SlideShare a Scribd company logo
บทที่ 6
การรักษาดุลยภาพในร่ างกาย
การรักษาดุลยภาพในร่ างกาย
6.1 ระบบหายใจกับการรักษาดุลยภาพของร่ างกาย
1. โครงสร้ างทีใช้ ในการแลกเปลียนแก๊ส
                ่              ่
 ของสิ่ งมีชีวตเซลล์เดียวและของสั ตว์
              ิ
                   o สิ่ งมีชีวตเซลล์เดียว
                                  ิ
                   o สิ่ งมีชีวตหลายเซลล์
                                    ิ
                   o ไส้ เดือน
                   o แมลง
                   o สั ตว์ นา – ปลา
                              ้
                   o นก
                   o สั ตว์ เลียงลูกด้ วยนม
                                ้
สิ่ งมีชีวตเซลล์ เดียว
               ิ

o อะมีบา พารามีเซียม
o เซลล์จะสั มผัสกับสิ่ งแวดล้อม
 ทีเ่ ป็ นนาตลอดเวลา
           ้
o มีการแลกเปลียนแก๊สกับสิ่ งแวดล้ อม
                  ่
 โดยการผ่ านเยือหุ้มเซลล์
                ่
สั ตว์ หลายเซลล์ ขนาดเล็ก ทีอาศัยอยู่ในนา
                            ่           ้
        o ฟองน้ า ไฮดรา และหนอนตัวแบน
        o เซลล์แต่ละเซลล์แลกเปลี่ยนแก๊สผ่านเยือหุมเซลล์โดยตรง
                                              ่ ้




               ภาพการแลกเปลียนแก๊สของ ไฮดรา และพลานาเรีย
                            ่
ไส้ เดือนดิน

o ยังไม่ มีโครงสร้ างที่ทาหน้ าที่
 เฉพาะในการแลกเปลียนแก๊ส ่
o มีการแลกเปลียนแก๊สโดยเซลล์
                ่
 ทีอยู่บริเวณผิวหนังของลาตัว
    ่
 ที่เปี ยกชื้น




                                     ภาพการแลกเปลียนแก๊สของไส้ เดือนดิน
                                                  ่
แมลง
o อวัยวะแลกเปลียนแก๊ สอยู่
                    ่
  ภายในร่ างกาย
o ประกอบด้ วยท่ อลม (trachea)
  ซึ่งแตกแขนงเป็ นท่ อลมฝอย
 (tracheole)ขนาดเล็ก
 แทรกตามส่ วนต่ างๆ ของร่ างกาย
 และไปสิ้นสุ ดทีเ่ นือเยือ
                      ้ ่




                                  ภาพโครงสร้ างทีใช้ แลกเปลียนแก๊สของแมลง
                                                 ่          ่
แมงมุม

ไม่ มีท่อลมแทรกตามเนือเยือ ้ ่
มีโครงสร้ างทีเ่ รียกว่ า ปอดแผง
 (book lung)มีลกษณะ   ั
 เป็ นท่ อลมซ้ อนเป็ นพับไปมา
 คล้ายแผง มีหลอดเลือดนา
 คาร์ บอนไดออกไซด์ มาแลกเปลียน    ่
 ทีแผงท่ อลมนี้ แล้วรับออกซิเจน
   ่
สั ตว์ น้า

ในนามีออกซิเจนเพียง
        ้
 ร้ อยละ 0.5
สั ตว์ นามีเนือเยือของอวัยวะ
          ้ ้ ่
 ทีมากพอสาหรับการ
    ่
 แลกเปลียนแก๊ส
           ่
เหงือกปลา และกุ้ง
 มีลกษณะเป็ นซี่ๆ
      ั
 เรียงกันเป็ นแผง


                                ภาพลักษณะเหงือกปลา
นก
นกมีถุงลม 9 ถุง
 เชื่อมต่ อกับปอด
 เพือสารองอากาศ
     ่
 ไว้ ใช้ ขณะบิน



                    โครงสร้ างทีใช้ แลกเปลียนแก๊สของนก
                                ่          ่
สั ตว์ เลืยงลูกด้ วยนม
          ้
                                                     ่
     มีปอดเป็ นโครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สอยูภายในร่ างกาย
โครงสร้ างทีใช้ ในการแลกเปลียนแก๊ สของคน
            ่               ่
การสู ดลมหายใจ




การเปลียนแปลงปริมตรของทรวงอกขณะหายใจเข้ าและหายใจออก
       ่
ปริมาตรของอากาศในปอด




ปริมาตรอากาศในปอดขณะหายใจเข้ าออกปกติ และขณะหายใจเข้ า-ออกเต็มที่
การแลกเปลียนแก๊ ส
          ่                  บริ เวณปอด
                    Hb+O2                      HbO2
                            บริ เวณเนื้อเยือ
                                           ่
ความหนาแน่ นของ O2 และ CO2




  แผนภาพความหนาแน่ นของแก๊ สในบรรยากาศและในส่ วนต่ างๆ ของร่ างกาย
การควบคุมการหายใจ
       กลไกควบคุมการหายใจจะเกี่ยวข้องกับ
ระบบประสาทโดยมีการควบคุม 2 ส่ วน คือ
  1. การควบคุมแบบอัตโนมัติ
    ไม่สามารถบังคับได้
    สมองส่ วนพอนส์ และเมดัลลาเป็ นตัวสร้าง
     และส่ งสัญญาณประสาทไปกระตุนกล้ามเนื้อ
                                  ้
     ที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ
  2. การควบคุมภายใต้อานาจจิตใจ
    สามารถบังคับได้
    ใช้สมองส่ วนหน้าที่เรี ยกว่า ซี รีบรัลคอร์เทกซ์ ไฮโพทาลามัส
     และสมองส่ วนหลังที่เรี ยกว่าซี รีเบลลัม
    ใช้ควบคุมการหายใจให้เหมาะสมกับพฤติกรรมต่างๆ ของร่ างกาย
ความผิดปกติทเี่ กียวข้ องกับปอด
                  ่
และโรคของระบบทางเดินหายใจ


            โรคปอดบวม
            โรคถุงลมโป่ งพอง
การวัดอัตราการหายใจ
การวัดอัตราการหายใจ
                        r2d       หน่วยปริ มาตร
อัตราการใช้ ออกซิเจน = Wt         หน่วยน้ าหนัก-เวลา

r = รัศมีของรู หลอดแก้ว
w = น้ าหนักของสัตว์ทดลอง
d = ระยะทางเฉลี่ยที่หยดสี เคลื่อนที่ไปได้ในเวลา
t = เวลา
6.2 ระบบขับถ่ ายกับการรักษาดุลยภาพของร่ างกาย

    ของเสี ยที่เกิดจากเมแทบอลิซึมที่สาคัญ
     ได้แก่ คาร์ บอนไดออกไซด์
     และสารประกอบไนโตรเจน
    การขับถ่ายของสิ่ งมีชีวตเซลล์เดียว
                            ิ
    การขับถ่ายของสัตว์
    การขับถ่ายของคน
การขับถ่ ายของสิ่ งมีชีวตเซลล์ เดียว
                           ิ

                                       ่
 ของเสี ยที่เกิดจากเมแทบอลิซึมจะแพร่ ผาน
 เยือหุมเซลล์ออกสู่ส่ิ งแวดล้อม
     ่ ้
 พารามีเซียมและอะมีบาจะมีออร์แกเนลล์
 เรี ยกว่า คอนแทร็ กไทล์แวคิวโอล
 ช่วยรักษาสมดุลของน้ าและแร่ ธาตุในเซลล์
การขับถ่ ายของสั ตว์
ฟองนาและไฮดรา • ของเสี ยพวกแอมโมเนียถูกขับออกโดย
    ้
               การแพร่ สู่ สภาพแวดล้อม

                 หนอนตัวแบน      • พลานาเรี ย มีเฟลมเซลล์ (flame cell)
                                  ช่วยกาจัดของเสี ย
                                 • ขับแอมโมเนียออกทางท่อขับถ่าย
                                  และทางผิวหนังได้




                        ภาพระบบขับถ่ ายของพลานาเรีย
การขับถ่ ายของไส้ เดือนดิน

• มีอวัยวะขับถ่ายของเสี ย เรี ยกว่า เนฟริ เดียม (nephridium)
 ปล้องละ 1 คู่ มีปลายเปิ ดสองข้าง
• ปลายของเนฟริ เดียมข้างหนึ่งอยูในช่องของลาตัว
                                    ่
 มีลกษณะเหมือนปากแตร เรี ยกว่า เนโฟรสโตม (nephrostome)
    ั
 ทาหน้าที่รับของเหลวจากช่องของลาตัว
 อีกข้างเป็ นช่องเปิ ดออกสู่ภายนอกผิวหนัง
• เนฟริ เดียม ทาหน้าที่ขบถ่ายของเสี ยพวกแอมโมเนีย
                         ั
 และยูเรี ย และดูดน้ าและแร่ ธาตุบางชนิดกลับสู่กระแสเลือด
เนฟริเดียมของไส้ เดือนดิน
การขับถ่ ายของแมลง

     • อวัยวะขับถ่ายเรี ยกว่า “ท่อมัลพิเกียน”
     • ของเสี ยถูกลาเลียงเข้าสู่ ท่อมัลพิเกียนไปยังทางเดินอาหาร
     • ของเสี ยพวกสารประกอบไนโตรเจน
      จะเปลี่ยนเป็ นผลึกกรดยูเรี ย ขับออกมาพร้อมกากอาหาร
การขับถ่ ายของสั ตว์ มีกระดูกสั นหลัง

