More Related Content
Similar to บทที่ 1 ศึกษาความหมายและความเป็นมาของวิชาเทววิทยาเบื้องต้น
Similar to บทที่ 1 ศึกษาความหมายและความเป็นมาของวิชาเทววิทยาเบื้องต้น (20)
More from Gawewat Dechaapinun
More from Gawewat Dechaapinun (20)
บทที่ 1 ศึกษาความหมายและความเป็นมาของวิชาเทววิทยาเบื้องต้น
- 1. 1
บทที่ 1
1.1 ศึกษาความหมายและความเป็ นมาของวิชาเทววิทยา
เทววิทยา (Theology)
คาว่า “เทววิทยา” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525
ไ ด้ ใ ห้ ค ว า ม ห ม า ย ไ ว้ ว่ า “ วิ ช า ที่ ว่ า ด้ ว ย พ ร ะ เ จ้ า ( God)
และความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับโลก”
น อ ก จ า ก ค า ว่ า “ เ ท ว วิ ท ย า ” แ ล้ ว
ในทางอภิปรัชญายังมีคาที่ใช้ในลักษณะเดียวกันอีกคาหนึ่งคือคาว่า “เทวนิยม”
( Theism) ซึ่ ง ห ม า ย ถึ ง ลั ท ธิ ที่ เ ชื่ อ ว่ า
“ มี พ ร ะ เ จ้ า ผู้ ท ร ง อ า น า จ ยิ่ ง ใ ห ญ่ พ ร ะ อ ง ค์ เ ดี ย ว
พ ร ะ เ จ้ า นั้ น ท ร ง อ า น า จ ค ร อ บ ค ร อ ง โ ล ก
และสามารถดลบันดาลความเป็ นไปในโลก” ดังนั้นจะเห็นว่า เทววิทยา
ในทางอภิปรัชญาจะเน้นว่า พระเจ้ามีอยู่จริง เป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างเที่ยงแท้ถาวร
ไม่ใช่เป็นเพียงอุดมคติตามทัศนะของธรรมชาตินิยมบางพวกเข้าใจเท่านั้น
เทววิทยา แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. เทววิทยาธรรมชาติ (Natural Theology)
2. เทววิทยาวิวรณ์ (Revealed or Sacred Theology)
เ ท ว วิ ท ย า ธ ร ร ม ช า ติ ห ม า ย ถึ ง
พระเจ้าเปิดเผยสัจจะไว้ในธรรมชาติโดยให้มนุษย์ใช้ความสามารถของตนค้น
ค ว้า ไ ป เ รื่ อ ย ๆ ห ม า ย ค ว า ม ว่า ค ว า ม จ ริง ห รื อ สัจ ภ า ว ะ นั้ น
มิได้ปรากฏเพี ย งแต่ในคัมภีร์ ห ากแต่ปรากฎในธ รรมช าติด้ว ย
แ ล ะ ก ฎ ธ ร ร ม ช า ติ นั้ น เ ป็ น ก ฎ ที่ แ น่ น อ น ต า ย ตั ว
ไ ม่ ว่ า ม นุ ษ ย์ จ ะ เ อ า ไ ป ตี ค ว า ม อ ย่ า ง ไ ร
ก ฎ ก็ ยัง ค ง เ ดิม เ ป็ น นิ รัน ด ร์ ไ ม่ส ะ เ ทื อ น ไ ป ต า ม ค ว า ม คิ ด เ ห็ น
แ ล ะ เ ห ตุ ก า ร ณ์ ที่ ม นุ ษ ย์ ก่ อ ขึ้ น
เป็นการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพระเจ้าโดยไม่อาศัยคัมภีร์ ความศรัทธา
ป ร ะ เ พ ณี นิ ย ม ห รื อ แ ม้ แ ต่ ส า นั ก ส อ น ศ า ส น า เ ป็ น ต้ น
เป็นการศึกษาโดยใช้เหตุผลตามธรรมชาติเป็นหลัก
เทววิทยาวิวรณ์ หมายถึง การเปิดเผยโดยตรงของพระเจ้า หรือที่เรียกว่า
“เทวบันดาล” คือการที่พระเจ้าทรงเปิดเผยความรู้แก่มนุษย์ผู้ที่ทรงเลือกแล้ว
เช่นเปิดเผยบัญญัติ 10 ประการให้แก่โมเสส หรือคัมภีร์ไบเบิ้ลแก่พระเยซู
หรือคัมภีร์อัลกุรอ่านแก่ท่านนะบีมูฮัมหมัด เป็ นต้น ลักษณะดังก ล่าวนี้
จึงทาให้ฝ่ายเทววิทยาวิวรณ์ถือเป็ นความศักดิ์สิทธิ์ และเป็ นสัจจะแท้จริง
เพราะผ่านมาจากพระเจ้าโดยตรง จึงเชื่อกันว่าเป็ นคัมภีร์ที่ถูกต้องแม่นยา
เพราะมิใช่วิสัยของมนุษย์ที่จะรู้อย่างครบถ้วนเช่นนั้น
ลักษณะของวิวรณ์นั้นมี 2 ลักษณะคือ
- 2. 2
ก า ร ที่ สิ่ ง เ ห นื อ ธ ร ร ม ช า ติ เ ปิ ด เ ผ ย ค ว า ม รู้ แ ก่ ม นุ ษ ย์
สิ่งเหนือธรรมชาติที่ว่านั้นได้แก่ พระเจ้า พระองค์เป็ นผู้ทรงความรู้
เ พ ร า ะ เ ป็ น ผู้ ร อ บ รู้ ทุ ก อ ย่ า ง ทั้ ง อ ดี ต ปั จ จุ บัน แ ล ะ อ น า ค ต
เ ป็ น ผู้ เ ปิ ด เ ผ ย ค ว า ม รู้ ข อ ง พ ร ะ อ ง ค์ แ ก่ ม นุ ษ ย์
ค ว า ม รู้ ที่ ไ ด้ จ า ก ก า ร เ ปิ ด เ ผ ย ข อ ง สิ่ ง เ ห นื อ ธ ร ร ม ช า ติ
เ มื่ อ พ ร ะ เ จ้ า เ ปิ ด เ ผ ย ค ว า ม รู้ แ ก่ ม นุ ษ ย์ แ ล้ ว
จะสังเกตได้ว่ามนุษย์เรามีความรู้ซึ่งได้จากการเปิ ดเผยของพระเจ้า
เ พ ร า ะ ห า ก พ ร ะ อ ง ค์ ไ ม่ เ ปิ ด เ ผ ย ค ว า ม รู้ แ ก่ ม นุ ษ ย์
มนุษย์ไม่สามารถจะมีความรู้ได้เลย
พระเจ้าคืออะไร
กับคาถามที่ว่า พระเจ้าคืออะไร ? เมื่อเกิดปัญหาอย่างนี้ เป็นปัญหาที่ง่าย
แ ต่ ย า ก ที่ จ ะ ใ ห้ ค า ต อ บ แ ล ะ พิ สู จ น์ ใ ห้ เ ห็ น จ ริ ง ไ ด้
เพ ราะจะระบุลงไปโด ย ชัด เจนว่า พ ระเจ้าเป็ นสิ่งนั้น สิ่งนี้ ไม่ได้
เ พื่ อ ใ ห้ เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ พ ร ะ เ จ้ า
นักปรัชญาจึงพยายามหาคาตอบโดยกล่าวถึงลักษณะหรือธรรมชาติของพระเจ้
า ว่ า เ ป็ น อ ย่ า ง ไ ร เ กี่ ย ว กั บ ธ ร ร ม ช า ติ ข อ ง พ ร ะ เ จ้ า
นักปรัชญาฝ่ายเทวนิยมได้กล่าวไว้ต่าง ๆ กัน พอจะสรุปได้ดังนี้
1. พระเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่จากัด เป็นสิ่งนิรันดรและเป็ นสิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวเอง
พ ระเจ้าเป็ นสิ่งที่ไม่จากัด ห มาย ค วามว่า มีอานาจอย่างไม่สิ้นสุด
ไม่ขึ้นอยู่กับอวกาศ แต่แสดงออกมาเป็ นสิ่งทั้งหลาย ที่อยู่ในอว กา ศ
พระเจ้าเป็ นสิ่งนิรันดร หมายความว่า ไม่ขึ้นอยู่กับกาล คืออยู่เหนือกาล
แต่แสดงออกมาเป็ นเหตุการณ์ในกาล พระเจ้าเป็ นสิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวเอง
หมายความว่าไม่ขึ้นอยู่กับเหตุ แต่เป็นเหตุของโลก
2 . พ ร ะ เ จ้า เ ป็ น สิ่ง ที่ ไ ม่ มี เ งื่ อ น ไ ข แ ล ะ เ ป็ น สิ่ง สัม บู ร ณ์
พระเจ้าเป็ นสิ่งที่ไม่มีเงื่อนไข หมายความว่า ไม่มีสิ่งภายนอกมากาหนด
แต่เป็ นผู้กาห นด ตัวเอง พ ระเจ้าเป็ นสิ่งสัมบูรณ์ ห มาย ค วามว่า
ไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งอื่นนอกจากตัวเอง
3 . พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น ผู้ ส ร้ า ง ห รื อ เ ป็ น ป ฐ ม เ ห ตุ ข อ ง โ ล ก
และเป็นเหตุผลที่สิ้นสุดของโลกพระเจ้าเป็ นผู้สร้างหรือเป็ นปฐมเหตุของโลก
หมายความว่า พระเจ้าเป็ นเหตุแรก โลกเป็ นผล เหตุก็คือการก่อให้เกิดผล
ผ ล ก็ คื อ ก า ร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง รู ป ข อ ง พ ลั ง ง า น ซึ่ ง เ ป็ น เ ห ตุ
พ ลัง ง า น ข อ ง พ ร ะ เ จ้า นั่ น เ อ ง ที่ เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง รู ป ม า เ ป็ น โ ล ก นี้
พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น เ ห ตุ ผ ล ที่ สิ้ น สุ ด ข อ ง โ ล ก ห ม า ย ค ว า ม ว่ า
ส ร ร พ สิ่ ง ใ น โ ล ก ย่ อ ม มี เ ห ตุ ผ ล ส า ห รั บ ค ว า ม มี อ ยู่ ข อ ง มั น
