่งเป็นแบบแผนดังปรากฎ ในปัจจุบัน พอสรุปได้ดังต่อไปนี้
สมัยสุโขทัย
ดนตรีไทย มีลักษณะเป็นการขับลานา และร้องเล่นกันอย่างพื้นเมือง เกี่ยวกับ เครื่องดนตรีไทย
ในสมัยนี้ ปรากฎหลักฐานกล่าวถึงไว้ในหนังสือ ไตรภูมิพระร่วง ซึ่งเป็นหนังสือวรรณคดี ที่แต่งในสมัยนี้
ได้แก่แตร, สังข์, มโหระทึก, ฆ้อง, กลอง, ฉิ่ง, แฉ่ง (ฉาบ), บัณเฑาะว์พิณ, ซอพุงตอ (สันนิษฐานว่าคือ
ซอสามสาย) ปี่ไฉน, ระฆัง, และ กังสดาล เป็นต้น ลักษณะการผสม วงดนตรี
ก็ปรากฎหลักฐานทั้งในศิลาจารึก และหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึง "เสียงพาทย์ เสียงพิณ"
ซึ่งจากหลักฐานที่กล่าวนี้ สันนิษฐานว่า วงดนตรีไทย ในสมัยสุโขทัย มีดังนี้ คือ
1. วงบรรเลงพิณ มีผู้บรรเลง 1คน ทาหน้าที่ดีดพิณและขับร้องไปด้วย เป็นลักษณะของการขับลานา
2. วงขับไม้ ประกอบด้วยผู้บรรเลง 3 คน คือ คนขับลานา 1 คน คนสี ซอสามสาย คลอเสียงร้อง 1คน
และ คนไกว บัณเฑาะว์ให้จังหวะ 1คน
3. วงปี่พาทย์ เป็นลักษณะของวงปี่พาทย์เครื่อง 5 มี2 ชนิดคือ
วงปี่พาทย์เครื่องห้า อย่างเบา ประกอบด้วยเครื่องดนตรีชนิดเล็ก ๆ จานวน 5 ชิ้น คือ 1. ปี่ 2.
กลองชาตรี 3. ทับ (โทน) 4. ฆ้องคู่และ 5. ฉิ่ง ใช้บรรเลงประกอบการแสดง ละครชาตรี
(เป็นละครเก่าแก่ที่สุดของไทย)
2หน่วยการเรียนรู้ เรื่องยุสมัยของดนตรีไทย
วงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างหนัก ประกอบด้วย เครื่องดนตรีจานวน 5ชิ้น คือ 1.ปี่ใน 2.ฆ้องวง (ใหญ่) 3.
ตะโพน 4.กลองทัดและ 5.ฉิ่ง ใช้บรรเลงประโคมในงานพิธีและบรรเลงประกอบการแสดงมหรสพ ต่าง ๆ
จะเห็นว่า วงปี่พาทย์เครื่องห้า ในสมัยนี้ยังไม่มีระนาดเอก
4.วงมโหรี เป็นลักษณะของวงดนตรีอีกแบบหนึ่ง ที่นาเอา วงบรรเลงพิณ กับ วงขับไม้มาผสมกัน
เป็นลักษณะของ วงมโหรีเครื่องสี่ เพราะประกอบด้วยผู้บรรเลง 4คน คือ 1.คนขับลานาและตี กรับพวง
ให้จังหวะ 2. คนสี ซอสามสาย คลอเสียงร้อง 3. คนดีดพิณ และ 4. คนตีทับ (โทน) ควบคุมจังหวะ
สมัยกรุงศรีอยุธยา
ปรากฎหลักฐานเกี่ยวกับ ดนตรีไทย ในสมัยนี้ ในกฏมลเฑียรบาล ซึ่งระบุชื่อเครื่องดนตรีไทย เพิ่มขึ้น
จากที่เคยระบุไว้ในหลักฐาน สมัยสุโขทัยจึงน่าจะเป็น เครื่องดนตรี ที่เพิ่งเกิดในสมัยนี้ ได้แก่กระจับปี่ ขลุ่ย
จะเข้และ รามะนา นอกจากนี้ในกฎมณเฑียรบาลสมัย สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031)
ปรากฎข้อห้ามตอนหนึ่ งว่า "...ห้ามร้องเพลงเรือ เป่าขลุ่ย เป่าปี่ สีซอ ดีดกระจับปี่ ดีดจะเข้ ตีโทนทับ
ในเขตพระราชฐาน..." ซึ่งแสดงว่าสมัยนี้ ดนตรีไทย เป็ นที่นิยมกันมาก แม้ในเขตพระราชฐาน
ก็ มี ค น ไ ป ร้ อ ง เ พ ล ง แ ล ะ เ ล่ น ด น ต รี กั น เ ป็ น ที่ เ อิ ก เ ก ริ ก แ ล ะ เ กิ น พ อ ดี
จนกระทั่งพระมหากษัตริย์ต้องทรงออกกฎมลเฑียรบาล ดังกล่าวขึ้นไว้เกี่ยวกับลักษณะของ วงดนตรีไทย
ในสมัยนี้มีการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาขึ้นกว่าในสมัยสุโขทัย ดังนี้ คือ
1.วงปี่พาทย์ในสมัยนี้ ก็ยังคงเป็น วงปี่พาทย์เครื่องห้า เช่นเดียวกับในสมัยสุโขทัยแต่มีระนาดเอก
เพิ่มขึ้น ดังนั้น วงปี่พาทย์เครื่องห้า ในสมัยนี้ประกอบด้วยเครื่องดนตรี ดังต่อไปนี้ คือ ระนาดเอก ปี่ใน
ฆ้องวง (ใหญ่) กลองทัด ตะโพน ฉิ่ง
2.วงมโหรี ในสมัยนี้ พัฒนามาจาก วงมโหรีเครื่องสี่ ในสมัยสุโขทัยเป็น วงมโหรีเครื่องหก
เพราะได้เพิ่มเครื่องดนตรี เข้าไปอีก 2ชิ้น คือ ขลุ่ย และ รามะนา ทาให้ วงมโหรี ในสมัยนี้ ประกอบด้วย
เครื่องดนตรี จานวน 6ชิ้น คือ ซอสามสาย กระจับปี่ (แทนพิณ) ทับ (โทน) รามะนา ขลุ่ย กรับพวง
สมัยกรุงธนบุรี
เ นื่ อ ง จ า ก ใ น ส มั ย นี้ เ ป็ น ช่ ว ง ร ะ ย ะ เ ว ล า อั น สั้ น เ พี ย ง แ ค่ 15 ปี
และประ กอบกับเป็ น สมัยแห่งการก่อร่างสร้างเมือง และการป้องกัน ประเทศเสี ยโดยมาก
3หน่วยการเรียนรู้ เรื่องยุสมัยของดนตรีไทย
วง ดน ตรี ไท ยใ น สมัยนี้ จึงไม่ปรากฎ ห ลักฐาน ไว้ว่า ได้มีการพัฒ น าเป ลี่ยน แป ลงขึ้ น
สันนิษฐานว่ายังคงเป็นลักษณะและรูปแบบของดนตรีไทย ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั่นเอง
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ในสมัยนี้ เมื่อบ้านเมืองได้ผ่านพ้นจากภาวะศึกสงคราม และได้มีการก่อสร้างเมืองให้มั่นคงเป็นปึกแผ่น
เกิดความสงบร่มเย็น โดยทั่วไปแล้วศิลป วัฒน ธรรมของช าติก็ได้รับการฟื้ น ฟูทะนุ บารุ ง
แ ล ะ ส่ ง เ ส ริ ม ใ ห้ เ จ ริ ญ รุ่ ง เ รื อ ง ขึ้ น โ ด ย เ ฉ พ า ะ ท า ง ด้ า น ด น ต รี ไ ท ย
ในสมัยนี้ได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงเจริญขึ้นเป็นลาดับดังต่อไปนี้ คือ
สมัยรัชกาลที่ 1ดนตรีไทย ในสมัยนี้ ส่วนใหญ่ ยังคงมีลักษณะ และ รูปแบบตามที่มีมาตั้งแต่
สมัยกรุงศรีอยุธยาที่พัฒนาขึ้นบ้างในสมัยนี้ก็คือ การเพิ่ม กลองทัด ขึ้นอีก 1 ลูกใน วงปี่พาทย์ซึ่ง แต่เดิมมา
มีแค่1ลูก พอมาถึง สมัยรัชกาลที่ 1 วงปี่พาทย์ มี กลองทัด 2ลูก เสียงสูง (ตัวผู้) ลูกหนึ่ง และ เสียงต่า
(ตัวเมีย) ลูกหนึ่ง และการใช้กลองทัด 2 ลูก ในวงปี่พาทย์ ก็เป็นที่นิยมกันมา จนกระทั่งปัจจุบันนี้
สมัย รัชกาลที่ 2อาจกล่าวว่าในสมัยนี้ เป็ น ยุคทองของ ดน ตรีไทย ยุคหนึ่ ง ทั้งนี้ เพ ราะ
องค์พระมหากษัตริย์ ทรงสนพระทัย ดนตรีไทย เป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถ ในทาง
ดนตรีไทย ถึงขนาดที่ ทรงดนตรีไทย คือ ซอสามสาย ได้ มีซอคู่พระหัตถ์ชื่อว่า "ซอสายฟ้าฟาด"
ทั้งพ ระ องค์ได้ พ ระ ราช นิ พ น ต์ เพ ลงไทย ขึ้น เพ ลงห นึ่ ง เป็ น เพ ลงที่ไพ เราะ และอมตะ
มาจนบัดนี้ นั่นก็คือเพลง "บุหลันลอยเลื่อน" การพัฒนา เปลี่ยนแปลงของ ดนตรีไทย ในสมัยนี้ก็คือ
ได้มีการน าเอา วง ปี่ พ าท ย์มาบรรเลง ป ระ กอบ การขับ เส ภ า เป็ น ครั้ งแรก น อกจากนี้
ยังมีกลองชนิดหนึ่งเกิดขึ้น โดยดัดแปลงจาก "เปิงมาง" ของมอญ ต่อมาเรียกกลองชนิดนี้ว่า"สองหน้า"
ใช้ตีกากับจังหวะแทนเสียงตะโพนในวงปี่พาทย์ประกอบการขับเสภา เนื่องจากเห็นว่าตะโพนดังเกินไป
จนกระทั่งกลบเสียงขับ กลองสองหน้านี้ ปัจจุบันนิยมใช้ตีกากับจังหวะหน้าทับ ในวงปี่พาทย์ไม้แข็ง
สมัยรัชกาลที่ 3วงปี่พาทย์ได้พัฒนาขึ้นเป็นวงปี่พาทย์เครื่องคู่ เพราะได้มีการประดิษฐ์ระนาดทุ้ม
มาคู่กับระนาดเอก และประดิษฐ์ฆ้องวงเล็กมาคู่กับ ฆ้องวงใหญ่
สมัยรัชกาลที่4วงปี่พาทย์ได้พัฒนาขึ้นเป็นวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่เพราะได้มีการประดิษฐ์ เครื่องดนตรี
เพิ่ มขึ้ น อีก 2 ช นิ ด เลียน แบ บ ระ น าดเอก และ ระ น าดทุ้ม โดยใ ช้โลหะ ท าลูกระ น าด
