More Related Content
Similar to บทนำ โรคอ้วน (20)
บทนำ โรคอ้วน
- 1. บทที่ 1
บทนา
1.1 ที่มาและความสาคัญ
ปัจจุบันปัญหาโรคอ้วนเป็นปัญหาระดับโลกเพราะเกือบทุกประเทศจะมีผู้ป่วยที่เป็นโรคอ้วน เป็น
จานวนมากสาเหตุเนื่องมาจาก การบริโภคอาหารที่มากจนเกินความต้องการของร่างกาย จะเป็นมากในวัย
ทางานเพราะ ทางานจนดึกไม่มีเวลาออกกาลังกาย เวลาเลิกงานถึงบ้าน ก็รับประทานอาหารแล้วเข้านอนเลย
ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม อาจทาให้เกินไขมันสะสมในร่างกาย ทาให้เกิดโรคอ้วน และในวัยเด็ก
นักเรียนก็ประสบปัญหาเรื่องโรคอ้วนด้วยเช่นกัน
กลุ่มของข้าพเจ้าจึงต้องการศึกษาว่า ประชากรในโรงเรียนที่เป็นเด็กนักเรียน ว่ามีใครเข้าข่ายโรค
อ้วนหรือเป็นโรคอ้วนหรือไม่
1.2 วัตถุประสงค์
สารวจนักเรียนในโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ กาญจนบุรี ว่ามีใครเข้าข่ายหรือ
เป็นโรคอ้วน
1.3 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
ได้รู้จานวนนักเรียนของโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ กาญจนบุรี ที่เข้าข่ายหรือ
เป็นโรคอ้วน
- 2. 1.4หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
1.4.1 ห่วง 3 ห่วง คือทางสายกลาง ประกอบไปด้วย ดังนี้
ห่วงที่ 1 คือ พอประมาณ คือการที่รับประทานอาหารอย่างพอดีไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป
ห่วงที่ 2 คือ มีเหตุผล คือ การตัดสินใจเกี่ยวกับการที่เราจะรับประทานอะไรสักอย่างควรพิจารณาว่า
มีประโยชน์ต่อร่างกายหรือไม่
ห่วงที่ 3 คือ มีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง คือ การรู้จักการบริหารร่างกายให้แข็งแร งและทานอาหารให้
ครบ 5 หมู่เพื่อที่จะป้องกันการเป็นโรคอ้วนในอนาคต
1.4.2 เงื่อนไข 2 เงื่อนไข ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่
เงื่อนไขที่ 1 เงื่อนไขความรู้ คือ มีความรอบรู้เกี่ยวกับ โรคอ้วน ว่าเป็นอันตรายมากเพียงใด มีวิธีการ
รับประทานอาหารที่ถูกต้องตามกระทรวงสาธารณสุข และนาความรู้ไปปฏิบัติตาม
เงื่อนไขที่ 2 เงื่อนไขคุณธรรม คือ มีความตระหนักในการเลือกรับประทานอาหาร
- 3. บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
โรคอ้วน
2.โรคอ้วน (obesity) ปัจจุบันโรคอ้วนนับว่า เป็นโรคที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก องค์การอนามัยโลกถือเป็น
ปัญหาสุขภาพสาคัญปัญหาหนึ่ง ที่จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้ว และ
ประเทศที่กาลังพัฒนา
2.1เกณฑ์การวินิจฉัยโรคอ้วน
วิธีที่ดีที่สุดที่ใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ คือ การชั่งน้าหนัก และวัดส่วนสูง ในผู้ใหญ่ ซึ่งต้องการทราบความ
เสี่ยงต่อเมแทบอลิกซินโดรม จะวัดขนาดรอบเอวด้วย ตามมาตรฐานกรมอนามัย พ .ศ. 2542 เกณฑ์ที่ใช้ใน
