SlideShare a Scribd company logo
1 of 17
1
บทที่ 1
1.1 ศึกษาความหมายและความเป็ นมาของวิชาเทววิทยา
เทววิทยา (Theology)
คาว่า “เทววิทยา” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525
ไ ด้ ใ ห้ ค ว า ม ห ม า ย ไ ว้ ว่ า “ วิ ช า ที่ ว่ า ด้ ว ย พ ร ะ เ จ้ า ( God)
และความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับโลก”
น อ ก จ า ก ค า ว่ า “ เ ท ว วิ ท ย า ” แ ล้ ว
ในทางอภิปรัชญายังมีคาที่ใช้ในลักษณะเดียวกันอีกคาหนึ่งคือคาว่า “เทวนิยม”
( Theism) ซึ่ ง ห ม า ย ถึ ง ลั ท ธิ ที่ เ ชื่ อ ว่ า
“ มี พ ร ะ เ จ้ า ผู้ ท ร ง อ า น า จ ยิ่ ง ใ ห ญ่ พ ร ะ อ ง ค์ เ ดี ย ว
พ ร ะ เ จ้ า นั้ น ท ร ง อ า น า จ ค ร อ บ ค ร อ ง โ ล ก
และสามารถดลบันดาลความเป็ นไปในโลก” ดังนั้นจะเห็นว่า เทววิทยา
ในทางอภิปรัชญาจะเน้นว่า พระเจ้ามีอยู่จริง เป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างเที่ยงแท้ถาวร
ไม่ใช่เป็นเพียงอุดมคติตามทัศนะของธรรมชาตินิยมบางพวกเข้าใจเท่านั้น
เทววิทยา แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. เทววิทยาธรรมชาติ (Natural Theology)
2. เทววิทยาวิวรณ์ (Revealed or Sacred Theology)
เ ท ว วิ ท ย า ธ ร ร ม ช า ติ ห ม า ย ถึ ง
พระเจ้าเปิดเผยสัจจะไว้ในธรรมชาติโดยให้มนุษย์ใช้ความสามารถของตนค้น
ค ว้า ไ ป เ รื่ อ ย ๆ ห ม า ย ค ว า ม ว่า ค ว า ม จ ริง ห รื อ สัจ ภ า ว ะ นั้ น
มิได้ปรากฏเพี ย งแต่ในคัมภีร์ ห ากแต่ปรากฎในธ รรมช าติด้ว ย
แ ล ะ ก ฎ ธ ร ร ม ช า ติ นั้ น เ ป็ น ก ฎ ที่ แ น่ น อ น ต า ย ตั ว
ไ ม่ ว่ า ม นุ ษ ย์ จ ะ เ อ า ไ ป ตี ค ว า ม อ ย่ า ง ไ ร
ก ฎ ก็ ยัง ค ง เ ดิม เ ป็ น นิ รัน ด ร์ ไ ม่ส ะ เ ทื อ น ไ ป ต า ม ค ว า ม คิ ด เ ห็ น
แ ล ะ เ ห ตุ ก า ร ณ์ ที่ ม นุ ษ ย์ ก่ อ ขึ้ น
เป็นการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพระเจ้าโดยไม่อาศัยคัมภีร์ ความศรัทธา
ป ร ะ เ พ ณี นิ ย ม ห รื อ แ ม้ แ ต่ ส า นั ก ส อ น ศ า ส น า เ ป็ น ต้ น
เป็นการศึกษาโดยใช้เหตุผลตามธรรมชาติเป็นหลัก
เทววิทยาวิวรณ์ หมายถึง การเปิดเผยโดยตรงของพระเจ้า หรือที่เรียกว่า
“เทวบันดาล” คือการที่พระเจ้าทรงเปิดเผยความรู้แก่มนุษย์ผู้ที่ทรงเลือกแล้ว
เช่นเปิดเผยบัญญัติ 10 ประการให้แก่โมเสส หรือคัมภีร์ไบเบิ้ลแก่พระเยซู
หรือคัมภีร์อัลกุรอ่านแก่ท่านนะบีมูฮัมหมัด เป็ นต้น ลักษณะดังก ล่าวนี้
จึงทาให้ฝ่ายเทววิทยาวิวรณ์ถือเป็ นความศักดิ์สิทธิ์ และเป็ นสัจจะแท้จริง
เพราะผ่านมาจากพระเจ้าโดยตรง จึงเชื่อกันว่าเป็ นคัมภีร์ที่ถูกต้องแม่นยา
เพราะมิใช่วิสัยของมนุษย์ที่จะรู้อย่างครบถ้วนเช่นนั้น
ลักษณะของวิวรณ์นั้นมี 2 ลักษณะคือ
2
ก า ร ที่ สิ่ ง เ ห นื อ ธ ร ร ม ช า ติ เ ปิ ด เ ผ ย ค ว า ม รู้ แ ก่ ม นุ ษ ย์
สิ่งเหนือธรรมชาติที่ว่านั้นได้แก่ พระเจ้า พระองค์เป็ นผู้ทรงความรู้
เ พ ร า ะ เ ป็ น ผู้ ร อ บ รู้ ทุ ก อ ย่ า ง ทั้ ง อ ดี ต ปั จ จุ บัน แ ล ะ อ น า ค ต
เ ป็ น ผู้ เ ปิ ด เ ผ ย ค ว า ม รู้ ข อ ง พ ร ะ อ ง ค์ แ ก่ ม นุ ษ ย์
ค ว า ม รู้ ที่ ไ ด้ จ า ก ก า ร เ ปิ ด เ ผ ย ข อ ง สิ่ ง เ ห นื อ ธ ร ร ม ช า ติ
เ มื่ อ พ ร ะ เ จ้ า เ ปิ ด เ ผ ย ค ว า ม รู้ แ ก่ ม นุ ษ ย์ แ ล้ ว
จะสังเกตได้ว่ามนุษย์เรามีความรู้ซึ่งได้จากการเปิ ดเผยของพระเจ้า
เ พ ร า ะ ห า ก พ ร ะ อ ง ค์ ไ ม่ เ ปิ ด เ ผ ย ค ว า ม รู้ แ ก่ ม นุ ษ ย์
มนุษย์ไม่สามารถจะมีความรู้ได้เลย
พระเจ้าคืออะไร
กับคาถามที่ว่า พระเจ้าคืออะไร ? เมื่อเกิดปัญหาอย่างนี้ เป็นปัญหาที่ง่าย
แ ต่ ย า ก ที่ จ ะ ใ ห้ ค า ต อ บ แ ล ะ พิ สู จ น์ ใ ห้ เ ห็ น จ ริ ง ไ ด้
เพ ราะจะระบุลงไปโด ย ชัด เจนว่า พ ระเจ้าเป็ นสิ่งนั้น สิ่งนี้ ไม่ได้
เ พื่ อ ใ ห้ เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ พ ร ะ เ จ้ า
นักปรัชญาจึงพยายามหาคาตอบโดยกล่าวถึงลักษณะหรือธรรมชาติของพระเจ้
า ว่ า เ ป็ น อ ย่ า ง ไ ร เ กี่ ย ว กั บ ธ ร ร ม ช า ติ ข อ ง พ ร ะ เ จ้ า
นักปรัชญาฝ่ายเทวนิยมได้กล่าวไว้ต่าง ๆ กัน พอจะสรุปได้ดังนี้
1. พระเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่จากัด เป็นสิ่งนิรันดรและเป็ นสิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวเอง
พ ระเจ้าเป็ นสิ่งที่ไม่จากัด ห มาย ค วามว่า มีอานาจอย่างไม่สิ้นสุด
ไม่ขึ้นอยู่กับอวกาศ แต่แสดงออกมาเป็ นสิ่งทั้งหลาย ที่อยู่ในอว กา ศ
พระเจ้าเป็ นสิ่งนิรันดร หมายความว่า ไม่ขึ้นอยู่กับกาล คืออยู่เหนือกาล
แต่แสดงออกมาเป็ นเหตุการณ์ในกาล พระเจ้าเป็ นสิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวเอง
หมายความว่าไม่ขึ้นอยู่กับเหตุ แต่เป็นเหตุของโลก
2 . พ ร ะ เ จ้า เ ป็ น สิ่ง ที่ ไ ม่ มี เ งื่ อ น ไ ข แ ล ะ เ ป็ น สิ่ง สัม บู ร ณ์
พระเจ้าเป็ นสิ่งที่ไม่มีเงื่อนไข หมายความว่า ไม่มีสิ่งภายนอกมากาหนด
แต่เป็ นผู้กาห นด ตัวเอง พ ระเจ้าเป็ นสิ่งสัมบูรณ์ ห มาย ค วามว่า
ไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งอื่นนอกจากตัวเอง
3 . พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น ผู้ ส ร้ า ง ห รื อ เ ป็ น ป ฐ ม เ ห ตุ ข อ ง โ ล ก
และเป็นเหตุผลที่สิ้นสุดของโลกพระเจ้าเป็ นผู้สร้างหรือเป็ นปฐมเหตุของโลก
หมายความว่า พระเจ้าเป็ นเหตุแรก โลกเป็ นผล เหตุก็คือการก่อให้เกิดผล
ผ ล ก็ คื อ ก า ร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง รู ป ข อ ง พ ลั ง ง า น ซึ่ ง เ ป็ น เ ห ตุ
พ ลัง ง า น ข อ ง พ ร ะ เ จ้า นั่ น เ อ ง ที่ เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง รู ป ม า เ ป็ น โ ล ก นี้
พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น เ ห ตุ ผ ล ที่ สิ้ น สุ ด ข อ ง โ ล ก ห ม า ย ค ว า ม ว่ า
ส ร ร พ สิ่ ง ใ น โ ล ก ย่ อ ม มี เ ห ตุ ผ ล ส า ห รั บ ค ว า ม มี อ ยู่ ข อ ง มั น
ก ล่า ว คื อ มี สัม พัน ธ ภ า พ ร ะ ห ว่า ง กัน แ ล ะ ร ว ม กัน เ ป็ น เ อ ก ภ า พ
ซึ่งแสดงว่ามีเหตุผลที่สิ้นสุดของโลก และพระเจ้านั่นเองคือเหตุผลที่สิ้นสุด
3
4. พระเจ้าเป็นวิญญาณสัมบูรณ์ หรืออัตตาสัมบูรณ์
วิ ญ ญ า ณ สั ม บู ร ณ์ ห รื อ อั ต ต า สั ม บู ร ณ์ นี้
ส ร้ า ง โ ล ก แ ล ะ วิ ญ ญ า ณ ที่ จ า กั ด จ า ก ตั ว เ อ ง
แล้วถ่ายทอดความรักและคุณสมบัติทางวิญญาณให้แก่วิญญาณที่จากัดเหล่านั้
น วิญญาณที่จากัดจึงพยายามจะกลับไปรวมกับวิญญาณสัมบูรณ์นั้นอีก
พระเจ้าเป็นผู้นาทางวิญญาณและจุดหมายปลายทางของมนุษย์
5. พระเจ้าเป็ นผู้ควบคุมจริยธรรม พระเจ้าเป็ นผู้ควบคุมจริยธรรม
จึ ง เ ป็ น ผู้ ส ม บู ร ณ์ ด้ ว ย จ ริ ย ธ ร ร ม มี ค ว า ม ช อ บ ธ ร ร ม สู ง สุ ด
อ า น ว ย ค ว า ม ยุ ติ ธ ร ร ม ใ ห้ แ ก่ ม นุ ษ ย์
มนุษย์ดาเนินไปสู่จุดหมายปลายทางตามเสรีภาพที่พระเจ้ามอบให้
6. พระเจ้าเป็ นที่มาของอุดมคติ นั่นคือ พระเจ้าเป็นที่มาของความจริง
ค ว า ม ดี ค ว า ม ง า ม แ ล ะ ค ว า ม บ ริ สุ ท ธิ์
ก ล่ า ว คื อ ค ว า ม จ ริ ง เ ป็ น อุ ด ม ค ติ ข อ ง ต ร ร ก วิ ท ย า
ความดีเป็นอุดมคติของจริยศาสตร์ ความงามเป็ นอุดมคติของสุนทรียศาสตร์
ค ว า ม บ ริ สุ ท ธิ์ เ ป็ น อุ ด ม ค ติ ข อ ง ศ า ส น า
อุดมคติเหล่านี้มีอยู่ในพระเจ้าแล้วถ่ายทอดมาให้มนุษย์ด้วยอานาจอันไม่จากัด
น อ ก จ า ก ธ ร ร ม ช า ติ ข อ ง พ ร ะ เ จ้ า ที่ นั ก ป รัช ญ า ก ล่ า ว ไ ว้แ ล้ว
นั ก ป รั ช ญ า ฝ่ า ย เ ท ว นิ ย ม ยั ง ไ ด้ ก ล่ า ว ถึ ง ลั ก ษ ณ ะ ต่ า ง ๆ
ของพระเจ้าไว้เพื่อเป็นการตอบคาถามเกี่ยวกับพระเจ้าดังนี้
พ ร ะ เ จ้ า ท ร ง ศั ก ด า นุ ภ า พ ที่ ยิ่ ง ใ ห ญ่ ( Omnipotence)
หมายถึงพระเจ้าเป็นผู้มีอานาจที่ยิ่งใหญ่ มีอานาจทุกอย่าง หรือมีอานาจสูงสุด
ที่ไม่มีขอบเขตจากัด
พ ร ะ เ จ้ า ท ร ง เ ป็ น สั พ พั ญ ญู ( Omniscience)
ห ม า ย ถึง พ ร ะ เ จ้า เ ป็ น ผู้มี ค ว า ม รู้ไ ม่จ า กัด ไ ม่มี ข อ บ เ ข ต จ า กัด
ทรงความรู้ทุกอย่าง ทรงรู้ทั้งพระองค์เองและสรรพ สิ่ง ทั้งในอดีต
อ น า ค ต แ ล ะ ปั จ จุ บั น พ ร ะ เ จ้ า ท ร ง มี ค ว า ม ดี สู ง สุ ด
ห รื อ มี ค ว า ม เ ม ต ต า ก รุ ณ า ที่ ยิ่ ง ใ ห ญ่ ( Omnibenevolence)
หมายถึงพระเจ้าเป็ นผู้มีคุณความดีในหลักศีลธรรมที่สูงสุด เป็ นผู้สร้าง
ผู้ดูแลจักรวาล และเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องเคารพบูชา
ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับพระเจ้า
นักปรัชญาต่าง ๆ พยายามสืบค้นหาความแท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า
แล้วสรุปความคิดรวบยอดออกมาเป็ น 4 ลักษณะด้วยกันคือ
1 . เ ท ว นิ ย ม ( Deism)
มีความเชื่อว่าพระเจ้าเป็ นมหาเทพที่สูงสุดเพียงพระองค์เดียวซึ่งอยู่ภายนอกโล
ก นั่นคือเชื่อว่า พระเจ้าเป็ นเทพอยู่เห นื อโลกโดย ประการทั้ง ป วง
พระองค์เป็นผู้สร้างโลก และสร้างโลกขึ้นจากความว่างเปล่า แล้วมอบพลังต่าง
4
ๆ ใ ห้แ ก่โ ล ก แ ล ะ ใ ห้พ ลัง เ ห ล่า นั้ น ค ว บ คุ ม โ ล ก ใ ห้ด า เ นิ น ไ ป
เมื่อโลกมีแนวโน้มจะเสื่อมลงพระเจ้าก็จะช่วยแก้ไขให้โลกดาเนินไปตามปกติ
ดังนั้น เทวนิยม จึงหมายถึง พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เพียงพระองค์เดียว
ดารงอยู่ในฐานะเป็ นพระอติเทพหรือเทพผู้สูงสุด เช่น พระพรหมของฮินดู
เป็นต้น ซึ่งเชื่อกันว่า พระอติเทพเหล่านี้ เป็นผู้สร้างโลก และสรรพสิ่งต่าง ๆ
มาจากความว่างเปล่า แล้วมอบพลังต่าง ๆ ให้แก่โลก
มาร์ติโนอธิบายลักษณะของ Deism ไว้ดังนี้
เกี่ยวกับการสร้างโลก พระเจ้าสร้างโลกขึ้น
ในกาลครั้งหนึ่งก่อนแต่นั้น พระเจ้ามีอยู่อย่างนิรันดรโดยไม่มีโลก
โลกจะแตกสลายไปตามกาลเวลา เช่นเดียวกับสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในเบื้องต้น
แ ล ะ จ ะ ดั บ ส ล า ย ไ ป ใ น ที่ สุ ด แ ม้ ว่ า โ ล ก จ ะ แ ต ก ส ล า ย ไ ป
พ ร ะ เ จ้ า ก็ ยั ง ค ง อ ยู่ อ ย่ า ง นิ รั น ด ร
เ กี่ ย ว กับ ค ว า ม แ ต ก ต่า ง ร ะ ห ว่า ง เ ห ตุ ป ฐ ม ภู มิแ ล ะ เ ห ตุ ทุ ติย ภูมิ
พระเจ้าเป็ นเหตุปฐมภูมิของโลก คือเป็ นผู้สร้างโลกขึ้นแล้วมอบพลังต่าง ๆ
ให้แก่โลก พลังเหล่านั้นเป็นเหตุทุติยภูมิ ซึ่งเป็นส่วนควบคุมโลกให้ดาเนินไป
การเข้ามาช่วยเหลือโลกเป็นครั้งคราว
หลังจากที่พระเจ้าสร้างโลกแล้ว พระองค์ปล่อยให้โลกดาเนินไปเอง
แ ต่ เ มื่ อ เ กิ ด วิ ก ฤ ต ก า ร ณ์ ร้ า ย แ ร ง
พระองค์จะเข้ามาช่วยเหลือโลกให้พ้นจากความเสื่อมโดยใช้พลังธรรมชาติสร้า
งปาฏิหาริย์เพื่อช่วยโลก
พระเจ้าอยู่เหนือโลกโดยสมบูรณ์
พระเจ้าสร้างโลกตามเจตจานงของพระองค์ แล้วปล่อยให้โลกเป็นไปเอง
และเข้ามาช่วยเหลือโลกเป็ นครั้งคราวเมื่อเกิดวิกฤตการณ์อันร้ายแรง
แต่พระองค์อยู่เหนือโลกโดยสมบูรณ์ ไม่ได้ติดอยู่ในโลก
2 . ส ก ล เ ท พ นิ ย ม ( Pantheism) มี ค ว า ม เ ชื่ อ ว่ า
พระเจ้าเป็ นเทพที่อยู่ในโลกนี้ และเป็ นเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกับโลก นั่นคือ
พ ระเจ้าคือสรรพ สิ่ง และสรรพ สิ่งก็คือพ ระเจ้า ( All is God) ค าว่า
“Pantheism” มาจากคาว่า “Pan” (ทั้งหมด, ทั้งปวง) และ “theism”
(เทวนิยม)
ในความเชื่อนี้ สปิโนซ่า (Spinoza) นักปรัชญาตะวันตกสมัยให ม่
ไ ด้ เ ป็ น ผู้ มี ค ว า ม เ ชื่ อ อ ย่ า ง แ น บ แ น่ น โ ด ย ก ล่ า ว ว่ า
“พระเจ้าเป็ นเนื้อสารที่แท้จริงเพียงสิ่งเดียว (God is One Substance)
สสารและจิตเป็ นเพียงคุณลักษณะ 2 ประการของพระเจ้า” ซึ่งหมายถึงว่า
พระเจ้าตามความเชื่ อนี้ ไม่ใช่เทพเจ้าผู้สูงสุด หรือบุคคลผู้มีรูป ร่าง
แต่เป็ นกฎธรรมชาติหรือกฎแห่งเหตุผล หรือกฎแห่งความเปลี่ยนแปลง
นั่นเป็ นสิ่งยืนยันว่า พระเจ้าแบ่งออกเป็ น 2 ภาคคือ เป็ นสสาร และเป็ นจิต
ทั้งสสา รและจิต ขึ้นอยู่กับกฎแห่งค วา มเป ลี่ย นแป ลงอันเดี ย ว กัน
และเป็ นการแสดงออกให้มองเห็นกฎแห่งความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน
5
สสารและจิตจึงถือว่าเป็ นคุณลักษณะข องกฎแห่งค วามเปลี่ยนแ ปลง
ในเมื่อสสารและจิตเปลี่ยนแปลง มีอะไรเป็ นสิ่งที่ไม่เปลี่ย นแปลง
สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงนั้นมีสิ่งเดียว คือกฎแห่งความเปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุนี้
ส ปิ โ น ซ่ า จึ ง ก ล่ า ว ว่ า
“พระเจ้าหรือกฎแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเนื้อสารหรือสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงเ
พี ย ง สิ่ ง เ ดี ย ว ” ส ส า ร แ ล ะ จิ ต ต้ อ ง เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ทั้ ง สิ้ น
เพราะเหตุที่สสารและจิตต้องเปลี่ยนแปลงนั่นเอง Pantheism จึงถือว่า
พระเจ้าหรือกฎแห่งความเปลี่ยนแปลงอยู่ในโลกและอยู่ในจิตมนุษย์โดยประกา
รทั้งปวง
3 . ส ร ร พ เ ท ว นิ ย ม ( Theism) มี ค ว า ม เ ชื่ อ ว่ า
พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น เ ท พ ทั้ ง ที่ อ ยู่ เ ห นื อ โ ล ก แ ล ะ อ ยู่ ใ น โ ล ก
แ ต่ อ ยู่ เ ห นื อ วิ ญ ญ า ณ ม นุ ษ ย์ โ ด ย ป ร ะ ก า ร ทั้ ง ป ว ง ที่ เ ชื่ อ ว่ า
พ ระเจ้าเป็ นเทพ ทั้งที่อยู่เห นื อโลกและอยู่ในโลก ห มาย ค วามว่า
พระเจ้าเป็ นผู้สร้างโลก แต่อยู่พ้นโลกขึ้นไปในฐานะเป็ นอานาจอันไม่จากัด
ซึ่ ง ข ย า ย พ้ น ข อ บ เ ข ต ข อ ง โ ล ก ที่ จ า กั ด ขึ้ น ไ ป
แต่ในขณะเดียวกันพระเจ้าก็คุ้มครองโลกไว้ด้วยเจตจานงของตนคือต้องใช้อา
นาจของตนในโลกนี้ ที่เชื่อว่า พระเจ้าอยู่เหนือวิญญาณมนุษย์ หมายความว่า
พ ร ะ เ จ้ า ส ร้ า ง วิ ญ ญ า ณ ม นุ ษ ย์ แ ล ะ ม อ บ เ จ ต จ า น ง เ ส รี ใ ห้
แ ล้ ว ป ล่ อ ย ใ ห้ ด า เ นิ น ไ ป สู่ จุ ด ห ม า ย ป ล า ย ท า ง ด้ ว ย ต น เ อ ง
ห ลั ง จ า ก ม อ บ เ จ ต จ า น ง เ ส รี ใ ห้ แ ล้ ว
พ ร ะ เ จ้ า ไ ม่ ไ ด้ ม า ยุ่ ง เ กี่ ย ว กั บ วิ ญ ญ า ณ ม นุ ษ ย์ อี ก
ม นุ ษ ย์ อ า จ ใ ช้ เ จ ต จ า น ง เ ส รี ท า ค ว า ม ดี ห รื อ ค ว า ม ชั่ ว ก็ ไ ด้
ถ้ า พ ร ะ เ จ้ า อ ยู่ ใ น วิ ญ ญ า ณ ม นุ ษ ย์
ก็จะต้องรับผิดชอบต่อความชั่วที่มนุษย์สร้างขึ้น ดังนั้น สรรพเทวนิยม เชื่อว่า
“พระเจ้าคือสภาวะที่อยู่เหนือโลก และในโลก แต่เหนือวิญญาณมนุษย์”
4 . ส า ก ล เ ท พ นิ ย ม ( Panentheism) มี ค ว า ม เ ชื่ อ ว่ า
พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น เ ท พ ทั้ ง อ ยู่ เ ห นื อ โ ล ก แ ล ะ อ ยู่ ใ น โ ล ก
ทั้งอยู่เหนือวิญญาณมนุษย์และอยู่ในวิญญาณมนุษย์โลก กล่าวคือ
ที่ เ ชื่ อ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า อ ยู่ เ ห นื อ โ ล ก ห ม า ย ค ว า ม ว่ า
พระเจ้าเป็นวิญญาณที่ไม่จากัด
ที่เชื่อว่า พระเจ้าอยู่ในโลก หมายความว่า พระเจ้าแสดงอานาจในโลกนี้
ที่เชื่ อว่า พ ระเจ้าอยู่ เห นื อ วิญ ญา ณ ม นุ ษย์ ห มาย ค ว า ม ว่า
พระเจ้าปล่อยให้วิญญาณมนุษย์ดาเนินไปสู่จุดหมายปลายทางด้วยตัวเอง
ที่ เ ชื่ อ ว่า พ ร ะ เ จ้า อ ยู่ ใ น วิ ญ ญ า ณ ม นุ ษ ย์ ห ม า ย ค ว า ม ว่ า
พระเจ้าอยู่ในฐานะเป็นผู้นาทางวิญญาณมนุษย์
พิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้า
6
(Proof for Existence of God)
กั บ ค า ถ า ม ที่ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า มี อ ยู่ จ ริ ง ห รื อ ไ ม่ ?
ปัญหานี้เป็ นปัญหาที่นักปรัชญาและนักการศาสนาพยายามหาข้อพิสูจน์
โด ย ที่นักการศ าส นาฝ่ าย เท วนิย มพ ย าย า มพิ สูจ น์ ว่า พ ระเจ้า มี
ในขณะที่นักการศาสนาฝ่ ายอเทวนิยมพยายามพิสูจน์ว่า พระเจ้าไม่มี
แ ม้แ ต่นัก ป รัช ญ า เ ท ว นิ ย ม แ ล ะ นัก ป รัช ญ า จิต นิ ย ม ก็ เ ช่ น กัน
พยายามหาเหตุผลและข้อเท็จจริงมาประกอบการพิสูจน์ให้เห็นจริงว่า
พระเจ้ามีอยู่จริง เพื่อเป็นการหักล้างข้อโต้แย้งของฝ่ายอเทวนิยมที่มักอ้างว่า
พ ร ะ เ จ้ า ไ ม่ มี จ ริ ง
ข้อพิสูจน์ ข องพ วกเทวนิย มจานวนมากก็อาศัย ข้ออ้างทางศาสนา
คือหลักศรัทธ า และมีอยู่จานวนไม่น้อย ที่อาศัย ข้ออ้างทางป รัช ญา
นั่นคือหลักเหตุผลและประสบการณ์ของมนุ ษย์ นักอภิปรัชญาถือว่า
ข้อ พิ สู จ น์ ที่ อ า ศัย ห ลัก เ ห ตุ ผ ล แ ล ะ ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ข อ ง ม นุ ษ ย์
เป็นข้อพิสูจน์ที่ควรเชื่อถือได้มากกว่า
นั ก ป รั ช ญ า ฝ่ า ย เ ท ว นิ ย ม ( Theism)
ก ล่ า ว คื อ ก ลุ่ ม นั ก ป รั ช ญ า ที่ เ ชื่ อ ค ว า ม มี อ ยู่ ข อ ง พ ร ะ เ จ้ า
ได้กล่าวถึงลักษณะของพระเจ้าไว้ว่า
พ ระเจ้าเป็ น อส สา ร ( Non – corporeal) คือเป็ นจิต บ ริสุ ท ธิ์
ไม่มีตัวตนที่จะเห็นได้หรือสัมผัสได้อย่างสสาร
พระเจ้าทรงสรรพเดชะ (Omnipotent) คือมีอานาจเต็มบริบูรณ์
สามารถทาทุกอย่างได้โดยไม่มีอะไรติดขัดหรือขัดข้อง เช่น การสร้างโลก สัตว์
พืช เป็นต้น
พระเจ้าทรงสรรพญาณะ (Omniscient) คือมีความรู้เต็มบริบูรณ์