และทารางระนาดให้แตกต่างไปจากรางระนาดเอก และระนาดทุ้ม (ไม้) เรียกว่า ระนาดเอกเหล็ก
4หน่วยการเรียนรู้ เรื่องยุสมัยของดนตรีไทย
แล ะ ระ น าด ทุ้มเห ล็ ก น าม าบ รรเล ง เพิ่ ม ใ น วง ปี่ พ าท ย์เค รื่ อ ง คู่ ท าใ ห้ ข น าด ข อ ง
วงปี่ พาทย์ขยายให ญ่ขึ้น จึงเรียกว่า วงปี่ พ าทย์เครื่องใหญ่ อนึ่ งใน สมัยนี้ วงการดน ตรีไทย
นิ ยมการร้อ ง เพ ล ง ส่ง ใ ห้ ด น ตรี รับ ห รื อที่ เรี ยก ว่า " การร้อง ส่ง " กัน มากจน ก ระ ทั่ง
การขับเสภาซึ่งเคยนิยมกันมาก่อนค่อย ๆ หายไป และการร้องส่งก็เป็นแนวทางให้มีผู้คิดแต่งขยายเพลง 2
ชั้นของเดิมให้เป็ น เพลง 3 ชั้น และตัดลง เป็ นชั้น เดียว จนกระทั่งกลายเป็ นเพลงเถาในที่สุ ด
(นับว่าเพลงเถาเกิดขึ้นมากมายในสมัยนี้) นอกจากนี้ วงเครื่องสาย ก็เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลนี้เช่นกัน
สมัยรัชกาลที่5ได้มีการปรับปรุงวงปี่พาทย์ขึ้นใหม่ชนิดหนึ่ง ซึ่งต่อมาเรียกว่า"วงปี่พาทย์ดึกดาบรรพ์"
โดยสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ สาหรับใช้บรรเลงประกอบการแสดง "ละครดึกดาบรรพ์" ซึ่งเป็น
ล ะ ค ร ที่ เ พิ่ ง ป รั บ ป รุ ง ขึ้ น ใ น ส มั ย รั ช ก า ล นี้ เ ช่ น กั น
หลักการปรับปรุงของท่าน ก็โดยการตัดเครื่องดนตรีชนิดเสียงเล็กแหลม หรือดังเกินไปออก
คงไว้แต่เครื่องดนตรีที่มีเสียงทุ้ม นุ่มนวล กับเพิ่มเครื่องดนตรีบางอย่างเข้ามาใหม่เครื่องดนตรี
ในวงปี่พาทย์ดึกดาบรรพ์ จึงประกอบด้วยระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ระนาดทุ้มระนาดทุ้มเหล็ก ขลุ่ย ซออู้
ฆ้องหุ่ย (ฆ้อง 7 ใบ) ตะโพน กลองตะโพน และเครื่องกากับจังหวะ
สมัยรัชกาลที่ 6ได้การปรับปรุงวงปี่พาทย์ขึ้นมาอีกชนิดหนึ่ง โดยนาวงดนตรีของมอญมาผสมกับ
วงปี่พาทย์ของไทย ต่อมาเรียกวงดนตรีผสมนี้ ว่า "วงปี่พาทย์มอญ" โดยหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร
ศิลปบรรเลง) เป็นผู้ปรับปรุงขึ้น วงปี่ พาทย์มอญดังกล่าวนี้ ก็มีทั้งวงปี่พาทย์มอญเครื่องห้า เครื่องคู่
และเครื่องใหญ่เช่นเดียวกับวงปี่พาทย์ของไทย และกลายเป็นที่นิยมใช้บรรเลงประโคมในงานศพ
มาจนกระทั่งบัดนี้ นอกจากนี้ยังได้มีการนาเครื่องดนตรีของต่างชาติ เข้ามาบรรเลงผสมกับ วงดนตรีไทย
บางชนิดก็นามาดัดแปลงเป็นเครื่องดนตรีของไทยทาให้รูปแบบของ วงดนตรีไทยเปลี่ยนแปลงพัฒนาดังนี้
คือ การนาเครื่องดนตรีของชวา หรืออินโดนีเซีย คือ "อังกะลุง" มาเผยแพร่ในเมืองไทยเป็ นครั้งแรก
โดยหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ทั้งนี้โดยนามาดัดแปลง ปรับปรุงขึ้นใหม่ให้มีเสียงครบ 7เสียง
(เดิมมี 5 เสี ยง) ปรับปรุงวิธี การเล่น โดยถือเขย่าคน ละ 2 เสี ยง ทาใ ห้เครื่องดน ตรีช นิ ดนี้
กลายเป็ น เครื่ อง ดน ต รีไท ยอีกอย่าง ห นึ่ ง เพ ราะ คน ไทยส ามารถท าอัง กะ ลุง ได้เอ ง
อีกทั้ งวิธี ก ารบรรเลง ก็เป็ น แบ บเฉ พ าะ ขอ งเราแต กต่าง ไป จากของ ช วาโดยสิ้ น เชิ ง
การนาเครื่องดนตรีของต่างชาติเข้ามาบรรเลงผสมในวงเครื่องสายได้แก่ขิมของจีน และออร์แกนของฝรั่ง
ทาให้วงเครื่องสายพัฒนารูปแบบของวงไปอีกลักษณะหนึ่ง คือ "วงเครื่องสาย ผสม"
5หน่วยการเรียนรู้ เรื่องยุสมัยของดนตรีไทย
สมัยรัชกาลที่ 7พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสนพระทัยทางด้าน ดนตรีไทย
มากเช่นกัน พระองค์ได้พระราชนิพนธ์ เพลงไทยที่ไพเราะไว้ถึง 3เพลง คือเพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง 3
ชั้ น เ พ ล ง เ ข ม ร ล อ ย อ ง ค์ ( เ ถ า ) แ ล ะ เ พ ล ง ร า ต รี ป ร ะ ดั บ ด า ว ( เ ถ า )
พระองค์และพระราชินีได้โปรดให้ครูดนตรีเข้าไปถวายการสอนดนตรีในวัง แต่เป็ นที่น่าเสียดาย
ที่ระยะเวลาแห่งการครองราชย์ของพระองค์ไม่นาน เนื่องมาจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
และพระองค์ทรงสละราชบัลลังก์หลังจากนั้นได้ 2ปี มิฉะนั้นแล้ว ดนตรีไทย ก็คงจะเจริญรุ่งเรืองมาก
ในสมัยแห่งพระองค์ อย่างไรก็ตามดนตรีไทยในสมัยรัชกาลนี้ นับว่าได้พัฒนารูปแบบ และลักษณะ
ม าจ น ก ร ะ ทั่ ง ส ม บู ร ณ์ เป็ น แ บ บ แ ผ น ดัง เช่น ใ น ปั จ จุ บั น นี้ แ ล้ วจ ะ เ ห็ น ได้ ว่า
ใน สมัยสมบูรณาญาสิ ทธิราช มีผู้นิ ยมดนตรีไทยกันมาก และมีผู้มีฝี มือ ทางดนตรี ตลอดจน
มีความคิดปรับปรุงเปลี่ยน แปลง ให้พัฒน าก้าวหน้ามาตามลาดับ พ ระมหากษัตริย์ เจ้าน าย
ตลอดจนขุนนางผู้ใหญ่ได้ให้ความอุปถัมภ์และทานุบารุงดนตรีไทยในวังต่าง ๆ มักจะมีวงดนตรีประจาวัง
เช่น วง วังบู รพ า วง วัง บางขุน พ รหม วงวัง บาง คอแห ลม และ วง วัง ปลายเนิ น เป็ น ต้น
แต่ละวงต่างก็ขวนขวายหาครูดนตรี และนักดนตรีที่มีฝีมือเข้ามาประจาวง มีการฝึกซ้อมกันอยู่เนืองนิจ
บ าง ค รั้ ง ก็ มีก าร ป ร ะ ก ว ด ป ร ะ ชั น กัน จึ ง ท า ใ ห้ ด น ต รี ไ ท ย เจ ริ ญ เฟื่ อ ง ฟู ม า ก
ต่อมาภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475เป็นต้นมาดนตรีไทยเริ่มซบเซาลง อาจกล่าวได้ว่า
เป็นสมัยหัวเลี้ยวหัวต่อที่ดนตรีไทยเกือบจะถึงจุดจบ เนื่องจากรัฐบาลในสมัยหนึ่งมีนโยบายทีเรียกว่า
"รัฐนิยม" ซึ่งนโยบายนี้ มีผลกระทบต่อ ดนตรีไทย ด้วยกล่าวคือมีการห้ามบรรเลง ดนตรีไทย เพราะเห็นว่า
ไม่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ ให้ทัดเทียมกับอารยประเทศ ใครจะจัดให้มีการบรรเลง ดนตรีไทย
ต้องขออนุญาต จากทางราชการก่อน อีกทั้ง นักดนตรีไท ยก็จะต้องมีบัตรนักดนตรีที่ทางราชการออกให้
จนกระทั่งต่อมาอีกห ลายปี เมื่อได้มี การสั่งยกเลิก "รัฐนิยม" ดังกล่าวเสียแต่ถึงกระนั้นก็ตาม
ดนตรีไทยก็ไม่รุ่งเรืองเท่าแต่ก่อน ยังล้มลุกคลุกคลาน มาจน กระทั่งบัดนี้ เนื่ องจากวิถีชีวิต
และสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมวัฒนธรรมทางดนตรีของต่างชาติได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจาวัน
ของ คน ไท ยเป็ น อัน มาก ดน ตรี ที่เราได้ยิน ได้ฟั ง และ ได้เห็ น กัน ทาง วิท ยุ โทรทัศ น์
หรือที่บรรเลงตามงานต่างๆ โดยมากก็เป็นดนตรีของต่างชาติ หาใช่"เสียงพาทย์เสียงพิณ" ดังแต่ก่อนไม่
ถึงแม้ว่าจะเป็ นที่น่ายินดีที่เราได้มีโอกาสฟังดนตรีนานาชาตินานาชนิด แต่ถ้าดนตรีไทยถูกทอดทิ้ง
และไม่มีใครรู้จักคุณค่าก็นับว่าเสียดายที่จะต้องสูญเสียสิ่งที่ดีงามซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติอย่างหนึ่งไป
ดั ง นั้ น จึ ง ค ว ร ที่ ค น ไ ท ย ทุ ก ค น จ ะ ไ ด้ ต ร ะ ห นั ก ถึ ง คุ ณ ค่ า ข อ ง ด น ต รี ไ ท ย
และช่วยกันทะนุบารุงส่งเสริมและรักษาไว้ เพื่อเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติสืบต่อไป

