SlideShare a Scribd company logo
ระบบในร่างกาย
ในร่างกายถ้าเปรียบระบบอวัยวะกับการทำางานของระบบ
โรงงานสามารถเปรียบได้ดังนี้เช่น
       ผิวหนัง, ขน, เล็บ              เปรียบเหมือน
 กำาแพง ด่านตรวจ
       สมอง                    เปรียบเหมือน
คอมพิวเตอร์
       ตา                เปรียบเหมือน                กล้อง
V.D.O. วงจรปิด รปภ.              ลิ้น
เปรียบเหมือน            ผู้ตรวจสอบคุณภาพ
       หัวใจ             เปรียบเหมือน          เครื่องปั้
มนำ้า
       ปอด                     เปรียบเหมือน           แอร์
( ก๊าช )
       ไต ตับ                  เปรียบเหมือน
เครื่องกำาจัดของเสีย ถังขยะ
       กระเพาะอาหาร,ลำาไส้       เปรียบเหมือน
ห้องครัว
   เซลล์ที่เป็นองค์ประกอบของร่างกาย
    1. เซลล์ร่างกาย (body cell) ลักษณะแบน
    บาง มีนิวเคลียสอยู่ตรงกลางพบตามร่างกาย

    2. เซลล์เยื่อบุ (epidermis) ลักษณะแบน
    บาง มีนิวเคลียสตรงกลางนูนเหมือนไข่ดาว พบ
    ตามเยื่อบุที่ มีผนังบางมีเมือก (mucus) หล่อ
    เลี้ยง เช่น ริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม ดวงตา อวัยวะ
    เพศภายใน
    3. เซลล์กล้ามเนื้อ (muscle cell) มี 3 ชนิด

       ก. เซลล์กล้ามเนื้อลาย (reticular
4. เซลล์เม็ดเลือดแดง (Red Blood Cell ;
  RBC)
  5. เซลล์เม็ดเลือดขาว (White Blood
  Cell ; WBC)
  6. เซลล์ประสาท
  7. เซลล์กระดูก
  8. เซลล์สมอง
  9. เซลล์สืบพันธุ์

   ระบบต่างๆในร่างกายทำางานประสานงานกัน
    อย่างมีระบบ ถ้าระบบใดระบบหนึ่งผิดปรกติ
1. ระบบย่อยอาหาร
         (Digestion)
        ระบบย่อยอาหารทำาหน้าที่เปลี่ยน
อาหารทีมีโมเลกุลขนาดใหญ่ให้เป็นสาร
          ่
อาหารทีมีโมเลกุลขนาดเล็กซึ่งร่างกายนำา
            ่
ไปใช้ประโยชน์ในการสร้างพลังงาน สร้าง
ความเจริญ ขั้นตอนต่างๆ ทีจะเปลี่ยนจาก
                         ่
อาหารให้เป็นสารอาหารก่อนที่จะถูกดูดซึม
เข้าสู่กระแสเลือดบริเวณผนังของลำาไส้เล็ก

       การย่อยอาหารประกอบด้วย อวัยวะที่
เกี่ยวข้อง นำ้าย่อย และ ตัวเร่งปฏิกิริยา
1. ปากและฟัน (mouth and teeth) เป็น
อวัยวะแรกของระบบย่อยอาหาร ภายใน
ประกอบด้วย ฟัน ทำาหน้าที่บดเคี้ยวอาหารให้
ละเอียด ลิ้น ทำาหน้าที่ส่งอาหารให้ฟันบดเคี้ยว
และคลุกเคล้าอาหารให้อ่อนตัว ง่ายต่อการบด
เคี้ยวของฟัน ต่อมนำ้าลาย ทำาหน้าที่ขับนำ้าลาย
ออกมาคลุกเคล้า กับอาหาร ในนำ้าลายมีเอน
ไซม์อะไมเลส ซึ่งสามารถย่อยแป้งให้เป็น
นำ้าตาล ดังนั้นเมื่อเราอมข้าวเปล่าไว้นาน ๆ จึง
รู้สึกหวานนิด ๆ
2. คอหอย (pharynx) เป็นท่ออยู่ระหว่างด้าน
หลังของช่องปากและหลอดลม บริเวณนี้เป็น
จุดเชื่อมระหว่างหลอดลมกับหลอดอาหารโดย
3. หลอดอาหาร (oesophagus) อยู่ต่อจาก
คอหอยอยู่ด้านหลังหลอดลม (trachea) ส่วน
บนเป็นกล้ามเนื้อลายมีหูรูด ช่วยปิดเปิด
หลอดอาหารระหว่างกลืนอาหารส่วนท้ายเป็น
กล้ามเนื้อ เรียบ ช่วยบีบส่งอาหารเป็นระยะ
เรียกว่า เพอรีสตัลซีส (peristalsis) ช่วยให้
อาหารเคลื่อนที่ ได้สะดวก
4. กระเพาะอาหาร (stomach) อยู่บริเวณ
ด้านซ้ายของช่องท้องกว้างประมาณ 5 นิ้ว
ยาว 10 นิ้ว แบ่งออกเป็น 3 ส่วน

***หมายเหตุ กระเพาะอาหารมีปริมาณ 50
cc แต่เมือได้รับอาหารจะยาวถึง 2000 cc
         ่
5. ลำาไส้เล็ก (Small Intestine) ยาวประมาณ
10 m แบ่งออกเป็น 3 ตอน
6. ลำาไส้ใหญ่ (Large Intestine) ยาว
ประมาณ 1.5 เมตร เริ่มตั้งแต่ส่วนของอิเลียม
จนถึงทวารหนัก
 หน้าที่ของลำาไส้ใหญ่
1. สะสมกากอาหาร
2. ดูดซึมแร่ธาตุ นำ้า กลูโคส
3. มีจุลินทรีย์ช่วยในการย่อยกากอาหารโดย
เฉพาะเซลลูโลส ให้มีสภาพเหลวหรืออ่อนนุ่ม
อวัยวะทีเกี่ยวข้องโดยอ้อม
          ่
1. ตับ (Liver) เป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของ
ร่างกายมี 2 ซีก ซ้าย-ขวา มีสีนำ้าตาลเนื้อแน่น มี
2. ตับอ่อน (Pancreas) มีลักษณะคล้าย
ใบไม้ยาวประมาณ 20-25 ซม. สีแดงหรือสี
เทา ทำาหน้าที่เป็นต่อมมี ท่อและต่อมไร้ท่อ
ผลิตของเหลวได้ประมาณ 2 ลิตร ซึ่ง
ประกอบด้วย
    ก. นำ้าย่อย ซึ่งทำาหน้าที่ย่อยโปรตีน คาร์
โบไฮเดรท และไขมัน
    ข. โซเดียมไบคาร์บอเนต มีคุณสมบัติ
เป็นเบส (ด่าง) เพื่อปรับสภาพอาหารที่มา
จากกระเพาะ อาหารซึ่งมีสภาพเป็นกรด ให้มี
สภาพเป็นกลางหรือเป็นเบสอ่อน ๆ เพื่อจะไม่
ทำาลายเยื่อบุของลำาไส้เล็ก (Villi)
วิธีที่จะไม่ทำาให้กระเพาะอาหารถูกทำาลาย
-   กินอาหารให้ตรงเวลา
-     ไม่รับประทานอาหารรสจัด เช่น เปรี้ยวจัด
    เค็มจัด เผ็ดจัด
-   ไม่กินยาแก้ปวดขณะท้องว่าง
-   ไม่ดื่มอาหารทีมีแอลกอฮอล์
                    ่
-   ลดความเครียด (Stress)
-      พักผ่อนให้เพียงพอ
-   ไม่รับประทานอาหารที่หยาบหรือแข็ง
2. ระบบสืบพันธุ์
 การเจริญเติบโตของหญิงและชายช่วงอายุ 10 - 17
  ปี เพศหญิงจะมีอตราการเจริญ เติบโตมากกว่าชาย
                  ั
  หลังจากนั้นเพศชายจะเจริญเติบโตมากกว่าเพศ
  หญิง และจะหยุดการเจริญประมาณ 20 ปี สำาหรับ
  เพศหญิง และ 25 ปีสำาหรับเพศชาย อัตราการเจริญ
  เติบโต จะมากหรือน้อยขึ้นอยูกับ
                              ่
      ก. การแสดงออกจากพันธุกรรม (ยีโนไทพ์ ;
  Genotype) เป็นลักษณะที่ถายทอดมาจาก
                            ่
  บรรพบุรษ คือ มาจาก ยีน (Gene) นั่นเอง ได้แก่ สี
          ุ
  ผิว ผม ดวงตา ฯลฯ
* ยีน (Gene) คือ หน่วยที่ควบคุมการแสดงออกของ
  ลักษณะต่าง ที่อยู่บนโครโมโซม

     ข. การแสดงออกจากสิ่งแวดล้อม (ฟีโนไทพ์ ;
ระบบสืบพันธุเพศชาย
                      ์
   ประกอบด้วย
    ก. อวัยวะสืบพันธุภายนอก ได้แก่
                        ์
        1. ถุงอัณฑะ (Scrotum) ห่อหุมลูกอัณฑะให้
                                     ้
    อุณหภูมิตำ่ากว่า 37 องศาเซลเซียส           2.
    องคชาติ (Penis)
    ข. อวัยวะสืบพันธุภายใน ประกอบด้วย
                          ์
        1. อัณฑะ (Testis) ตอนเด็กจะอยู่ในช่องท้อง
    พอโตขึนจะเลื่อนลงมาอยู่ที่ถุงอัณฑะ ทำา หน้าที่
            ้
    ผลิต สเปิรม (Sperm) และฮอร์โมนเพศชาย
               ์
        2. หลอดนำาสเปิรม (Sperm) ทำาหน้าที่ลำาเลียง
                            ์
    สเปิรม ไปเก็บที่ตอมเก็บ คือต่อมเคาว์เปอร์
         ์            ่

        3. ต่อมเคาว์เปอร์ (Cowper gland) ทำาหน้าที่
    สร้าง อาหารให้กบสเปิรม ประกอบด้วยนำ้าตาลฟรุก
                     ั      ์
ระบบสื บ พั น ธุ ์ ข องเพศชาย                   อสุ จ

 http://www.besthealth.com/besthealth/bodyguide/r
ระบบสืบพันธุเพศหญิง
                        ์
   ประกอบด้วยอวัยวะสืบพันธุ์ 2 ส่วน
    ก. อวัยวะสืบพันธุ์ ภายนอก ประกอบด้วย
        1. แคมนอก (Major cam) มี 2 ข้าง ทำาหน้าที่
    ปกปิดไม่สิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ภายใน
        2. แคมใน (Minor cam) มี 2 ข้าง เป็นเนื้อเยื่อ
    บางติดกับแคมนอก
        3. คลิตอรีส (Clitoris) ทำาหน้าที่รบความรูสึกทาง
                                          ั      ้
    เพศ
        4. เยือพรหมจารี (Hymen)เป็นเยื่อบาง ๆ
              ่
    ปิดปากช่องคลอด
        5. ท่อปัสสาวะ อยู่ตรงกลางระหว่าง Clitoris กับ
    ช่องคลอด
    ข. อวัยวะสืบพันธุ์ ภายใน ประกอบด้วย
        1. รังไข่ (Ovary) ทำาหน้าที่ผลิตไข่ และฮอร์โมน
3. มดลูก (Uterus) มีลักษณะคล้ายผล
ชมพู่ กว้างประมาณ 4 ซ.ม.ยาว 6-8 ซ.ม.
หนาประมาณ 2 ซ.ม.ส่วนล่างแคบเข้าหากัน
เรียกว่า “ ปากมดลูก” ต่อกับส่วนของช่อง
คลอดมดลูกประกอบด้วยเนื้อเยื่อ หลายชั้น
คล้ายฟองนำ้าทำาหน้าที่ในการสร้างรก
รองรับการฝังตัวของไข่ทผสมแล้ว
                        ี่
(Zygote) เป็นที่ แลกเปลี่ยนก๊าซและส่ง
อาหารให้กับตัวอ่อน (Embryo)