ทรงรอบรู้ทุกอย่าง รู้ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต
พ ร ะ เ จ้ า ท ร ง มี อ ยู่ ทุ ก แ ห่ ง แ ล ะ ทุ ก ข ณ ะ ( Omnipresent)
คือไม่ถูกจากัดด้วยกาลและอวกาศ
พ ร ะ เ จ้ า ท ร ง เ ป็ น อ ง ค์ แ ห่ ง ค ว า ม ดี สู ง สุ ด ( All good)
คือทรงรักและเมตตาต่อมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว
น อ ก จ า ก ลั ก ษ ณ ะ ดั ง ก ล่ า ว แ ล้ ว
ฝ่ายเทวนิยมได้พยายามที่จะพิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าโดยนาเหตุผลต่าง ๆ
มาประกอบ
เหตุผลที่นามาประกอบการพิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้านั้นมี 4 ประการคือ
1. เหตุผลทางจักรวาลวิทยา (Cosmological Argument)
2. เหตุผลทางเจตจานง หรือวัตถุประสงค์ (Teleological Argument)
3. เหตุผลทางภววิทยา (Ontological Argument)
4. เหตุผลทางจริยธรรม (Moral Argument)
7
เ ห ตุ ผ ล ท า ง จั ก ร ว า ล วิ ท ย า ( Cosmological Argument)
ข้อพิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าโดยอาศัยเหตุผลทางจักรวาลวิทยานี้
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ข้อพิสูจน์จากการเป็นสาเหตุ (The Causal Argument)
ไ ด้ถื อ ว่า โ ล ก นี้ เ ป็ น สิ่ง ที่ ไ ม่แ น่ น อ น ไ ม่อิส ร ะ เ ป็ น สิ่ง สัมพัทธ์
เ ป็ น สิ่ง จ า กัด แ ล ะ เ ป็ น ผ ล จึง ต้อ ง อ า ศัย สิ่ง ที่ อิส ร ะ สิ่ง สัม บู ร ณ์
สิ่ ง ที่ ไ ม่ จ า กัด แ ล ะ เ ป็ น เ ห ตุ นั่ น คื อ อ้ า ง เ ห ตุ ผ ล ว่ า สิ่ ง ต่ า ง
ๆ ใ น ธ ร ร ม ช า ติ จ ะ เ กิ ด ขึ้ น เ อ ง ล อ ย ๆ ไ ม่ ไ ด้ ต้ อ ง มี ส า เ ห ตุ
เมื่อสรรพสิ่งในจักรวาลมีอยู่จริง สาเหตุของมันก็ต้องมีอยู่จริงด้วย
สาเหตุนั้นจะต้องไม่ใช่มนุษย์ หากแต่จะต้องยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์นั่นคือ พระเจ้า
ดังนั้น พระเจ้าจึงมีอยู่จริง กล่าวคือสรรพสิ่งในโลกจะต้องอาศัยสิ่งอื่น
มั น ไ ม่ ส า ม า ร ถ มี ไ ด้ ห รื อ เ ป็ น อ ยู่ ไ ด้ ด้ ว ย ตั ว มั น เ อ ง
โ ล ก นี้ อ ยู่ ภ า ย ใ ต้ ก ฎ แ ห่ ง ก า ล แ ล ะ อ ว ก า ศ
จ า เ ป็ น อ ย่ า ง ยิ่ ง ที่ จ ะ ต้อ ง อ า ศัย สิ่ง ที่ อ ยู่ เ ห นื อ ก า ล แ ล ะ อ ว ก า ศ
และโลกนี้เป็ นผลจะต้องอาศัยสิ่งที่เป็ นสาเหตุ สรรพสิ่งที่เป็ นผลจะต้องมีเหตุ
เ ห ตุ เ ห ล่ า นี้ เ ป็ น ผ ล ข อ ง อี ก เ ห ตุ ห นึ่ ง สื บ ต่ อ ไ ป
นั่นแสดงให้เห็นว่าจะต้องมีปฐมเหตุให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ซึ่งคงอยู่ด้วยตัวเอง
เป็นอิสระไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งอื่น ๆ
ดังนั้น สิ่งที่อิสระ สิ่งสัมบูรณ์ สิ่งที่ไม่จากัดและเป็ นปฐมเหตุนั้นคือ
พระเจ้า เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงมีอยู่ มาร์ติโนได้อธิบายลักษณะของ Deism
โ ด ย อ า ศัย ห ลัก เ ห ตุ ผ ล ท า ง จัก ร ว า ล วิท ย า เ ช่ น กัน โ ด ย เ ชื่ อ ว่า
“มีพ ระเจ้าโ ด ย อ าศัย ก ฎ เห ตุ ผ ล ซึ่งมีเห ตุ มีอานาจ และมี พ ลัง
พระเจ้าเป็นปฐมเหตุของโลก”
เหตุผลทางเจตจานง หรือวัตถุประสงค์ (Teleological Argument)
ข้อพิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าโดยอาศัยเหตุผลทางเจตจานงหรือวัตถุประสง
ค์นี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ข้อพิสูจน์จากความเป็ นระเบียบทางธรรมชาติ
(Argument from Design) ได้ถือว่า โลกนี้ มีเอ ก ภา พ มีระเ บี ย บ
มีความกลมกลืน เช่นมีที่ราบ ภูเขาและสมุทร มีพืช สัตว์และมนุษย์
ซึ่ ง ต่า ง ก็ ป รับ ตัว ต า ม ร ะ เ บี ย บ ที่ ก า ห น ด ไ ว้ แ ล้ว ใ น ธ ร ร ม ช า ติ
แสด งใ ห้เห็นว่า โลกนี้ จะต้องมีผู้ออกแบบที่ช าญฉลา ด สร้า งขึ้นมา
และมีวัตถุประสงค์จะให้เป็ นไปเช่นนั้น ผู้ออกแบบสร้างโลกคือพระเจ้า
ซึ่งมีสติปัญญาเป็นอนันตะ ทรงไว้ซึ่งอานาจทิพย์ เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงมีอยู่
เ ช่ น เ ดี ย ว กับ บ้ า น ที่ เ ร า อ ยู่ อ า ศัย ก่ อ น ที่ จ ะ มี วัต ถุ สิ่ ง ข อ ง
และห้องเป็ น สัด ส่วน ส วย งา ม จะต้องมีส ถา ป นิ ก ห รือนาย ช่ า ง
เ ป็ น ผู้ อ อ ก แ บ บ ฉั น ใ ด
โลกนี้ก็จะต้องมีสถาปนิกผู้ออกแบบให้โลกประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ
อย่างเป็นระเบียบ มีความกลมกลืนกัน ฉันนั้น
เ ห ตุ ผ ล ท า ง ภ ว วิ ท ย า ( Ontological Argument)
ข้อพิสูจน์ ค วามมีอยู่ข องพ ระเจ้าโด ย อาศัย เห ตุผ ลทางภววิทยานี้
8
เป็ นการอนุมานจากความคิดโดยถือว่ามนุษย์มีความคิดเกี่ยวกับพระเจ้า
พระเจ้าเป็นสิ่งสัมบูรณ์ สิ่งสัมบูรณ์เป็นสิ่งที่มีอยู่ เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงมีอยู่
ข้ อ พิ สู จ น์ นี้ เ ป็ น ก า ร อ นุ ม า น ว่ า พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น สิ่ ง ที่ มี อ ยู่
จากการที่มนุษย์คิดได้เกี่ยวกับพระเจ้า หรือสิ่งที่มีศักยภาพเหนือตัวเอง
ดั ง ที่ เ ซ น ต์ แ อ น เ ซ ล ม์ ( St. Anselm)
ผู้ซึ่งเป็ นคนแรกที่เสนอวิธีการพิสูจน์นี้ขึ้นในสมัยกลาง ได้ให้ความเห็นว่า
“พระเจ้ามีอยู่โดยอาศัยความเข้าใจหรือความคิดเกี่ยวกับสิ่งสัมบูรณ์”
เดส์การ์ตส์ (Descartes) ได้ให้ความเห็นว่า “พระเจ้าเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง
โ ด ย อ า ศั ย ที่ ตั ว เ อ ง มี ค ว า ม คิ ด เ กี่ ย ว กั บ พ ร ะ เ จ้ า ”
เขาได้พิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าว่า การที่ข้าพเจ้ามีความคิดที่สมบูรณ์
และแจ่มชัดกว่าความคิดที่ได้จากประสบการณ์ และความคิดที่จิตสร้างขึ้นนั้น
เ พ ร า ะ ข้า พ เ จ้า มี ค ว า ม คิด ติด ตัว ม า แ ต่ ก า เ นิ ด ( Innate Idea)
และความคิดดังกล่าวนี้ พระเจ้าเป็ นต้นเหตุบันดาลให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น
พระเจ้าจึงมีอยู่
เ ห ตุ ผ ล ท า ง จ ริ ย ธ ร ร ม ( Moral Argument)
ข้อพิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าโดยอาศัยเหตุผลทางจริยธรรมนี้ ได้ถือว่า
พระเจ้าเป็ นผู้ค วบคุมจริยธ รรม หากพระเจ้าไม่มี คนที่ทาค วามดี
ย่ อ ม จ ะ ไ ม่ไ ด้รับ ก า ร ย ก ย่ อ ง ส นั บ ส นุ น แ ล ะ ค น ที่ ท า ค ว า ม ชั่ ว
ย่อมจะไม่ได้รับการลงโทษ แล้วโลกนี้ ก็จะไม่มีค วามเที่ย งธ รรม
เ ร า อ า จ จ ะ สัง เ ก ต เ ห็ น ว่ า ใ น โ ล ก นี้ ค น ที่ ท า ดี แ ล้ ว ไ ม่ ไ ด้ดี
หรือกลับได้รับความทุกข์ บางคนทาความชั่วแล้วกลับได้รับความสุข
แ ล้ว ค น เ ห ล่า นี้ ก็ ต า ย ไ ป ทั้ง ๆ ที่ ยัง ไ ม่ไ ด้รับ ค ว า ม ยุ ติ ธ ร ร ม
แ ต่ ค ว า ม ยุ ติ ธ ร ร ม มี อ ยู่ จ ริ ง
และชีวิตในโลกนี้ชีวิตเดียวที่ยังไม่ได้รับความยุติธรรม ต้องรอรับในชีวิตหน้า
และผู้ประกันค วามยุ ติธ รรมให้มนุ ษย์ จะต้องมีอานาจเห นือ ม นุ ษย์
นั่ น คื อ พ ร ะ เ จ้ า ดั ง นั้ น พ ร ะ เ จ้ า จึ ง มี อ ยู่
เพื่อให้ความยุติธรรมแก่มนุษย์ในปรโลกหรือชีวิตหน้า
เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าเป็นผู้ประทานรางวัลแก่ผู้ทาความดี
และลงโทษผู้ที่ท าค วา มชั่ ว ในโลกนี้ ต ลอด ถึงชี วิต อนาค ต ด้ว ย
เพื่อให้เกิดความยุติธรรม
ม า ร์ ติ โ น ( James Martineau : 1 8 0 5 - 1 9 0 0 )
นั ก ป รั ช ญ า ศ า ส น า ช า ว อั ง ก ฤ ษ
ใ ห้เ ห ตุ ผ ล เ กี่ ย วกับ ค ว า ม มี อ ยู่ข อง พ ร ะ เ จ้า ใน เ ชิง จ ริย ธ ร ร มว่า
กฎศีลธรรมที่ใช้บังคับแก่เรา จะเป็ นกฎที่ไม่มีใครสร้างขึ้นไม่ได้
แ ต่เ ป็ น ก ฎ ข อ ง พ ร ะ เ จ้า ซึ่ ง ถ่า ย ท อ ด ม า ใ ห้ เ ร า ท า ง ม โ น ธ ร ร ม
พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น แ ห ล่ ง ที่ ม า ข อ ง พั น ธ ะ ท า ง ศี ล ธ ร ร ม
เ พ ร า ะ พั น ธ ะ ท า ง ศี ล ธ ร ร ม นั้ น ไ ม่ มี ใ ค ร ย ก เ ลิ ก ไ ด้
9
ถ้ า บุ ค ค ล ใ น สั ง ค ม ห รื อ รั ฐ ส ร้ า ง พั น ธ ะ ท า ง ศี ล ธ ร ร ม นั้ น
พันธะทางศีลธรรมนั้นก็อาจยกเลิกได้ตามความต้องการของบุคคลหรือสถาบัน
เหล่านั้น ในโลกนี้มีบุคคลที่แตกต่างกัน บางคนมีศีลธรรมดีกว่าบางคน
และพัฒนาให้ดีกว่าขึ้นไปเรื่อย ๆ เราจึงเชื่อว่าต้องมีบุคค ลที่ดี ที่สุด
สมบูรณ์ ที่สุด บริสุทธิ์ที่สุด อยู่แน่นอน และบุค ค ลนั้นก็คือ พ ระเจ้า
ผู้มีความสมบูรณ์โดยประการทั้งปวงนักปรัชญาฝ่ายอเทวนิยม (Atheism)
คื อ ฝ่ า ย ที่ ไ ม่ เ ชื่ อ ใ น ค ว า ม มี อ ยู่ ข อ ง พ ร ะ เ จ้ า
พวกเขาได้พยายามหาเหตุผลมาลบล้างข้อพิสูจน์ของฝ่ายเทวนิยม ดังนี้
การอ้างว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีสาเหตุ และสาเหตุนั้นคือพระเจ้า
เป็นการอ้างที่มีข้อบกพร่อง เพาะถ้าอ้างว่าทุกสิ่งมีสาเหตุ และข้ออ้างนี้เป็ นจริง
พ ร ะ เ จ้ า ก็ ต้ อ ง มี ส า เ ห ตุ ก า ร มี อ ยู่ ข อ ง พ ร ะ เ จ้ า เ ช่ น กั น
แ ล ะ อ ะ ไ ร เ ป็ น ส า เ ห ตุ ใ ห้ พ ร ะ เ จ้ า มี อ ยู่
ถ้ า ต อ บ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า ไ ม่ ต้ อ ง มี ส า เ ห ตุ ใ ห้ พ ร ะ อ ง ค์ มี อ ยู่
พ ร ะ อ ง ค์ ท ร ง เ ป็ น เ อ ง ก็ ขัด กับ ก า ร อ้า ง ที่ ว่า ทุ ก สิ่ง ต้อ งมี สาเ ห ตุ
จึงเป็นการขัดแย้งในตัวเอง
การอ้างว่าความเป็ นไปในสิ่งต่าง ๆในจักรวาลเป็ นไปอย่างมีระเบียบ
แสดงถึงมีผู้วางแผนสร้างไว้อย่างดี ผู้นั้นคือพระเจ้า การอ้างเช่นนี้บกพร่อง
เ พ ร า ะ ว่ า เ ร า ไ ม่ เ ค ย เ ห็ น ก า ร ส ร้ า ง ด ว ง ด า ว อื่ น ๆ ม า ก่ อ น
ถ้ า เ ร า เ ค ย เ ห็ น พ ร ะ เ จ้ า ส ร้ า ง ด ว ง จัน ท ร์ ส ร้ า ง ด า ว อัง ค า ร
เ ร า ก็ อ า จ ส รุ ป ไ ด้ ว่ า โ ล ก มี ผู้ ส ร้ า ง
แต่ในความเป็นจริงเราไม่เคยเห็นพระเจ้าและไม่เคยเห็นการสร้างดวงดาวต่าง
ๆ ในจักรวาลเลย
ก า ร อ้ า ง ว่ า พ ร ะ เ จ้ า ท ร ง รั ก ม นุ ษ ย์ แ ล ะ โ ล ก
เ ป็ น ก า ร อ้ า ง ที่ ขั ด แ ย้ ง กั บ ค ว า ม เ ป็ น จ ริ ง
คื อ ส ภ า พ ข อ ง โ ล ก ยั ง มี ค ว า ม ชั่ ว ร้ า ย ที่ ม นุ ษ ย์ ต้ อ ง ป ร ะ ส บ
ถ้าพระเจ้ารักมนุษย์จริงก็ต้องขจัดความชั่วร้ายให้หมดไปจากโลกเพราะพระเจ้
า เ ป็ น ผู้ ท ร ง เ ด ช า นุ ภ า พ
แต่เมื่อความชั่วร้ายยังมีอยู่แสดงว่าพระเจ้าไร้ความรักหรือความเมตตาต่อมนุ
ษย์
การอ้างว่าผู้ที่ไม่ได้รับความยุติธรรมในโลกนี้จะได้รับความยุติธรรมใน
โ ล ก ห น้ า เ ป็ น ก า ร อ้ า ง ที่ ไ ม่ เ พี ย ง พ อ
เพราะอาจเป็ นความจริงของโลกเองที่ไม่มีความยุติธรรมต่อมนุษย์อยู่แล้ว
ห รื อ อ า จ เ ป็ น อ ยู่ อ ย่ า ง นั้ น
และการที่จะได้รับความยุติธรรมในโลกหน้านั้นก็ไม่รู้แน่ชัดว่าโลกหน้ามีจริงห
รือไม่ ห รือในค วามเป็ นจริงห ากมีค วามยุ ติธ รรมและมีโลกห น้ า
มนุษย์ก็สามารถได้รับความยุติธรรมในโลกหน้าได้โดยไม่จาเป็นต้องมีพระเจ้า
ก า ร พิ สู จ น์ ท า ง ภ ว วิ ท ย า ที่ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า มี อ ยู่ จ า ก ค ว า ม เ ข้า ใ จ
หรือความคิดเกี่ยวกับพระเจ้า ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ที่ถูกต้อง
10
ทฤษฎีการสร้างโลก (Cosmogony)
ท ฤ ษ ฎี ก า ร ส ร้ า ง โ ล ก ห รื อ ท ฤ ษ ฎี ก า ร ก า เ นิ ด จัก ร ว า ล
เป็ นการพยายามให้คาตอบเกี่ยวกับการกาเนิดของโลกหรือจักรวาลว่า
โ ล ก ห รื อ จัก ร ว า ล เ กิ ด ขึ้ น ม า ไ ด้ อ ย่ า ง ไ ร ? ท ฤ ษ ฎี นี้ ถื อ ว่ า
พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น ผู้ ส ร้ า ง โ ล ก ขึ้ น โ ด ย ฉั บ พ ลั น
พร้อมด้วยบริวารของโลกและสิ่งที่อาศัยโลกได้แก่ ดาวพระเคราะห์ ดาวบริวาร
พื ช และสัต ว์ สิ่งเห ล่านี้ ค งรูปอยู่อย่างเดิมเห มือ นเ มื่อ แร ก ส ร้า ง
และจะดาเนินต่อไปในรูปเดิม
ทฤษฎีการสร้างโลกมี 2 แบบคือ
1. การสร้างโลกแบบสัมบูรณ์
2. การสร้างโลกแบบมีเงื่อนไข
ก า ร ส ร้ า ง โ ล ก แ บ บ สั ม บู ร ณ์ ห ม า ย ค ว า ม ว่ า
พระเจ้าสร้างโลกขึ้นอย่างฉับพลัน จากความไม่มีอะไรหรือจากความว่างเปล่า
ใ น ลัก ษ ณ ะ ก า ร เ น ร มิต ว่า ข อ ใ ห้โ ล ก เ กิด ขึ้น แ ล้ว โ ล ก เ กิด ขึ้น
ซึ่งในขณะนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากพระเจ้า พระเจ้าเป็ นผู้สมบูรณ์ทุกอย่าง
จ ะ ไ ม่ ส ร้ า ง โ ล ก ขึ้ น เ ล ย ก็ ไ ด้
แต่พระองค์สร้างโลกขึ้นเพื่อถ่ายทอดความดีงามทั้งปวงให้แก่สิ่งที่จากัด
ก า ร ส ร้ า ง โ ล ก แ บ บ มี เ งื่ อ น ไ ข ห ม า ย ค ว า ม ว่ า
พระเจ้าสร้างโลกจากสสารที่มีอยู่แล้ว พระเจ้ากับสสารเป็ นสิ่งนิรันดรด้วยกัน
แ ต่ ส ส า ร ด า ร ง อ ยู่ อ ย่ า ง ไ ร้ ร ะ เ บี ย บ
พระเจ้าจึงใช้สสารอันไร้ระเบียบสร้างขึ้นเป็นโลกอันมีระเบียบ
ทฤษฎีการสร้างโลก 2 แบบไม่สมเหตุสมผลทางปรัชญา กล่าวคือ
ถ้า พ ร ะ เ จ้า ส ร้า ง โ ล ก จ า ก ค ว า ม ไ ม่มี อ ะ ไ ร ห รื อ ค ว า ม ว่า ง เ ปล่า
ความไม่มีอะไรหรือความว่างเปล่านั้นจะเป็ นเหตุเชิงวัสดุขอ งโล ก
ต า ม ธ ร ร ม ด า เ ห ตุ จ ะ ถ่ า ย ท อ ด ธ ร ร ม ช า ติ ข อ ง มัน ใ ห้ แ ก่ ผ ล
ผลก็จะเป็ นความไม่มีอะไรหรือความว่างเปล่า นั่นคือโลกเป็ นสิ่งที่ไม่มีอยู่
ถ้าพระเจ้าสร้างโลกจากสสารที่มีอยู่แล้ว พระเจ้าก็กลายเป็ นสิ่งจากัด
เพราะสสารและพระเจ้าเป็ นสิ่งนิรันดรด้วยกัน พระเจ้าควบคุมสสารไม่ได้
ไม่สมกับที่พระเจ้าเป็นผู้มีอานาจไม่จากัด
1.2 ศึกษาความหมายและความเป็ นมาของวิชาปรัชญา
จักรวาลวิทยา (Cosmology)
คาว่า “จักรวาล” หมายถึง อวกาศทั้งหมด และสรรพสิ่งที่อยู่ในอวกาศ
ไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะใดห รือที่ไหนในโลกหรือในอวกาศนอ กโล ก
สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเรียกว่า “จักรวาล”
11
จั ก ร ว า ล วิ ท ย า
เป็ นการศึกษาค้นคว้าและหาคาตอบเกี่ย วกับจักรวาลและสิ่งต่าง ๆ
ใ น จั ก ร ว า ล ว่ า มี ค ว า ม เ ป็ น ม า อ ย่ า ง ไ ร
สรรพสิ่งในจักรวาลมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ หรือมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
ส า ม า ร ถ ด า เ นิ น ต่ อ ไ ป ไ ด้ อ ย่ า ง ไ ร เ มื่ อ เ ป็ น เ ช่ น นี้
จักรวาลวิทยาจึงศึกษาเกี่ยวกับปัญหาของจักรวาลดังต่อไปนี้ (รศ.ดร.สุจิตรา
รณรื่น : 2540)
1 . ปั ญ ห า เ กี่ ย ว กั บ ข น า ด ข อ ง จั ก ร ว า ล
นั่นคือปัญหาที่ว่าจักรวาลมีขอบเขตหรือไม่ คือมีขนาดรู้จักจบหรือไม่
เกี่ยวกับปัญหานี้มีคาตอบ 2 กลุ่มคือ
กลุ่มนักปรัชญาที่เชื่อว่าจักรวาลไร้ขอบเขต กล่าวคือมีขนาดไม่รู้จบ
กลุ่มนักคณิตศาสตร์เชื่อว่า จักรวาลมีขอบเขตจากัด คือมีขนาดรู้จักจบ
2 . ปั ญ ห า เ กี่ ย ว กั บ ก า ร วิ วั ฒ น า ก า ร ข อ ง จั ก ร ว า ล
นั่นคือปัญหาที่ว่าจักรวาลมีความเป็ นมาอย่างไร และจะดาเนินไปอย่างไร
เ ป็ น เ รื่ อ ง ที่ ย า ก แ ก่ ก า ร ใ ห้ ค า ต อ บ
เพราะไม่มีเครื่องมือสาหรับสอดส่องย้อนไปดูอดีตเพื่อหาจุดเริ่มต้นของจักรวา
ลได้ เกี่ยวกับปัญหานี้มีคาตอบ 2 กลุ่มคือ
ก ลุ่ ม นั ก ค ณิ ต ศ า ส ต ร์
เชื่อว่าจักรวาลเมื่อเกิดขึ้นและวิวัฒนาการเต็มที่แล้วจะค่อย ๆ ดับลง
เ พ ร า ะ ก า ร สู ญ เ สี ย พ ลัง ง าน จัก ร ว า ล จึง มี ก า ร เ สื่ อ ม ล ง เ รื่ อ ย ๆ
จนหมดพลังงานและในที่สุดสรรพสิ่งก็จะหยุดนิ่งและดับลง
อีกกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าจักรวาลจะไม่ดับลง เพราะในเมื่อจักรวาลไร้ขอบเขต
ห รือมีข นาด ไม่รู้จักจบก็ จะ มีพ ลังงา นที่ มีปริมา ณไม่รู้จ บเ ช่ น กัน
หรือในแง่หนึ่งจะต้องมีการสร้างพลังงานใหม่ขคชึ้นทดแทนพลังงานเก่าที่เสียไ
ป
3. ปัญหาเรื่องจักรวาลกาลังขยายตัว จากการค้นพบของฮับเบิลในปี
ค . ศ . 1 9 2 9 ท า ใ ห้ ท ร า บ ว่ า จั ก ร ว า ล ก า ลั ง ข ย า ย ตั ว
โด ย เข าใช้เค รื่องแยกแสงต รวจสอบแสงจากแกแลกซี่ ( Galaxy)
จานวนมากมายในอวกาศ (แกแลกซี่คือกลุ่มดาวแบบทางช้างเผือ ก
คื อ ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย ด า ว จ า น ว น ม า ก ม า ย ร ว ม กุ ล่ ม กั น )
พบว่าเส้นดาเคลื่อนไปทางแถบแสงสีแดงในสเปคตรัม (Spectrum
คือแถบแสงเจ็ดสีที่ได้จากการแยกแสงคือม่วง คราม น้าเงิน เขียว เหลือง แสด
แ ด ง )
ทาให้ทราบว่าแกแลกซี่กาลังเคลื่อนที่ห่างออกไปจากแกแลกซี่ของเราด้วยควา
มความเร็วสูง แสดงให้เห็นว่าจักรวาลกาลังขยายตัวไปทุกทิศทาง
นักดาราศาสตร์บางท่านไม่เชื่อว่าจักรวาลกาลังขยายตัวโดยให้เหตุผลว่า
การที่แสดงจากแกแลกซี่ต่าง ๆ ที่รับโดยสเปคโตรสโคปหรือเครื่องแยกแสง
12
ป ร า ก ฏ ว่ า เ ส้ น ด า เ ค ลื่ อ น ไ ป ท า ง แ ถ บ แ ส ง สี แ ด ง นั้ น
อาจไม่ใช่เป็นผลมาจากจักรวาลกาลังขยายตัว
4 . ปัญห าเรื่องเวลา ( Time) นั่ นคือปัญห าที่ว่า เวลาคืออะไร
มี จ ริ ง ห รื อ ไ ม่ ถ้ า มี จ ริ ง มี ลั ก ษ ณ ะ เ ป็ น อ ย่ า ง ไ ร
เหตุที่เราไม่สามารถหาความแจ่มแจ้งเกี่ยวกับเวลาได้เพราะเราไม่มีเครื่องมือใ
ด ม า ต ร ว จ ส อ บ ห รื อ ส อ ด ส่ อ ง ดู ค ว า ม เ ป็ น ไ ป ข อ ง มั น