More Related Content

What's hot

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 ศ 32101 วิชาดนตรี ม.5 ครูอภิชิต กลีบม่วง
แผนการจัดการเรียนรู้ที่  1 ศ 32101 วิชาดนตรี ม.5  ครูอภิชิต กลีบม่วงแผนการจัดการเรียนรู้ที่  1 ศ 32101 วิชาดนตรี ม.5  ครูอภิชิต กลีบม่วง
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 ศ 32101 วิชาดนตรี ม.5 ครูอภิชิต กลีบม่วง
อภิชิต กลีบม่วง
 
ตัวอย่างโครงงานชนะเลิศ
ตัวอย่างโครงงานชนะเลิศตัวอย่างโครงงานชนะเลิศ
ตัวอย่างโครงงานชนะเลิศsariya25
 
ดนตรีไทยสมัยสุโขทัย
ดนตรีไทยสมัยสุโขทัยดนตรีไทยสมัยสุโขทัย
ดนตรีไทยสมัยสุโขทัย
PitchyJelly Matee
 
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
เพ็ญลักษณ์ สุวรรณาโชติ
 
Key of 2 อาณาจักรโบราณ-57
Key of 2 อาณาจักรโบราณ-57Key of 2 อาณาจักรโบราณ-57
Key of 2 อาณาจักรโบราณ-57Pracha Wongsrida
 
