SlideShare a Scribd company logo
1 of 171
ดุลยภาพของชีวิตและดุลยภาพของชีวิตและ
การดำารงชีวิตการดำารงชีวิต
ระบบหายใจระบบหายใจ
 เพราะเหตุใดสิ่งมีชีวิตจึงต้องเพราะเหตุใดสิ่งมีชีวิตจึงต้อง
หายใจหายใจ????
เพื่อนำาออกซิเจนเข้าไปสลายเพื่อนำาออกซิเจนเข้าไปสลาย
อาหารเพื่อให้ได้พลังงานออกอาหารเพื่อให้ได้พลังงานออก
มาในรูปของมาในรูปของ ATPATP
ครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สขอ
สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวและของสัตว์
ครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สขอ
สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวและของสัตว์
โครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนก๊าซของสิ่งมีโครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนก๊าซของสิ่งมี
ชีวิตเซลล์เดียวชีวิตเซลล์เดียว
เซลล์สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นนำ้าเซลล์สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นนำ้า
ตลอดเวลา มีการแลกเปลี่ยนแก๊สกับสิ่งตลอดเวลา มีการแลกเปลี่ยนแก๊สกับสิ่ง
แวดล้อมโดยตรงโดยผ่านแวดล้อมโดยตรงโดยผ่าน เยื่อหุ้มเซลล์เยื่อหุ้มเซลล์
พารามีเซียม อะมีบา ยูกลีนา
พารามีเซียม อะมีบา
การแลกเปลี่ยนก๊าซของสัตว์การแลกเปลี่ยนก๊าซของสัตว์
สัตว์หลายเซลล์ขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในสัตว์หลายเซลล์ขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ใน
   นำ้า ที่ยังไม่มีระบบหมุนเวียนเลือด จะมี   นำ้า ที่ยังไม่มีระบบหมุนเวียนเลือด จะมี
การแลกเปลี่ยนแก๊สผ่านการแลกเปลี่ยนแก๊สผ่านเยื่อหุ้มเซลล์เยื่อหุ้มเซลล์
ไฮดรา พลานาเลีย
ฟองนำ้า
การแลกเปลี่ยนก๊าซของไส้เดือนดินการแลกเปลี่ยนก๊าซของไส้เดือนดิน
 อาศัยอาศัย 33 ส่วนสำาคัญคือส่วนสำาคัญคือ

ผิวหนังผิวหนัง เป็นบริเวณที่ใช้ในการแลกเป็นบริเวณที่ใช้ในการแลก
เปลี่ยนก๊าซจากภายนอกเข้าสู่ภายในโดยเปลี่ยนก๊าซจากภายนอกเข้าสู่ภายในโดย
อาศัยกระบวนการแพร่อาศัยกระบวนการแพร่

เส้นเลือด ได้แก่เส้นเลือด ได้แก่
• เส้นเลือดขนาดใหญ่ด้านบน รับเส้นเลือดขนาดใหญ่ด้านบน รับ O2O2
จากผิวหนัง และกำาจัดจากผิวหนัง และกำาจัด Co2Co2 ออกทางออกทาง
ผิวหนังผิวหนัง
• เส้นเลือดฝอย กระจายไปทั่วเพื่อนำาเส้นเลือดฝอย กระจายไปทั่วเพื่อนำา
นักเรียนคิดว่าเพราะเหตุใดผิวหนังของนักเรียนคิดว่าเพราะเหตุใดผิวหนังของ
ไส้เดือนดินจึงสามารถแลกเปลี่ยนก๊าซไส้เดือนดินจึงสามารถแลกเปลี่ยนก๊าซ
ได้ได้
 ผิวหนังของไส้เดือนดินจะบางและมีการผิวหนังของไส้เดือนดินจะบางและมีการ
ขับสารเมือกออกมาเพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้นขับสารเมือกออกมาเพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้น
ช่วยในการแลกเปลี่ยนแก๊ส และมีระบบช่วยในการแลกเปลี่ยนแก๊ส และมีระบบ
ไหลเวียนเลือดช่วยในการลำาเลียงแก๊สไหลเวียนเลือดช่วยในการลำาเลียงแก๊ส

โครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยน
แก๊สต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. ผนังบาง
2. พิ้นที่ผิวมาก
3. มีความชุ่มชื้น
โครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยน
แก๊สต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. ผนังบาง
2. พิ้นที่ผิวมาก
3. มีความชุ่มชื้น
การแลกเปลี่ยนก๊าซของแมลงการแลกเปลี่ยนก๊าซของแมลง
 แมลงมีโครงร่างแข็งภายนอกและผิวภายนอกค่อนแมลงมีโครงร่างแข็งภายนอกและผิวภายนอกค่อน
ข้างแห้งและแข็งจึงไม่สามารถแลกเปลี่ยนก๊าซที่ข้างแห้งและแข็งจึงไม่สามารถแลกเปลี่ยนก๊าซที่
ผิวหนังได้ จะลำาเลียงโดยระบบท่อลมผิวหนังได้ จะลำาเลียงโดยระบบท่อลม
tracheoletrachea
Air sac
spiracle
tracheatrachea tracheoletracheole cellcell
 ระบบท่อลมของแมลงเป็นโครงสร้างที่ใช้ระบบท่อลมของแมลงเป็นโครงสร้างที่ใช้
ในการแลกเปลี่ยนแก๊ส ประกอบด้วยในการแลกเปลี่ยนแก๊ส ประกอบด้วย
 รูหายใจรูหายใจ (spiracle)(spiracle) อากาศจะผ่านจากรูอากาศจะผ่านจากรู
หายใจซึ่งอยู่ข้างลำาตัวเข้าสู่ท่อลมหายใจซึ่งอยู่ข้างลำาตัวเข้าสู่ท่อลม
(trachea)(trachea) ซึ่งเป็นท่อขนาดเล็กแตกแขนงซึ่งเป็นท่อขนาดเล็กแตกแขนง
อยู่ภายในร่างกาย มีขนาดเล็กและผนังบางอยู่ภายในร่างกาย มีขนาดเล็กและผนังบาง
ลงเรื่อยๆ เรียกว่า ท่อลมฝอยลงเรื่อยๆ เรียกว่า ท่อลมฝอย (tracheole)(tracheole)
โดยจะแทรกไปตามเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกายโดยจะแทรกไปตามเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย
โครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สโครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊ส
ของแมลงที่บินได้ จะแตกต่างจากแมลงของแมลงที่บินได้ จะแตกต่างจากแมลง
โดยทั่วไปอย่างไรโดยทั่วไปอย่างไร
 แมลงที่บินได้มีถุงลมเพื่อช่วยในการบินแมลงที่บินได้มีถุงลมเพื่อช่วยในการบิน
ดังนี้ดังนี้
 รูหายใจรูหายใจ ท่อลมท่อลม ถุงลมถุงลม (air sac)(air sac) →→ ท่อท่อ
ลมฝอยลมฝอย  เซลล์เซลล์
 แมลงที่บินไม่ได้แมลงที่บินไม่ได้
 รูหายใจรูหายใจ (spiracle)(spiracle) →→ ท่อลมท่อลม (trache)(trache)→→
ท่อลมฝอยท่อลมฝอย (trachole)(trachole)→→ เซลล์เซลล์ (cell)(cell)
แมงมุมแมงมุม
แมงมุมใช้ ปอด
แผง(Book
lung)ในการแลก
เปลี่ยนก๊าซ
ปลาปลา
 เหงือกเหงือก (gill)(gill) สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในนำ้า เช่นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในนำ้า เช่น
หอย ปู กุ้ง ปลา จะมีเหงือกเป็นโครงสร้างที่ใช้หอย ปู กุ้ง ปลา จะมีเหงือกเป็นโครงสร้างที่ใช้
ในการแลกเปลี่ยนแก๊สในการแลกเปลี่ยนแก๊ส
    เส้นเหงือกเส้นเหงือก (gill filament)(gill filament) มีลักษณะเป็นซี่มีลักษณะเป็นซี่
เส้นเล็กๆ งอกออกมาจากกระดูกคำ้าเหงือกเส้นเล็กๆ งอกออกมาจากกระดูกคำ้าเหงือก
 ช่องเหงือกช่องเหงือก (gill slit)(gill slit) คือ ช่องว่างระหว่างคือ ช่องว่างระหว่าง
เส้นเหงือกแต่ละเส้น เมื่อปลาฮุบนำ้าเส้นเหงือกแต่ละเส้น เมื่อปลาฮุบนำ้า
 ส่วนที่เป็นกระดูกแก้มจะเปิดออกเพื่อให้นำ้าไหลส่วนที่เป็นกระดูกแก้มจะเปิดออกเพื่อให้นำ้าไหล
ผ่านเส้นเหงือก ซึ่งมีผนังบาง และมีหลอดเลือดผ่านเส้นเหงือก ซึ่งมีผนังบาง และมีหลอดเลือด
ฝอยมาหล่อเลี้ยงมากมายเมื่อนำ้าไหลผ่านแก๊สฝอยมาหล่อเลี้ยงมากมายเมื่อนำ้าไหลผ่านแก๊ส
ออกซิเจนที่ละลายอยู่ในนำ้าจะแพร่เข้าสู่หลอดออกซิเจนที่ละลายอยู่ในนำ้าจะแพร่เข้าสู่หลอด
เลือดฝอย และลำาเลียงไปยังส่วนต่างๆ ของเลือดฝอย และลำาเลียงไปยังส่วนต่างๆ ของ
ร่างกายร่างกาย
นกนก
ปอดของนกแตกต่างจากปอดของสิ่งปอดของนกแตกต่างจากปอดของสิ่ง
มีชีวิตอื่นๆ อย่างไร ลักษณะดังกล่าวมีชีวิตอื่นๆ อย่างไร ลักษณะดังกล่าว
เหมาะสมต่อเหมาะสมต่อการดำารงชีวิตอย่างไรการดำารงชีวิตอย่างไร

