More Related Content Similar to โครงงานคอมพิวเตอร์ โรคอ้วน
Similar to โครงงานคอมพิวเตอร์ โรคอ้วน (20) More from นอนอ. ยิ้มแฉ่งง'
More from นอนอ. ยิ้มแฉ่งง' (12) โครงงานคอมพิวเตอร์ โรคอ้วน5. เกณฑ์การวินิจฉัยโรคอ้วน
วิธีที่ดีที่สุดที่ใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ คือ การชั่งน้าหนัก และวัดส่วนสูง ในผู้ใหญ่
ซึ่งถ้าต้องการทราบความเสี่ยงต่อเมแทบอลิกซินโดรม จะวัดขนาดรอบเอวด้วย
ตามมาตรฐานกรมอนามัย พ.ศ.๒๕๔๒
เกณฑ์ที่ใช้ในเด็กอายุน้อยกว่า ๑๘ ปี ลงมา ใช้เกณฑ์น้าหนักเทียบกับส่วนสูง
ถ้าหากมีน้าหนักต่อส่วนสูงมากกว่าร้อยละ ๕๐ บวกกับ ๒ เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
จะถือว่า น้าหนักเกิน และหากมากกว่า ๕๐ บวกกับ ๓ เท่า ของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ถือว่า อ้วน
6. เกณฑ์ใช้วัดในผู้ใหญ่ (อายุตั้งแต่ ๑๘ ปีขึ้นไป) ใช้เกณฑ์ดัชนีมวลกาย
(body mass index หรือ BMI) ซึ่งมีวิธีคานวณดังนี้
BMI = น้าหนัก (กิโลกรัม)/ส่วนสูง (เมตร)๒
ดัชนีมวลกายมีค่า ๑๘.๕ - ๒๔.๙ กิโลกรัม/เมตร๒ ถือว่า น้าหนักปกติ
ดัชนีมวลกายมีค่า ๒๕.๐ - ๒๙.๙ กิโลกรัม/เมตร๒ ถือว่า น้าหนักเกิน
(overweight)
ดัชนีมวลกายมีค่า ๓๐ กิโลกรัม/เมตร๒ ขึ้นไป ถือว่า เป็น โรคอ้วน (obesity)
8. เกิดจากสาเหตุภายนอก
สาเหตุที่ทาให้เกิดโรคอ้วน เพราะ “ตามใจปากมากเกินไป”กินมากเกินความ
ต้องการของร่างกาย
อาหารที่กิน เนื้อ ไขมัน หรือแป้ ง ของหวาน สิ่งเหล่านี้จะถูกเก็บสะสมไว้ใน
ร่างกาย ถ้ามีมากเกินไปก็จะกลายเป็นไขมันพอกพูนตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
หรือเป็นเพราะ “ออกกาลังกายน้อย หรือ มีพฤติกรรมกินแล้วนอน”
10. เกิดจากสาเหตุภายใน
พบได้จากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมใต้สมอง ต่อ
ไทรอยด์ ทาให้มีไขมันตามบริเวณต้นแขน ต้นขา และหน้าท้อง
จิตใจและอารมณ์
มีคนเป็นจานวนไม่น้อยที่การกินอาหารขึ้นอยู่กับจิตใจและอารมณ์
เช่น กินดับความโกรธ ดับความคับแค้นใจ กลุ้มใจ กังวลใจ หรือดีใจ
บุคคลเหล่านี้ จะรู้สึกว่าอาหารที่ทาให้จิตใจสงบ จึงหันมายึดเอาอาหารไว้เป็นที่พึ่งทางใจ
ตรงกันข้ามกับบางคนกลุ้มใจเสียใจก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับ
13. โรคประจาตัว
โรคอ้วนนาไปสู่โรคต่างๆ อย่างไร
ในปัจจุบันการศึกษาวิจัยจากหลายสถาบันทาให้ทราบว่า โรคอ้วน เป็นสาเหตุ
ตั้งต้น ของโรคกลุ่มเมแทบอลิกซินโดรม โดยทาให้เกิดอาการและโรคต่างๆ ดังนี้
โรคเบาหวานประเภทที่ 2 โรคไขมันในเลือดผิดปกติ
โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด
14. โรคอ้วนทาให้มีความผิดปกติในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน
