More Related Content
Similar to การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต - Homeostasis
Similar to การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต - Homeostasis (20)
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต - Homeostasis
- 3. 6.1 ระบบหายใจกับการรักษาดุลยภาพของร่ างกาย
1. โครงสร้ างทีใช้ ในการแลกเปลียนแก๊ส
่ ่
ของสิ่ งมีชีวตเซลล์เดียวและของสั ตว์
ิ
o สิ่ งมีชีวตเซลล์เดียว
ิ
o สิ่ งมีชีวตหลายเซลล์
ิ
o ไส้ เดือน
o แมลง
o สั ตว์ นา – ปลา
้
o นก
o สั ตว์ เลียงลูกด้ วยนม
้
- 4. สิ่ งมีชีวตเซลล์ เดียว
ิ
o อะมีบา พารามีเซียม
o เซลล์จะสั มผัสกับสิ่ งแวดล้อม
ทีเ่ ป็ นนาตลอดเวลา
้
o มีการแลกเปลียนแก๊สกับสิ่ งแวดล้ อม
่
โดยการผ่ านเยือหุ้มเซลล์
่
- 5. สั ตว์ หลายเซลล์ ขนาดเล็ก ทีอาศัยอยู่ในนา
่ ้
o ฟองน้ า ไฮดรา และหนอนตัวแบน
o เซลล์แต่ละเซลล์แลกเปลี่ยนแก๊สผ่านเยือหุมเซลล์โดยตรง
่ ้
ภาพการแลกเปลียนแก๊สของ ไฮดรา และพลานาเรีย
่
- 6. ไส้ เดือนดิน
o ยังไม่ มีโครงสร้ างที่ทาหน้ าที่
เฉพาะในการแลกเปลียนแก๊ส ่
o มีการแลกเปลียนแก๊สโดยเซลล์
่
ทีอยู่บริเวณผิวหนังของลาตัว
่
ที่เปี ยกชื้น
ภาพการแลกเปลียนแก๊สของไส้ เดือนดิน
่
- 7. แมลง
o อวัยวะแลกเปลียนแก๊ สอยู่
่
ภายในร่ างกาย
o ประกอบด้ วยท่ อลม (trachea)
ซึ่งแตกแขนงเป็ นท่ อลมฝอย
(tracheole)ขนาดเล็ก
แทรกตามส่ วนต่ างๆ ของร่ างกาย
และไปสิ้นสุ ดทีเ่ นือเยือ
้ ่
ภาพโครงสร้ างทีใช้ แลกเปลียนแก๊สของแมลง
่ ่
- 8. แมงมุม
ไม่ มีท่อลมแทรกตามเนือเยือ ้ ่
มีโครงสร้ างทีเ่ รียกว่ า ปอดแผง
(book lung)มีลกษณะ ั
เป็ นท่ อลมซ้ อนเป็ นพับไปมา
คล้ายแผง มีหลอดเลือดนา
คาร์ บอนไดออกไซด์ มาแลกเปลียน ่
ทีแผงท่ อลมนี้ แล้วรับออกซิเจน
่
- 9. สั ตว์ น้า
ในนามีออกซิเจนเพียง
้
ร้ อยละ 0.5
สั ตว์ นามีเนือเยือของอวัยวะ
้ ้ ่
ทีมากพอสาหรับการ
่
แลกเปลียนแก๊ส
่
เหงือกปลา และกุ้ง
มีลกษณะเป็ นซี่ๆ
ั
เรียงกันเป็ นแผง
ภาพลักษณะเหงือกปลา
- 10. นก
นกมีถุงลม 9 ถุง
เชื่อมต่ อกับปอด
เพือสารองอากาศ
่
ไว้ ใช้ ขณะบิน
โครงสร้ างทีใช้ แลกเปลียนแก๊สของนก
่ ่
- 11. สั ตว์ เลืยงลูกด้ วยนม
้
่
มีปอดเป็ นโครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สอยูภายในร่ างกาย
