More Related Content
Similar to เหตุแห่งการถวายสมัญญา
Similar to เหตุแห่งการถวายสมัญญา (20)
More from สุรพล ศรีบุญทรง
More from สุรพล ศรีบุญทรง (20)
เหตุแห่งการถวายสมัญญา
- 1. 1
เหตุแห่งการถวายพระสมัญญา “พระบิดาแห่งการอุดมศึกษาไทย”
แด่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
รศ.สุรพล ศรีบญทรง อดีตเลขาธิการ ปอมท.
ุ
เป็นที่รับรู้กันในหมู่บุคลากรมหาวิทยาลัยไทยส่วนหนึ่งว่าที่
ประชุมประธานสภาอาจารย์มหาวิท ยาลัยแห่งประเทศไทย (ปอมท.)
เป็นองค์กรที่มีบทบาทสําคัญในการผลักดันให้มีการถวายพระสมัญญา
“พระบิดาแห่งการอุดมศึกษาไทย” แด่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลย
เดชวิ ก รม พ ระบร มราช ชนก โดย มี ต้ น เ รื่ อ งจากสํ า นั ก งา น
คณะกรรมการการอุ ด มศึ ก ษา (สกอ.) ภายใต้ ก ารสนั บ สนุ น ของ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล1 จน
นําไปสู่มติคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ และได้รับ
การประกาศในราชกิจจานุเบกษา2ในระยะเวลาต่อมา
อย่ า งไรก็ ต าม มี เ พี ย งผู้ เ กี่ ย วข้ อ งใกล้ ชิ ด จํ า นวนไม่ กี่ ร าย
เท่านั้นที่จะได้รับทราบถึงลําดับความเป็นมาของเหตุแห่งการถวายพระ
สมัญญาฯ ดังกล่าว บางคนก็โทรศัพท์มาสอบถามผม ในฐานะที่เป็น
เลขาธิ การ ปอมท. มายาวนานถึ ง ๔ ปี 3 ว่ าการถวายพระสมัญ ญา
“พระบิดาแห่งการอุดมศึกษาไทย” แด่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลย
เดชวิกรม พระบรมราชชนก นั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร ผมจึงได้คิดว่าน่าจะต้องเขียนบทความเพื่ออธิบายถึงความ
เป็นมาดังกล่าวในฐานะของบันทึกหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และเกลือกว่าผมอาจจะหลงลืมไปในอนาคตเมื่อ
เหตุการณ์ผ่านไปนานๆ
เรื่องราวทั้งหมดนั้นเริ่มเมื่อผมดํารงตําแหน่งเลขาธิการ ปอมท. ในเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ผมพบว่า
การทํางานประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ นั้นเป็นไปอย่างยากลําบาก ผู้คนมักมองว่าสภาคณาจารย์เป็นพวกฝ่าย
ค้านในมหาวิทยาลัย ผู้บริหารก็มักจะมองว่าสภาคณาจารย์เป็นพวกหัวแข็ง จึงได้ปรึกษากันกับเพื่อนๆ ว่าน่าจะ
1
บันทึกที่ ศธ.๐๕๐๓(๓)/๔๕๔๙ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔ เรื่อง “การขอพระราชทานถวายพระสมัญญา ‘บิดาแห่งการ
อุดมศึกษาไทย’ แด่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก “
2
ราชกิจจานุเบกษาฉบับที่ ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๖ง หน้าที่ ๒๘-๒๙ วันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๕
3
ผู้เขียนเป็นเลขาธิการที่ประชุมประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปอมท.) ตังแต่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๐
้
จนถึงวันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔ ผ่านการทํางานร่วมกับประธาน ปอมท. ๕ ท่าน ได้แก่ รศ.ดร. รัตนา สนั่นเมือง ดร. ไชยา
กุฎาคาร ผศ.ปฐม ปฐมธนพงศ์ ผศ.ดร. นพพร ลีปรีชานนท์ และ รศ.ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน เรียกได้ว่าเป็นเลขาธิการมายาวนาน