เกิดจากการมีเซลล์ไขมันมาก และจะมีการย่อยสลายไขมันทาให้เกิดกรดไขมันอิสระ ออกมาใน
กระแสเลือดมาก และขัดขวางการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนอินซูลิน
ซึ่งปกติฮอร์โมนอินซูลินจะทาหน้าที่รักษาระดับน้าตาลในเลือดให้เป็นปกติอยู่เสมอ
การศึกษาเกี่ยวกับเมแทบอลิกซินโดรมในเด็ก พบว่า ภาวะนี้ มีความชุกเพิ่มขึ้น ตามความ
รุนแรงของโรคอ้วน
ในกลุ่มเด็กที่อ้วนมาก อาจพบเมแทบอลิกซินโดรมได้มากกว่าเด็กปกติ ถึงร้อยละ ๕๐ ใน
ประเทศไทย มีการศึกษาวิจัยที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ในช่วง พ.ศ. ๒๕๓๙ -
๒๕๔๒ พบว่า ความชุกของโรคอ้วนในเด็กเพิ่มสูงขึ้นมาก และมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด
กับการเพิ่มขึ้น ของโรคเบาหวานประเภทที่ ๒ ในเด็กอ้วน
โรคเบาหวานประเภทที่ 2
15. ภาวะที่พบในคนอ้วน ได้แก่ ไตรกลีเซอไรด์ มีระดับสูง แอลดีแอล คอเลสเตอรอล มี
ระดับสูงกว่าปกติ
ส่วนเอชดีแอลคอเลสเตอรอล มีระดับต่ากว่าปกติ
ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดที่มีมากเกินไป จะถูกนาไปเก็บสะสม หรือย่อยเป็นกรดไขมันอิสระ
ซึ่งมีฤทธิ์เป็นพิษต่อบีตาเซลล์ในตับอ่อน ทาให้เกิดโรคเบาหวาน
นอกจากนั้นระดับไขมันในเลือดสูง ยังทาให้หลอดเลือดอักเสบ ซึ่งนาไปสู่โรคหัวใจและ
หลอดเลือดในเวลาต่อมา
โรคไขมันในเลือดผิดปกติ
19. เพศ
เพศหญิงนั้นมักอ้วนกว่าเพศชาย
ก็เพราะว่า “ธรรมชาติของเธอมักสรรหาจะกิน กิน และกิน ตลอดเวลา อีกทั้งตอน
ตั้งครรภ์ ก็ต้องกินมากขึ้น เพื่อบารุงร่างกายและลูกน้อยในครรภ์”
แต่หลังจากคลอดลูกแล้ว บางรายก็ลดน้าหนักลงมาได้ แต่บางรายก็ลดไม่ได้
ผู้หญิงทางานน้อย ออกกาลังน้อยกว่าชาย ผู้หญิงอ้วนมากกว่าผู้ชาย 4 : 1
20. อายุ
“เมื่ออายุมากขึ้น โอกาสโรคอ้วนถามหาก็ง่ายขึ้น”
เนื่องจากพออายุมาก มีความเชื่องช้า ใช้พลังงานน้อยลง กินมากกว่าใช้
หญิงและชายที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป มักจะอ้วนง่าย เพราะคนวัยนี้ ยังอยู่ในวัย
ทางานมาก กินมากขึ้นเพื่อชดเชยพลังงานที่ถูกใช้ไป
คนมีสุขภาพจิตดีมักมีรูปร่างสมส่วนแข็งแรง บางคนสุขภาพจิตไม่ดี อารมณ์
เครียดเป็นประจา ทาให้เกิดความท้อถอย เบื่อหน่าย ขี้เกียจออกกาลังกาย โรคอ้วน
ก็จะถามหาได้
21. ประเภทของความอ้วน
อ้วนแบบลูกแอปเปิ้ ล (apple-shape obesity) หรือ อ้วน
ลงพุง (central obesity)
คนอ้วนที่มีรอบเอวใหญ่กว่ารอบสะโพก
เกิดจากมีไขมันสะสมมากในช่องท้องและอวัยวะภายใน
ไขมันที่อยู่ในอวัยวะภายในนี้จะเป็นตัวการที่ทาให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ
เช่น โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคความดันโลหิตสูง
22. อ้วนแบบลูกแพร์ (pear-shape obesity) หรืออ้วนชนิดสะโพกใหญ่