- 16. ความหนาแน่ นของ O2 และ CO2
แผนภาพความหนาแน่ นของแก๊ สในบรรยากาศและในส่ วนต่ างๆ ของร่ างกาย
- 17. การควบคุมการหายใจ
กลไกควบคุมการหายใจจะเกี่ยวข้องกับ
ระบบประสาทโดยมีการควบคุม 2 ส่ วน คือ
1. การควบคุมแบบอัตโนมัติ
ไม่สามารถบังคับได้
สมองส่ วนพอนส์ และเมดัลลาเป็ นตัวสร้าง
และส่ งสัญญาณประสาทไปกระตุนกล้ามเนื้อ
้
ที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ
2. การควบคุมภายใต้อานาจจิตใจ
สามารถบังคับได้
ใช้สมองส่ วนหน้าที่เรี ยกว่า ซี รีบรัลคอร์เทกซ์ ไฮโพทาลามัส
และสมองส่ วนหลังที่เรี ยกว่าซี รีเบลลัม
ใช้ควบคุมการหายใจให้เหมาะสมกับพฤติกรรมต่างๆ ของร่ างกาย
- 20. การวัดอัตราการหายใจ
r2d หน่วยปริ มาตร
อัตราการใช้ ออกซิเจน = Wt หน่วยน้ าหนัก-เวลา
r = รัศมีของรู หลอดแก้ว
w = น้ าหนักของสัตว์ทดลอง
d = ระยะทางเฉลี่ยที่หยดสี เคลื่อนที่ไปได้ในเวลา
t = เวลา
- 21. 6.2 ระบบขับถ่ ายกับการรักษาดุลยภาพของร่ างกาย
ของเสี ยที่เกิดจากเมแทบอลิซึมที่สาคัญ
ได้แก่ คาร์ บอนไดออกไซด์
และสารประกอบไนโตรเจน
การขับถ่ายของสิ่ งมีชีวตเซลล์เดียว
ิ
การขับถ่ายของสัตว์
การขับถ่ายของคน
- 22. การขับถ่ ายของสิ่ งมีชีวตเซลล์ เดียว
ิ
่
ของเสี ยที่เกิดจากเมแทบอลิซึมจะแพร่ ผาน
เยือหุมเซลล์ออกสู่ส่ิ งแวดล้อม
่ ้
พารามีเซียมและอะมีบาจะมีออร์แกเนลล์
เรี ยกว่า คอนแทร็ กไทล์แวคิวโอล
ช่วยรักษาสมดุลของน้ าและแร่ ธาตุในเซลล์
- 23. การขับถ่ ายของสั ตว์
ฟองนาและไฮดรา • ของเสี ยพวกแอมโมเนียถูกขับออกโดย
้
การแพร่ สู่ สภาพแวดล้อม
หนอนตัวแบน • พลานาเรี ย มีเฟลมเซลล์ (flame cell)
ช่วยกาจัดของเสี ย
• ขับแอมโมเนียออกทางท่อขับถ่าย
และทางผิวหนังได้
ภาพระบบขับถ่ ายของพลานาเรีย
- 24. การขับถ่ ายของไส้ เดือนดิน
• มีอวัยวะขับถ่ายของเสี ย เรี ยกว่า เนฟริ เดียม (nephridium)
ปล้องละ 1 คู่ มีปลายเปิ ดสองข้าง
• ปลายของเนฟริ เดียมข้างหนึ่งอยูในช่องของลาตัว
่
มีลกษณะเหมือนปากแตร เรี ยกว่า เนโฟรสโตม (nephrostome)
ั
ทาหน้าที่รับของเหลวจากช่องของลาตัว
อีกข้างเป็ นช่องเปิ ดออกสู่ภายนอกผิวหนัง
• เนฟริ เดียม ทาหน้าที่ขบถ่ายของเสี ยพวกแอมโมเนีย
ั
และยูเรี ย และดูดน้ าและแร่ ธาตุบางชนิดกลับสู่กระแสเลือด