เด็กอายุน้อยกว่า 18 ปี ลงมา ใช้เกณฑ์น้าหนักเทียบกับส่วนสูง ถ้าหากมีน้าหนักต่อส่วนสูงมากกว่าร้อยละ 50
บวกกับ 2 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน จะถือว่า น้าหนักเกิน และหากมากกว่า 50 บวกกับ 3 เท่า ของค่า
เบี่ยงเบนมาตรฐานถือว่าอ้วน เกณฑ์ใช้วัดในผู้ใหญ่ (อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป) ใช้เกณฑ์ดัชนีมวลกาย (body
massindexหรือBMI)ซึ่งมีวิธีคานวณดังนี้
1. ดัชนีมวลกาย BMI (body mass index)
ดัชนีมวลกาย = น้าหนัก (กก/ ).ส่วนสูง(ม). ²
2. วัดเส้นรอบเอว
เส้นรอบเอวที่เหมาะสมสาหรับคนเอเชียคือ ไม่เกิน 90 ซม .ในผู้ชาย และไม่เกิน 80 ซม .ในผู้หญิง
รูปที่ 2.1 ตารางดัชนีมวลกาย
- 4. 2.2สาเหตุที่ทาให้เกิดโรคอ้วน
1.การรับประทานอาหาร หากรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูงเป็นประจา มากกว่าพลังงานที่ใช้ออกไป
จะทาให้น้าหนักเกิน
2.ประเภทของอาหาร โดยเฉพาะผู้ที่ชอบรับประทานอาหารที่มีน้าตาล ไม่ว่าจะเป็นกลูโคส น้าหวาน
เครื่องดื่ม ไวน์ เบียร์
3.โรคต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมไทรอยด์ทางานบกพร่อง โรคเนื้องอกต่อมใต้สมอง หรือต่อมหมวกไตบางชนิด
4.ยา เช่น ยาคุมกาเนิด ยาแก้โรคซึมเศร้า ยารักษาเบาหวาน ยาสเตียรอยด์ ยาลูกกลอน ยาแก้หอบ ยาชุด
5.กรรมพันธุ์
2.3สาเหตุของโรคอ้วน
แบ่งได้เป็น 2 สาเหตุ คือ
2.3.1. โรคอ้วนที่เป็นอาการแสดงของโรคอื่น
พบได้น้อยมาก เมื่อเทียบกับโรคอ้วนทั้งหมด โดยมีสาเหตุดังนี้
1.1 โรคของระบบประสาทส่วนกลาง เช่น เนื้องอกในสมองบางส่วน การเจ็บ หรือติดเชื้อในสมอง
1.2 โรคทางต่อมไร้ท่อ ทาให้มีความผิดปกติของการหลั่งฮอร์โมนบางตัว
1.3 การใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์รักษาโรคบางอย่าง อาจทาให้อ้วนได้
1.4 กลุ่มอาการที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม
โรคเหล่านี้มักพบในเด็ก โดยจะมีลักษณะอ้วนเตี้ย และพบลักษณะผิดปกติอย่างอื่นด้วย ผู้ป่วยจะต้องได้รับ
การรักษาในโรงพยาบาล
2.3.2.โรคอ้วนจากการกินเกิน
เมื่อบริโภคอาหารเข้าไปมากเกินความต้องการของร่างกาย ร่างกายนามาใช้เป็นพลังงานไม่หมด ส่วนที่เกินก็
จะสะสมในรูปของไขมันอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น อวัยวะในช่องท้อง ใต้ผิวหนังหน้าท้อง เมื่อ
สะสมมากขึ้น ก็จะกลายเป็นโรคอ้วน ซึ่งจะพบว่า มีเซลล์ไขมัน (adipocyte) เพิ่มจานวนและเพิ่มขนาดขึ้น
เป็นจานวนมาก
- 5. กลไกการเกิดโรคอ้วน ทาให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมา ดังแสดงในแผนภูมิที่ 1
รูปที่ 2.2 กลไกการเกิดโรคอ้วน
2.3.3สถานการณ์ของโรคอ้วน
ผลจากการสารวจภาวะอาหารและโภชนาการ และการศึกษาวิจัย ซึ่งดาเนินการ โดยหลายสถาบันพบตรงกัน
ว่า ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความชุกของการขาดสารอาหารน้อยลงไปมาก แต่ที่น่าตกใจคือ