• มีไต (kidney) เป็ นอวัยวะขับถ่าย
• ไต ทาหน้าที่กาจัดของเสี ยและรักษาสมดุลของน้ าและแร่ ธาตุ
 โดยทางานร่ วมกับระบบหมุนเวียนเลือด
• นกและสัตว์เลื้อยคลานขับของเสี ยในรู ป กรดยูริก
• อุจจาระของจิ้งจกมีสีขาวและสี ดา สี ดาเป็ นกากอาหาร
     ่
 ที่ยอยไม่ได้ ส่ วนสี ขาวเป็ น กรดยูริก
• สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และสัตว์สะเทินน้ าสะเทินบก
 ฉลาม และปลากระดูกแข็งบางชนิดขับถ่ายของเสี ยในรู ปของ ยูเรี ย
การขับถ่ ายของคน
• มีไตเป็ นอวัยวะขับถ่าย
• ไตคนมี 1 คู่ ยาวประมาณ
 10-13 ซม. กว้าง 6 ซม.
 หนา 3 ซม.
 ไตแต่ละข้างหนัก 150 กรัม
โครงสร้ างของไต
การดูดกลับของสารทีท่อหน่ วยไต
                    ่




การกรองสารและการดูดสารกลับของหน่ วยไต
กลไกการรักษาสมดุลของนาและสารต่ างๆ
                     ้
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
      กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
• พบบ่อยในเพศหญิง
• เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรี ย ซึ่ งปนเปื้ อนจากอุจจาระ
 ร่ วมกับการกลั้นปั สสาวะนานๆ
• ผูป่วยปั สสาวะบ่อย ปวดบริ เวณหัวเหน่าขณะถ่าย
     ้
    หากไม่รักษา เชื้อจะทาให้ไตและกรวยไตอักเสบได้
ความผิดปกติทเี่ กียวเนื่องกับไตและโรคของไต
                    ่

                          โรคนิ่ว
เกิดจากการที่ตะกอนของแร่ ธาตุต่างๆ รวมตัวกันเป็ นก้อนอุดตามทางเดินปั สสาวะ
หรื อเกิดจากร่ างกายกรองหรื อกาจัดแร่ ธาตุออกมามาก
 อาจจะเกิดจากอักเสบติดเชื้อทาให้มีการจับตัวของผลึกเป็ นก้อนนิ่วได้เร็ ว
 หรื อเกิดจากการบริ โภคผักใบเขียวบางชนิดที่มีสารออกซาเลตสู ง
ป้ องกันได้โดยการรับประทานอาหารประเภทโปรตีน
 ช่วยไม่ให้สารออกซาเลตจับตัวเป็ นผลึกกลายเป็ นก้อนนิ่ว
ดื่มน้ าสะอาด
ผักพื้นบ้าน เช่นผักชีฝรั่ง มันสาปะหลัง ใบชะพลู ผักโขม ยอดพริ กขี้ฟ้า หัวไชเท้า ใบกระเจี๊ยบ
ใบยอ
โรคไตวาย
ภาวะที่ไตสูญเสี ยหน้าที่การทางาน ทาให้มีการสะสมของเสี ย
เกิดความผิดปกติในการรักษาสมดุลของน้ า แร่ ธาตุ
 และความเป็ นกรด-เบส ของสารในร่ างกาย
มีสาเหตุจาก การติดเชื้อที่รุนแรง , การสูญเสี ยเลือดหรื อของเหลว
 จานวนมาก , หรื อเกิดจากการเป็ นโรคเบาหวานติดต่อกัน
 เป็ นเวลานาน หรื อมีนิ่วอุดตันทางเดินปัสสาวะเป็ นเวลานาน
การรักษา - โดยการควบคุมชนิดและปริ มาณอาหาร
      - การใช้ยา , ฟอกเลือด , ผ่าตัดเปลี่ยนไต
ผิวหนังกับการรักษาดุลยภาพของร่ างกาย

  ผิวหนังมีหน้าที่รักษาดุลยภาพให้คงที่ เช่น
          - ป้ องกันเชื้อโรค
          - รักษาอุณหภูมิให้คงที่
          - รับความรู้สึก
          - ขับถ่ายของเสี ย
  โครงสร้างของผิวหนัง ดังรู ป



                                               ตาแหน่ งของต่ อมเหงือบริเวณผิวหนัง
                                                                   ่
การควบคุมอุณหภูมิของร่ างกาย
6.3 ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบนาเหลืองกับการรักษาดุลยภาพของร่ างกาย
                             ้

การลาเลียงสารในร่ างกาย
 ของสิ่ งมีชีวิตเซลล์เดียว
 และของสัตว์
การลาเลียงสารในร่ างกาย
 ของคน
ระบบน้ าเหลือง
การลาเลียงสารในร่ างกายของสิ่ งมีชีวตเซลล์ เดียวและของสั ตว์
                                    ิ

         สิ่ งมีชีวตเซลล์ เดียวและหลายเซลล์
                   ิ
         • ฟองนา ไฮดรา และพลานาเรีย
                 ้
         • การลาเลียงสารเป็ นการลาเลียง
          ผ่านเซลล์โดยตรง
         ไส้ เดือนดิน
         • มีหลอดเลือดทอดยาวตลอดลาตัว
         • มีห่วงหลอดเลือดหรือหัวใจเทียม
          (pseudoheart)
         • เป็ นระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิ ด
          (closed circulatory system)
แมลง (ตั๊กแตน , กุ้ง)
 มีระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิ ด
ปลา

• ปลามีหวใจ 2 ห้อง ในขณะที่สตว์สะเทินน้ าสะเทินบกมี
          ั                      ั
หัวใจ 3 ห้อง ส่ วนนกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะมีหวใจ 4
                                                ั
ห้อง
การลาเลียงสารในร่ างกายของคน

• หัวใจ
• หลอดเลือด
• ส่ วนประกอบของเลือด
• หมู่เลือดและการให้เลือด
หัวใจ




โครงสร้างภายนอกของหัวใจ
โครงสร้ างภายในของหัวใจ
คลืนไฟฟ้ าของหัวใจ
      ่

• ตรวจด้วยเครื่ องตรวจคลื่นไฟฟ้ า
 ของหัวใจ ผลของการบันทึกได้กราฟ
 เรี ยกว่า คลื่นไฟฟ้ าของหัวใจ
 (Electrocardiogram) หรื อ ECG

 หรื อ EKG



                                    ก. คลืนไฟฟาของหัวใจปกติ
                                            ่      ้
                                    ข. และ ค. คลืนไฟฟาของหัวใจผิดปกติ
                                                 ่   ้
ความดันเลือด
• ผู้ใหญ่ จะมีความดันเลือดประมาณ 120/80 มิลลิเมตรปรอท
• ตัวเลขแรกหมายถึงค่ าความดันเลือดสู งสุ ดขณะหัวใจบีบตัว
 เรียกว่ า ความดันซิสโทลิก
• ตัวเลขตัวหลัง หมายถึง ความดันเลือดขณะหัวใจคลายตัว
 เรียก ความดันไดแอสโทลิก
• ความดันเลือดขึนอยู่กบปัจจัยต่ างๆ เช่ น อายุ เพศ อารมณ์
                  ้    ั
 นาหนักของร่ างกาย อาหาร สภาพภูมิอากาศ และสภาพของร่ างกาย
   ้
หลอดเลือด   • หลอดเลือดฝอย
            • หลอดเลือดอาร์ เตอรี
            • หลอดเลือดเวน
ความดันเลือดในหลอดเลือดต่ างๆ
การทางานของลินหลอดเลือดเวน
             ้


                    • หลอดเลือดเวนมีลน ิ้
                     อยู่ภายในเป็ นระยะ
ส่ วนประกอบของเลือด
               ประกอบด้ วย
               • พลาสมา 55 %
               • เซลล์เม็ดเลือด 45 %




                        ประกอบด้ วย
                         1. เซลล์ เม็ดเลือดแดง (erythrocyte)
                         2. เซลล์ เม็ดเลือดขาว (leukocyte)
                         3. เพลตเลต (platelet)
เซลล์ เม็ดเลือดแดง

• มีหน้าที่รับส่ งแก๊ส CO2 และ O2
• รู ปร่ างกลมแบนตรงกลางบุ๋ม ไม่มีนิวเคลียส ไม่มีไมโทคอนเดรี ย
• ภายในมีฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็ นโปรตีนมีเหล็กเป็ นองค์ประกอบ
• สร้างจากตับ ม้าม และไขกระดูก
• มีอายุประมาณ 100-120 วัน และถูกทาลายที่ตบและม้าม
                                              ั
• ชายมีเซลล์เม็ดเลือดแดง 5-5.5 ล้านเซลล์ต่อเลือด 1 ลบ.มม.
 หญิงมีเซลล์เม็ดเลือดแดง 4.5–5 ล้านเซลล์ต่อเลือด 1 ลบ.มม.
เซลล์ เม็ดเลือดขาว
• มีหน้ าที่ปองกันและทาลายเชื้อโรค
             ้
 หรือสิ่ งแปลกปลอม
• มีปริมาณ 5,000-10,000 เซลล์
 ต่ อ 1 ลบ.มม.
• สร้ างจากไขกระดูกบางชนิด
 เจริญในต่ อมไทมัส
• มีอายุ 2-3 วัน
• แบ่ งออกเป็ น 2 กลุ่ม คือ
 กลุ่มทีมแกรนูลและกลุ่มทีไม่ มแกรนูล
         ่ ี                ่ ี
กลุ่มทีมีแกรนูล
       ่