((ปอดของนกจะมีถุงลมปอดของนกจะมีถุงลม (air sac)(air sac) ซึ่งช่วยซึ่งช่วย
ในการสำารองอากาศในการบินทำาให้ในการสำารองอากาศในการบินทำาให้
อากาศบริสุทธิ์ผ่านปอดทั้งเข้าและออกอากาศบริสุทธิ์ผ่านปอดทั้งเข้าและออก
ทำาให้ปอดแลกเปลี่ยนแก๊สได้ทำาให้ปอดแลกเปลี่ยนแก๊สได้ 22 ครั้ง ช่วยครั้ง ช่วย
ระบายความร้อน ช่วยในการบิน เพราะถุงระบายความร้อน ช่วยในการบิน เพราะถุง
ลมจะแทรกตามอวัยวะต่างๆ ทำาให้ตัวเบาลมจะแทรกตามอวัยวะต่างๆ ทำาให้ตัวเบา
บินขึ้นสู่ที่สูงได้บินขึ้นสู่ที่สูงได้))
การแลกเปลี่ยนก๊าซของนกการแลกเปลี่ยนก๊าซของนก
ถุงลมของนกทำาหน้าที่แลกเปลี่ยนถุงลมของนกทำาหน้าที่แลกเปลี่ยน
แก๊สได้หรือไม่ เพราะเหตุใดแก๊สได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
 ไม่ได้ เพราะผนังหนาและไม่ได้ เพราะผนังหนาและ
มีหลอดเลือดฝอยมาหล่อมีหลอดเลือดฝอยมาหล่อ
เลี้ยงน้อยเลี้ยงน้อย
การแลกเปลี่ยนแก๊สของกบ
กบ , คางคก
- ขณะเป็นตัวอ่อน
ว่ายอยู่ในนำ้า ใช้
เหงือกและผิวหนัง
ในการหายใจ
- พอเจริญเติบโต
ใช้ปอดและ
ผิวหนังในการ
หายใจ
ปลิงทะเลปลิงทะเล
อวัยวะที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนอวัยวะที่ใช้ในการแลกเปลี่ยน
แก๊ส คือแก๊ส คือ Respiratory treeRespiratory tree
  
แมงดา
ช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊ส คือ book gill (แผ
รงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สของ
ท่อลม
หลอดลม
ออกซิเจน = ถุงลม หลอด
เลือดฝอย
ออกซิเจน = ถุงลม หลอด
เลือดฝอย
การแลกเปลี่ยนแก๊ส
การหายใจเข้าออกการหายใจเข้าออก
 การหายใจเข้า (Inspiration)
 1.กะบังลมหดตัว เป็นการช่วยเพิ่มปริมาตร
ของช่องอกในแนวดิ่ง
 2. กระดูกซี่โครงยกตัวสูงขึ้น เป็นการช่วย
เพิ่มปริมาตรของช่องอกในแนวรัศมี
 การหายใจออก (Expiration)
 1. กะบังลมคลายตัว กลับเข้าตำาแหน่งเดิม
 2. กระดูกซี่โครงลดระดับตำ่าลง
O2 เข้าไปในปอดเข้าสู่เส้นเลือดฝอยที่อยู่
รอบ ๆ ถุงลม รวมกับ hemoglobin ใน
เซลล์เม็ดเลือดแดงกลายเป็น
oxyhemoglobin แล้วลำาเลียงไปยัง
เนื้อเยื่อต่าง ๆ จากนั้น O2 ก็จะแพร่จาก
เส้นเลือดฝอยให้แก่เนื้อเยื่อ และถูก
ลำาเลียงต่อไปเพื่อรับ O2 ที่ปอดใหม่
การแลกเปลี่ยนแก๊สเกิดที่ปอดและเซลล์ของเน
การควบคุมการหายใจ
 กลไกการควบคุมการหายใจจะเกี่ยวข้อง
กับระบบประสาทโดยมีการควบคุม 2 ส่วน
คือ
 1. การควบคุมแบบอัตโนวัติิ ซึ่งเป็นการ
หายใจที่ไม่สามารถบังคับได้ โดยมีสมอง
ส่วนพอนด์และเมดัลลา ออบลองกาตา
เป็นตัวสร้างและส่งสัญญาณประสาทไป
กระตุ้นกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการ
หายใจทำาให้การหายใจเข้าออก เกิดขึ้น
ได้เป็นจังหวะสมำ่าเสมอทั้งในยามหลับและ
กลไกการควบคุมการหายใจ