     4. ช่องคลอด (Vagina) เป็นทางผ่านข
องสเปิร์มเข้าสู่มดลูก ลึกประมาณ 1.5- 2.0
นิ้ว
บบสื บ พั น ธุ ์ ข องเพศหญิ ง                         รั ง

   http://www.besthealth.com/besthealth/bodyguide/r
3. ระบบหมุนเวียนของเลือดและ
         นำ้าเหลือง
ระบบหมุนเวียนของเลือด
   ตัวจักรสำาคัญของระบบนี้คือ หัวใจ และหลอด
    เลือด
   หัวใจของคนเราประกอบด้วย กล้ามเนื้อมี
    ขนาดใหญ่ ทำาหน้าทีสูบฉีดเลือดไปเลี้ยง
                        ่
    ร่างกาย ทุกๆวันหัวใจจะเต้นประมาณ
    100,000 ครั้ง สูบฉีดเลือดประมาณวันละ 2,0
    00 แกลลอน
   ระบบไหลเวียนโลหิตของเราประกอบไปด้วย
    หลอดเลือดซึ่งเชื่อมติดต่อกันเป็นโครงข่าย
    ทัวร่างกาย โดยเริ่มต้นจากหัวใจห้องซ้ายล่าง
      ่
    Left Ventricle ฉีดเลือดไปยังหลอดเลือด
โครงสร้างของหัวใจ
         หัวใจของเราประกอบด้วย 4 ห้อง ห้อง
    ข้างบนเรียก atrium มีทงซ้ายและขวา ส่วน
                           ั้
    ห้องข้างล่างเรียก ventricle ซึ่งก็มีทั้งซ้าย
    และขวา ระหว่างหัวใจห้องข้างบนและล่างจะ
    มีลิ้นหัวใจกั้นอยู่
   Tricuspid valve กั้นระหว่างหัวใจห้องบน
    ขวา และล่างขวา
   Pulmonary or pulmonic valveกั้นระหว่าง
    หัวใจห้องบนขวากับหลอดเลือดดำา
   Bicuspid valve กั้นระหว่างหัวใจห้องบนและ
    ล่างซ้าย
ลิ้นพัลโมนารี
การทำางานของหัวใจ
     หัวใจจะรับเลือดดำาเข้าสู่หวใจห้องบนขวา
                               ั
Right atrium ไหลผ่านลงหัวใจห้องล่างขวา
Right ventricle ซึ่งจะฉีดเลือดไปยังปอดเพื่อ
ฟอกเลือด เลือดที่ฟอกแล้วจะไหลกลับเข้า
หัวใจที่หองซ้ายบน Left Atrium แล้วไหลลง
           ้
Left ventricle ซึ่งจะสูบเลือดไปเลี้ยงร่างกาย
ทางหลอดเลือดแดง
     ลิ้นหัวใจ (Valve) ประกอบด้วยเนื้อเยือ่
เกี่ยวพันทำาหน้าที่ ปิด-เปิด ไม่ให้เลือดไหล
ย้อนกลับ มี ลักษณะคล้ายถุง นายวิลเลียม ฮาร์
วีย์ ชาวอังกฤษ ค้นพบว่าเลือดไหลไปทางเดียว
และมีลิ้นควบคุมอยู่ 2 กลุ่ม 4 ลิ้น
     ชีพจร (Pulse) คือ การหดและคลายตัว
ของหลอดเลือดในจังหวะเดียวกับการหดและ
คลายตัวของ หัวใจ
   หน้าที่ของเลือด
    1. ลำาเลียง O2 และ CO2
    2. ลำาเลียงสารอาหารที่ลำาไส้เล็ก ไป
    สู่ เซลล์
    3. ลำาเลียงของเสียออกจากเซลล์
    ไปสู่ อวัยวะขับถ่าย
    4. ลำาเลียงภูมคุ้มกัน
                  ิ
    5. รักษาอุณหภูมของร่างกาย
                      ิ
ระบบนำ้าเหลือง
ระบบนำ้าเหลือง ( Lymphatic
    system ) ประกอบด้วย
- นำ้าเหลือง ( Lymph ) เป็นของเหลวทีซึมผ่าน
                                          ่
เส้นเลือดฝอยออกมาหล่อเลี้ยงอยู่รอบๆเซลล์
ประกอบด้วย กลูโคส อัลบูมน ฮอร์โมน
                             ิ
เอนไซม์ ก๊าซ เซลล์เม็ดเลือดขาว ( แต่ไม่มี
เซลล์เม็ดเลือดแดงและเพลตเลต )
- ท่อนำ้าเหลือง ( Lymph vessel ) มีหน้าที่
ลำาเลียงนำ้าเหลืองทั่วร่างกายเข้าสู่เส้นเวนใหญ่
ใกล้หัวใจ(Subclavian vein) ปนกับเลือดที่มี
ออกซิเจนน้อย ท่อนำ้าเหลืองมีลิ้นกั้นคล้ายเส้น
เวนและมีอัตราการไหลช้ามากประมาณ 1.5
มิลลิเมตรต่อนาที
- อวัยวะนำ้าเหลือง ( Lymphatic organ )
     1) ต่อมนำ้าเหลือง ( Lymph node )
     - พบทั่วร่างกาย ภายในมีลิมโฟไซต์อยู่
2) ม้าม ( Spleen )
        - เป็นอวัยวะนำ้าเหลืองที่มขนาดใหญ่ที่สุด
                                      ี
        - มีหน้าที่ผลิตเซลล์เม็ดเลือด ( เฉพาะในระยะเอม
    บริโอ ) ป้องกันสิ่ง       แปลกปลอมและเชื้อโรคเข้าสู่
    กระแสเลือด สร้างแอนติบอดี ทำาลายเซลล์ เม็ด
    เลือดแดงและเพลตเลตที่หมดอายุ
        3) ต่อมไทมัส ( Thymus gland )
        - เป็นเนื้อเยื่อนำ้าเหลืองที่เป็นต่อมไร้ท่อ
        - สร้างลิมโฟไซต์ชนิดเซลล์ที เพื่อต่อต้านเชือ้
    โรคและอวัยวะปลูก ถ่ายจากผู้อน         ื่

   ข้อควรจำา
    การไหลของนำ้าเหลืองในท่อเหลือง เกิดขึ้นจากการ
    หดและคลายตัวของกล้ามเนือที่อยู่รอบๆ ท่อนำ้า
                             ้
4. ระบบหายใจ
ระบบหายใจ
   ทำาหน้าทีแลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจนและ
              ่
    คาร์บอนไดออกไซด์ในระบบนี้ ประกอบด้วย
    อวัยวะสำาคัญ ได้แก่
    1. จมูก เป็นอวัยวะส่วนต้นของระบบหายใจ
    ทำาหน้าทีเป็นทางผ่านของอากาศ ช่วยกรอง
                ่
    ฝุ่น ละออง และเชื้อโรคบางส่วนก่อนอากาศ
    จะผ่านไปสู่อวัยวะอื่นต่อไป
    2. หลอดคอ (Pharynx)
        เมื่ออากาศผ่านรูจมูกแล้วก็ผ่านเข้าสู่
    หลอดคอ ซึ่งเป็นหลอดตั้งตรงยาวประมาณ
    ยาวประมาณ 5 นิ้ว หลอดคอติดต่อทั้งช่อง
    ปากและช่องจมูก จึงแบ่งเป็นหลอดคอส่วน
    จมูก กับ หลอดคอส่วนปาก โดยมีเพดานอ่อน
    เป็นตัวแยกสองส่วนนี้ออกจากกัน โครงของ
3. หลอดเสียง (Larynx)
    เป็นหลอดยาวประมาณ 4.5 cm ใน
ผู้ชาย และ 3.5 cm ในผู้หญิง หลอดเสียงเจ
ริญเติยโตขึ้นมาเรื่อยๆ ตามอายุ ในวัยเริ่ม
เป็นหนุ่มสาว หลอดเสียงเจริญขึ้นอย่าง
รวดเร็ว โดยเฉพาะในผู้ชาย เนื่องจากสาย
เสียง (Vocal cord) ซึ่งอยู่ภายในหลอด
เสียงนี้ยาวและหนาขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป
จึงทำาให้เสียงแตกพร่า การเปลี่ยนแปลงนี้
เกิดจากฮอร์โมนของเพศชาย
4. หลอดลม (Trachea)
    เป็นส่วนที่ต่ออกมาจากหลอดเสียง ยาว
ลงไปในทรวงอก ลักษณะรูปร่างของ
5. ปอด (Lung)
     เป็นอวัยวะที่สำาคัญที่สุดของระบบหายใจ มี
อยู่สองข้าง วางอยู่ในทรวงอก มีรูปร่างคล้าย
กรวย มีปลายหรือยอดชี้ขึ้นไปข้างบนและไป
สวมพอดีกับช่องเปิดแคบๆของทรวงอก ซึ่ง
ช่องเปิดแคบๆนี้ประกอบด้วยซี่โครงบนของ
กระดูกสันอกและกระดูกสันหลัง ฐานของปอด
แต่ละข้างจะใหญ่และวางแนบสนิทกับกระบัง
ลม
    ระหว่างปอด 2 ข้าง มีหัวใจอยู่ ปอดข้างขวา
จะโตกว่าปอดข้างซ้ายเล็กน้อย และมีอยู่ 3
ก้อน ส่วนข้างซ้ายมี 2 ก้อน
    หน้าทีของปอด คือ การนำาก๊าซ CO2 ออก
          ่
จากเลือด และนำาออกซิเจนเข้าสู่เลือด ปอดจึง
มีรูปร่างใหญ่ มีลักษณะยืดหยุ่นคล้ายฟองนำ้า
5. ระบบขับถ่ายของเสีย
ระบบขับถ่ายของเสีย
   ระบบขับถ่ายมีอวัยวะต่าง ๆ ทำาหน้าที่ขับถ่าย
    หรือกำาจัดของเสียที่ร่างกายไม่ตองการออกจาก
                                   ้
    ร่างกาย คือ ปัสสาวะและเหงื่อขับออกโดย ไต
    และต่อมเหงื่อ อุจจาระขับออกโดยลำาไส้ใหญ่
    ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขับออกโดยปอด

     อวัยวะ        หน้าที่ในระบบขับถ่าย
    ปอด          ขับแก๊ส
    ผิวหนัง      คาร์บอนไดออกไซด์
                 ขับนำ้าและเกลือ ออกในรูป
    ไต           ของ สสาวะ
                 ขับปั เหงื่อ
    ลำาไส้       ขับกากทีเป็นของแข็งจาก
                            ่
                 อาหารออกทางทวารหนัก
   ไต (Kidney) ทำาหน้าทีกำาจัดของเสียในรูป
                              ่
    ของนำ้าปัสสาวะ มี 1 คู่ รูปร่างคล้ายเมล็ด
    ถั่วดำา อยู่ในช่องท้องสองข้างของกระดูกสัน
    หลังระดับเอว ถ้าผ่าไตตามยาวจะพบว่าไต
    ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 2 ชั้น คือ เปลือกไต
    ชั้นนอกกับเปลือกไตชั้นใน มีขนาดยาว
    ประมาณ 10 เซนติเมตร กว้าง 6
    เซนติเมตร หนา 3 เซนติเมตร บริเวณตรง
    กลางของไตมีส่วนเว้าเป็นกรวยไต มีหลอด
    ไตต่อไปยังกระเพาะปัสสาวะ
        ไตแต่ละข้างประกอบด้วยหน่วยไต
    (nephron) นับล้านหน่วยเป็นท่อที่ขดไปมา
 ระบบขับถ่ายปัสสาวะ
     ระบบขับถ่ายปัสสาวะเป็นระบบหลัก
  ของร่างกายทีเกี่ยวข้องกับกระบวนการ
                   ่
  ขจัดสิงที่รางกายไม่ตองการ   ปอดและ
         ่       ่      ้
  ผิวหนังรวมอยู่ในกระบวนการนี้
  ด้วย    ซึงทำาหน้าขจัดแก๊ส
               ่
  คาร์บอนไดออกไซด์และเหงื่อตาม
  ลำาดับ
 อวัยวะทีทำาหน้าที่ขับถ่ายปัสสาวะ
           ่
  ประกอบด้วย ไต หลอดไต กระเพาะ
  ปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ ไตเป็น
  อวัยวะทีสำาคัญทีสุด มีรปร่างคล้าย
             ่       ่    ู
การบำารุงและดูแลรักษาไต ควรปฏิบติ
                                ั
 ดังนี้
 1. ดืมนำ้าสะอาดให้เพียงพอกับความ
        ่
 ต้องการของร่างกาย
 2. ไม่รบประทานอาหารทีมีรสเค็มจัด
          ั              ่
 3. ไม่กลันปัสสาวะเป็นเวลานาน ๆ
            ้
 4. หากมีอาการผิดปกติควรรีบปรึกษา
 แพทย์
 ระบบการขับถ่ายเหงือ
                    ่
    อวัยวะสำาคัญที่ทำาหน้าที่ขบเหงือ
                               ั   ่
 ออกจากร่างกาย คือ ต่อมเหงือ ซึ่ง่
 อยูใต้ ผิวหนัง ทำาหน้าที่กลั่นกรอง
    ่
 เอาเกลือแร่และนำ้าทีเป็นของเสียที่
                      ่
 ปนอยูในกระแสเลือด และขับ ออก
          ่
 ในรูปของเหงื่อไปตามท่อของต่อม
 เหงือ ออกทางรูเหงือทีผิวหนัง การ
      ่              ่ ่
 ขับถ่ายดังกล่าวยัง เป็นการระบาย
 ความร้อนออกนอกร่างกายด้วย
 ฉะนันเราจึงควรออกกำาลังกาย
        ้
ระบบขับถ่ายของสัตว์
            การขับถ่ายของเสีย ในรูปของเหลว ออกจาก
    ร่างกายเพื่อให้สิงมีชีวิตอยู่ได้
    เป็นการกำาจัดสารที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและ
    เป็นการรักษาระดับสมดุลของของเหลวในร่างกาย
                1. Contractile vacuoles: คอนแทรก
    ไทล์แวคิวโอล มี ลักษณะเป็นถุงบางๆใช้ในการขับนำ้า
    ออกจากสิ่งมีชวิตเซลล์เดียวในนำ้าจืดโดยที่นามากเกิน
                   ี                           ำ้
    ปกติจะเข้าไปในแวคิวโอลตามช่องเล็กๆ จำานวนมากที่
    อยู่รอบๆแวคิวโอล เมือแวคิวโอลขยายเต็มที่จะเกิดหด
                           ่
    ตัวและมีแรงดันให้นำ้าพุ่งออกไปนอกเยื้อหุมเซลล์
                                            ้
                2.Nephrida or nephridium: เนฟริเดีย
     เป็นท่อขับถ่ายในหนอนใส้เดือน ตัวอ่อนของแมลง
    ต่างๆ และสัตว์จำาพวกมอลลัสก์ หลายชนิด เช่น ทาก
    หนอน ที่มการพัฒนาการสูงขึ้นจะเก็บสะสมของเสียไว้
              ี
    ในช่องลำาตัว หนอนที่มการพัฒนาน้อยและตัวอ่อน
                             ี
    ของพวกมอลลัสก์ จะมีส่วนที่เรียกว่า โปรโทเนฟริ
    เดียม ของเสียในรูปของเหลวจะไหลเข้าไปในท่อกลวง
6. ระบบโครงกระดูก
   ระบบโครงกระดูก เป็นระบบที่ทำาหน้าที่เป็นเครือง
                                                 ่
    คำ้าจุนร่างกายให้คงรูปอยู่ได้ และช่วยในการ
    เคลื่อนไหวและเคลื่อนที่
   ส่วนประกอบของระบบโครงกระดูก
         กระดูก กระดูกอ่อน เอ็นลิกาเมนต์ เอ็นเท็นดอน
   โครงกระดูกทำาหน้าที่เป็นโครงหลักสำาหรับให้กล้าม
    เนื้อและเอ็นมายึดเพื่อให้รางกายคงรูปอยู่ได้ และ
                              ่
    ป้องกันอันตรายให้แก่วัยวะบางส่วนของร่างกาย
    นอกจากนียังเป็นที่อยูของเนือสร้างเม็ดเลือดด้วย
                ้         ่       ้