     • เรียกว่ า แกรนูโลไซต์ (granulocytes)
     • มีนิวเคลียสขนาดใหญ่ คอดเป็ นพู สร้ างจากไขกระดูก
     • มีไซโทพลาสซึมค่ อนข้ างมาก
     • มีแกรนูลกระจายอยู่ทวไปในไซโทพลาซึม
                                ่ั
     • มีลกษณะต่ างกัน 3 ชนิด คือ
           ั
             1. อีโอซิโนฟิ ล มีแกรนูลสี ส้มแดง
             2. เบโซฟิ ล มีแกรนูลสี นาเงิน
                                      ้
             3. นิวโทรฟิ ล มีแกรนูลสี ม่วงชมพู
                     มีหน้ าที่ทาลายเชื้อโรคโดยวิธีฟาโกไซโทซิส
กลุ่มทีไม่ มแกรนูล
       ่ ี
 • เรียกว่ า อะแกรนูโลไซต์ (agranulocytes)
 • มีนิวเคลียสขนาดใหญ่
 • มี 2 ชนิด คือ โมโนไซต์ (monocyte) และลิมโฟไซต์ (lymphocyte)
 • โมโนไซต์
            - เจริญเป็ นแมโครฟาจ (macrophage)
        ทาลายเชื้อโรคโดยวิธีฟาโกไซโทซิส
 • ลิมโฟไซต์ มี 2 ชนิด
            - ลิมโฟไซต์ ชนิดบี หรือ เซลล์บี (B-cell)
        สร้ างและเจริญในไขกระดูก
            - ลิมโฟไซต์ ชนิดที หรือเซลล์ที (T-cell)
        สร้ างจากไขกระดูกแล้ วไปเจริญทีต่อมไทมัส
                                         ่
• เป็ นสิ่ งสาคัญในกระบวนการแข็งตัวของเลือด
เพลตเลต   • บางทีเรียกว่ า เศษเม็ดเลือด , เกล็ดเลือด , หรือแผ่นเลือด
          • ไม่ ใช่ เซลล์ แต่ เป็ นชิ้นส่ วนของไซโทพลาซึมของเซลล์ ชนิดหนึ่งในไขกระดูก
          • มีอายุประมาณ 10 วัน
          • กระบวนการแข็งตัวของเลือดสรุ ปได้ ดงภาพต่ อไปนี้
                                                     ั
พลาสมา
 หน้ าที่    • มีหน้ าทีลาเลียงสารอาหารทีย่อยแล้ว แร่ ธาตุ ฮอร์ โมน
                        ่                ่
              แอนติบอดีไปให้ เซลล์
             • ช่ วยรักษาสมดุลความเป็ นกรด – เบส สมดุลของนา       ้
              และรักษาระดับอุณหภูมิของร่ างกาย
ลักษณะ • เป็ นของเหลวใสมีสีเหลืองอ่อน
            • ประกอบด้ วยนา 90 – 93 % โปรตีนทีสาคัญ
                           ้                            ่
             คือไฟบริโนเจน , อัลบูมิน และโกลบูลนิ
            • ประกอบด้ วยแร่ ธาตุ สารอาหาร เอนไซม์ ฮอร์ โมน
             และสารทีร่างกายต้ องกาจัดออก ได้ แก่ ยูเรีย CO2
                      ่
หมู่เลือดและการให้ เลือด
• จาแนกตามระบบ ABO ได้ 4 หมู่ คือ A ,B , AB และ O
 ( ตามชนิดของไกลโคโปรตีน หรือแอนติเจนทีเ่ ยือหุ้มเซลล์เม็ดเลือดแดง )
                                            ่
การกระจายหมู่เลือดของคนไทย
   • แบ่งตามระบบ ABO ได้ดงนี้
                         ั

        หมู่เลือด            ร้อยละ

           A                   22
           B                   33
           AB                  8
           O                   37


   ที่มา : สภากาชาดไทย พ.ศ. 2546
การให้ เลือด

• หลักการ คือ
“เลือดของผูให้ตอง
            ้ ้
ไม่มีแอนติเจนตรง
กับแอนติบอดีของ
ผูรับ”
  ้
ระบบเลือด Rh
• คนไทยส่ วนใหญ่มีแอนติเจน Rh
 อยูที่เยือหุ มเซลล์เม็ดเลือดแดง เรี ยกว่า มีหมู่เลือด Rh+
     ่ ่ ้
• ส่ วนน้อยร้อยละ 0.3 ไม่มีแอนติเจน Rh
 ที่เยือหุ มเม็ดเลือดแดง เรี ยกว่ามี หมู่เลือด Rh-
       ่ ้
• คนที่มีหมู่เลือด Rh- เมื่อได้รับเลือดหมู่ Rh+
 แอนติเจนของหมู่เลือด Rh+
 จะกระตุนให้คนที่มีหมู่เลือด Rh-
            ้
  สร้างแอนติบอดีต่อแอนติเจน Rh
การเกิดอีรีโทรบลาสโทซิสฟี ทาลีส
( Erythroblastosis fetalis )
หลอดน้ าเหลืองและอวัยวะน้ าเหลือง
    ระบบน้าเหลือง

• โครงสร้ างของระบบ
นาเหลืองประกอบด้ วย
         ้
นาเหลือง (lymph)หลอด
   ้
นาเหลือง (lymph vessel)
     ้
ซึ่งบางตอนโป่ งออกเป็ นต่ อม
นาเหลือง
       ้
(lymph node)
นาเหลือง
           ้
• เป็ นของเหลวทีอยู่ในหลอด
                  ่
นาเหลืองได้ มาจากของเหลวที่
 ้
อยู่ระหว่ างเซลล์
• มีส่วนประกอบกล้ าย
พลาสมาแต่ มีโปรตีนน้ อยกว่ า
• ส่ วนประกอบของนาเหลือง
                      ้
 มีความแตกต่ างกัน
 ขึนอยู่กบแหล่ งทีมา
    ้     ั         ่
หลอดนาเหลือง
                              ้
• การลาเลียงน้ าเหลืองในหลอดน้ าเหลืองจะมีทิศทางการไหลเข้าสู่หวใจ
                                                               ั
 และเข้าสู่ระบบหมุนเวียนเลือดโดยเปิ ดเข้าสู่หลอดเลือดเวนใกล้หวใจ
                                                             ั
ทอนซิล (tonsil)

• เป็ นต่ อมนาเหลืองบริเวณคอ
                   ้
• มีลมโฟไซต์ ดกจับและทาลายจุลลินทรีย์
       ิ             ั
 ไม่ ให้ เข้ าสู่ หลอดอาหารและกล่ องเสี ยง
• ถ้ าทอนซิลติดเชื้อจะมีอาการอักเสบ บวมขึน   ้
• ต่ อมนาเหลืองบริเวณอืนๆ จะทาหน้ าทีคล้ ายทอนซิล
             ้              ่              ่
 เพือกรองแบคทีเรียและสิ่ งแปลกปลอมไม่ ให้ เข้ าสู่ กระแสเลือด
    ่
ต่ อมไทมัส (thymus gland)
• เป็ นต่ อมไร้ ท่อมีตาแหน่ งอยู่ตรงทรวงอกด้ านหน้ าหลอดเลือดใหญ่ ของหัวใจ
• พัฒนาลิมโฟไซต์ ชนิดเซลล์ที

                 ม้ าม ( Spleen )
     • อยู่บริเวณใต้ กะบังลมด้ านซ้ ายติดกับด้ านหลังของกระเพาะอาหาร
     • ระยะเอ็มบริโอ ม้ ามผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง
     • หลังคลอดม้ ามเป็ นทีอยู่ของลิมโฟไซต์
                            ่
     • สร้ างแอนติบอดีสู่ กระแสเลือด
     • ทาลายเซลล์เม็ดเลือดแดงและเพลตเลตทีหมดอายุแล้ว
                                                 ่
กลไกการสร้ างภูมคุ้มกัน
                ิ


       แบ่ งได้ 2 แบบ
       • แบบไม่ จำเพำะ (nonspecific defense)
       • แบบจำเพำะ (specific defense)
กลไกการต่ อต้ านหรือทาลายสิ่ งแวดล้ อมแบบไม่ จาเพาะ


• ผิวหนังมีเคอราตินป้ องกันการเข้าออกของสิ่ งต่างๆ ได้
• ผิวหนังมีต่อมเหงื่อ ,ต่อมไขมัน หลังสารบางชนิด
                                       ่
 เช่น กรดไขมัน กรดแลกติก ป้ องกันการเติบโตของจุลินทรี ยบางชนิด
                                                       ์
• ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ท่อปัสสาวะ ช่องคลอด
  มีการสร้างเมือกและมีซิเลียดักจับสิ่ งแปลกปลอม
• น้ าตา น้ าลาย มีไลโซไซม์ทาลายเชื้อโรคบางชนิดได้
กลไกการต่ อต้ านหรือทาลายสิ่ งแปลกปลอมแบบจาเพาะ


      การทางานของเซลล์ บี
      การทางานของเซลล์ ที
การทางานของเซลล์ บี ,เซลล์ ที
การสร้ างภูมิคุ้มกัน

แบ่งเป็ น 2 แบบ คือ
1. ภูมิคุมกันก่อเอง (active immunization)
             ้
       เป็ นการกระตุนให้ร่างกายสร้างภูมิคุมกันโดยการนาสาร
                      ้                     ้
ที่เป็ นแอนติเจน (วัคซีน) ซึ่งอาจเป็ นเชื้อโรคที่อ่อนกาลังแล้ว
มาฉี ด / กิน / ทาที่ผวหนัง เพื่อกระตุนให้ร่างกายสร้างภูมิคุมกัน
                        ิ             ้                       ้
2. ภูมิคุมกันรับมา (passive immunization)
                ้
       เป็ นวิธีให้แอนติบอดีแก่ร่างกายโดยตรงเพื่อให้มีภูมิคุมกันขึ้นทันที
                                                            ้
เช่น ซีรัมสาหรับคอตีบ ซี รัมแก้พิษงู ซี รัมแก้พิษสุ นขบ้า
                                                      ั
การสร้ างภูมคุ้มกัน
            ิ
                ภูมิค้ ุมกันก่ อเอง
                ภูมิคุ้มกันรับมา
ความผิดปกติของระบบภูมคุ้มกันโรค
                        ิ


โรคภูมแพ้ ( allergy )
       ิ
โรคเอสแอลอี (Systemic Lupus
  Erythematiosus : SLE )
โรคเอดส์ (AIDS)
โรคภูมแพ้
                         ิ

ร่ างกายมีปฏิกริยาต่ อแอนติเจนบางชนิดอย่ างรุนแรง
                 ิ
 และก่ อให้ เกิดอันตรายต่ อร่ างกาย เช่ น
      - แพ้สารเคมีในบ้ าน
      - แพ้ฝุ่นละออง
      - แพ้เกสรดอกไม้ , อาหารทะเล
โรคภูมิแพ้สารบางชนิดเกียวข้ องทางพันธุกรรมด้ วย
                            ่
การสร้ างภูมคุ้มกันต่ อเนือเยือตนเอง
                    ิ             ้ ่