2. การควบคุมภายใต้อำานาจจิตใจ
ซึ่งเป็นการหายใจที่สามารถบังคับ
ได้ โดยสมองส่วนหน้าที่เรียกว่า ซีรี
บรัลคอร์เท็กซ์ ไฮโพทาลามัส และ
สมองส่วนหลังที่เรียกว่า ซีรีเบลลัม
ซึ่งจะทำาให้เราสามารถควบคุม
บังคับ หรือปรับการหายใจให้
เหมาะสมกับพฤติกรรมต่างๆ ของ
ร่างกาย เช่น การพูด การร้องเพลง
การเล่นเครื่องดนตรีประเภทเป่า
สรุปการแลกเปลี่ยน
แก๊ส
คำำสั่งให้นักเรียนสรุปเกี่ยวกับควำมคำำสั่งให้นักเรียนสรุปเกี่ยวกับควำม
ผิดปกติของปอดผิดปกติของปอด
ระบบขับถ่ำยกับกำรรักษำดุลยภำพระบบขับถ่ำยกับกำรรักษำดุลยภำพ
ของร่ำงกำยของร่ำงกำย
ระบบขับถ่ำยระบบขับถ่ำย ((Excretion)Excretion)
กำรขับถ่ำยช่วยรักษำปริมำณ ของเสียกำรขับถ่ำยช่วยรักษำปริมำณ ของเสีย
ในร่ำงกำยให้อยู่ในสภำวะสมดุล หำกในร่ำงกำยให้อยู่ในสภำวะสมดุล หำก
ระบบขับถ่ำยของร่ำงกำยเสียสมดุลย์ระบบขับถ่ำยของร่ำงกำยเสียสมดุลย์
จะมีผลอย่ำงมำกต่อกำรทำำงำนของจะมีผลอย่ำงมำกต่อกำรทำำงำนของ
ร่ำงกำยร่ำงกำย
กำรขับถ่ำยของสัตว์กำรขับถ่ำยของสัตว์
กำรขับถ่ำยของหนอนตัวแบนกำรขับถ่ำยของหนอนตัวแบน
ได้แก่ พลำนำเรีย โดยใช้เฟลมได้แก่ พลำนำเรีย โดยใช้เฟลม
เซลล์เซลล์ ((Flame cell)Flame cell) ซึ่งอยู่ซึ่งอยู่22ด้ำนด้ำน
ของร่ำงกำย มีท่อต่อกับผนังของของร่ำงกำย มีท่อต่อกับผนังของ
ลำำตัวลำำตัว
องเสียผ่ำนทำง เฟลมเซลล์ ช่องเปิดที่ผนังลำำตัว แลองเสียผ่ำนทำง เฟลมเซลล์ ช่องเปิดที่ผนังลำำตัว แล
กำรขับถ่ำยของไส้เดือนดินกำรขับถ่ำยของไส้เดือนดิน
 มีอวัยวะขับถ่ำยของเสียเรียกว่ำ เนฟริเดียมมีอวัยวะขับถ่ำยของเสียเรียกว่ำ เนฟริเดียม
(( Nephridium)Nephridium) ซึ่งมีปล้องละซึ่งมีปล้องละ 11 คู่คู่
ภำพที่ 5.7 แสดงลักษณะโครงสร้ำงเนฟริเดียมของไส้เดือนดิน
ถ่ำยของเสียในรูปแอมโมเนีย และยูเรีย นำ้ำและแร่ธำตุดูดกถ่ำยของเสียในรูปแอมโมเนีย และยูเรีย นำ้ำและแร่ธำตุดูดก
เนโฟรส
โตม
เนโฟรสโตมเนโฟรสโตม (Nephrostome)(Nephrostome)
ปลำยหนึ่งรับของเหลวทำงช่องภำยในปลำยหนึ่งรับของเหลวทำงช่องภำยใน
ลำำตัว ส่วนอีกปลำยหนึ่งเปิดออก อยู่ลำำตัว ส่วนอีกปลำยหนึ่งเปิดออก อยู่
ภำยนอกทำงผิวหนัง ทำำหน้ำที่ขับของภำยนอกทำงผิวหนัง ทำำหน้ำที่ขับของ
เสียพวกแอมโมเนีย และยูเรีย ส่วนนำ้ำเสียพวกแอมโมเนีย และยูเรีย ส่วนนำ้ำ
และแร่ธำตุที่จำำเป็นจะถูดกดูดกลับเข้ำและแร่ธำตุที่จำำเป็นจะถูดกดูดกลับเข้ำ
สู่กระแสเลือดสู่กระแสเลือด
****ดังนั้นเนฟริเดรียม จึงทำำหน้ำที่กรองดังนั้นเนฟริเดรียม จึงทำำหน้ำที่กรอง
แมลงแมลง
อวัยวะขับถ่ำยของแมลง คือ ท่อมัลพิอวัยวะขับถ่ำยของแมลง คือ ท่อมัลพิ
เกียนเกียน ((Malpighian tubule)Malpighian tubule)