การศึกษาโครงสร้างดอกลิลลี่ ดอกประทัดจีน และดอกปีบ จัดทำโดยนักเรียนระดับชั้นม....
การศึกษาโครงสร้างดอกลิลลี่ ดอกประทัดจีน และดอกปีบ จัดทำโดยนักเรียนระดับชั้นม....การศึกษาโครงสร้างดอกลิลลี่ ดอกประทัดจีน และดอกปีบ จัดทำโดยนักเรียนระดับชั้นม....
การศึกษาโครงสร้างดอกลิลลี่ ดอกประทัดจีน และดอกปีบ จัดทำโดยนักเรียนระดับชั้นม....
PimlapusBoonsuphap
 
อิเหนา
อิเหนาอิเหนา
อิเหนา
Warodom Techasrisutee
 
แผนวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
แผนวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาแผนวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
แผนวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
Thongsawan Seeha
 
รำวงมาตรฐาน ใช้สอน ปี 2557
รำวงมาตรฐาน ใช้สอน ปี 2557รำวงมาตรฐาน ใช้สอน ปี 2557
รำวงมาตรฐาน ใช้สอน ปี 2557Panomporn Chinchana
 
วิวัฒนาการการศึกษาไทยและการศึกษาโลก
วิวัฒนาการการศึกษาไทยและการศึกษาโลกวิวัฒนาการการศึกษาไทยและการศึกษาโลก
วิวัฒนาการการศึกษาไทยและการศึกษาโลก
Chainarong Maharak
 
ประวัติศาสตร์สุโขทัย
ประวัติศาสตร์สุโขทัยประวัติศาสตร์สุโขทัย
ประวัติศาสตร์สุโขทัย
chatsawat265
 
นิราศนรินทร์คำโคลง
นิราศนรินทร์คำโคลงนิราศนรินทร์คำโคลง
นิราศนรินทร์คำโคลง
Surapong Klamboot
 
รายงานทางวิชาการเรื่อง หัวใจชายหนุ่ม
รายงานทางวิชาการเรื่อง หัวใจชายหนุ่มรายงานทางวิชาการเรื่อง หัวใจชายหนุ่ม
รายงานทางวิชาการเรื่อง หัวใจชายหนุ่มGuntima NaLove
 
เสียงในภาษาไทย
เสียงในภาษาไทยเสียงในภาษาไทย
เสียงในภาษาไทย
นางอรสา บุญยาพงษ์
 
พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)51
พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)51พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)51
พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)51
Krusupharat
 
การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance)
การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance)การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance)
การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance)
sudoooooo
 
ราก (T)
ราก (T)ราก (T)
ราก (T)
Thitaree Samphao
 
เอกสารประกอบการเรียน ชุดที่ 1-ประวัติบุคคลสำคัญในนาฏศิลป์และการแสดง
เอกสารประกอบการเรียน ชุดที่ 1-ประวัติบุคคลสำคัญในนาฏศิลป์และการแสดงเอกสารประกอบการเรียน ชุดที่ 1-ประวัติบุคคลสำคัญในนาฏศิลป์และการแสดง
เอกสารประกอบการเรียน ชุดที่ 1-ประวัติบุคคลสำคัญในนาฏศิลป์และการแสดง
ครูเย็นจิตร บุญศรี
 

What's hot (20)

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 ศ 32101 วิชาดนตรี ม.5 ครูอภิชิต กลีบม่วง
แผนการจัดการเรียนรู้ที่  1 ศ 32101 วิชาดนตรี ม.5  ครูอภิชิต กลีบม่วงแผนการจัดการเรียนรู้ที่  1 ศ 32101 วิชาดนตรี ม.5  ครูอภิชิต กลีบม่วง
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 ศ 32101 วิชาดนตรี ม.5 ครูอภิชิต กลีบม่วง
 
ตัวอย่างโครงงานชนะเลิศ
ตัวอย่างโครงงานชนะเลิศตัวอย่างโครงงานชนะเลิศ
ตัวอย่างโครงงานชนะเลิศ
 
ดนตรีไทยสมัยสุโขทัย
ดนตรีไทยสมัยสุโขทัยดนตรีไทยสมัยสุโขทัย
ดนตรีไทยสมัยสุโขทัย
 
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
 
Key of 2 อาณาจักรโบราณ-57
Key of 2 อาณาจักรโบราณ-57Key of 2 อาณาจักรโบราณ-57
Key of 2 อาณาจักรโบราณ-57
 
การศึกษาโครงสร้างดอกลิลลี่ ดอกประทัดจีน และดอกปีบ จัดทำโดยนักเรียนระดับชั้นม....
การศึกษาโครงสร้างดอกลิลลี่ ดอกประทัดจีน และดอกปีบ จัดทำโดยนักเรียนระดับชั้นม....การศึกษาโครงสร้างดอกลิลลี่ ดอกประทัดจีน และดอกปีบ จัดทำโดยนักเรียนระดับชั้นม....
การศึกษาโครงสร้างดอกลิลลี่ ดอกประทัดจีน และดอกปีบ จัดทำโดยนักเรียนระดับชั้นม....
 
อิเหนา
อิเหนาอิเหนา
อิเหนา
 
หน่วย 1
หน่วย 1หน่วย 1
หน่วย 1
 
แผนวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
แผนวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาแผนวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
แผนวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
 
รำวงมาตรฐาน ใช้สอน ปี 2557
รำวงมาตรฐาน ใช้สอน ปี 2557รำวงมาตรฐาน ใช้สอน ปี 2557
รำวงมาตรฐาน ใช้สอน ปี 2557
 
วิวัฒนาการการศึกษาไทยและการศึกษาโลก
วิวัฒนาการการศึกษาไทยและการศึกษาโลกวิวัฒนาการการศึกษาไทยและการศึกษาโลก
วิวัฒนาการการศึกษาไทยและการศึกษาโลก
 
ประวัติศาสตร์สุโขทัย
ประวัติศาสตร์สุโขทัยประวัติศาสตร์สุโขทัย
ประวัติศาสตร์สุโขทัย
 
นิราศนรินทร์คำโคลง
นิราศนรินทร์คำโคลงนิราศนรินทร์คำโคลง
นิราศนรินทร์คำโคลง
 
เอกสารประกอบการเรียนเล่ม1
เอกสารประกอบการเรียนเล่ม1เอกสารประกอบการเรียนเล่ม1
เอกสารประกอบการเรียนเล่ม1
 
รายงานทางวิชาการเรื่อง หัวใจชายหนุ่ม
รายงานทางวิชาการเรื่อง หัวใจชายหนุ่มรายงานทางวิชาการเรื่อง หัวใจชายหนุ่ม
รายงานทางวิชาการเรื่อง หัวใจชายหนุ่ม
 
เสียงในภาษาไทย
เสียงในภาษาไทยเสียงในภาษาไทย
เสียงในภาษาไทย
 
พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)51
พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)51พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)51
พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)51
 
การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance)
การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance)การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance)
การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance)
 
ราก (T)
ราก (T)ราก (T)
ราก (T)
 
เอกสารประกอบการเรียน ชุดที่ 1-ประวัติบุคคลสำคัญในนาฏศิลป์และการแสดง
เอกสารประกอบการเรียน ชุดที่ 1-ประวัติบุคคลสำคัญในนาฏศิลป์และการแสดงเอกสารประกอบการเรียน ชุดที่ 1-ประวัติบุคคลสำคัญในนาฏศิลป์และการแสดง
เอกสารประกอบการเรียน ชุดที่ 1-ประวัติบุคคลสำคัญในนาฏศิลป์และการแสดง
 