เช่น โรคเอสแอลอี
เป็ นความผิดปกติที่ร่างกายสร้างภูมิคุมกันขึ้นมา
                                      ้
 ต่อต้านเซลล์ของตนเอง
เกิดจากกลไกการควบคุมเสี ยไป ทาให้ร่างกาย
 สร้างแอนติบอดีมาต่อต้านแอนติเจนของตนเอง
โรคเอดส์



           จานวนผู้ป่วยเอดส์ ระหว่ างปี 2535-2544




             จานวนเซลล์ทของผู้ป่วยทีได้ รับเชื้อ HIV
                        ี่          ่
โรคเอดส์

เป็ นโรคทีมีอาการของภูมิคุ้มกันบกพร่ อง
              ่
  เกิดจากเชื้อไวรัส HIV
 HIV เข้ าไปทาลายเซลล์ ที ส่ งผลให้
  ระบบภูมิคุ้มกันของร่ างกายเสื่ อม
  หรือบกพร่ อง ร่ างกายจึงอ่ อนแอ
  และติดเชื้อโรคต่ างๆ
 HIV พบในสารคัดหลังต่ างๆ ของร่ างกาย
                          ่
  เช่ น เลือด อสุ จิ นานม นาตา
                      ้     ้
  และนาลาย เป็ นต้ น
         ้
ลักษณะพิเศษของ HIV

1. เชื้อ HIV จะทาลายเซลล์ เม็ดเลือดขาวชนิดเซลล์ ทผ้ ูช่วย
                                                       ี
2. HIV เพิมจานวนและมีการกลายพันธุ์ได้ ง่าย
                 ่
3. HIV เจริ ญและเพิมจานวนอยู่ในเซลล์ เม็ดเลือดขาว
                        ่
 เซลล์ ทผ้ ูช่วย ใช้ องค์ ประกอบต่ างๆ ในเซลล์ เม็ดเลือดขาว
          ี
 ในการเพิมปริมาณชื้อ HIV
               ่
4. HIV มีสารพันธุกรรม เป็ น RNA

 เมือเข้ าสู่ เซลล์ จะสร้ างสารพันธุกรรมในรู ป
    ่
   DNA ของเซลล์

More Related Content

What's hot

แบบทดสอบย่อย เรื่องกล้องจุลทรรศน์
แบบทดสอบย่อย เรื่องกล้องจุลทรรศน์แบบทดสอบย่อย เรื่องกล้องจุลทรรศน์
แบบทดสอบย่อย เรื่องกล้องจุลทรรศน์Phattarawan Wai
 
แบบทดสอบเซลล์
แบบทดสอบเซลล์แบบทดสอบเซลล์
แบบทดสอบเซลล์
Wichai Likitponrak
 
ใบความรู้การย่อยอาหาร
ใบความรู้การย่อยอาหารใบความรู้การย่อยอาหาร
ใบความรู้การย่อยอาหาร
สุกัญญา นิ่มพันธุ์
 
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
sukanya petin
 
บทที่ 3 เซลล์ของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 3 เซลล์ของสิ่งมีชีวิตบทที่ 3 เซลล์ของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 3 เซลล์ของสิ่งมีชีวิต
Pinutchaya Nakchumroon
 
การลำเลียงสารผ่านเซลล์
การลำเลียงสารผ่านเซลล์การลำเลียงสารผ่านเซลล์
การลำเลียงสารผ่านเซลล์Peangjit Chamnan
 
การรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมน
การรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมนการรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมน
การรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมน
sukanya petin
 
เอกสารประกอบการสอน เรื่อง พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีดีเอ็นเอ
เอกสารประกอบการสอน เรื่อง พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีดีเอ็นเอเอกสารประกอบการสอน เรื่อง พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีดีเอ็นเอ
เอกสารประกอบการสอน เรื่อง พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีดีเอ็นเอBiobiome
 
13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
Wichai Likitponrak
 
เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)
เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)
เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)Thanyamon Chat.
 
การสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอก
การสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอกการสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอก
การสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอก
Thanyamon Chat.
 
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ 2 ชั้น ม.1 ชุดที่ 1
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ 2 ชั้น ม.1 ชุดที่ 1แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ 2 ชั้น ม.1 ชุดที่ 1
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ 2 ชั้น ม.1 ชุดที่ 1
dnavaroj
 
บทที่ 5 เอกภพ
บทที่ 5  เอกภพบทที่ 5  เอกภพ
บทที่ 5 เอกภพ
Pinutchaya Nakchumroon
 
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต02
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต02ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต02
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต02
oranuch_u
 
ไอโซโทป ไอโซโทน
ไอโซโทป ไอโซโทนไอโซโทป ไอโซโทน
ไอโซโทป ไอโซโทนkrupatcharee
 
8แบบทดสอบการรักษาดุลยภาพของกรด เบสในร่างกาย
8แบบทดสอบการรักษาดุลยภาพของกรด   เบสในร่างกาย8แบบทดสอบการรักษาดุลยภาพของกรด   เบสในร่างกาย
8แบบทดสอบการรักษาดุลยภาพของกรด เบสในร่างกายสำเร็จ นางสีคุณ
 

What's hot (20)

แบบทดสอบย่อย เรื่องกล้องจุลทรรศน์
แบบทดสอบย่อย เรื่องกล้องจุลทรรศน์แบบทดสอบย่อย เรื่องกล้องจุลทรรศน์
แบบทดสอบย่อย เรื่องกล้องจุลทรรศน์
 
แบบทดสอบเซลล์
แบบทดสอบเซลล์แบบทดสอบเซลล์
แบบทดสอบเซลล์
 
ใบความรู้การย่อยอาหาร
ใบความรู้การย่อยอาหารใบความรู้การย่อยอาหาร
ใบความรู้การย่อยอาหาร
 
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
 
แบบทดสอบ บทที่ 1
แบบทดสอบ บทที่ 1แบบทดสอบ บทที่ 1
แบบทดสอบ บทที่ 1
 
ใบงานการย่อยอาหาร Version คุณครู
ใบงานการย่อยอาหาร Version คุณครูใบงานการย่อยอาหาร Version คุณครู
ใบงานการย่อยอาหาร Version คุณครู
 
บทที่ 3 เซลล์ของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 3 เซลล์ของสิ่งมีชีวิตบทที่ 3 เซลล์ของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 3 เซลล์ของสิ่งมีชีวิต
 
การลำเลียงสารผ่านเซลล์
การลำเลียงสารผ่านเซลล์การลำเลียงสารผ่านเซลล์
การลำเลียงสารผ่านเซลล์
 
การรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมน
การรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมนการรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมน
การรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมน
 
เอกสารประกอบการสอน เรื่อง พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีดีเอ็นเอ
เอกสารประกอบการสอน เรื่อง พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีดีเอ็นเอเอกสารประกอบการสอน เรื่อง พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีดีเอ็นเอ
เอกสารประกอบการสอน เรื่อง พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีดีเอ็นเอ
 
5แบบทดสอบส่วนประกอบของเซลล์
5แบบทดสอบส่วนประกอบของเซลล์5แบบทดสอบส่วนประกอบของเซลล์
5แบบทดสอบส่วนประกอบของเซลล์
 
13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
 
เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)
เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)
เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)
 
การสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอก
การสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอกการสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอก
การสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอก
 
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ 2 ชั้น ม.1 ชุดที่ 1
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ 2 ชั้น ม.1 ชุดที่ 1แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ 2 ชั้น ม.1 ชุดที่ 1
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ 2 ชั้น ม.1 ชุดที่ 1
 
บทที่ 5 เอกภพ
บทที่ 5  เอกภพบทที่ 5  เอกภพ
บทที่ 5 เอกภพ
 
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต02
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต02ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต02
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต02
 
สรุปเซลล์
สรุปเซลล์สรุปเซลล์
สรุปเซลล์
 
ไอโซโทป ไอโซโทน
ไอโซโทป ไอโซโทนไอโซโทป ไอโซโทน
ไอโซโทป ไอโซโทน
 
8แบบทดสอบการรักษาดุลยภาพของกรด เบสในร่างกาย
8แบบทดสอบการรักษาดุลยภาพของกรด   เบสในร่างกาย8แบบทดสอบการรักษาดุลยภาพของกรด   เบสในร่างกาย
8แบบทดสอบการรักษาดุลยภาพของกรด เบสในร่างกาย
 

Viewers also liked

การรักษาดุลยภาพในร่างกาย
การรักษาดุลยภาพในร่างกายการรักษาดุลยภาพในร่างกาย
การรักษาดุลยภาพในร่างกาย
Nan Nam
 
ระบบต่อมไร้ท่อ (ฮอร์โมน) - Hormone system
ระบบต่อมไร้ท่อ (ฮอร์โมน) - Hormone systemระบบต่อมไร้ท่อ (ฮอร์โมน) - Hormone system
ระบบต่อมไร้ท่อ (ฮอร์โมน) - Hormone systemsupreechafkk
 
ระบบสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต - Reprodutive system
ระบบสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต - Reprodutive systemระบบสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต - Reprodutive system
ระบบสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต - Reprodutive systemsupreechafkk
 
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement system
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement systemการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement system
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement systemsupreechafkk
 
พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต - Behaviore
พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต - Behavioreพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต - Behaviore
พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต - Behavioresupreechafkk
 
ระบบประสาท - Nervous system
ระบบประสาท - Nervous systemระบบประสาท - Nervous system
ระบบประสาท - Nervous systemsupreechafkk
 
หน่วยของสิ่งมีชีวิต
หน่วยของสิ่งมีชีวิตหน่วยของสิ่งมีชีวิต
หน่วยของสิ่งมีชีวิตsupreechafkk
 
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตsupreechafkk
 
ระบบหายใจ (Respiration)
ระบบหายใจ (Respiration)ระบบหายใจ (Respiration)
ระบบหายใจ (Respiration)joongka3332
 