ความชุกของโรคอ้วนและภาวะโภชนาการเกินเพิ่มขึ้นอย่างมาก การสารวจภาวะอาหาร และโภชนาการ
ล่าสุด โดยกรมอนามัย ใน พ.ศ. 2546 พบว่า หากใช้ดัชนีมวลกายเป็นตัวชี้วัด ในประชากรที่มีอายุระหว่าง 19
- 59 ปี ในเขตเมือง จะมีภาวะโภชนาการเกินถึงร้อยละ 26.7 และโรคอ้วนร้อยละ 12.1 ในขณะที่ประชากรวัย
เดียวกัน ในเขตชนบท มีภาวะโภชนาการเกินร้อยละ 22.8 และโรคอ้วนร้อยละ 6.6 นอกจากนี้หากใช้เส้น
รอบเอวมาเป็นเกณฑ์ชี้วัด พบว่า ในประชากรอายุ 19 - 59 ปี ทั้งเขตเมือง และชนบทรวมกัน ผู้ชายมีภาวะ
อ้วนลงพุง (เส้นรอบเอวมากกว่า 36 นิ้ว) ร้อยละ 10.7 ผู้หญิงมีภาวะอ้วนลงพุง (เส้นรอบเอวมากกว่า 32 นิ้ว)
ร้อยละ 36.5 สาหรับความชุกของโรคอ้วนในเด็กนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ใน พ.ศ.
2544 แพทย์หญิงสุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ และคณะ ได้ทาการศึกษาวิจัย พบภาวะอ้วนลงพุงร้อยละ 10.2
ในนักเรียนชาย และร้อยละ 13.2 ในนักเรียนหญิง
2.4โรคอ้วนนาไปสู่โรคต่างๆ อย่างไร
ในปัจจุบันการศึกษาวิจัยจากหลายสถาบันทาให้ทราบว่า โรคอ้วน เป็นสาเหตุตั้งต้น ของโรคกลุ่ม
เมแทบอลิกซินโดรม โดยทาให้เกิดอาการและโรคต่างๆ ดังนี้
2.4.1. โรคเบาหวานประเภทที่ 2 (type 2 diabetes)
โรคอ้วนทาให้มีความผิดปกติในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน เชื่อว่า เกิดจากการมี
เซลล์ไขมันมาก และจะมีการย่อยสลายไขมันทาให้เกิดกรดไขมันอิสระ (free fatty acid) ออกมาในกระแส
เลือดมาก และขัดขวางการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งปกติ จะทาหน้าที่รักษาระดับน้าตาลในเลือดให้
- 6. เป็นปกติอยู่เสมอ การศึกษาเกี่ยวกับเมแทบอลิกซินโดรมในเด็ก พบว่า ภาวะนี้ มีความชุกเพิ่มขึ้น ตามความ
รุนแรงของโรคอ้วน ในกลุ่มเด็กที่อ้วนมาก อาจพบเมแทบอลิกซินโดรมได้มากกว่าเด็กปกติ ถึงร้อยละ 50
ในประเทศไทย มีการศึกษาวิจัย ที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ในช่วง พ.ศ. 2539-2542 พบว่า ความชุก
ของโรคอ้วนในเด็กเพิ่มสูงขึ้นมาก และมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการเพิ่มขึ้น ของโรคเบาหวาน
ประเภทที่ 2 ในเด็กอ้วน
2.4.2.โรคไขมันในเลือดผิดปกติ (dyslipidemia)
ภาวะที่พบในคนอ้วน ได้แก่ ไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride) มีระดับสูง แอลดีแอล คอเลสเตอรอล (low
density lipoprotein cholesterol - LDL-C) มีระดับสูงกว่าปกต ส่วนเอชดีแอลคอเลสเตอรอล (high density
lipoprotein cholesterol - HDL-C) มีระดับต่ากว่าปกติ ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดที่มีมากเกินไป จะถูกนาไปเก็บ
สะสม หรือย่อยเป็นกรดไขมันอิสระ ซึ่งมีฤทธิ์เป็นพิษต่อบีตาเซลล์ในตับอ่อน ทาให้เกิดโรคเบาหวาน