ก ล่า ว คื อ มี สัม พัน ธ ภ า พ ร ะ ห ว่า ง กัน แ ล ะ ร ว ม กัน เ ป็ น เ อ ก ภ า พ
ซึ่งแสดงว่ามีเหตุผลที่สิ้นสุดของโลก และพระเจ้านั่นเองคือเหตุผลที่สิ้นสุด
- 3. 3
4. พระเจ้าเป็นวิญญาณสัมบูรณ์ หรืออัตตาสัมบูรณ์
วิ ญ ญ า ณ สั ม บู ร ณ์ ห รื อ อั ต ต า สั ม บู ร ณ์ นี้
ส ร้ า ง โ ล ก แ ล ะ วิ ญ ญ า ณ ที่ จ า กั ด จ า ก ตั ว เ อ ง
แล้วถ่ายทอดความรักและคุณสมบัติทางวิญญาณให้แก่วิญญาณที่จากัดเหล่านั้
น วิญญาณที่จากัดจึงพยายามจะกลับไปรวมกับวิญญาณสัมบูรณ์นั้นอีก
พระเจ้าเป็นผู้นาทางวิญญาณและจุดหมายปลายทางของมนุษย์
5. พระเจ้าเป็ นผู้ควบคุมจริยธรรม พระเจ้าเป็ นผู้ควบคุมจริยธรรม
จึ ง เ ป็ น ผู้ ส ม บู ร ณ์ ด้ ว ย จ ริ ย ธ ร ร ม มี ค ว า ม ช อ บ ธ ร ร ม สู ง สุ ด
อ า น ว ย ค ว า ม ยุ ติ ธ ร ร ม ใ ห้ แ ก่ ม นุ ษ ย์
มนุษย์ดาเนินไปสู่จุดหมายปลายทางตามเสรีภาพที่พระเจ้ามอบให้
6. พระเจ้าเป็ นที่มาของอุดมคติ นั่นคือ พระเจ้าเป็นที่มาของความจริง
ค ว า ม ดี ค ว า ม ง า ม แ ล ะ ค ว า ม บ ริ สุ ท ธิ์
ก ล่ า ว คื อ ค ว า ม จ ริ ง เ ป็ น อุ ด ม ค ติ ข อ ง ต ร ร ก วิ ท ย า
ความดีเป็นอุดมคติของจริยศาสตร์ ความงามเป็ นอุดมคติของสุนทรียศาสตร์
ค ว า ม บ ริ สุ ท ธิ์ เ ป็ น อุ ด ม ค ติ ข อ ง ศ า ส น า
อุดมคติเหล่านี้มีอยู่ในพระเจ้าแล้วถ่ายทอดมาให้มนุษย์ด้วยอานาจอันไม่จากัด
น อ ก จ า ก ธ ร ร ม ช า ติ ข อ ง พ ร ะ เ จ้ า ที่ นั ก ป รัช ญ า ก ล่ า ว ไ ว้แ ล้ว
นั ก ป รั ช ญ า ฝ่ า ย เ ท ว นิ ย ม ยั ง ไ ด้ ก ล่ า ว ถึ ง ลั ก ษ ณ ะ ต่ า ง ๆ
ของพระเจ้าไว้เพื่อเป็นการตอบคาถามเกี่ยวกับพระเจ้าดังนี้
พ ร ะ เ จ้ า ท ร ง ศั ก ด า นุ ภ า พ ที่ ยิ่ ง ใ ห ญ่ ( Omnipotence)
หมายถึงพระเจ้าเป็นผู้มีอานาจที่ยิ่งใหญ่ มีอานาจทุกอย่าง หรือมีอานาจสูงสุด
ที่ไม่มีขอบเขตจากัด
พ ร ะ เ จ้ า ท ร ง เ ป็ น สั พ พั ญ ญู ( Omniscience)
ห ม า ย ถึง พ ร ะ เ จ้า เ ป็ น ผู้มี ค ว า ม รู้ไ ม่จ า กัด ไ ม่มี ข อ บ เ ข ต จ า กัด
ทรงความรู้ทุกอย่าง ทรงรู้ทั้งพระองค์เองและสรรพ สิ่ง ทั้งในอดีต
อ น า ค ต แ ล ะ ปั จ จุ บั น พ ร ะ เ จ้ า ท ร ง มี ค ว า ม ดี สู ง สุ ด
ห รื อ มี ค ว า ม เ ม ต ต า ก รุ ณ า ที่ ยิ่ ง ใ ห ญ่ ( Omnibenevolence)
หมายถึงพระเจ้าเป็ นผู้มีคุณความดีในหลักศีลธรรมที่สูงสุด เป็ นผู้สร้าง
ผู้ดูแลจักรวาล และเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องเคารพบูชา
ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับพระเจ้า
นักปรัชญาต่าง ๆ พยายามสืบค้นหาความแท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า
แล้วสรุปความคิดรวบยอดออกมาเป็ น 4 ลักษณะด้วยกันคือ
1 . เ ท ว นิ ย ม ( Deism)
มีความเชื่อว่าพระเจ้าเป็ นมหาเทพที่สูงสุดเพียงพระองค์เดียวซึ่งอยู่ภายนอกโล
ก นั่นคือเชื่อว่า พระเจ้าเป็ นเทพอยู่เห นื อโลกโดย ประการทั้ง ป วง
พระองค์เป็นผู้สร้างโลก และสร้างโลกขึ้นจากความว่างเปล่า แล้วมอบพลังต่าง
- 4. 4
ๆ ใ ห้แ ก่โ ล ก แ ล ะ ใ ห้พ ลัง เ ห ล่า นั้ น ค ว บ คุ ม โ ล ก ใ ห้ด า เ นิ น ไ ป
เมื่อโลกมีแนวโน้มจะเสื่อมลงพระเจ้าก็จะช่วยแก้ไขให้โลกดาเนินไปตามปกติ
ดังนั้น เทวนิยม จึงหมายถึง พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เพียงพระองค์เดียว
ดารงอยู่ในฐานะเป็ นพระอติเทพหรือเทพผู้สูงสุด เช่น พระพรหมของฮินดู
เป็นต้น ซึ่งเชื่อกันว่า พระอติเทพเหล่านี้ เป็นผู้สร้างโลก และสรรพสิ่งต่าง ๆ
มาจากความว่างเปล่า แล้วมอบพลังต่าง ๆ ให้แก่โลก
มาร์ติโนอธิบายลักษณะของ Deism ไว้ดังนี้
เกี่ยวกับการสร้างโลก พระเจ้าสร้างโลกขึ้น
ในกาลครั้งหนึ่งก่อนแต่นั้น พระเจ้ามีอยู่อย่างนิรันดรโดยไม่มีโลก
โลกจะแตกสลายไปตามกาลเวลา เช่นเดียวกับสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในเบื้องต้น
แ ล ะ จ ะ ดั บ ส ล า ย ไ ป ใ น ที่ สุ ด แ ม้ ว่ า โ ล ก จ ะ แ ต ก ส ล า ย ไ ป
พ ร ะ เ จ้ า ก็ ยั ง ค ง อ ยู่ อ ย่ า ง นิ รั น ด ร
เ กี่ ย ว กับ ค ว า ม แ ต ก ต่า ง ร ะ ห ว่า ง เ ห ตุ ป ฐ ม ภู มิแ ล ะ เ ห ตุ ทุ ติย ภูมิ
พระเจ้าเป็ นเหตุปฐมภูมิของโลก คือเป็ นผู้สร้างโลกขึ้นแล้วมอบพลังต่าง ๆ
ให้แก่โลก พลังเหล่านั้นเป็นเหตุทุติยภูมิ ซึ่งเป็นส่วนควบคุมโลกให้ดาเนินไป
การเข้ามาช่วยเหลือโลกเป็นครั้งคราว
หลังจากที่พระเจ้าสร้างโลกแล้ว พระองค์ปล่อยให้โลกดาเนินไปเอง
แ ต่ เ มื่ อ เ กิ ด วิ ก ฤ ต ก า ร ณ์ ร้ า ย แ ร ง
พระองค์จะเข้ามาช่วยเหลือโลกให้พ้นจากความเสื่อมโดยใช้พลังธรรมชาติสร้า
งปาฏิหาริย์เพื่อช่วยโลก
พระเจ้าอยู่เหนือโลกโดยสมบูรณ์
พระเจ้าสร้างโลกตามเจตจานงของพระองค์ แล้วปล่อยให้โลกเป็นไปเอง
และเข้ามาช่วยเหลือโลกเป็ นครั้งคราวเมื่อเกิดวิกฤตการณ์อันร้ายแรง
แต่พระองค์อยู่เหนือโลกโดยสมบูรณ์ ไม่ได้ติดอยู่ในโลก
2 . ส ก ล เ ท พ นิ ย ม ( Pantheism) มี ค ว า ม เ ชื่ อ ว่ า
พระเจ้าเป็ นเทพที่อยู่ในโลกนี้ และเป็ นเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกับโลก นั่นคือ
พ ระเจ้าคือสรรพ สิ่ง และสรรพ สิ่งก็คือพ ระเจ้า ( All is God) ค าว่า
“Pantheism” มาจากคาว่า “Pan” (ทั้งหมด, ทั้งปวง) และ “theism”
(เทวนิยม)
ในความเชื่อนี้ สปิโนซ่า (Spinoza) นักปรัชญาตะวันตกสมัยให ม่
ไ ด้ เ ป็ น ผู้ มี ค ว า ม เ ชื่ อ อ ย่ า ง แ น บ แ น่ น โ ด ย ก ล่ า ว ว่ า
“พระเจ้าเป็ นเนื้อสารที่แท้จริงเพียงสิ่งเดียว (God is One Substance)
สสารและจิตเป็ นเพียงคุณลักษณะ 2 ประการของพระเจ้า” ซึ่งหมายถึงว่า
พระเจ้าตามความเชื่ อนี้ ไม่ใช่เทพเจ้าผู้สูงสุด หรือบุคคลผู้มีรูป ร่าง
แต่เป็ นกฎธรรมชาติหรือกฎแห่งเหตุผล หรือกฎแห่งความเปลี่ยนแปลง
นั่นเป็ นสิ่งยืนยันว่า พระเจ้าแบ่งออกเป็ น 2 ภาคคือ เป็ นสสาร และเป็ นจิต
ทั้งสสา รและจิต ขึ้นอยู่กับกฎแห่งค วา มเป ลี่ย นแป ลงอันเดี ย ว กัน
และเป็ นการแสดงออกให้มองเห็นกฎแห่งความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน
- 5. 5
สสารและจิตจึงถือว่าเป็ นคุณลักษณะข องกฎแห่งค วามเปลี่ยนแ ปลง
ในเมื่อสสารและจิตเปลี่ยนแปลง มีอะไรเป็ นสิ่งที่ไม่เปลี่ย นแปลง
สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงนั้นมีสิ่งเดียว คือกฎแห่งความเปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุนี้