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
kasidid20309
 
เรื่อง การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต
เรื่อง การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิตเรื่อง การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต
เรื่อง การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิตcivicton
 
พันธุกรรม
พันธุกรรมพันธุกรรม
พันธุกรรมsupreechafkk
 
บทที่ 1 ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 1 ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตบทที่ 1 ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 1 ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตฟลุ๊ค ลำพูน
 
การสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน - Energy of cell
การสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน - Energy of cellการสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน - Energy of cell
การสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน - Energy of cellsupreechafkk
 
ระบบย่อยอาหาร - Digestive system
ระบบย่อยอาหาร - Digestive systemระบบย่อยอาหาร - Digestive system
ระบบย่อยอาหาร - Digestive systemsupreechafkk
 
เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตเคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตsupreechafkk
 
เราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไร
เราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไรเราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไร
เราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไรsupreechafkk
 
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้องบทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้องKittichai Pinlert
 
รูปแบบการเขียนรายงานโครงงาน 5 บท
รูปแบบการเขียนรายงานโครงงาน 5 บทรูปแบบการเขียนรายงานโครงงาน 5 บท
รูปแบบการเขียนรายงานโครงงาน 5 บทAekapoj Poosathan
 

Viewers also liked (19)

การรักษาดุลยภาพในร่างกาย
การรักษาดุลยภาพในร่างกายการรักษาดุลยภาพในร่างกาย
การรักษาดุลยภาพในร่างกาย
 
ระบบต่อมไร้ท่อ (ฮอร์โมน) - Hormone system
ระบบต่อมไร้ท่อ (ฮอร์โมน) - Hormone systemระบบต่อมไร้ท่อ (ฮอร์โมน) - Hormone system
ระบบต่อมไร้ท่อ (ฮอร์โมน) - Hormone system
 
ระบบสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต - Reprodutive system
ระบบสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต - Reprodutive systemระบบสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต - Reprodutive system
ระบบสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต - Reprodutive system
 
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement system
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement systemการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement system
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต - Movement system
 
พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต - Behaviore
พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต - Behavioreพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต - Behaviore
พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต - Behaviore
 
ระบบประสาท - Nervous system
ระบบประสาท - Nervous systemระบบประสาท - Nervous system
ระบบประสาท - Nervous system
 
หน่วยของสิ่งมีชีวิต
หน่วยของสิ่งมีชีวิตหน่วยของสิ่งมีชีวิต
หน่วยของสิ่งมีชีวิต
 
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
 
ระบบหายใจ (Respiration)
ระบบหายใจ (Respiration)ระบบหายใจ (Respiration)
ระบบหายใจ (Respiration)
 
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
 
เรื่อง การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต
เรื่อง การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิตเรื่อง การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต
เรื่อง การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต
 
พันธุกรรม
พันธุกรรมพันธุกรรม
พันธุกรรม
 
บทที่ 1 ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 1 ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตบทที่ 1 ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 1 ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
 
การสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน - Energy of cell
การสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน - Energy of cellการสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน - Energy of cell
การสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน - Energy of cell
 
ระบบย่อยอาหาร - Digestive system
ระบบย่อยอาหาร - Digestive systemระบบย่อยอาหาร - Digestive system
ระบบย่อยอาหาร - Digestive system
 
เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตเคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
 
เราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไร
เราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไรเราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไร
เราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไร
 
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้องบทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
 
รูปแบบการเขียนรายงานโครงงาน 5 บท
รูปแบบการเขียนรายงานโครงงาน 5 บทรูปแบบการเขียนรายงานโครงงาน 5 บท
รูปแบบการเขียนรายงานโครงงาน 5 บท
 

Similar to การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต - Homeostasis

บทที่ 1 การรักษาดุลยภาพในร่างกาย
บทที่ 1 การรักษาดุลยภาพในร่างกายบทที่ 1 การรักษาดุลยภาพในร่างกาย
บทที่ 1 การรักษาดุลยภาพในร่างกาย
Ta Lattapol
 
Lesson 1 homeostasis
Lesson 1 homeostasisLesson 1 homeostasis
Lesson 1 homeostasis
Namthip Theangtrong
 
ติวสอบเตรียมระบบหายใจและขับถ่าย
ติวสอบเตรียมระบบหายใจและขับถ่ายติวสอบเตรียมระบบหายใจและขับถ่าย
ติวสอบเตรียมระบบหายใจและขับถ่าย
Wichai Likitponrak
 
Animalia
AnimaliaAnimalia
ชีววิทยาเรื่องระบบขับถ่าย Excretion
ชีววิทยาเรื่องระบบขับถ่าย Excretionชีววิทยาเรื่องระบบขับถ่าย Excretion
ชีววิทยาเรื่องระบบขับถ่าย Excretion
kasidid20309
 
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์feeonameray
 
อาณาจักรสัตว์และพืช
อาณาจักรสัตว์และพืชอาณาจักรสัตว์และพืช
อาณาจักรสัตว์และพืช
Pandora Fern
 
การดำรงชีพ
การดำรงชีพการดำรงชีพ
การดำรงชีพ
พัน พัน
 
ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่ายระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่ายWan Ngamwongwan
 
ระบบหายใจ
ระบบหายใจระบบหายใจ
ระบบหายใจWan Ngamwongwan
 
ระบบหายใจ1
ระบบหายใจ1ระบบหายใจ1
ระบบหายใจ1Wan Ngamwongwan
 
อาณาจักรสัตว์
อาณาจักรสัตว์อาณาจักรสัตว์
อาณาจักรสัตว์tarcharee1980
 

Similar to การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต - Homeostasis (20)

บทที่ 1 การรักษาดุลยภาพในร่างกาย
บทที่ 1 การรักษาดุลยภาพในร่างกายบทที่ 1 การรักษาดุลยภาพในร่างกาย
บทที่ 1 การรักษาดุลยภาพในร่างกาย
 
รักษาดุลม.5
รักษาดุลม.5รักษาดุลม.5
รักษาดุลม.5
 
Lesson 1 homeostasis
Lesson 1 homeostasisLesson 1 homeostasis
Lesson 1 homeostasis
 
ติวสอบเตรียมระบบหายใจและขับถ่าย
ติวสอบเตรียมระบบหายใจและขับถ่ายติวสอบเตรียมระบบหายใจและขับถ่าย
ติวสอบเตรียมระบบหายใจและขับถ่าย
 
Animalia
AnimaliaAnimalia
Animalia
 
ชีววิทยาเรื่องระบบขับถ่าย Excretion
ชีววิทยาเรื่องระบบขับถ่าย Excretionชีววิทยาเรื่องระบบขับถ่าย Excretion
ชีววิทยาเรื่องระบบขับถ่าย Excretion
 
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์
 
Body system
Body systemBody system
Body system
 
Animal55
Animal55Animal55
Animal55
 
สรุปวิทยาศาสตร์พื้นฐาน
สรุปวิทยาศาสตร์พื้นฐานสรุปวิทยาศาสตร์พื้นฐาน
สรุปวิทยาศาสตร์พื้นฐาน
 
สรุปวิทยาศาสตร์พื้นฐาน
สรุปวิทยาศาสตร์พื้นฐานสรุปวิทยาศาสตร์พื้นฐาน
สรุปวิทยาศาสตร์พื้นฐาน
 
อาณาจักรสัตว์และพืช
อาณาจักรสัตว์และพืชอาณาจักรสัตว์และพืช
อาณาจักรสัตว์และพืช
 
การดำรงชีพ
การดำรงชีพการดำรงชีพ
การดำรงชีพ
 
การรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนองการรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนอง
 
เซลล์
เซลล์เซลล์
เซลล์
 
ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่ายระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย
 
ระบบหายใจ
ระบบหายใจระบบหายใจ
ระบบหายใจ
 
ระบบหายใจ1
ระบบหายใจ1ระบบหายใจ1
ระบบหายใจ1
 
อาณาจักรสัตว์
อาณาจักรสัตว์อาณาจักรสัตว์
อาณาจักรสัตว์
 
1
11
1
 

Recently uploaded

แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdfแนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
Faculty of BuddhismMahachulalongkornrajavidyalaya Roi Et Buddhist College
 
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
สุเมธี​​​​ ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
 
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนาภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
Faculty of BuddhismMahachulalongkornrajavidyalaya Roi Et Buddhist College
 
4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
สุเมธี​​​​ ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
 
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
สุเมธี​​​​ ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
 
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
สุเมธี​​​​ ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
 
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdfงานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
Faculty of BuddhismMahachulalongkornrajavidyalaya Roi Et Buddhist College
 
ภาษาอังกฤษเพื่อการฝึกสมาธิในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการฝึกสมาธิในพระพุทธศาสนาภาษาอังกฤษเพื่อการฝึกสมาธิในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการฝึกสมาธิในพระพุทธศาสนา
Faculty of BuddhismMahachulalongkornrajavidyalaya Roi Et Buddhist College
 
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
Prachyanun Nilsook
 
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
สุเมธี​​​​ ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
 

Recently uploaded (10)

แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdfแนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
แนวความเชื่อ วิธีการปฎิบัติ พระพุทธศาสนามหายาน.pdf
 
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา สัมพันธ์ไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
 
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนาภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัติกรรมฐานในพระพุทธศาสนา
 
4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
4_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลไทยเป็นมคธ ประโยค ป.ธ.4 (2505-2567).pdf
 
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
3_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค ป.ธ.3 (2500-2567).pdf
 
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา แปลมคธเป็นไทย ประโยค 1-2 (2510-2567).pdf
 
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdfงานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
งานนำเสนอ ภาษากับการสื่อสาร เพื่อการพัฒนา.pdf
 
ภาษาอังกฤษเพื่อการฝึกสมาธิในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการฝึกสมาธิในพระพุทธศาสนาภาษาอังกฤษเพื่อการฝึกสมาธิในพระพุทธศาสนา
ภาษาอังกฤษเพื่อการฝึกสมาธิในพระพุทธศาสนา
 