ไ ม่ส า ม า ร ถ ย้ อ น ก ลับ ไ ป ดู อ ดี ต ห รื อ ม อ ง อ อ ก ไ ป ดู อ น า ค ต ไ ด้
น อ ก จ า ก ดู ใ น ปั จ จุ บั น เ ท่ า นั้ น
จึ ง ท า ใ ห้ เ กิ ด ค ว า ม สั บ ส น เ กี่ ย ว กั บ เ รื่ อ ง เ ว ล า อ ย่ า ง ม า ก
ลักษณะของเวลาที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันมี 3 ประเภทคือ
เ ว ล า น า ฬิ ก า
เป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์หรือสร้างขึ้นเพื่อใช้บอกเวลาโดยกาหนดจากการหมุน
รอบตัวเองของโลกเป็ นหลัก โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบถือเป็ น 1 วัน
หมุนรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบถือเป็ น 1 ปี แล้วแบ่งปี เป็ นเดือน และวัน
แ บ่ ง วั น เ ป็ น ชั่ ว โ ม ง น า ที แ ล ะ วิ น า ที นี่ คื อ เ ว ล า น า ฬิ ก า
ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวกับเวลาที่แท้จริง
เวลาจิตวิทยา หรือเวลาแห่งการรับรู้ เวลาชนิดนี้เป็ นเวลาอัต วิสัย
( Subjective time) ห รื อ เ ว ล า ใ น ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ข อ ง บุ ค ค ล
เวลาจิตวิทยาคือประสบการณ์ต่อเนื่องของความรู้สึกตัวของปัจเจกบุคคล
ห รื อ ค ว า ม รู้ สึ ก ตั ว เ อ ง นั่ น เ อ ง คื อ เ ว ล า
ดังนั้นก็แสดงว่าในขณะที่เรานอนหลับหรือหมดสติไปก็เท่ากับว่าในขณะนั้นไ
ม่มีเวลาสาหรับเรา เวลาจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งเมื่อเรารู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
เ ว ล า ใ น ลั ก ษ ณ ะ นี้ ไ ม่ ใ ช่ เ ว ล า ที่ แ ท้ จ ริ ง
เ พ ร า ะ เ ว ล า ที่ แ ท้ จ ริ ง จ ะ ต้ อ ง ต่ อ เ นื่ อ ง กัน ไ ป ไ ม่ มี จุ ด สิ้ น สุ ด
เวลาจิต วิทย าห รื อเ วล าใน ค ว าม รู้สึ กอา จย า วห รือ สั้น ก็ ได้ เช่น
เ มื่ อ ไ ด้ รั บ ค ว า ม ทุ ก ข์ จ ะ รู้ สึ ก ว่ า เ ว ล า ย า ว น า น
แต่เมื่อได้รับความสุขจะรู้สึกว่าเวลาสั้นเกินไป
เ ว ล า ที่ แ ท้ จ ริ ง
ทฤษฎีที่ตอบว่าเวลาที่แท้จริงไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลา ได้แก่
เวลาของพระเจ้า (God’s time) เซนต์ ออกัสติน (Saint Augustin)
เ ส น อ ว่ า ต า ม ห ลั ก ก า ร ข อ ง ศ า ส น า ค ริ ส ต์
สรรพ สิ่งในจักรวาลเกิด จากการสร้างของพระเจ้า เวลาก็เช่นกัน
พระเจ้าทรงสร้างเวลาขึ้นเพื่อให้สรรพสิ่งที่พระองค์สร้างดาเนินไปภายใต้ระบ
บ ข อ ง เ ว ล า แ ต่ พ ร ะ อ ง ค์ อ ยู่ น อ ก ร ะ บ บ เ ว ล า
เมื่อสร้างเวลาได้ก็สามารถกาห นด ให้เวลาสิ้นสุด ลงในอนาค ต ได้
โ ด ย ที่ ส ร ร พ สิ่ ง ถู ก จ า กั ด ด้ ว ย เ ว ล า
ยกเว้นพระเจ้าเพราะพระองค์อยู่นอกระบบเวลา จึงไม่ถูกจากัดด้วยเวลา
13
เวลาสัมบูรณ์ (Absolute time)
นิ ว ตั น ( Isaac Newton) ถื อ ว่ า เ ว ล า เ ป็ น สิ่ ง ที่ แ ท้ จ ริ ง
ห รื อ เ ป็ น ส่ว น ห นึ่ ง ข อ ง ธ ร ร ม ช า ติ เ ป็ น วัต ถุ วิสัย ( Objective)
คือเป็ นสิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวของมันเอง และไม่ใช่การเคลื่อนที่ของสสาร
ไ ม่ ใ ช่ ตั ว ข อ ง ส ส า ร ที่ มี อ ยู่ ภ า ย ใ ต้ ร ะ บ บ ข อ ง เ ว ล า
แต่เวลาเป็นสิ่งหนึ่งต่างหากจากสสารหรือเหตุการณ์
เวลาคือกลไกของมนัส
ค้ า น ท์ ( Immanuel Kant) เ ห็ น ว่ า
ส ม ร ร ถ น ะ ใ น ก า ร รั บ รู้ เ อ ง เ ว ล า อ ยู่ ใ น ก ล ไ ก ข อ ง ม นั ส
ก า ร รั บ รู้ เ รื่ อ ง เ ว ล า ไ ม่ ไ ด้ พั ฒ น า ม า จ า ก ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์
แต่มันมีอยู่ก่อนประสบการณ์ เป็นกลไกของมนัส หรือจิตของเราในการรับรู้
ก ล่า ว คื อ ม นัส เ ป็ น ก ล ไ ก ใ น ก า ร รับ รู้สิ่ง ต่า ง ๆ ใ น ธ ร ร ม ช า ติ
แต่เวลาเป็ นเพียงกลไกในการปรุงแต่งให้เราเข้าใจได้ ปัญหาเรื่องอวกาศ
(Space) นั่นคือปัญหาที่ว่า อวกาศคืออะไร ? เป็ นสิ่งที่แท้จริงหรือไม่ ?
อวกาศอยู่นอกจากความคิดหรืออยู่ในความคิดมนุษย์ ? โดยทั่วไปคาว่า
" อ ว ก า ศ " ห ม า ย ถึง ที่ ว่า ง ซึ่ ง จ ะ ใ ส่สิ่ง ข อ ง ห รื อ วัต ถุ เ ข้า ไ ป ไ ด้
แ ต่ ใ น ท า ง ป รั ช ญ า มี ค ว า ม ห ม า ย ก ว้ า ง ก ว่ า นั้ น
คือหมายถึงที่ว่างอันกว้าวให ญ่ออกไปทุกทิศ ทางอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ไ ม่ มี ข อ บ เ ข ต จึ ง มี ปั ญ ห า ว่ า อ ว ก า ศ มี อ ยู่ จ ริ ง ห รื อ ไ ม่
มี อ ยู่ น อ ก ค ว า ม คิ ด ม นุ ษ ย์ ห รื อ ไ ม่
ห รือเป็ นเพี ย งค วามคิด ที่เกิด จากการมีประสบ การ ณ์ วัต ถุต่าง ๆ
ปัญหานี้มีคาตอบ 2 อย่างคือ
อ ว ก า ศ คื อ ก ล ไ ก ข อ ง ม นั ส ค้ า น ท์ ถื อ ว่ า
เ ว ล า แ ล ะ อ ว ก า ศ ไ ม่ ใ ช่ สิ่ ง ที่ มี อ ยู่ จ ริ ง ภ า ย น อ ก
แ ต่ เ ป็ น สิ่ ง ที่ ม นั ส ห รื อ จิ ต ข อ ง เ ร า ส ร้ า ง ขึ้ น
เวลาและอวกาศเป็นเพียงกลไกในการรับรู้ของมนัส จึงไม่มีอยู่ในความเป็นจริง
อ ว ก า ศ แ ห่ ง ม โ น ภ า พ
เป็นอวกาศตามที่เราคิดซึ่งจะแตกต่างไปจากอวกาศในประสบการณ์ของเรา
อวกาศ ในค วามคิด ข องเรานั้นเริ่มจากที่ว่าง ณ ที่ใด ที่ห นึ่ง เช่น
เ ร า คิ ด ถึ ง ก ล่ อ ง ว่ า ง เ ป ล่ า ก ล่ อ ง ห นึ่ ง
บริเวณในกล่องเป็ นอวกาศแล้วเราคิดขยายกล่องนี้ออกไปทุก ๆ ด้าน
บ ริเ ว ณ ภ า ย ใ น ก ล่อ ง ก็ จ ะ ใ ห ญ่ขึ้ น เ รื่ อ ย ๆ โ ด ย ไ ม่มี ที่ สิ้ น สุ ด
ลักษณะดังกล่าวถือว่าเป็นอวกาศทางมโนภาพ
ทัศนะของนักปรัชญาเกี่ยวกับพระเจ้า
14
เ พ ล โ ต้ เ ห็ น ว่ า พ ร ะ เ จ้ า คื อ ค ว า ม คิ ด เ กี่ ย ว กับ ค ว า ม ดี
อันเป็นความคิดเกี่ยวกับความดีที่สมบูรณ์ที่สุด พระเจ้าเป็นความแท้จริงสูงสุด
หรือเป็นแบบที่สมบูรณ์สูงสุด และเป็นแบบที่อมตะนิรันดร
อ ริ ส โ ต เ ติ้ ล ถื อ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า มี ลั ก ษ ณ ะ เ ป็ น ค ว า ม คิ ด
แ ต่ มิ ใ ช้ ค ว า ม คิ ด ที่ มี อ ยู่ ใ น จิ ต เ ป็ น สิ่ ง ที่ แ ท้ จ ริ ง ใ น ตั ว เ อ ง
ซึ่งเป็นอิสระจากจิตมนุษย์ พระเจ้าคือเหตุสูงสุด สสารเป็นเหตุเชิงวัตถุของโลก
แต่พระเจ้าเป็นเหตุเชิงประสิทธิภาพ เหตุเชิงรูปแบบและเหตุสุดท้ายของโลก
ลั ท ธิ ส โ ต อิ ค ถื อ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า คื อ เ ห ตุ ผ ล ส า ก ล
ซึ่ ง ค ว บ คุ ม โ ล ก แ ล ะ ค ว บ คุ ม จุ ด ห ม า ย ป ล า ย ท า ง ข อ ง ม นุ ษ ย์
กฎเหตุผลสากลก็คือกฎธ รรมชาติ กฎธรรมชาติก็คือกฎจริย ธ ร รม
เพราะฉะนั้นธรรมชาติและชะตากรรมของบุคคลจึงเป็นอันเดียวกันกับเหตุผลส
า ก ล ดั ง นั้ น พ ร ะ เ จ้ า ห ม า ย ถึ ง เ ห ตุ ก า ร ณ์ ต่ า ง ๆ
เ กิ ด ต า ม แ น ว ท า ง ที่ มั น เ กิ ด เ พ ร า ะ สิ่ ง ต่ า ง ๆ
และบุค ค ลทั้งห มด อยู่ภายใต้การควบคุมข องเหตุผล ห รือพ ระเจ้า
นั่นคือพระเจ้ามีในทุกสิ่งทุกอย่าง
เ ซ น ต์ อ อ กั ส ติ น เ ชื่ อ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า คื อ เ บื้ อ ง ต้ น
ท่ามกลางและที่สุดข องสรรพสิ่ง ไม่มีสิ่งใดอยู่ภาย นอกจากพ ร ะ จ้า
พ ร ะ เ จ้ า มี คุ ณ ส ม บัติ คื อ ค ว า ม ดี ค ว า ม ยุ ติ ธ ร ร ม แ ล ะ ปั ญ ญ า
ปรากฏได้ในที่ทุกแห่งและทุกเวลา มีอานาจไม่สิ้นสุดและเป็นนิรันดร
เดส์การ์ตส์ ถือว่า พระเจ้าเป็นเนื้อสารที่ไม่สิ้นสุด เป็ นนิรันดร เป็นอิสระ
รู้ สิ่ ง ทั้ ง ป ว ง มี อ า น า จ ทั่ ว ไ ป แ ล ะ เ ป็ น ผู้ ส ร้ า ง ส ร ร พ สิ่ ง
เขาได้พิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าว่า ข้าพเจ้ามีความคิดเกี่ยวกับพระเจ้า
ซึ่งเป็ นความคิดติดตัวมาแต่เกิด ความคิดนี้ พระเจ้าเป็ นต้นเหตุให้เกิดขึ้น
และเป็นความจริง เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงมีอยู่
สปิโนซ่า ถือว่า พระเจ้าคือเนื้อสารอันแท้จริงเพียงสิ่งเดียว (One
Substance) คุณลักษณะสาคัญของพระเจ้าคือความคิดและการกินที่
พ ร ะ เ จ้า คื อ ต้น เ ห ตุ แ ล ะ ค ว า ม ด า ร ง อ ยู่ แ ล ะ เ ป็ น ข อ ง ส ร ร พ สิ่ ง
พระเจ้ามีลักษณะเป็นจิต
ไ ล บ์ นิ ซ ถื อ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น โ ม น า ด ใ ห ญ่
ห รื อ โ ม น า ด ศู น ย์ ก ล า ง ข อ ง โ ม น า ด ทั้ ง ห ล า ย
พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกธรรมชาติและโลกจริยธรรมให้กลมกลืนกัน
ค้านท์ ไม่ยอมรับความมีอยู่ของพระเจ้า ด้วยการคิดหาเหตุผลทางทฤษฎี
ห รื อ ก า ร คิ ด ห า เ ห ตุ ผ ล ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์
กล่าวคือเหตุผลทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าไ ม่ได้
ค้ า น ท์ เ ห็ น ว่ า
พระเจ้าเป็นอุดมคติในการจัดระเบียบคือจัดปรากฏการณ์ทางกายกับปรากฏกา
ร ณ์ ท า ง จิ ต ใ ห้ ก ล ม ก ลื น กั น
15
และเป็ นห ลักจริย ธ รรมเพื่ อจัด ความดีกับความสุขให้กลมกลืนกัน
นั่นคือพระเจ้ามีอยู่เพื่อเหตุผลทางจริยธรรมเท่านั้น
ฟิ ช ต์ เ ห็ น ว่ า พ ร ะ เ จ้ า คื อ อั ต ต า ส ม บู ร ณ์
เป็นผู้สร้างอัตตาที่จากัดและสสารมากมายซึ่งล้วนเป็นความแท้จริง
เชลลิ่ง ถือว่าสิ่งสัมบูรณ์คือสิ่งกลาง ๆ ไม่ใช่จิต ไม่ใช่วัตถุ ไม่ใช่อัตตา
ไม่ใช่สสาร แต่เป็นเอกภาพชั้นสูงซึ่งเป็นที่มาของอัตตาและสสาร
เฮเกล ถือว่าความแท้จริงมีเพียงจิตดวงเดียวที่เรียกว่า สิ่งสัมบูรณ์
นั่ นคือพ ระเจ้า พ ระเจ้า คือค วา มคิด สัมบู ร ณ์ ห รือเห ตุผ ล ส า ก ล
ห รื อ วิ ญ ญ า ณ สั ม บู ร ณ์ ซึ่ ง แ ส ด ง ตั ว เ อ ง ใ น ธ ร ร ม ช า ติ
ใ น จิ ต ที่ จ า กั ด แ ล ะ ใ น สั ง ค ม ร ะ ดั บ ต่ า ง ๆ กั น
พระเจ้าเป็นสิ่งที่รู้ตัวเองอย่างไม่สิ้นสุดและเป็ นนิรันดร ไม่ใช่อัตตาและสสาร
แต่อยู่ในอัตตาและสสารนั้น
1.3 อภิปรัชญาว่าด้วยพระเจ้า หรือสิ่งสัมบูรณ์
ความสงสัยหรือการคิดค้นเรื่องสิ่งอันเป็นเหตุหรือเป็ นปฐมเหตุของสรร
พสิ่งเป็นเรื่องที่มีมานานตั้งแต่สมัยปรัชญากรีกโบราณ โดยตั้งเป็นคาถามว่า
อ ะ ไ ร เ ป็ น ป ฐ ม ธ า ตุ ห รื อ ป ฐ ม เ ห ตุ ข อ ง ส ร ร พ สิ่ ง ?
ห รื อ อ ะ ไ ร เ ป็ น บ่ อ เ กิ ด ข อ ง ส ร ร พ สิ่ ง ?
นักปรัชญาพยายามศึกษาสืบค้นในเรื่องนี้อย่างจริงจังโดยอาศัยหลักการต่าง ๆ
ร ว ม ทั้ ง ห ลั ก ก า ร ท า ง ต ร ร ก วิ ท ย า
แ ล ะ ส รุ ป ไ ด้ ว่ า มี สิ่ ง ห นึ่ ง ที่ เ ป็ น ป ฐ ม เ ห ตุ ข อ ง ส ร ร พ สิ่ ง
สิ่งนั้นเรียกว่ากฎเหตุผลสากลบ้าง สิ่งสัมบูรณ์บ้าง พระผู้เป็ นเจ้าบ้าง
จึงเป็นเหตุให้มีการแบ่งแยกนักปรัชญาเป็น 2 พวกคือพวกที่เชื่อไม่เชื่อพระเจ้า
ซึ่งเรียกสิ่งอันเป็นปฐมเหตุของสรรพสิ่งว่า กฎเหตุผลสากลบ้าง สิ่งสัมบูรณ์บ้าง
นั ก ป รั ช ญ า ก ลุ่ ม นี้ ถู ก เ รี ย ก ว่ า “ อ เ ท ว นิ ย ม ” ( Atheism)
แ ล ะ อี ก พ ว ก ห นึ่ ง ที่ เ ชื่ อ ใ น เ รื่ อ ง พ ร ะ เ จ้ า
ซึ่ ง เ รี ย ก สิ่ง อัน เ ป็ น ป ฐ ม เ ห ตุ ข อ ง ส ร ร พ สิ่ง ว่า พ ร ะ ผู้เ ป็ น เ จ้ า
นักปรัชญากลุ่มนี้ถูกเรียกว่า “เทวนิยม” (Theism)
เมื่อเกิดคริสตศาสนาซึ่งสอนว่าพระผู้เป็ นเจ้าเป็ นผู้สร้างสรรพ สิ่ง
นักปรัชญาที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอิทธิพลของคริสตศาสนาจึงต้องสน
ใจเรื่องพ ระผู้เป็ นเจ้าด้วย ในแวด วงข องช าวค ริสต์ด้วย กันแล้ว
เ รื่ อ ง พ ร ะ เ จ้า มี อ ยู่ ห รื อไ ม่มิใ ช่ ปัญ ห า เ พ ร า ะ ช า ว ค ริส ต์ เชื่ อว่า
พ ระเจ้ามีอยู่แน่นอน และเพ ราะพ ระเ จ้ามี อยู่ สรรพ สิ่งจึง มี อ ยู่
พระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง
บางความเห็นของนักเทวนิยม เห็นว่า “พระเจ้าไม่ใช่สิ่งใด ๆ
ห รื อ ยู่ ใ น ก า ล ะ แ ล ะ เ ท ศ ะ คื อ ไ ม่ขึ้น อ ยู่ กับ เ ว ล า แ ล ะ ส ถ า น ที่
ไม่มีเกิดไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีเสื่อมไม่มีดับ ไม่มีอยู่ในที่ใด ๆ
16
จึงมิใช่สิ่งใดในจักรวาล และพระเจ้าก็ไม่ใช่ทุกสิ่งในจักรวาลรวมกัน”
(ผศ.วิธาน สุชีวคุปต์ และคณะ: 2532)
การศึกษาเรื่องพ ระเจ้า ( God) ห รือสิ่งสัมบูรณ์ ( Absolute)
เป็ นการค้นค ว้าห าสัจภาวะเรื่อง ห รือสิ่งที่มีอานาจเห นื อมนุ ษ ย์
โดยอธิบายเกี่ยวกับธรรมชาติ ความมีอยู่และคุณลักษณะของพระเจ้า
พระเจ้ามีจริงไหม มีธรรมชาติอย่างไร สัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ อย่างไร
ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง พ ร ะ เ จ้ า กั บ โ ล ก แ ล ะ สั ต ว์ ทั้ ง ป ว ง
การศึกษาเรื่องพระเจ้าหรือสิ่งสัมบูรณ์ จัดเป็ นอภิปรัชญาสาขาห นึ่ง
คื อ อ ภิ ป รั ช ญ า ที่ ว่ า ด้ ว ย พ ร ะ เ จ้ า ห รื อ สิ่ ง สั ม บู ร ณ์
นักปรัช ญาที่สนใจศึกษาส่วนมาก จะเ ป็ นนักป รัช ญาฝ่ าย จิต นิ ย ม
ส่วนนักปรัชญาฝ่ายสสารนิยมจะปฏิเสธความมีอยู่ของพระเจ้า
อย่างไรก็ต าม แม้ว่าในปัจจุบันวิทย าการจะเจริญก้า ว ห น้ า
ห รื อ ห ลั ก ก า ร ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ มี ก า ร พั ฒ น า ไ ป ม า ก
การศึกษาอภิปรัช ญาว่าด้วยพ ระเจ้า หรือความคิดข องเทวนิย ม นี้
ก็ยังเป็นแนวความคิดหนึ่งที่คนทั่วไปยังให้ความเลื่อมใส และสนใจกันอยู่
คาว่า “เทวนิยม” (Theism) ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ . ศ . 2525 ไ ด้ นิ ย า ม ค ว า ม ห ม า ย ไ ว้ ว่ า “ เ ท ว นิ ย ม
ห ม า ย ถึ ง ลัท ธิ ที่ เ ชื่ อ ว่ า มี พ ร ะ เ จ้ า ผู้ ยิ่ ง ใ ห ญ่ พ ร ะ อ ง ค์ เ ดี ย ว
พ ร ะ เ จ้ า นั้ น ท า ง มี อ า น า จ ค ร อ บ ค ร อ ง โ ล ก
และสามารถดลบันดาความเป็นไปในโลก”
ในพจนานุกรมศัพท์ปรัชญา อังกฤษ – ไทย ฉบับราชบัณฑิตสถาน
ได้นิยามความหมายของคาว่า “เทวนิยม” (Theism) ไว้ว่า “เทวนิยม
ห ม า ย ถึ ง ทั ศ น ะ ที่ เ ชื่ อ ว่ า พ ร ะ เ ป็ น เ จ้ า ( God) มี จ ริ ง
ทรงเป็นผู้สร้างและคุ้มครองโลก และทรงไว้ซึ่งอัพภันตรภาพ (Immanence)
และอุตรภาพ (Transcendence) ตรงกันข้ามกับ อเทวนิยม (Atheism)
ในทางอภิปรัชญา นักปรัชญาเทวนิยมจะเชื่อว่า พระเจ้ามีอยู่จริง
คื อ เ ป็ น ภ า ว ะ ที่ มี อ ยู่ อ ย่ า ง เ ที่ ย ง แ ม้ ถ า ว ร
ไ ม่ใ ช่ เ ป็ น เ พี ย ง อุ ด ม ค ติอ ย่ า ง ที่ นั ก ป รัช ญ า ธ ร ร ม ช า ติเ ข้ า ใ จ
เ พ ร า ะ นั ก ป รั ช ญ า ธ ร ร ม ช า ติ น า เ อ า ค า ว่ า “ พ ร ะ เ จ้ า ”
ไ ป ใ ช้ เ พี ย ง ห ม า ย ค ว า ม ถึ ง ม โ น ภ า พ อ ย่ า ง ห นึ่ ง
ซึ่งยึดเป็นค่านิยมหรือเป็นเป้าหมายของมนุษย์เท่านั้น
1.4 แหล่งสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม
กีรติ บุญเจือ. แก่นปรัชญากรีก. กรุงเทพ ฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2528.
-----------------. แก่นปรัชญายุคกลาง. กรุงเทพ ฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2527.
จานงค์ ทองประเสริฐ. ปรัช ญาต ะวันต กสมัย ให ม่. กรุงเทพ ฯ :
โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, 2534.
17
ชัย วัฒน์ อัต พัฒน์ . ปรัช ญาต ะวันต ก ร่ว ม ส มัย 1 . กรุงเทพ ฯ :
มหาวิทยาลัยรามคาแหง, 2522.
เดือน คาดี. ปัญหาปรัชญา. กรุงเทพ ฯ: โอเดียนสโตร์, 2530.
----------------. พุทธปรัชญา. กรุงเทพ ฯ: โอเดียนสโตร์, 2534.
ธี ร ยุ ท ธ สุ น ท ร า , ผ ศ . . ป รั ช ญ า เ บื้ อ ง ต้ น . ก รุ ง เ ท พ ฯ :
โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2539.
บุญมี แท่นแก้ว, ผศ.. ปรัชญา, กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, 2536.
บุณย์ นิลเกษ, ดร.. เมตาฟิสิกซ์เบื้องต้น. เชียงใหม่ : คณะมนุษยศาสตร์
มหาวิทยาลัย เชียงใหม่, 2526.
บรรจบ บรรณรุจิ. จิต มโน วิญญาณ. กรุงเทพฯ : ไร่เรือนสมาธิ, 2533.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมศัพท์ปรัชญา อังกฤษ – ไทย. กรุงเทพ ฯ:
ราชบัณฑิตสถาน, 2532.
วิธ าน สุชี วคุปต์ และค ณะ, ผ ศ .. ปรัช ญาเบื้องต้น. กรุงเทพ ฯ :
มหาวิทยาลัยรามคาแหง, 2532.
วิธาน สุชีวคุปต์, ผศ.. อภิปรัชญา. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคาแหง,
2525.
สถิต วงศ์สวรรค์, รศ.. ปรัชญาเบื้องต้น. กรุงเทพฯ : อักษรพิทยา, 2540.
สุจิต รา (อ่อนค้อม) รณรื่น , รศ .. ปรัช ญาเบื้องต้น. กรุงเทพ ฯ :
โรงพิมพ์ทิพยวิสุทธิ์, 2540.
สนิท สีสาเดง. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับปรัชญาและศาสนา. กรุงเทพ ฯ:
นีลนาราการพิมพ์, 2538.
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - . ป รั ช ญ า เ ถ ร ว า ท . ก รุ ง เ ท พ ฯ :
โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2544.
สุเมธ เมธาวิทยกุล, รศ.. ปรัชญาเบื้องต้น. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์, 2540.
อดิศักดิ์ ทองบุญ. คู่มืออภิปรัชญา. กรุงเทพ ฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2533.
---------------------. ปรัชญาอินเดียร่วมสมัย. กรุงเทพ ฯ: ราชบัณฑิตยสถาน,
2536.
---------------------. ปรัชญาอินเดีย. กรุงเทพ ฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2532.
อมร โสภณวิเชษฐวงศ์, ผศ.. ปรัชญาเบื้องต้น, กรุงเทพฯ : ประสานมิตร,
2520