ส่วนใหญ่เป็นลักษณะที่พบในเพศหญิง โดยจะมีไขมันสะสมอยู่มากบริเวณสะโพกและน่อง
อ้วนลักษณะนี้ยากต่อการลดน้าหนัก แต่โอกาสที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ จะน้อยกว่าชนิด
แรก
อ้วนทั้งตัว (generalized obesity)
ได้แก่ คนอ้วนที่มีไขมันทั้งตัวมากกว่าปกติกระจายตัวอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
โดยรอบ
มีทั้งลงพุงและสะโพกใหญ่ รวมถึงมีโรคแทรกซ้อนทุกอย่างดังกล่าว
และโรคที่เกิดจากน้าหนักตัวมากโดยตรง เช่น โรคทางไขข้อ ปวดข้อ ข้อเสื่อม ปวดหลัง
เหนื่อยง่าย หายใจลาบากเพราะไขมันสะสม ทาให้ระบบหายใจทางานติดขัด
25. นอกจากนี้ สสส. ยังสนับสนุนและรณรงค์โครงงาน “ลดพุงลดโรค” ด้วยการจัดทา
โฆษณาวิธีลดพุง เช่น
โฆษณารณรงค์ จาก สสส.
โฆษณาทัวร์อวัยวะ โรคอ้วนลงพุง
โฆษณาลดปรุง 30 วินาที
โฆษณาลดพุง ลดโรค 90 วินาที
โฆษณาคนไทยซ่อนอ้วน ลดพุงลดโรค
33. การลดน้าหนัก คือ การลดพลังงานที่รับประทาน มากกว่าการจากัดอาหารประเภทใด
ประเภทหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการใช้สูตรอาหารคาร์โบไฮเดรตน้อย โปรตีนสูง หรือสูตรใดๆก็ตาม
เพราะเมื่อผ่านไปประมาณ 6 เดือน น้าหนักที่ลดลงจะไม่แตกต่างกัน โดยการ
รับประทานอาหารที่ให้พลังงานลดลงจากเดิมวันละ 500 กิโลแคลอรี จะทาให้น้าหนักลดลง
ประมาณ 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์
และโดยทั่วไปควรจะจากัดพลังงานที่ได้รับให้อยู่ที่ประมาณ 1,200 กิโลแคลอรีต่อ
วัน โดยอาหารที่รับประทานควรให้มีปริมาณของสารอาหารครบถ้วน เลือกรับประทานข้าวไม่
ขัดสี ธัญพืช ผักหลากสี และผลไม้
การควบคุมอาหาร
34. สาหรับการคานวณพลังงานจากอาหารสามารถทาได้คร่าวๆ โดยแบ่งอาหารเป็น 6 หมวดดังนี้
หมวดข้าว แป้ ง เช่น ข้าว 1 ทัพพี ขนมปัง 1 แผ่น ก๋วยเตี๋ยว 1 ทัพพี คิดเป็นพลังงาน
80 กิโลแคลอรี
หมวดผัก เป็นหมวดที่ให้พลังงานน้อย แต่ให้เลือกรับประทานผักใบ หลีกเลี่ยงผักที่เป็นหัว
หมวดผลไม้ ให้พลังงาน 60 กิโลแคลอรี ต่อ 1 ส่วน เช่น แอปเปิล 1 ลูก กล้วยน้าว้า
1 ผล ชมพู่ 3 ผล สัปปะรด 6 ชิ้นพอคา เป็นต้น
** ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการรับประทานผลไม้ปริมาณมากไม่สามารถทาให้น้าหนักลดลง **
หมวดโปรตีน ให้เน้นเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน
หมวดนม ถ้าดื่มนมต้องเป็นนมขาดมันเนยเพื่อลดพลังงานลง
หมวดไขมัน เป็นอาหารที่ให้พลังงานมากที่สุดคือ น้ามัน 1 ช้อนชาให้ 45 กิโลแคลอรี
** ดังนั้นต้องหลีกเลี่ยงของมัน ของทอด **
การควบคุมอาหาร
35. นอกจากนี้อาหารประเภทผัดหรือทอดจะให้พลังงานสูงกว่าอาหารที่ต้ม นึ่ง
เช่น ก๋วยเตี๋ยวน้า 1 ชาม (350 กิโลแคลอรี) จะให้พลังงานน้อยกว่าก๋วยเตี๋ยว