ส ปิ โ น ซ่ า จึ ง ก ล่ า ว ว่ า
“พระเจ้าหรือกฎแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเนื้อสารหรือสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงเ
พี ย ง สิ่ ง เ ดี ย ว ” ส ส า ร แ ล ะ จิ ต ต้ อ ง เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ทั้ ง สิ้ น
เพราะเหตุที่สสารและจิตต้องเปลี่ยนแปลงนั่นเอง Pantheism จึงถือว่า
พระเจ้าหรือกฎแห่งความเปลี่ยนแปลงอยู่ในโลกและอยู่ในจิตมนุษย์โดยประกา
รทั้งปวง
3 . ส ร ร พ เ ท ว นิ ย ม ( Theism) มี ค ว า ม เ ชื่ อ ว่ า
พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น เ ท พ ทั้ ง ที่ อ ยู่ เ ห นื อ โ ล ก แ ล ะ อ ยู่ ใ น โ ล ก
แ ต่ อ ยู่ เ ห นื อ วิ ญ ญ า ณ ม นุ ษ ย์ โ ด ย ป ร ะ ก า ร ทั้ ง ป ว ง ที่ เ ชื่ อ ว่ า
พ ระเจ้าเป็ นเทพ ทั้งที่อยู่เห นื อโลกและอยู่ในโลก ห มาย ค วามว่า
พระเจ้าเป็ นผู้สร้างโลก แต่อยู่พ้นโลกขึ้นไปในฐานะเป็ นอานาจอันไม่จากัด
ซึ่ ง ข ย า ย พ้ น ข อ บ เ ข ต ข อ ง โ ล ก ที่ จ า กั ด ขึ้ น ไ ป
แต่ในขณะเดียวกันพระเจ้าก็คุ้มครองโลกไว้ด้วยเจตจานงของตนคือต้องใช้อา
นาจของตนในโลกนี้ ที่เชื่อว่า พระเจ้าอยู่เหนือวิญญาณมนุษย์ หมายความว่า
พ ร ะ เ จ้ า ส ร้ า ง วิ ญ ญ า ณ ม นุ ษ ย์ แ ล ะ ม อ บ เ จ ต จ า น ง เ ส รี ใ ห้
แ ล้ ว ป ล่ อ ย ใ ห้ ด า เ นิ น ไ ป สู่ จุ ด ห ม า ย ป ล า ย ท า ง ด้ ว ย ต น เ อ ง
ห ลั ง จ า ก ม อ บ เ จ ต จ า น ง เ ส รี ใ ห้ แ ล้ ว
พ ร ะ เ จ้ า ไ ม่ ไ ด้ ม า ยุ่ ง เ กี่ ย ว กั บ วิ ญ ญ า ณ ม นุ ษ ย์ อี ก
ม นุ ษ ย์ อ า จ ใ ช้ เ จ ต จ า น ง เ ส รี ท า ค ว า ม ดี ห รื อ ค ว า ม ชั่ ว ก็ ไ ด้
ถ้ า พ ร ะ เ จ้ า อ ยู่ ใ น วิ ญ ญ า ณ ม นุ ษ ย์
ก็จะต้องรับผิดชอบต่อความชั่วที่มนุษย์สร้างขึ้น ดังนั้น สรรพเทวนิยม เชื่อว่า
“พระเจ้าคือสภาวะที่อยู่เหนือโลก และในโลก แต่เหนือวิญญาณมนุษย์”
4 . ส า ก ล เ ท พ นิ ย ม ( Panentheism) มี ค ว า ม เ ชื่ อ ว่ า
พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น เ ท พ ทั้ ง อ ยู่ เ ห นื อ โ ล ก แ ล ะ อ ยู่ ใ น โ ล ก
ทั้งอยู่เหนือวิญญาณมนุษย์และอยู่ในวิญญาณมนุษย์โลก กล่าวคือ
ที่ เ ชื่ อ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า อ ยู่ เ ห นื อ โ ล ก ห ม า ย ค ว า ม ว่ า
พระเจ้าเป็นวิญญาณที่ไม่จากัด
ที่เชื่อว่า พระเจ้าอยู่ในโลก หมายความว่า พระเจ้าแสดงอานาจในโลกนี้
ที่เชื่ อว่า พ ระเจ้าอยู่ เห นื อ วิญ ญา ณ ม นุ ษย์ ห มาย ค ว า ม ว่า
พระเจ้าปล่อยให้วิญญาณมนุษย์ดาเนินไปสู่จุดหมายปลายทางด้วยตัวเอง
ที่ เ ชื่ อ ว่า พ ร ะ เ จ้า อ ยู่ ใ น วิ ญ ญ า ณ ม นุ ษ ย์ ห ม า ย ค ว า ม ว่ า
พระเจ้าอยู่ในฐานะเป็นผู้นาทางวิญญาณมนุษย์
พิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้า
- 6. 6
(Proof for Existence of God)
กั บ ค า ถ า ม ที่ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า มี อ ยู่ จ ริ ง ห รื อ ไ ม่ ?
ปัญหานี้เป็ นปัญหาที่นักปรัชญาและนักการศาสนาพยายามหาข้อพิสูจน์
โด ย ที่นักการศ าส นาฝ่ าย เท วนิย มพ ย าย า มพิ สูจ น์ ว่า พ ระเจ้า มี
ในขณะที่นักการศาสนาฝ่ ายอเทวนิยมพยายามพิสูจน์ว่า พระเจ้าไม่มี
แ ม้แ ต่นัก ป รัช ญ า เ ท ว นิ ย ม แ ล ะ นัก ป รัช ญ า จิต นิ ย ม ก็ เ ช่ น กัน
พยายามหาเหตุผลและข้อเท็จจริงมาประกอบการพิสูจน์ให้เห็นจริงว่า
พระเจ้ามีอยู่จริง เพื่อเป็นการหักล้างข้อโต้แย้งของฝ่ายอเทวนิยมที่มักอ้างว่า
พ ร ะ เ จ้ า ไ ม่ มี จ ริ ง
ข้อพิสูจน์ ข องพ วกเทวนิย มจานวนมากก็อาศัย ข้ออ้างทางศาสนา
คือหลักศรัทธ า และมีอยู่จานวนไม่น้อย ที่อาศัย ข้ออ้างทางป รัช ญา
นั่นคือหลักเหตุผลและประสบการณ์ของมนุ ษย์ นักอภิปรัชญาถือว่า
ข้อ พิ สู จ น์ ที่ อ า ศัย ห ลัก เ ห ตุ ผ ล แ ล ะ ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ข อ ง ม นุ ษ ย์
เป็นข้อพิสูจน์ที่ควรเชื่อถือได้มากกว่า
นั ก ป รั ช ญ า ฝ่ า ย เ ท ว นิ ย ม ( Theism)
ก ล่ า ว คื อ ก ลุ่ ม นั ก ป รั ช ญ า ที่ เ ชื่ อ ค ว า ม มี อ ยู่ ข อ ง พ ร ะ เ จ้ า
ได้กล่าวถึงลักษณะของพระเจ้าไว้ว่า
พ ระเจ้าเป็ น อส สา ร ( Non – corporeal) คือเป็ นจิต บ ริสุ ท ธิ์
ไม่มีตัวตนที่จะเห็นได้หรือสัมผัสได้อย่างสสาร
พระเจ้าทรงสรรพเดชะ (Omnipotent) คือมีอานาจเต็มบริบูรณ์
สามารถทาทุกอย่างได้โดยไม่มีอะไรติดขัดหรือขัดข้อง เช่น การสร้างโลก สัตว์
พืช เป็นต้น
พระเจ้าทรงสรรพญาณะ (Omniscient) คือมีความรู้เต็มบริบูรณ์
ทรงรอบรู้ทุกอย่าง รู้ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต
พ ร ะ เ จ้ า ท ร ง มี อ ยู่ ทุ ก แ ห่ ง แ ล ะ ทุ ก ข ณ ะ ( Omnipresent)
คือไม่ถูกจากัดด้วยกาลและอวกาศ
พ ร ะ เ จ้ า ท ร ง เ ป็ น อ ง ค์ แ ห่ ง ค ว า ม ดี สู ง สุ ด ( All good)
คือทรงรักและเมตตาต่อมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว
น อ ก จ า ก ลั ก ษ ณ ะ ดั ง ก ล่ า ว แ ล้ ว
ฝ่ายเทวนิยมได้พยายามที่จะพิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าโดยนาเหตุผลต่าง ๆ
มาประกอบ
เหตุผลที่นามาประกอบการพิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้านั้นมี 4 ประการคือ
1. เหตุผลทางจักรวาลวิทยา (Cosmological Argument)
2. เหตุผลทางเจตจานง หรือวัตถุประสงค์ (Teleological Argument)
3. เหตุผลทางภววิทยา (Ontological Argument)
4. เหตุผลทางจริยธรรม (Moral Argument)
- 7. 7
เ ห ตุ ผ ล ท า ง จั ก ร ว า ล วิ ท ย า ( Cosmological Argument)
ข้อพิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าโดยอาศัยเหตุผลทางจักรวาลวิทยานี้
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ข้อพิสูจน์จากการเป็นสาเหตุ (The Causal Argument)
ไ ด้ถื อ ว่า โ ล ก นี้ เ ป็ น สิ่ง ที่ ไ ม่แ น่ น อ น ไ ม่อิส ร ะ เ ป็ น สิ่ง สัมพัทธ์
เ ป็ น สิ่ง จ า กัด แ ล ะ เ ป็ น ผ ล จึง ต้อ ง อ า ศัย สิ่ง ที่ อิส ร ะ สิ่ง สัม บู ร ณ์
สิ่ ง ที่ ไ ม่ จ า กัด แ ล ะ เ ป็ น เ ห ตุ นั่ น คื อ อ้ า ง เ ห ตุ ผ ล ว่ า สิ่ ง ต่ า ง
ๆ ใ น ธ ร ร ม ช า ติ จ ะ เ กิ ด ขึ้ น เ อ ง ล อ ย ๆ ไ ม่ ไ ด้ ต้ อ ง มี ส า เ ห ตุ
เมื่อสรรพสิ่งในจักรวาลมีอยู่จริง สาเหตุของมันก็ต้องมีอยู่จริงด้วย