โครงกระดูกของคนมี 206 ชิ้น แบ่งออก
           เป็น 2 กลุ่มตามตำาแหน่ง
                ที่อยู่ ได้แก่
3. โครงกระดูกแกน
      โครงกระดูกแกนในผู้ใหญ่ประกอบ
   ด้วยกระดูกจำานวน 80 ชิ้น ซึ่งวางตัว
   ในแนวแกนกลางของลำาตัว ซึ่งได้แก่
    กะโหลกศีรษะ (Skull) มีจำานวน 22
     ชิน
       ้
    กระดูกหู (Ear ossicles) จำานวน 6
     ชิน ้
    กระดูกโคนลิ้น (Hyoid bone) 1 ชิน  ้
2. โครงกระดูกรยางค์
      โครงกระดูกรยางค์ในผู้ใหญ่จะมี
  ทังหมด 126 ชิน ซึงจะอยู่ในส่วนแขน
    ้            ้  ่
  และขาของร่างกายเพื่อช่วยในการ
  เคลื่อนไหว โดยจะแบ่งออกเป็น 6
  ส่วน ได้แก่
     กระดูกส่วนไหล่ (Shoulder girdle) 4
      ชิ้น
     กระดูกแขน (Bones of arms) 6 ชิ้น
     กระดูกมือ (Bones of hands) จำานวน
      54 ชิ้น
     กระดูกเชิงกราน (Pelvic girdle) 2 ชิ้น
7. ระบบกล้ามเนื้อ
   ในร่างกายมนุษย์ มีกล้ามเนื้อมากกว่า
    500 มัด นำ้าหนักรวมกันประมาณครึ่ง
    หนึ่งของร่างกายแบ่งออก เป็น 3 กลุม ่
    ก. เซลล์กล้ามเนือลาย (reticular
                     ้
    muscle) พบ ตาม แขน ขา ติดกับ
    กระดูก ทำางานหนัก อยู่ใต้อำานาจ จิตใจ

    ข. เซลล์กล้ามเนื้อเรียบ (smooth
    muscle) พบตาม อวัยวะภายใน เช่น
1. กล้ามเนื้อลาย (Striated
         Muscles
2. กล้ามเนื้อเรียบ (Smooth
        Muscles)
3. กล้ามเนือหัวใจ (Cardiac
           ้
        Muscles)
   ความสำาคัญของกล้ามเนื้อ (The
    Muscle)
       การเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ของร่างกาย
    สัตว์และส่วนต่างๆ ของร่างกายมีตนเหตุ
                                     ้
    มา จากการทำางานของกล้ามเนื้อด้วยการ
    หดตัว (contraction) จะมีข้อยกเว้นบ้าง
    บางอย่าง เช่น การเคลื่อนไหวนันอาจ
                                   ้
    เกิดจากแรงโน้มถ่วงของโลก (gravity)
    หรือ แรงภายนอก ร่างกายได้ นอกจากนี้
    กล้ามเนื้อยังทำาหน้าที่ชวยป้องกันการ
                            ่
    เคลือนไหวของข้อต่อ (ช่วย ให้ข้อต่อมี
        ่
8. ระบบภูมิคุ้มกัน
ระบบภูมิคมกัน
                       ุ้
   เชื้อโรคทุกชนิดจะมีสารเคมีที่ผิวเซลล์ เรียก
    ว่า “แอนติเจน” (antigen) เมื่อร่างกายเราได้
    รับเชื้อ โรค ร่างกายเราก็จะสร้างสารเคมีต่อ
    ต้าน เรียกว่า “แอนติบอดี” (antibody)อยู่ใน
    กระแสเลือด ซึ่งจะ จับกับแอนติเจนที่ผิวของ
    เชื้อโรค เฉพาะตัวกันเท่านั้น
    1. เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด ลิมโฟไซต์ ในต่อม
    นำ้าเหลือง สามารถสร้างสาร แอนติทอกซิน
    เพื่อทำาลายสารพิษทีเชื้อโรคสร้างขึ้นได้ด้วย
                          ่
    2. เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดฟาโกไซต์ สามารถ
    ทำาลายเชื้อโรคได้ด้วย เรียกว่า “ฟาโกไซโต
    ซีส” เมื่อมีข้าศึกคือเชื้อโรค หรือสิ่งแปลก
แต่หากผู้บุกรุกมีจำานวนมากหรือ
ร้ายกาจจนหน่วยรบแนวหน้าสูไม่ไหว  ้
ร่างกายจำาเป็นต้องพึ่ง ทหารหน่วยรบ
แนวหลังอีกกลุมร่วมด้วย คือ ลิมโฟไซต์
                ่
(Lymphocyte) ซึงแบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือ
                       ่
   ทีเซลล์ (T-lymphocyte หรือ Killer
cell) ซึ่งเป็นเซลล์นักฆ่า ที่ออกตามล่า
ศัตรูทยังเหลือ
         ี่
   บีเซลล์ (B-Lymphocyte) จะช่วยที
เซลล์ เมือทีเซลล์รบมือกับเชื้อโรคไม่ได้
            ่      ั
บีเซลล์จะทำาหน้าทีเฉพาะกิจทีสามารถ
                     ่         ่
กวาดล้างเชื้อโรค โดยการสร้างสาร
ภูมคมกันเฉพาะโรคหรือแอนติบอดีขึ้น
    ิ ุ้
ภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ ได้แก่
1) ภูมิคุ้มกันโดยกำาเนิด ( Innate
immunity ) เป็นการป้องกันและ
กำาจัดแอนติเจนทีเกิดขึ้นเองใน
                  ่
ร่างกาย ก่อนทีร่างกายจะได้รับ
                ่
แอนติเจน มีหลายรูปแบบ เช่น
- เหงือ มีกรดแลกติกป้องกันเชื้อโรค
       ่
เข้าสู่ร่างกายทางผิวหนัง
- หลอดลม โพรงจมูก มีขน ซิเลีย
และนำ้าเมือกดักจับสิงแปลกปลอม
                     ่
- กระเพาะอาหาร และลำาไส้เล็กมี
การสร้างระบบภูมิคุ้มกันต่อต้าน
      เฉพาะโรคของมนุษย์มี 2 วิธี
•   ภูมิคุ้มกันก่อเอง ( Active immunization )
    - เกิดจากการนำาเชื้อโรคทีอ่อนกำาลัง ซึง
                               ่             ่
    เรียกว่า วัคซีน (vaccine) มาฉีด กิน ทา
    เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีต่อ
    ต้านเชื้อนันๆ    ้
    - วัคซีนทีเป็นสารพิษและหมดความเป็นพิษ
               ่
    แล้ว เรียกว่า ทอกซอยด์ (toxoid) สามารถ
    กระตุ้นให้สร้างภูมิคุ้มกันได้ เช่น วัคซีนคุ้ม
    กันโรคคอตีบ บาดทะยัก
    - วัคซีนทีได้จากจุลนทรีย์ทตายแล้ว เช่น
                 ่      ิ        ี่
    โรคไอกรน ไทฟอยด์ อหิวาตกโรค
    - วัคซีนทีได้จากจุลนทรีย์ทยงมีชีวิตอยู่ เช่น
                   ่      ิ         ี่ ั
2) ภูมิคุ้มกันรับมา ( Passive
  immunization )
  - เป็นการนำาซีรัมทีมีแอนติบอดีอยูมาฉีด
                       ่               ่
  ให้ผู้ปวย ทำาให้ได้รับภูมิคุ้มกันโดยตรง
         ่
  ต่อต้านโรคได้ทนที ั
  - ใช้รักษาโรครุนแรงเฉียบพลัน เช่น
  คอตีบ พิษงู
  - ซีรัม ผลิตจากการฉีดเชื้อโรคทีอ่อน่
  กำาลังเข้าในสัตว์ แล้วนำาซีรัมของสัตว์ที่
  มีแอนติบอดีรักษาโรคในมนุษย์
  - ภูมิคุ้มกันทีแม่ให้ลกผ่านทางรกและ
                 ่       ู
ข้อควรจำา
  * ทอกซอยด์ ( TOXOID ) ทำามาจากสาร
  พิษที่หมดสภาพความเป็นพิษ เช่น คอตีบ
  บาดทะยัก
  * วัคซีน เป็นเชื้อโรคที่กำาลังอ่อนกำาลังหรือ
  ตายแล้ว แต่ยังมีแอนติเจน ที่สามารถไป
  กระตุ้นให้ร่างกาย สร้าง แอนติบอดี เพื่อ
  ทำาลายเชื้อโรคก่อนที่จะเป็นอันตรายต่อ
  ร่างกาย ดังนั้นเราจึงต้องได้รับวัคซีนให้
  ครบทุกชนิด
  * เซรุ่ม เป็นสาร แอนติทอกซิน ที่สร้างมา
  จากทีอื่น เพื่อให้ทำาลายได้เร็วก่อนที่พิษจะ
          ่
  เข้าสู่จุดดับของชีวิต
9. ระบบต่อมไร้ท่อ
ระบบต่อมไร้ท่อ
    ฮอร์โมน (hormone) คือสารเคมีที่สร้าง
จากเนื้อเยื่อหรือต่อมไร้ท่อ แล้วถูกลำาเลียงไป
ตามระบบหมุน เวียนของโลหิต เพื่อทำาหน้าที่
ควบคุมการเจริญเติบโต ควบคุมลักษณะทาง
เพศ และควบคุม การทำางาน ของระบบต่าง ๆ
ในร่างกาย
1. ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง
    1.1. ต่อมใต้สมองส่วนหน้า ทำาหน้าที่ผลิต
ฮอร์โมน ดังนี้
    - ฮอร์โมนโกรท (Growth hormone)
ควบคุมการเจริญเติบโต ของร่างกาย โรคที่
เกิดจากมีฮอร์โมน โกรทในร่างกายมากเกิน
ไป จะเป็นโรคอะโครเมกาลี (acromegaly)
คือจมูก ปาก มือ เท้าใหญ่
- ฮอร์โมนโพรแลกติน (prolactin) มีหน้า
ที่กระตุ้นต่อมนำ้านม ให้สร้างนำ้านม
    - ฮอร์โมนอะดรีโนคอร์ติโคโทรฟิน
(adrenocorticotrophin hormone) หรือ
A.C.T.H ทำาหน้าทีกระตุ้น อะดรีนัล คอร์เทกซ์
                   ่
ของต่อมหมวกไตให้สร้างฮอร์โมนตามปกติ
    - ฮอร์โมนกระตุ้นไทรอยด์ (thyroid
stimulating hormone) หรือ TSH ทำา
หน้าทีกระตุ้นต่อมไทรอยด์ ให้หลั่งฮอร์โมน
       ่
ตาม ปกติ ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า
จะควบคุมโดยฮอร์โมน ประสาทที่สร้างมา
จากไฮโพทาลามัส
1.2. ต่อมใต้สมองส่วนกลาง ทำาหน้าที่ผลิต
  ฮอร์โมน ดังนี้
  - ฮอร์โมนเมลาโนไซต์ (Melanocyte
  stimulating hormone) หรือ MSH ทำา
  หน้าที่ทำาให้รงควัตถุ ภายในเซล ผิวหนัง
  กระจายไปทั่วเซลล์
1.3. ต่อมใต้สมองส่วนหลัง เซลนิวโรซีครีทอรี
  (neurosecretory cell) สร้างฮอร์โมน ได้แก่
  - วาโซเพรสซิน (Vasopressin) หรือ
  ฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก ADH มีหน้าที่ดูดนำ้า
  กลับของ หลอดไต และกระตุ้นให้หลอด
  เลือดบีบตัว ถ้าขาดฮอร์โมนนี้จะเกิดการเบา
- ออกซีโทซิน (Oxytocin) ทำาหน้าที่กระตุ้น
  กล้ามเนื้อเรียบและอวัยวะภายใน กระตุ้น
  กล้ามเนื้อ รอบต่อมนำ้านมให้ขับนำ้านม
  ฮอร์โมนนี้จะหลั่งออกมามากตอนคลอด
  เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อมดลูก บีบตัวขณะ
  คลอด ไอส์เลตออฟแลงเกอร์ฮานส์ ทำา
  หน้าทีสร้างฮอร์โมน ได้แก่
         ่
      1. อินซูลิน สร้างจากเซลเบตา มีหน้าที่
  รักษาระดับ นำ้าตาลในเลือดให้ปกติ
      2. กลูคากอน (glucagon) สร้างมาจาก
  แอลฟาเซล มี หน้าที่กระตุ้นการสลายตัว
  ของไกลโคเจน จากตับให้เป็นนำ้าตาล
2. ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต
  - ฮอร์โมนกลูโคคอร์ติคอยด์
  (Glucocorticoid hormone) ทำาหน้าที่
  ควบคุมเมตาโบลิซึมของ คาร์โบไฮเดรต
  กระตุ้นการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตและ
  ไกลโคเจนเป็นกลูโคส และยังควบคุมสมดุล
  ของเกลือแร่
  - ฮอร์โมนมิเนราโลคอทิคอยด์
  (mineralocorticoid) ทำาหน้าที่ควบคุม
  สมดุลของนำ้าและเกลือแร่ใน ร่างกาย เช่น
  อัลโดสเตอโรน (aldosterone) ทำาหน้าที่ดูด
  โซเดียมกลับท่อหน่วยไต อะดรีนัล
  เมดุลลา ผลิตฮอร์โมนดังนี้
     - อะดรีนาลิน (adrenalin) ทำาให้นำ้าตาล
3. ฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์
      - ไทรอกซิน (thyroxin) ทำาหน้าที่
  ควบคุมอัตราการเผาผลาญอาหารต่าง ๆ ใน
  ร่างกาย ถ้าต่อม ไทรอยด์ไม่สามารถสร้าง
  ไทรอกซินจะทำาให้ เกิดโรคคอพอก , มิกซีดี
  มา แต่ถ้าสร้าง ฮอร์โมนมาก เกินไป ทำาให้
  เกิดโรคคอพอกเป็นพิษ
      - แคลซิโทนนิน (Calcitonin) ทำาหน้าที่
  ลดระดับแคลเซียมใน เลือด
      - พาราฮอร์โมน (parathormone) ทำา
  หน้าที่รักษาสมดุลและฟอสฟอรัสในร่างกาย
  ให้คงที่
   4. ฮอร์โมนจากอวัยวะเพศ
    เพศชาย : ฮอร์โมนแอนโดรเจน
    (androgens) ประกอบ ไปด้วยเทสโทสเตอ
    โรน (testosteron) มีหน้าที่ควบคุม ลักษณะ
    เกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงของเพศชายใน
    ช่วงวัยรุ่น
    เพศหญิง : 1. เอสโทรเจน (estrogens)
    สร้างจากเซลล์ ฟอลลิเคิลในรังไข่ ฮอร์โมนนี้
    จะตำ่าในขณะมีประจำาเดือน
                2. ฮอร์โมนโปรเจสเทอ
    โรน(progesterone) สร้างจาก คอร์ปัสลู
    เทียม ควบคุมลักษณะเกี่ยวกับการ
    เปลี่ยนแปลงของร่างกายในช่วงวัยรุ่น
    5. ฮอร์โมนจากต่อมไพนีล
10. ระบบประสาท
ระบบประสาท
   ระบบประสาทเป็นศูนย์กลางที่ควบคุมการทำางาน
    ของร่างกาย ในการแสดงปฏิกริยาตอบสนอง ต่อสิ่ง
                                   ิ
    เร้า โดยทำาหน้าที่ประสานสัมพันธ์ระหว่างอวัยวะ
    สัมผัสกับอวัยวะมอเตอร์ ควบคุมการทำางาน ของ
    กล้ามเนือ การทำางานของต่อมและระบบต่าง ๆ ใน
            ้
    ร่างกาย อีกทั้งเป็นศูนย์ของความรูสึกนึกคิด สติ
                                      ้
    ปัญญา การเรียนรู้ ความจำา ตลอดจนการปรับตัวให้
    เข้ากับสิ่งแวดล้อม
    ระบบประสาทประกอบด้วย
    1. สมอง (Brain) เป็นศูนย์ควบคุมทั้งหมดของ
    ร่างกาย มีเยื่อหุม 3 ชั้น แบ่งสมองออกเป็น 3 ส่วน
                     ้
       1.1 ซีรีบรัม(สมองส่วนหน้า) มีขนาดใหญ่ที่สุด
       ทำาหน้าที่รบความรูสึกและสั่งการ
                  ั       ้
2. ไขสันหลัง (Spinal cord) เป็นทางผ่าน
ของกระแสประสาทต่อมาจากสมองบรรจุอยู่
ภายในกระดูกสันหลัง เป็นศูนย์กลาง
ควบคุมการทำางานแบบ รีเฟลกซ์แอกชั่น
คือ การตอบสนองแบบไม่ตั้งใจโดยไม่ผาน  ่
สมอง เช่น การดีดเท้าเมื่อเคาะหัวเข่า
การกระดกเท้าเมือเหยียบหนาม
                ่
3. เส้นประสาท (Nerve)      เส้นประสาท
แต่ละเส้นจะมีเซลส์ประสาท (Neuron)
หลาย ๆ เซลส์เรียงต่อกัน เซลส์ประสาท
กระจายไป เลี้ยงทั้งร่างกาย มีประมาณ
12,000 ล้านเซลส์ ในไขสันหลังและสมองมี
11. ระบบผิวหนัง
   ระบบผิวหนังเป็นระบบที่สำาคัญมาก เพราะเป็น
    ระบบที่ปกคลุมร่างกายและเป็นระบบที่ ใหญ่
    ที่สุด
    หน้าทีของระบบผิวหนัง
           ่
          1. ป้องกันอันตรายจากแสงแดด สารเคมี
    ฯลฯ
          2. รับความรู้สึก มีประสาทสัมผัส
          3. ควบคุมการทำางานต่างๆ ภายใน
    ร่างกาย เป็นแหล่งสะสมพลังงานและสร้าง
    วิตามินดี
          4. ควบคุมความร้อนของร่างกายโดยการ
    ทำางานของต่อมไร้ท่อ
   ผิวหนังแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
         1. ผิวหนัง
    ผิวหนังเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย
    มี 2 ชั้นได้แก่
              1.1 หนังกำาพร้า (Epidermis) คือ
    ผิวหนังที่อยู่ชั้นนอกสุด จะตายร่วงหลุดไป
    เซลล์ชั้นใต้จะสร้างขึ้นมาแทนที่ ผิวหนังจะมี
    melanocytes เป็น cell รูปดาว ทำาให้
    อวัยวะที่มีมากมีสีคลำ้าทำาให้เกิดสีผิวแตก
    ต่างกัน แต่ถ้าไม่มี melanocytes จะทำาให้
    เกิดเป็นคนเผือก จะมีผิวขาวสู้แสงไม่ได้
              1.2 หนังแท้ (Dermis) อยู่ลึกกว่า
    หนังกำาพร้า มีความยาวประมาณ 1-2
    มิลลิเมตร รอยต่อของหนังกำาพร้าและหนัง
    แท้จะเป็นคลื่นที่ยื่นขึ้นและลง เป็นสันนูน
    เรียกว่า ลายมือ (Finger print) แต่ละคน
   ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยระบบต่างๆ
    ประกอบกันเป็นร่างกาย การทำางานของอวัยวะ
    จะทำางาน สัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ เช่น
    ระบบย่อยอาหาร ประกอบด้วยอวัยวะหลาย
    อวัยวะ ซึ่งอวัยวะบาง อวัยวะ ไม่มีสารย่อยแต่
    เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหาร ระบบหมุนเวียน
    เลือดในร่างกาย อวัยวะที่ เกี่ยวข้องคือ หัวใจ
    เส้นเลือด การหดและการขยายตัวของ
    เส้นเลือดตามจังหวะการเต้นของหัวใจ เรียกว่า
    ชีพจร ระบบหายใจ การหายใจของมนุษย์มี
    ผลต่อการแลกเปลี่ยนแก๊สในถุงลมปอด ซึ่ง
    ประกอบด้วย อวัยวะต่างๆ คือ จมูก ปอด ถุง
   ขณะออกกำาลังกาย ร่างกายต้องใช้
    พลังงานมาก จึงต้องการแก๊สออกซิเจน
    และสารอาหาร เพิ่มมากขึ้น เพื่อใช้ใน
    กระบวนการเปลี่ยนแปลงสารอาหารให้เกิด
    พลังงาน ระบบหายใจจึงต้อง ทำางานหนัก
    เราจึงหายใจถี่และเร็วเพื่อนำาแก็สออกซิเจน
    เข้าสู่ร่างกาย และนำาแก๊สคาร์บอนได
    ออกไซด์ออกไป การหมุนเวียนเลือดใน
    ร่างกายก็จะเป็นไปอย่างรวดเร็วหัวใจจะเต้น
    เร็วเพื่อสูบ ฉีดเลือดให้ทนต่อความต้องการ
                             ั
    ของร่างกาย ของเสียในรูปของเหลวก็จะ
    เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ระบบขับถ่ายของ
    ร่างกายก็จะขับเหงื่อออกจำานวนมาก หลัง
    จากออกกำาลังกายก็จะรู้สึกหิว และ กระหาย
   คำำถำมน่ำรู้กับควำมสำำคัญของระบบร่ำงกำย
   1. ปริมาณของนำ้าปัสสาวะเข้าที่ถูกขับออกมาใน
    แต่ละวันจะมากหรือน้อย
   ขึนอยู่กับปัจจัยใดเป็นสำาคัญ
      ้
         ก. นำ้าหนักตัว              ข. การใช้
    พลังงาน
         ค. ปริมาณนำ้าที่เข้าสู่ร่างกาย ง.
    ประสิทธิภาพในการทำางานของไต.
   2. จุดแลกเปลี่ยนอากาศดีและอากาศเสียคือข้อใด
         ก. จมูก                  ข. ถุงลม
         ค. ขั้วปอด                 ง. หลอดลม
   3. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่คนเราหายใจออกมาเกิด
    จากอะไร
          ก. การเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ในร่างกาย
          ข. พลังงานที่เกิดขึ้นที่กล้ามเนื้อของคนเรา
          ค. ปฏิกิรยาในการเผาผลาญสารอาหารใน
                    ิ
    เซลล์กล้ามเนื้อ
          ง. การแลกอากาศกันของก๊าซออกซิเจนกับ
    ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
   อากาศบริสุทธิ์ที่คนเราหายใจเข้าไปจะมีก๊าซออกซิเจน
    และไนโตรเจนเป็นอัตราส่วนตามข้อใด
      ก. ออกซิเจน : ไนโตรเจน = 1 : 4 ข.
    ออกซิเจน : ไนโตรเจน = 4 : 1
     ค. ไนโตรเจน : ออกซิเจน = 1 : 5 ง.
    ไนโตรเจน : ออกซิเจน = 5 : 1
   5. อวัยวะที่เปรียบเสมือนถังเก็บจ่ำยนำำำไปยัง
    อำคำรบ้ำนเรือน       ก.     ปอด            ข.
     หัวใจ        ค.     เส้นเลือด         ง.
    กล้ำมเนืำอลำย 6. เม็ดเลือดประกอบไปด้วยสิ่ง
    ใด      ก. เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดดำำ เม็ด
    เลือดขำว       ข. เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขำว
    เกล็ดเลือด       ค. เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขำว
     พลำสมำ        ง. เม็ดเลือดแดง เกล็ดเลือด
    พลำสมำ
   7. อุณหภูมิในร่างกายคนปกติ คือเท่าใด
        ก. 35 องศาเซลเซียส          ข. 36
    องศาเซลเซียส ค 37 องศาเซลเซียส
           ง. 38 องศาเซลเซียส8.        ใน
    ร่างกายของคนเราประกอบด้วยนำ้า กี่
    เปอร์เซ็นต์        ก. 80 %       ข.   75
    % ค. 70 %              ง.     38 % 9.
    ผิวหนังประกอบด้วยกี่ส่วน         ก.   1
    ส่วน ข. 2 ส่วน ค. 3 ส่วน ง. 4
    ส่วน 10.
    เซลล์ชั้นในสุดที่เรียกว่า Stratum Germin
    ativum มีหน้าที่อย่างไร       ก. ผลิตสีผว
                                            ิ
เฉลย
   ค.   2. ข.   3.   ค      4. ก
    5. ข
   6. ข    7. ค      8. ข      9. ข
     10. ก