More Related Content

What's hot

HOẠT ĐỘNG TRUYỀN THÔNG CỦA CÁC CƠ QUAN HÀNH CHÍNH NHÀ NƢỚC CẤP TRUNG ƢƠNG TẠI...
HOẠT ĐỘNG TRUYỀN THÔNG CỦA CÁC CƠ QUAN HÀNH CHÍNH NHÀ NƢỚC CẤP TRUNG ƢƠNG TẠI...HOẠT ĐỘNG TRUYỀN THÔNG CỦA CÁC CƠ QUAN HÀNH CHÍNH NHÀ NƢỚC CẤP TRUNG ƢƠNG TẠI...
HOẠT ĐỘNG TRUYỀN THÔNG CỦA CÁC CƠ QUAN HÀNH CHÍNH NHÀ NƢỚC CẤP TRUNG ƢƠNG TẠI...PinkHandmade
 
การถ่ายทอดพลังงาน การหมุนเวียนสาร(TH)
การถ่ายทอดพลังงาน การหมุนเวียนสาร(TH) การถ่ายทอดพลังงาน การหมุนเวียนสาร(TH)
การถ่ายทอดพลังงาน การหมุนเวียนสาร(TH) Horania Vengran
 
สื่อการเรียน เรื่อง ชนิดของเครือข่ายคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี
สื่อการเรียน  เรื่อง ชนิดของเครือข่ายคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสื่อการเรียน  เรื่อง ชนิดของเครือข่ายคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี
สื่อการเรียน เรื่อง ชนิดของเครือข่ายคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีKhunakon Thanatee
 
ระบบสุริยะ Solar system
ระบบสุริยะ Solar systemระบบสุริยะ Solar system
ระบบสุริยะ Solar systemnative
 
C4 cơ cấu tc
C4  cơ cấu tcC4  cơ cấu tc
C4 cơ cấu tcNgoc Tu
 
ชีววิทยา เรื่อง การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส mitosis
ชีววิทยา เรื่อง การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส mitosisชีววิทยา เรื่อง การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส mitosis
ชีววิทยา เรื่อง การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส mitosiskasidid20309
 
อารยธรรมโรมัน
อารยธรรมโรมันอารยธรรมโรมัน
อารยธรรมโรมันPasika Chuchuea
 
บทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
บทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อมบทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
บทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อมWichai Likitponrak
 
เอกสารประกอบการเรียนการสอนทวีปอเมริกาใต้
เอกสารประกอบการเรียนการสอนทวีปอเมริกาใต้เอกสารประกอบการเรียนการสอนทวีปอเมริกาใต้
เอกสารประกอบการเรียนการสอนทวีปอเมริกาใต้krunimsocial
 
1 เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น copy
1 เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น   copy1 เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น   copy
1 เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น copyKunlaya Kamwut
 

What's hot (20)

Đề tài: Mở rộng thị trường tại Công ty sản xuất bánh kẹo, HAY
Đề tài: Mở rộng thị trường tại Công ty sản xuất bánh kẹo, HAYĐề tài: Mở rộng thị trường tại Công ty sản xuất bánh kẹo, HAY
Đề tài: Mở rộng thị trường tại Công ty sản xuất bánh kẹo, HAY
 
HOẠT ĐỘNG TRUYỀN THÔNG CỦA CÁC CƠ QUAN HÀNH CHÍNH NHÀ NƢỚC CẤP TRUNG ƢƠNG TẠI...
HOẠT ĐỘNG TRUYỀN THÔNG CỦA CÁC CƠ QUAN HÀNH CHÍNH NHÀ NƢỚC CẤP TRUNG ƢƠNG TẠI...HOẠT ĐỘNG TRUYỀN THÔNG CỦA CÁC CƠ QUAN HÀNH CHÍNH NHÀ NƢỚC CẤP TRUNG ƢƠNG TẠI...
HOẠT ĐỘNG TRUYỀN THÔNG CỦA CÁC CƠ QUAN HÀNH CHÍNH NHÀ NƢỚC CẤP TRUNG ƢƠNG TẠI...
 
การถ่ายทอดพลังงาน การหมุนเวียนสาร(TH)
การถ่ายทอดพลังงาน การหมุนเวียนสาร(TH) การถ่ายทอดพลังงาน การหมุนเวียนสาร(TH)
การถ่ายทอดพลังงาน การหมุนเวียนสาร(TH)
 
Tác động trong công việc đến sự cam kết của nhân viên công ty bảo hiểm
Tác động trong công việc đến sự cam kết của nhân viên công ty bảo hiểmTác động trong công việc đến sự cam kết của nhân viên công ty bảo hiểm
Tác động trong công việc đến sự cam kết của nhân viên công ty bảo hiểm
 
สื่อการเรียน เรื่อง ชนิดของเครือข่ายคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี
สื่อการเรียน  เรื่อง ชนิดของเครือข่ายคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสื่อการเรียน  เรื่อง ชนิดของเครือข่ายคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี
สื่อการเรียน เรื่อง ชนิดของเครือข่ายคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี
 
ระบบสุริยะ Solar system
ระบบสุริยะ Solar systemระบบสุริยะ Solar system
ระบบสุริยะ Solar system
 
ศาสนาอิสลาม
ศาสนาอิสลามศาสนาอิสลาม
ศาสนาอิสลาม
 
C4 cơ cấu tc
C4  cơ cấu tcC4  cơ cấu tc
C4 cơ cấu tc
 
KỸ NĂNG XỬ LÝ ĐỀ TÀI PHÁP LUẬT TRÊN BÁO IN HIỆN NAY - TẢI FREE ZALO: 093 457...
KỸ NĂNG XỬ LÝ ĐỀ TÀI PHÁP LUẬT TRÊN BÁO IN HIỆN NAY  - TẢI FREE ZALO: 093 457...KỸ NĂNG XỬ LÝ ĐỀ TÀI PHÁP LUẬT TRÊN BÁO IN HIỆN NAY  - TẢI FREE ZALO: 093 457...
KỸ NĂNG XỬ LÝ ĐỀ TÀI PHÁP LUẬT TRÊN BÁO IN HIỆN NAY - TẢI FREE ZALO: 093 457...
 
โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์
 
ชีววิทยา เรื่อง การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส mitosis
ชีววิทยา เรื่อง การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส mitosisชีววิทยา เรื่อง การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส mitosis
ชีววิทยา เรื่อง การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส mitosis
 
อารยธรรมโรมัน
อารยธรรมโรมันอารยธรรมโรมัน
อารยธรรมโรมัน
 
Unit3 3.1อายุทางธรณีppt
Unit3 3.1อายุทางธรณีpptUnit3 3.1อายุทางธรณีppt
Unit3 3.1อายุทางธรณีppt
 
ปรัชญาเบื้องต้น
ปรัชญาเบื้องต้นปรัชญาเบื้องต้น
ปรัชญาเบื้องต้น
 
บทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
บทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อมบทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
บทที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
 
พัฒนาการอาณาจักรอยุธยา
พัฒนาการอาณาจักรอยุธยาพัฒนาการอาณาจักรอยุธยา
พัฒนาการอาณาจักรอยุธยา
 
Tieu luan maketing sản xuất bánh kẹo kinh đô
Tieu luan maketing sản xuất bánh kẹo kinh đôTieu luan maketing sản xuất bánh kẹo kinh đô
Tieu luan maketing sản xuất bánh kẹo kinh đô
 
Tiểu luận: Phong cách lãnh đạo của Doanh nhân Đặng Lê Nguyên Vũ - Trung Nguyên
Tiểu luận: Phong cách lãnh đạo của Doanh nhân Đặng Lê Nguyên Vũ - Trung NguyênTiểu luận: Phong cách lãnh đạo của Doanh nhân Đặng Lê Nguyên Vũ - Trung Nguyên
Tiểu luận: Phong cách lãnh đạo của Doanh nhân Đặng Lê Nguyên Vũ - Trung Nguyên
 
เอกสารประกอบการเรียนการสอนทวีปอเมริกาใต้
เอกสารประกอบการเรียนการสอนทวีปอเมริกาใต้เอกสารประกอบการเรียนการสอนทวีปอเมริกาใต้
เอกสารประกอบการเรียนการสอนทวีปอเมริกาใต้
 
1 เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น copy
1 เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น   copy1 เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น   copy
1 เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น copy
 

Viewers also liked

Viewers also liked (15)

6
66
6
 
Suspensao do pregao_presencial_1982013_2013-09-26_00_08_07
Suspensao do pregao_presencial_1982013_2013-09-26_00_08_07Suspensao do pregao_presencial_1982013_2013-09-26_00_08_07
Suspensao do pregao_presencial_1982013_2013-09-26_00_08_07
 
Trabajo de grado
Trabajo de gradoTrabajo de grado
Trabajo de grado
 
Batson_ Design Samples
Batson_ Design SamplesBatson_ Design Samples
Batson_ Design Samples
 
Jardin
JardinJardin
Jardin
 
Hardship fund reform expected changes (part ii) 3 of 6
Hardship fund reform   expected changes (part ii) 3 of 6Hardship fund reform   expected changes (part ii) 3 of 6
Hardship fund reform expected changes (part ii) 3 of 6
 
Chapter 2.3 glaze calculations
Chapter 2.3 glaze calculationsChapter 2.3 glaze calculations
Chapter 2.3 glaze calculations
 
9
99
9
 
Geriatrics for bma1@11 oct2016 edited
Geriatrics for bma1@11 oct2016 editedGeriatrics for bma1@11 oct2016 edited
Geriatrics for bma1@11 oct2016 edited
 
EVRYTHNG - LPWAN Meetup #2
EVRYTHNG - LPWAN Meetup #2EVRYTHNG - LPWAN Meetup #2
EVRYTHNG - LPWAN Meetup #2
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
Romen dwellings
Romen dwellingsRomen dwellings
Romen dwellings
 
What is ‘research impact’ in an interconnected world?
What is ‘research impact’ in an interconnected world?What is ‘research impact’ in an interconnected world?
What is ‘research impact’ in an interconnected world?
 
Ner horizons in MGNREGA implementation
Ner horizons in MGNREGA implementationNer horizons in MGNREGA implementation
Ner horizons in MGNREGA implementation
 
Rural Infrastructure Development Projects Under MGNREGA, Clean Village : A St...
Rural Infrastructure Development Projects Under MGNREGA, Clean Village : A St...Rural Infrastructure Development Projects Under MGNREGA, Clean Village : A St...
Rural Infrastructure Development Projects Under MGNREGA, Clean Village : A St...
 