ท่อมัลพิเกียนจะล่องลอยอยู่ในท่อมัลพิเกียนจะล่องลอยอยู่ใน
ของเหลวในช่องภำยในลำำตัวของของเหลวในช่องภำยในลำำตัวของ
เสียจะลำำเลียงเข้ำสู่ท่อมัลพิเกียนแล้วเสียจะลำำเลียงเข้ำสู่ท่อมัลพิเกียนแล้ว
กำำจัดออกทำงทวำรหนักกำำจัดออกทำงทวำรหนัก
กุ้งกุ้ง
อวัยวะขับถ่ำย เรียกว่ำ ต่อมแอนอวัยวะขับถ่ำย เรียกว่ำ ต่อมแอน
เทนนัลเทนนัล ((Antennal glandAntennal gland)) ต่อมต่อม
เขียวเขียว(( Green gland )Green gland )
ภำพที่ 5.9 แสดงต่อมแอนเทนนัล (Antennal gland)
หรือต่อมเขียว ( Green gland ) ของกุ้ง
Antennal glandAntennal gland
หน้ำที่กรองของเสียสำรประกอบพวก
ไนโตรเจน โดยของเหลวจำกฮีโมลิมฟ์
ถูกกรองเข้ำสู่ถุงในช่องลำำตัว
(Coelomic sac) ของเสียผ่ำนไปตำม
ท่อ ตอนปลำยของท่อพองออกเป็นถุง
(Bladder)เพื่อพักของเหลวก่อนปล่อย
ออกนอกร่ำงกำยทำงรูขับถ่ำย
(Excretory pore)
ปลำปลำ
มีอวัยวะขับถ่ำยประกอบด้วย ไตมีอวัยวะขับถ่ำยประกอบด้วย ไต 11 คู่คู่
อยู่ภำยในช่องท้องติดกับกระดูกสันอยู่ภำยในช่องท้องติดกับกระดูกสัน
หลัง ไตทำำหน้ำที่กำำจัด ของเสียยูเรียหลัง ไตทำำหน้ำที่กำำจัด ของเสียยูเรีย
และของเสียอื่น ๆ ออกจำกเลือด ของและของเสียอื่น ๆ ออกจำกเลือด ของ
เสียจะผ่ำนท่อไตเสียจะผ่ำนท่อไต (Ureter)(Ureter) ไปยังไปยัง
กระเพำะปัสสำวะกระเพำะปัสสำวะ ((UninaryUninary
bladderbladder))และเปิดออกทำงและเปิดออกทำง
Urogenital openingUrogenital opening
กบกบ
อวัยวะขับถ่ำยประกอบด้วย ไตอวัยวะขับถ่ำยประกอบด้วย ไต 11 คู่คู่
ไตแต่ละข้ำงจะมีท่อไตไตแต่ละข้ำงจะมีท่อไต ((UrinaryUrinary
ductduct หรือหรือ UreterUreter)) นำำนำ้ำปัสสำวะนำำนำ้ำปัสสำวะ
ไปเปิดเข้ำโคลเอกำไปเปิดเข้ำโคลเอกำ (Cloaca)(Cloaca)ทำงทำง
ด้ำนหลัง ทำงด้ำนท้องของโคลเอกำมีด้ำนหลัง ทำงด้ำนท้องของโคลเอกำมี
ถุงผนังบำงปลำยหยักติดอยู่ คือถุงผนังบำงปลำยหยักติดอยู่ คือ
กระเพำะปัสสำวะกระเพำะปัสสำวะ (Urinary(Urinary
bladder)bladder) ของเสียที่เข้ำสู่โคลเอกำจะของเสียที่เข้ำสู่โคลเอกำจะ
ภำพที่ 5.11 แสดงโครงสร้ำงภำยในของกบ
ระบบขับถ่ำยของคนระบบขับถ่ำยของคน
ของเสียในร่ำงกำยมีอะไรบ้ำงของเสียในร่ำงกำยมีอะไรบ้ำง
ของเสียในรูปแก๊ส คือของเสียในรูปแก๊ส คือ ลมหำยใจลมหำยใจ  
ของเสียในรูปของแข็ง คือของเสียในรูปของแข็ง คือ อุจจำระอุจจำระ
ของเหลว คือของเหลว คือ เหงื่อและปัสสำวะเหงื่อและปัสสำวะ  
กำรขับของเสียออกทำงไตกำรขับของเสียออกทำงไต
 ไตของคนมีไตของคนมี 11 คู่ อยู่ในช่องท้องสองข้ำงของคู่ อยู่ในช่องท้องสองข้ำงของ
กระดูกสันหลังบริเวณเอว ยำวประมำณกระดูกสันหลังบริเวณเอว ยำวประมำณ 10-1310-13
เซนตริเมตร กว้ำงเซนตริเมตร กว้ำง 66 เซนตริเมตร และหนำเซนตริเมตร และหนำ 33
เซนตริเมตร ไตแต่ละข้ำงหนักประมำณเซนตริเมตร ไตแต่ละข้ำงหนักประมำณ 150150
กรัมกรัม
สังเกตุว่ำของเหลวที่กรองได้จำกสังเกตุว่ำของเหลวที่กรองได้จำก
โกลเมอรูลัสยังมีสำรที่จำำเป็นกับโกลเมอรูลัสยังมีสำรที่จำำเป็นกับ
ร่ำงกำยหรือไม่ร่ำงกำยหรือไม่
สำร พลำสมำ
(กรัม/100
cm3
)
ของเหลวที่
กรองผ่ำนโก
เม
อรูลัส(กรัม/
100 cm3
)
ปัสำวะ
(กรัม/10
0 cm3
)
นำ้ำ
โปรตีน
ยูเรีย
กรด
ยูริก
แอมโม
เนีย
กลูโคส
92
6.0-8.4
0.0008-
0.25
0.003-
0.007
0.0001
0.07-0.11
90-93
0.01-0.02
0.03
0.003
0.0001
0.01
0.32
0.37
95
0
2
0.05
0.05
0
0.6
0.6
กรวยไตกรวยไต (Renal pelvis)(Renal pelvis)
ทำำหน้ำที่รองรับนำ้ำปัสสำวะที่มำทำำหน้ำที่รองรับนำ้ำปัสสำวะที่มำ
จำกแคลิกซ์ และส่งต่อไปสู่ท่อไตจำกแคลิกซ์ และส่งต่อไปสู่ท่อไต
(Ureter)(Ureter) นำำเข้ำสู่กระเพำะนำำเข้ำสู่กระเพำะ
ปัสสำวะและนำำนำ้ำปัสสำวะออกทำงปัสสำวะและนำำนำ้ำปัสสำวะออกทำง
ท่อปัสสวะท่อปัสสวะ
หน้ำที่ของหน่วยไตหน้ำที่ของหน่วยไต
1.1. กรองสำรที่โกลเมอรูลัสกรองสำรที่โกลเมอรูลัส
2.2. ดูดกลับสำรที่ท่อหน่วยไตดูดกลับสำรที่ท่อหน่วยไต
3.3. กำรหลั่งสำรโดยท่อหน่วยไตกำรหลั่งสำรโดยท่อหน่วยไต
****หน่วยไตทำำหน้ำที่ดูดกลับสำรที่หน่วยไตทำำหน้ำที่ดูดกลับสำรที่
จำำเป็นกลับคืนเข้ำสู่กระแสจำำเป็นกลับคืนเข้ำสู่กระแส
เลือดเลือด******
เส้นเลือดที่นำำเลือดเข้ำสู่โกลเมอรูลัสเส้นเลือดที่นำำเลือดเข้ำสู่โกลเมอรูลัส
 เส้นเลือดที่นำำเลือดเข้ำไต คือ เส้นเลือดรีนัลเส้นเลือดที่นำำเลือดเข้ำไต คือ เส้นเลือดรีนัล
อำร์เตอรีอำร์เตอรี((Renal artery)Renal artery)
 เส้นเลือดที่นำำเลือดออกจำกไต คือ เส้นเลือดเส้นเลือดที่นำำเลือดออกจำกไต คือ เส้นเลือด
รีนัลเวนรีนัลเวน((Renal vein)Renal vein)
เส้นเลือดรีนัลจะแตกแขนงเล็กลงเรื่อยๆจนเป็นเส้นเลือดรีนัลจะแตกแขนงเล็กลงเรื่อยๆจนเป็น
เส้นเลือดฝอยที่ที่แยกเข้ำสู่หน่วยไตบริเวณเส้นเลือดฝอยที่ที่แยกเข้ำสู่หน่วยไตบริเวณ
โกลเมอรูลัสโกลเมอรูลัส
-- เส้นเลื่อดฝอยที่แยกเข้ำสู่หน่วยไต เรียกเส้นเลื่อดฝอยที่แยกเข้ำสู่หน่วยไต เรียก
AfferentAfferent arteriolearteriole
ของเหลวที่ได้จำกกำรกรองของเหลวที่ได้จำกกำรกรอง
แรงดันในโกลเมอรูลัส จะแรงดันในโกลเมอรูลัส จะ
ทำำให้ นำ้ำ และสำรโมเลกุลทำำให้ นำ้ำ และสำรโมเลกุล
เล็กกว่ำรู เช่น ยูเรียเล็กกว่ำรู เช่น ยูเรีย
โซเดียม กลูโคส ผ่ำนออกโซเดียม กลูโคส ผ่ำนออก
มำได้ แต่ไม่ยอมให้สำรมำได้ แต่ไม่ยอมให้สำร
ขนำดใหญ่ผ่ำน เช่น เซลล์ขนำดใหญ่ผ่ำน เช่น เซลล์
เม็ดเลือด โปรตีน ไขมันเม็ดเลือด โปรตีน ไขมัน
กำรดูดสำรกลับที่ท่อหน่วยไตส่วนกำรดูดสำรกลับที่ท่อหน่วยไตส่วน
ต้นต้น
มีกำรดูดกลับสำรมำกที่สุดมีกำรดูดกลับสำรมำกที่สุด