- 26. การขับถ่ ายของแมลง
• อวัยวะขับถ่ายเรี ยกว่า “ท่อมัลพิเกียน”
• ของเสี ยถูกลาเลียงเข้าสู่ ท่อมัลพิเกียนไปยังทางเดินอาหาร
• ของเสี ยพวกสารประกอบไนโตรเจน
จะเปลี่ยนเป็ นผลึกกรดยูเรี ย ขับออกมาพร้อมกากอาหาร
- 27. การขับถ่ ายของสั ตว์ มีกระดูกสั นหลัง
• มีไต (kidney) เป็ นอวัยวะขับถ่าย
• ไต ทาหน้าที่กาจัดของเสี ยและรักษาสมดุลของน้ าและแร่ ธาตุ
โดยทางานร่ วมกับระบบหมุนเวียนเลือด
• นกและสัตว์เลื้อยคลานขับของเสี ยในรู ป กรดยูริก
• อุจจาระของจิ้งจกมีสีขาวและสี ดา สี ดาเป็ นกากอาหาร
่
ที่ยอยไม่ได้ ส่ วนสี ขาวเป็ น กรดยูริก
• สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และสัตว์สะเทินน้ าสะเทินบก
ฉลาม และปลากระดูกแข็งบางชนิดขับถ่ายของเสี ยในรู ปของ ยูเรี ย
- 32. การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
• พบบ่อยในเพศหญิง
• เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรี ย ซึ่ งปนเปื้ อนจากอุจจาระ
ร่ วมกับการกลั้นปั สสาวะนานๆ
• ผูป่วยปั สสาวะบ่อย ปวดบริ เวณหัวเหน่าขณะถ่าย
้
หากไม่รักษา เชื้อจะทาให้ไตและกรวยไตอักเสบได้
- 33. ความผิดปกติทเี่ กียวเนื่องกับไตและโรคของไต
่
โรคนิ่ว
เกิดจากการที่ตะกอนของแร่ ธาตุต่างๆ รวมตัวกันเป็ นก้อนอุดตามทางเดินปั สสาวะ
หรื อเกิดจากร่ างกายกรองหรื อกาจัดแร่ ธาตุออกมามาก
อาจจะเกิดจากอักเสบติดเชื้อทาให้มีการจับตัวของผลึกเป็ นก้อนนิ่วได้เร็ ว
หรื อเกิดจากการบริ โภคผักใบเขียวบางชนิดที่มีสารออกซาเลตสู ง
ป้ องกันได้โดยการรับประทานอาหารประเภทโปรตีน
ช่วยไม่ให้สารออกซาเลตจับตัวเป็ นผลึกกลายเป็ นก้อนนิ่ว
ดื่มน้ าสะอาด
- 35. โรคไตวาย
ภาวะที่ไตสูญเสี ยหน้าที่การทางาน ทาให้มีการสะสมของเสี ย
เกิดความผิดปกติในการรักษาสมดุลของน้ า แร่ ธาตุ
และความเป็ นกรด-เบส ของสารในร่ างกาย
มีสาเหตุจาก การติดเชื้อที่รุนแรง , การสูญเสี ยเลือดหรื อของเหลว
จานวนมาก , หรื อเกิดจากการเป็ นโรคเบาหวานติดต่อกัน
เป็ นเวลานาน หรื อมีนิ่วอุดตันทางเดินปัสสาวะเป็ นเวลานาน
การรักษา - โดยการควบคุมชนิดและปริ มาณอาหาร
- การใช้ยา , ฟอกเลือด , ผ่าตัดเปลี่ยนไต
- 36. ผิวหนังกับการรักษาดุลยภาพของร่ างกาย
ผิวหนังมีหน้าที่รักษาดุลยภาพให้คงที่ เช่น