Similar to บทที่ 1 ศึกษาความหมายและความเป็นมาของวิชาเทววิทยาเบื้องต้น

บทที่ 1 ศาสนาคืออะไร
บทที่ 1 ศาสนาคืออะไรบทที่ 1 ศาสนาคืออะไร
บทที่ 1 ศาสนาคืออะไรPadvee Academy
 
พุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายมาธยมิกะ
พุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายมาธยมิกะพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายมาธยมิกะ
พุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายมาธยมิกะPadvee Academy
 
กลุ่มน้องเต่าชิกูเมะ --มนุษยกับการแสวงหาความจริงและความหมายของชีวิต
กลุ่มน้องเต่าชิกูเมะ --มนุษยกับการแสวงหาความจริงและความหมายของชีวิตกลุ่มน้องเต่าชิกูเมะ --มนุษยกับการแสวงหาความจริงและความหมายของชีวิต
กลุ่มน้องเต่าชิกูเมะ --มนุษยกับการแสวงหาความจริงและความหมายของชีวิตfreelance
 
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสารหลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสารguestf16531
 
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับศาสนา
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับศาสนาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับศาสนา
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับศาสนาPadvee Academy
 
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชนแนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชนTongsamut vorasan
 
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาmagicgirl123
 
สายธารปรัชญาคือที่มาของสรรพศาสตร์
สายธารปรัชญาคือที่มาของสรรพศาสตร์สายธารปรัชญาคือที่มาของสรรพศาสตร์
สายธารปรัชญาคือที่มาของสรรพศาสตร์pentanino
 
ศึกษาเปรียบเทียบแนวความคิด
ศึกษาเปรียบเทียบแนวความคิดศึกษาเปรียบเทียบแนวความคิด
ศึกษาเปรียบเทียบแนวความคิดpentanino
 
ศาสนาเปรียบเทียบ 1
ศาสนาเปรียบเทียบ 1ศาสนาเปรียบเทียบ 1
ศาสนาเปรียบเทียบ 1thnaporn999
 
สสารและ พลังงานในพุทธศาสนา
สสารและ พลังงานในพุทธศาสนาสสารและ พลังงานในพุทธศาสนา
สสารและ พลังงานในพุทธศาสนาPunya Benja
 
ปริศนาธรรมในพุทธปรัชญา
ปริศนาธรรมในพุทธปรัชญาปริศนาธรรมในพุทธปรัชญา
ปริศนาธรรมในพุทธปรัชญาpentanino
 
ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู
ศาสนาพราหมณ์ ฮินดูศาสนาพราหมณ์ ฮินดู
ศาสนาพราหมณ์ ฮินดูJani Kp
 
ปรัชญาพุทธศาสนา
ปรัชญาพุทธศาสนาปรัชญาพุทธศาสนา
ปรัชญาพุทธศาสนาYota Bhikkhu
 

Similar to บทที่ 1 ศึกษาความหมายและความเป็นมาของวิชาเทววิทยาเบื้องต้น (20)

บทที่ 1 ศาสนาคืออะไร
บทที่ 1 ศาสนาคืออะไรบทที่ 1 ศาสนาคืออะไร
บทที่ 1 ศาสนาคืออะไร
 
พุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายมาธยมิกะ
พุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายมาธยมิกะพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายมาธยมิกะ
พุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายมาธยมิกะ
 
กลุ่มน้องเต่าชิกูเมะ --มนุษยกับการแสวงหาความจริงและความหมายของชีวิต
กลุ่มน้องเต่าชิกูเมะ --มนุษยกับการแสวงหาความจริงและความหมายของชีวิตกลุ่มน้องเต่าชิกูเมะ --มนุษยกับการแสวงหาความจริงและความหมายของชีวิต
กลุ่มน้องเต่าชิกูเมะ --มนุษยกับการแสวงหาความจริงและความหมายของชีวิต
 
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสารหลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
 
งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1
 
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับศาสนา
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับศาสนาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับศาสนา
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับศาสนา
 
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชนแนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
 
คำนำทำ1
คำนำทำ1คำนำทำ1
คำนำทำ1
 
บทความ (สังขาร)
บทความ (สังขาร)บทความ (สังขาร)
บทความ (สังขาร)
 
บทความ (สังขาร)
บทความ (สังขาร)บทความ (สังขาร)
บทความ (สังขาร)
 
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
 
สายธารปรัชญาคือที่มาของสรรพศาสตร์
สายธารปรัชญาคือที่มาของสรรพศาสตร์สายธารปรัชญาคือที่มาของสรรพศาสตร์
สายธารปรัชญาคือที่มาของสรรพศาสตร์
 
ศึกษาเปรียบเทียบแนวความคิด
ศึกษาเปรียบเทียบแนวความคิดศึกษาเปรียบเทียบแนวความคิด
ศึกษาเปรียบเทียบแนวความคิด
 
ศาสนาเปรียบเทียบ 1
ศาสนาเปรียบเทียบ 1ศาสนาเปรียบเทียบ 1
ศาสนาเปรียบเทียบ 1
 
สสารและ พลังงานในพุทธศาสนา
สสารและ พลังงานในพุทธศาสนาสสารและ พลังงานในพุทธศาสนา
สสารและ พลังงานในพุทธศาสนา
 
นวโกวาท
นวโกวาทนวโกวาท
นวโกวาท
 
ปริศนาธรรมในพุทธปรัชญา
ปริศนาธรรมในพุทธปรัชญาปริศนาธรรมในพุทธปรัชญา
ปริศนาธรรมในพุทธปรัชญา
 
ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู
ศาสนาพราหมณ์ ฮินดูศาสนาพราหมณ์ ฮินดู
ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู
 
ปรัชญาพุทธศาสนา
ปรัชญาพุทธศาสนาปรัชญาพุทธศาสนา
ปรัชญาพุทธศาสนา
 
02life
02life02life
02life
 

More from Gawewat Dechaapinun

เน€เธ—เธ„เน‚เธ™เน‚เธฅเธขเธตเธœเธฑเธเนเธฅเธฐเธœเธฅเน„เธกเน‰
เน€เธ—เธ„เน‚เธ™เน‚เธฅเธขเธตเธœเธฑเธเนเธฅเธฐเธœเธฅเน„เธกเน‰เน€เธ—เธ„เน‚เธ™เน‚เธฅเธขเธตเธœเธฑเธเนเธฅเธฐเธœเธฅเน„เธกเน‰
เน€เธ—เธ„เน‚เธ™เน‚เธฅเธขเธตเธœเธฑเธเนเธฅเธฐเธœเธฅเน„เธกเน‰Gawewat Dechaapinun
 
เน€เธ—เธ„เน‚เธ™เน‚เธฅเธขเธตเธœเธฑเธเนเธฅเธฐเธœเธฅเน„เธกเน‰
เน€เธ—เธ„เน‚เธ™เน‚เธฅเธขเธตเธœเธฑเธเนเธฅเธฐเธœเธฅเน„เธกเน‰เน€เธ—เธ„เน‚เธ™เน‚เธฅเธขเธตเธœเธฑเธเนเธฅเธฐเธœเธฅเน„เธกเน‰
เน€เธ—เธ„เน‚เธ™เน‚เธฅเธขเธตเธœเธฑเธเนเธฅเธฐเธœเธฅเน„เธกเน‰Gawewat Dechaapinun
 
บทที่ 8 แนวคิดและความเชื่อเรื่องผีในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถร
บทที่ 8 แนวคิดและความเชื่อเรื่องผีในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรบทที่ 8 แนวคิดและความเชื่อเรื่องผีในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถร
บทที่ 8 แนวคิดและความเชื่อเรื่องผีในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรGawewat Dechaapinun
 
บทที่ ๒ ศาสนาโบราณ
บทที่ ๒ ศาสนาโบราณบทที่ ๒ ศาสนาโบราณ
บทที่ ๒ ศาสนาโบราณGawewat Dechaapinun
 
บทที่ 8 แนวคิดและความเชื่อเรื่องผีในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถร
บทที่ 8 แนวคิดและความเชื่อเรื่องผีในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรบทที่ 8 แนวคิดและความเชื่อเรื่องผีในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถร
บทที่ 8 แนวคิดและความเชื่อเรื่องผีในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรGawewat Dechaapinun
 
บทที่ 2 ประเภทของบทเรียนคอมพิวเตอร์
บทที่ 2 ประเภทของบทเรียนคอมพิวเตอร์บทที่ 2 ประเภทของบทเรียนคอมพิวเตอร์
บทที่ 2 ประเภทของบทเรียนคอมพิวเตอร์Gawewat Dechaapinun
 
Chapter 4 properties of glazes and control
Chapter 4 properties of glazes and controlChapter 4 properties of glazes and control
Chapter 4 properties of glazes and controlGawewat Dechaapinun
 
Chapter 2.1 glaze classifications
Chapter 2.1 glaze classificationsChapter 2.1 glaze classifications
Chapter 2.1 glaze classificationsGawewat Dechaapinun
 
Chapter 1.3 properties of glass crystalline mixtures
Chapter 1.3 properties of glass crystalline mixturesChapter 1.3 properties of glass crystalline mixtures
Chapter 1.3 properties of glass crystalline mixturesGawewat Dechaapinun
 
Chapter 1.3 properties of glass crystalline mixtures
Chapter 1.3 properties of glass crystalline mixturesChapter 1.3 properties of glass crystalline mixtures
Chapter 1.3 properties of glass crystalline mixturesGawewat Dechaapinun
 

More from Gawewat Dechaapinun (20)

Chapter 5 glazes defects
Chapter 5 glazes defectsChapter 5 glazes defects
Chapter 5 glazes defects
 
เน€เธ—เธ„เน‚เธ™เน‚เธฅเธขเธตเธœเธฑเธเนเธฅเธฐเธœเธฅเน„เธกเน‰
เน€เธ—เธ„เน‚เธ™เน‚เธฅเธขเธตเธœเธฑเธเนเธฅเธฐเธœเธฅเน„เธกเน‰เน€เธ—เธ„เน‚เธ™เน‚เธฅเธขเธตเธœเธฑเธเนเธฅเธฐเธœเธฅเน„เธกเน‰
เน€เธ—เธ„เน‚เธ™เน‚เธฅเธขเธตเธœเธฑเธเนเธฅเธฐเธœเธฅเน„เธกเน‰
 
เน€เธ—เธ„เน‚เธ™เน‚เธฅเธขเธตเธœเธฑเธเนเธฅเธฐเธœเธฅเน„เธกเน‰
เน€เธ—เธ„เน‚เธ™เน‚เธฅเธขเธตเธœเธฑเธเนเธฅเธฐเธœเธฅเน„เธกเน‰เน€เธ—เธ„เน‚เธ™เน‚เธฅเธขเธตเธœเธฑเธเนเธฅเธฐเธœเธฅเน„เธกเน‰
เน€เธ—เธ„เน‚เธ™เน‚เธฅเธขเธตเธœเธฑเธเนเธฅเธฐเธœเธฅเน„เธกเน‰
 
งานนำเสนอ8
งานนำเสนอ8งานนำเสนอ8
งานนำเสนอ8
 
Chapter 3 glaze manufacturing
Chapter 3 glaze manufacturingChapter 3 glaze manufacturing
Chapter 3 glaze manufacturing
 
บทที่ 8 แนวคิดและความเชื่อเรื่องผีในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถร
บทที่ 8 แนวคิดและความเชื่อเรื่องผีในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรบทที่ 8 แนวคิดและความเชื่อเรื่องผีในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถร
บทที่ 8 แนวคิดและความเชื่อเรื่องผีในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถร
 
บทที่ ๒ ศาสนาโบราณ
บทที่ ๒ ศาสนาโบราณบทที่ ๒ ศาสนาโบราณ
บทที่ ๒ ศาสนาโบราณ
 
บทที่ 8 แนวคิดและความเชื่อเรื่องผีในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถร
บทที่ 8 แนวคิดและความเชื่อเรื่องผีในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรบทที่ 8 แนวคิดและความเชื่อเรื่องผีในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถร
บทที่ 8 แนวคิดและความเชื่อเรื่องผีในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถร
 
งานนำเสนอ7
งานนำเสนอ7งานนำเสนอ7
งานนำเสนอ7
 
งานนำเสนอ6
งานนำเสนอ6งานนำเสนอ6
งานนำเสนอ6
 
บทที่ 2 ประเภทของบทเรียนคอมพิวเตอร์
บทที่ 2 ประเภทของบทเรียนคอมพิวเตอร์บทที่ 2 ประเภทของบทเรียนคอมพิวเตอร์
บทที่ 2 ประเภทของบทเรียนคอมพิวเตอร์
 
งานนำเสนอ5
งานนำเสนอ5งานนำเสนอ5
งานนำเสนอ5
 
งานนำเสนอ4
งานนำเสนอ4งานนำเสนอ4
งานนำเสนอ4
 
Chapter 4 properties of glazes and control
Chapter 4 properties of glazes and controlChapter 4 properties of glazes and control
Chapter 4 properties of glazes and control
 
Chapter 3 glaze manufacturing
Chapter 3 glaze manufacturingChapter 3 glaze manufacturing
Chapter 3 glaze manufacturing
 
Chapter 3 glaze manufacturing
Chapter 3 glaze manufacturingChapter 3 glaze manufacturing
Chapter 3 glaze manufacturing
 
Chapter 2.1 glaze classifications
Chapter 2.1 glaze classificationsChapter 2.1 glaze classifications
Chapter 2.1 glaze classifications
 
Chapter 1.3 properties of glass crystalline mixtures
Chapter 1.3 properties of glass crystalline mixturesChapter 1.3 properties of glass crystalline mixtures
Chapter 1.3 properties of glass crystalline mixtures
 
Chapter 1.3 properties of glass crystalline mixtures
Chapter 1.3 properties of glass crystalline mixturesChapter 1.3 properties of glass crystalline mixtures
Chapter 1.3 properties of glass crystalline mixtures
 
Chapter 1.2 properties of glass
Chapter 1.2 properties of glassChapter 1.2 properties of glass
Chapter 1.2 properties of glass
 