นอกจากนั้นระดับไขมันในเลือดสูง ยังทาให้หลอดเลือดอักเสบ ซึ่งนาไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือดต่อไป
2.4.3. โรคความดันโลหิตสูง
เมื่อมีระดับน้าตาลในเลือดสูงและไขมันในเลือดสูง ทาให้หลอดเลือดมีการอักเสบ หรือตีบตัน ความยืดหยุ่น
ของหลอดเลือดเสียไป เป็นผลทาให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง
2.4.4. โรคหัวใจและหลอดเลือด
จากสาเหตุของโรคในข้อ 2 และข้อ 3 หากมีการอักเสบหรือตีบตันในหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ก็ทาให้เกิด
โรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทาให้เสียชีวิตได้ อนึ่ง หากมีการตีบตันของหลอดเลือด ที่ไปเลี้ยง
อวัยวะอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากการที่มีระดับน้าตาลและไขมันในเลือดสูง ก็จะมีผลเสียต่อร่างกาย
เช่นกัน เช่น เส้นเลือดที่สมองตีบ ทาให้เป็นอัมพาต หรืออัมพฤกษ์
2.5ภาวะแทรกซ้อนอื่นของโรคอ้วน
นอกจากโรคอ้วนจะนาไปสู่โรคต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว ยังมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ดังนี้
2.5.1. ความผิดปกติของผิวหนัง
- ผิวหนังมีสีคล้า หรือสีดาคล้า (acanthosis nigricans) ตามข้อพับ คอ รักแร้ ใต้ราวนม อาจมีอาการอักเสบ
ของผิวหนังบริเวณดังกล่าว
- ก้อนไขมันสีเหลือง (xanthoma) ขนาดต่างกัน พบบริเวณข้อเท้า ข้อเข่า หลังเอ็นร้อยหวาย ผู้ที่มีก้อน
ไขมันสีเหลืองจะมีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงมาก และมักพบว่า มีความเสี่ยงต่อภาวะเส้นเลือดหัวใจ
ตีบสูงมาก
2.5.2. ความผิดปกติของกระดูกและข้อ
คนที่อ้วนมากๆ จะพบว่า การเคลื่อนไหวลาบาก และมักมีอาการปวดเข่า เนื่องจาก เข่าต้องรับน้าหนักตัว
มากเกินปกติ นอกจากนั้น ยังมีอาการปวดข้อเท้า ปวดหลัง ในเด็กที่กาลังเจริญเติบโต และมีโรคอ้วนด้วย
อาจพบกระดูกต้นขาโค้งงอ (bowed femur)
- 7. 2.5.3. ความผิดปกติของระบบการหายใจ
คนอ้วนจะมีไขมันหนาที่ใต้ผิวหนังบริเวณทรวงอก ทาให้ช่องอกมีการขยายตัวน้อยกว่าที่ควร และมีไขมัน
ในช่องท้องมาก ทาให้กะบังลมเคลื่อนไหวน้อยลง จึงทาให้มีการหายใจเร็วและตื้น และเกิดอาการหยุด
หายใจขณะหลับ (sleep apnea) ซึ่งเป็นอันตรายมาก
2.5.4. ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ
นอกจากความผิดปกติของระดับอินซูลินแล้ว ยังอาจพบความผิดปกติของฮอร์โมนตัวอื่นๆ ทาให้มีอาการ
จากความผิดปกติของฮอร์โมนนั้นๆ ร่วมด้วย
2.5.5.ความผิดปกติของตับ
คนอ้วนจะมีไขมันอยู่ตามอวัยวะภายในช่องท้อง โดยเฉพาะที่ตับ ซึ่งทาให้เกิดอาการตับอักเสบ หรือตับแข็ง
ในเวลาต่อมาได้
2.5.6. สมรรถภาพในการทางาน
คนอ้วนมักมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคต่างๆ ที่กล่าวข้างต้น ทาให้เหนื่อยง่าย สมรรถภาพในการทางาน
น้อยลงอย่างชัดเจน