- ป้ องกันเชื้อโรค
- รักษาอุณหภูมิให้คงที่
- รับความรู้สึก
- ขับถ่ายของเสี ย
โครงสร้างของผิวหนัง ดังรู ป
ตาแหน่ งของต่ อมเหงือบริเวณผิวหนัง
่
- 39. การลาเลียงสารในร่ างกายของสิ่ งมีชีวตเซลล์ เดียวและของสั ตว์
ิ
สิ่ งมีชีวตเซลล์ เดียวและหลายเซลล์
ิ
• ฟองนา ไฮดรา และพลานาเรีย
้
• การลาเลียงสารเป็ นการลาเลียง
ผ่านเซลล์โดยตรง
ไส้ เดือนดิน
• มีหลอดเลือดทอดยาวตลอดลาตัว
• มีห่วงหลอดเลือดหรือหัวใจเทียม
(pseudoheart)
• เป็ นระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิ ด
(closed circulatory system)
- 41. ปลา
• ปลามีหวใจ 2 ห้อง ในขณะที่สตว์สะเทินน้ าสะเทินบกมี
ั ั
หัวใจ 3 ห้อง ส่ วนนกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะมีหวใจ 4
ั
ห้อง
- 46. คลืนไฟฟ้ าของหัวใจ
่
• ตรวจด้วยเครื่ องตรวจคลื่นไฟฟ้ า
ของหัวใจ ผลของการบันทึกได้กราฟ
เรี ยกว่า คลื่นไฟฟ้ าของหัวใจ
(Electrocardiogram) หรื อ ECG
หรื อ EKG
ก. คลืนไฟฟาของหัวใจปกติ
่ ้
ข. และ ค. คลืนไฟฟาของหัวใจผิดปกติ
่ ้
- 47. ความดันเลือด
• ผู้ใหญ่ จะมีความดันเลือดประมาณ 120/80 มิลลิเมตรปรอท
• ตัวเลขแรกหมายถึงค่ าความดันเลือดสู งสุ ดขณะหัวใจบีบตัว
เรียกว่ า ความดันซิสโทลิก
• ตัวเลขตัวหลัง หมายถึง ความดันเลือดขณะหัวใจคลายตัว
เรียก ความดันไดแอสโทลิก
• ความดันเลือดขึนอยู่กบปัจจัยต่ างๆ เช่ น อายุ เพศ อารมณ์
้ ั
นาหนักของร่ างกาย อาหาร สภาพภูมิอากาศ และสภาพของร่ างกาย
้
- 48. หลอดเลือด • หลอดเลือดฝอย
• หลอดเลือดอาร์ เตอรี
• หลอดเลือดเวน
- 51. ส่ วนประกอบของเลือด
ประกอบด้ วย
• พลาสมา 55 %
• เซลล์เม็ดเลือด 45 %
ประกอบด้ วย
1. เซลล์ เม็ดเลือดแดง (erythrocyte)
2. เซลล์ เม็ดเลือดขาว (leukocyte)
3. เพลตเลต (platelet)
- 52. เซลล์ เม็ดเลือดแดง
• มีหน้าที่รับส่ งแก๊ส CO2 และ O2
• รู ปร่ างกลมแบนตรงกลางบุ๋ม ไม่มีนิวเคลียส ไม่มีไมโทคอนเดรี ย
• ภายในมีฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็ นโปรตีนมีเหล็กเป็ นองค์ประกอบ
• สร้างจากตับ ม้าม และไขกระดูก
• มีอายุประมาณ 100-120 วัน และถูกทาลายที่ตบและม้าม
ั
• ชายมีเซลล์เม็ดเลือดแดง 5-5.5 ล้านเซลล์ต่อเลือด 1 ลบ.มม.
หญิงมีเซลล์เม็ดเลือดแดง 4.5–5 ล้านเซลล์ต่อเลือด 1 ลบ.มม.