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย (Research Proposal)
 
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
1-2_ปัญหาและเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง วิชา บาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 (2511-2567).pdf
 

การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต - Homeostasis

  • 3. 6.1 ระบบหายใจกับการรักษาดุลยภาพของร่ างกาย 1. โครงสร้ างทีใช้ ในการแลกเปลียนแก๊ส ่ ่ ของสิ่ งมีชีวตเซลล์เดียวและของสั ตว์ ิ o สิ่ งมีชีวตเซลล์เดียว ิ o สิ่ งมีชีวตหลายเซลล์ ิ o ไส้ เดือน o แมลง o สั ตว์ นา – ปลา ้ o นก o สั ตว์ เลียงลูกด้ วยนม ้
  • 4. สิ่ งมีชีวตเซลล์ เดียว ิ o อะมีบา พารามีเซียม o เซลล์จะสั มผัสกับสิ่ งแวดล้อม ทีเ่ ป็ นนาตลอดเวลา ้ o มีการแลกเปลียนแก๊สกับสิ่ งแวดล้ อม ่ โดยการผ่ านเยือหุ้มเซลล์ ่
  • 5. สั ตว์ หลายเซลล์ ขนาดเล็ก ทีอาศัยอยู่ในนา ่ ้ o ฟองน้ า ไฮดรา และหนอนตัวแบน o เซลล์แต่ละเซลล์แลกเปลี่ยนแก๊สผ่านเยือหุมเซลล์โดยตรง ่ ้ ภาพการแลกเปลียนแก๊สของ ไฮดรา และพลานาเรีย ่
  • 6. ไส้ เดือนดิน o ยังไม่ มีโครงสร้ างที่ทาหน้ าที่ เฉพาะในการแลกเปลียนแก๊ส ่ o มีการแลกเปลียนแก๊สโดยเซลล์ ่ ทีอยู่บริเวณผิวหนังของลาตัว ่ ที่เปี ยกชื้น ภาพการแลกเปลียนแก๊สของไส้ เดือนดิน ่
  • 7. แมลง o อวัยวะแลกเปลียนแก๊ สอยู่ ่ ภายในร่ างกาย o ประกอบด้ วยท่ อลม (trachea) ซึ่งแตกแขนงเป็ นท่ อลมฝอย (tracheole)ขนาดเล็ก แทรกตามส่ วนต่ างๆ ของร่ างกาย และไปสิ้นสุ ดทีเ่ นือเยือ ้ ่ ภาพโครงสร้ างทีใช้ แลกเปลียนแก๊สของแมลง ่ ่
  • 8. แมงมุม ไม่ มีท่อลมแทรกตามเนือเยือ ้ ่ มีโครงสร้ างทีเ่ รียกว่ า ปอดแผง (book lung)มีลกษณะ ั เป็ นท่ อลมซ้ อนเป็ นพับไปมา คล้ายแผง มีหลอดเลือดนา คาร์ บอนไดออกไซด์ มาแลกเปลียน ่ ทีแผงท่ อลมนี้ แล้วรับออกซิเจน ่
  • 9. สั ตว์ น้า ในนามีออกซิเจนเพียง ้ ร้ อยละ 0.5 สั ตว์ นามีเนือเยือของอวัยวะ ้ ้ ่ ทีมากพอสาหรับการ ่ แลกเปลียนแก๊ส ่ เหงือกปลา และกุ้ง มีลกษณะเป็ นซี่ๆ ั เรียงกันเป็ นแผง ภาพลักษณะเหงือกปลา
  • 10. นก นกมีถุงลม 9 ถุง เชื่อมต่ อกับปอด เพือสารองอากาศ ่ ไว้ ใช้ ขณะบิน โครงสร้ างทีใช้ แลกเปลียนแก๊สของนก ่ ่
  • 11. สั ตว์ เลืยงลูกด้ วยนม ้ ่ มีปอดเป็ นโครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สอยูภายในร่ างกาย
  • 15. การแลกเปลียนแก๊ ส ่ บริ เวณปอด Hb+O2 HbO2 บริ เวณเนื้อเยือ ่
  • 16. ความหนาแน่ นของ O2 และ CO2 แผนภาพความหนาแน่ นของแก๊ สในบรรยากาศและในส่ วนต่ างๆ ของร่ างกาย
  • 17. การควบคุมการหายใจ กลไกควบคุมการหายใจจะเกี่ยวข้องกับ ระบบประสาทโดยมีการควบคุม 2 ส่ วน คือ 1. การควบคุมแบบอัตโนมัติ ไม่สามารถบังคับได้ สมองส่ วนพอนส์ และเมดัลลาเป็ นตัวสร้าง และส่ งสัญญาณประสาทไปกระตุนกล้ามเนื้อ ้ ที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ 2. การควบคุมภายใต้อานาจจิตใจ สามารถบังคับได้ ใช้สมองส่ วนหน้าที่เรี ยกว่า ซี รีบรัลคอร์เทกซ์ ไฮโพทาลามัส และสมองส่ วนหลังที่เรี ยกว่าซี รีเบลลัม ใช้ควบคุมการหายใจให้เหมาะสมกับพฤติกรรมต่างๆ ของร่ างกาย
  • 18. ความผิดปกติทเี่ กียวข้ องกับปอด ่ และโรคของระบบทางเดินหายใจ  โรคปอดบวม  โรคถุงลมโป่ งพอง
  • 20. การวัดอัตราการหายใจ r2d หน่วยปริ มาตร อัตราการใช้ ออกซิเจน = Wt หน่วยน้ าหนัก-เวลา r = รัศมีของรู หลอดแก้ว w = น้ าหนักของสัตว์ทดลอง d = ระยะทางเฉลี่ยที่หยดสี เคลื่อนที่ไปได้ในเวลา t = เวลา
  • 21. 6.2 ระบบขับถ่ ายกับการรักษาดุลยภาพของร่ างกาย ของเสี ยที่เกิดจากเมแทบอลิซึมที่สาคัญ ได้แก่ คาร์ บอนไดออกไซด์ และสารประกอบไนโตรเจน การขับถ่ายของสิ่ งมีชีวตเซลล์เดียว ิ การขับถ่ายของสัตว์ การขับถ่ายของคน
  • 22. การขับถ่ ายของสิ่ งมีชีวตเซลล์ เดียว ิ ่  ของเสี ยที่เกิดจากเมแทบอลิซึมจะแพร่ ผาน เยือหุมเซลล์ออกสู่ส่ิ งแวดล้อม ่ ้  พารามีเซียมและอะมีบาจะมีออร์แกเนลล์ เรี ยกว่า คอนแทร็ กไทล์แวคิวโอล ช่วยรักษาสมดุลของน้ าและแร่ ธาตุในเซลล์
  • 23. การขับถ่ ายของสั ตว์ ฟองนาและไฮดรา • ของเสี ยพวกแอมโมเนียถูกขับออกโดย ้ การแพร่ สู่ สภาพแวดล้อม หนอนตัวแบน • พลานาเรี ย มีเฟลมเซลล์ (flame cell) ช่วยกาจัดของเสี ย • ขับแอมโมเนียออกทางท่อขับถ่าย และทางผิวหนังได้ ภาพระบบขับถ่ ายของพลานาเรีย
  • 24. การขับถ่ ายของไส้ เดือนดิน • มีอวัยวะขับถ่ายของเสี ย เรี ยกว่า เนฟริ เดียม (nephridium) ปล้องละ 1 คู่ มีปลายเปิ ดสองข้าง • ปลายของเนฟริ เดียมข้างหนึ่งอยูในช่องของลาตัว ่ มีลกษณะเหมือนปากแตร เรี ยกว่า เนโฟรสโตม (nephrostome) ั ทาหน้าที่รับของเหลวจากช่องของลาตัว อีกข้างเป็ นช่องเปิ ดออกสู่ภายนอกผิวหนัง • เนฟริ เดียม ทาหน้าที่ขบถ่ายของเสี ยพวกแอมโมเนีย ั และยูเรี ย และดูดน้ าและแร่ ธาตุบางชนิดกลับสู่กระแสเลือด
  • 26. การขับถ่ ายของแมลง • อวัยวะขับถ่ายเรี ยกว่า “ท่อมัลพิเกียน” • ของเสี ยถูกลาเลียงเข้าสู่ ท่อมัลพิเกียนไปยังทางเดินอาหาร • ของเสี ยพวกสารประกอบไนโตรเจน จะเปลี่ยนเป็ นผลึกกรดยูเรี ย ขับออกมาพร้อมกากอาหาร
  • 27. การขับถ่ ายของสั ตว์ มีกระดูกสั นหลัง • มีไต (kidney) เป็ นอวัยวะขับถ่าย • ไต ทาหน้าที่กาจัดของเสี ยและรักษาสมดุลของน้ าและแร่ ธาตุ โดยทางานร่ วมกับระบบหมุนเวียนเลือด • นกและสัตว์เลื้อยคลานขับของเสี ยในรู ป กรดยูริก • อุจจาระของจิ้งจกมีสีขาวและสี ดา สี ดาเป็ นกากอาหาร ่ ที่ยอยไม่ได้ ส่ วนสี ขาวเป็ น กรดยูริก • สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และสัตว์สะเทินน้ าสะเทินบก ฉลาม และปลากระดูกแข็งบางชนิดขับถ่ายของเสี ยในรู ปของ ยูเรี ย
  • 28. การขับถ่ ายของคน • มีไตเป็ นอวัยวะขับถ่าย • ไตคนมี 1 คู่ ยาวประมาณ 10-13 ซม. กว้าง 6 ซม. หนา 3 ซม. ไตแต่ละข้างหนัก 150 กรัม
  • 30. การดูดกลับของสารทีท่อหน่ วยไต ่ การกรองสารและการดูดสารกลับของหน่ วยไต