2.5.7. บุคลิกภาพ
เด็กอ้วนและผู้ใหญ่อ้วนมักถูกญาติพี่น้องเพื่อนฝูงล้อเลียน ทาให้มีปัญหาทางด้านจิตใจ และในการพัฒนา
บุคลิกภาพได้ โดยอาจเป็นคนชอบเก็บตัว ไม่สนใจสังคม ซึมเศร้า การดูแลช่วยเหลือต้องทาความเข้าใจกับ
ผู้ป่วย ให้ถือว่า ไม่ใช่ปมด้อย แต่เป็นความไม่สมดุลกัน ระหว่างพลังงานที่ได้กับพลังงานที่ใช้ไป ต้อง
กระตุ้นให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค และการออกกาลังกาย โดยชักชวนให้ทาเป็นกลุ่มหรือหมู่คณะ
2.6 แนวทางการดูแลรักษาโรคอ้วน
การดูแลรักษาโรคอ้วนที่ปลอดภัยและได้ผลในระยะยาว คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ในเรื่องการบริโภค
อาหาร และการทากิจกรรมออกกาลังกาย ซึ่งมีหลักการง่ายๆ ดังต่อไปนี้
1.กินอาหารตามโภชนาบัญญัติ 9 ประการ หรือตามธงโภชนาการ
2.ลดอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และน้าตาล รวมทั้งหลีกเลี่ยงอาหารทอด หรืออาหารผัด ที่ใช้น้ามัน
แกงหรือขนม ซึ่งใส่กะทิ เปลี่ยนมาใช้วิธีอบ ต้ม นึ่ง ย่าง เพื่อลดการใช้น้ามันปรุงอาหาร
3. กินอาหารมื้อหลักให้ครบ 3 มื้อ มีอาหารว่างที่ไม่หวานและไม่มีไขมันมาก หากเป็นผลไม้ ควรเป็นผลไม้ที่
ไม่หวาน เช่น มะละกอ ฝรั่ง ชมพู่
4. กินอาหารที่มีกากใยให้เพิ่มขึ้น เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีตจากข้าวสาลี หรือธัญพืชชนิดอื่น ที่ไม่ขัด
สี ผัก ผลไม้
5.ควรออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ โดยประเภทและระยะเวลาในการออกกาลังกาย ต้องปรับตามสภาพ และ
ความพร้อมของร่างกาย
6. การใช้ยา ควรใช้โดยมีแพทย์คอยดูแลอย่างใกล้ชิดเท่านั้น ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง
- 8. รูปที่ 2.3 ตัวอย่างรายการการกิน
2.7กิจกรรมการออกกาลังกาย
1. การเดิน เริ่มเดินช้าๆ ก้าวเท้าให้สม่าเสมอ แกว่งแขนสบายๆ ไปตามจังหวะ เพื่อบริหารกล้ามเนื้อส่วน
ต่างๆ ที่ใช้ในการเดิน ควรสวมรองเท้าที่เหมาะสมสาหรับการเดิน เพราะจะช่วยลดการบาดเจ็บที่ข้อและ
กล้ามเนื้อได้มาก ควรเพิ่มความเร็วของการเดิน และระยะเวลาที่เดินในแต่ละครั้ง ไม่น้อยกว่าครั้งละ ๓๐
นาที จานวน ๓ - ๕ ครั้งต่อสัปดาห์
2.การวิ่งเหยาะๆ หากออกกาลังกายด้วยการเดินแล้วเป็นไปด้วยดี อาจเปลี่ยนเป็นวิ่งเหยาะๆ เพื่อเพิ่มความ
แข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ โดยเริ่มจากระยะเวลาสั้นๆ ก่อน แล้วค่อยเพิ่มตามความเหมาะสมกับสภาพร่างกาย
3. ฝึกโยคะ หรือรามวยจีน หรือราไม้พลอง ควรเริ่มฝึกกับผู้ฝึกที่เชี่ยวชาญ จะเพิ่มความแข็งแรง และความ
ยืดหยุ่น ให้แก่ร่างกายได้อย่างดี
4.การออกกาลังกายแบบแอโรบิกชนิดต่างๆ เช่น ว่ายน้า ขี่จักรยาน เต้นรา เต้นแอโรบิก หากทาได้ควรทา
อย่างน้อยครั้งละ 20-30 นาที จานวน 3-5 ครั้ง ต่อสัปดาห์