Similar to ยุคสมัยของดนตรีไทย

งานคอมเครื่องดนตรีไทย
งานคอมเครื่องดนตรีไทยงานคอมเครื่องดนตรีไทย
งานคอมเครื่องดนตรีไทย
Chattharika Kongkom
 
สังคีตวิทยา.docx
สังคีตวิทยา.docxสังคีตวิทยา.docx
สังคีตวิทยา.docx
pinglada1
 
ดนตรี ม.3
ดนตรี ม.3ดนตรี ม.3
ดนตรี ม.3Kruanchalee
 
ดนตรีไทยสมัยอยุธยาและธนบุรี
ดนตรีไทยสมัยอยุธยาและธนบุรีดนตรีไทยสมัยอยุธยาและธนบุรี
ดนตรีไทยสมัยอยุธยาและธนบุรีวิริยะ ทองเต็ม
 
ประวัติดนตรีไทย
ประวัติดนตรีไทยประวัติดนตรีไทย
ประวัติดนตรีไทย
Username700
 
ประวัติความเป็นมาของกีตาร์
ประวัติความเป็นมาของกีตาร์ประวัติความเป็นมาของกีตาร์
ประวัติความเป็นมาของกีตาร์kruood
 
เอกสารสังคีตนิยม
เอกสารสังคีตนิยมเอกสารสังคีตนิยม
เอกสารสังคีตนิยม
Ruz' Glaow
 
ใบความรู้ ดนตรีไทย กศน
ใบความรู้ ดนตรีไทย กศนใบความรู้ ดนตรีไทย กศน
ใบความรู้ ดนตรีไทย กศน
peter dontoom
 
การประยุกต์ดนตรีไทยกับดนตรีสากล
การประยุกต์ดนตรีไทยกับดนตรีสากลการประยุกต์ดนตรีไทยกับดนตรีสากล
การประยุกต์ดนตรีไทยกับดนตรีสากล
Thanakrit Muangjun
 
แบบการเรียนรู้ศิลปะ ม.ต้น กศน
แบบการเรียนรู้ศิลปะ ม.ต้น กศนแบบการเรียนรู้ศิลปะ ม.ต้น กศน
แบบการเรียนรู้ศิลปะ ม.ต้น กศน
peter dontoom
 
งาน ปุ๋ย
งาน ปุ๋ยงาน ปุ๋ย
งาน ปุ๋ย
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
 

Similar to ยุคสมัยของดนตรีไทย (20)

ดนตรีไทยสมัยรัตน
ดนตรีไทยสมัยรัตนดนตรีไทยสมัยรัตน
ดนตรีไทยสมัยรัตน
 
งานคอมเครื่องดนตรีไทย
งานคอมเครื่องดนตรีไทยงานคอมเครื่องดนตรีไทย
งานคอมเครื่องดนตรีไทย
 
Generation
GenerationGeneration
Generation
 
สังคีตวิทยา.docx
สังคีตวิทยา.docxสังคีตวิทยา.docx
สังคีตวิทยา.docx
 
วงแตรวง และวงโยธวาทิต
วงแตรวง และวงโยธวาทิตวงแตรวง และวงโยธวาทิต
วงแตรวง และวงโยธวาทิต
 
วงแตรวง และวงโยธวาทิต
วงแตรวง และวงโยธวาทิตวงแตรวง และวงโยธวาทิต
วงแตรวง และวงโยธวาทิต
 
ดนตรี ม.3
ดนตรี ม.3ดนตรี ม.3
ดนตรี ม.3
 
ดนตรีไทยสมัยอยุธยาและธนบุรี
ดนตรีไทยสมัยอยุธยาและธนบุรีดนตรีไทยสมัยอยุธยาและธนบุรี
ดนตรีไทยสมัยอยุธยาและธนบุรี
 
ประวัติดนตรีไทย
ประวัติดนตรีไทยประวัติดนตรีไทย
ประวัติดนตรีไทย
 
ประวัติดนตรีไทย 56
ประวัติดนตรีไทย 56ประวัติดนตรีไทย 56
ประวัติดนตรีไทย 56
 
Music
MusicMusic
Music
 
ประวัติความเป็นมาของกีตาร์
ประวัติความเป็นมาของกีตาร์ประวัติความเป็นมาของกีตาร์
ประวัติความเป็นมาของกีตาร์
 
เอกสารสังคีตนิยม
เอกสารสังคีตนิยมเอกสารสังคีตนิยม
เอกสารสังคีตนิยม
 
ใบความรู้ ดนตรีไทย กศน
ใบความรู้ ดนตรีไทย กศนใบความรู้ ดนตรีไทย กศน
ใบความรู้ ดนตรีไทย กศน
 
การประยุกต์ดนตรีไทยกับดนตรีสากล
การประยุกต์ดนตรีไทยกับดนตรีสากลการประยุกต์ดนตรีไทยกับดนตรีสากล
การประยุกต์ดนตรีไทยกับดนตรีสากล
 
นายเอื้อ สุนทรสนาน
นายเอื้อ สุนทรสนานนายเอื้อ สุนทรสนาน
นายเอื้อ สุนทรสนาน
 
พระเจนดุริยางค์
พระเจนดุริยางค์พระเจนดุริยางค์
พระเจนดุริยางค์
 
แบบการเรียนรู้ศิลปะ ม.ต้น กศน
แบบการเรียนรู้ศิลปะ ม.ต้น กศนแบบการเรียนรู้ศิลปะ ม.ต้น กศน
แบบการเรียนรู้ศิลปะ ม.ต้น กศน
 
มอญศึกษา
มอญศึกษามอญศึกษา
มอญศึกษา
 
งาน ปุ๋ย
งาน ปุ๋ยงาน ปุ๋ย
งาน ปุ๋ย
 

More from อัญชลี เมฆวิบูลย์

ความสัมพันธ์ของดนตรีไทยกับเพื่อนบ้าน
ความสัมพันธ์ของดนตรีไทยกับเพื่อนบ้านความสัมพันธ์ของดนตรีไทยกับเพื่อนบ้าน
ความสัมพันธ์ของดนตรีไทยกับเพื่อนบ้าน
อัญชลี เมฆวิบูลย์
 
สายที่ 1
สายที่  1สายที่  1
วิธีการสร้าง Blog โดยใช้ wordpress
วิธีการสร้าง Blog โดยใช้ wordpressวิธีการสร้าง Blog โดยใช้ wordpress
วิธีการสร้าง Blog โดยใช้ wordpress
อัญชลี เมฆวิบูลย์
 

More from อัญชลี เมฆวิบูลย์ (10)

ความสัมพันธ์ของดนตรีไทยกับเพื่อนบ้าน
ความสัมพันธ์ของดนตรีไทยกับเพื่อนบ้านความสัมพันธ์ของดนตรีไทยกับเพื่อนบ้าน
ความสัมพันธ์ของดนตรีไทยกับเพื่อนบ้าน
 
สายที่ 1
สายที่  1สายที่  1
สายที่ 1
 
Obeclms
ObeclmsObeclms
Obeclms
 
Obeclms
ObeclmsObeclms
Obeclms
 
Elements
ElementsElements
Elements
 
Abstrac malee 2555
Abstrac malee 2555Abstrac malee 2555
Abstrac malee 2555
 
Abstrac supun 2555
Abstrac supun 2555Abstrac supun 2555
Abstrac supun 2555
 
วิธีการสร้าง Blog โดยใช้ wordpress1
วิธีการสร้าง Blog โดยใช้ wordpress1วิธีการสร้าง Blog โดยใช้ wordpress1
วิธีการสร้าง Blog โดยใช้ wordpress1
 
วิธีการสร้าง Blog โดยใช้ wordpress
วิธีการสร้าง Blog โดยใช้ wordpressวิธีการสร้าง Blog โดยใช้ wordpress
วิธีการสร้าง Blog โดยใช้ wordpress
 