บทที่ 1 ศึกษาความหมายและความเป็นมาของวิชาเทววิทยาเบื้องต้น

  • 1. 1 บทที่ 1 1.1 ศึกษาความหมายและความเป็ นมาของวิชาเทววิทยา เทววิทยา (Theology) คาว่า “เทววิทยา” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ไ ด้ ใ ห้ ค ว า ม ห ม า ย ไ ว้ ว่ า “ วิ ช า ที่ ว่ า ด้ ว ย พ ร ะ เ จ้ า ( God) และความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับโลก” น อ ก จ า ก ค า ว่ า “ เ ท ว วิ ท ย า ” แ ล้ ว ในทางอภิปรัชญายังมีคาที่ใช้ในลักษณะเดียวกันอีกคาหนึ่งคือคาว่า “เทวนิยม” ( Theism) ซึ่ ง ห ม า ย ถึ ง ลั ท ธิ ที่ เ ชื่ อ ว่ า “ มี พ ร ะ เ จ้ า ผู้ ท ร ง อ า น า จ ยิ่ ง ใ ห ญ่ พ ร ะ อ ง ค์ เ ดี ย ว พ ร ะ เ จ้ า นั้ น ท ร ง อ า น า จ ค ร อ บ ค ร อ ง โ ล ก และสามารถดลบันดาลความเป็ นไปในโลก” ดังนั้นจะเห็นว่า เทววิทยา ในทางอภิปรัชญาจะเน้นว่า พระเจ้ามีอยู่จริง เป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างเที่ยงแท้ถาวร ไม่ใช่เป็นเพียงอุดมคติตามทัศนะของธรรมชาตินิยมบางพวกเข้าใจเท่านั้น เทววิทยา แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ 1. เทววิทยาธรรมชาติ (Natural Theology) 2. เทววิทยาวิวรณ์ (Revealed or Sacred Theology) เ ท ว วิ ท ย า ธ ร ร ม ช า ติ ห ม า ย ถึ ง พระเจ้าเปิดเผยสัจจะไว้ในธรรมชาติโดยให้มนุษย์ใช้ความสามารถของตนค้น ค ว้า ไ ป เ รื่ อ ย ๆ ห ม า ย ค ว า ม ว่า ค ว า ม จ ริง ห รื อ สัจ ภ า ว ะ นั้ น มิได้ปรากฏเพี ย งแต่ในคัมภีร์ ห ากแต่ปรากฎในธ รรมช าติด้ว ย แ ล ะ ก ฎ ธ ร ร ม ช า ติ นั้ น เ ป็ น ก ฎ ที่ แ น่ น อ น ต า ย ตั ว ไ ม่ ว่ า ม นุ ษ ย์ จ ะ เ อ า ไ ป ตี ค ว า ม อ ย่ า ง ไ ร ก ฎ ก็ ยัง ค ง เ ดิม เ ป็ น นิ รัน ด ร์ ไ ม่ส ะ เ ทื อ น ไ ป ต า ม ค ว า ม คิ ด เ ห็ น แ ล ะ เ ห ตุ ก า ร ณ์ ที่ ม นุ ษ ย์ ก่ อ ขึ้ น เป็นการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพระเจ้าโดยไม่อาศัยคัมภีร์ ความศรัทธา ป ร ะ เ พ ณี นิ ย ม ห รื อ แ ม้ แ ต่ ส า นั ก ส อ น ศ า ส น า เ ป็ น ต้ น เป็นการศึกษาโดยใช้เหตุผลตามธรรมชาติเป็นหลัก เทววิทยาวิวรณ์ หมายถึง การเปิดเผยโดยตรงของพระเจ้า หรือที่เรียกว่า “เทวบันดาล” คือการที่พระเจ้าทรงเปิดเผยความรู้แก่มนุษย์ผู้ที่ทรงเลือกแล้ว เช่นเปิดเผยบัญญัติ 10 ประการให้แก่โมเสส หรือคัมภีร์ไบเบิ้ลแก่พระเยซู หรือคัมภีร์อัลกุรอ่านแก่ท่านนะบีมูฮัมหมัด เป็ นต้น ลักษณะดังก ล่าวนี้ จึงทาให้ฝ่ายเทววิทยาวิวรณ์ถือเป็ นความศักดิ์สิทธิ์ และเป็ นสัจจะแท้จริง เพราะผ่านมาจากพระเจ้าโดยตรง จึงเชื่อกันว่าเป็ นคัมภีร์ที่ถูกต้องแม่นยา เพราะมิใช่วิสัยของมนุษย์ที่จะรู้อย่างครบถ้วนเช่นนั้น ลักษณะของวิวรณ์นั้นมี 2 ลักษณะคือ
  • 2. 2 ก า ร ที่ สิ่ ง เ ห นื อ ธ ร ร ม ช า ติ เ ปิ ด เ ผ ย ค ว า ม รู้ แ ก่ ม นุ ษ ย์ สิ่งเหนือธรรมชาติที่ว่านั้นได้แก่ พระเจ้า พระองค์เป็ นผู้ทรงความรู้ เ พ ร า ะ เ ป็ น ผู้ ร อ บ รู้ ทุ ก อ ย่ า ง ทั้ ง อ ดี ต ปั จ จุ บัน แ ล ะ อ น า ค ต เ ป็ น ผู้ เ ปิ ด เ ผ ย ค ว า ม รู้ ข อ ง พ ร ะ อ ง ค์ แ ก่ ม นุ ษ ย์ ค ว า ม รู้ ที่ ไ ด้ จ า ก ก า ร เ ปิ ด เ ผ ย ข อ ง สิ่ ง เ ห นื อ ธ ร ร ม ช า ติ เ มื่ อ พ ร ะ เ จ้ า เ ปิ ด เ ผ ย ค ว า ม รู้ แ ก่ ม นุ ษ ย์ แ ล้ ว จะสังเกตได้ว่ามนุษย์เรามีความรู้ซึ่งได้จากการเปิ ดเผยของพระเจ้า เ พ ร า ะ ห า ก พ ร ะ อ ง ค์ ไ ม่ เ ปิ ด เ ผ ย ค ว า ม รู้ แ ก่ ม นุ ษ ย์ มนุษย์ไม่สามารถจะมีความรู้ได้เลย พระเจ้าคืออะไร กับคาถามที่ว่า พระเจ้าคืออะไร ? เมื่อเกิดปัญหาอย่างนี้ เป็นปัญหาที่ง่าย แ ต่ ย า ก ที่ จ ะ ใ ห้ ค า ต อ บ แ ล ะ พิ สู จ น์ ใ ห้ เ ห็ น จ ริ ง ไ ด้ เพ ราะจะระบุลงไปโด ย ชัด เจนว่า พ ระเจ้าเป็ นสิ่งนั้น สิ่งนี้ ไม่ได้ เ พื่ อ ใ ห้ เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ พ ร ะ เ จ้ า นักปรัชญาจึงพยายามหาคาตอบโดยกล่าวถึงลักษณะหรือธรรมชาติของพระเจ้ า ว่ า เ ป็ น อ ย่ า ง ไ ร เ กี่ ย ว กั บ ธ ร ร ม ช า ติ ข อ ง พ ร ะ เ จ้ า นักปรัชญาฝ่ายเทวนิยมได้กล่าวไว้ต่าง ๆ กัน พอจะสรุปได้ดังนี้ 1. พระเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่จากัด เป็นสิ่งนิรันดรและเป็ นสิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวเอง พ ระเจ้าเป็ นสิ่งที่ไม่จากัด ห มาย ค วามว่า มีอานาจอย่างไม่สิ้นสุด ไม่ขึ้นอยู่กับอวกาศ แต่แสดงออกมาเป็ นสิ่งทั้งหลาย ที่อยู่ในอว กา ศ พระเจ้าเป็ นสิ่งนิรันดร หมายความว่า ไม่ขึ้นอยู่กับกาล คืออยู่เหนือกาล แต่แสดงออกมาเป็ นเหตุการณ์ในกาล พระเจ้าเป็ นสิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวเอง หมายความว่าไม่ขึ้นอยู่กับเหตุ แต่เป็นเหตุของโลก 2 . พ ร ะ เ จ้า เ ป็ น สิ่ง ที่ ไ ม่ มี เ งื่ อ น ไ ข แ ล ะ เ ป็ น สิ่ง สัม บู ร ณ์ พระเจ้าเป็ นสิ่งที่ไม่มีเงื่อนไข หมายความว่า ไม่มีสิ่งภายนอกมากาหนด แต่เป็ นผู้กาห นด ตัวเอง พ ระเจ้าเป็ นสิ่งสัมบูรณ์ ห มาย ค วามว่า ไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งอื่นนอกจากตัวเอง 3 . พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น ผู้ ส ร้ า ง ห รื อ เ ป็ น ป ฐ ม เ ห ตุ ข อ ง โ ล ก และเป็นเหตุผลที่สิ้นสุดของโลกพระเจ้าเป็ นผู้สร้างหรือเป็ นปฐมเหตุของโลก หมายความว่า พระเจ้าเป็ นเหตุแรก โลกเป็ นผล เหตุก็คือการก่อให้เกิดผล ผ ล ก็ คื อ ก า ร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง รู ป ข อ ง พ ลั ง ง า น ซึ่ ง เ ป็ น เ ห ตุ พ ลัง ง า น ข อ ง พ ร ะ เ จ้า นั่ น เ อ ง ที่ เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง รู ป ม า เ ป็ น โ ล ก นี้ พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น เ ห ตุ ผ ล ที่ สิ้ น สุ ด ข อ ง โ ล ก ห ม า ย ค ว า ม ว่ า ส ร ร พ สิ่ ง ใ น โ ล ก ย่ อ ม มี เ ห ตุ ผ ล ส า ห รั บ ค ว า ม มี อ ยู่ ข อ ง มั น ก ล่า ว คื อ มี สัม พัน ธ ภ า พ ร ะ ห ว่า ง กัน แ ล ะ ร ว ม กัน เ ป็ น เ อ ก ภ า พ ซึ่งแสดงว่ามีเหตุผลที่สิ้นสุดของโลก และพระเจ้านั่นเองคือเหตุผลที่สิ้นสุด
  • 3. 3 4. พระเจ้าเป็นวิญญาณสัมบูรณ์ หรืออัตตาสัมบูรณ์ วิ ญ ญ า ณ สั ม บู ร ณ์ ห รื อ อั ต ต า สั ม บู ร ณ์ นี้ ส ร้ า ง โ ล ก แ ล ะ วิ ญ ญ า ณ ที่ จ า กั ด จ า ก ตั ว เ อ ง แล้วถ่ายทอดความรักและคุณสมบัติทางวิญญาณให้แก่วิญญาณที่จากัดเหล่านั้ น วิญญาณที่จากัดจึงพยายามจะกลับไปรวมกับวิญญาณสัมบูรณ์นั้นอีก พระเจ้าเป็นผู้นาทางวิญญาณและจุดหมายปลายทางของมนุษย์ 5. พระเจ้าเป็ นผู้ควบคุมจริยธรรม พระเจ้าเป็ นผู้ควบคุมจริยธรรม จึ ง เ ป็ น ผู้ ส ม บู ร ณ์ ด้ ว ย จ ริ ย ธ ร ร ม มี ค ว า ม ช อ บ ธ ร ร ม สู ง สุ ด อ า น ว ย ค ว า ม ยุ ติ ธ ร ร ม ใ ห้ แ ก่ ม นุ ษ ย์ มนุษย์ดาเนินไปสู่จุดหมายปลายทางตามเสรีภาพที่พระเจ้ามอบให้ 6. พระเจ้าเป็ นที่มาของอุดมคติ นั่นคือ พระเจ้าเป็นที่มาของความจริง ค ว า ม ดี ค ว า ม ง า ม แ ล ะ ค ว า ม บ ริ สุ ท ธิ์ ก ล่ า ว คื อ ค ว า ม จ ริ ง เ ป็ น อุ ด ม ค ติ ข อ ง ต ร ร ก วิ ท ย า ความดีเป็นอุดมคติของจริยศาสตร์ ความงามเป็ นอุดมคติของสุนทรียศาสตร์ ค ว า ม บ ริ สุ ท ธิ์ เ ป็ น อุ ด ม ค ติ ข อ ง ศ า ส น า อุดมคติเหล่านี้มีอยู่ในพระเจ้าแล้วถ่ายทอดมาให้มนุษย์ด้วยอานาจอันไม่จากัด น อ ก จ า ก ธ ร ร ม ช า ติ ข อ ง พ ร ะ เ จ้ า ที่ นั ก ป รัช ญ า ก ล่ า ว ไ ว้แ ล้ว นั ก ป รั ช ญ า ฝ่ า ย เ ท ว นิ ย ม ยั ง ไ ด้ ก ล่ า ว ถึ ง ลั ก ษ ณ ะ ต่ า ง ๆ ของพระเจ้าไว้เพื่อเป็นการตอบคาถามเกี่ยวกับพระเจ้าดังนี้ พ ร ะ เ จ้ า ท ร ง ศั ก ด า นุ ภ า พ ที่ ยิ่ ง ใ ห ญ่ ( Omnipotence) หมายถึงพระเจ้าเป็นผู้มีอานาจที่ยิ่งใหญ่ มีอานาจทุกอย่าง หรือมีอานาจสูงสุด ที่ไม่มีขอบเขตจากัด พ ร ะ เ จ้ า ท ร ง เ ป็ น สั พ พั ญ ญู ( Omniscience) ห ม า ย ถึง พ ร ะ เ จ้า เ ป็ น ผู้มี ค ว า ม รู้ไ ม่จ า กัด ไ ม่มี ข อ บ เ ข ต จ า กัด ทรงความรู้ทุกอย่าง ทรงรู้ทั้งพระองค์เองและสรรพ สิ่ง ทั้งในอดีต อ น า ค ต แ ล ะ ปั จ จุ บั น พ ร ะ เ จ้ า ท ร ง มี ค ว า ม ดี สู ง สุ ด ห รื อ มี ค ว า ม เ ม ต ต า ก รุ ณ า ที่ ยิ่ ง ใ ห ญ่ ( Omnibenevolence) หมายถึงพระเจ้าเป็ นผู้มีคุณความดีในหลักศีลธรรมที่สูงสุด เป็ นผู้สร้าง ผู้ดูแลจักรวาล และเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องเคารพบูชา ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับพระเจ้า นักปรัชญาต่าง ๆ พยายามสืบค้นหาความแท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า แล้วสรุปความคิดรวบยอดออกมาเป็ น 4 ลักษณะด้วยกันคือ 1 . เ ท ว นิ ย ม ( Deism) มีความเชื่อว่าพระเจ้าเป็ นมหาเทพที่สูงสุดเพียงพระองค์เดียวซึ่งอยู่ภายนอกโล ก นั่นคือเชื่อว่า พระเจ้าเป็ นเทพอยู่เห นื อโลกโดย ประการทั้ง ป วง พระองค์เป็นผู้สร้างโลก และสร้างโลกขึ้นจากความว่างเปล่า แล้วมอบพลังต่าง
  • 4. 4 ๆ ใ ห้แ ก่โ ล ก แ ล ะ ใ ห้พ ลัง เ ห ล่า นั้ น ค ว บ คุ ม โ ล ก ใ ห้ด า เ นิ น ไ ป เมื่อโลกมีแนวโน้มจะเสื่อมลงพระเจ้าก็จะช่วยแก้ไขให้โลกดาเนินไปตามปกติ ดังนั้น เทวนิยม จึงหมายถึง พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เพียงพระองค์เดียว ดารงอยู่ในฐานะเป็ นพระอติเทพหรือเทพผู้สูงสุด เช่น พระพรหมของฮินดู เป็นต้น ซึ่งเชื่อกันว่า พระอติเทพเหล่านี้ เป็นผู้สร้างโลก และสรรพสิ่งต่าง ๆ มาจากความว่างเปล่า แล้วมอบพลังต่าง ๆ ให้แก่โลก มาร์ติโนอธิบายลักษณะของ Deism ไว้ดังนี้ เกี่ยวกับการสร้างโลก พระเจ้าสร้างโลกขึ้น ในกาลครั้งหนึ่งก่อนแต่นั้น พระเจ้ามีอยู่อย่างนิรันดรโดยไม่มีโลก โลกจะแตกสลายไปตามกาลเวลา เช่นเดียวกับสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในเบื้องต้น แ ล ะ จ ะ ดั บ ส ล า ย ไ ป ใ น ที่ สุ ด แ ม้ ว่ า โ ล ก จ ะ แ ต ก ส ล า ย ไ ป พ ร ะ เ จ้ า ก็ ยั ง ค ง อ ยู่ อ ย่ า ง นิ รั น ด ร เ กี่ ย ว กับ ค ว า ม แ ต ก ต่า ง ร ะ ห ว่า ง เ ห ตุ ป ฐ ม ภู มิแ ล ะ เ ห ตุ ทุ ติย ภูมิ พระเจ้าเป็ นเหตุปฐมภูมิของโลก คือเป็ นผู้สร้างโลกขึ้นแล้วมอบพลังต่าง ๆ ให้แก่โลก พลังเหล่านั้นเป็นเหตุทุติยภูมิ ซึ่งเป็นส่วนควบคุมโลกให้ดาเนินไป การเข้ามาช่วยเหลือโลกเป็นครั้งคราว หลังจากที่พระเจ้าสร้างโลกแล้ว พระองค์ปล่อยให้โลกดาเนินไปเอง แ ต่ เ มื่ อ เ กิ ด วิ ก ฤ ต ก า ร ณ์ ร้ า ย แ ร ง พระองค์จะเข้ามาช่วยเหลือโลกให้พ้นจากความเสื่อมโดยใช้พลังธรรมชาติสร้า งปาฏิหาริย์เพื่อช่วยโลก พระเจ้าอยู่เหนือโลกโดยสมบูรณ์ พระเจ้าสร้างโลกตามเจตจานงของพระองค์ แล้วปล่อยให้โลกเป็นไปเอง และเข้ามาช่วยเหลือโลกเป็ นครั้งคราวเมื่อเกิดวิกฤตการณ์อันร้ายแรง แต่พระองค์อยู่เหนือโลกโดยสมบูรณ์ ไม่ได้ติดอยู่ในโลก 2 . ส ก ล เ ท พ นิ ย ม ( Pantheism) มี ค ว า ม เ ชื่ อ ว่ า พระเจ้าเป็ นเทพที่อยู่ในโลกนี้ และเป็ นเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกับโลก นั่นคือ พ ระเจ้าคือสรรพ สิ่ง และสรรพ สิ่งก็คือพ ระเจ้า ( All is God) ค าว่า “Pantheism” มาจากคาว่า “Pan” (ทั้งหมด, ทั้งปวง) และ “theism” (เทวนิยม) ในความเชื่อนี้ สปิโนซ่า (Spinoza) นักปรัชญาตะวันตกสมัยให ม่ ไ ด้ เ ป็ น ผู้ มี ค ว า ม เ ชื่ อ อ ย่ า ง แ น บ แ น่ น โ ด ย ก ล่ า ว ว่ า “พระเจ้าเป็ นเนื้อสารที่แท้จริงเพียงสิ่งเดียว (God is One Substance) สสารและจิตเป็ นเพียงคุณลักษณะ 2 ประการของพระเจ้า” ซึ่งหมายถึงว่า พระเจ้าตามความเชื่ อนี้ ไม่ใช่เทพเจ้าผู้สูงสุด หรือบุคคลผู้มีรูป ร่าง แต่เป็ นกฎธรรมชาติหรือกฎแห่งเหตุผล หรือกฎแห่งความเปลี่ยนแปลง นั่นเป็ นสิ่งยืนยันว่า พระเจ้าแบ่งออกเป็ น 2 ภาคคือ เป็ นสสาร และเป็ นจิต ทั้งสสา รและจิต ขึ้นอยู่กับกฎแห่งค วา มเป ลี่ย นแป ลงอันเดี ย ว กัน และเป็ นการแสดงออกให้มองเห็นกฎแห่งความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน
  • 5. 5 สสารและจิตจึงถือว่าเป็ นคุณลักษณะข องกฎแห่งค วามเปลี่ยนแ ปลง ในเมื่อสสารและจิตเปลี่ยนแปลง มีอะไรเป็ นสิ่งที่ไม่เปลี่ย นแปลง สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงนั้นมีสิ่งเดียว คือกฎแห่งความเปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุนี้ ส ปิ โ น ซ่ า จึ ง ก ล่ า ว ว่ า “พระเจ้าหรือกฎแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเนื้อสารหรือสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงเ พี ย ง สิ่ ง เ ดี ย ว ” ส ส า ร แ ล ะ จิ ต ต้ อ ง เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ทั้ ง สิ้ น เพราะเหตุที่สสารและจิตต้องเปลี่ยนแปลงนั่นเอง Pantheism จึงถือว่า พระเจ้าหรือกฎแห่งความเปลี่ยนแปลงอยู่ในโลกและอยู่ในจิตมนุษย์โดยประกา รทั้งปวง 3 . ส ร ร พ เ ท ว นิ ย ม ( Theism) มี ค ว า ม เ ชื่ อ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น เ ท พ ทั้ ง ที่ อ ยู่ เ ห นื อ โ ล ก แ ล ะ อ ยู่ ใ น โ ล ก แ ต่ อ ยู่ เ ห นื อ วิ ญ ญ า ณ ม นุ ษ ย์ โ ด ย ป ร ะ ก า ร ทั้ ง ป ว ง ที่ เ ชื่ อ ว่ า พ ระเจ้าเป็ นเทพ ทั้งที่อยู่เห นื อโลกและอยู่ในโลก ห มาย ค วามว่า พระเจ้าเป็ นผู้สร้างโลก แต่อยู่พ้นโลกขึ้นไปในฐานะเป็ นอานาจอันไม่จากัด ซึ่ ง ข ย า ย พ้ น ข อ บ เ ข ต ข อ ง โ ล ก ที่ จ า กั ด ขึ้ น ไ ป แต่ในขณะเดียวกันพระเจ้าก็คุ้มครองโลกไว้ด้วยเจตจานงของตนคือต้องใช้อา นาจของตนในโลกนี้ ที่เชื่อว่า พระเจ้าอยู่เหนือวิญญาณมนุษย์ หมายความว่า พ ร ะ เ จ้ า ส ร้ า ง วิ ญ ญ า ณ ม นุ ษ ย์ แ ล ะ ม อ บ เ จ ต จ า น ง เ ส รี ใ ห้ แ ล้ ว ป ล่ อ ย ใ ห้ ด า เ นิ น ไ ป สู่ จุ ด ห ม า ย ป ล า ย ท า ง ด้ ว ย ต น เ อ ง ห ลั ง จ า ก ม อ บ เ จ ต จ า น ง เ ส รี ใ ห้ แ ล้ ว พ ร ะ เ จ้ า ไ ม่ ไ ด้ ม า ยุ่ ง เ กี่ ย ว กั บ วิ ญ ญ า ณ ม นุ ษ ย์ อี ก ม นุ ษ ย์ อ า จ ใ ช้ เ จ ต จ า น ง เ ส รี ท า ค ว า ม ดี ห รื อ ค ว า ม ชั่ ว ก็ ไ ด้ ถ้ า พ ร ะ เ จ้ า อ ยู่ ใ น วิ ญ ญ า ณ ม นุ ษ ย์ ก็จะต้องรับผิดชอบต่อความชั่วที่มนุษย์สร้างขึ้น ดังนั้น สรรพเทวนิยม เชื่อว่า “พระเจ้าคือสภาวะที่อยู่เหนือโลก และในโลก แต่เหนือวิญญาณมนุษย์” 4 . ส า ก ล เ ท พ นิ ย ม ( Panentheism) มี ค ว า ม เ ชื่ อ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น เ ท พ ทั้ ง อ ยู่ เ ห นื อ โ ล ก แ ล ะ อ ยู่ ใ น โ ล ก ทั้งอยู่เหนือวิญญาณมนุษย์และอยู่ในวิญญาณมนุษย์โลก กล่าวคือ ที่ เ ชื่ อ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า อ ยู่ เ ห นื อ โ ล ก ห ม า ย ค ว า ม ว่ า พระเจ้าเป็นวิญญาณที่ไม่จากัด ที่เชื่อว่า พระเจ้าอยู่ในโลก หมายความว่า พระเจ้าแสดงอานาจในโลกนี้ ที่เชื่ อว่า พ ระเจ้าอยู่ เห นื อ วิญ ญา ณ ม นุ ษย์ ห มาย ค ว า ม ว่า พระเจ้าปล่อยให้วิญญาณมนุษย์ดาเนินไปสู่จุดหมายปลายทางด้วยตัวเอง ที่ เ ชื่ อ ว่า พ ร ะ เ จ้า อ ยู่ ใ น วิ ญ ญ า ณ ม นุ ษ ย์ ห ม า ย ค ว า ม ว่ า พระเจ้าอยู่ในฐานะเป็นผู้นาทางวิญญาณมนุษย์ พิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้า
  • 6. 6 (Proof for Existence of God) กั บ ค า ถ า ม ที่ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า มี อ ยู่ จ ริ ง ห รื อ ไ ม่ ? ปัญหานี้เป็ นปัญหาที่นักปรัชญาและนักการศาสนาพยายามหาข้อพิสูจน์ โด ย ที่นักการศ าส นาฝ่ าย เท วนิย มพ ย าย า มพิ สูจ น์ ว่า พ ระเจ้า มี ในขณะที่นักการศาสนาฝ่ ายอเทวนิยมพยายามพิสูจน์ว่า พระเจ้าไม่มี แ ม้แ ต่นัก ป รัช ญ า เ ท ว นิ ย ม แ ล ะ นัก ป รัช ญ า จิต นิ ย ม ก็ เ ช่ น กัน พยายามหาเหตุผลและข้อเท็จจริงมาประกอบการพิสูจน์ให้เห็นจริงว่า พระเจ้ามีอยู่จริง เพื่อเป็นการหักล้างข้อโต้แย้งของฝ่ายอเทวนิยมที่มักอ้างว่า พ ร ะ เ จ้ า ไ ม่ มี จ ริ ง ข้อพิสูจน์ ข องพ วกเทวนิย มจานวนมากก็อาศัย ข้ออ้างทางศาสนา คือหลักศรัทธ า และมีอยู่จานวนไม่น้อย ที่อาศัย ข้ออ้างทางป รัช ญา นั่นคือหลักเหตุผลและประสบการณ์ของมนุ ษย์ นักอภิปรัชญาถือว่า ข้อ พิ สู จ น์ ที่ อ า ศัย ห ลัก เ ห ตุ ผ ล แ ล ะ ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ข อ ง ม นุ ษ ย์ เป็นข้อพิสูจน์ที่ควรเชื่อถือได้มากกว่า นั ก ป รั ช ญ า ฝ่ า ย เ ท ว นิ ย ม ( Theism) ก ล่ า ว คื อ ก ลุ่ ม นั ก ป รั ช ญ า ที่ เ ชื่ อ ค ว า ม มี อ ยู่ ข อ ง พ ร ะ เ จ้ า ได้กล่าวถึงลักษณะของพระเจ้าไว้ว่า พ ระเจ้าเป็ น อส สา ร ( Non – corporeal) คือเป็ นจิต บ ริสุ ท ธิ์ ไม่มีตัวตนที่จะเห็นได้หรือสัมผัสได้อย่างสสาร พระเจ้าทรงสรรพเดชะ (Omnipotent) คือมีอานาจเต็มบริบูรณ์ สามารถทาทุกอย่างได้โดยไม่มีอะไรติดขัดหรือขัดข้อง เช่น การสร้างโลก สัตว์ พืช เป็นต้น พระเจ้าทรงสรรพญาณะ (Omniscient) คือมีความรู้เต็มบริบูรณ์ ทรงรอบรู้ทุกอย่าง รู้ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต พ ร ะ เ จ้ า ท ร ง มี อ ยู่ ทุ ก แ ห่ ง แ ล ะ ทุ ก ข ณ ะ ( Omnipresent) คือไม่ถูกจากัดด้วยกาลและอวกาศ พ ร ะ เ จ้ า ท ร ง เ ป็ น อ ง ค์ แ ห่ ง ค ว า ม ดี สู ง สุ ด ( All good) คือทรงรักและเมตตาต่อมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว น อ ก จ า ก ลั ก ษ ณ ะ ดั ง ก ล่ า ว แ ล้ ว ฝ่ายเทวนิยมได้พยายามที่จะพิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าโดยนาเหตุผลต่าง ๆ มาประกอบ เหตุผลที่นามาประกอบการพิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้านั้นมี 4 ประการคือ 1. เหตุผลทางจักรวาลวิทยา (Cosmological Argument) 2. เหตุผลทางเจตจานง หรือวัตถุประสงค์ (Teleological Argument) 3. เหตุผลทางภววิทยา (Ontological Argument) 4. เหตุผลทางจริยธรรม (Moral Argument)