ที่สุดนับแต่มีการก่อตังที่ประประชุม ปอมท. ขึ้นมา
้
- 2. 2
สืบหาที่มาที่ไปของงานสภาคณาจารย์ในประเทศไทยว่ามีจุดกําเนิดและวัตถุประสงค์แรกตั้งในลักษณะเช่นไรกันแน่
ได้ไปพบเอกสารทางประวัติศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระ
บรมราชชนกทรงนําเสนอแนวความคิดเรื่องการมี “สภาซีเนท” ให้มีตัวแทนของบุคลากรหรือที่สมัยนี้เราเรียกว่า
สภาคณาจารย์เข้ามามีส่วนร่วมบริหารมหาวิทยาลัยในเอกสารโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยที่ทรงนําเสนอต่อรัฐบาล
ในปี พ.ศ.๒๔๗๔ หรือเมื่อ ๗๑ ปีที่แล้ว
ด้วยความศรัทธาในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกว่าทรงมีความคิดก้าวไกล
มีจิตใจเป็นประชาธิปไตย นําเสนอแนวทางบริหารมหาวิทยาลัยแบบโปร่งใสมีธรรมาภิบาลมาตั้งแต่ประเทศไทยยัง
เป็นระบบสมบูรณายาสิทธิราช ผมจึงใช้เ วลาศึกษาค้นคว้าเอกสารและเรื่องราวของพระองค์ในที่ต่างๆ ไปเจอ
เอกสารหนังสือเก่าที่ไหนก็ซื้อเก็บเอาไว้ ไปเจอเหรียญกษาปณ์ หรือวัตถุที่เกี่ยวเนื่องด้วยพระองค์ท่านก็พยายาม
ซื้อหาเอาไว้เก็บหรือเอาไว้แจกให้คนอื่นบ้างตามความเหมาะสม ยิ่งค้นคว้าข้อมูลประวัติของพระองค์ก็ยิ่งเกิดความ
ศรัท ธา จึงได้เขียนบทความเกี่ยวกับพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจออกเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ อาทิเช่น
เอกสารการประชุมวิชาการประจําปีของที่ประชุม ปอมท. เอกสารสรุปผลการดําเนินงานประจําปีของ ปอมท.
จดหมายข่าวสภาคณาจารย์ มจพ. วารสาร สออ.ประเทศไทย (ASAIHL-Thailand Journal) ฯลฯ
ผนวกกับว่าทาง ปอมท. ได้เรียนเชิญ รองศาสตราจารย์ ดร. คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ เป็นที่ปรึกษา
และมาให้คําบรรยายแก่ที่ประชุมฯ ในหัวข้อ “ธรรมาภิบาลในอุดมศึกษา “ อาจารย์คุณหญิงสุมณฑา ท่านได้ยก
พระราชดําริของสมเด็จฯ พระบรมราชชนกที่ว่าด้วย “หน้าที่ของมหาวิทยาลัยที่แท้จริง ๔ ประการ”4 มาเล่าให้
ที่ประชุมฯ ได้รับทราบ ซึ่งก็สร้างความศรัทธาแก่ที่ประชุมฯ ว่าทรงมีความลึกซึ้งในเรื่องปรัชญา บทบาท หน้าที่
วิธีการจั ดการศึกษามหาวิท ยาลัยในระดับ สากล และแนวคิ ดที่ ทรงประทานก็ยั งคงทัน สมัย อยู่ เสมอแม้ในกาล
ปัจจุบัน
ผมได้เรียนอาจารย์คุณหญิงสุมณฑา ว่าผมกําลังค้นคว้าพระราชประวัติของสมเด็จฯ พระบรมราชชนก
เห็นว่ารัฐบาลน่าจะถวายพระสมัญญา“องค์บิดาแห่งการอุดมศึกษาไทย” และจะรวบรวมเรียบเรียงเป็นหนังสือ
พระราชประวัติที่มีความครบถ้วนเป็นลําดับขั้นตอนที่ถูกต้อง โดยขอให้อาจารย์คุณหญิงสุมณฑาช่วยเขียนคํานํา
ให้กับหนังสือเล่มดังกล่าว ซึ่งท่านก็เห็นดีด้วย แต่เตือนให้ระมัดระวังความถูกต้องทั้งในเรื่องราชาศัพท์ และเรื่อง
ความถูกต้องของเอกสารหลักฐาน โดยแนะนําให้ผมไปพบ ศ.นพ.อดุลย์ วิริยเวชกุล ราชบัณฑิต ซึ่งเคยได้ร่วม
รับผิดชอบด้านเอกสารเมื่อคราวงานฉลองคล้ายวันสมโภช ๑๐๐ ปีของพระองค์ท่านในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ผมจึง
เดินทางไปปรึกษาหารือคุณหมออดุลย์ที่บ้านของท่านในซอยเรวดีอยู่ ๒ ครั้ง ซึ่งก็ได้รับความเมตตาให้คําแนะนํามา