More Related Content

What's hot

วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6issarayuth
 
บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2
บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2
บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2Wichai Likitponrak
 
ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่ายระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่ายkrubua
 
ระบบของอวัยวะในร่างกาย (ชัยณรงค์)
ระบบของอวัยวะในร่างกาย (ชัยณรงค์)ระบบของอวัยวะในร่างกาย (ชัยณรงค์)
ระบบของอวัยวะในร่างกาย (ชัยณรงค์)kookoon11
 
ระบบย่อยอาหาร
ระบบย่อยอาหารระบบย่อยอาหาร
ระบบย่อยอาหารพัน พัน
 
การรักษาดุลยภาพของร่างกาย
การรักษาดุลยภาพของร่างกายการรักษาดุลยภาพของร่างกาย
การรักษาดุลยภาพของร่างกายพัน พัน
 
สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต ประถม
สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต ประถมสิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต ประถม
สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต ประถมTa Lattapol
 
ระบบย่อยอาหาร - Digestive system
ระบบย่อยอาหาร - Digestive systemระบบย่อยอาหาร - Digestive system
ระบบย่อยอาหาร - Digestive systemsupreechafkk
 
ชีววิทยา เรื่อง การย่อยอาหาร Digestive system
ชีววิทยา เรื่อง การย่อยอาหาร Digestive systemชีววิทยา เรื่อง การย่อยอาหาร Digestive system
ชีววิทยา เรื่อง การย่อยอาหาร Digestive systemkasidid20309
 
ระบบขับถ่าย ม.2
ระบบขับถ่าย ม.2ระบบขับถ่าย ม.2
ระบบขับถ่าย ม.2Sukanya Nak-on
 
บทที่ 4 ระบบย่อยอาหาร
บทที่ 4  ระบบย่อยอาหาร   บทที่ 4  ระบบย่อยอาหาร
บทที่ 4 ระบบย่อยอาหาร Pinutchaya Nakchumroon
 
ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย Thitaree Samphao
 

What's hot (20)

Lesson 1 homeostasis
Lesson 1 homeostasisLesson 1 homeostasis
Lesson 1 homeostasis
 
วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
 
ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
 
Movement
MovementMovement
Movement
 
STB
STBSTB
STB
 
บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2
บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2
บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2
 
อจท. แผน 1 1 สุขศึกษาฯ ป.5
อจท. แผน 1 1 สุขศึกษาฯ ป.5อจท. แผน 1 1 สุขศึกษาฯ ป.5
อจท. แผน 1 1 สุขศึกษาฯ ป.5
 
ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่ายระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย
 
ระบบของอวัยวะในร่างกาย (ชัยณรงค์)
ระบบของอวัยวะในร่างกาย (ชัยณรงค์)ระบบของอวัยวะในร่างกาย (ชัยณรงค์)
ระบบของอวัยวะในร่างกาย (ชัยณรงค์)
 