ทดสอบ Upload
ทดสอบ  Uploadทดสอบ  Upload
ทดสอบ Upload
 

ยุคสมัยของดนตรีไทย

  • 1. 1หน่วยการเรียนรู้ เรื่องยุสมัยของดนตรีไทย ยุคสมัยของดนตรีไทย ดนตรีไทยในแต่ละยุคสมัย ประวัติดนตรีไทยในสมัยต่างๆ นับตั้งแต่ไทยได้มาตั้งถิ่นฐานในแหลมอินโดจีน และได้ก่อตั้งอาณาจักรไทยขึ้น จึงเป็นการเริ่มต้น ยุค แ ห่ ง ป ระ วัติ ศ าส ต ร์ ไ ท ย ที่ ป ราก ฎ ห ลัก ฐ าน เป็ น ล ายลัก ษ ณ์ อัก ษ ร ก ล่าวคื อ เมื่อไทยได้สถาปน าอาณ าจักรสุ โขทัยขึ้ น และ ห ลัง จากที่ พ่อขุน รามคาแห ง มห าราช ได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้แล้ว นับตั้งแต่นั้นมาจึงปรากฎหลักฐานด้าน ดนตรีไทย ที่เป็นลายลักษณ์อักษร ทั้ง ใน ห ลักศิลาจารึ ก ห นัง สื อวรรณ คดี และ เอกส ารทาง ประ วัติศาส ตร์ ใ น แต่ละ ยุค ซึ่งสามารถนามาเป็ นหลักฐานในการพิจารณา ถึงความเจริญและวิวัฒนาการของ ดนตรีไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย เป็นต้นมา จนกระทั่งเป็นแบบแผนดังปรากฎ ในปัจจุบัน พอสรุปได้ดังต่อไปนี้ สมัยสุโขทัย ดนตรีไทย มีลักษณะเป็นการขับลานา และร้องเล่นกันอย่างพื้นเมือง เกี่ยวกับ เครื่องดนตรีไทย ในสมัยนี้ ปรากฎหลักฐานกล่าวถึงไว้ในหนังสือ ไตรภูมิพระร่วง ซึ่งเป็นหนังสือวรรณคดี ที่แต่งในสมัยนี้ ได้แก่แตร, สังข์, มโหระทึก, ฆ้อง, กลอง, ฉิ่ง, แฉ่ง (ฉาบ), บัณเฑาะว์พิณ, ซอพุงตอ (สันนิษฐานว่าคือ ซอสามสาย) ปี่ไฉน, ระฆัง, และ กังสดาล เป็นต้น ลักษณะการผสม วงดนตรี ก็ปรากฎหลักฐานทั้งในศิลาจารึก และหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึง "เสียงพาทย์ เสียงพิณ" ซึ่งจากหลักฐานที่กล่าวนี้ สันนิษฐานว่า วงดนตรีไทย ในสมัยสุโขทัย มีดังนี้ คือ 1. วงบรรเลงพิณ มีผู้บรรเลง 1คน ทาหน้าที่ดีดพิณและขับร้องไปด้วย เป็นลักษณะของการขับลานา 2. วงขับไม้ ประกอบด้วยผู้บรรเลง 3 คน คือ คนขับลานา 1 คน คนสี ซอสามสาย คลอเสียงร้อง 1คน และ คนไกว บัณเฑาะว์ให้จังหวะ 1คน 3. วงปี่พาทย์ เป็นลักษณะของวงปี่พาทย์เครื่อง 5 มี2 ชนิดคือ วงปี่พาทย์เครื่องห้า อย่างเบา ประกอบด้วยเครื่องดนตรีชนิดเล็ก ๆ จานวน 5 ชิ้น คือ 1. ปี่ 2. กลองชาตรี 3. ทับ (โทน) 4. ฆ้องคู่และ 5. ฉิ่ง ใช้บรรเลงประกอบการแสดง ละครชาตรี (เป็นละครเก่าแก่ที่สุดของไทย)
  • 2. 2หน่วยการเรียนรู้ เรื่องยุสมัยของดนตรีไทย วงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างหนัก ประกอบด้วย เครื่องดนตรีจานวน 5ชิ้น คือ 1.ปี่ใน 2.ฆ้องวง (ใหญ่) 3. ตะโพน 4.กลองทัดและ 5.ฉิ่ง ใช้บรรเลงประโคมในงานพิธีและบรรเลงประกอบการแสดงมหรสพ ต่าง ๆ จะเห็นว่า วงปี่พาทย์เครื่องห้า ในสมัยนี้ยังไม่มีระนาดเอก 4.วงมโหรี เป็นลักษณะของวงดนตรีอีกแบบหนึ่ง ที่นาเอา วงบรรเลงพิณ กับ วงขับไม้มาผสมกัน เป็นลักษณะของ วงมโหรีเครื่องสี่ เพราะประกอบด้วยผู้บรรเลง 4คน คือ 1.คนขับลานาและตี กรับพวง ให้จังหวะ 2. คนสี ซอสามสาย คลอเสียงร้อง 3. คนดีดพิณ และ 4. คนตีทับ (โทน) ควบคุมจังหวะ สมัยกรุงศรีอยุธยา ปรากฎหลักฐานเกี่ยวกับ ดนตรีไทย ในสมัยนี้ ในกฏมลเฑียรบาล ซึ่งระบุชื่อเครื่องดนตรีไทย เพิ่มขึ้น จากที่เคยระบุไว้ในหลักฐาน สมัยสุโขทัยจึงน่าจะเป็น เครื่องดนตรี ที่เพิ่งเกิดในสมัยนี้ ได้แก่กระจับปี่ ขลุ่ย จะเข้และ รามะนา นอกจากนี้ในกฎมณเฑียรบาลสมัย สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031) ปรากฎข้อห้ามตอนหนึ่ งว่า "...ห้ามร้องเพลงเรือ เป่าขลุ่ย เป่าปี่ สีซอ ดีดกระจับปี่ ดีดจะเข้ ตีโทนทับ ในเขตพระราชฐาน..." ซึ่งแสดงว่าสมัยนี้ ดนตรีไทย เป็ นที่นิยมกันมาก แม้ในเขตพระราชฐาน ก็ มี ค น ไ ป ร้ อ ง เ พ ล ง แ ล ะ เ ล่ น ด น ต รี กั น เ ป็ น ที่ เ อิ ก เ ก ริ ก แ ล ะ เ กิ น พ อ ดี จนกระทั่งพระมหากษัตริย์ต้องทรงออกกฎมลเฑียรบาล ดังกล่าวขึ้นไว้เกี่ยวกับลักษณะของ วงดนตรีไทย ในสมัยนี้มีการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาขึ้นกว่าในสมัยสุโขทัย ดังนี้ คือ 1.วงปี่พาทย์ในสมัยนี้ ก็ยังคงเป็น วงปี่พาทย์เครื่องห้า เช่นเดียวกับในสมัยสุโขทัยแต่มีระนาดเอก เพิ่มขึ้น ดังนั้น วงปี่พาทย์เครื่องห้า ในสมัยนี้ประกอบด้วยเครื่องดนตรี ดังต่อไปนี้ คือ ระนาดเอก ปี่ใน ฆ้องวง (ใหญ่) กลองทัด ตะโพน ฉิ่ง 2.วงมโหรี ในสมัยนี้ พัฒนามาจาก วงมโหรีเครื่องสี่ ในสมัยสุโขทัยเป็น วงมโหรีเครื่องหก เพราะได้เพิ่มเครื่องดนตรี เข้าไปอีก 2ชิ้น คือ ขลุ่ย และ รามะนา ทาให้ วงมโหรี ในสมัยนี้ ประกอบด้วย เครื่องดนตรี จานวน 6ชิ้น คือ ซอสามสาย กระจับปี่ (แทนพิณ) ทับ (โทน) รามะนา ขลุ่ย กรับพวง สมัยกรุงธนบุรี เ นื่ อ ง จ า ก ใ น ส มั ย นี้ เ ป็ น ช่ ว ง ร ะ ย ะ เ ว ล า อั น สั้ น เ พี ย ง แ ค่ 15 ปี และประ กอบกับเป็ น สมัยแห่งการก่อร่างสร้างเมือง และการป้องกัน ประเทศเสี ยโดยมาก