กิจกรรมการออกกาลังกายควรเลือก ให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและอุปนิสัยของตนเอง อาจเลือกสลับ
สับเปลี่ยนกันไปในแต่ละวันก็ได้ หลักการคือ ควรทาให้ได้อย่างน้อยวันละ 20-30 นาที จนรู้สึกว่า มีเหงื่อ
เริ่มเหนื่อย และมีอัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น ประมาณร้อยละ 60-80 ของชีพจรสูงสุด ซึ่งคานวณได้โดย
ใช้ค่า 220 ลบด้วยอายุ เช่น อายุ 50 ปี คานวณค่าชีพจรสูงสุดจะเท่ากับ 220-50 เท่ากับ 170 ครั้งต่อนาที เมื่อ
ออกกาลังกาย ควรให้อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 102-136 ครั้งต่อนาที ซึ่งเท่ากับร้อยละ 60-80 ของชีพจร
สูงสุด
- 9. 2.8 สถิติโรคอ้วนทั่วโลก
รูปที่ 2.4 คนวัดรอบเอว
คลื่นโรคอ้วน กระหน่าทั่วโลก (Lisa) งานวิจัยร่วมของ Imperial College London, Harvard University
และ WHO เปิดเผยว่าประชากรมากกว่า 500 ล้านคนทั่วโลก หรือประมาณ 1 ใน 9 ของคนทั่วไป ถือว่าอยู่ใน
ขอบข่ายอ้วน (Obese ได้แก่ ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 30 ) และด้วยเหตุนี้ทาให้ทุก ๆ ปี มีคนเสียชีวิต
ก่อนวัยอันควรถึง 3 ล้านคน ไม่ว่าจะจากโรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือมะเร็ง โดยถือเป็นปัญหาเร่งด่วนที่
มนุษยชาติต้องร่วมกันแก้ไข นอกจากนี้ การวิจัยดังกล่าวยังเปรียบเทียบข้อมูลจากปี 1998 กับปี 2008 ตัว
เลขที่น่าตกใจก็คือ จานวนผู้ชายที่เป็นโรคอ้วนกระโดดจาก 4.8% ขึ้นมาเป็น 9.8% ส่วนผู้หญิงนั้นเดิมทีอยู่ที่
7.9% แต่ในการสารวจล่าสุดอยู่ที่ 13.8%
- 10. สถิติคนไทยเป็นโรคอ้วน และโรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้อง
รูปที่ 2.5 สถิติการเกิดโรคอ้วนของคนไทย
2.8.1 คนไทยเป็นโรคอ้วนอันดับ 5 ของเอเชีย-แปซิฟิก
ปัจจุบันทั่วโลกกาลังเร่งรณรงค์ต่อสู้กับปัญหาภาวะอ้วน (Obesity) และโรคอ้วนลงพุง (Metabolic
Syndrome ) เพื่อลดภาวะความรุนแรงของโรควิถีชีวิต อันได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง
โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง และภาวะไตวายเรื้อรัง เป็นต้น “โรคอ้วน” ถือเป็นภัยคุกคามที่กาลัง
ระบาดในกลุ่มคนไทย โดยวัดจากอัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มสูงขึ้น จากกระทรวงสาธารณสุขรายงาน
ว่า ปัจจุบันพบว่าคนไทยอ้วน และมีน้าหนักเกินมาตรฐานเป็นอันดับ 5 ของเอเชีย-แปซิฟิก เป็นผลของการที่
คนไทย ใช้ชีวิตกินแล้วนั่งหรือนอน และขาดการออกกาลังกาย
- 11. นพ.ไพจิตร์ วราชิต กล่าวว่า ผลสารวจสุขภาพล่าสุดมีคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปเป็นโรคอ้วน ติดอันดับ 5
ของเอเชียแปซิฟิก โดยมีคนอ้วนมากถึง 17 ล้านคนทั่วประเทศ และยังมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นอีก
ประมาณ 4 ล้านคนต่อปี ทาให้รัฐบาลต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล มากกว่าปีละ 1 แสนล้าน