อย่างมากมาย ให้ยืมเอกสารหายากบางเล่มมาศึกษา และแนะนําให้ผมเดินทางไปเมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา
4
จากบันทึกพระราชดําริ เรื่อง “การสํารวจการศึกษาเพื่อประกอบพระราโชบายเรื่องการตั้งมหาวิทยาลัย” และ “รายงานความเห็นเรื่องโครงการมหาวิทยาลัย”
ที่ทรงนําเสนอต่อรัฐบาลในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๔
- 3. 3
เพื่อไปดูเอกสารและสิ่งสําคัญทางประวัติศาสตร์ของพระองค์ท่านด้วยตนเอง (ผมก็รับคําท่านอย่างดี แต่ผมไม่กล้า
เรียนท่านอาจารย์อดุลย์หรอกว่าผมไม่มีปัญญาจ่ายค่าเดินทางมากมายขนาดนั้นได้)
นอกจากที่ปรึกษาสองท่านที่ได้กล่าวถึงไปแล้ว ก็ยังมีที่ปรึกษา ปอมท. อีกสามท่านที่ได้รับรู้เรื่องความ
พยายามให้มีการถวายพระสมัญญา“พระบิดาแห่งการอุดมศึกษาไทย” แด่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดช
วิกรม พระบรมราชชนก มาตั้งแต่ต้น คือ ศ. ระพี สาคริก (ประธาน ปอมท. ท่านแรก) ศ.ดร. อานนท์ บุณยะ
รัตเวช (อดีตเลขาธิการสภาวิจัย) ดร.สุเมธ แย้มนุ่น (อดีตเลขาธิการ สกอ.) โดยเฉพาะท่าน ดร.สุเมธ แย้มนุ่น
นั้นได้เมตตาสอบถามผมถึงเรื่องดังกล่าวทุกครั้งที่พบกัน รวมทั้งกรุณาเป็นต้นเรื่องนําเสนอบันทึกข้อเสนอให้มีการ
ถวายพระสมัญญา“บิดาแห่งการอุดมศึกษาไทย” แด่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
ต่อรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ในท้ายที่สุดอีกด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมได้รับการเตือนจากที่ปรึกษาทุกท่าน
ก็คือ ต้องระมัดระวังเรื่องความถูกต้องของเอกสารให้มาก
การได้รับการสนับสนุนจากบรรดาที่ปรึกษาเหล่านี้นับเป็นกําลังใจให้ผมเดินหน้าทําเรื่องการถวายพระ
สมัญญา“พระบิดาแห่งการอุดมศึกษาไทย” แด่สมเด็จฯ พระบรมราชชนกต่อไป แต่ลําพังผมทําคงไม่ได้ผลหาก
ไม่ได้รับการสนับสนุนจากประธาน ปอมท. ทั้ง ๕ ท่านที่ได้กรุณาสนับสนุนการทํางานในเรื่องนี้ในทุกๆ โอกาส
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผมและท่านประธาน ปอมท. ท่านที่ ๓๑ ผศ. ปฐม ปฐมธนพงศ์ ได้รับเชิญจากทีมงานของ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ไปร่วมระดมสมองเรื่องการปฏิรูปการศึกษารอบ
๒ กับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการที่หัวหิน และที่พัทยา ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ เราสองคนก็พยายามหา
โอกาสเท่าที่มีอยู่อย่างจํากัดนําเสนอต่อที่ประชุมว่า สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
ทรงมีแนวพระราชดํารัสและแนวการดํารงพระชนมชีพที่สอดคล้องกับการเป็นต้นแบบ (Role Model) ให้กับผู้ใฝ่
ในการศึกษาทุกคน การยกย่องเชิดชูพระองค์ท่านนั้นจะช่วยเสริมสร้างจิตสํานึกของความเป็นครูได้
ต่อมา ในยุคของ ประธาน ปอมท. ท่านที่ ๓๒ ผศ.ดร. นพพร ลีปรีชานนท์ อาจารย์นพพรได้กรุณา
ช่วยติดต่อพูดคุยถึงเหตุและผลในการถวายพระสมัญญา“พระบิดาแห่งการอุดมศึกษาไทย” แด่สมเด็จพระมหิต
ลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พร้อมกับยื่นหนังสือบันทึกที่ ๕๒๕๓(๒)/๓๓ จาก ปอมท. แก่ท่าน
รัฐมนตรีช่ว ยว่ าการกระทรวงศึ กษาธิการ นายไชยยศ จิรเมธากร เพื่อให้มีการดํ าเนิ นการดังกล่า ว ซึ่ง ท่า น