กำรดูดกลับแบบใช้พลังงำนกำรดูดกลับแบบใช้พลังงำน
ได้แก่ กลูโคส โปรตีนโมเลกุลได้แก่ กลูโคส โปรตีนโมเลกุล
เล็ก กรดอะมิโน วิตำมินเล็ก กรดอะมิโน วิตำมิน NaNa++
KK++

กำรดูดแบบไม่ใช้พลังงำน ได้แก่กำรดูดแบบไม่ใช้พลังงำน ได้แก่
ยูเรีย นำ้ำยูเรีย นำ้ำ ClCl--
, HCo, HCo33
--
กำรดูดสำรกลับที่ห่วงเฮนเลกำรดูดสำรกลับที่ห่วงเฮนเล
ห่วงเฮนเลแบ่งออกเป็นห่วงเฮนเลแบ่งออกเป็น 22 ส่วนคือส่วนคือ

ท่อขำลงท่อขำลง ((Discending):Discending): มีกำรมีกำร
เคลื่อนย้ำยสำรออกจำกห่วงเคลื่อนย้ำยสำรออกจำกห่วง
เฮนเลโดยกระบวนกำรออสโมซีสเฮนเลโดยกระบวนกำรออสโมซีส

ท่อขำขึ้นท่อขำขึ้น ((Ascending) :Ascending) : มีกำรมีกำร
ดูดดูด NaClNaCl กลับทั้งแบบใช้กลับทั้งแบบใช้
พลังงำนและ แบบไม่ใช้พลังงำนพลังงำนและ แบบไม่ใช้พลังงำน
กำรดูดสำรกลับที่ท่อหน่วยไตส่วนกำรดูดสำรกลับที่ท่อหน่วยไตส่วน
ปลำยปลำย
แบบไม่ใช้พลังงำน ได้แก่ นำ้ำแบบไม่ใช้พลังงำน ได้แก่ นำ้ำ
แบบใช้พลังงำน ได้แก่ ดูดกลับแบบใช้พลังงำน ได้แก่ ดูดกลับ
โซเดียมคลอไรด์ และ โซเดียมโซเดียมคลอไรด์ และ โซเดียม
คำร์บอเนตไออนคำร์บอเนตไออน
**** กำรดูดกลับนำ้ำบริเวณนี้ขึ้นอยู่กำรดูดกลับนำ้ำบริเวณนี้ขึ้นอยู่
กับอิทธิพลของฮอร์โมนแอนติไดกับอิทธิพลของฮอร์โมนแอนติได
ยูเรติกยูเรติก((ADH)ADH)
กำรดูดสำรกลับที่ท่อรวมกำรดูดสำรกลับที่ท่อรวม
แบบใช้พลังงำนแบบใช้พลังงำน :Na+:Na+
แบบไม่ใช้พลังงำนแบบไม่ใช้พลังงำน :: เช่นดูดกลับเช่นดูดกลับ
นำ้ำนำ้ำ
ยอมให้ยูเรียแพร่ออกยอมให้ยูเรียแพร่ออก
****กำรดูดกลับนำ้ำขึ้นกับอิทธิพลของกำรดูดกลับนำ้ำขึ้นกับอิทธิพลของ
ฮอร์โมนฮอร์โมน ADHADH
ไตกับการรักษาสมดุลของน้ำ้าและไตกับการรักษาสมดุลของน้ำ้าและ
สารต่างๆสารต่างๆ
ไตควบคุมน้ำ้าใน้สภาพการขับปัสสาวะไตควบคุมน้ำ้าใน้สภาพการขับปัสสาวะ
โดยมีกลไกดังน้ี้โดยมีกลไกดังน้ี้ ****
การลำาเลียงสารการลำาเลียงสาร
ระบบหมุน้เวียน้เลือดระบบหมุน้เวียน้เลือด (circulatory(circulatory
system)system) มีมี 22 ระบบ คือระบบ คือ
**ระบบหมุน้เวียน้เลือดแบบระบบหมุน้เวียน้เลือดแบบ
วงจรปิดวงจรปิด
(closed circulatory system)(closed circulatory system)
**ระบบหมุน้เวียน้เลือดแบบระบบหมุน้เวียน้เลือดแบบ
วงจรเปิดวงจรเปิด
(open circulatory system)(open circulatory system)
หมายถึงหมายถึง ระบบเลือดที่มีเลือดระบบเลือดที่มีเลือด
ไหลเวียน้อยู่ภายใน้ท่อของไหลเวียน้อยู่ภายใน้ท่อของ
เส้น้เลือดและหัวใจตลอดเส้น้เลือดและหัวใจตลอด โดยที่โดยที่
เลือดจะมีทิศทางการไหลออกเลือดจะมีทิศทางการไหลออก
จากหัวใจไปตามเส้น้เลือดชน้ิดจากหัวใจไปตามเส้น้เลือดชน้ิด
ต่างๆต่างๆ และไหลกลับเข้าสู่หัวใจอีกและไหลกลับเข้าสู่หัวใจอีก
เป็น้วงจรต่อเน้ื่องเป็น้วงจรต่อเน้ื่อง พบใน้พบใน้สัตว์พวกสัตว์พวก
แอน้น้ีลิดแอน้น้ีลิด (annelid)(annelid) เป็น้พวกแรกเป็น้พวกแรก
และและพบใน้สัตว์มีกระดูกสัน้หลังพบใน้สัตว์มีกระดูกสัน้หลัง
หมายถึงหมายถึง ระบบเลือดที่เลือดไหลระบบเลือดที่เลือดไหล
ออกจากหัวใจแล้วไม่ได้ไหลออกจากหัวใจแล้วไม่ได้ไหล
เวียน้อยู่เฉพาะภายใน้เส้น้เลือดเวียน้อยู่เฉพาะภายใน้เส้น้เลือด
แต่จะไหลผ่าน้ ช่องว่างของลำาแต่จะไหลผ่าน้ ช่องว่างของลำา
ตัว แล้วไหลกลับเข้าสู่เส้น้เลือดตัว แล้วไหลกลับเข้าสู่เส้น้เลือด
และเข้าสู่หัวใจต่อไปและเข้าสู่หัวใจต่อไป
มีระบบหมุน้เวียน้เลือดแบบมีระบบหมุน้เวียน้เลือดแบบ
วงจรเปิดวงจรเปิด ประกอบด้วยประกอบด้วย หัวใจหัวใจ
(heart)(heart) เป็น้ส่วน้ของเส้น้เลือดเป็น้ส่วน้ของเส้น้เลือด
ลักษณะโป่งออกเป็น้ตอน้ๆ มีรูเล็กๆลักษณะโป่งออกเป็น้ตอน้ๆ มีรูเล็กๆ
ทำาหน้้าที่ทำาหน้้าที่สูบฉีดเลือดไปทางด้าน้หัวสูบฉีดเลือดไปทางด้าน้หัว
ไปสู่เน้ื้อเยื่อต่างๆไปสู่เน้ื้อเยื่อต่างๆ
ไม่มีฮีโมโกลบิน้ไม่มีฮีโมโกลบิน้ มีแต่มีแต่ ฮีโมไซยาน้ิน้ฮีโมไซยาน้ิน้
(hemocyanin)(hemocyanin) ที่มีทองแดงที่มีทองแดง (Cu)(Cu)
เป็น้องค์ประกอบเป็น้องค์ประกอบ
เส้น้เลือดเส้น้เลือด (blood vessel)(blood vessel) มีอยู่มีอยู่
เส้น้เดียวเหน้ือทางเดิน้อาหารเส้น้เดียวเหน้ือทางเดิน้อาหาร ไม่มีไม่มี
เส้น้เลือดฝอยเส้น้เลือดฝอย ทำาหน้้าที่ทำาหน้้าที่รับเลือดออกรับเลือดออก
จากร่างกายจากร่างกาย ช่องว่างภายใน้ลำาตัวช่องว่างภายใน้ลำาตัว
(hemoceol)(hemoceol) ทำาหน้้าที่ทำาหน้้าที่รับเลือดจากรับเลือดจาก
เส้น้เลือด เพื่อลำาเลียงสารไปสู่ส่วน้เส้น้เลือด เพื่อลำาเลียงสารไปสู่ส่วน้
ต่างๆของร่างกายต่างๆของร่างกาย และเป็น้แหล่งแลกและเป็น้แหล่งแลก
เปลี่ยน้ก๊าซเปลี่ยน้ก๊าซ
ปลามีระบบหมุน้เวียน้เลือดแบบ
วงจรปิด ประกอบด้วยหัวใจ (heart)
มี 2 ห้อง คือ หัวใจห้องบน้
(atrium) ทำาหน้้าที่รับเลือดที่มีก๊าซ
ออกซิเจน้ตำ่าจากร่างกาย แล้วเข้าสู่
หัวใจห้องล่าง หัวใจห้องล่าง (ventri
cle) ทำาหน้้าที่สูบฉีดเลือดที่มีก๊าซ
วใจ 2 ห้อง (1atrium + 1Ventr
เลือดดำา atrium Ventricle
เหงือก
เลือดแดง ร่างกาย เลือดดำา
เลือดดำา right atrium Ventricle
อวัยวะแลกเปลี่ยน้แก๊ส เลือดแดง
left atrium
Ventricle ร่างกาย เลือดดำา
ว์สะเทิน้น้ำ้าสะเทิน้บก ( Amphibi
จ 3 ห้อง (2atrium + 1Ventric
ยคลาน้ (Reptile) หัวใจ 4 ห้องไ
Ventricle ไม่สน้ิท เลือดผสมกัน้)
ะเข้มีหัวใจ 4 ห้องแบบสมบูรณ์
โครงสร้างโครงสร้าง
ของหัวใจของหัวใจ
1.1. กล้ามเน้ื้อหัวใจกล้ามเน้ื้อหัวใจ ประกอบด้วยประกอบด้วย
เน้ื้อเยื่อหุ้มเน้ื้อเยื่อหุ้ม 33 ชั้น้ชั้น้