สาเหตุนั้นจะต้องไม่ใช่มนุษย์ หากแต่จะต้องยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์นั่นคือ พระเจ้า
ดังนั้น พระเจ้าจึงมีอยู่จริง กล่าวคือสรรพสิ่งในโลกจะต้องอาศัยสิ่งอื่น
มั น ไ ม่ ส า ม า ร ถ มี ไ ด้ ห รื อ เ ป็ น อ ยู่ ไ ด้ ด้ ว ย ตั ว มั น เ อ ง
โ ล ก นี้ อ ยู่ ภ า ย ใ ต้ ก ฎ แ ห่ ง ก า ล แ ล ะ อ ว ก า ศ
จ า เ ป็ น อ ย่ า ง ยิ่ ง ที่ จ ะ ต้อ ง อ า ศัย สิ่ง ที่ อ ยู่ เ ห นื อ ก า ล แ ล ะ อ ว ก า ศ
และโลกนี้เป็ นผลจะต้องอาศัยสิ่งที่เป็ นสาเหตุ สรรพสิ่งที่เป็ นผลจะต้องมีเหตุ
เ ห ตุ เ ห ล่ า นี้ เ ป็ น ผ ล ข อ ง อี ก เ ห ตุ ห นึ่ ง สื บ ต่ อ ไ ป
นั่นแสดงให้เห็นว่าจะต้องมีปฐมเหตุให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ซึ่งคงอยู่ด้วยตัวเอง
เป็นอิสระไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งอื่น ๆ
ดังนั้น สิ่งที่อิสระ สิ่งสัมบูรณ์ สิ่งที่ไม่จากัดและเป็ นปฐมเหตุนั้นคือ
พระเจ้า เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงมีอยู่ มาร์ติโนได้อธิบายลักษณะของ Deism
โ ด ย อ า ศัย ห ลัก เ ห ตุ ผ ล ท า ง จัก ร ว า ล วิท ย า เ ช่ น กัน โ ด ย เ ชื่ อ ว่า
“มีพ ระเจ้าโ ด ย อ าศัย ก ฎ เห ตุ ผ ล ซึ่งมีเห ตุ มีอานาจ และมี พ ลัง
พระเจ้าเป็นปฐมเหตุของโลก”
เหตุผลทางเจตจานง หรือวัตถุประสงค์ (Teleological Argument)
ข้อพิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าโดยอาศัยเหตุผลทางเจตจานงหรือวัตถุประสง
ค์นี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ข้อพิสูจน์จากความเป็ นระเบียบทางธรรมชาติ
(Argument from Design) ได้ถือว่า โลกนี้ มีเอ ก ภา พ มีระเ บี ย บ
มีความกลมกลืน เช่นมีที่ราบ ภูเขาและสมุทร มีพืช สัตว์และมนุษย์
ซึ่ ง ต่า ง ก็ ป รับ ตัว ต า ม ร ะ เ บี ย บ ที่ ก า ห น ด ไ ว้ แ ล้ว ใ น ธ ร ร ม ช า ติ
แสด งใ ห้เห็นว่า โลกนี้ จะต้องมีผู้ออกแบบที่ช าญฉลา ด สร้า งขึ้นมา
และมีวัตถุประสงค์จะให้เป็ นไปเช่นนั้น ผู้ออกแบบสร้างโลกคือพระเจ้า
ซึ่งมีสติปัญญาเป็นอนันตะ ทรงไว้ซึ่งอานาจทิพย์ เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงมีอยู่
เ ช่ น เ ดี ย ว กับ บ้ า น ที่ เ ร า อ ยู่ อ า ศัย ก่ อ น ที่ จ ะ มี วัต ถุ สิ่ ง ข อ ง
และห้องเป็ น สัด ส่วน ส วย งา ม จะต้องมีส ถา ป นิ ก ห รือนาย ช่ า ง
เ ป็ น ผู้ อ อ ก แ บ บ ฉั น ใ ด
โลกนี้ก็จะต้องมีสถาปนิกผู้ออกแบบให้โลกประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ
อย่างเป็นระเบียบ มีความกลมกลืนกัน ฉันนั้น
เ ห ตุ ผ ล ท า ง ภ ว วิ ท ย า ( Ontological Argument)
ข้อพิสูจน์ ค วามมีอยู่ข องพ ระเจ้าโด ย อาศัย เห ตุผ ลทางภววิทยานี้
- 8. 8
เป็ นการอนุมานจากความคิดโดยถือว่ามนุษย์มีความคิดเกี่ยวกับพระเจ้า
พระเจ้าเป็นสิ่งสัมบูรณ์ สิ่งสัมบูรณ์เป็นสิ่งที่มีอยู่ เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงมีอยู่
ข้ อ พิ สู จ น์ นี้ เ ป็ น ก า ร อ นุ ม า น ว่ า พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น สิ่ ง ที่ มี อ ยู่
จากการที่มนุษย์คิดได้เกี่ยวกับพระเจ้า หรือสิ่งที่มีศักยภาพเหนือตัวเอง
ดั ง ที่ เ ซ น ต์ แ อ น เ ซ ล ม์ ( St. Anselm)
ผู้ซึ่งเป็ นคนแรกที่เสนอวิธีการพิสูจน์นี้ขึ้นในสมัยกลาง ได้ให้ความเห็นว่า
“พระเจ้ามีอยู่โดยอาศัยความเข้าใจหรือความคิดเกี่ยวกับสิ่งสัมบูรณ์”
เดส์การ์ตส์ (Descartes) ได้ให้ความเห็นว่า “พระเจ้าเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง
โ ด ย อ า ศั ย ที่ ตั ว เ อ ง มี ค ว า ม คิ ด เ กี่ ย ว กั บ พ ร ะ เ จ้ า ”
เขาได้พิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าว่า การที่ข้าพเจ้ามีความคิดที่สมบูรณ์
และแจ่มชัดกว่าความคิดที่ได้จากประสบการณ์ และความคิดที่จิตสร้างขึ้นนั้น
เ พ ร า ะ ข้า พ เ จ้า มี ค ว า ม คิด ติด ตัว ม า แ ต่ ก า เ นิ ด ( Innate Idea)
และความคิดดังกล่าวนี้ พระเจ้าเป็ นต้นเหตุบันดาลให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น
พระเจ้าจึงมีอยู่
เ ห ตุ ผ ล ท า ง จ ริ ย ธ ร ร ม ( Moral Argument)
ข้อพิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าโดยอาศัยเหตุผลทางจริยธรรมนี้ ได้ถือว่า
พระเจ้าเป็ นผู้ค วบคุมจริยธ รรม หากพระเจ้าไม่มี คนที่ทาค วามดี
ย่ อ ม จ ะ ไ ม่ไ ด้รับ ก า ร ย ก ย่ อ ง ส นั บ ส นุ น แ ล ะ ค น ที่ ท า ค ว า ม ชั่ ว
ย่อมจะไม่ได้รับการลงโทษ แล้วโลกนี้ ก็จะไม่มีค วามเที่ย งธ รรม
เ ร า อ า จ จ ะ สัง เ ก ต เ ห็ น ว่ า ใ น โ ล ก นี้ ค น ที่ ท า ดี แ ล้ ว ไ ม่ ไ ด้ดี
หรือกลับได้รับความทุกข์ บางคนทาความชั่วแล้วกลับได้รับความสุข
แ ล้ว ค น เ ห ล่า นี้ ก็ ต า ย ไ ป ทั้ง ๆ ที่ ยัง ไ ม่ไ ด้รับ ค ว า ม ยุ ติ ธ ร ร ม
แ ต่ ค ว า ม ยุ ติ ธ ร ร ม มี อ ยู่ จ ริ ง
และชีวิตในโลกนี้ชีวิตเดียวที่ยังไม่ได้รับความยุติธรรม ต้องรอรับในชีวิตหน้า
และผู้ประกันค วามยุ ติธ รรมให้มนุ ษย์ จะต้องมีอานาจเห นือ ม นุ ษย์
นั่ น คื อ พ ร ะ เ จ้ า ดั ง นั้ น พ ร ะ เ จ้ า จึ ง มี อ ยู่
เพื่อให้ความยุติธรรมแก่มนุษย์ในปรโลกหรือชีวิตหน้า
เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าเป็นผู้ประทานรางวัลแก่ผู้ทาความดี
และลงโทษผู้ที่ท าค วา มชั่ ว ในโลกนี้ ต ลอด ถึงชี วิต อนาค ต ด้ว ย
เพื่อให้เกิดความยุติธรรม
ม า ร์ ติ โ น ( James Martineau : 1 8 0 5 - 1 9 0 0 )
นั ก ป รั ช ญ า ศ า ส น า ช า ว อั ง ก ฤ ษ
ใ ห้เ ห ตุ ผ ล เ กี่ ย วกับ ค ว า ม มี อ ยู่ข อง พ ร ะ เ จ้า ใน เ ชิง จ ริย ธ ร ร มว่า
กฎศีลธรรมที่ใช้บังคับแก่เรา จะเป็ นกฎที่ไม่มีใครสร้างขึ้นไม่ได้
แ ต่เ ป็ น ก ฎ ข อ ง พ ร ะ เ จ้า ซึ่ ง ถ่า ย ท อ ด ม า ใ ห้ เ ร า ท า ง ม โ น ธ ร ร ม
พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น แ ห ล่ ง ที่ ม า ข อ ง พั น ธ ะ ท า ง ศี ล ธ ร ร ม
เ พ ร า ะ พั น ธ ะ ท า ง ศี ล ธ ร ร ม นั้ น ไ ม่ มี ใ ค ร ย ก เ ลิ ก ไ ด้
- 9. 9
ถ้ า บุ ค ค ล ใ น สั ง ค ม ห รื อ รั ฐ ส ร้ า ง พั น ธ ะ ท า ง ศี ล ธ ร ร ม นั้ น
พันธะทางศีลธรรมนั้นก็อาจยกเลิกได้ตามความต้องการของบุคคลหรือสถาบัน
เหล่านั้น ในโลกนี้มีบุคคลที่แตกต่างกัน บางคนมีศีลธรรมดีกว่าบางคน