- 53. เซลล์ เม็ดเลือดขาว
• มีหน้ าที่ปองกันและทาลายเชื้อโรค
้
หรือสิ่ งแปลกปลอม
• มีปริมาณ 5,000-10,000 เซลล์
ต่ อ 1 ลบ.มม.
• สร้ างจากไขกระดูกบางชนิด
เจริญในต่ อมไทมัส
• มีอายุ 2-3 วัน
• แบ่ งออกเป็ น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มทีมแกรนูลและกลุ่มทีไม่ มแกรนูล
่ ี ่ ี
- 54. กลุ่มทีมีแกรนูล
่
• เรียกว่ า แกรนูโลไซต์ (granulocytes)
• มีนิวเคลียสขนาดใหญ่ คอดเป็ นพู สร้ างจากไขกระดูก
• มีไซโทพลาสซึมค่ อนข้ างมาก
• มีแกรนูลกระจายอยู่ทวไปในไซโทพลาซึม
่ั
• มีลกษณะต่ างกัน 3 ชนิด คือ
ั
1. อีโอซิโนฟิ ล มีแกรนูลสี ส้มแดง
2. เบโซฟิ ล มีแกรนูลสี นาเงิน
้
3. นิวโทรฟิ ล มีแกรนูลสี ม่วงชมพู
มีหน้ าที่ทาลายเชื้อโรคโดยวิธีฟาโกไซโทซิส
- 55. กลุ่มทีไม่ มแกรนูล
่ ี
• เรียกว่ า อะแกรนูโลไซต์ (agranulocytes)
• มีนิวเคลียสขนาดใหญ่
• มี 2 ชนิด คือ โมโนไซต์ (monocyte) และลิมโฟไซต์ (lymphocyte)
• โมโนไซต์
- เจริญเป็ นแมโครฟาจ (macrophage)
ทาลายเชื้อโรคโดยวิธีฟาโกไซโทซิส
• ลิมโฟไซต์ มี 2 ชนิด
- ลิมโฟไซต์ ชนิดบี หรือ เซลล์บี (B-cell)
สร้ างและเจริญในไขกระดูก
- ลิมโฟไซต์ ชนิดที หรือเซลล์ที (T-cell)
สร้ างจากไขกระดูกแล้ วไปเจริญทีต่อมไทมัส
่
- 56. • เป็ นสิ่ งสาคัญในกระบวนการแข็งตัวของเลือด
เพลตเลต • บางทีเรียกว่ า เศษเม็ดเลือด , เกล็ดเลือด , หรือแผ่นเลือด
• ไม่ ใช่ เซลล์ แต่ เป็ นชิ้นส่ วนของไซโทพลาซึมของเซลล์ ชนิดหนึ่งในไขกระดูก
• มีอายุประมาณ 10 วัน
• กระบวนการแข็งตัวของเลือดสรุ ปได้ ดงภาพต่ อไปนี้
ั
- 57. พลาสมา
หน้ าที่ • มีหน้ าทีลาเลียงสารอาหารทีย่อยแล้ว แร่ ธาตุ ฮอร์ โมน
่ ่
แอนติบอดีไปให้ เซลล์
• ช่ วยรักษาสมดุลความเป็ นกรด – เบส สมดุลของนา ้
และรักษาระดับอุณหภูมิของร่ างกาย
ลักษณะ • เป็ นของเหลวใสมีสีเหลืองอ่อน
• ประกอบด้ วยนา 90 – 93 % โปรตีนทีสาคัญ
้ ่
คือไฟบริโนเจน , อัลบูมิน และโกลบูลนิ
• ประกอบด้ วยแร่ ธาตุ สารอาหาร เอนไซม์ ฮอร์ โมน
และสารทีร่างกายต้ องกาจัดออก ได้ แก่ ยูเรีย CO2
่
- 61. ระบบเลือด Rh
• คนไทยส่ วนใหญ่มีแอนติเจน Rh