รัฐมนตรี ก็เ ห็ นด้ ว ยและรั บ ปากที่ จะดํ าเนิ นการให้ ตามเสนอ แต่เ มื่ อมี การเปลี่ ย นแปลงคณะรัฐ มนตรีเ รื่ องราว
ดังกล่าวก็มีการหยุดชงักไปชั่วขณะ
ในปีเดียวกันนั้นเอง ที่ผมทราบจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐว่า ศ.นพ. เสม พริ้งพวงแก้ว ที่ผมเคารพศรัทธา
กําลังจะมีอายุครบ ๑๐๐ ปี และมีสุขภาพแข็งแรง สามารถให้สัมภาษณ์แก่นักข่าวไทยรัฐได้ ผมจึงโทรศัพท์ติดต่อ
ขอนัดหมายสัมภาษณ์ท่านเกี่ยวกับเรื่องราวของสมเด็จพระมหิตลาธิเ บศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ใน
ฐานะที่คุณหมอเสมเป็นศิษย์เก่าแพทย์ศิริราชที่เกิดทันยุคของพระองค์ท่าน ในเบื้องต้นสุภาพสตรีที่รับโทรศัพท์ผม
ได้เรียนถามคุณหมอเสม และให้การตอบรับว่าจะให้สัมภาษณ์หลังจากผ่านพ้นช่วงสงกรานต์ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม
- 4. 4
เมื่อผมติดต่อไปอีกครั้งหลังสงกรานต์ ปรากฏว่าบุตรชายของท่านได้ปฏิเสธมาเนื่องจากสุขภาพท่านไม่ค่อยแข็งแรง
อยากให้ท่านได้มีโอกาสพักผ่อนบ้าง การสัมภาษณ์ครั้งนี้จึงต้องจบไปอย่างน่าเสียดาย
การถวายพระสมัญญา“พระบิดาแห่งการอุดมศึกษาไทย” แด่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม
พระบรมราชชนก มาเริ่มดําเนินการต่อในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ในยุคของประธาน ปอมท. ท่านที่ ๓๓ รศ. ทวีศักดิ์ สูท
กวาทิน ซึ่งก็มีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก เมื่อคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ได้มีคําสั่งที่ ๑๖/๒๕๕๓
แต่ ง ตั้ ง อนุ ก รรมการดํ า เนิ น การน้ อ มเกล้ า น้ อ มกระหม่ อ มถวายสมั ญ ญาแด่ ส มเด็ จ ฯ พระบรมราชชนก ซึ่ ง มี
เลขาธิ การ สกอ. เป็ นประธานอนุ กรรมการฯ มี เ ลขาธิก ารสภาการศึ กษาเป็ นรองประธานฯ มีตั ว แทนจาก
อธิการบดี ตัวแทนจากราชบัณฑิตยสถาน ตลอดจนมีประธาน ปอมท. เป็นอนุกรรมการโดยตําแหน่งด้วยในฐานะ
ที่ ปอมท. เป็นต้นเรื่อง นอกจากอนุกรรมการโดยตําแหน่งแล้วยังมี ศ.สุมน อมรวิวัฒน์ และศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์
สุ วรรณ เป็ นอนุ กรรมการผู้ ท รงคุ ณ วุ ฒิ และต่ อ มาได้มี คํา สั่ ง ลงวั นที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ แต่ ง ตั้ ง ผมเป็ น
อนุกรรมการเพิ่มเติมในฐานะผู้ศึกษาค้นคว้าพระราชประวัติในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับการอุดมศึกษา
ในการนําเสนอข้อมูลให้แก่ที่ประชุมอนุกรรมการดําเนินการน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระสมัญญา
แด่สมเด็จฯ พระบรมราชชนกครั้งแรกนั้น เมื่อ ดร.มัทนา สานติวัตร อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้รับทราบ
ถึงความล้มเหลวในการติดต่อขอสัมภาษณ์ ศ.นพ.เสม พริ้งพวงแก้ว ก็เสนอตัวว่าท่านจะช่วยไปสัมภาษณ์ให้เอง
เนื่องจากครอบครัวของท่านอธิการบดีสนิทกับครอบครัวของคุณหมอเสม5 ผมได้นําเสนอข้อมูลที่ได้รวบรวมมา
พร้อมข้อเสนอให้ใช้สมัญญา “องค์บิดาแห่งการอุดมศึกษาไทย” โดยยึดตามพระวินิจฉัยของสมเด็จพระเจ้าพี่นาง
เธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ที่ได้ทรงรับสั่งให้ใช้คําว่า “องค์บิดาแห่งการสาธารณสุขไทย” ในคราวที่บรรดาอาจารย์
สถาบันการศึกษาทางสาธารณสุขมีมติพร้อมเพรียงในความประสงค์ขอพระราชทานพระสมัญญา “พระบิดาแห่ง
การสาธารณสุขไทย” แด่สมเด็จฯ พระบรมราชชนกในปี พ.ศ. ๒๕๓๖
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาทรงอธิบายเหตุผลแห่งการเปลี่ยนคํา โดยการยกตัวอย่าง
เปรียบเทียบไว้ดังนี้ คือ สําหรับพระสงฆ์จะใช้คําว่า "พระ" นําคําว่า "อาจารย์" เสมอไป เช่น "พระอาจารย์ฝั้น"
"พระอาจารย์มั่น" ศิษย์จะเป็นใครก็ตาม สําหรับฆราวาสนั้นจะเป็นพระอาจารย์เพียงเมื่อศิษย์เป็นเจ้าเช่น นาย ก
เป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระเทพรัตนฯ แต่สมเด็จพระเทพรัตนฯ มิได้ทรงเป็นพระอาจารย์ของนักเรียนนายร้อย
เพราะนัก เรี ยนนายร้ อ ยไม่ ไ ด้เ ป็ นเจ้ า เห็ นเขาเรี ยกกั น ว่า "ทู ลกระหม่ อ มอาจารย์ " ด้ ว ยหลัก เกณฑ์เ ดี ยวกั น
การแพทย์หรือการสาธารณสุขไม่ได้เป็นเจ้า ก็ไม่น่าจะใช้คําว่า "พระบิดา" แต่บิดาเป็นเจ้าจึงเสนอให้ใช้คําว่า "องค์
บิดา" ดังที่ใช้ว่า "องค์อุปถัมภ์" หรือ "องค์ประธาน" ไม่ได้ใช้คําว่า "พระอุปถัมภ์" หรือ "พระประธาน" อย่างไรก็
ตาม เมื่อผมได้นําเสนอข้อคิดดังกล่าวในการประชุมของคณะอนุกรรมการดําเนินการน้อมเกล้าน้อมกระหม่อม
5
น่าเสียดายว่าการสัมภาษณ์ ศ.นพ.เสม พริงพวงแก้ว ไม่สามารถกระทําได้เนื่องจากคุณหมอเสมได้ถงอนิจกรรมเสียก่อนในวัย
้ ึ
๑๐๐ ปี
- 5. 5
ถวายพระสมัญญาแด่สมเด็จพระบรมราชชนก ก็ได้รับการท้วงติงถึงการใช้คําว่า “องค์บิดา...” จากผู้ทรงคุณวุฒิ
จากราชบัณฑิตยสถาน
คณะอนุกรรมการดําเนินการน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระสมัญญาแด่สมเด็จฯ พระบรมราชชนก
ได้ สรุ ปว่ า ควรใช้พ ระสมัญ ญา “บิ ด าแห่ง การอุ ดมศึก ษาไทย” พร้ อ มกับ มอบหมายให้ ผ มไปค้ นคว้ า หาข้ อ มู ล
เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจด้านอุดมศึกษาของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกเพิ่มเติมที่
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ โดย ศ. สุมน อมรวิวัฒน์ ได้เมตตามอบสําเนาหนังสือ “ปรีชาญานสยาม” ที่ท่านได้เคย
ค้นคว้าเรียบเรียงเกี่ยวกับผลงานด้านการศึกษา ด้านมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ของของสมเด็จฯ พระบรม
ราชชนก มาเป็นแนวทางในการค้นคว้าด้วย
ผมจึงได้ใช้เวลาสองเดือนในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปกับการค้นคว้าเอกสารประเภท
ไมโครฟิล์มอยู่ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติก่อนจะสรุปเป็นเอกสารชื่อว่า “เหตุอันควรถวายพระสมัญญา‘บิดาแห่ง
การอุ ด มศึ ก ษาไทย’ แด่ ส มเด็ จ พระมหิ ต ลาธิ เ บศรอดุ ล ยเดชวิ ก รม พระบรมราชชนก” เพื่ อ นํ า เสนอต่ อ
คณะอนุกรรมการดําเนินการน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระสมัญญาแด่สมเด็จฯ พระบรมราชชนก อีกครั้งใน
วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๔ คราวนี้ ที่ประชุมเห็นว่าเอกสารมีความพร้อมเหมาะสมดีแล้วจึงให้ดําเนินการ