และพัฒนาให้ดีกว่าขึ้นไปเรื่อย ๆ เราจึงเชื่อว่าต้องมีบุคค ลที่ดี ที่สุด
สมบูรณ์ ที่สุด บริสุทธิ์ที่สุด อยู่แน่นอน และบุค ค ลนั้นก็คือ พ ระเจ้า
ผู้มีความสมบูรณ์โดยประการทั้งปวงนักปรัชญาฝ่ายอเทวนิยม (Atheism)
คื อ ฝ่ า ย ที่ ไ ม่ เ ชื่ อ ใ น ค ว า ม มี อ ยู่ ข อ ง พ ร ะ เ จ้ า
พวกเขาได้พยายามหาเหตุผลมาลบล้างข้อพิสูจน์ของฝ่ายเทวนิยม ดังนี้
การอ้างว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีสาเหตุ และสาเหตุนั้นคือพระเจ้า
เป็นการอ้างที่มีข้อบกพร่อง เพาะถ้าอ้างว่าทุกสิ่งมีสาเหตุ และข้ออ้างนี้เป็ นจริง
พ ร ะ เ จ้ า ก็ ต้ อ ง มี ส า เ ห ตุ ก า ร มี อ ยู่ ข อ ง พ ร ะ เ จ้ า เ ช่ น กั น
แ ล ะ อ ะ ไ ร เ ป็ น ส า เ ห ตุ ใ ห้ พ ร ะ เ จ้ า มี อ ยู่
ถ้ า ต อ บ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า ไ ม่ ต้ อ ง มี ส า เ ห ตุ ใ ห้ พ ร ะ อ ง ค์ มี อ ยู่
พ ร ะ อ ง ค์ ท ร ง เ ป็ น เ อ ง ก็ ขัด กับ ก า ร อ้า ง ที่ ว่า ทุ ก สิ่ง ต้อ งมี สาเ ห ตุ
จึงเป็นการขัดแย้งในตัวเอง
การอ้างว่าความเป็ นไปในสิ่งต่าง ๆในจักรวาลเป็ นไปอย่างมีระเบียบ
แสดงถึงมีผู้วางแผนสร้างไว้อย่างดี ผู้นั้นคือพระเจ้า การอ้างเช่นนี้บกพร่อง
เ พ ร า ะ ว่ า เ ร า ไ ม่ เ ค ย เ ห็ น ก า ร ส ร้ า ง ด ว ง ด า ว อื่ น ๆ ม า ก่ อ น
ถ้ า เ ร า เ ค ย เ ห็ น พ ร ะ เ จ้ า ส ร้ า ง ด ว ง จัน ท ร์ ส ร้ า ง ด า ว อัง ค า ร
เ ร า ก็ อ า จ ส รุ ป ไ ด้ ว่ า โ ล ก มี ผู้ ส ร้ า ง
แต่ในความเป็นจริงเราไม่เคยเห็นพระเจ้าและไม่เคยเห็นการสร้างดวงดาวต่าง
ๆ ในจักรวาลเลย
ก า ร อ้ า ง ว่ า พ ร ะ เ จ้ า ท ร ง รั ก ม นุ ษ ย์ แ ล ะ โ ล ก
เ ป็ น ก า ร อ้ า ง ที่ ขั ด แ ย้ ง กั บ ค ว า ม เ ป็ น จ ริ ง
คื อ ส ภ า พ ข อ ง โ ล ก ยั ง มี ค ว า ม ชั่ ว ร้ า ย ที่ ม นุ ษ ย์ ต้ อ ง ป ร ะ ส บ
ถ้าพระเจ้ารักมนุษย์จริงก็ต้องขจัดความชั่วร้ายให้หมดไปจากโลกเพราะพระเจ้
า เ ป็ น ผู้ ท ร ง เ ด ช า นุ ภ า พ
แต่เมื่อความชั่วร้ายยังมีอยู่แสดงว่าพระเจ้าไร้ความรักหรือความเมตตาต่อมนุ
ษย์
การอ้างว่าผู้ที่ไม่ได้รับความยุติธรรมในโลกนี้จะได้รับความยุติธรรมใน
โ ล ก ห น้ า เ ป็ น ก า ร อ้ า ง ที่ ไ ม่ เ พี ย ง พ อ
เพราะอาจเป็ นความจริงของโลกเองที่ไม่มีความยุติธรรมต่อมนุษย์อยู่แล้ว
ห รื อ อ า จ เ ป็ น อ ยู่ อ ย่ า ง นั้ น
และการที่จะได้รับความยุติธรรมในโลกหน้านั้นก็ไม่รู้แน่ชัดว่าโลกหน้ามีจริงห
รือไม่ ห รือในค วามเป็ นจริงห ากมีค วามยุ ติธ รรมและมีโลกห น้ า
มนุษย์ก็สามารถได้รับความยุติธรรมในโลกหน้าได้โดยไม่จาเป็นต้องมีพระเจ้า
ก า ร พิ สู จ น์ ท า ง ภ ว วิ ท ย า ที่ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า มี อ ยู่ จ า ก ค ว า ม เ ข้า ใ จ
หรือความคิดเกี่ยวกับพระเจ้า ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ที่ถูกต้อง
- 10. 10
ทฤษฎีการสร้างโลก (Cosmogony)
ท ฤ ษ ฎี ก า ร ส ร้ า ง โ ล ก ห รื อ ท ฤ ษ ฎี ก า ร ก า เ นิ ด จัก ร ว า ล
เป็ นการพยายามให้คาตอบเกี่ยวกับการกาเนิดของโลกหรือจักรวาลว่า
โ ล ก ห รื อ จัก ร ว า ล เ กิ ด ขึ้ น ม า ไ ด้ อ ย่ า ง ไ ร ? ท ฤ ษ ฎี นี้ ถื อ ว่ า
พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น ผู้ ส ร้ า ง โ ล ก ขึ้ น โ ด ย ฉั บ พ ลั น
พร้อมด้วยบริวารของโลกและสิ่งที่อาศัยโลกได้แก่ ดาวพระเคราะห์ ดาวบริวาร
พื ช และสัต ว์ สิ่งเห ล่านี้ ค งรูปอยู่อย่างเดิมเห มือ นเ มื่อ แร ก ส ร้า ง
และจะดาเนินต่อไปในรูปเดิม
ทฤษฎีการสร้างโลกมี 2 แบบคือ
1. การสร้างโลกแบบสัมบูรณ์
2. การสร้างโลกแบบมีเงื่อนไข
ก า ร ส ร้ า ง โ ล ก แ บ บ สั ม บู ร ณ์ ห ม า ย ค ว า ม ว่ า
พระเจ้าสร้างโลกขึ้นอย่างฉับพลัน จากความไม่มีอะไรหรือจากความว่างเปล่า
ใ น ลัก ษ ณ ะ ก า ร เ น ร มิต ว่า ข อ ใ ห้โ ล ก เ กิด ขึ้น แ ล้ว โ ล ก เ กิด ขึ้น
ซึ่งในขณะนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากพระเจ้า พระเจ้าเป็ นผู้สมบูรณ์ทุกอย่าง
จ ะ ไ ม่ ส ร้ า ง โ ล ก ขึ้ น เ ล ย ก็ ไ ด้
แต่พระองค์สร้างโลกขึ้นเพื่อถ่ายทอดความดีงามทั้งปวงให้แก่สิ่งที่จากัด
ก า ร ส ร้ า ง โ ล ก แ บ บ มี เ งื่ อ น ไ ข ห ม า ย ค ว า ม ว่ า
พระเจ้าสร้างโลกจากสสารที่มีอยู่แล้ว พระเจ้ากับสสารเป็ นสิ่งนิรันดรด้วยกัน
แ ต่ ส ส า ร ด า ร ง อ ยู่ อ ย่ า ง ไ ร้ ร ะ เ บี ย บ
พระเจ้าจึงใช้สสารอันไร้ระเบียบสร้างขึ้นเป็นโลกอันมีระเบียบ
ทฤษฎีการสร้างโลก 2 แบบไม่สมเหตุสมผลทางปรัชญา กล่าวคือ
ถ้า พ ร ะ เ จ้า ส ร้า ง โ ล ก จ า ก ค ว า ม ไ ม่มี อ ะ ไ ร ห รื อ ค ว า ม ว่า ง เ ปล่า
ความไม่มีอะไรหรือความว่างเปล่านั้นจะเป็ นเหตุเชิงวัสดุขอ งโล ก
ต า ม ธ ร ร ม ด า เ ห ตุ จ ะ ถ่ า ย ท อ ด ธ ร ร ม ช า ติ ข อ ง มัน ใ ห้ แ ก่ ผ ล
ผลก็จะเป็ นความไม่มีอะไรหรือความว่างเปล่า นั่นคือโลกเป็ นสิ่งที่ไม่มีอยู่
ถ้าพระเจ้าสร้างโลกจากสสารที่มีอยู่แล้ว พระเจ้าก็กลายเป็ นสิ่งจากัด
เพราะสสารและพระเจ้าเป็ นสิ่งนิรันดรด้วยกัน พระเจ้าควบคุมสสารไม่ได้
ไม่สมกับที่พระเจ้าเป็นผู้มีอานาจไม่จากัด
1.2 ศึกษาความหมายและความเป็ นมาของวิชาปรัชญา
จักรวาลวิทยา (Cosmology)
คาว่า “จักรวาล” หมายถึง อวกาศทั้งหมด และสรรพสิ่งที่อยู่ในอวกาศ
ไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะใดห รือที่ไหนในโลกหรือในอวกาศนอ กโล ก
สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเรียกว่า “จักรวาล”
- 11. 11
จั ก ร ว า ล วิ ท ย า
เป็ นการศึกษาค้นคว้าและหาคาตอบเกี่ย วกับจักรวาลและสิ่งต่าง ๆ
ใ น จั ก ร ว า ล ว่ า มี ค ว า ม เ ป็ น ม า อ ย่ า ง ไ ร
สรรพสิ่งในจักรวาลมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ หรือมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
ส า ม า ร ถ ด า เ นิ น ต่ อ ไ ป ไ ด้ อ ย่ า ง ไ ร เ มื่ อ เ ป็ น เ ช่ น นี้
จักรวาลวิทยาจึงศึกษาเกี่ยวกับปัญหาของจักรวาลดังต่อไปนี้ (รศ.ดร.สุจิตรา
รณรื่น : 2540)
1 . ปั ญ ห า เ กี่ ย ว กั บ ข น า ด ข อ ง จั ก ร ว า ล
นั่นคือปัญหาที่ว่าจักรวาลมีขอบเขตหรือไม่ คือมีขนาดรู้จักจบหรือไม่
เกี่ยวกับปัญหานี้มีคาตอบ 2 กลุ่มคือ
กลุ่มนักปรัชญาที่เชื่อว่าจักรวาลไร้ขอบเขต กล่าวคือมีขนาดไม่รู้จบ