-- ชั้น้น้อกชั้น้น้อก (epicardium)(epicardium) หุ้มหัวใจหุ้มหัวใจ
ไว้ไว้ มีเน้ื้อเยื่อไขมัน้มีเน้ื้อเยื่อไขมัน้เป็น้จำาน้วน้เป็น้จำาน้วน้
มาก พบเส้น้เลือดขน้าดใหญ่ผ่าน้มาก พบเส้น้เลือดขน้าดใหญ่ผ่าน้
ชั้น้น้ี้ชั้น้น้ี้ ผน้ังด้าน้น้อกของหัวใจมีผน้ังด้าน้น้อกของหัวใจมี
เส้น้เลือดที่น้ำาเลือดมาเลี้ยงหัวใจเส้น้เลือดที่น้ำาเลือดมาเลี้ยงหัวใจ
เรียกว่าเรียกว่า โคโรน้ารี อาร์เทอรีโคโรน้ารี อาร์เทอรี
(coronary artery)(coronary artery) เป็น้เส้น้เลือดเป็น้เส้น้เลือด
ที่มาเลี้ยงกล้ามเน้ื้อหัวใจที่มาเลี้ยงกล้ามเน้ื้อหัวใจ หากหาก

-- ชั้น้กลางชั้น้กลาง (myocardium)(myocardium)
หน้ามากที่สุด ประกอบขึ้น้หน้ามากที่สุด ประกอบขึ้น้
จากจาก กล้ามเน้ื้อหัวใจกล้ามเน้ื้อหัวใจ
(cardiac muscle)(cardiac muscle) และเป็น้และเป็น้
ส่วน้ของกล้ามเน้ื้อหัวใจซึ่งมีส่วน้ของกล้ามเน้ื้อหัวใจซึ่งมี
ลักษณะพิเศษที่มีลักษณะพิเศษที่มีการทำางาน้การทำางาน้
อยู่น้อกอำาน้าจจิตใจอยู่น้อกอำาน้าจจิตใจ

-- ชั้น้ใน้ชั้น้ใน้ (endocardium)(endocardium)
ประกอบด้วยประกอบด้วย เน้ื้อเยื่อบุผิวเน้ื้อเยื่อบุผิว
2.2. ห้องห้อง
หัวใจหัวใจหัวใจคน้มีหัวใจคน้มี 44 ห้อง คือ ห้องบน้ห้อง คือ ห้องบน้ (atrium,(atrium,
auricle) 2auricle) 2 ห้อง และห้องล่างห้อง และห้องล่าง (ventricle) 2(ventricle) 2
ห้อง แต่ละห้องแยกกัน้อย่างสมบูรณ์ ดังน้ี้ห้อง แต่ละห้องแยกกัน้อย่างสมบูรณ์ ดังน้ี้
• -- เอเตรียมขวาเอเตรียมขวา (right atrium)(right atrium) เป็น้หัวใจเป็น้หัวใจ
ห้องบน้ขวาห้องบน้ขวา มีขน้าดเล็ก ผน้ังกล้ามเน้ื้อมีขน้าดเล็ก ผน้ังกล้ามเน้ื้อ
บางบาง หน้้าที่หน้้าที่ รับเลือดที่ใช้แล้วจากส่วน้รับเลือดที่ใช้แล้วจากส่วน้
ต่างๆของร่างกายต่างๆของร่างกาย (CO(CO22)) ลำาเลียงมากับลำาเลียงมากับ
เส้น้เลือดซูพีเรียเวน้าคาวาเส้น้เลือดซูพีเรียเวน้าคาวา (superior(superior
vena cava)vena cava) ซึ่งรับเลือดที่ใช้แล้วจากซึ่งรับเลือดที่ใช้แล้วจาก
ศีรษะและแขน้ศีรษะและแขน้ และและ เส้น้เลือดอิน้ฟีเรียเส้น้เลือดอิน้ฟีเรีย
เวน้าคาวาเวน้าคาวา (inferior vena cava)(inferior vena cava) ซึ่งรับซึ่งรับ
เลือดที่ใช้แล้วจากอวัยวะภายใน้และขาเลือดที่ใช้แล้วจากอวัยวะภายใน้และขา
• -- เอเตรียมซ้ายเอเตรียมซ้าย (left atrium)(left atrium) เป็น้หัวใจเป็น้หัวใจ