ระบบย่อยอาหาร
ระบบย่อยอาหารระบบย่อยอาหาร
ระบบย่อยอาหาร
 
การรักษาดุลยภาพของร่างกาย
การรักษาดุลยภาพของร่างกายการรักษาดุลยภาพของร่างกาย
การรักษาดุลยภาพของร่างกาย
 
ระบบกำจัดของเสีย (Excretory System)
ระบบกำจัดของเสีย (Excretory System)ระบบกำจัดของเสีย (Excretory System)
ระบบกำจัดของเสีย (Excretory System)
 
ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System)
ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System)ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System)
ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System)
 
สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต ประถม
สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต ประถมสิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต ประถม
สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต ประถม
 
ระบบย่อยอาหาร - Digestive system
ระบบย่อยอาหาร - Digestive systemระบบย่อยอาหาร - Digestive system
ระบบย่อยอาหาร - Digestive system
 
ชีววิทยา เรื่อง การย่อยอาหาร Digestive system
ชีววิทยา เรื่อง การย่อยอาหาร Digestive systemชีววิทยา เรื่อง การย่อยอาหาร Digestive system
ชีววิทยา เรื่อง การย่อยอาหาร Digestive system
 
ใบความรู้การย่อยอาหาร
ใบความรู้การย่อยอาหารใบความรู้การย่อยอาหาร
ใบความรู้การย่อยอาหาร
 
ระบบขับถ่าย ม.2
ระบบขับถ่าย ม.2ระบบขับถ่าย ม.2
ระบบขับถ่าย ม.2
 
บทที่ 4 ระบบย่อยอาหาร
บทที่ 4  ระบบย่อยอาหาร   บทที่ 4  ระบบย่อยอาหาร
บทที่ 4 ระบบย่อยอาหาร
 
ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย
 

Similar to Body system

ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดjoongka3332
 
อาณาจักรสัตว์
อาณาจักรสัตว์อาณาจักรสัตว์
อาณาจักรสัตว์tarcharee1980
 
เล่ม ระบบร่างกาย New
เล่ม ระบบร่างกาย Newเล่ม ระบบร่างกาย New
เล่ม ระบบร่างกาย Newsavong0
 
หัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือดหัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือดtuiye
 
หัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือดหัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือดtuiye
 
หัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือดหัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือดkrutoyou
 
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011Namthip Theangtrong
 
Animal kingdom
Animal kingdomAnimal kingdom
Animal kingdomIssara Mo
 
Animal kingdom
Animal kingdomAnimal kingdom
Animal kingdomIssara Mo
 
เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...
เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...
เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...kasidid20309
 
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต - Homeostasis
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต - Homeostasisการรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต - Homeostasis
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต - Homeostasissupreechafkk
 
พื้นฐานทางสรีรวิทยาของพฤติกรรม Present2
พื้นฐานทางสรีรวิทยาของพฤติกรรม Present2พื้นฐานทางสรีรวิทยาของพฤติกรรม Present2
พื้นฐานทางสรีรวิทยาของพฤติกรรม Present2Kobchai Khamboonruang
 
บทที่ 1 การรักษาดุลยภาพในร่างกาย
บทที่ 1 การรักษาดุลยภาพในร่างกายบทที่ 1 การรักษาดุลยภาพในร่างกาย
บทที่ 1 การรักษาดุลยภาพในร่างกายTa Lattapol
 
อาณาจักรสัตว์และพืช
อาณาจักรสัตว์และพืชอาณาจักรสัตว์และพืช
อาณาจักรสัตว์และพืชPandora Fern
 

Similar to Body system (20)

ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือด
 
อาณาจักรสัตว์
อาณาจักรสัตว์อาณาจักรสัตว์
อาณาจักรสัตว์
 
การดำรงชีพ
การดำรงชีพการดำรงชีพ
การดำรงชีพ
 
Transportation body
Transportation bodyTransportation body
Transportation body
 
เล่ม ระบบร่างกาย New
เล่ม ระบบร่างกาย Newเล่ม ระบบร่างกาย New
เล่ม ระบบร่างกาย New
 
Unit 7
Unit 7Unit 7
Unit 7
 
หัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือดหัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือด
 
หัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือดหัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือด
 
หัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือดหัวใจและระบบเลือด
หัวใจและระบบเลือด
 
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
 
Animal kingdom
Animal kingdomAnimal kingdom
Animal kingdom
 
Animal kingdom
Animal kingdomAnimal kingdom
Animal kingdom
 
เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...
เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...
เรื่อง เนื้อเยื่อ tissue น้องๆสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ slide ด้านล่่า...
 
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต - Homeostasis
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต - Homeostasisการรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต - Homeostasis
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต - Homeostasis
 
พื้นฐานทางสรีรวิทยาของพฤติกรรม Present2
พื้นฐานทางสรีรวิทยาของพฤติกรรม Present2พื้นฐานทางสรีรวิทยาของพฤติกรรม Present2
พื้นฐานทางสรีรวิทยาของพฤติกรรม Present2
 
บทที่ 1 การรักษาดุลยภาพในร่างกาย
บทที่ 1 การรักษาดุลยภาพในร่างกายบทที่ 1 การรักษาดุลยภาพในร่างกาย
บทที่ 1 การรักษาดุลยภาพในร่างกาย
 