  • 3. 3หน่วยการเรียนรู้ เรื่องยุสมัยของดนตรีไทย วง ดน ตรี ไท ยใ น สมัยนี้ จึงไม่ปรากฎ ห ลักฐาน ไว้ว่า ได้มีการพัฒ น าเป ลี่ยน แป ลงขึ้ น สันนิษฐานว่ายังคงเป็นลักษณะและรูปแบบของดนตรีไทย ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั่นเอง สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยนี้ เมื่อบ้านเมืองได้ผ่านพ้นจากภาวะศึกสงคราม และได้มีการก่อสร้างเมืองให้มั่นคงเป็นปึกแผ่น เกิดความสงบร่มเย็น โดยทั่วไปแล้วศิลป วัฒน ธรรมของช าติก็ได้รับการฟื้ น ฟูทะนุ บารุ ง แ ล ะ ส่ ง เ ส ริ ม ใ ห้ เ จ ริ ญ รุ่ ง เ รื อ ง ขึ้ น โ ด ย เ ฉ พ า ะ ท า ง ด้ า น ด น ต รี ไ ท ย ในสมัยนี้ได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงเจริญขึ้นเป็นลาดับดังต่อไปนี้ คือ สมัยรัชกาลที่ 1ดนตรีไทย ในสมัยนี้ ส่วนใหญ่ ยังคงมีลักษณะ และ รูปแบบตามที่มีมาตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยาที่พัฒนาขึ้นบ้างในสมัยนี้ก็คือ การเพิ่ม กลองทัด ขึ้นอีก 1 ลูกใน วงปี่พาทย์ซึ่ง แต่เดิมมา มีแค่1ลูก พอมาถึง สมัยรัชกาลที่ 1 วงปี่พาทย์ มี กลองทัด 2ลูก เสียงสูง (ตัวผู้) ลูกหนึ่ง และ เสียงต่า (ตัวเมีย) ลูกหนึ่ง และการใช้กลองทัด 2 ลูก ในวงปี่พาทย์ ก็เป็นที่นิยมกันมา จนกระทั่งปัจจุบันนี้ สมัย รัชกาลที่ 2อาจกล่าวว่าในสมัยนี้ เป็ น ยุคทองของ ดน ตรีไทย ยุคหนึ่ ง ทั้งนี้ เพ ราะ องค์พระมหากษัตริย์ ทรงสนพระทัย ดนตรีไทย เป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถ ในทาง ดนตรีไทย ถึงขนาดที่ ทรงดนตรีไทย คือ ซอสามสาย ได้ มีซอคู่พระหัตถ์ชื่อว่า "ซอสายฟ้าฟาด" ทั้งพ ระ องค์ได้ พ ระ ราช นิ พ น ต์ เพ ลงไทย ขึ้น เพ ลงห นึ่ ง เป็ น เพ ลงที่ไพ เราะ และอมตะ มาจนบัดนี้ นั่นก็คือเพลง "บุหลันลอยเลื่อน" การพัฒนา เปลี่ยนแปลงของ ดนตรีไทย ในสมัยนี้ก็คือ ได้มีการน าเอา วง ปี่ พ าท ย์มาบรรเลง ป ระ กอบ การขับ เส ภ า เป็ น ครั้ งแรก น อกจากนี้ ยังมีกลองชนิดหนึ่งเกิดขึ้น โดยดัดแปลงจาก "เปิงมาง" ของมอญ ต่อมาเรียกกลองชนิดนี้ว่า"สองหน้า" ใช้ตีกากับจังหวะแทนเสียงตะโพนในวงปี่พาทย์ประกอบการขับเสภา เนื่องจากเห็นว่าตะโพนดังเกินไป จนกระทั่งกลบเสียงขับ กลองสองหน้านี้ ปัจจุบันนิยมใช้ตีกากับจังหวะหน้าทับ ในวงปี่พาทย์ไม้แข็ง สมัยรัชกาลที่ 3วงปี่พาทย์ได้พัฒนาขึ้นเป็นวงปี่พาทย์เครื่องคู่ เพราะได้มีการประดิษฐ์ระนาดทุ้ม มาคู่กับระนาดเอก และประดิษฐ์ฆ้องวงเล็กมาคู่กับ ฆ้องวงใหญ่ สมัยรัชกาลที่4วงปี่พาทย์ได้พัฒนาขึ้นเป็นวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่เพราะได้มีการประดิษฐ์ เครื่องดนตรี เพิ่ มขึ้ น อีก 2 ช นิ ด เลียน แบ บ ระ น าดเอก และ ระ น าดทุ้ม โดยใ ช้โลหะ ท าลูกระ น าด และทารางระนาดให้แตกต่างไปจากรางระนาดเอก และระนาดทุ้ม (ไม้) เรียกว่า ระนาดเอกเหล็ก
  • 4. 4หน่วยการเรียนรู้ เรื่องยุสมัยของดนตรีไทย แล ะ ระ น าด ทุ้มเห ล็ ก น าม าบ รรเล ง เพิ่ ม ใ น วง ปี่ พ าท ย์เค รื่ อ ง คู่ ท าใ ห้ ข น าด ข อ ง วงปี่ พาทย์ขยายให ญ่ขึ้น จึงเรียกว่า วงปี่ พ าทย์เครื่องใหญ่ อนึ่ งใน สมัยนี้ วงการดน ตรีไทย นิ ยมการร้อ ง เพ ล ง ส่ง ใ ห้ ด น ตรี รับ ห รื อที่ เรี ยก ว่า " การร้อง ส่ง " กัน มากจน ก ระ ทั่ง การขับเสภาซึ่งเคยนิยมกันมาก่อนค่อย ๆ หายไป และการร้องส่งก็เป็นแนวทางให้มีผู้คิดแต่งขยายเพลง 2 ชั้นของเดิมให้เป็ น เพลง 3 ชั้น และตัดลง เป็ นชั้น เดียว จนกระทั่งกลายเป็ นเพลงเถาในที่สุ ด (นับว่าเพลงเถาเกิดขึ้นมากมายในสมัยนี้) นอกจากนี้ วงเครื่องสาย ก็เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลนี้เช่นกัน สมัยรัชกาลที่5ได้มีการปรับปรุงวงปี่พาทย์ขึ้นใหม่ชนิดหนึ่ง ซึ่งต่อมาเรียกว่า"วงปี่พาทย์ดึกดาบรรพ์" โดยสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ สาหรับใช้บรรเลงประกอบการแสดง "ละครดึกดาบรรพ์" ซึ่งเป็น ล ะ ค ร ที่ เ พิ่ ง ป รั บ ป รุ ง ขึ้ น ใ น ส มั ย รั ช ก า ล นี้ เ ช่ น กั น หลักการปรับปรุงของท่าน ก็โดยการตัดเครื่องดนตรีชนิดเสียงเล็กแหลม หรือดังเกินไปออก คงไว้แต่เครื่องดนตรีที่มีเสียงทุ้ม นุ่มนวล กับเพิ่มเครื่องดนตรีบางอย่างเข้ามาใหม่เครื่องดนตรี ในวงปี่พาทย์ดึกดาบรรพ์ จึงประกอบด้วยระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ระนาดทุ้มระนาดทุ้มเหล็ก ขลุ่ย ซออู้ ฆ้องหุ่ย (ฆ้อง 7 ใบ) ตะโพน กลองตะโพน และเครื่องกากับจังหวะ สมัยรัชกาลที่ 6ได้การปรับปรุงวงปี่พาทย์ขึ้นมาอีกชนิดหนึ่ง โดยนาวงดนตรีของมอญมาผสมกับ วงปี่พาทย์ของไทย ต่อมาเรียกวงดนตรีผสมนี้ ว่า "วงปี่พาทย์มอญ" โดยหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) เป็นผู้ปรับปรุงขึ้น วงปี่ พาทย์มอญดังกล่าวนี้ ก็มีทั้งวงปี่พาทย์มอญเครื่องห้า เครื่องคู่ และเครื่องใหญ่เช่นเดียวกับวงปี่พาทย์ของไทย และกลายเป็นที่นิยมใช้บรรเลงประโคมในงานศพ มาจนกระทั่งบัดนี้ นอกจากนี้ยังได้มีการนาเครื่องดนตรีของต่างชาติ เข้ามาบรรเลงผสมกับ วงดนตรีไทย บางชนิดก็นามาดัดแปลงเป็นเครื่องดนตรีของไทยทาให้รูปแบบของ วงดนตรีไทยเปลี่ยนแปลงพัฒนาดังนี้ คือ การนาเครื่องดนตรีของชวา หรืออินโดนีเซีย คือ "อังกะลุง" มาเผยแพร่ในเมืองไทยเป็ นครั้งแรก โดยหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ทั้งนี้โดยนามาดัดแปลง ปรับปรุงขึ้นใหม่ให้มีเสียงครบ 7เสียง (เดิมมี 5 เสี ยง) ปรับปรุงวิธี การเล่น โดยถือเขย่าคน ละ 2 เสี ยง ทาใ ห้เครื่องดน ตรีช นิ ดนี้ กลายเป็ น เครื่ อง ดน ต รีไท ยอีกอย่าง ห นึ่ ง เพ ราะ คน ไทยส ามารถท าอัง กะ ลุง ได้เอ ง อีกทั้ งวิธี ก ารบรรเลง ก็เป็ น แบ บเฉ พ าะ ขอ งเราแต กต่าง ไป จากของ ช วาโดยสิ้ น เชิ ง การนาเครื่องดนตรีของต่างชาติเข้ามาบรรเลงผสมในวงเครื่องสายได้แก่ขิมของจีน และออร์แกนของฝรั่ง ทาให้วงเครื่องสายพัฒนารูปแบบของวงไปอีกลักษณะหนึ่ง คือ "วงเครื่องสาย ผสม"
  • 5. 5หน่วยการเรียนรู้ เรื่องยุสมัยของดนตรีไทย สมัยรัชกาลที่ 7พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสนพระทัยทางด้าน ดนตรีไทย มากเช่นกัน พระองค์ได้พระราชนิพนธ์ เพลงไทยที่ไพเราะไว้ถึง 3เพลง คือเพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง 3 ชั้ น เ พ ล ง เ ข ม ร ล อ ย อ ง ค์ ( เ ถ า ) แ ล ะ เ พ ล ง ร า ต รี ป ร ะ ดั บ ด า ว ( เ ถ า ) พระองค์และพระราชินีได้โปรดให้ครูดนตรีเข้าไปถวายการสอนดนตรีในวัง แต่เป็ นที่น่าเสียดาย ที่ระยะเวลาแห่งการครองราชย์ของพระองค์ไม่นาน เนื่องมาจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และพระองค์ทรงสละราชบัลลังก์หลังจากนั้นได้ 2ปี มิฉะนั้นแล้ว ดนตรีไทย ก็คงจะเจริญรุ่งเรืองมาก ในสมัยแห่งพระองค์ อย่างไรก็ตามดนตรีไทยในสมัยรัชกาลนี้ นับว่าได้พัฒนารูปแบบ และลักษณะ ม าจ น ก ร ะ ทั่ ง ส ม บู ร ณ์ เป็ น แ บ บ แ ผ น ดัง เช่น ใ น ปั จ จุ บั น นี้ แ ล้ วจ ะ เ ห็ น ได้ ว่า ใน สมัยสมบูรณาญาสิ ทธิราช มีผู้นิ ยมดนตรีไทยกันมาก และมีผู้มีฝี มือ ทางดนตรี ตลอดจน มีความคิดปรับปรุงเปลี่ยน แปลง ให้พัฒน าก้าวหน้ามาตามลาดับ พ ระมหากษัตริย์ เจ้าน าย ตลอดจนขุนนางผู้ใหญ่ได้ให้ความอุปถัมภ์และทานุบารุงดนตรีไทยในวังต่าง ๆ มักจะมีวงดนตรีประจาวัง เช่น วง วังบู รพ า วง วัง บางขุน พ รหม วงวัง บาง คอแห ลม และ วง วัง ปลายเนิ น เป็ น ต้น แต่ละวงต่างก็ขวนขวายหาครูดนตรี และนักดนตรีที่มีฝีมือเข้ามาประจาวง มีการฝึกซ้อมกันอยู่เนืองนิจ บ าง ค รั้ ง ก็ มีก าร ป ร ะ ก ว ด ป ร ะ ชั น กัน จึ ง ท า ใ ห้ ด น ต รี ไ ท ย เจ ริ ญ เฟื่ อ ง ฟู ม า ก ต่อมาภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475เป็นต้นมาดนตรีไทยเริ่มซบเซาลง อาจกล่าวได้ว่า เป็นสมัยหัวเลี้ยวหัวต่อที่ดนตรีไทยเกือบจะถึงจุดจบ เนื่องจากรัฐบาลในสมัยหนึ่งมีนโยบายทีเรียกว่า "รัฐนิยม" ซึ่งนโยบายนี้ มีผลกระทบต่อ ดนตรีไทย ด้วยกล่าวคือมีการห้ามบรรเลง ดนตรีไทย เพราะเห็นว่า ไม่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ ให้ทัดเทียมกับอารยประเทศ ใครจะจัดให้มีการบรรเลง ดนตรีไทย ต้องขออนุญาต จากทางราชการก่อน อีกทั้ง นักดนตรีไท ยก็จะต้องมีบัตรนักดนตรีที่ทางราชการออกให้ จนกระทั่งต่อมาอีกห ลายปี เมื่อได้มี การสั่งยกเลิก "รัฐนิยม" ดังกล่าวเสียแต่ถึงกระนั้นก็ตาม ดนตรีไทยก็ไม่รุ่งเรืองเท่าแต่ก่อน ยังล้มลุกคลุกคลาน มาจน กระทั่งบัดนี้ เนื่ องจากวิถีชีวิต และสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมวัฒนธรรมทางดนตรีของต่างชาติได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจาวัน ของ คน ไท ยเป็ น อัน มาก ดน ตรี ที่เราได้ยิน ได้ฟั ง และ ได้เห็ น กัน ทาง วิท ยุ โทรทัศ น์ หรือที่บรรเลงตามงานต่างๆ โดยมากก็เป็นดนตรีของต่างชาติ หาใช่"เสียงพาทย์เสียงพิณ" ดังแต่ก่อนไม่ ถึงแม้ว่าจะเป็ นที่น่ายินดีที่เราได้มีโอกาสฟังดนตรีนานาชาตินานาชนิด แต่ถ้าดนตรีไทยถูกทอดทิ้ง และไม่มีใครรู้จักคุณค่าก็นับว่าเสียดายที่จะต้องสูญเสียสิ่งที่ดีงามซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติอย่างหนึ่งไป ดั ง นั้ น จึ ง ค ว ร ที่ ค น ไ ท ย ทุ ก ค น จ ะ ไ ด้ ต ร ะ ห นั ก ถึ ง คุ ณ ค่ า ข อ ง ด น ต รี ไ ท ย และช่วยกันทะนุบารุงส่งเสริมและรักษาไว้ เพื่อเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติสืบต่อไป