ผัดซีอิ๊ว 1 จาน (600 กิโลแคลอรี)
น้าตาล 1 ช้อนชาให้พลังงาน 20 กิโลแคลอรี ซึ่งเครื่องดื่มส่วนใหญ่มี
น้าตาล 3-6 ช้อนชา เช่น นมเปรี้ยว ยาคูลท์ กาแฟกระป๋อง เป็นต้น
ผู้ที่ตั้งใจลดน้าหนักจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวานจัด รสมันจัด
เครื่องดื่มที่มีน้าตาล และในผู้ที่ควบคุมอาหารควรได้แคลเซียมและวิตามินทดแทนโดย
ควรปรึกษาแพทย์
การควบคุมอาหาร
37. อย่างไรก็ตาม พลังงานที่ใช้ไปในการออกกาลังกายในแต่ละอย่างอาจไม่มาก
เท่าที่คิด เช่น เดินช้าจะใช้พลังงาน 150 กิโลแคลอรีต่อชั่วโมง เดินธรรมดา
300 กิโลแคลอรีต่อชั่วโมง เดินเร็ว 420-480 กิโลแคลอรีต่อชั่วโมง ขี่
จักรยาน 250-500 กิโลแคลอรีต่อชั่วโมงเป็นต้น
จะเห็นว่าการนาพลังงานออก 500 กิโลแคลอรีเป็นเรื่องทาได้ยาก เมื่อ
เปรียบเทียบการรับประทาน หรือการนาพลังงานเข้า 500 กิโลแคลอรี
การออกกาลังกาย
38. สามารถทาได้ด้วยการปรับปรุงนิสัยการบริโภค
เช่น ควรรับประทานเฉพาะเวลาอาหาร งดการรับประทานเวลาดูโทรทัศน์ และ
รับประทานอาหารช้าๆ ไม่ควรปล่อยให้หิวจัด เพราะจะทาให้รับประทานมาก
เป็นต้น
นอกจากนี้การจดบันทึกอาหารที่รับประทานจะช่วยให้ไม่รับประทานมาก
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
39. ปัจจุบันมียา Orlistat เพียงชนิดเดียวที่ได้รับการยอมรับจากองค์การอาหาร
และยาให้ใช้ได้นาน 2 ปี
ยาออกฤทธิ์โดยลดการดูดซึมไขมันจากลาไส้เล็กร้อยละ 30 โดยควรรับประทาน
พร้อมอาหารในขนาด 120 มิลลิกรัม วันละ 3 เวลา แต่มีผลข้างเคียงคือถ่าย
อุจจาระบ่อย
ยาอาจลดการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามินเอ ดี อี เค และ
พบว่าสามารถลดระดับไขมันแอลดีแอล ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ได้จากการลด
การดูดซึมของคอเลสเตอรอล
ยาลดน้าหนัก
ตัวอย่างโฆษณายาลดความอ้วน อันตรายจากยาลดความอ้วน
44. ยาลดความอยากอาหาร
เช่น เฟนเตอมีน (Phentermine)
เป็นยาในกลุ่มแอมเฟตามีน
ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์กระตุ้นศูนย์ควบคุมความอิ่มทาให้เกิดอาการเบื่ออาหาร
ผลข้างเคียงที่เกิดจากยากลุ่มนี้ เช่น นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ปวดศีรษะ หัวใจเต้นเร็ว
ความดันโลหิตสูง อาจหมดสติหรือชักได้ เป็นต้น
มีข้อบ่งชี้ในการรักษาโรคอ้วนโดยตรงแต่ให้ใช้ในระยะสั้นเท่านั้น เช่น ไม่ควรใช้เกิน 3-6 เดือน
47. ยาขับปัสสาวะ
มีผลขับปัสสาวะออกจากร่างกาย ทาให้น้าหนักลดลงเร็วหลังใช้ยา
แต่ยาขับปัสสาวะไม่มีผลในการลดแคลอรีที่ร่างกายได้รับ มีผลเพียงทาให้
ปริมาณน้าในร่างกายลดลงเท่านั้น
นอกจากนี้ยังทาให้สูญเสียสมดุลของเกลือแร่ที่สาคัญต่อร่างกายไปด้วย ซึ่ง