อาณาจักรสัตว์และพืช
อาณาจักรสัตว์และพืชอาณาจักรสัตว์และพืช
อาณาจักรสัตว์และพืช
 
Tissue1
Tissue1Tissue1
Tissue1
 
Cell
CellCell
Cell
 
9789740328049
97897403280499789740328049
9789740328049
 

Body system

  • 2. ในร่างกายถ้าเปรียบระบบอวัยวะกับการทำางานของระบบ โรงงานสามารถเปรียบได้ดังนี้เช่น ผิวหนัง, ขน, เล็บ เปรียบเหมือน กำาแพง ด่านตรวจ สมอง เปรียบเหมือน คอมพิวเตอร์ ตา เปรียบเหมือน กล้อง V.D.O. วงจรปิด รปภ. ลิ้น เปรียบเหมือน ผู้ตรวจสอบคุณภาพ หัวใจ เปรียบเหมือน เครื่องปั้ มนำ้า ปอด เปรียบเหมือน แอร์ ( ก๊าช ) ไต ตับ เปรียบเหมือน เครื่องกำาจัดของเสีย ถังขยะ กระเพาะอาหาร,ลำาไส้ เปรียบเหมือน ห้องครัว
  • 3. เซลล์ที่เป็นองค์ประกอบของร่างกาย 1. เซลล์ร่างกาย (body cell) ลักษณะแบน บาง มีนิวเคลียสอยู่ตรงกลางพบตามร่างกาย 2. เซลล์เยื่อบุ (epidermis) ลักษณะแบน บาง มีนิวเคลียสตรงกลางนูนเหมือนไข่ดาว พบ ตามเยื่อบุที่ มีผนังบางมีเมือก (mucus) หล่อ เลี้ยง เช่น ริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม ดวงตา อวัยวะ เพศภายใน 3. เซลล์กล้ามเนื้อ (muscle cell) มี 3 ชนิด ก. เซลล์กล้ามเนื้อลาย (reticular
  • 4. 4. เซลล์เม็ดเลือดแดง (Red Blood Cell ; RBC) 5. เซลล์เม็ดเลือดขาว (White Blood Cell ; WBC) 6. เซลล์ประสาท 7. เซลล์กระดูก 8. เซลล์สมอง 9. เซลล์สืบพันธุ์  ระบบต่างๆในร่างกายทำางานประสานงานกัน อย่างมีระบบ ถ้าระบบใดระบบหนึ่งผิดปรกติ
  • 5. 1. ระบบย่อยอาหาร (Digestion) ระบบย่อยอาหารทำาหน้าที่เปลี่ยน อาหารทีมีโมเลกุลขนาดใหญ่ให้เป็นสาร ่ อาหารทีมีโมเลกุลขนาดเล็กซึ่งร่างกายนำา ่ ไปใช้ประโยชน์ในการสร้างพลังงาน สร้าง ความเจริญ ขั้นตอนต่างๆ ทีจะเปลี่ยนจาก ่ อาหารให้เป็นสารอาหารก่อนที่จะถูกดูดซึม เข้าสู่กระแสเลือดบริเวณผนังของลำาไส้เล็ก การย่อยอาหารประกอบด้วย อวัยวะที่ เกี่ยวข้อง นำ้าย่อย และ ตัวเร่งปฏิกิริยา
  • 6. 1. ปากและฟัน (mouth and teeth) เป็น อวัยวะแรกของระบบย่อยอาหาร ภายใน ประกอบด้วย ฟัน ทำาหน้าที่บดเคี้ยวอาหารให้ ละเอียด ลิ้น ทำาหน้าที่ส่งอาหารให้ฟันบดเคี้ยว และคลุกเคล้าอาหารให้อ่อนตัว ง่ายต่อการบด เคี้ยวของฟัน ต่อมนำ้าลาย ทำาหน้าที่ขับนำ้าลาย ออกมาคลุกเคล้า กับอาหาร ในนำ้าลายมีเอน ไซม์อะไมเลส ซึ่งสามารถย่อยแป้งให้เป็น นำ้าตาล ดังนั้นเมื่อเราอมข้าวเปล่าไว้นาน ๆ จึง รู้สึกหวานนิด ๆ 2. คอหอย (pharynx) เป็นท่ออยู่ระหว่างด้าน หลังของช่องปากและหลอดลม บริเวณนี้เป็น จุดเชื่อมระหว่างหลอดลมกับหลอดอาหารโดย
  • 7. 3. หลอดอาหาร (oesophagus) อยู่ต่อจาก คอหอยอยู่ด้านหลังหลอดลม (trachea) ส่วน บนเป็นกล้ามเนื้อลายมีหูรูด ช่วยปิดเปิด หลอดอาหารระหว่างกลืนอาหารส่วนท้ายเป็น กล้ามเนื้อ เรียบ ช่วยบีบส่งอาหารเป็นระยะ เรียกว่า เพอรีสตัลซีส (peristalsis) ช่วยให้ อาหารเคลื่อนที่ ได้สะดวก 4. กระเพาะอาหาร (stomach) อยู่บริเวณ ด้านซ้ายของช่องท้องกว้างประมาณ 5 นิ้ว ยาว 10 นิ้ว แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ***หมายเหตุ กระเพาะอาหารมีปริมาณ 50 cc แต่เมือได้รับอาหารจะยาวถึง 2000 cc ่
  • 8. 5. ลำาไส้เล็ก (Small Intestine) ยาวประมาณ 10 m แบ่งออกเป็น 3 ตอน 6. ลำาไส้ใหญ่ (Large Intestine) ยาว ประมาณ 1.5 เมตร เริ่มตั้งแต่ส่วนของอิเลียม จนถึงทวารหนัก หน้าที่ของลำาไส้ใหญ่ 1. สะสมกากอาหาร 2. ดูดซึมแร่ธาตุ นำ้า กลูโคส 3. มีจุลินทรีย์ช่วยในการย่อยกากอาหารโดย เฉพาะเซลลูโลส ให้มีสภาพเหลวหรืออ่อนนุ่ม อวัยวะทีเกี่ยวข้องโดยอ้อม ่ 1. ตับ (Liver) เป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของ ร่างกายมี 2 ซีก ซ้าย-ขวา มีสีนำ้าตาลเนื้อแน่น มี
  • 9. 2. ตับอ่อน (Pancreas) มีลักษณะคล้าย ใบไม้ยาวประมาณ 20-25 ซม. สีแดงหรือสี เทา ทำาหน้าที่เป็นต่อมมี ท่อและต่อมไร้ท่อ ผลิตของเหลวได้ประมาณ 2 ลิตร ซึ่ง ประกอบด้วย ก. นำ้าย่อย ซึ่งทำาหน้าที่ย่อยโปรตีน คาร์ โบไฮเดรท และไขมัน ข. โซเดียมไบคาร์บอเนต มีคุณสมบัติ เป็นเบส (ด่าง) เพื่อปรับสภาพอาหารที่มา จากกระเพาะ อาหารซึ่งมีสภาพเป็นกรด ให้มี สภาพเป็นกลางหรือเป็นเบสอ่อน ๆ เพื่อจะไม่ ทำาลายเยื่อบุของลำาไส้เล็ก (Villi)
  • 10. วิธีที่จะไม่ทำาให้กระเพาะอาหารถูกทำาลาย - กินอาหารให้ตรงเวลา - ไม่รับประทานอาหารรสจัด เช่น เปรี้ยวจัด เค็มจัด เผ็ดจัด - ไม่กินยาแก้ปวดขณะท้องว่าง - ไม่ดื่มอาหารทีมีแอลกอฮอล์ ่ - ลดความเครียด (Stress) - พักผ่อนให้เพียงพอ - ไม่รับประทานอาหารที่หยาบหรือแข็ง
  • 11.
  • 12.
  • 14.  การเจริญเติบโตของหญิงและชายช่วงอายุ 10 - 17 ปี เพศหญิงจะมีอตราการเจริญ เติบโตมากกว่าชาย ั หลังจากนั้นเพศชายจะเจริญเติบโตมากกว่าเพศ หญิง และจะหยุดการเจริญประมาณ 20 ปี สำาหรับ เพศหญิง และ 25 ปีสำาหรับเพศชาย อัตราการเจริญ เติบโต จะมากหรือน้อยขึ้นอยูกับ ่ ก. การแสดงออกจากพันธุกรรม (ยีโนไทพ์ ; Genotype) เป็นลักษณะที่ถายทอดมาจาก ่ บรรพบุรษ คือ มาจาก ยีน (Gene) นั่นเอง ได้แก่ สี ุ ผิว ผม ดวงตา ฯลฯ * ยีน (Gene) คือ หน่วยที่ควบคุมการแสดงออกของ ลักษณะต่าง ที่อยู่บนโครโมโซม ข. การแสดงออกจากสิ่งแวดล้อม (ฟีโนไทพ์ ;
  • 15. ระบบสืบพันธุเพศชาย ์  ประกอบด้วย ก. อวัยวะสืบพันธุภายนอก ได้แก่ ์ 1. ถุงอัณฑะ (Scrotum) ห่อหุมลูกอัณฑะให้ ้ อุณหภูมิตำ่ากว่า 37 องศาเซลเซียส 2. องคชาติ (Penis) ข. อวัยวะสืบพันธุภายใน ประกอบด้วย ์ 1. อัณฑะ (Testis) ตอนเด็กจะอยู่ในช่องท้อง พอโตขึนจะเลื่อนลงมาอยู่ที่ถุงอัณฑะ ทำา หน้าที่ ้ ผลิต สเปิรม (Sperm) และฮอร์โมนเพศชาย ์ 2. หลอดนำาสเปิรม (Sperm) ทำาหน้าที่ลำาเลียง ์ สเปิรม ไปเก็บที่ตอมเก็บ คือต่อมเคาว์เปอร์ ์ ่ 3. ต่อมเคาว์เปอร์ (Cowper gland) ทำาหน้าที่ สร้าง อาหารให้กบสเปิรม ประกอบด้วยนำ้าตาลฟรุก ั ์
  • 16. ระบบสื บ พั น ธุ ์ ข องเพศชาย อสุ จ http://www.besthealth.com/besthealth/bodyguide/r
  • 17. ระบบสืบพันธุเพศหญิง ์  ประกอบด้วยอวัยวะสืบพันธุ์ 2 ส่วน ก. อวัยวะสืบพันธุ์ ภายนอก ประกอบด้วย 1. แคมนอก (Major cam) มี 2 ข้าง ทำาหน้าที่ ปกปิดไม่สิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ภายใน 2. แคมใน (Minor cam) มี 2 ข้าง เป็นเนื้อเยื่อ บางติดกับแคมนอก 3. คลิตอรีส (Clitoris) ทำาหน้าที่รบความรูสึกทาง ั ้ เพศ 4. เยือพรหมจารี (Hymen)เป็นเยื่อบาง ๆ ่ ปิดปากช่องคลอด 5. ท่อปัสสาวะ อยู่ตรงกลางระหว่าง Clitoris กับ ช่องคลอด ข. อวัยวะสืบพันธุ์ ภายใน ประกอบด้วย 1. รังไข่ (Ovary) ทำาหน้าที่ผลิตไข่ และฮอร์โมน
  • 18. 3. มดลูก (Uterus) มีลักษณะคล้ายผล ชมพู่ กว้างประมาณ 4 ซ.ม.ยาว 6-8 ซ.ม. หนาประมาณ 2 ซ.ม.ส่วนล่างแคบเข้าหากัน เรียกว่า “ ปากมดลูก” ต่อกับส่วนของช่อง คลอดมดลูกประกอบด้วยเนื้อเยื่อ หลายชั้น คล้ายฟองนำ้าทำาหน้าที่ในการสร้างรก รองรับการฝังตัวของไข่ทผสมแล้ว ี่ (Zygote) เป็นที่ แลกเปลี่ยนก๊าซและส่ง อาหารให้กับตัวอ่อน (Embryo) 4. ช่องคลอด (Vagina) เป็นทางผ่านข องสเปิร์มเข้าสู่มดลูก ลึกประมาณ 1.5- 2.0 นิ้ว
  • 19. บบสื บ พั น ธุ ์ ข องเพศหญิ ง รั ง http://www.besthealth.com/besthealth/bodyguide/r
  • 21. ระบบหมุนเวียนของเลือด  ตัวจักรสำาคัญของระบบนี้คือ หัวใจ และหลอด เลือด  หัวใจของคนเราประกอบด้วย กล้ามเนื้อมี ขนาดใหญ่ ทำาหน้าทีสูบฉีดเลือดไปเลี้ยง ่ ร่างกาย ทุกๆวันหัวใจจะเต้นประมาณ 100,000 ครั้ง สูบฉีดเลือดประมาณวันละ 2,0 00 แกลลอน  ระบบไหลเวียนโลหิตของเราประกอบไปด้วย หลอดเลือดซึ่งเชื่อมติดต่อกันเป็นโครงข่าย ทัวร่างกาย โดยเริ่มต้นจากหัวใจห้องซ้ายล่าง ่ Left Ventricle ฉีดเลือดไปยังหลอดเลือด
  • 22. โครงสร้างของหัวใจ หัวใจของเราประกอบด้วย 4 ห้อง ห้อง ข้างบนเรียก atrium มีทงซ้ายและขวา ส่วน ั้ ห้องข้างล่างเรียก ventricle ซึ่งก็มีทั้งซ้าย และขวา ระหว่างหัวใจห้องข้างบนและล่างจะ มีลิ้นหัวใจกั้นอยู่  Tricuspid valve กั้นระหว่างหัวใจห้องบน ขวา และล่างขวา  Pulmonary or pulmonic valveกั้นระหว่าง หัวใจห้องบนขวากับหลอดเลือดดำา  Bicuspid valve กั้นระหว่างหัวใจห้องบนและ ล่างซ้าย
  • 24. การทำางานของหัวใจ หัวใจจะรับเลือดดำาเข้าสู่หวใจห้องบนขวา ั Right atrium ไหลผ่านลงหัวใจห้องล่างขวา Right ventricle ซึ่งจะฉีดเลือดไปยังปอดเพื่อ ฟอกเลือด เลือดที่ฟอกแล้วจะไหลกลับเข้า หัวใจที่หองซ้ายบน Left Atrium แล้วไหลลง ้ Left ventricle ซึ่งจะสูบเลือดไปเลี้ยงร่างกาย ทางหลอดเลือดแดง ลิ้นหัวใจ (Valve) ประกอบด้วยเนื้อเยือ่ เกี่ยวพันทำาหน้าที่ ปิด-เปิด ไม่ให้เลือดไหล ย้อนกลับ มี ลักษณะคล้ายถุง นายวิลเลียม ฮาร์ วีย์ ชาวอังกฤษ ค้นพบว่าเลือดไหลไปทางเดียว และมีลิ้นควบคุมอยู่ 2 กลุ่ม 4 ลิ้น ชีพจร (Pulse) คือ การหดและคลายตัว ของหลอดเลือดในจังหวะเดียวกับการหดและ คลายตัวของ หัวใจ
  • 25.
  • 26. หน้าที่ของเลือด 1. ลำาเลียง O2 และ CO2 2. ลำาเลียงสารอาหารที่ลำาไส้เล็ก ไป สู่ เซลล์ 3. ลำาเลียงของเสียออกจากเซลล์ ไปสู่ อวัยวะขับถ่าย 4. ลำาเลียงภูมคุ้มกัน ิ 5. รักษาอุณหภูมของร่างกาย ิ
  • 28. ระบบนำ้าเหลือง ( Lymphatic system ) ประกอบด้วย - นำ้าเหลือง ( Lymph ) เป็นของเหลวทีซึมผ่าน ่ เส้นเลือดฝอยออกมาหล่อเลี้ยงอยู่รอบๆเซลล์ ประกอบด้วย กลูโคส อัลบูมน ฮอร์โมน ิ เอนไซม์ ก๊าซ เซลล์เม็ดเลือดขาว ( แต่ไม่มี เซลล์เม็ดเลือดแดงและเพลตเลต ) - ท่อนำ้าเหลือง ( Lymph vessel ) มีหน้าที่ ลำาเลียงนำ้าเหลืองทั่วร่างกายเข้าสู่เส้นเวนใหญ่ ใกล้หัวใจ(Subclavian vein) ปนกับเลือดที่มี ออกซิเจนน้อย ท่อนำ้าเหลืองมีลิ้นกั้นคล้ายเส้น เวนและมีอัตราการไหลช้ามากประมาณ 1.5 มิลลิเมตรต่อนาที - อวัยวะนำ้าเหลือง ( Lymphatic organ ) 1) ต่อมนำ้าเหลือง ( Lymph node ) - พบทั่วร่างกาย ภายในมีลิมโฟไซต์อยู่
  • 29. 2) ม้าม ( Spleen ) - เป็นอวัยวะนำ้าเหลืองที่มขนาดใหญ่ที่สุด ี - มีหน้าที่ผลิตเซลล์เม็ดเลือด ( เฉพาะในระยะเอม บริโอ ) ป้องกันสิ่ง แปลกปลอมและเชื้อโรคเข้าสู่ กระแสเลือด สร้างแอนติบอดี ทำาลายเซลล์ เม็ด เลือดแดงและเพลตเลตที่หมดอายุ 3) ต่อมไทมัส ( Thymus gland ) - เป็นเนื้อเยื่อนำ้าเหลืองที่เป็นต่อมไร้ท่อ - สร้างลิมโฟไซต์ชนิดเซลล์ที เพื่อต่อต้านเชือ้ โรคและอวัยวะปลูก ถ่ายจากผู้อน ื่  ข้อควรจำา การไหลของนำ้าเหลืองในท่อเหลือง เกิดขึ้นจากการ หดและคลายตัวของกล้ามเนือที่อยู่รอบๆ ท่อนำ้า ้