  • 7. 7 เ ห ตุ ผ ล ท า ง จั ก ร ว า ล วิ ท ย า ( Cosmological Argument) ข้อพิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าโดยอาศัยเหตุผลทางจักรวาลวิทยานี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ข้อพิสูจน์จากการเป็นสาเหตุ (The Causal Argument) ไ ด้ถื อ ว่า โ ล ก นี้ เ ป็ น สิ่ง ที่ ไ ม่แ น่ น อ น ไ ม่อิส ร ะ เ ป็ น สิ่ง สัมพัทธ์ เ ป็ น สิ่ง จ า กัด แ ล ะ เ ป็ น ผ ล จึง ต้อ ง อ า ศัย สิ่ง ที่ อิส ร ะ สิ่ง สัม บู ร ณ์ สิ่ ง ที่ ไ ม่ จ า กัด แ ล ะ เ ป็ น เ ห ตุ นั่ น คื อ อ้ า ง เ ห ตุ ผ ล ว่ า สิ่ ง ต่ า ง ๆ ใ น ธ ร ร ม ช า ติ จ ะ เ กิ ด ขึ้ น เ อ ง ล อ ย ๆ ไ ม่ ไ ด้ ต้ อ ง มี ส า เ ห ตุ เมื่อสรรพสิ่งในจักรวาลมีอยู่จริง สาเหตุของมันก็ต้องมีอยู่จริงด้วย สาเหตุนั้นจะต้องไม่ใช่มนุษย์ หากแต่จะต้องยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์นั่นคือ พระเจ้า ดังนั้น พระเจ้าจึงมีอยู่จริง กล่าวคือสรรพสิ่งในโลกจะต้องอาศัยสิ่งอื่น มั น ไ ม่ ส า ม า ร ถ มี ไ ด้ ห รื อ เ ป็ น อ ยู่ ไ ด้ ด้ ว ย ตั ว มั น เ อ ง โ ล ก นี้ อ ยู่ ภ า ย ใ ต้ ก ฎ แ ห่ ง ก า ล แ ล ะ อ ว ก า ศ จ า เ ป็ น อ ย่ า ง ยิ่ ง ที่ จ ะ ต้อ ง อ า ศัย สิ่ง ที่ อ ยู่ เ ห นื อ ก า ล แ ล ะ อ ว ก า ศ และโลกนี้เป็ นผลจะต้องอาศัยสิ่งที่เป็ นสาเหตุ สรรพสิ่งที่เป็ นผลจะต้องมีเหตุ เ ห ตุ เ ห ล่ า นี้ เ ป็ น ผ ล ข อ ง อี ก เ ห ตุ ห นึ่ ง สื บ ต่ อ ไ ป นั่นแสดงให้เห็นว่าจะต้องมีปฐมเหตุให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ซึ่งคงอยู่ด้วยตัวเอง เป็นอิสระไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งอื่น ๆ ดังนั้น สิ่งที่อิสระ สิ่งสัมบูรณ์ สิ่งที่ไม่จากัดและเป็ นปฐมเหตุนั้นคือ พระเจ้า เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงมีอยู่ มาร์ติโนได้อธิบายลักษณะของ Deism โ ด ย อ า ศัย ห ลัก เ ห ตุ ผ ล ท า ง จัก ร ว า ล วิท ย า เ ช่ น กัน โ ด ย เ ชื่ อ ว่า “มีพ ระเจ้าโ ด ย อ าศัย ก ฎ เห ตุ ผ ล ซึ่งมีเห ตุ มีอานาจ และมี พ ลัง พระเจ้าเป็นปฐมเหตุของโลก” เหตุผลทางเจตจานง หรือวัตถุประสงค์ (Teleological Argument) ข้อพิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าโดยอาศัยเหตุผลทางเจตจานงหรือวัตถุประสง ค์นี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ข้อพิสูจน์จากความเป็ นระเบียบทางธรรมชาติ (Argument from Design) ได้ถือว่า โลกนี้ มีเอ ก ภา พ มีระเ บี ย บ มีความกลมกลืน เช่นมีที่ราบ ภูเขาและสมุทร มีพืช สัตว์และมนุษย์ ซึ่ ง ต่า ง ก็ ป รับ ตัว ต า ม ร ะ เ บี ย บ ที่ ก า ห น ด ไ ว้ แ ล้ว ใ น ธ ร ร ม ช า ติ แสด งใ ห้เห็นว่า โลกนี้ จะต้องมีผู้ออกแบบที่ช าญฉลา ด สร้า งขึ้นมา และมีวัตถุประสงค์จะให้เป็ นไปเช่นนั้น ผู้ออกแบบสร้างโลกคือพระเจ้า ซึ่งมีสติปัญญาเป็นอนันตะ ทรงไว้ซึ่งอานาจทิพย์ เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงมีอยู่ เ ช่ น เ ดี ย ว กับ บ้ า น ที่ เ ร า อ ยู่ อ า ศัย ก่ อ น ที่ จ ะ มี วัต ถุ สิ่ ง ข อ ง และห้องเป็ น สัด ส่วน ส วย งา ม จะต้องมีส ถา ป นิ ก ห รือนาย ช่ า ง เ ป็ น ผู้ อ อ ก แ บ บ ฉั น ใ ด โลกนี้ก็จะต้องมีสถาปนิกผู้ออกแบบให้โลกประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ อย่างเป็นระเบียบ มีความกลมกลืนกัน ฉันนั้น เ ห ตุ ผ ล ท า ง ภ ว วิ ท ย า ( Ontological Argument) ข้อพิสูจน์ ค วามมีอยู่ข องพ ระเจ้าโด ย อาศัย เห ตุผ ลทางภววิทยานี้
  • 8. 8 เป็ นการอนุมานจากความคิดโดยถือว่ามนุษย์มีความคิดเกี่ยวกับพระเจ้า พระเจ้าเป็นสิ่งสัมบูรณ์ สิ่งสัมบูรณ์เป็นสิ่งที่มีอยู่ เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงมีอยู่ ข้ อ พิ สู จ น์ นี้ เ ป็ น ก า ร อ นุ ม า น ว่ า พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น สิ่ ง ที่ มี อ ยู่ จากการที่มนุษย์คิดได้เกี่ยวกับพระเจ้า หรือสิ่งที่มีศักยภาพเหนือตัวเอง ดั ง ที่ เ ซ น ต์ แ อ น เ ซ ล ม์ ( St. Anselm) ผู้ซึ่งเป็ นคนแรกที่เสนอวิธีการพิสูจน์นี้ขึ้นในสมัยกลาง ได้ให้ความเห็นว่า “พระเจ้ามีอยู่โดยอาศัยความเข้าใจหรือความคิดเกี่ยวกับสิ่งสัมบูรณ์” เดส์การ์ตส์ (Descartes) ได้ให้ความเห็นว่า “พระเจ้าเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง โ ด ย อ า ศั ย ที่ ตั ว เ อ ง มี ค ว า ม คิ ด เ กี่ ย ว กั บ พ ร ะ เ จ้ า ” เขาได้พิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าว่า การที่ข้าพเจ้ามีความคิดที่สมบูรณ์ และแจ่มชัดกว่าความคิดที่ได้จากประสบการณ์ และความคิดที่จิตสร้างขึ้นนั้น เ พ ร า ะ ข้า พ เ จ้า มี ค ว า ม คิด ติด ตัว ม า แ ต่ ก า เ นิ ด ( Innate Idea) และความคิดดังกล่าวนี้ พระเจ้าเป็ นต้นเหตุบันดาลให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงมีอยู่ เ ห ตุ ผ ล ท า ง จ ริ ย ธ ร ร ม ( Moral Argument) ข้อพิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าโดยอาศัยเหตุผลทางจริยธรรมนี้ ได้ถือว่า พระเจ้าเป็ นผู้ค วบคุมจริยธ รรม หากพระเจ้าไม่มี คนที่ทาค วามดี ย่ อ ม จ ะ ไ ม่ไ ด้รับ ก า ร ย ก ย่ อ ง ส นั บ ส นุ น แ ล ะ ค น ที่ ท า ค ว า ม ชั่ ว ย่อมจะไม่ได้รับการลงโทษ แล้วโลกนี้ ก็จะไม่มีค วามเที่ย งธ รรม เ ร า อ า จ จ ะ สัง เ ก ต เ ห็ น ว่ า ใ น โ ล ก นี้ ค น ที่ ท า ดี แ ล้ ว ไ ม่ ไ ด้ดี หรือกลับได้รับความทุกข์ บางคนทาความชั่วแล้วกลับได้รับความสุข แ ล้ว ค น เ ห ล่า นี้ ก็ ต า ย ไ ป ทั้ง ๆ ที่ ยัง ไ ม่ไ ด้รับ ค ว า ม ยุ ติ ธ ร ร ม แ ต่ ค ว า ม ยุ ติ ธ ร ร ม มี อ ยู่ จ ริ ง และชีวิตในโลกนี้ชีวิตเดียวที่ยังไม่ได้รับความยุติธรรม ต้องรอรับในชีวิตหน้า และผู้ประกันค วามยุ ติธ รรมให้มนุ ษย์ จะต้องมีอานาจเห นือ ม นุ ษย์ นั่ น คื อ พ ร ะ เ จ้ า ดั ง นั้ น พ ร ะ เ จ้ า จึ ง มี อ ยู่ เพื่อให้ความยุติธรรมแก่มนุษย์ในปรโลกหรือชีวิตหน้า เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าเป็นผู้ประทานรางวัลแก่ผู้ทาความดี และลงโทษผู้ที่ท าค วา มชั่ ว ในโลกนี้ ต ลอด ถึงชี วิต อนาค ต ด้ว ย เพื่อให้เกิดความยุติธรรม ม า ร์ ติ โ น ( James Martineau : 1 8 0 5 - 1 9 0 0 ) นั ก ป รั ช ญ า ศ า ส น า ช า ว อั ง ก ฤ ษ ใ ห้เ ห ตุ ผ ล เ กี่ ย วกับ ค ว า ม มี อ ยู่ข อง พ ร ะ เ จ้า ใน เ ชิง จ ริย ธ ร ร มว่า กฎศีลธรรมที่ใช้บังคับแก่เรา จะเป็ นกฎที่ไม่มีใครสร้างขึ้นไม่ได้ แ ต่เ ป็ น ก ฎ ข อ ง พ ร ะ เ จ้า ซึ่ ง ถ่า ย ท อ ด ม า ใ ห้ เ ร า ท า ง ม โ น ธ ร ร ม พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น แ ห ล่ ง ที่ ม า ข อ ง พั น ธ ะ ท า ง ศี ล ธ ร ร ม เ พ ร า ะ พั น ธ ะ ท า ง ศี ล ธ ร ร ม นั้ น ไ ม่ มี ใ ค ร ย ก เ ลิ ก ไ ด้
  • 9. 9 ถ้ า บุ ค ค ล ใ น สั ง ค ม ห รื อ รั ฐ ส ร้ า ง พั น ธ ะ ท า ง ศี ล ธ ร ร ม นั้ น พันธะทางศีลธรรมนั้นก็อาจยกเลิกได้ตามความต้องการของบุคคลหรือสถาบัน เหล่านั้น ในโลกนี้มีบุคคลที่แตกต่างกัน บางคนมีศีลธรรมดีกว่าบางคน และพัฒนาให้ดีกว่าขึ้นไปเรื่อย ๆ เราจึงเชื่อว่าต้องมีบุคค ลที่ดี ที่สุด สมบูรณ์ ที่สุด บริสุทธิ์ที่สุด อยู่แน่นอน และบุค ค ลนั้นก็คือ พ ระเจ้า ผู้มีความสมบูรณ์โดยประการทั้งปวงนักปรัชญาฝ่ายอเทวนิยม (Atheism) คื อ ฝ่ า ย ที่ ไ ม่ เ ชื่ อ ใ น ค ว า ม มี อ ยู่ ข อ ง พ ร ะ เ จ้ า พวกเขาได้พยายามหาเหตุผลมาลบล้างข้อพิสูจน์ของฝ่ายเทวนิยม ดังนี้ การอ้างว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีสาเหตุ และสาเหตุนั้นคือพระเจ้า เป็นการอ้างที่มีข้อบกพร่อง เพาะถ้าอ้างว่าทุกสิ่งมีสาเหตุ และข้ออ้างนี้เป็ นจริง พ ร ะ เ จ้ า ก็ ต้ อ ง มี ส า เ ห ตุ ก า ร มี อ ยู่ ข อ ง พ ร ะ เ จ้ า เ ช่ น กั น แ ล ะ อ ะ ไ ร เ ป็ น ส า เ ห ตุ ใ ห้ พ ร ะ เ จ้ า มี อ ยู่ ถ้ า ต อ บ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า ไ ม่ ต้ อ ง มี ส า เ ห ตุ ใ ห้ พ ร ะ อ ง ค์ มี อ ยู่ พ ร ะ อ ง ค์ ท ร ง เ ป็ น เ อ ง ก็ ขัด กับ ก า ร อ้า ง ที่ ว่า ทุ ก สิ่ง ต้อ งมี สาเ ห ตุ จึงเป็นการขัดแย้งในตัวเอง การอ้างว่าความเป็ นไปในสิ่งต่าง ๆในจักรวาลเป็ นไปอย่างมีระเบียบ แสดงถึงมีผู้วางแผนสร้างไว้อย่างดี ผู้นั้นคือพระเจ้า การอ้างเช่นนี้บกพร่อง เ พ ร า ะ ว่ า เ ร า ไ ม่ เ ค ย เ ห็ น ก า ร ส ร้ า ง ด ว ง ด า ว อื่ น ๆ ม า ก่ อ น ถ้ า เ ร า เ ค ย เ ห็ น พ ร ะ เ จ้ า ส ร้ า ง ด ว ง จัน ท ร์ ส ร้ า ง ด า ว อัง ค า ร เ ร า ก็ อ า จ ส รุ ป ไ ด้ ว่ า โ ล ก มี ผู้ ส ร้ า ง แต่ในความเป็นจริงเราไม่เคยเห็นพระเจ้าและไม่เคยเห็นการสร้างดวงดาวต่าง ๆ ในจักรวาลเลย ก า ร อ้ า ง ว่ า พ ร ะ เ จ้ า ท ร ง รั ก ม นุ ษ ย์ แ ล ะ โ ล ก เ ป็ น ก า ร อ้ า ง ที่ ขั ด แ ย้ ง กั บ ค ว า ม เ ป็ น จ ริ ง คื อ ส ภ า พ ข อ ง โ ล ก ยั ง มี ค ว า ม ชั่ ว ร้ า ย ที่ ม นุ ษ ย์ ต้ อ ง ป ร ะ ส บ ถ้าพระเจ้ารักมนุษย์จริงก็ต้องขจัดความชั่วร้ายให้หมดไปจากโลกเพราะพระเจ้ า เ ป็ น ผู้ ท ร ง เ ด ช า นุ ภ า พ แต่เมื่อความชั่วร้ายยังมีอยู่แสดงว่าพระเจ้าไร้ความรักหรือความเมตตาต่อมนุ ษย์ การอ้างว่าผู้ที่ไม่ได้รับความยุติธรรมในโลกนี้จะได้รับความยุติธรรมใน โ ล ก ห น้ า เ ป็ น ก า ร อ้ า ง ที่ ไ ม่ เ พี ย ง พ อ เพราะอาจเป็ นความจริงของโลกเองที่ไม่มีความยุติธรรมต่อมนุษย์อยู่แล้ว ห รื อ อ า จ เ ป็ น อ ยู่ อ ย่ า ง นั้ น และการที่จะได้รับความยุติธรรมในโลกหน้านั้นก็ไม่รู้แน่ชัดว่าโลกหน้ามีจริงห รือไม่ ห รือในค วามเป็ นจริงห ากมีค วามยุ ติธ รรมและมีโลกห น้ า มนุษย์ก็สามารถได้รับความยุติธรรมในโลกหน้าได้โดยไม่จาเป็นต้องมีพระเจ้า ก า ร พิ สู จ น์ ท า ง ภ ว วิ ท ย า ที่ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า มี อ ยู่ จ า ก ค ว า ม เ ข้า ใ จ หรือความคิดเกี่ยวกับพระเจ้า ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ที่ถูกต้อง
  • 10. 10 ทฤษฎีการสร้างโลก (Cosmogony) ท ฤ ษ ฎี ก า ร ส ร้ า ง โ ล ก ห รื อ ท ฤ ษ ฎี ก า ร ก า เ นิ ด จัก ร ว า ล เป็ นการพยายามให้คาตอบเกี่ยวกับการกาเนิดของโลกหรือจักรวาลว่า โ ล ก ห รื อ จัก ร ว า ล เ กิ ด ขึ้ น ม า ไ ด้ อ ย่ า ง ไ ร ? ท ฤ ษ ฎี นี้ ถื อ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น ผู้ ส ร้ า ง โ ล ก ขึ้ น โ ด ย ฉั บ พ ลั น พร้อมด้วยบริวารของโลกและสิ่งที่อาศัยโลกได้แก่ ดาวพระเคราะห์ ดาวบริวาร พื ช และสัต ว์ สิ่งเห ล่านี้ ค งรูปอยู่อย่างเดิมเห มือ นเ มื่อ แร ก ส ร้า ง และจะดาเนินต่อไปในรูปเดิม ทฤษฎีการสร้างโลกมี 2 แบบคือ 1. การสร้างโลกแบบสัมบูรณ์ 2. การสร้างโลกแบบมีเงื่อนไข ก า ร ส ร้ า ง โ ล ก แ บ บ สั ม บู ร ณ์ ห ม า ย ค ว า ม ว่ า พระเจ้าสร้างโลกขึ้นอย่างฉับพลัน จากความไม่มีอะไรหรือจากความว่างเปล่า ใ น ลัก ษ ณ ะ ก า ร เ น ร มิต ว่า ข อ ใ ห้โ ล ก เ กิด ขึ้น แ ล้ว โ ล ก เ กิด ขึ้น ซึ่งในขณะนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากพระเจ้า พระเจ้าเป็ นผู้สมบูรณ์ทุกอย่าง จ ะ ไ ม่ ส ร้ า ง โ ล ก ขึ้ น เ ล ย ก็ ไ ด้ แต่พระองค์สร้างโลกขึ้นเพื่อถ่ายทอดความดีงามทั้งปวงให้แก่สิ่งที่จากัด ก า ร ส ร้ า ง โ ล ก แ บ บ มี เ งื่ อ น ไ ข ห ม า ย ค ว า ม ว่ า พระเจ้าสร้างโลกจากสสารที่มีอยู่แล้ว พระเจ้ากับสสารเป็ นสิ่งนิรันดรด้วยกัน แ ต่ ส ส า ร ด า ร ง อ ยู่ อ ย่ า ง ไ ร้ ร ะ เ บี ย บ พระเจ้าจึงใช้สสารอันไร้ระเบียบสร้างขึ้นเป็นโลกอันมีระเบียบ ทฤษฎีการสร้างโลก 2 แบบไม่สมเหตุสมผลทางปรัชญา กล่าวคือ ถ้า พ ร ะ เ จ้า ส ร้า ง โ ล ก จ า ก ค ว า ม ไ ม่มี อ ะ ไ ร ห รื อ ค ว า ม ว่า ง เ ปล่า ความไม่มีอะไรหรือความว่างเปล่านั้นจะเป็ นเหตุเชิงวัสดุขอ งโล ก ต า ม ธ ร ร ม ด า เ ห ตุ จ ะ ถ่ า ย ท อ ด ธ ร ร ม ช า ติ ข อ ง มัน ใ ห้ แ ก่ ผ ล ผลก็จะเป็ นความไม่มีอะไรหรือความว่างเปล่า นั่นคือโลกเป็ นสิ่งที่ไม่มีอยู่ ถ้าพระเจ้าสร้างโลกจากสสารที่มีอยู่แล้ว พระเจ้าก็กลายเป็ นสิ่งจากัด เพราะสสารและพระเจ้าเป็ นสิ่งนิรันดรด้วยกัน พระเจ้าควบคุมสสารไม่ได้ ไม่สมกับที่พระเจ้าเป็นผู้มีอานาจไม่จากัด 1.2 ศึกษาความหมายและความเป็ นมาของวิชาปรัชญา จักรวาลวิทยา (Cosmology) คาว่า “จักรวาล” หมายถึง อวกาศทั้งหมด และสรรพสิ่งที่อยู่ในอวกาศ ไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะใดห รือที่ไหนในโลกหรือในอวกาศนอ กโล ก สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเรียกว่า “จักรวาล”
  • 11. 11 จั ก ร ว า ล วิ ท ย า เป็ นการศึกษาค้นคว้าและหาคาตอบเกี่ย วกับจักรวาลและสิ่งต่าง ๆ ใ น จั ก ร ว า ล ว่ า มี ค ว า ม เ ป็ น ม า อ ย่ า ง ไ ร สรรพสิ่งในจักรวาลมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ หรือมีความสัมพันธ์กันอย่างไร ส า ม า ร ถ ด า เ นิ น ต่ อ ไ ป ไ ด้ อ ย่ า ง ไ ร เ มื่ อ เ ป็ น เ ช่ น นี้ จักรวาลวิทยาจึงศึกษาเกี่ยวกับปัญหาของจักรวาลดังต่อไปนี้ (รศ.ดร.สุจิตรา รณรื่น : 2540) 1 . ปั ญ ห า เ กี่ ย ว กั บ ข น า ด ข อ ง จั ก ร ว า ล นั่นคือปัญหาที่ว่าจักรวาลมีขอบเขตหรือไม่ คือมีขนาดรู้จักจบหรือไม่ เกี่ยวกับปัญหานี้มีคาตอบ 2 กลุ่มคือ กลุ่มนักปรัชญาที่เชื่อว่าจักรวาลไร้ขอบเขต กล่าวคือมีขนาดไม่รู้จบ กลุ่มนักคณิตศาสตร์เชื่อว่า จักรวาลมีขอบเขตจากัด คือมีขนาดรู้จักจบ 2 . ปั ญ ห า เ กี่ ย ว กั บ ก า ร วิ วั ฒ น า ก า ร ข อ ง จั ก ร ว า ล นั่นคือปัญหาที่ว่าจักรวาลมีความเป็ นมาอย่างไร และจะดาเนินไปอย่างไร เ ป็ น เ รื่ อ ง ที่ ย า ก แ ก่ ก า ร ใ ห้ ค า ต อ บ เพราะไม่มีเครื่องมือสาหรับสอดส่องย้อนไปดูอดีตเพื่อหาจุดเริ่มต้นของจักรวา ลได้ เกี่ยวกับปัญหานี้มีคาตอบ 2 กลุ่มคือ ก ลุ่ ม นั ก ค ณิ ต ศ า ส ต ร์ เชื่อว่าจักรวาลเมื่อเกิดขึ้นและวิวัฒนาการเต็มที่แล้วจะค่อย ๆ ดับลง เ พ ร า ะ ก า ร สู ญ เ สี ย พ ลัง ง าน จัก ร ว า ล จึง มี ก า ร เ สื่ อ ม ล ง เ รื่ อ ย ๆ จนหมดพลังงานและในที่สุดสรรพสิ่งก็จะหยุดนิ่งและดับลง อีกกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าจักรวาลจะไม่ดับลง เพราะในเมื่อจักรวาลไร้ขอบเขต ห รือมีข นาด ไม่รู้จักจบก็ จะ มีพ ลังงา นที่ มีปริมา ณไม่รู้จ บเ ช่ น กัน หรือในแง่หนึ่งจะต้องมีการสร้างพลังงานใหม่ขคชึ้นทดแทนพลังงานเก่าที่เสียไ ป 3. ปัญหาเรื่องจักรวาลกาลังขยายตัว จากการค้นพบของฮับเบิลในปี ค . ศ . 1 9 2 9 ท า ใ ห้ ท ร า บ ว่ า จั ก ร ว า ล ก า ลั ง ข ย า ย ตั ว โด ย เข าใช้เค รื่องแยกแสงต รวจสอบแสงจากแกแลกซี่ ( Galaxy) จานวนมากมายในอวกาศ (แกแลกซี่คือกลุ่มดาวแบบทางช้างเผือ ก คื อ ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย ด า ว จ า น ว น ม า ก ม า ย ร ว ม กุ ล่ ม กั น ) พบว่าเส้นดาเคลื่อนไปทางแถบแสงสีแดงในสเปคตรัม (Spectrum คือแถบแสงเจ็ดสีที่ได้จากการแยกแสงคือม่วง คราม น้าเงิน เขียว เหลือง แสด แ ด ง ) ทาให้ทราบว่าแกแลกซี่กาลังเคลื่อนที่ห่างออกไปจากแกแลกซี่ของเราด้วยควา มความเร็วสูง แสดงให้เห็นว่าจักรวาลกาลังขยายตัวไปทุกทิศทาง นักดาราศาสตร์บางท่านไม่เชื่อว่าจักรวาลกาลังขยายตัวโดยให้เหตุผลว่า การที่แสดงจากแกแลกซี่ต่าง ๆ ที่รับโดยสเปคโตรสโคปหรือเครื่องแยกแสง