อาจทาให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายอาการผิดปกติต่อหัวใจ สมอง และอาจ
มีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
ยากลุ่มนี้ไม่ควรนามาใช้ในการลดน้าหนักอย่างยิ่ง
50. ยาลดอัตราการเต้นของหัวใจ
เช่น โพรพราโนลอล (Propranolol)
ปกติจะใช้เพื่อรักษาโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
การใช้ร่วมกับยาชุดลดความอ้วนนั้น เพื่อลดอาการใจสั่นที่เป็นผลข้างเคียงของยาลด
ความอยากอาหาร และไทรอยด์ฮอร์โมน
ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากยาลดอัตราการเต้นของหัวใจ ได้แก่ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
หัวใจเต้นช้า ความดันโลหิตต่า เป็นต้น
51. ยานอนหลับหรือยาที่มีฤทธิ์ข้างเคียงทาให้ง่วงนอน
เช่น ไดอะซีแพม (Diazepam)
ใช้เพื่อลดผลข้างเคียงจากยาลดความอยากอาหาร
กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทาให้นอนไม่หลับ
ยาในกลุ่มยานอนหลับนี้ยังจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่ 2 ดังนั้นการ
ใช้ยากลุ่มนี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
นอกจากนี้หากรับประทานยากลุ่มนี้ในขนาดที่สูงเกินไป อาจมีผลทาให้เกิดการกดการ
หายใจและความดันโลหิตต่าได้
54. การผ่าตัดเพื่อควบคุมน้าหนักตัวในคนที่อ้วนมาก (ดัชนีมวลกายมากกว่าหรือ
เท่ากับ 40 กิโลกรัม/เมตร2) หรือในคนที่มีดัชนีมวลกาย 35-39.9 กิโลกรัม/
เมตร ร่วมกับภาวะแทรกซ้อนของโรคอ้วนอย่างน้อยหนึ่งอย่าง เช่น ความดันโลหิต
สูง หัวใจล้มเหลว โรคเบาหวาน หรือโรคหยุดหายใจขณะนอน (Obstructive
sleep apnea)
ผู้ที่ต้องการผ่าตัดควรต้องปรึกษาแพทย์ และควรเข้าใจวิธีการปฏิบัติตน
ทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด
การผ่าตัด
56. ข้อมูลอ้างอิง
สารานุกรมไทยสาหรับเยาชนฯ. (ม.ป.ป.). “โรคอ้วน (Obesity)”. ค้นคว้าจากเว็บไซต์ :
http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=
33&chap=7&page=t33-7-infodetail03.html. (ค้นคว้าเมื่อ กุมภาพันธ์
2559).
อภัสนี บุญญาวรกุล. (2558). “โรคอ้วน”. ค้นคว้าจากเว็บไซต์ :
http://www.healthtoday.net/thailand/disease/diisease_134.
html. (ค้นคว้าเมื่อ กุมภาพันธ์ 2559).
Healthcorners. (2557). “โรคอ้วนคืออะไร? เช็คให้ชัวร์ว่าเราเข้าข่ายหรือไม่”. ค้นคว้า
จากเว็บไซต์ : http://www.lovefitt.com/healthy-fact/โรคอ้วนคืออะไร-เช็คให้ชัวร์
ว่าเราเข้าข่ายหรือไม่/. (ค้นคว้าเมื่อ กุมภาพันธ์ 2559).
ศิรดา เด่นชูวงศ์. (ม.ป.ป.). “อันตรายจากยาชุดลดความอ้วน”. ค้นคว้าจากเว็บไซต์ :
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/dic/knowledge_full.php
?id=15. (ค้นคว้าเมื่อ กุมภาพันธ์ 2559).