กลุ่มนักคณิตศาสตร์เชื่อว่า จักรวาลมีขอบเขตจากัด คือมีขนาดรู้จักจบ
2 . ปั ญ ห า เ กี่ ย ว กั บ ก า ร วิ วั ฒ น า ก า ร ข อ ง จั ก ร ว า ล
นั่นคือปัญหาที่ว่าจักรวาลมีความเป็ นมาอย่างไร และจะดาเนินไปอย่างไร
เ ป็ น เ รื่ อ ง ที่ ย า ก แ ก่ ก า ร ใ ห้ ค า ต อ บ
เพราะไม่มีเครื่องมือสาหรับสอดส่องย้อนไปดูอดีตเพื่อหาจุดเริ่มต้นของจักรวา
ลได้ เกี่ยวกับปัญหานี้มีคาตอบ 2 กลุ่มคือ
ก ลุ่ ม นั ก ค ณิ ต ศ า ส ต ร์
เชื่อว่าจักรวาลเมื่อเกิดขึ้นและวิวัฒนาการเต็มที่แล้วจะค่อย ๆ ดับลง
เ พ ร า ะ ก า ร สู ญ เ สี ย พ ลัง ง าน จัก ร ว า ล จึง มี ก า ร เ สื่ อ ม ล ง เ รื่ อ ย ๆ
จนหมดพลังงานและในที่สุดสรรพสิ่งก็จะหยุดนิ่งและดับลง
อีกกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าจักรวาลจะไม่ดับลง เพราะในเมื่อจักรวาลไร้ขอบเขต
ห รือมีข นาด ไม่รู้จักจบก็ จะ มีพ ลังงา นที่ มีปริมา ณไม่รู้จ บเ ช่ น กัน
หรือในแง่หนึ่งจะต้องมีการสร้างพลังงานใหม่ขคชึ้นทดแทนพลังงานเก่าที่เสียไ
ป
3. ปัญหาเรื่องจักรวาลกาลังขยายตัว จากการค้นพบของฮับเบิลในปี
ค . ศ . 1 9 2 9 ท า ใ ห้ ท ร า บ ว่ า จั ก ร ว า ล ก า ลั ง ข ย า ย ตั ว
โด ย เข าใช้เค รื่องแยกแสงต รวจสอบแสงจากแกแลกซี่ ( Galaxy)
จานวนมากมายในอวกาศ (แกแลกซี่คือกลุ่มดาวแบบทางช้างเผือ ก
คื อ ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย ด า ว จ า น ว น ม า ก ม า ย ร ว ม กุ ล่ ม กั น )
พบว่าเส้นดาเคลื่อนไปทางแถบแสงสีแดงในสเปคตรัม (Spectrum
คือแถบแสงเจ็ดสีที่ได้จากการแยกแสงคือม่วง คราม น้าเงิน เขียว เหลือง แสด
แ ด ง )
ทาให้ทราบว่าแกแลกซี่กาลังเคลื่อนที่ห่างออกไปจากแกแลกซี่ของเราด้วยควา
มความเร็วสูง แสดงให้เห็นว่าจักรวาลกาลังขยายตัวไปทุกทิศทาง
นักดาราศาสตร์บางท่านไม่เชื่อว่าจักรวาลกาลังขยายตัวโดยให้เหตุผลว่า
การที่แสดงจากแกแลกซี่ต่าง ๆ ที่รับโดยสเปคโตรสโคปหรือเครื่องแยกแสง
- 12. 12
ป ร า ก ฏ ว่ า เ ส้ น ด า เ ค ลื่ อ น ไ ป ท า ง แ ถ บ แ ส ง สี แ ด ง นั้ น
อาจไม่ใช่เป็นผลมาจากจักรวาลกาลังขยายตัว
4 . ปัญห าเรื่องเวลา ( Time) นั่ นคือปัญห าที่ว่า เวลาคืออะไร
มี จ ริ ง ห รื อ ไ ม่ ถ้ า มี จ ริ ง มี ลั ก ษ ณ ะ เ ป็ น อ ย่ า ง ไ ร
เหตุที่เราไม่สามารถหาความแจ่มแจ้งเกี่ยวกับเวลาได้เพราะเราไม่มีเครื่องมือใ
ด ม า ต ร ว จ ส อ บ ห รื อ ส อ ด ส่ อ ง ดู ค ว า ม เ ป็ น ไ ป ข อ ง มั น
ไ ม่ส า ม า ร ถ ย้ อ น ก ลับ ไ ป ดู อ ดี ต ห รื อ ม อ ง อ อ ก ไ ป ดู อ น า ค ต ไ ด้
น อ ก จ า ก ดู ใ น ปั จ จุ บั น เ ท่ า นั้ น
จึ ง ท า ใ ห้ เ กิ ด ค ว า ม สั บ ส น เ กี่ ย ว กั บ เ รื่ อ ง เ ว ล า อ ย่ า ง ม า ก
ลักษณะของเวลาที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันมี 3 ประเภทคือ
เ ว ล า น า ฬิ ก า
เป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์หรือสร้างขึ้นเพื่อใช้บอกเวลาโดยกาหนดจากการหมุน
รอบตัวเองของโลกเป็ นหลัก โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบถือเป็ น 1 วัน
หมุนรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบถือเป็ น 1 ปี แล้วแบ่งปี เป็ นเดือน และวัน
แ บ่ ง วั น เ ป็ น ชั่ ว โ ม ง น า ที แ ล ะ วิ น า ที นี่ คื อ เ ว ล า น า ฬิ ก า
ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวกับเวลาที่แท้จริง
เวลาจิตวิทยา หรือเวลาแห่งการรับรู้ เวลาชนิดนี้เป็ นเวลาอัต วิสัย
( Subjective time) ห รื อ เ ว ล า ใ น ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ข อ ง บุ ค ค ล
เวลาจิตวิทยาคือประสบการณ์ต่อเนื่องของความรู้สึกตัวของปัจเจกบุคคล
ห รื อ ค ว า ม รู้ สึ ก ตั ว เ อ ง นั่ น เ อ ง คื อ เ ว ล า
ดังนั้นก็แสดงว่าในขณะที่เรานอนหลับหรือหมดสติไปก็เท่ากับว่าในขณะนั้นไ
ม่มีเวลาสาหรับเรา เวลาจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งเมื่อเรารู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
เ ว ล า ใ น ลั ก ษ ณ ะ นี้ ไ ม่ ใ ช่ เ ว ล า ที่ แ ท้ จ ริ ง
เ พ ร า ะ เ ว ล า ที่ แ ท้ จ ริ ง จ ะ ต้ อ ง ต่ อ เ นื่ อ ง กัน ไ ป ไ ม่ มี จุ ด สิ้ น สุ ด
เวลาจิต วิทย าห รื อเ วล าใน ค ว าม รู้สึ กอา จย า วห รือ สั้น ก็ ได้ เช่น
เ มื่ อ ไ ด้ รั บ ค ว า ม ทุ ก ข์ จ ะ รู้ สึ ก ว่ า เ ว ล า ย า ว น า น
แต่เมื่อได้รับความสุขจะรู้สึกว่าเวลาสั้นเกินไป
เ ว ล า ที่ แ ท้ จ ริ ง
ทฤษฎีที่ตอบว่าเวลาที่แท้จริงไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลา ได้แก่
เวลาของพระเจ้า (God’s time) เซนต์ ออกัสติน (Saint Augustin)
เ ส น อ ว่ า ต า ม ห ลั ก ก า ร ข อ ง ศ า ส น า ค ริ ส ต์
สรรพ สิ่งในจักรวาลเกิด จากการสร้างของพระเจ้า เวลาก็เช่นกัน
พระเจ้าทรงสร้างเวลาขึ้นเพื่อให้สรรพสิ่งที่พระองค์สร้างดาเนินไปภายใต้ระบ
บ ข อ ง เ ว ล า แ ต่ พ ร ะ อ ง ค์ อ ยู่ น อ ก ร ะ บ บ เ ว ล า
เมื่อสร้างเวลาได้ก็สามารถกาห นด ให้เวลาสิ้นสุด ลงในอนาค ต ได้
โ ด ย ที่ ส ร ร พ สิ่ ง ถู ก จ า กั ด ด้ ว ย เ ว ล า
ยกเว้นพระเจ้าเพราะพระองค์อยู่นอกระบบเวลา จึงไม่ถูกจากัดด้วยเวลา
- 13. 13
เวลาสัมบูรณ์ (Absolute time)
นิ ว ตั น ( Isaac Newton) ถื อ ว่ า เ ว ล า เ ป็ น สิ่ ง ที่ แ ท้ จ ริ ง
ห รื อ เ ป็ น ส่ว น ห นึ่ ง ข อ ง ธ ร ร ม ช า ติ เ ป็ น วัต ถุ วิสัย ( Objective)
คือเป็ นสิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวของมันเอง และไม่ใช่การเคลื่อนที่ของสสาร
ไ ม่ ใ ช่ ตั ว ข อ ง ส ส า ร ที่ มี อ ยู่ ภ า ย ใ ต้ ร ะ บ บ ข อ ง เ ว ล า
แต่เวลาเป็นสิ่งหนึ่งต่างหากจากสสารหรือเหตุการณ์
เวลาคือกลไกของมนัส
ค้ า น ท์ ( Immanuel Kant) เ ห็ น ว่ า
ส ม ร ร ถ น ะ ใ น ก า ร รั บ รู้ เ อ ง เ ว ล า อ ยู่ ใ น ก ล ไ ก ข อ ง ม นั ส
ก า ร รั บ รู้ เ รื่ อ ง เ ว ล า ไ ม่ ไ ด้ พั ฒ น า ม า จ า ก ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์
แต่มันมีอยู่ก่อนประสบการณ์ เป็นกลไกของมนัส หรือจิตของเราในการรับรู้
ก ล่า ว คื อ ม นัส เ ป็ น ก ล ไ ก ใ น ก า ร รับ รู้สิ่ง ต่า ง ๆ ใ น ธ ร ร ม ช า ติ
แต่เวลาเป็ นเพียงกลไกในการปรุงแต่งให้เราเข้าใจได้ ปัญหาเรื่องอวกาศ
(Space) นั่นคือปัญหาที่ว่า อวกาศคืออะไร ? เป็ นสิ่งที่แท้จริงหรือไม่ ?