อยูที่เยือหุ มเซลล์เม็ดเลือดแดง เรี ยกว่า มีหมู่เลือด Rh+
่ ่ ้
• ส่ วนน้อยร้อยละ 0.3 ไม่มีแอนติเจน Rh
ที่เยือหุ มเม็ดเลือดแดง เรี ยกว่ามี หมู่เลือด Rh-
่ ้
• คนที่มีหมู่เลือด Rh- เมื่อได้รับเลือดหมู่ Rh+
แอนติเจนของหมู่เลือด Rh+
จะกระตุนให้คนที่มีหมู่เลือด Rh-
้
สร้างแอนติบอดีต่อแอนติเจน Rh
- 63. หลอดน้ าเหลืองและอวัยวะน้ าเหลือง
ระบบน้าเหลือง
• โครงสร้ างของระบบ
นาเหลืองประกอบด้ วย
้
นาเหลือง (lymph)หลอด
้
นาเหลือง (lymph vessel)
้
ซึ่งบางตอนโป่ งออกเป็ นต่ อม
นาเหลือง
้
(lymph node)
- 64. นาเหลือง
้
• เป็ นของเหลวทีอยู่ในหลอด
่
นาเหลืองได้ มาจากของเหลวที่
้
อยู่ระหว่ างเซลล์
• มีส่วนประกอบกล้ าย
พลาสมาแต่ มีโปรตีนน้ อยกว่ า
• ส่ วนประกอบของนาเหลือง
้
มีความแตกต่ างกัน
ขึนอยู่กบแหล่ งทีมา
้ ั ่
- 65. หลอดนาเหลือง
้
• การลาเลียงน้ าเหลืองในหลอดน้ าเหลืองจะมีทิศทางการไหลเข้าสู่หวใจ
ั
และเข้าสู่ระบบหมุนเวียนเลือดโดยเปิ ดเข้าสู่หลอดเลือดเวนใกล้หวใจ
ั
- 66. ทอนซิล (tonsil)
• เป็ นต่ อมนาเหลืองบริเวณคอ
้
• มีลมโฟไซต์ ดกจับและทาลายจุลลินทรีย์
ิ ั
ไม่ ให้ เข้ าสู่ หลอดอาหารและกล่ องเสี ยง
• ถ้ าทอนซิลติดเชื้อจะมีอาการอักเสบ บวมขึน ้
• ต่ อมนาเหลืองบริเวณอืนๆ จะทาหน้ าทีคล้ ายทอนซิล
้ ่ ่
เพือกรองแบคทีเรียและสิ่ งแปลกปลอมไม่ ให้ เข้ าสู่ กระแสเลือด
่
- 67. ต่ อมไทมัส (thymus gland)
• เป็ นต่ อมไร้ ท่อมีตาแหน่ งอยู่ตรงทรวงอกด้ านหน้ าหลอดเลือดใหญ่ ของหัวใจ
• พัฒนาลิมโฟไซต์ ชนิดเซลล์ที
ม้ าม ( Spleen )
• อยู่บริเวณใต้ กะบังลมด้ านซ้ ายติดกับด้ านหลังของกระเพาะอาหาร
• ระยะเอ็มบริโอ ม้ ามผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง
• หลังคลอดม้ ามเป็ นทีอยู่ของลิมโฟไซต์
่
• สร้ างแอนติบอดีสู่ กระแสเลือด
• ทาลายเซลล์เม็ดเลือดแดงและเพลตเลตทีหมดอายุแล้ว
่
- 69. กลไกการต่ อต้ านหรือทาลายสิ่ งแวดล้ อมแบบไม่ จาเพาะ
• ผิวหนังมีเคอราตินป้ องกันการเข้าออกของสิ่ งต่างๆ ได้
• ผิวหนังมีต่อมเหงื่อ ,ต่อมไขมัน หลังสารบางชนิด
่
เช่น กรดไขมัน กรดแลกติก ป้ องกันการเติบโตของจุลินทรี ยบางชนิด
์
• ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ท่อปัสสาวะ ช่องคลอด
มีการสร้างเมือกและมีซิเลียดักจับสิ่ งแปลกปลอม
• น้ าตา น้ าลาย มีไลโซไซม์ทาลายเชื้อโรคบางชนิดได้
- 72. การสร้ างภูมิคุ้มกัน
แบ่งเป็ น 2 แบบ คือ
1. ภูมิคุมกันก่อเอง (active immunization)
้
เป็ นการกระตุนให้ร่างกายสร้างภูมิคุมกันโดยการนาสาร
้ ้
ที่เป็ นแอนติเจน (วัคซีน) ซึ่งอาจเป็ นเชื้อโรคที่อ่อนกาลังแล้ว
มาฉี ด / กิน / ทาที่ผวหนัง เพื่อกระตุนให้ร่างกายสร้างภูมิคุมกัน
ิ ้ ้
2. ภูมิคุมกันรับมา (passive immunization)
้
เป็ นวิธีให้แอนติบอดีแก่ร่างกายโดยตรงเพื่อให้มีภูมิคุมกันขึ้นทันที
้
เช่น ซีรัมสาหรับคอตีบ ซี รัมแก้พิษงู ซี รัมแก้พิษสุ นขบ้า
ั
- 75. โรคภูมแพ้
ิ
ร่ างกายมีปฏิกริยาต่ อแอนติเจนบางชนิดอย่ างรุนแรง
ิ
และก่ อให้ เกิดอันตรายต่ อร่ างกาย เช่ น
- แพ้สารเคมีในบ้ าน
- แพ้ฝุ่นละออง
- แพ้เกสรดอกไม้ , อาหารทะเล
โรคภูมิแพ้สารบางชนิดเกียวข้ องทางพันธุกรรมด้ วย
่
- 76. การสร้ างภูมคุ้มกันต่ อเนือเยือตนเอง
ิ ้ ่
เช่น โรคเอสแอลอี
เป็ นความผิดปกติที่ร่างกายสร้างภูมิคุมกันขึ้นมา
้
ต่อต้านเซลล์ของตนเอง
เกิดจากกลไกการควบคุมเสี ยไป ทาให้ร่างกาย
สร้างแอนติบอดีมาต่อต้านแอนติเจนของตนเอง
- 77. โรคเอดส์
จานวนผู้ป่วยเอดส์ ระหว่ างปี 2535-2544
จานวนเซลล์ทของผู้ป่วยทีได้ รับเชื้อ HIV
ี่ ่
- 78. โรคเอดส์
เป็ นโรคทีมีอาการของภูมิคุ้มกันบกพร่ อง
่
เกิดจากเชื้อไวรัส HIV
HIV เข้ าไปทาลายเซลล์ ที ส่ งผลให้
ระบบภูมิคุ้มกันของร่ างกายเสื่ อม
หรือบกพร่ อง ร่ างกายจึงอ่ อนแอ
และติดเชื้อโรคต่ างๆ
HIV พบในสารคัดหลังต่ างๆ ของร่ างกาย
่
เช่ น เลือด อสุ จิ นานม นาตา
้ ้
และนาลาย เป็ นต้ น
้
- 79. ลักษณะพิเศษของ HIV
1. เชื้อ HIV จะทาลายเซลล์ เม็ดเลือดขาวชนิดเซลล์ ทผ้ ูช่วย
ี
2. HIV เพิมจานวนและมีการกลายพันธุ์ได้ ง่าย
่
3. HIV เจริ ญและเพิมจานวนอยู่ในเซลล์ เม็ดเลือดขาว
่
เซลล์ ทผ้ ูช่วย ใช้ องค์ ประกอบต่ างๆ ในเซลล์ เม็ดเลือดขาว
ี
ในการเพิมปริมาณชื้อ HIV
่
4. HIV มีสารพันธุกรรม เป็ น RNA
เมือเข้ าสู่ เซลล์ จะสร้ างสารพันธุกรรมในรู ป
่
DNA ของเซลล์