-- เวน้ตริเคิลขวาเวน้ตริเคิลขวา (right ventricle)(right ventricle)
เป็น้หัวใจห้องล่างขวาเป็น้หัวใจห้องล่างขวา มีขน้าดเล็กมีขน้าดเล็ก
ช่องภายใน้มีลักษณะเป็น้รูปช่องภายใน้มีลักษณะเป็น้รูป
สามเหลี่ยมสามเหลี่ยม หน้้าที่หน้้าที่ รับเลือดจากเอรับเลือดจากเอ
เตรียมขวาเตรียมขวา และส่งไปฟอกที่ปอดและส่งไปฟอกที่ปอด
โดยเส้น้เลือดพัลโมน้ารีอาร์เทอรีโดยเส้น้เลือดพัลโมน้ารีอาร์เทอรี
(pulmonary artery)(pulmonary artery)

-- เวน้ตริเคิลซ้ายเวน้ตริเคิลซ้าย (left ventricle)(left ventricle)
เป็น้หัวใจห้องล่างซ้ายเป็น้หัวใจห้องล่างซ้าย มีผน้ังกล้ามมีผน้ังกล้าม
เน้ื้อหน้าที่สุด และหน้าประมาณเน้ื้อหน้าที่สุด และหน้าประมาณ 33
เท่าของด้าน้ขวาเท่าของด้าน้ขวา เพราะทำาหน้้าที่เพราะทำาหน้้าที่
3.3. ลิ้น้ลิ้น้
หัวใจหัวใจ
เป็น้โครงสร้างที่ป้องกัน้ไม่ให้เลือดไหลเป็น้โครงสร้างที่ป้องกัน้ไม่ให้เลือดไหล
ย้อน้กลับ ลิ้น้ภายใน้หัวใจมีตำาแหน้่งย้อน้กลับ ลิ้น้ภายใน้หัวใจมีตำาแหน้่ง
ลักษณะและชื่อเรียกดังน้ี้ลักษณะและชื่อเรียกดังน้ี้
• -- ลิ้น้พัลโมน้ารี เซมิลูน้าร์ลิ้น้พัลโมน้ารี เซมิลูน้าร์ (pulmonary(pulmonary
semilunar valve)semilunar valve) อยู่ที่โคน้ของเส้น้เลือดอยู่ที่โคน้ของเส้น้เลือด
พัลโมน้ารีอาร์เทอรีพัลโมน้ารีอาร์เทอรี ลักษณะเป็น้ถุงรูปลักษณะเป็น้ถุงรูป
พระจัน้ทร์ครึ่งเสี้ยวพระจัน้ทร์ครึ่งเสี้ยว 33 ใบ บรรจบกัน้ แต่ใบ บรรจบกัน้ แต่
ไม่ได้ยึดติดกัน้ด้วยเน้ื้อเยื่อเกี่ยวพัน้ไม่ได้ยึดติดกัน้ด้วยเน้ื้อเยื่อเกี่ยวพัน้
ทำาหน้้าที่ทำาหน้้าที่กัน้ไม่ให้เลือดไหลกลับสู่เวน้ตริกัน้ไม่ให้เลือดไหลกลับสู่เวน้ตริ
เคิลขวาเคิลขวา
• -- ลิ้น้ไตรคัสปิดลิ้น้ไตรคัสปิด (tricuspid valve)(tricuspid valve) อยู่อยู่

-- ลิ้น้ไบคัสปิดลิ้น้ไบคัสปิด (bicuspid valve)(bicuspid valve) หรือหรือ
ลิ้น้ไมทรัลลิ้น้ไมทรัล ((mitral valvemitral valve))อยู่ที่โคน้อยู่ที่โคน้
ของเส้น้เลือดพัลโมน้ารีอาร์เทอรีของเส้น้เลือดพัลโมน้ารีอาร์เทอรี
ลักษณะเป็น้ถุงรูปพระจัน้ทร์ครึ่งเสี้ยวลักษณะเป็น้ถุงรูปพระจัน้ทร์ครึ่งเสี้ยว
22 ใบ บรรจบกัน้แต่ไม่ได้ยึดติดกัน้ใบ บรรจบกัน้แต่ไม่ได้ยึดติดกัน้
ด้วยเน้ื้อเยื่อเกี่ยวพัน้ด้วยเน้ื้อเยื่อเกี่ยวพัน้ทำาหน้้าที่ทำาหน้้าที่ กัน้ไม่กัน้ไม่
ให้เลือดไหลกลับสู่เวน้ตริเคิลขวาให้เลือดไหลกลับสู่เวน้ตริเคิลขวา

-- ลิ้น้เอออร์ติก เซมิลูน้าร์ลิ้น้เอออร์ติก เซมิลูน้าร์ (aortic(aortic
semilunar valve)semilunar valve) อยู่ที่โคน้ของอยู่ที่โคน้ของ
เส้น้เลือดพัลโมน้ารีอาร์เทอรีเส้น้เลือดพัลโมน้ารีอาร์เทอรี ลักษณะลักษณะ
4.4.เน้ื้อเยื่อของเน้ื้อเยื่อของ
หัวใจหัวใจ
เน้ื้อเยื่อหัวใจมีเน้ื้อเยื่อหัวใจมี 44 ชน้ิด คือชน้ิด คือ

เน้ื้อเยื่อบุผิวเน้ื้อเยื่อบุผิว บุทั้งภายน้อกและภายใน้บุทั้งภายน้อกและภายใน้
หัวใจหัวใจ

เน้ื้อเยื่อเกี่ยวพัน้เน้ื้อเยื่อเกี่ยวพัน้ ทำาหน้้าที่ ยึดลิ้น้หัวใจทำาหน้้าที่ ยึดลิ้น้หัวใจ
และกล้ามเน้ื้อหัวใจและกล้ามเน้ื้อหัวใจ

เน้ื้อเยื่อกล้ามเน้ื้อหัวใจเน้ื้อเยื่อกล้ามเน้ื้อหัวใจ แตกต่างจากแตกต่างจาก
กล้ามเน้ื้อลายและกล้ามเน้ื้อเรียบ ที่กล้ามเน้ื้อลายและกล้ามเน้ื้อเรียบ ที่ไม่มีไม่มี
ลายมากเหมือน้กล้ามเน้ื้อลายลายมากเหมือน้กล้ามเน้ื้อลาย แต่ไม่อยู่แต่ไม่อยู่
ใน้อำาน้าจจิตเหมือน้กับกล้ามเน้ื้อเรียบใน้อำาน้าจจิตเหมือน้กับกล้ามเน้ื้อเรียบ