  • 32. การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ • พบบ่อยในเพศหญิง • เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรี ย ซึ่ งปนเปื้ อนจากอุจจาระ ร่ วมกับการกลั้นปั สสาวะนานๆ • ผูป่วยปั สสาวะบ่อย ปวดบริ เวณหัวเหน่าขณะถ่าย ้ หากไม่รักษา เชื้อจะทาให้ไตและกรวยไตอักเสบได้
  • 33. ความผิดปกติทเี่ กียวเนื่องกับไตและโรคของไต ่ โรคนิ่ว เกิดจากการที่ตะกอนของแร่ ธาตุต่างๆ รวมตัวกันเป็ นก้อนอุดตามทางเดินปั สสาวะ หรื อเกิดจากร่ างกายกรองหรื อกาจัดแร่ ธาตุออกมามาก อาจจะเกิดจากอักเสบติดเชื้อทาให้มีการจับตัวของผลึกเป็ นก้อนนิ่วได้เร็ ว หรื อเกิดจากการบริ โภคผักใบเขียวบางชนิดที่มีสารออกซาเลตสู ง ป้ องกันได้โดยการรับประทานอาหารประเภทโปรตีน ช่วยไม่ให้สารออกซาเลตจับตัวเป็ นผลึกกลายเป็ นก้อนนิ่ว ดื่มน้ าสะอาด
  • 34. ผักพื้นบ้าน เช่นผักชีฝรั่ง มันสาปะหลัง ใบชะพลู ผักโขม ยอดพริ กขี้ฟ้า หัวไชเท้า ใบกระเจี๊ยบ ใบยอ
  • 35. โรคไตวาย ภาวะที่ไตสูญเสี ยหน้าที่การทางาน ทาให้มีการสะสมของเสี ย เกิดความผิดปกติในการรักษาสมดุลของน้ า แร่ ธาตุ และความเป็ นกรด-เบส ของสารในร่ างกาย มีสาเหตุจาก การติดเชื้อที่รุนแรง , การสูญเสี ยเลือดหรื อของเหลว จานวนมาก , หรื อเกิดจากการเป็ นโรคเบาหวานติดต่อกัน เป็ นเวลานาน หรื อมีนิ่วอุดตันทางเดินปัสสาวะเป็ นเวลานาน การรักษา - โดยการควบคุมชนิดและปริ มาณอาหาร - การใช้ยา , ฟอกเลือด , ผ่าตัดเปลี่ยนไต
  • 36. ผิวหนังกับการรักษาดุลยภาพของร่ างกาย ผิวหนังมีหน้าที่รักษาดุลยภาพให้คงที่ เช่น - ป้ องกันเชื้อโรค - รักษาอุณหภูมิให้คงที่ - รับความรู้สึก - ขับถ่ายของเสี ย โครงสร้างของผิวหนัง ดังรู ป ตาแหน่ งของต่ อมเหงือบริเวณผิวหนัง ่
  • 38. 6.3 ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบนาเหลืองกับการรักษาดุลยภาพของร่ างกาย ้ การลาเลียงสารในร่ างกาย ของสิ่ งมีชีวิตเซลล์เดียว และของสัตว์ การลาเลียงสารในร่ างกาย ของคน ระบบน้ าเหลือง
  • 39. การลาเลียงสารในร่ างกายของสิ่ งมีชีวตเซลล์ เดียวและของสั ตว์ ิ สิ่ งมีชีวตเซลล์ เดียวและหลายเซลล์ ิ • ฟองนา ไฮดรา และพลานาเรีย ้ • การลาเลียงสารเป็ นการลาเลียง ผ่านเซลล์โดยตรง ไส้ เดือนดิน • มีหลอดเลือดทอดยาวตลอดลาตัว • มีห่วงหลอดเลือดหรือหัวใจเทียม (pseudoheart) • เป็ นระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิ ด (closed circulatory system)
  • 40. แมลง (ตั๊กแตน , กุ้ง)  มีระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิ ด
  • 41. ปลา • ปลามีหวใจ 2 ห้อง ในขณะที่สตว์สะเทินน้ าสะเทินบกมี ั ั หัวใจ 3 ห้อง ส่ วนนกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะมีหวใจ 4 ั ห้อง
  • 42.
  • 43. การลาเลียงสารในร่ างกายของคน • หัวใจ • หลอดเลือด • ส่ วนประกอบของเลือด • หมู่เลือดและการให้เลือด
  • 46. คลืนไฟฟ้ าของหัวใจ ่ • ตรวจด้วยเครื่ องตรวจคลื่นไฟฟ้ า ของหัวใจ ผลของการบันทึกได้กราฟ เรี ยกว่า คลื่นไฟฟ้ าของหัวใจ (Electrocardiogram) หรื อ ECG หรื อ EKG ก. คลืนไฟฟาของหัวใจปกติ ่ ้ ข. และ ค. คลืนไฟฟาของหัวใจผิดปกติ ่ ้
  • 47. ความดันเลือด • ผู้ใหญ่ จะมีความดันเลือดประมาณ 120/80 มิลลิเมตรปรอท • ตัวเลขแรกหมายถึงค่ าความดันเลือดสู งสุ ดขณะหัวใจบีบตัว เรียกว่ า ความดันซิสโทลิก • ตัวเลขตัวหลัง หมายถึง ความดันเลือดขณะหัวใจคลายตัว เรียก ความดันไดแอสโทลิก • ความดันเลือดขึนอยู่กบปัจจัยต่ างๆ เช่ น อายุ เพศ อารมณ์ ้ ั นาหนักของร่ างกาย อาหาร สภาพภูมิอากาศ และสภาพของร่ างกาย ้
  • 48. หลอดเลือด • หลอดเลือดฝอย • หลอดเลือดอาร์ เตอรี • หลอดเลือดเวน
  • 50. การทางานของลินหลอดเลือดเวน ้ • หลอดเลือดเวนมีลน ิ้ อยู่ภายในเป็ นระยะ
  • 51. ส่ วนประกอบของเลือด ประกอบด้ วย • พลาสมา 55 % • เซลล์เม็ดเลือด 45 % ประกอบด้ วย 1. เซลล์ เม็ดเลือดแดง (erythrocyte) 2. เซลล์ เม็ดเลือดขาว (leukocyte) 3. เพลตเลต (platelet)
  • 52. เซลล์ เม็ดเลือดแดง • มีหน้าที่รับส่ งแก๊ส CO2 และ O2 • รู ปร่ างกลมแบนตรงกลางบุ๋ม ไม่มีนิวเคลียส ไม่มีไมโทคอนเดรี ย • ภายในมีฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็ นโปรตีนมีเหล็กเป็ นองค์ประกอบ • สร้างจากตับ ม้าม และไขกระดูก • มีอายุประมาณ 100-120 วัน และถูกทาลายที่ตบและม้าม ั • ชายมีเซลล์เม็ดเลือดแดง 5-5.5 ล้านเซลล์ต่อเลือด 1 ลบ.มม. หญิงมีเซลล์เม็ดเลือดแดง 4.5–5 ล้านเซลล์ต่อเลือด 1 ลบ.มม.
  • 53. เซลล์ เม็ดเลือดขาว • มีหน้ าที่ปองกันและทาลายเชื้อโรค ้ หรือสิ่ งแปลกปลอม • มีปริมาณ 5,000-10,000 เซลล์ ต่ อ 1 ลบ.มม. • สร้ างจากไขกระดูกบางชนิด เจริญในต่ อมไทมัส • มีอายุ 2-3 วัน • แบ่ งออกเป็ น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทีมแกรนูลและกลุ่มทีไม่ มแกรนูล ่ ี ่ ี
  • 54. กลุ่มทีมีแกรนูล ่ • เรียกว่ า แกรนูโลไซต์ (granulocytes) • มีนิวเคลียสขนาดใหญ่ คอดเป็ นพู สร้ างจากไขกระดูก • มีไซโทพลาสซึมค่ อนข้ างมาก • มีแกรนูลกระจายอยู่ทวไปในไซโทพลาซึม ่ั • มีลกษณะต่ างกัน 3 ชนิด คือ ั 1. อีโอซิโนฟิ ล มีแกรนูลสี ส้มแดง 2. เบโซฟิ ล มีแกรนูลสี นาเงิน ้ 3. นิวโทรฟิ ล มีแกรนูลสี ม่วงชมพู มีหน้ าที่ทาลายเชื้อโรคโดยวิธีฟาโกไซโทซิส
  • 55. กลุ่มทีไม่ มแกรนูล ่ ี • เรียกว่ า อะแกรนูโลไซต์ (agranulocytes) • มีนิวเคลียสขนาดใหญ่ • มี 2 ชนิด คือ โมโนไซต์ (monocyte) และลิมโฟไซต์ (lymphocyte) • โมโนไซต์ - เจริญเป็ นแมโครฟาจ (macrophage) ทาลายเชื้อโรคโดยวิธีฟาโกไซโทซิส • ลิมโฟไซต์ มี 2 ชนิด - ลิมโฟไซต์ ชนิดบี หรือ เซลล์บี (B-cell) สร้ างและเจริญในไขกระดูก - ลิมโฟไซต์ ชนิดที หรือเซลล์ที (T-cell) สร้ างจากไขกระดูกแล้ วไปเจริญทีต่อมไทมัส ่
  • 56. • เป็ นสิ่ งสาคัญในกระบวนการแข็งตัวของเลือด เพลตเลต • บางทีเรียกว่ า เศษเม็ดเลือด , เกล็ดเลือด , หรือแผ่นเลือด • ไม่ ใช่ เซลล์ แต่ เป็ นชิ้นส่ วนของไซโทพลาซึมของเซลล์ ชนิดหนึ่งในไขกระดูก • มีอายุประมาณ 10 วัน • กระบวนการแข็งตัวของเลือดสรุ ปได้ ดงภาพต่ อไปนี้ ั