ต่ อ ไปโดยท่ า นศาสตราจารย์ ( พิ เ ศษ) ธงทอง จั น ทรางศุ 6 เลขาธิ ก ารสภาการศึ ก ษาในขณะนั้ น ได้ ก รุ ณ าให้
ข้อเสนอแนะเรื่องระเบียบพิธีการต่างๆ ในการผ่านเรื่องเข้าสู่คณะรัฐมนตรีและคําแนะนําอันทรงคุณค่าไว้อย่าง
มากมายให้แก่ที่ประชุม
และที่น่าจะต้องบันทึกไว้ด้วยความภาคภูมิใจอีกอย่างคือ เอกสาร “เหตุอันควรถวายพระสมัญญา“บิดา
แห่งการอุดมศึกษาไทย” แด่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก” ที่ผมได้จัดทําขึ้นนั้นได้
ถูกนําไปใช้เป็นเอกสารประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ และข้อความที่ใช้ใน
เอกสารก็ได้รับการนําไปอ้างประกอบเหตุผลในประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ และในประกาศของราชกิจจา
นุเบกษา ผมรู้สึกตื้นตันใจมากเมื่อได้รับทราบมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว และคิดว่าเพื่อนๆ ปอมท. ทุกคนที่ได้
ร่วมผลักดันภารกิจนี้มากับผมตลอดระยะเวลา ๔ ปี ก็น่าจะได้มีความภาคภูมิใจในภารกิจดังกล่าวด้วยกันทุกคน
นอกเหนือกว่านั้น ผมหวังว่าการถวายพระสมัญญาครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นให้สังคมไทยได้ตระหนักถึงคุณค่า
ของการเรียนรู้อย่างทุ่มเทตามรอยพระราชจริยาวัตรของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราช
ชนก อันจะนําไปสู่การติดตั้งรูปบูชาของพระองค์คู่ไปกับรูปเคารพอื่นๆ ในบ้านเรือนของประชาชน เพื่อที่พ่อแม่
จะได้บอกเล่าให้บุตรหลานของของตนได้รับรู้ถึงพระราชประวัติ เล่าให้เด็กๆ ได้รู้ถึงคุณค่าพื้นฐานที่สําคัญของ
มนุษย์ซึ่งทรงแสดงให้สังคมได้ประจักษ์ไม่ว่าจะเป็นการรักใคร่กตัญญูต่อบุพการี การเสียสละทุ่มเทเพื่อสังคมและ
6
ปัจจุบัน ศาสตราจารย์(พิเศษ) ธงทอง จันทรางศุ ดํารงตําแหน่งปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี
- 6. 6
ประเทศชาติ ความขยันใฝ่ใจในการเรียนรู้อย่างทุ่มเท การสอนและถ่ายทอดความรู้แก่ชนรุ่นหลังอย่างยากจะหา
ครูคนใดมาเสมอ ตลอดจนจิตใจอันเป็นประชาธิปไตยที่แสดงออกให้เห็นได้อย่างชัดเจน ฯลฯ
หมายเหตุ ผู้อ่านบทความนี้อาจจะสับสนว่าควรจะใช้คําว่า “องค์บิดาแห่งการอุดมศึกษา” “บิดาแห่งการ
อุดมศึกษา” หรือ “พระบิดาแห่งการอุดมศึกษา” ดี คําตอบคือ “พระบิดาแห่งการอุดมศึกษา” เพราะหลังจากที่
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบกับพระสมัญญา “บิดาแห่งการอุดมศึกษา” ไปแล้วในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕
ตามหนังสือสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร.๐๕๐๘/ว๑๖ ลงวันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๕ ได้มีการอ้างถึง
บันทึกด่วนที่สุดจากราชบัณฑิตยสถานที่ รถ ๐๐๐๔/๑๔ ลงวันที่ ๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๕ เห็นควรให้ใช้พระ
สมัญญา “พระบิดาแห่งการอุดมศึกษา” เนื่องจากเป็นพระราชนิยม เพราะฉนั้น ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ฉบับที่ ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๖ง หน้าที่ ๒๘-๒๙ วันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๕ ลงนามโดยนายกรัฐมนตรีจึงปรากฏ
พระสมัญญา “พระบิดาแห่งการอุดมศึกษา”