  • 31. ระบบหายใจ  ทำาหน้าทีแลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจนและ ่ คาร์บอนไดออกไซด์ในระบบนี้ ประกอบด้วย อวัยวะสำาคัญ ได้แก่ 1. จมูก เป็นอวัยวะส่วนต้นของระบบหายใจ ทำาหน้าทีเป็นทางผ่านของอากาศ ช่วยกรอง ่ ฝุ่น ละออง และเชื้อโรคบางส่วนก่อนอากาศ จะผ่านไปสู่อวัยวะอื่นต่อไป 2. หลอดคอ (Pharynx) เมื่ออากาศผ่านรูจมูกแล้วก็ผ่านเข้าสู่ หลอดคอ ซึ่งเป็นหลอดตั้งตรงยาวประมาณ ยาวประมาณ 5 นิ้ว หลอดคอติดต่อทั้งช่อง ปากและช่องจมูก จึงแบ่งเป็นหลอดคอส่วน จมูก กับ หลอดคอส่วนปาก โดยมีเพดานอ่อน เป็นตัวแยกสองส่วนนี้ออกจากกัน โครงของ
  • 32. 3. หลอดเสียง (Larynx) เป็นหลอดยาวประมาณ 4.5 cm ใน ผู้ชาย และ 3.5 cm ในผู้หญิง หลอดเสียงเจ ริญเติยโตขึ้นมาเรื่อยๆ ตามอายุ ในวัยเริ่ม เป็นหนุ่มสาว หลอดเสียงเจริญขึ้นอย่าง รวดเร็ว โดยเฉพาะในผู้ชาย เนื่องจากสาย เสียง (Vocal cord) ซึ่งอยู่ภายในหลอด เสียงนี้ยาวและหนาขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป จึงทำาให้เสียงแตกพร่า การเปลี่ยนแปลงนี้ เกิดจากฮอร์โมนของเพศชาย 4. หลอดลม (Trachea) เป็นส่วนที่ต่ออกมาจากหลอดเสียง ยาว ลงไปในทรวงอก ลักษณะรูปร่างของ
  • 33. 5. ปอด (Lung) เป็นอวัยวะที่สำาคัญที่สุดของระบบหายใจ มี อยู่สองข้าง วางอยู่ในทรวงอก มีรูปร่างคล้าย กรวย มีปลายหรือยอดชี้ขึ้นไปข้างบนและไป สวมพอดีกับช่องเปิดแคบๆของทรวงอก ซึ่ง ช่องเปิดแคบๆนี้ประกอบด้วยซี่โครงบนของ กระดูกสันอกและกระดูกสันหลัง ฐานของปอด แต่ละข้างจะใหญ่และวางแนบสนิทกับกระบัง ลม ระหว่างปอด 2 ข้าง มีหัวใจอยู่ ปอดข้างขวา จะโตกว่าปอดข้างซ้ายเล็กน้อย และมีอยู่ 3 ก้อน ส่วนข้างซ้ายมี 2 ก้อน หน้าทีของปอด คือ การนำาก๊าซ CO2 ออก ่ จากเลือด และนำาออกซิเจนเข้าสู่เลือด ปอดจึง มีรูปร่างใหญ่ มีลักษณะยืดหยุ่นคล้ายฟองนำ้า
  • 34.
  • 35.
  • 37. ระบบขับถ่ายของเสีย  ระบบขับถ่ายมีอวัยวะต่าง ๆ ทำาหน้าที่ขับถ่าย หรือกำาจัดของเสียที่ร่างกายไม่ตองการออกจาก ้ ร่างกาย คือ ปัสสาวะและเหงื่อขับออกโดย ไต และต่อมเหงื่อ อุจจาระขับออกโดยลำาไส้ใหญ่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขับออกโดยปอด อวัยวะ หน้าที่ในระบบขับถ่าย ปอด ขับแก๊ส ผิวหนัง คาร์บอนไดออกไซด์ ขับนำ้าและเกลือ ออกในรูป ไต ของ สสาวะ ขับปั เหงื่อ ลำาไส้ ขับกากทีเป็นของแข็งจาก ่ อาหารออกทางทวารหนัก
  • 38. ไต (Kidney) ทำาหน้าทีกำาจัดของเสียในรูป ่ ของนำ้าปัสสาวะ มี 1 คู่ รูปร่างคล้ายเมล็ด ถั่วดำา อยู่ในช่องท้องสองข้างของกระดูกสัน หลังระดับเอว ถ้าผ่าไตตามยาวจะพบว่าไต ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 2 ชั้น คือ เปลือกไต ชั้นนอกกับเปลือกไตชั้นใน มีขนาดยาว ประมาณ 10 เซนติเมตร กว้าง 6 เซนติเมตร หนา 3 เซนติเมตร บริเวณตรง กลางของไตมีส่วนเว้าเป็นกรวยไต มีหลอด ไตต่อไปยังกระเพาะปัสสาวะ ไตแต่ละข้างประกอบด้วยหน่วยไต (nephron) นับล้านหน่วยเป็นท่อที่ขดไปมา
  • 39.
  • 40.  ระบบขับถ่ายปัสสาวะ ระบบขับถ่ายปัสสาวะเป็นระบบหลัก ของร่างกายทีเกี่ยวข้องกับกระบวนการ ่ ขจัดสิงที่รางกายไม่ตองการ   ปอดและ ่ ่ ้ ผิวหนังรวมอยู่ในกระบวนการนี้ ด้วย    ซึงทำาหน้าขจัดแก๊ส ่ คาร์บอนไดออกไซด์และเหงื่อตาม ลำาดับ  อวัยวะทีทำาหน้าที่ขับถ่ายปัสสาวะ ่ ประกอบด้วย ไต หลอดไต กระเพาะ ปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ ไตเป็น อวัยวะทีสำาคัญทีสุด มีรปร่างคล้าย ่ ่ ู
  • 41. การบำารุงและดูแลรักษาไต ควรปฏิบติ ั ดังนี้ 1. ดืมนำ้าสะอาดให้เพียงพอกับความ ่ ต้องการของร่างกาย 2. ไม่รบประทานอาหารทีมีรสเค็มจัด ั ่ 3. ไม่กลันปัสสาวะเป็นเวลานาน ๆ ้ 4. หากมีอาการผิดปกติควรรีบปรึกษา แพทย์
  • 42.
  • 43.  ระบบการขับถ่ายเหงือ ่ อวัยวะสำาคัญที่ทำาหน้าที่ขบเหงือ ั ่ ออกจากร่างกาย คือ ต่อมเหงือ ซึ่ง่ อยูใต้ ผิวหนัง ทำาหน้าที่กลั่นกรอง ่ เอาเกลือแร่และนำ้าทีเป็นของเสียที่ ่ ปนอยูในกระแสเลือด และขับ ออก ่ ในรูปของเหงื่อไปตามท่อของต่อม เหงือ ออกทางรูเหงือทีผิวหนัง การ ่ ่ ่ ขับถ่ายดังกล่าวยัง เป็นการระบาย ความร้อนออกนอกร่างกายด้วย ฉะนันเราจึงควรออกกำาลังกาย ้
  • 44.
  • 45. ระบบขับถ่ายของสัตว์  การขับถ่ายของเสีย ในรูปของเหลว ออกจาก ร่างกายเพื่อให้สิงมีชีวิตอยู่ได้ เป็นการกำาจัดสารที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและ เป็นการรักษาระดับสมดุลของของเหลวในร่างกาย 1. Contractile vacuoles: คอนแทรก ไทล์แวคิวโอล มี ลักษณะเป็นถุงบางๆใช้ในการขับนำ้า ออกจากสิ่งมีชวิตเซลล์เดียวในนำ้าจืดโดยที่นามากเกิน ี ำ้ ปกติจะเข้าไปในแวคิวโอลตามช่องเล็กๆ จำานวนมากที่ อยู่รอบๆแวคิวโอล เมือแวคิวโอลขยายเต็มที่จะเกิดหด ่ ตัวและมีแรงดันให้นำ้าพุ่งออกไปนอกเยื้อหุมเซลล์ ้ 2.Nephrida or nephridium: เนฟริเดีย เป็นท่อขับถ่ายในหนอนใส้เดือน ตัวอ่อนของแมลง ต่างๆ และสัตว์จำาพวกมอลลัสก์ หลายชนิด เช่น ทาก หนอน ที่มการพัฒนาการสูงขึ้นจะเก็บสะสมของเสียไว้ ี ในช่องลำาตัว หนอนที่มการพัฒนาน้อยและตัวอ่อน ี ของพวกมอลลัสก์ จะมีส่วนที่เรียกว่า โปรโทเนฟริ เดียม ของเสียในรูปของเหลวจะไหลเข้าไปในท่อกลวง
  • 46.
  • 47. 6. ระบบโครงกระดูก  ระบบโครงกระดูก เป็นระบบที่ทำาหน้าที่เป็นเครือง ่ คำ้าจุนร่างกายให้คงรูปอยู่ได้ และช่วยในการ เคลื่อนไหวและเคลื่อนที่  ส่วนประกอบของระบบโครงกระดูก กระดูก กระดูกอ่อน เอ็นลิกาเมนต์ เอ็นเท็นดอน  โครงกระดูกทำาหน้าที่เป็นโครงหลักสำาหรับให้กล้าม เนื้อและเอ็นมายึดเพื่อให้รางกายคงรูปอยู่ได้ และ ่ ป้องกันอันตรายให้แก่วัยวะบางส่วนของร่างกาย นอกจากนียังเป็นที่อยูของเนือสร้างเม็ดเลือดด้วย ้ ่ ้ 
  • 48. โครงกระดูกของคนมี 206 ชิ้น แบ่งออก เป็น 2 กลุ่มตามตำาแหน่ง ที่อยู่ ได้แก่ 3. โครงกระดูกแกน โครงกระดูกแกนในผู้ใหญ่ประกอบ ด้วยกระดูกจำานวน 80 ชิ้น ซึ่งวางตัว ในแนวแกนกลางของลำาตัว ซึ่งได้แก่  กะโหลกศีรษะ (Skull) มีจำานวน 22 ชิน ้  กระดูกหู (Ear ossicles) จำานวน 6 ชิน ้  กระดูกโคนลิ้น (Hyoid bone) 1 ชิน ้
  • 49. 2. โครงกระดูกรยางค์ โครงกระดูกรยางค์ในผู้ใหญ่จะมี ทังหมด 126 ชิน ซึงจะอยู่ในส่วนแขน ้ ้ ่ และขาของร่างกายเพื่อช่วยในการ เคลื่อนไหว โดยจะแบ่งออกเป็น 6 ส่วน ได้แก่  กระดูกส่วนไหล่ (Shoulder girdle) 4 ชิ้น  กระดูกแขน (Bones of arms) 6 ชิ้น  กระดูกมือ (Bones of hands) จำานวน 54 ชิ้น  กระดูกเชิงกราน (Pelvic girdle) 2 ชิ้น
  • 50.
  • 51. 7. ระบบกล้ามเนื้อ  ในร่างกายมนุษย์ มีกล้ามเนื้อมากกว่า 500 มัด นำ้าหนักรวมกันประมาณครึ่ง หนึ่งของร่างกายแบ่งออก เป็น 3 กลุม ่ ก. เซลล์กล้ามเนือลาย (reticular ้ muscle) พบ ตาม แขน ขา ติดกับ กระดูก ทำางานหนัก อยู่ใต้อำานาจ จิตใจ ข. เซลล์กล้ามเนื้อเรียบ (smooth muscle) พบตาม อวัยวะภายใน เช่น
  • 52.
  • 56. ความสำาคัญของกล้ามเนื้อ (The Muscle) การเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ของร่างกาย สัตว์และส่วนต่างๆ ของร่างกายมีตนเหตุ ้ มา จากการทำางานของกล้ามเนื้อด้วยการ หดตัว (contraction) จะมีข้อยกเว้นบ้าง บางอย่าง เช่น การเคลื่อนไหวนันอาจ ้ เกิดจากแรงโน้มถ่วงของโลก (gravity) หรือ แรงภายนอก ร่างกายได้ นอกจากนี้ กล้ามเนื้อยังทำาหน้าที่ชวยป้องกันการ ่ เคลือนไหวของข้อต่อ (ช่วย ให้ข้อต่อมี ่
  • 58. ระบบภูมิคมกัน ุ้  เชื้อโรคทุกชนิดจะมีสารเคมีที่ผิวเซลล์ เรียก ว่า “แอนติเจน” (antigen) เมื่อร่างกายเราได้ รับเชื้อ โรค ร่างกายเราก็จะสร้างสารเคมีต่อ ต้าน เรียกว่า “แอนติบอดี” (antibody)อยู่ใน กระแสเลือด ซึ่งจะ จับกับแอนติเจนที่ผิวของ เชื้อโรค เฉพาะตัวกันเท่านั้น 1. เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด ลิมโฟไซต์ ในต่อม นำ้าเหลือง สามารถสร้างสาร แอนติทอกซิน เพื่อทำาลายสารพิษทีเชื้อโรคสร้างขึ้นได้ด้วย ่ 2. เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดฟาโกไซต์ สามารถ ทำาลายเชื้อโรคได้ด้วย เรียกว่า “ฟาโกไซโต ซีส” เมื่อมีข้าศึกคือเชื้อโรค หรือสิ่งแปลก
  • 59. แต่หากผู้บุกรุกมีจำานวนมากหรือ ร้ายกาจจนหน่วยรบแนวหน้าสูไม่ไหว ้ ร่างกายจำาเป็นต้องพึ่ง ทหารหน่วยรบ แนวหลังอีกกลุมร่วมด้วย คือ ลิมโฟไซต์ ่ (Lymphocyte) ซึงแบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือ ่ ทีเซลล์ (T-lymphocyte หรือ Killer cell) ซึ่งเป็นเซลล์นักฆ่า ที่ออกตามล่า ศัตรูทยังเหลือ ี่ บีเซลล์ (B-Lymphocyte) จะช่วยที เซลล์ เมือทีเซลล์รบมือกับเชื้อโรคไม่ได้ ่ ั บีเซลล์จะทำาหน้าทีเฉพาะกิจทีสามารถ ่ ่ กวาดล้างเชื้อโรค โดยการสร้างสาร ภูมคมกันเฉพาะโรคหรือแอนติบอดีขึ้น ิ ุ้
  • 60. ภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ ได้แก่ 1) ภูมิคุ้มกันโดยกำาเนิด ( Innate immunity ) เป็นการป้องกันและ กำาจัดแอนติเจนทีเกิดขึ้นเองใน ่ ร่างกาย ก่อนทีร่างกายจะได้รับ ่ แอนติเจน มีหลายรูปแบบ เช่น - เหงือ มีกรดแลกติกป้องกันเชื้อโรค ่ เข้าสู่ร่างกายทางผิวหนัง - หลอดลม โพรงจมูก มีขน ซิเลีย และนำ้าเมือกดักจับสิงแปลกปลอม ่ - กระเพาะอาหาร และลำาไส้เล็กมี
  • 61. การสร้างระบบภูมิคุ้มกันต่อต้าน เฉพาะโรคของมนุษย์มี 2 วิธี • ภูมิคุ้มกันก่อเอง ( Active immunization ) - เกิดจากการนำาเชื้อโรคทีอ่อนกำาลัง ซึง ่ ่ เรียกว่า วัคซีน (vaccine) มาฉีด กิน ทา เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีต่อ ต้านเชื้อนันๆ ้ - วัคซีนทีเป็นสารพิษและหมดความเป็นพิษ ่ แล้ว เรียกว่า ทอกซอยด์ (toxoid) สามารถ กระตุ้นให้สร้างภูมิคุ้มกันได้ เช่น วัคซีนคุ้ม กันโรคคอตีบ บาดทะยัก - วัคซีนทีได้จากจุลนทรีย์ทตายแล้ว เช่น ่ ิ ี่ โรคไอกรน ไทฟอยด์ อหิวาตกโรค - วัคซีนทีได้จากจุลนทรีย์ทยงมีชีวิตอยู่ เช่น ่ ิ ี่ ั
  • 62. 2) ภูมิคุ้มกันรับมา ( Passive immunization ) - เป็นการนำาซีรัมทีมีแอนติบอดีอยูมาฉีด ่ ่ ให้ผู้ปวย ทำาให้ได้รับภูมิคุ้มกันโดยตรง ่ ต่อต้านโรคได้ทนที ั - ใช้รักษาโรครุนแรงเฉียบพลัน เช่น คอตีบ พิษงู - ซีรัม ผลิตจากการฉีดเชื้อโรคทีอ่อน่ กำาลังเข้าในสัตว์ แล้วนำาซีรัมของสัตว์ที่ มีแอนติบอดีรักษาโรคในมนุษย์ - ภูมิคุ้มกันทีแม่ให้ลกผ่านทางรกและ ่ ู