บาท อีกทั้ง คนที่เป็นโรคอ้วนจะมีความเสี่ยงที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง และโรคข้อกระดูก
เสื่อมสูงกว่าคนปกติ และยังส่งผลกระทบด้านอารมณ์อีกด้วย ซึ่งผลสรุปจากรายงานการสารวจภาวะอาหาร
และโภชนาการของประเทศไทยครั้งที่ 5 พ.ศ.2546 แสดงให้เห็นว่า
-คนไทยอายุ 20 – 29 ปี มีภาวะโรคอ้วนเพิ่มจาก
-ร้อยละ 2.9 เป็นร้อยละ 21.7 (7.5 เท่า)
-คนไทยอายุ 40 – 49 ปี อ้วนเพิ่ม 1.7 เท่า
-ปัจจุบันเด็กประถมมีภาวะโภชนาการเกิน ร้อยละ 13.4 เพิ่มขึ้นทุกปี
-คนไทยอ้วนเป็นอันดับ 5 ใน 14 ประเทศแถบเอเชีย-แปซิฟิก
-คนไทยมีภาวะท้วมถึงอ้วนราว 10 ล้านคน
และหากนามาเปรียบเทียบกับรายงานผลการสารวจของสานักงานสถิติแห่งชาติปี 2550 ที่มีผลการสารวจ
ใกล้เคียงกันนั้น แสดงให้เห็นว่า
-ปัจจุบันคนไทยมีภาวะท้วมถึงอ้วนราว 10 ล้านคน
-เด็กไทยอายุ 2-18 ปี เป็นโรคอ้วนร้อยละ 8
-กลุ่มวัยรุ่น 13-18 ปี ร้อยละ 9 เพิ่มขึ้นทุกปี
-ผลสารวจภาวะอ้วนลงพุงของคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปโดยใช้เกณฑ์เส้นรอบเอวไม่น้อยกว่า 90 ซม.ในผู้ชาย
และไม่น้อยกว่า 80 ซม.ในผู้หญิง เป็นเกณฑ์ตัดสินอ้วนลงพุง ในปี 2550 ภาวะอ้วนลงพุงในเพศชายพบ ร้อย
ละ 24 และในเพศหญิงพบ ร้อยละ 60.5
-ผลสารวจภาวะอ้วนลงพุงของคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปโดยใช้เกณฑ์เส้นรอบเอวไม่น้อยกว่า 90 ซม.ในผู้ชาย
และไม่น้อยกว่า 80 ซม.ในผู้หญิง เป็นเกณฑ์ตัดสินอ้วนลงพุงสาหรับปี 2551 พบภาวะอ้วนลงพุงเพิ่มขึ้นใน
เพศชาย เป็นร้อยละ 33.5 แต่ในเพศหญิงสถานการณ์ภาวะอ้วนลงพุงดีขึ้น เหลือร้อยละ 58.2
- 12. สาเหตุหลักคือวิถีการดาเนินชีวิตที่ไม่สมดุล มีการบริโภคมากเกินความต้องการของร่างกาย ออกกาลังกาย
น้อย รายงานผลสารวจของกระทรวงสาธารณสุขเมื่อปี 2547 พบว่า คนไทยกินผักและผลไม้เพียง 275 กรัม/
คน/วัน ซึ่งต่ากว่ามาตรฐานคือ 400 กรัม/คน/วัน ส่วนการกินน้าตาลและไขมันมีแนวโนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่การเคลื่อนไหว หรือออกกาลังกายในกลุ่มอายุ 15 ปีขึ้นไป ลดลงจากร้อยละ 83.2 ในปี 2548 เหลือร้อย
ละ 78.1 ในปี 2549
แนวทางการแก้ปัญหาโรคอ้วนนั้นสามารถทาได้โดย
- สร้างปัจจัยเอื้อปรับสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและออกกาลังกาย
- สร้างองค์ความรู้ตามหลักการ 3 อ. เพื่อใช้เป็นแนวทางการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม กินและออกกาลัง สร้าง
ความสุมดุลพลังงานของร่างกาย แต่การต่อสู้กับโรคอ้วนนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะทากันง่ายๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่
ยากเกินความสามารถ ทุกอย่างจะเป็นไปได้ หากเริ่มจากการมีจิตใจที่เข้มแข็งและไม่ยอมแพ้ต่อความ
ยากลาบากนั้นเอง