  • 57. พลาสมา หน้ าที่ • มีหน้ าทีลาเลียงสารอาหารทีย่อยแล้ว แร่ ธาตุ ฮอร์ โมน ่ ่ แอนติบอดีไปให้ เซลล์ • ช่ วยรักษาสมดุลความเป็ นกรด – เบส สมดุลของนา ้ และรักษาระดับอุณหภูมิของร่ างกาย ลักษณะ • เป็ นของเหลวใสมีสีเหลืองอ่อน • ประกอบด้ วยนา 90 – 93 % โปรตีนทีสาคัญ ้ ่ คือไฟบริโนเจน , อัลบูมิน และโกลบูลนิ • ประกอบด้ วยแร่ ธาตุ สารอาหาร เอนไซม์ ฮอร์ โมน และสารทีร่างกายต้ องกาจัดออก ได้ แก่ ยูเรีย CO2 ่
  • 58. หมู่เลือดและการให้ เลือด • จาแนกตามระบบ ABO ได้ 4 หมู่ คือ A ,B , AB และ O ( ตามชนิดของไกลโคโปรตีน หรือแอนติเจนทีเ่ ยือหุ้มเซลล์เม็ดเลือดแดง ) ่
  • 59. การกระจายหมู่เลือดของคนไทย • แบ่งตามระบบ ABO ได้ดงนี้ ั หมู่เลือด ร้อยละ A 22 B 33 AB 8 O 37 ที่มา : สภากาชาดไทย พ.ศ. 2546
  • 60. การให้ เลือด • หลักการ คือ “เลือดของผูให้ตอง ้ ้ ไม่มีแอนติเจนตรง กับแอนติบอดีของ ผูรับ” ้
  • 61. ระบบเลือด Rh • คนไทยส่ วนใหญ่มีแอนติเจน Rh อยูที่เยือหุ มเซลล์เม็ดเลือดแดง เรี ยกว่า มีหมู่เลือด Rh+ ่ ่ ้ • ส่ วนน้อยร้อยละ 0.3 ไม่มีแอนติเจน Rh ที่เยือหุ มเม็ดเลือดแดง เรี ยกว่ามี หมู่เลือด Rh- ่ ้ • คนที่มีหมู่เลือด Rh- เมื่อได้รับเลือดหมู่ Rh+ แอนติเจนของหมู่เลือด Rh+ จะกระตุนให้คนที่มีหมู่เลือด Rh- ้ สร้างแอนติบอดีต่อแอนติเจน Rh
  • 63. หลอดน้ าเหลืองและอวัยวะน้ าเหลือง ระบบน้าเหลือง • โครงสร้ างของระบบ นาเหลืองประกอบด้ วย ้ นาเหลือง (lymph)หลอด ้ นาเหลือง (lymph vessel) ้ ซึ่งบางตอนโป่ งออกเป็ นต่ อม นาเหลือง ้ (lymph node)
  • 64. นาเหลือง ้ • เป็ นของเหลวทีอยู่ในหลอด ่ นาเหลืองได้ มาจากของเหลวที่ ้ อยู่ระหว่ างเซลล์ • มีส่วนประกอบกล้ าย พลาสมาแต่ มีโปรตีนน้ อยกว่ า • ส่ วนประกอบของนาเหลือง ้ มีความแตกต่ างกัน ขึนอยู่กบแหล่ งทีมา ้ ั ่
  • 65. หลอดนาเหลือง ้ • การลาเลียงน้ าเหลืองในหลอดน้ าเหลืองจะมีทิศทางการไหลเข้าสู่หวใจ ั และเข้าสู่ระบบหมุนเวียนเลือดโดยเปิ ดเข้าสู่หลอดเลือดเวนใกล้หวใจ ั
  • 66. ทอนซิล (tonsil) • เป็ นต่ อมนาเหลืองบริเวณคอ ้ • มีลมโฟไซต์ ดกจับและทาลายจุลลินทรีย์ ิ ั ไม่ ให้ เข้ าสู่ หลอดอาหารและกล่ องเสี ยง • ถ้ าทอนซิลติดเชื้อจะมีอาการอักเสบ บวมขึน ้ • ต่ อมนาเหลืองบริเวณอืนๆ จะทาหน้ าทีคล้ ายทอนซิล ้ ่ ่ เพือกรองแบคทีเรียและสิ่ งแปลกปลอมไม่ ให้ เข้ าสู่ กระแสเลือด ่
  • 67. ต่ อมไทมัส (thymus gland) • เป็ นต่ อมไร้ ท่อมีตาแหน่ งอยู่ตรงทรวงอกด้ านหน้ าหลอดเลือดใหญ่ ของหัวใจ • พัฒนาลิมโฟไซต์ ชนิดเซลล์ที ม้ าม ( Spleen ) • อยู่บริเวณใต้ กะบังลมด้ านซ้ ายติดกับด้ านหลังของกระเพาะอาหาร • ระยะเอ็มบริโอ ม้ ามผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง • หลังคลอดม้ ามเป็ นทีอยู่ของลิมโฟไซต์ ่ • สร้ างแอนติบอดีสู่ กระแสเลือด • ทาลายเซลล์เม็ดเลือดแดงและเพลตเลตทีหมดอายุแล้ว ่
  • 68. กลไกการสร้ างภูมคุ้มกัน ิ แบ่ งได้ 2 แบบ • แบบไม่ จำเพำะ (nonspecific defense) • แบบจำเพำะ (specific defense)
  • 69. กลไกการต่ อต้ านหรือทาลายสิ่ งแวดล้ อมแบบไม่ จาเพาะ • ผิวหนังมีเคอราตินป้ องกันการเข้าออกของสิ่ งต่างๆ ได้ • ผิวหนังมีต่อมเหงื่อ ,ต่อมไขมัน หลังสารบางชนิด ่ เช่น กรดไขมัน กรดแลกติก ป้ องกันการเติบโตของจุลินทรี ยบางชนิด ์ • ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ท่อปัสสาวะ ช่องคลอด มีการสร้างเมือกและมีซิเลียดักจับสิ่ งแปลกปลอม • น้ าตา น้ าลาย มีไลโซไซม์ทาลายเชื้อโรคบางชนิดได้
  • 70. กลไกการต่ อต้ านหรือทาลายสิ่ งแปลกปลอมแบบจาเพาะ การทางานของเซลล์ บี การทางานของเซลล์ ที
  • 72. การสร้ างภูมิคุ้มกัน แบ่งเป็ น 2 แบบ คือ 1. ภูมิคุมกันก่อเอง (active immunization) ้ เป็ นการกระตุนให้ร่างกายสร้างภูมิคุมกันโดยการนาสาร ้ ้ ที่เป็ นแอนติเจน (วัคซีน) ซึ่งอาจเป็ นเชื้อโรคที่อ่อนกาลังแล้ว มาฉี ด / กิน / ทาที่ผวหนัง เพื่อกระตุนให้ร่างกายสร้างภูมิคุมกัน ิ ้ ้ 2. ภูมิคุมกันรับมา (passive immunization) ้ เป็ นวิธีให้แอนติบอดีแก่ร่างกายโดยตรงเพื่อให้มีภูมิคุมกันขึ้นทันที ้ เช่น ซีรัมสาหรับคอตีบ ซี รัมแก้พิษงู ซี รัมแก้พิษสุ นขบ้า ั
  • 73. การสร้ างภูมคุ้มกัน ิ ภูมิค้ ุมกันก่ อเอง ภูมิคุ้มกันรับมา
  • 74. ความผิดปกติของระบบภูมคุ้มกันโรค ิ โรคภูมแพ้ ( allergy ) ิ โรคเอสแอลอี (Systemic Lupus Erythematiosus : SLE ) โรคเอดส์ (AIDS)
  • 75. โรคภูมแพ้ ิ ร่ างกายมีปฏิกริยาต่ อแอนติเจนบางชนิดอย่ างรุนแรง ิ และก่ อให้ เกิดอันตรายต่ อร่ างกาย เช่ น - แพ้สารเคมีในบ้ าน - แพ้ฝุ่นละออง - แพ้เกสรดอกไม้ , อาหารทะเล โรคภูมิแพ้สารบางชนิดเกียวข้ องทางพันธุกรรมด้ วย ่
  • 76. การสร้ างภูมคุ้มกันต่ อเนือเยือตนเอง ิ ้ ่ เช่น โรคเอสแอลอี เป็ นความผิดปกติที่ร่างกายสร้างภูมิคุมกันขึ้นมา ้ ต่อต้านเซลล์ของตนเอง เกิดจากกลไกการควบคุมเสี ยไป ทาให้ร่างกาย สร้างแอนติบอดีมาต่อต้านแอนติเจนของตนเอง
  • 77. โรคเอดส์ จานวนผู้ป่วยเอดส์ ระหว่ างปี 2535-2544 จานวนเซลล์ทของผู้ป่วยทีได้ รับเชื้อ HIV ี่ ่
  • 78. โรคเอดส์ เป็ นโรคทีมีอาการของภูมิคุ้มกันบกพร่ อง ่ เกิดจากเชื้อไวรัส HIV  HIV เข้ าไปทาลายเซลล์ ที ส่ งผลให้ ระบบภูมิคุ้มกันของร่ างกายเสื่ อม หรือบกพร่ อง ร่ างกายจึงอ่ อนแอ และติดเชื้อโรคต่ างๆ  HIV พบในสารคัดหลังต่ างๆ ของร่ างกาย ่ เช่ น เลือด อสุ จิ นานม นาตา ้ ้ และนาลาย เป็ นต้ น ้
  • 79. ลักษณะพิเศษของ HIV 1. เชื้อ HIV จะทาลายเซลล์ เม็ดเลือดขาวชนิดเซลล์ ทผ้ ูช่วย ี 2. HIV เพิมจานวนและมีการกลายพันธุ์ได้ ง่าย ่ 3. HIV เจริ ญและเพิมจานวนอยู่ในเซลล์ เม็ดเลือดขาว ่ เซลล์ ทผ้ ูช่วย ใช้ องค์ ประกอบต่ างๆ ในเซลล์ เม็ดเลือดขาว ี ในการเพิมปริมาณชื้อ HIV ่ 4. HIV มีสารพันธุกรรม เป็ น RNA เมือเข้ าสู่ เซลล์ จะสร้ างสารพันธุกรรมในรู ป ่ DNA ของเซลล์