  • 63. ข้อควรจำา * ทอกซอยด์ ( TOXOID ) ทำามาจากสาร พิษที่หมดสภาพความเป็นพิษ เช่น คอตีบ บาดทะยัก * วัคซีน เป็นเชื้อโรคที่กำาลังอ่อนกำาลังหรือ ตายแล้ว แต่ยังมีแอนติเจน ที่สามารถไป กระตุ้นให้ร่างกาย สร้าง แอนติบอดี เพื่อ ทำาลายเชื้อโรคก่อนที่จะเป็นอันตรายต่อ ร่างกาย ดังนั้นเราจึงต้องได้รับวัคซีนให้ ครบทุกชนิด * เซรุ่ม เป็นสาร แอนติทอกซิน ที่สร้างมา จากทีอื่น เพื่อให้ทำาลายได้เร็วก่อนที่พิษจะ ่ เข้าสู่จุดดับของชีวิต
  • 65. ระบบต่อมไร้ท่อ ฮอร์โมน (hormone) คือสารเคมีที่สร้าง จากเนื้อเยื่อหรือต่อมไร้ท่อ แล้วถูกลำาเลียงไป ตามระบบหมุน เวียนของโลหิต เพื่อทำาหน้าที่ ควบคุมการเจริญเติบโต ควบคุมลักษณะทาง เพศ และควบคุม การทำางาน ของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย 1. ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง 1.1. ต่อมใต้สมองส่วนหน้า ทำาหน้าที่ผลิต ฮอร์โมน ดังนี้ - ฮอร์โมนโกรท (Growth hormone) ควบคุมการเจริญเติบโต ของร่างกาย โรคที่ เกิดจากมีฮอร์โมน โกรทในร่างกายมากเกิน ไป จะเป็นโรคอะโครเมกาลี (acromegaly) คือจมูก ปาก มือ เท้าใหญ่
  • 66. - ฮอร์โมนโพรแลกติน (prolactin) มีหน้า ที่กระตุ้นต่อมนำ้านม ให้สร้างนำ้านม - ฮอร์โมนอะดรีโนคอร์ติโคโทรฟิน (adrenocorticotrophin hormone) หรือ A.C.T.H ทำาหน้าทีกระตุ้น อะดรีนัล คอร์เทกซ์ ่ ของต่อมหมวกไตให้สร้างฮอร์โมนตามปกติ - ฮอร์โมนกระตุ้นไทรอยด์ (thyroid stimulating hormone) หรือ TSH ทำา หน้าทีกระตุ้นต่อมไทรอยด์ ให้หลั่งฮอร์โมน ่ ตาม ปกติ ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า จะควบคุมโดยฮอร์โมน ประสาทที่สร้างมา จากไฮโพทาลามัส
  • 67. 1.2. ต่อมใต้สมองส่วนกลาง ทำาหน้าที่ผลิต ฮอร์โมน ดังนี้ - ฮอร์โมนเมลาโนไซต์ (Melanocyte stimulating hormone) หรือ MSH ทำา หน้าที่ทำาให้รงควัตถุ ภายในเซล ผิวหนัง กระจายไปทั่วเซลล์ 1.3. ต่อมใต้สมองส่วนหลัง เซลนิวโรซีครีทอรี (neurosecretory cell) สร้างฮอร์โมน ได้แก่ - วาโซเพรสซิน (Vasopressin) หรือ ฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก ADH มีหน้าที่ดูดนำ้า กลับของ หลอดไต และกระตุ้นให้หลอด เลือดบีบตัว ถ้าขาดฮอร์โมนนี้จะเกิดการเบา
  • 68. - ออกซีโทซิน (Oxytocin) ทำาหน้าที่กระตุ้น กล้ามเนื้อเรียบและอวัยวะภายใน กระตุ้น กล้ามเนื้อ รอบต่อมนำ้านมให้ขับนำ้านม ฮอร์โมนนี้จะหลั่งออกมามากตอนคลอด เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อมดลูก บีบตัวขณะ คลอด ไอส์เลตออฟแลงเกอร์ฮานส์ ทำา หน้าทีสร้างฮอร์โมน ได้แก่ ่ 1. อินซูลิน สร้างจากเซลเบตา มีหน้าที่ รักษาระดับ นำ้าตาลในเลือดให้ปกติ 2. กลูคากอน (glucagon) สร้างมาจาก แอลฟาเซล มี หน้าที่กระตุ้นการสลายตัว ของไกลโคเจน จากตับให้เป็นนำ้าตาล
  • 69. 2. ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต - ฮอร์โมนกลูโคคอร์ติคอยด์ (Glucocorticoid hormone) ทำาหน้าที่ ควบคุมเมตาโบลิซึมของ คาร์โบไฮเดรต กระตุ้นการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตและ ไกลโคเจนเป็นกลูโคส และยังควบคุมสมดุล ของเกลือแร่ - ฮอร์โมนมิเนราโลคอทิคอยด์ (mineralocorticoid) ทำาหน้าที่ควบคุม สมดุลของนำ้าและเกลือแร่ใน ร่างกาย เช่น อัลโดสเตอโรน (aldosterone) ทำาหน้าที่ดูด โซเดียมกลับท่อหน่วยไต อะดรีนัล เมดุลลา ผลิตฮอร์โมนดังนี้ - อะดรีนาลิน (adrenalin) ทำาให้นำ้าตาล
  • 70. 3. ฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ - ไทรอกซิน (thyroxin) ทำาหน้าที่ ควบคุมอัตราการเผาผลาญอาหารต่าง ๆ ใน ร่างกาย ถ้าต่อม ไทรอยด์ไม่สามารถสร้าง ไทรอกซินจะทำาให้ เกิดโรคคอพอก , มิกซีดี มา แต่ถ้าสร้าง ฮอร์โมนมาก เกินไป ทำาให้ เกิดโรคคอพอกเป็นพิษ - แคลซิโทนนิน (Calcitonin) ทำาหน้าที่ ลดระดับแคลเซียมใน เลือด - พาราฮอร์โมน (parathormone) ทำา หน้าที่รักษาสมดุลและฟอสฟอรัสในร่างกาย ให้คงที่
  • 71. 4. ฮอร์โมนจากอวัยวะเพศ เพศชาย : ฮอร์โมนแอนโดรเจน (androgens) ประกอบ ไปด้วยเทสโทสเตอ โรน (testosteron) มีหน้าที่ควบคุม ลักษณะ เกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงของเพศชายใน ช่วงวัยรุ่น เพศหญิง : 1. เอสโทรเจน (estrogens) สร้างจากเซลล์ ฟอลลิเคิลในรังไข่ ฮอร์โมนนี้ จะตำ่าในขณะมีประจำาเดือน 2. ฮอร์โมนโปรเจสเทอ โรน(progesterone) สร้างจาก คอร์ปัสลู เทียม ควบคุมลักษณะเกี่ยวกับการ เปลี่ยนแปลงของร่างกายในช่วงวัยรุ่น 5. ฮอร์โมนจากต่อมไพนีล
  • 73. ระบบประสาท  ระบบประสาทเป็นศูนย์กลางที่ควบคุมการทำางาน ของร่างกาย ในการแสดงปฏิกริยาตอบสนอง ต่อสิ่ง ิ เร้า โดยทำาหน้าที่ประสานสัมพันธ์ระหว่างอวัยวะ สัมผัสกับอวัยวะมอเตอร์ ควบคุมการทำางาน ของ กล้ามเนือ การทำางานของต่อมและระบบต่าง ๆ ใน ้ ร่างกาย อีกทั้งเป็นศูนย์ของความรูสึกนึกคิด สติ ้ ปัญญา การเรียนรู้ ความจำา ตลอดจนการปรับตัวให้ เข้ากับสิ่งแวดล้อม ระบบประสาทประกอบด้วย 1. สมอง (Brain) เป็นศูนย์ควบคุมทั้งหมดของ ร่างกาย มีเยื่อหุม 3 ชั้น แบ่งสมองออกเป็น 3 ส่วน ้ 1.1 ซีรีบรัม(สมองส่วนหน้า) มีขนาดใหญ่ที่สุด ทำาหน้าที่รบความรูสึกและสั่งการ ั ้
  • 74. 2. ไขสันหลัง (Spinal cord) เป็นทางผ่าน ของกระแสประสาทต่อมาจากสมองบรรจุอยู่ ภายในกระดูกสันหลัง เป็นศูนย์กลาง ควบคุมการทำางานแบบ รีเฟลกซ์แอกชั่น คือ การตอบสนองแบบไม่ตั้งใจโดยไม่ผาน ่ สมอง เช่น การดีดเท้าเมื่อเคาะหัวเข่า การกระดกเท้าเมือเหยียบหนาม ่ 3. เส้นประสาท (Nerve) เส้นประสาท แต่ละเส้นจะมีเซลส์ประสาท (Neuron) หลาย ๆ เซลส์เรียงต่อกัน เซลส์ประสาท กระจายไป เลี้ยงทั้งร่างกาย มีประมาณ 12,000 ล้านเซลส์ ในไขสันหลังและสมองมี
  • 75. 11. ระบบผิวหนัง  ระบบผิวหนังเป็นระบบที่สำาคัญมาก เพราะเป็น ระบบที่ปกคลุมร่างกายและเป็นระบบที่ ใหญ่ ที่สุด หน้าทีของระบบผิวหนัง ่ 1. ป้องกันอันตรายจากแสงแดด สารเคมี ฯลฯ 2. รับความรู้สึก มีประสาทสัมผัส 3. ควบคุมการทำางานต่างๆ ภายใน ร่างกาย เป็นแหล่งสะสมพลังงานและสร้าง วิตามินดี 4. ควบคุมความร้อนของร่างกายโดยการ ทำางานของต่อมไร้ท่อ
  • 76. ผิวหนังแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1. ผิวหนัง ผิวหนังเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย มี 2 ชั้นได้แก่ 1.1 หนังกำาพร้า (Epidermis) คือ ผิวหนังที่อยู่ชั้นนอกสุด จะตายร่วงหลุดไป เซลล์ชั้นใต้จะสร้างขึ้นมาแทนที่ ผิวหนังจะมี melanocytes เป็น cell รูปดาว ทำาให้ อวัยวะที่มีมากมีสีคลำ้าทำาให้เกิดสีผิวแตก ต่างกัน แต่ถ้าไม่มี melanocytes จะทำาให้ เกิดเป็นคนเผือก จะมีผิวขาวสู้แสงไม่ได้ 1.2 หนังแท้ (Dermis) อยู่ลึกกว่า หนังกำาพร้า มีความยาวประมาณ 1-2 มิลลิเมตร รอยต่อของหนังกำาพร้าและหนัง แท้จะเป็นคลื่นที่ยื่นขึ้นและลง เป็นสันนูน เรียกว่า ลายมือ (Finger print) แต่ละคน
  • 77. ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยระบบต่างๆ ประกอบกันเป็นร่างกาย การทำางานของอวัยวะ จะทำางาน สัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ เช่น ระบบย่อยอาหาร ประกอบด้วยอวัยวะหลาย อวัยวะ ซึ่งอวัยวะบาง อวัยวะ ไม่มีสารย่อยแต่ เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหาร ระบบหมุนเวียน เลือดในร่างกาย อวัยวะที่ เกี่ยวข้องคือ หัวใจ เส้นเลือด การหดและการขยายตัวของ เส้นเลือดตามจังหวะการเต้นของหัวใจ เรียกว่า ชีพจร ระบบหายใจ การหายใจของมนุษย์มี ผลต่อการแลกเปลี่ยนแก๊สในถุงลมปอด ซึ่ง ประกอบด้วย อวัยวะต่างๆ คือ จมูก ปอด ถุง
  • 78. ขณะออกกำาลังกาย ร่างกายต้องใช้ พลังงานมาก จึงต้องการแก๊สออกซิเจน และสารอาหาร เพิ่มมากขึ้น เพื่อใช้ใน กระบวนการเปลี่ยนแปลงสารอาหารให้เกิด พลังงาน ระบบหายใจจึงต้อง ทำางานหนัก เราจึงหายใจถี่และเร็วเพื่อนำาแก็สออกซิเจน เข้าสู่ร่างกาย และนำาแก๊สคาร์บอนได ออกไซด์ออกไป การหมุนเวียนเลือดใน ร่างกายก็จะเป็นไปอย่างรวดเร็วหัวใจจะเต้น เร็วเพื่อสูบ ฉีดเลือดให้ทนต่อความต้องการ ั ของร่างกาย ของเสียในรูปของเหลวก็จะ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ระบบขับถ่ายของ ร่างกายก็จะขับเหงื่อออกจำานวนมาก หลัง จากออกกำาลังกายก็จะรู้สึกหิว และ กระหาย
  • 79. คำำถำมน่ำรู้กับควำมสำำคัญของระบบร่ำงกำย  1. ปริมาณของนำ้าปัสสาวะเข้าที่ถูกขับออกมาใน แต่ละวันจะมากหรือน้อย  ขึนอยู่กับปัจจัยใดเป็นสำาคัญ ้  ก. นำ้าหนักตัว ข. การใช้ พลังงาน  ค. ปริมาณนำ้าที่เข้าสู่ร่างกาย ง. ประสิทธิภาพในการทำางานของไต.  2. จุดแลกเปลี่ยนอากาศดีและอากาศเสียคือข้อใด  ก. จมูก ข. ถุงลม  ค. ขั้วปอด ง. หลอดลม
  • 80. 3. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่คนเราหายใจออกมาเกิด จากอะไร ก. การเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ในร่างกาย ข. พลังงานที่เกิดขึ้นที่กล้ามเนื้อของคนเรา ค. ปฏิกิรยาในการเผาผลาญสารอาหารใน ิ เซลล์กล้ามเนื้อ ง. การแลกอากาศกันของก๊าซออกซิเจนกับ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  อากาศบริสุทธิ์ที่คนเราหายใจเข้าไปจะมีก๊าซออกซิเจน และไนโตรเจนเป็นอัตราส่วนตามข้อใด  ก. ออกซิเจน : ไนโตรเจน = 1 : 4 ข. ออกซิเจน : ไนโตรเจน = 4 : 1  ค. ไนโตรเจน : ออกซิเจน = 1 : 5 ง. ไนโตรเจน : ออกซิเจน = 5 : 1
  • 81. 5. อวัยวะที่เปรียบเสมือนถังเก็บจ่ำยนำำำไปยัง อำคำรบ้ำนเรือน ก. ปอด ข. หัวใจ ค. เส้นเลือด ง. กล้ำมเนืำอลำย 6. เม็ดเลือดประกอบไปด้วยสิ่ง ใด ก. เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดดำำ เม็ด เลือดขำว ข. เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขำว เกล็ดเลือด ค. เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขำว พลำสมำ ง. เม็ดเลือดแดง เกล็ดเลือด พลำสมำ
  • 82. 7. อุณหภูมิในร่างกายคนปกติ คือเท่าใด ก. 35 องศาเซลเซียส ข. 36 องศาเซลเซียส ค 37 องศาเซลเซียส ง. 38 องศาเซลเซียส8. ใน ร่างกายของคนเราประกอบด้วยนำ้า กี่ เปอร์เซ็นต์ ก. 80 % ข. 75 % ค. 70 % ง. 38 % 9. ผิวหนังประกอบด้วยกี่ส่วน ก. 1 ส่วน ข. 2 ส่วน ค. 3 ส่วน ง. 4 ส่วน 10. เซลล์ชั้นในสุดที่เรียกว่า Stratum Germin ativum มีหน้าที่อย่างไร ก. ผลิตสีผว ิ
  • 83. เฉลย  ค. 2. ข. 3. ค 4. ก 5. ข  6. ข 7. ค 8. ข 9. ข 10. ก