อวกาศอยู่นอกจากความคิดหรืออยู่ในความคิดมนุษย์ ? โดยทั่วไปคาว่า
" อ ว ก า ศ " ห ม า ย ถึง ที่ ว่า ง ซึ่ ง จ ะ ใ ส่สิ่ง ข อ ง ห รื อ วัต ถุ เ ข้า ไ ป ไ ด้
แ ต่ ใ น ท า ง ป รั ช ญ า มี ค ว า ม ห ม า ย ก ว้ า ง ก ว่ า นั้ น
คือหมายถึงที่ว่างอันกว้าวให ญ่ออกไปทุกทิศ ทางอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ไ ม่ มี ข อ บ เ ข ต จึ ง มี ปั ญ ห า ว่ า อ ว ก า ศ มี อ ยู่ จ ริ ง ห รื อ ไ ม่
มี อ ยู่ น อ ก ค ว า ม คิ ด ม นุ ษ ย์ ห รื อ ไ ม่
ห รือเป็ นเพี ย งค วามคิด ที่เกิด จากการมีประสบ การ ณ์ วัต ถุต่าง ๆ
ปัญหานี้มีคาตอบ 2 อย่างคือ
อ ว ก า ศ คื อ ก ล ไ ก ข อ ง ม นั ส ค้ า น ท์ ถื อ ว่ า
เ ว ล า แ ล ะ อ ว ก า ศ ไ ม่ ใ ช่ สิ่ ง ที่ มี อ ยู่ จ ริ ง ภ า ย น อ ก
แ ต่ เ ป็ น สิ่ ง ที่ ม นั ส ห รื อ จิ ต ข อ ง เ ร า ส ร้ า ง ขึ้ น
เวลาและอวกาศเป็นเพียงกลไกในการรับรู้ของมนัส จึงไม่มีอยู่ในความเป็นจริง
อ ว ก า ศ แ ห่ ง ม โ น ภ า พ
เป็นอวกาศตามที่เราคิดซึ่งจะแตกต่างไปจากอวกาศในประสบการณ์ของเรา
อวกาศ ในค วามคิด ข องเรานั้นเริ่มจากที่ว่าง ณ ที่ใด ที่ห นึ่ง เช่น
เ ร า คิ ด ถึ ง ก ล่ อ ง ว่ า ง เ ป ล่ า ก ล่ อ ง ห นึ่ ง
บริเวณในกล่องเป็ นอวกาศแล้วเราคิดขยายกล่องนี้ออกไปทุก ๆ ด้าน
บ ริเ ว ณ ภ า ย ใ น ก ล่อ ง ก็ จ ะ ใ ห ญ่ขึ้ น เ รื่ อ ย ๆ โ ด ย ไ ม่มี ที่ สิ้ น สุ ด
ลักษณะดังกล่าวถือว่าเป็นอวกาศทางมโนภาพ
ทัศนะของนักปรัชญาเกี่ยวกับพระเจ้า
- 14. 14
เ พ ล โ ต้ เ ห็ น ว่ า พ ร ะ เ จ้ า คื อ ค ว า ม คิ ด เ กี่ ย ว กับ ค ว า ม ดี
อันเป็นความคิดเกี่ยวกับความดีที่สมบูรณ์ที่สุด พระเจ้าเป็นความแท้จริงสูงสุด
หรือเป็นแบบที่สมบูรณ์สูงสุด และเป็นแบบที่อมตะนิรันดร
อ ริ ส โ ต เ ติ้ ล ถื อ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า มี ลั ก ษ ณ ะ เ ป็ น ค ว า ม คิ ด
แ ต่ มิ ใ ช้ ค ว า ม คิ ด ที่ มี อ ยู่ ใ น จิ ต เ ป็ น สิ่ ง ที่ แ ท้ จ ริ ง ใ น ตั ว เ อ ง
ซึ่งเป็นอิสระจากจิตมนุษย์ พระเจ้าคือเหตุสูงสุด สสารเป็นเหตุเชิงวัตถุของโลก
แต่พระเจ้าเป็นเหตุเชิงประสิทธิภาพ เหตุเชิงรูปแบบและเหตุสุดท้ายของโลก
ลั ท ธิ ส โ ต อิ ค ถื อ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า คื อ เ ห ตุ ผ ล ส า ก ล
ซึ่ ง ค ว บ คุ ม โ ล ก แ ล ะ ค ว บ คุ ม จุ ด ห ม า ย ป ล า ย ท า ง ข อ ง ม นุ ษ ย์
กฎเหตุผลสากลก็คือกฎธ รรมชาติ กฎธรรมชาติก็คือกฎจริย ธ ร รม
เพราะฉะนั้นธรรมชาติและชะตากรรมของบุคคลจึงเป็นอันเดียวกันกับเหตุผลส
า ก ล ดั ง นั้ น พ ร ะ เ จ้ า ห ม า ย ถึ ง เ ห ตุ ก า ร ณ์ ต่ า ง ๆ
เ กิ ด ต า ม แ น ว ท า ง ที่ มั น เ กิ ด เ พ ร า ะ สิ่ ง ต่ า ง ๆ
และบุค ค ลทั้งห มด อยู่ภายใต้การควบคุมข องเหตุผล ห รือพ ระเจ้า
นั่นคือพระเจ้ามีในทุกสิ่งทุกอย่าง
เ ซ น ต์ อ อ กั ส ติ น เ ชื่ อ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า คื อ เ บื้ อ ง ต้ น
ท่ามกลางและที่สุดข องสรรพสิ่ง ไม่มีสิ่งใดอยู่ภาย นอกจากพ ร ะ จ้า
พ ร ะ เ จ้ า มี คุ ณ ส ม บัติ คื อ ค ว า ม ดี ค ว า ม ยุ ติ ธ ร ร ม แ ล ะ ปั ญ ญ า
ปรากฏได้ในที่ทุกแห่งและทุกเวลา มีอานาจไม่สิ้นสุดและเป็นนิรันดร
เดส์การ์ตส์ ถือว่า พระเจ้าเป็นเนื้อสารที่ไม่สิ้นสุด เป็ นนิรันดร เป็นอิสระ
รู้ สิ่ ง ทั้ ง ป ว ง มี อ า น า จ ทั่ ว ไ ป แ ล ะ เ ป็ น ผู้ ส ร้ า ง ส ร ร พ สิ่ ง
เขาได้พิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าว่า ข้าพเจ้ามีความคิดเกี่ยวกับพระเจ้า
ซึ่งเป็ นความคิดติดตัวมาแต่เกิด ความคิดนี้ พระเจ้าเป็ นต้นเหตุให้เกิดขึ้น
และเป็นความจริง เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงมีอยู่
สปิโนซ่า ถือว่า พระเจ้าคือเนื้อสารอันแท้จริงเพียงสิ่งเดียว (One
Substance) คุณลักษณะสาคัญของพระเจ้าคือความคิดและการกินที่
พ ร ะ เ จ้า คื อ ต้น เ ห ตุ แ ล ะ ค ว า ม ด า ร ง อ ยู่ แ ล ะ เ ป็ น ข อ ง ส ร ร พ สิ่ ง
พระเจ้ามีลักษณะเป็นจิต
ไ ล บ์ นิ ซ ถื อ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น โ ม น า ด ใ ห ญ่
ห รื อ โ ม น า ด ศู น ย์ ก ล า ง ข อ ง โ ม น า ด ทั้ ง ห ล า ย
พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกธรรมชาติและโลกจริยธรรมให้กลมกลืนกัน
ค้านท์ ไม่ยอมรับความมีอยู่ของพระเจ้า ด้วยการคิดหาเหตุผลทางทฤษฎี
ห รื อ ก า ร คิ ด ห า เ ห ตุ ผ ล ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์
กล่าวคือเหตุผลทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าไ ม่ได้
ค้ า น ท์ เ ห็ น ว่ า
พระเจ้าเป็นอุดมคติในการจัดระเบียบคือจัดปรากฏการณ์ทางกายกับปรากฏกา
ร ณ์ ท า ง จิ ต ใ ห้ ก ล ม ก ลื น กั น
- 15. 15
และเป็ นห ลักจริย ธ รรมเพื่ อจัด ความดีกับความสุขให้กลมกลืนกัน
นั่นคือพระเจ้ามีอยู่เพื่อเหตุผลทางจริยธรรมเท่านั้น
ฟิ ช ต์ เ ห็ น ว่ า พ ร ะ เ จ้ า คื อ อั ต ต า ส ม บู ร ณ์
เป็นผู้สร้างอัตตาที่จากัดและสสารมากมายซึ่งล้วนเป็นความแท้จริง
เชลลิ่ง ถือว่าสิ่งสัมบูรณ์คือสิ่งกลาง ๆ ไม่ใช่จิต ไม่ใช่วัตถุ ไม่ใช่อัตตา
ไม่ใช่สสาร แต่เป็นเอกภาพชั้นสูงซึ่งเป็นที่มาของอัตตาและสสาร
เฮเกล ถือว่าความแท้จริงมีเพียงจิตดวงเดียวที่เรียกว่า สิ่งสัมบูรณ์
นั่ นคือพ ระเจ้า พ ระเจ้า คือค วา มคิด สัมบู ร ณ์ ห รือเห ตุผ ล ส า ก ล
ห รื อ วิ ญ ญ า ณ สั ม บู ร ณ์ ซึ่ ง แ ส ด ง ตั ว เ อ ง ใ น ธ ร ร ม ช า ติ
ใ น จิ ต ที่ จ า กั ด แ ล ะ ใ น สั ง ค ม ร ะ ดั บ ต่ า ง ๆ กั น
พระเจ้าเป็นสิ่งที่รู้ตัวเองอย่างไม่สิ้นสุดและเป็ นนิรันดร ไม่ใช่อัตตาและสสาร
แต่อยู่ในอัตตาและสสารนั้น
1.3 อภิปรัชญาว่าด้วยพระเจ้า หรือสิ่งสัมบูรณ์
ความสงสัยหรือการคิดค้นเรื่องสิ่งอันเป็นเหตุหรือเป็ นปฐมเหตุของสรร
พสิ่งเป็นเรื่องที่มีมานานตั้งแต่สมัยปรัชญากรีกโบราณ โดยตั้งเป็นคาถามว่า
อ ะ ไ ร เ ป็ น ป ฐ ม ธ า ตุ ห รื อ ป ฐ ม เ ห ตุ ข อ ง ส ร ร พ สิ่ ง ?
ห รื อ อ ะ ไ ร เ ป็ น บ่ อ เ กิ ด ข อ ง ส ร ร พ สิ่ ง ?