  • 12. 12 ป ร า ก ฏ ว่ า เ ส้ น ด า เ ค ลื่ อ น ไ ป ท า ง แ ถ บ แ ส ง สี แ ด ง นั้ น อาจไม่ใช่เป็นผลมาจากจักรวาลกาลังขยายตัว 4 . ปัญห าเรื่องเวลา ( Time) นั่ นคือปัญห าที่ว่า เวลาคืออะไร มี จ ริ ง ห รื อ ไ ม่ ถ้ า มี จ ริ ง มี ลั ก ษ ณ ะ เ ป็ น อ ย่ า ง ไ ร เหตุที่เราไม่สามารถหาความแจ่มแจ้งเกี่ยวกับเวลาได้เพราะเราไม่มีเครื่องมือใ ด ม า ต ร ว จ ส อ บ ห รื อ ส อ ด ส่ อ ง ดู ค ว า ม เ ป็ น ไ ป ข อ ง มั น ไ ม่ส า ม า ร ถ ย้ อ น ก ลับ ไ ป ดู อ ดี ต ห รื อ ม อ ง อ อ ก ไ ป ดู อ น า ค ต ไ ด้ น อ ก จ า ก ดู ใ น ปั จ จุ บั น เ ท่ า นั้ น จึ ง ท า ใ ห้ เ กิ ด ค ว า ม สั บ ส น เ กี่ ย ว กั บ เ รื่ อ ง เ ว ล า อ ย่ า ง ม า ก ลักษณะของเวลาที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันมี 3 ประเภทคือ เ ว ล า น า ฬิ ก า เป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์หรือสร้างขึ้นเพื่อใช้บอกเวลาโดยกาหนดจากการหมุน รอบตัวเองของโลกเป็ นหลัก โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบถือเป็ น 1 วัน หมุนรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบถือเป็ น 1 ปี แล้วแบ่งปี เป็ นเดือน และวัน แ บ่ ง วั น เ ป็ น ชั่ ว โ ม ง น า ที แ ล ะ วิ น า ที นี่ คื อ เ ว ล า น า ฬิ ก า ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวกับเวลาที่แท้จริง เวลาจิตวิทยา หรือเวลาแห่งการรับรู้ เวลาชนิดนี้เป็ นเวลาอัต วิสัย ( Subjective time) ห รื อ เ ว ล า ใ น ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ข อ ง บุ ค ค ล เวลาจิตวิทยาคือประสบการณ์ต่อเนื่องของความรู้สึกตัวของปัจเจกบุคคล ห รื อ ค ว า ม รู้ สึ ก ตั ว เ อ ง นั่ น เ อ ง คื อ เ ว ล า ดังนั้นก็แสดงว่าในขณะที่เรานอนหลับหรือหมดสติไปก็เท่ากับว่าในขณะนั้นไ ม่มีเวลาสาหรับเรา เวลาจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งเมื่อเรารู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เ ว ล า ใ น ลั ก ษ ณ ะ นี้ ไ ม่ ใ ช่ เ ว ล า ที่ แ ท้ จ ริ ง เ พ ร า ะ เ ว ล า ที่ แ ท้ จ ริ ง จ ะ ต้ อ ง ต่ อ เ นื่ อ ง กัน ไ ป ไ ม่ มี จุ ด สิ้ น สุ ด เวลาจิต วิทย าห รื อเ วล าใน ค ว าม รู้สึ กอา จย า วห รือ สั้น ก็ ได้ เช่น เ มื่ อ ไ ด้ รั บ ค ว า ม ทุ ก ข์ จ ะ รู้ สึ ก ว่ า เ ว ล า ย า ว น า น แต่เมื่อได้รับความสุขจะรู้สึกว่าเวลาสั้นเกินไป เ ว ล า ที่ แ ท้ จ ริ ง ทฤษฎีที่ตอบว่าเวลาที่แท้จริงไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลา ได้แก่ เวลาของพระเจ้า (God’s time) เซนต์ ออกัสติน (Saint Augustin) เ ส น อ ว่ า ต า ม ห ลั ก ก า ร ข อ ง ศ า ส น า ค ริ ส ต์ สรรพ สิ่งในจักรวาลเกิด จากการสร้างของพระเจ้า เวลาก็เช่นกัน พระเจ้าทรงสร้างเวลาขึ้นเพื่อให้สรรพสิ่งที่พระองค์สร้างดาเนินไปภายใต้ระบ บ ข อ ง เ ว ล า แ ต่ พ ร ะ อ ง ค์ อ ยู่ น อ ก ร ะ บ บ เ ว ล า เมื่อสร้างเวลาได้ก็สามารถกาห นด ให้เวลาสิ้นสุด ลงในอนาค ต ได้ โ ด ย ที่ ส ร ร พ สิ่ ง ถู ก จ า กั ด ด้ ว ย เ ว ล า ยกเว้นพระเจ้าเพราะพระองค์อยู่นอกระบบเวลา จึงไม่ถูกจากัดด้วยเวลา
  • 13. 13 เวลาสัมบูรณ์ (Absolute time) นิ ว ตั น ( Isaac Newton) ถื อ ว่ า เ ว ล า เ ป็ น สิ่ ง ที่ แ ท้ จ ริ ง ห รื อ เ ป็ น ส่ว น ห นึ่ ง ข อ ง ธ ร ร ม ช า ติ เ ป็ น วัต ถุ วิสัย ( Objective) คือเป็ นสิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวของมันเอง และไม่ใช่การเคลื่อนที่ของสสาร ไ ม่ ใ ช่ ตั ว ข อ ง ส ส า ร ที่ มี อ ยู่ ภ า ย ใ ต้ ร ะ บ บ ข อ ง เ ว ล า แต่เวลาเป็นสิ่งหนึ่งต่างหากจากสสารหรือเหตุการณ์ เวลาคือกลไกของมนัส ค้ า น ท์ ( Immanuel Kant) เ ห็ น ว่ า ส ม ร ร ถ น ะ ใ น ก า ร รั บ รู้ เ อ ง เ ว ล า อ ยู่ ใ น ก ล ไ ก ข อ ง ม นั ส ก า ร รั บ รู้ เ รื่ อ ง เ ว ล า ไ ม่ ไ ด้ พั ฒ น า ม า จ า ก ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ แต่มันมีอยู่ก่อนประสบการณ์ เป็นกลไกของมนัส หรือจิตของเราในการรับรู้ ก ล่า ว คื อ ม นัส เ ป็ น ก ล ไ ก ใ น ก า ร รับ รู้สิ่ง ต่า ง ๆ ใ น ธ ร ร ม ช า ติ แต่เวลาเป็ นเพียงกลไกในการปรุงแต่งให้เราเข้าใจได้ ปัญหาเรื่องอวกาศ (Space) นั่นคือปัญหาที่ว่า อวกาศคืออะไร ? เป็ นสิ่งที่แท้จริงหรือไม่ ? อวกาศอยู่นอกจากความคิดหรืออยู่ในความคิดมนุษย์ ? โดยทั่วไปคาว่า " อ ว ก า ศ " ห ม า ย ถึง ที่ ว่า ง ซึ่ ง จ ะ ใ ส่สิ่ง ข อ ง ห รื อ วัต ถุ เ ข้า ไ ป ไ ด้ แ ต่ ใ น ท า ง ป รั ช ญ า มี ค ว า ม ห ม า ย ก ว้ า ง ก ว่ า นั้ น คือหมายถึงที่ว่างอันกว้าวให ญ่ออกไปทุกทิศ ทางอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไ ม่ มี ข อ บ เ ข ต จึ ง มี ปั ญ ห า ว่ า อ ว ก า ศ มี อ ยู่ จ ริ ง ห รื อ ไ ม่ มี อ ยู่ น อ ก ค ว า ม คิ ด ม นุ ษ ย์ ห รื อ ไ ม่ ห รือเป็ นเพี ย งค วามคิด ที่เกิด จากการมีประสบ การ ณ์ วัต ถุต่าง ๆ ปัญหานี้มีคาตอบ 2 อย่างคือ อ ว ก า ศ คื อ ก ล ไ ก ข อ ง ม นั ส ค้ า น ท์ ถื อ ว่ า เ ว ล า แ ล ะ อ ว ก า ศ ไ ม่ ใ ช่ สิ่ ง ที่ มี อ ยู่ จ ริ ง ภ า ย น อ ก แ ต่ เ ป็ น สิ่ ง ที่ ม นั ส ห รื อ จิ ต ข อ ง เ ร า ส ร้ า ง ขึ้ น เวลาและอวกาศเป็นเพียงกลไกในการรับรู้ของมนัส จึงไม่มีอยู่ในความเป็นจริง อ ว ก า ศ แ ห่ ง ม โ น ภ า พ เป็นอวกาศตามที่เราคิดซึ่งจะแตกต่างไปจากอวกาศในประสบการณ์ของเรา อวกาศ ในค วามคิด ข องเรานั้นเริ่มจากที่ว่าง ณ ที่ใด ที่ห นึ่ง เช่น เ ร า คิ ด ถึ ง ก ล่ อ ง ว่ า ง เ ป ล่ า ก ล่ อ ง ห นึ่ ง บริเวณในกล่องเป็ นอวกาศแล้วเราคิดขยายกล่องนี้ออกไปทุก ๆ ด้าน บ ริเ ว ณ ภ า ย ใ น ก ล่อ ง ก็ จ ะ ใ ห ญ่ขึ้ น เ รื่ อ ย ๆ โ ด ย ไ ม่มี ที่ สิ้ น สุ ด ลักษณะดังกล่าวถือว่าเป็นอวกาศทางมโนภาพ ทัศนะของนักปรัชญาเกี่ยวกับพระเจ้า
  • 14. 14 เ พ ล โ ต้ เ ห็ น ว่ า พ ร ะ เ จ้ า คื อ ค ว า ม คิ ด เ กี่ ย ว กับ ค ว า ม ดี อันเป็นความคิดเกี่ยวกับความดีที่สมบูรณ์ที่สุด พระเจ้าเป็นความแท้จริงสูงสุด หรือเป็นแบบที่สมบูรณ์สูงสุด และเป็นแบบที่อมตะนิรันดร อ ริ ส โ ต เ ติ้ ล ถื อ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า มี ลั ก ษ ณ ะ เ ป็ น ค ว า ม คิ ด แ ต่ มิ ใ ช้ ค ว า ม คิ ด ที่ มี อ ยู่ ใ น จิ ต เ ป็ น สิ่ ง ที่ แ ท้ จ ริ ง ใ น ตั ว เ อ ง ซึ่งเป็นอิสระจากจิตมนุษย์ พระเจ้าคือเหตุสูงสุด สสารเป็นเหตุเชิงวัตถุของโลก แต่พระเจ้าเป็นเหตุเชิงประสิทธิภาพ เหตุเชิงรูปแบบและเหตุสุดท้ายของโลก ลั ท ธิ ส โ ต อิ ค ถื อ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า คื อ เ ห ตุ ผ ล ส า ก ล ซึ่ ง ค ว บ คุ ม โ ล ก แ ล ะ ค ว บ คุ ม จุ ด ห ม า ย ป ล า ย ท า ง ข อ ง ม นุ ษ ย์ กฎเหตุผลสากลก็คือกฎธ รรมชาติ กฎธรรมชาติก็คือกฎจริย ธ ร รม เพราะฉะนั้นธรรมชาติและชะตากรรมของบุคคลจึงเป็นอันเดียวกันกับเหตุผลส า ก ล ดั ง นั้ น พ ร ะ เ จ้ า ห ม า ย ถึ ง เ ห ตุ ก า ร ณ์ ต่ า ง ๆ เ กิ ด ต า ม แ น ว ท า ง ที่ มั น เ กิ ด เ พ ร า ะ สิ่ ง ต่ า ง ๆ และบุค ค ลทั้งห มด อยู่ภายใต้การควบคุมข องเหตุผล ห รือพ ระเจ้า นั่นคือพระเจ้ามีในทุกสิ่งทุกอย่าง เ ซ น ต์ อ อ กั ส ติ น เ ชื่ อ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า คื อ เ บื้ อ ง ต้ น ท่ามกลางและที่สุดข องสรรพสิ่ง ไม่มีสิ่งใดอยู่ภาย นอกจากพ ร ะ จ้า พ ร ะ เ จ้ า มี คุ ณ ส ม บัติ คื อ ค ว า ม ดี ค ว า ม ยุ ติ ธ ร ร ม แ ล ะ ปั ญ ญ า ปรากฏได้ในที่ทุกแห่งและทุกเวลา มีอานาจไม่สิ้นสุดและเป็นนิรันดร เดส์การ์ตส์ ถือว่า พระเจ้าเป็นเนื้อสารที่ไม่สิ้นสุด เป็ นนิรันดร เป็นอิสระ รู้ สิ่ ง ทั้ ง ป ว ง มี อ า น า จ ทั่ ว ไ ป แ ล ะ เ ป็ น ผู้ ส ร้ า ง ส ร ร พ สิ่ ง เขาได้พิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าว่า ข้าพเจ้ามีความคิดเกี่ยวกับพระเจ้า ซึ่งเป็ นความคิดติดตัวมาแต่เกิด ความคิดนี้ พระเจ้าเป็ นต้นเหตุให้เกิดขึ้น และเป็นความจริง เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงมีอยู่ สปิโนซ่า ถือว่า พระเจ้าคือเนื้อสารอันแท้จริงเพียงสิ่งเดียว (One Substance) คุณลักษณะสาคัญของพระเจ้าคือความคิดและการกินที่ พ ร ะ เ จ้า คื อ ต้น เ ห ตุ แ ล ะ ค ว า ม ด า ร ง อ ยู่ แ ล ะ เ ป็ น ข อ ง ส ร ร พ สิ่ ง พระเจ้ามีลักษณะเป็นจิต ไ ล บ์ นิ ซ ถื อ ว่ า พ ร ะ เ จ้ า เ ป็ น โ ม น า ด ใ ห ญ่ ห รื อ โ ม น า ด ศู น ย์ ก ล า ง ข อ ง โ ม น า ด ทั้ ง ห ล า ย พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกธรรมชาติและโลกจริยธรรมให้กลมกลืนกัน ค้านท์ ไม่ยอมรับความมีอยู่ของพระเจ้า ด้วยการคิดหาเหตุผลทางทฤษฎี ห รื อ ก า ร คิ ด ห า เ ห ตุ ผ ล ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ กล่าวคือเหตุผลทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าไ ม่ได้ ค้ า น ท์ เ ห็ น ว่ า พระเจ้าเป็นอุดมคติในการจัดระเบียบคือจัดปรากฏการณ์ทางกายกับปรากฏกา ร ณ์ ท า ง จิ ต ใ ห้ ก ล ม ก ลื น กั น
  • 15. 15 และเป็ นห ลักจริย ธ รรมเพื่ อจัด ความดีกับความสุขให้กลมกลืนกัน นั่นคือพระเจ้ามีอยู่เพื่อเหตุผลทางจริยธรรมเท่านั้น ฟิ ช ต์ เ ห็ น ว่ า พ ร ะ เ จ้ า คื อ อั ต ต า ส ม บู ร ณ์ เป็นผู้สร้างอัตตาที่จากัดและสสารมากมายซึ่งล้วนเป็นความแท้จริง เชลลิ่ง ถือว่าสิ่งสัมบูรณ์คือสิ่งกลาง ๆ ไม่ใช่จิต ไม่ใช่วัตถุ ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่สสาร แต่เป็นเอกภาพชั้นสูงซึ่งเป็นที่มาของอัตตาและสสาร เฮเกล ถือว่าความแท้จริงมีเพียงจิตดวงเดียวที่เรียกว่า สิ่งสัมบูรณ์ นั่ นคือพ ระเจ้า พ ระเจ้า คือค วา มคิด สัมบู ร ณ์ ห รือเห ตุผ ล ส า ก ล ห รื อ วิ ญ ญ า ณ สั ม บู ร ณ์ ซึ่ ง แ ส ด ง ตั ว เ อ ง ใ น ธ ร ร ม ช า ติ ใ น จิ ต ที่ จ า กั ด แ ล ะ ใ น สั ง ค ม ร ะ ดั บ ต่ า ง ๆ กั น พระเจ้าเป็นสิ่งที่รู้ตัวเองอย่างไม่สิ้นสุดและเป็ นนิรันดร ไม่ใช่อัตตาและสสาร แต่อยู่ในอัตตาและสสารนั้น 1.3 อภิปรัชญาว่าด้วยพระเจ้า หรือสิ่งสัมบูรณ์ ความสงสัยหรือการคิดค้นเรื่องสิ่งอันเป็นเหตุหรือเป็ นปฐมเหตุของสรร พสิ่งเป็นเรื่องที่มีมานานตั้งแต่สมัยปรัชญากรีกโบราณ โดยตั้งเป็นคาถามว่า อ ะ ไ ร เ ป็ น ป ฐ ม ธ า ตุ ห รื อ ป ฐ ม เ ห ตุ ข อ ง ส ร ร พ สิ่ ง ? ห รื อ อ ะ ไ ร เ ป็ น บ่ อ เ กิ ด ข อ ง ส ร ร พ สิ่ ง ? นักปรัชญาพยายามศึกษาสืบค้นในเรื่องนี้อย่างจริงจังโดยอาศัยหลักการต่าง ๆ ร ว ม ทั้ ง ห ลั ก ก า ร ท า ง ต ร ร ก วิ ท ย า แ ล ะ ส รุ ป ไ ด้ ว่ า มี สิ่ ง ห นึ่ ง ที่ เ ป็ น ป ฐ ม เ ห ตุ ข อ ง ส ร ร พ สิ่ ง สิ่งนั้นเรียกว่ากฎเหตุผลสากลบ้าง สิ่งสัมบูรณ์บ้าง พระผู้เป็ นเจ้าบ้าง จึงเป็นเหตุให้มีการแบ่งแยกนักปรัชญาเป็น 2 พวกคือพวกที่เชื่อไม่เชื่อพระเจ้า ซึ่งเรียกสิ่งอันเป็นปฐมเหตุของสรรพสิ่งว่า กฎเหตุผลสากลบ้าง สิ่งสัมบูรณ์บ้าง นั ก ป รั ช ญ า ก ลุ่ ม นี้ ถู ก เ รี ย ก ว่ า “ อ เ ท ว นิ ย ม ” ( Atheism) แ ล ะ อี ก พ ว ก ห นึ่ ง ที่ เ ชื่ อ ใ น เ รื่ อ ง พ ร ะ เ จ้ า ซึ่ ง เ รี ย ก สิ่ง อัน เ ป็ น ป ฐ ม เ ห ตุ ข อ ง ส ร ร พ สิ่ง ว่า พ ร ะ ผู้เ ป็ น เ จ้ า นักปรัชญากลุ่มนี้ถูกเรียกว่า “เทวนิยม” (Theism) เมื่อเกิดคริสตศาสนาซึ่งสอนว่าพระผู้เป็ นเจ้าเป็ นผู้สร้างสรรพ สิ่ง นักปรัชญาที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอิทธิพลของคริสตศาสนาจึงต้องสน ใจเรื่องพ ระผู้เป็ นเจ้าด้วย ในแวด วงข องช าวค ริสต์ด้วย กันแล้ว เ รื่ อ ง พ ร ะ เ จ้า มี อ ยู่ ห รื อไ ม่มิใ ช่ ปัญ ห า เ พ ร า ะ ช า ว ค ริส ต์ เชื่ อว่า พ ระเจ้ามีอยู่แน่นอน และเพ ราะพ ระเ จ้ามี อยู่ สรรพ สิ่งจึง มี อ ยู่ พระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง บางความเห็นของนักเทวนิยม เห็นว่า “พระเจ้าไม่ใช่สิ่งใด ๆ ห รื อ ยู่ ใ น ก า ล ะ แ ล ะ เ ท ศ ะ คื อ ไ ม่ขึ้น อ ยู่ กับ เ ว ล า แ ล ะ ส ถ า น ที่ ไม่มีเกิดไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีเสื่อมไม่มีดับ ไม่มีอยู่ในที่ใด ๆ
  • 16. 16 จึงมิใช่สิ่งใดในจักรวาล และพระเจ้าก็ไม่ใช่ทุกสิ่งในจักรวาลรวมกัน” (ผศ.วิธาน สุชีวคุปต์ และคณะ: 2532) การศึกษาเรื่องพ ระเจ้า ( God) ห รือสิ่งสัมบูรณ์ ( Absolute) เป็ นการค้นค ว้าห าสัจภาวะเรื่อง ห รือสิ่งที่มีอานาจเห นื อมนุ ษ ย์ โดยอธิบายเกี่ยวกับธรรมชาติ ความมีอยู่และคุณลักษณะของพระเจ้า พระเจ้ามีจริงไหม มีธรรมชาติอย่างไร สัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ อย่างไร ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง พ ร ะ เ จ้ า กั บ โ ล ก แ ล ะ สั ต ว์ ทั้ ง ป ว ง การศึกษาเรื่องพระเจ้าหรือสิ่งสัมบูรณ์ จัดเป็ นอภิปรัชญาสาขาห นึ่ง คื อ อ ภิ ป รั ช ญ า ที่ ว่ า ด้ ว ย พ ร ะ เ จ้ า ห รื อ สิ่ ง สั ม บู ร ณ์ นักปรัช ญาที่สนใจศึกษาส่วนมาก จะเ ป็ นนักป รัช ญาฝ่ าย จิต นิ ย ม ส่วนนักปรัชญาฝ่ายสสารนิยมจะปฏิเสธความมีอยู่ของพระเจ้า อย่างไรก็ต าม แม้ว่าในปัจจุบันวิทย าการจะเจริญก้า ว ห น้ า ห รื อ ห ลั ก ก า ร ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ มี ก า ร พั ฒ น า ไ ป ม า ก การศึกษาอภิปรัช ญาว่าด้วยพ ระเจ้า หรือความคิดข องเทวนิย ม นี้ ก็ยังเป็นแนวความคิดหนึ่งที่คนทั่วไปยังให้ความเลื่อมใส และสนใจกันอยู่ คาว่า “เทวนิยม” (Theism) ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ . ศ . 2525 ไ ด้ นิ ย า ม ค ว า ม ห ม า ย ไ ว้ ว่ า “ เ ท ว นิ ย ม ห ม า ย ถึ ง ลัท ธิ ที่ เ ชื่ อ ว่ า มี พ ร ะ เ จ้ า ผู้ ยิ่ ง ใ ห ญ่ พ ร ะ อ ง ค์ เ ดี ย ว พ ร ะ เ จ้ า นั้ น ท า ง มี อ า น า จ ค ร อ บ ค ร อ ง โ ล ก และสามารถดลบันดาความเป็นไปในโลก” ในพจนานุกรมศัพท์ปรัชญา อังกฤษ – ไทย ฉบับราชบัณฑิตสถาน ได้นิยามความหมายของคาว่า “เทวนิยม” (Theism) ไว้ว่า “เทวนิยม ห ม า ย ถึ ง ทั ศ น ะ ที่ เ ชื่ อ ว่ า พ ร ะ เ ป็ น เ จ้ า ( God) มี จ ริ ง ทรงเป็นผู้สร้างและคุ้มครองโลก และทรงไว้ซึ่งอัพภันตรภาพ (Immanence) และอุตรภาพ (Transcendence) ตรงกันข้ามกับ อเทวนิยม (Atheism) ในทางอภิปรัชญา นักปรัชญาเทวนิยมจะเชื่อว่า พระเจ้ามีอยู่จริง คื อ เ ป็ น ภ า ว ะ ที่ มี อ ยู่ อ ย่ า ง เ ที่ ย ง แ ม้ ถ า ว ร ไ ม่ใ ช่ เ ป็ น เ พี ย ง อุ ด ม ค ติอ ย่ า ง ที่ นั ก ป รัช ญ า ธ ร ร ม ช า ติเ ข้ า ใ จ เ พ ร า ะ นั ก ป รั ช ญ า ธ ร ร ม ช า ติ น า เ อ า ค า ว่ า “ พ ร ะ เ จ้ า ” ไ ป ใ ช้ เ พี ย ง ห ม า ย ค ว า ม ถึ ง ม โ น ภ า พ อ ย่ า ง ห นึ่ ง ซึ่งยึดเป็นค่านิยมหรือเป็นเป้าหมายของมนุษย์เท่านั้น 1.4 แหล่งสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม กีรติ บุญเจือ. แก่นปรัชญากรีก. กรุงเทพ ฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2528. -----------------. แก่นปรัชญายุคกลาง. กรุงเทพ ฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2527. จานงค์ ทองประเสริฐ. ปรัช ญาต ะวันต กสมัย ให ม่. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, 2534.
  • 17. 17 ชัย วัฒน์ อัต พัฒน์ . ปรัช ญาต ะวันต ก ร่ว ม ส มัย 1 . กรุงเทพ ฯ : มหาวิทยาลัยรามคาแหง, 2522. เดือน คาดี. ปัญหาปรัชญา. กรุงเทพ ฯ: โอเดียนสโตร์, 2530. ----------------. พุทธปรัชญา. กรุงเทพ ฯ: โอเดียนสโตร์, 2534. ธี ร ยุ ท ธ สุ น ท ร า , ผ ศ . . ป รั ช ญ า เ บื้ อ ง ต้ น . ก รุ ง เ ท พ ฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2539. บุญมี แท่นแก้ว, ผศ.. ปรัชญา, กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, 2536. บุณย์ นิลเกษ, ดร.. เมตาฟิสิกซ์เบื้องต้น. เชียงใหม่ : คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัย เชียงใหม่, 2526. บรรจบ บรรณรุจิ. จิต มโน วิญญาณ. กรุงเทพฯ : ไร่เรือนสมาธิ, 2533. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมศัพท์ปรัชญา อังกฤษ – ไทย. กรุงเทพ ฯ: ราชบัณฑิตสถาน, 2532. วิธ าน สุชี วคุปต์ และค ณะ, ผ ศ .. ปรัช ญาเบื้องต้น. กรุงเทพ ฯ : มหาวิทยาลัยรามคาแหง, 2532. วิธาน สุชีวคุปต์, ผศ.. อภิปรัชญา. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคาแหง, 2525. สถิต วงศ์สวรรค์, รศ.. ปรัชญาเบื้องต้น. กรุงเทพฯ : อักษรพิทยา, 2540. สุจิต รา (อ่อนค้อม) รณรื่น , รศ .. ปรัช ญาเบื้องต้น. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ทิพยวิสุทธิ์, 2540. สนิท สีสาเดง. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับปรัชญาและศาสนา. กรุงเทพ ฯ: นีลนาราการพิมพ์, 2538. - - - - - - - - - - - - - - - - - - - . ป รั ช ญ า เ ถ ร ว า ท . ก รุ ง เ ท พ ฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2544. สุเมธ เมธาวิทยกุล, รศ.. ปรัชญาเบื้องต้น. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์, 2540. อดิศักดิ์ ทองบุญ. คู่มืออภิปรัชญา. กรุงเทพ ฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2533. ---------------------. ปรัชญาอินเดียร่วมสมัย. กรุงเทพ ฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2536. ---------------------. ปรัชญาอินเดีย. กรุงเทพ ฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2532. อมร โสภณวิเชษฐวงศ์, ผศ.. ปรัชญาเบื้องต้น, กรุงเทพฯ : ประสานมิตร, 2520