นักปรัชญาพยายามศึกษาสืบค้นในเรื่องนี้อย่างจริงจังโดยอาศัยหลักการต่าง ๆ
ร ว ม ทั้ ง ห ลั ก ก า ร ท า ง ต ร ร ก วิ ท ย า
แ ล ะ ส รุ ป ไ ด้ ว่ า มี สิ่ ง ห นึ่ ง ที่ เ ป็ น ป ฐ ม เ ห ตุ ข อ ง ส ร ร พ สิ่ ง
สิ่งนั้นเรียกว่ากฎเหตุผลสากลบ้าง สิ่งสัมบูรณ์บ้าง พระผู้เป็ นเจ้าบ้าง
จึงเป็นเหตุให้มีการแบ่งแยกนักปรัชญาเป็น 2 พวกคือพวกที่เชื่อไม่เชื่อพระเจ้า
ซึ่งเรียกสิ่งอันเป็นปฐมเหตุของสรรพสิ่งว่า กฎเหตุผลสากลบ้าง สิ่งสัมบูรณ์บ้าง
นั ก ป รั ช ญ า ก ลุ่ ม นี้ ถู ก เ รี ย ก ว่ า “ อ เ ท ว นิ ย ม ” ( Atheism)
แ ล ะ อี ก พ ว ก ห นึ่ ง ที่ เ ชื่ อ ใ น เ รื่ อ ง พ ร ะ เ จ้ า
ซึ่ ง เ รี ย ก สิ่ง อัน เ ป็ น ป ฐ ม เ ห ตุ ข อ ง ส ร ร พ สิ่ง ว่า พ ร ะ ผู้เ ป็ น เ จ้ า
นักปรัชญากลุ่มนี้ถูกเรียกว่า “เทวนิยม” (Theism)
เมื่อเกิดคริสตศาสนาซึ่งสอนว่าพระผู้เป็ นเจ้าเป็ นผู้สร้างสรรพ สิ่ง
นักปรัชญาที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอิทธิพลของคริสตศาสนาจึงต้องสน
ใจเรื่องพ ระผู้เป็ นเจ้าด้วย ในแวด วงข องช าวค ริสต์ด้วย กันแล้ว
เ รื่ อ ง พ ร ะ เ จ้า มี อ ยู่ ห รื อไ ม่มิใ ช่ ปัญ ห า เ พ ร า ะ ช า ว ค ริส ต์ เชื่ อว่า
พ ระเจ้ามีอยู่แน่นอน และเพ ราะพ ระเ จ้ามี อยู่ สรรพ สิ่งจึง มี อ ยู่
พระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง
บางความเห็นของนักเทวนิยม เห็นว่า “พระเจ้าไม่ใช่สิ่งใด ๆ
ห รื อ ยู่ ใ น ก า ล ะ แ ล ะ เ ท ศ ะ คื อ ไ ม่ขึ้น อ ยู่ กับ เ ว ล า แ ล ะ ส ถ า น ที่
ไม่มีเกิดไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีเสื่อมไม่มีดับ ไม่มีอยู่ในที่ใด ๆ
- 16. 16
จึงมิใช่สิ่งใดในจักรวาล และพระเจ้าก็ไม่ใช่ทุกสิ่งในจักรวาลรวมกัน”
(ผศ.วิธาน สุชีวคุปต์ และคณะ: 2532)
การศึกษาเรื่องพ ระเจ้า ( God) ห รือสิ่งสัมบูรณ์ ( Absolute)
เป็ นการค้นค ว้าห าสัจภาวะเรื่อง ห รือสิ่งที่มีอานาจเห นื อมนุ ษ ย์
โดยอธิบายเกี่ยวกับธรรมชาติ ความมีอยู่และคุณลักษณะของพระเจ้า
พระเจ้ามีจริงไหม มีธรรมชาติอย่างไร สัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ อย่างไร
ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง พ ร ะ เ จ้ า กั บ โ ล ก แ ล ะ สั ต ว์ ทั้ ง ป ว ง
การศึกษาเรื่องพระเจ้าหรือสิ่งสัมบูรณ์ จัดเป็ นอภิปรัชญาสาขาห นึ่ง
คื อ อ ภิ ป รั ช ญ า ที่ ว่ า ด้ ว ย พ ร ะ เ จ้ า ห รื อ สิ่ ง สั ม บู ร ณ์
นักปรัช ญาที่สนใจศึกษาส่วนมาก จะเ ป็ นนักป รัช ญาฝ่ าย จิต นิ ย ม
ส่วนนักปรัชญาฝ่ายสสารนิยมจะปฏิเสธความมีอยู่ของพระเจ้า
อย่างไรก็ต าม แม้ว่าในปัจจุบันวิทย าการจะเจริญก้า ว ห น้ า
ห รื อ ห ลั ก ก า ร ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ มี ก า ร พั ฒ น า ไ ป ม า ก
การศึกษาอภิปรัช ญาว่าด้วยพ ระเจ้า หรือความคิดข องเทวนิย ม นี้
ก็ยังเป็นแนวความคิดหนึ่งที่คนทั่วไปยังให้ความเลื่อมใส และสนใจกันอยู่
คาว่า “เทวนิยม” (Theism) ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ . ศ . 2525 ไ ด้ นิ ย า ม ค ว า ม ห ม า ย ไ ว้ ว่ า “ เ ท ว นิ ย ม
ห ม า ย ถึ ง ลัท ธิ ที่ เ ชื่ อ ว่ า มี พ ร ะ เ จ้ า ผู้ ยิ่ ง ใ ห ญ่ พ ร ะ อ ง ค์ เ ดี ย ว
พ ร ะ เ จ้ า นั้ น ท า ง มี อ า น า จ ค ร อ บ ค ร อ ง โ ล ก
และสามารถดลบันดาความเป็นไปในโลก”
ในพจนานุกรมศัพท์ปรัชญา อังกฤษ – ไทย ฉบับราชบัณฑิตสถาน
ได้นิยามความหมายของคาว่า “เทวนิยม” (Theism) ไว้ว่า “เทวนิยม
ห ม า ย ถึ ง ทั ศ น ะ ที่ เ ชื่ อ ว่ า พ ร ะ เ ป็ น เ จ้ า ( God) มี จ ริ ง
ทรงเป็นผู้สร้างและคุ้มครองโลก และทรงไว้ซึ่งอัพภันตรภาพ (Immanence)
และอุตรภาพ (Transcendence) ตรงกันข้ามกับ อเทวนิยม (Atheism)
ในทางอภิปรัชญา นักปรัชญาเทวนิยมจะเชื่อว่า พระเจ้ามีอยู่จริง
คื อ เ ป็ น ภ า ว ะ ที่ มี อ ยู่ อ ย่ า ง เ ที่ ย ง แ ม้ ถ า ว ร
ไ ม่ใ ช่ เ ป็ น เ พี ย ง อุ ด ม ค ติอ ย่ า ง ที่ นั ก ป รัช ญ า ธ ร ร ม ช า ติเ ข้ า ใ จ
เ พ ร า ะ นั ก ป รั ช ญ า ธ ร ร ม ช า ติ น า เ อ า ค า ว่ า “ พ ร ะ เ จ้ า ”
ไ ป ใ ช้ เ พี ย ง ห ม า ย ค ว า ม ถึ ง ม โ น ภ า พ อ ย่ า ง ห นึ่ ง
ซึ่งยึดเป็นค่านิยมหรือเป็นเป้าหมายของมนุษย์เท่านั้น
1.4 แหล่งสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม
กีรติ บุญเจือ. แก่นปรัชญากรีก. กรุงเทพ ฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2528.
-----------------. แก่นปรัชญายุคกลาง. กรุงเทพ ฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2527.
จานงค์ ทองประเสริฐ. ปรัช ญาต ะวันต กสมัย ให ม่. กรุงเทพ ฯ :
โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, 2534.
- 17. 17
ชัย วัฒน์ อัต พัฒน์ . ปรัช ญาต ะวันต ก ร่ว ม ส มัย 1 . กรุงเทพ ฯ :
มหาวิทยาลัยรามคาแหง, 2522.
เดือน คาดี. ปัญหาปรัชญา. กรุงเทพ ฯ: โอเดียนสโตร์, 2530.
----------------. พุทธปรัชญา. กรุงเทพ ฯ: โอเดียนสโตร์, 2534.
ธี ร ยุ ท ธ สุ น ท ร า , ผ ศ . . ป รั ช ญ า เ บื้ อ ง ต้ น . ก รุ ง เ ท พ ฯ :
โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2539.
บุญมี แท่นแก้ว, ผศ.. ปรัชญา, กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, 2536.
บุณย์ นิลเกษ, ดร.. เมตาฟิสิกซ์เบื้องต้น. เชียงใหม่ : คณะมนุษยศาสตร์
มหาวิทยาลัย เชียงใหม่, 2526.
บรรจบ บรรณรุจิ. จิต มโน วิญญาณ. กรุงเทพฯ : ไร่เรือนสมาธิ, 2533.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมศัพท์ปรัชญา อังกฤษ – ไทย. กรุงเทพ ฯ:
ราชบัณฑิตสถาน, 2532.
วิธ าน สุชี วคุปต์ และค ณะ, ผ ศ .. ปรัช ญาเบื้องต้น. กรุงเทพ ฯ :
มหาวิทยาลัยรามคาแหง, 2532.
วิธาน สุชีวคุปต์, ผศ.. อภิปรัชญา. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคาแหง,
2525.
สถิต วงศ์สวรรค์, รศ.. ปรัชญาเบื้องต้น. กรุงเทพฯ : อักษรพิทยา, 2540.
สุจิต รา (อ่อนค้อม) รณรื่น , รศ .. ปรัช ญาเบื้องต้น. กรุงเทพ ฯ :
โรงพิมพ์ทิพยวิสุทธิ์, 2540.
สนิท สีสาเดง. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับปรัชญาและศาสนา. กรุงเทพ ฯ:
นีลนาราการพิมพ์, 2538.
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - . ป รั ช ญ า เ ถ ร ว า ท . ก รุ ง เ ท พ ฯ :
โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2544.
สุเมธ เมธาวิทยกุล, รศ.. ปรัชญาเบื้องต้น. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์, 2540.
อดิศักดิ์ ทองบุญ. คู่มืออภิปรัชญา. กรุงเทพ ฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2533.
---------------------. ปรัชญาอินเดียร่วมสมัย. กรุงเทพ ฯ: ราชบัณฑิตยสถาน,
2536.
---------------------. ปรัชญาอินเดีย. กรุงเทพ ฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2532.
อมร โสภณวิเชษฐวงศ์, ผศ.. ปรัชญาเบื้องต้น, กรุงเทพฯ : ประสานมิตร,
2520