เน้ื้อเยื่อโดน้ัลเน้ื้อเยื่อโดน้ัล เปลี่ยน้แปลงมาจากกล้ามเปลี่ยน้แปลงมาจากกล้าม
เน้ื้อหัวใจระยะเน้ื้อหัวใจระยะ embryoembryo ขณะที่สร้างขณะที่สร้าง
กล้ามเน้ื้อหัวใจกล้ามเน้ื้อหัวใจ แต่การหดตัวไม่ดีเท่าแต่การหดตัวไม่ดีเท่า
เส้น้เลือด (Blood
Vessel)
เส้น้เลือดทั่วร่างกายแบ่งออกเป็น้
3 ชน้ิด คือ เส้น้เลือดแดง
เส้น้เลือดดำาและเส้น้เลือดฝอย ทำาหน้้าที่
เป็น้ท่อทางผ่าน้ของเลือดจากหัวใจไปยัง
เซลล์ทั่วร่างกาย
เวน้าคาวา เอออร์ตา
1.เส้น้เลือดแดงหรืออาร์เตอรี ทำาหน้้าที่
น้ำาเลือดออกจากหัวใจไปยังเส้น้เลือดฝอย
ได้แก่ เอออร์ตา(aorta) มีขน้าดใหญ่
ที่สุด อาร์เตอรี (artery) ขน้าดต่างๆ และ
อาร์เตอริโอล (arteriole) ซึ่งเป็น้เส้น้เลือด
แดงที่มีขน้าดเล็กที่สุด
- หลอดเลือดแดงยืดหยุ่น้ได้ดี
เน้ื่องจากมีอีลาสติกไฟเบอร์ (Elastic
Fiber) อยู่มาก เส้น้เลือดแดงขน้าดใหญ่
จะยืดหยุ่น้ได้ดีกว่าเส้น้เลือดแดงขน้าดเล็ก
2. เส้น้เลือดดำาหรือเวน้ (Vein) ทำาหน้้าที่น้ำา
เลือดเข้าสู่หัวใจ ได้แก่ เวน้าคาวา
(Vena cava) มีขน้าดใหญ่ที่สุด เวน้
(Vein) ขน้าดต่างๆ เวนู้ล (Venule)
เป็น้เส้น้เลือดดำาที่มีขน้าดเล็กที่สุด
เส้น้เลือดดำาขน้าดใหญ่มีอีลาสติกไฟเบอร์
และกล้ามเน้ื้อเรียบอยู่บ้าง แต่น้้อยกว่า
เส้น้เลือดแดงมาก เส้น้เลือดดำาเล็ก เช่น้
เวนู้ลมีผน้ังบางมากไม่มีกล้ามเน้ื้อเรียบ
เลย - เส้น้เลือดดำา
สามารถยืดขยายได้ดีจึงมีความจุสูง
หลอด
เลือด
Artery Vein Capillary
คำาจำากัด
ความ
ออกจากหัวใจ เข้าสู่หัวใจ เชื่อม
ระหว่าง
ระบบเลือด
ดำาและเลือด
แดง
ออกซิเจน้ สูง ยกเว้น้
Pulmonary
artery
ตำ่า ยกเว้น้
Pulmonary
vein
-
ขน้าด Aorta
>artery
>arteriole
Venacava
>vein >venul
-
ความ มากกว่า น้้อยกว่า -
ความดัน้เลือด (Blood
pressure)
วัดจากหลอดเลือดที่มี
ความดัน้ใกล้หัวใจ
systolic pressure
(ความดัน้ขณะหัวใจบีบตัว)
ความดัน้เลือดปกติ 120/80
diastolic pressure (ความ
Blood cell
(erythocyte)
(leukocyte)
**พลาสมา หรือน้ำ้าเลือด
(plasma) 55 %
**เม็ดเลือด (blood
corpuscle) 45 %
เซลล์เม็ดเลือดแดง
(erythrocyte)
**พลาสมา หรือน้ำ้าเลือด
(plasma) 55 %
**เม็ดเลือด (blood
corpuscle) 45 %
เซลล์เม็ดเลือดแดง
(erythrocyte)
เพลตเลต
-ระยะเอ็มบริโอ สร้างจาก ตับ ม้าม
ไขกระดูก ภายหลังคลอดแล้ว สร้าง
จากไขกระดูก เมื่อสร้างมาใหม่ๆ จะ
มีน้ิวเคลียส และไม่มีไมโทคอน้เดรีย
แต่เมื่อเจริญเต็มที่จะไม่มีน้ิวเคลียส
และมีฮีโมโกบิลรวมกับ O2 ได้ดีมาก
-- อายุของเซลล์เม็ดเลือดแดง
อายุ - เซลล์เม็ดเลือดขาวมีอายุสั้น
ประมาณ 2 – 14 วัน (บางชนิด
อาจมีอายุ 200 – 300 วัน)
หน้าที่ - โอบล้อมและจับกินเชื้อโรค
แบบฟาโกไซโทซิส (phagocytosis)
และสร้างแอนติบอดี (antibody)
ออกมาต่อต้านและทำาลาย
ชนิด - อาจแบ่งออกเป็น 2 พวก
ตามลักษณะของอนุภาคเล็ก ๆ
(granule) คือ กลุ่มที่มีแกรนูล เรียก
ไซต์(granulocytes) เช่น
นิวโตรฟิล (neutrophil) เบ
โซฟิล (basophil) และอีโอ
ซิโนฟิล (eosinophil) ซึ่ง
สร้างจาก
ไขกระดูก มีอายุ 2 – 14
วัน ดังนี้
ไซต์(granulocytes) เช่น
นิวโตรฟิล (neutrophil) เบ
โซฟิล (basophil) และอีโอ
ซิโนฟิล (eosinophil) ซึ่ง
สร้างจาก
ไขกระดูก มีอายุ 2 – 14
วัน ดังนี้
1 นิวโตรฟิล (neutrophil) มีแกรนูลสีม่วงชมพู
ทำาลายเชื้อโรคโดยวิธีโดยวิธีฟาโกไซโทซิส น
ะกลายเป็นหนอง (pus) และกลายเป็นฝีได้
นิวโตรฟิลนิวโตรฟิล
1.2 เบโซฟิล (basophil) มีแกรนูล
สีนำ้าเงิน
หน้าที่ ทำาลายเชื้อโรคโดยการหลั่ง
เอนไซม์หรือสารเคมี และปล่อยสารเฮ
พารินป้องกันการแข็งตัวของเลือดใน
เส้นเลือด
เบโซฟิลเบโซฟิล
1.3 อีโอซิโนฟิล (eosinophil) มี
แกรนูลสีส้มแดง หน้าที่ ช่วยในการ
ป้องกันการแพ้พิษต่างๆ และทำาลาย
พยาธิที่เข้าสู่ร่างกาย
อีโอซิโนฟิลอีโอซิโนฟิล
2. พวกอะแกรนนูโลไซต์
(agranulocytes) กลุ่มที่ไม่มีแกรนูล เช่น
โมโนไซต์ (monocyte) และลิมโฟไซต์
(lymphocyte) สร้างมาจากม้ามและต่อมนำ้า
เหลือง มีอายุประมาณ 100 – 300 วัน
2. พวกอะแกรนนูโลไซต์
(agranulocytes) กลุ่มที่ไม่มีแกรนูล เช่น
โมโนไซต์ (monocyte) และลิมโฟไซต์
(lymphocyte) สร้างมาจากม้ามและต่อมนำ้า
เหลือง มีอายุประมาณ 100 – 300 วัน
2.1 โมโนไซต์ (monocyte) จะเจริญเป็น
แมคโครฟาจ
(macrophage) หน้าที่ ลำาลายเชื้อโรคโดยวิธี
ฟาโกไซโทซิส
โมโนไซต์
ลิมโฟไซต์ (lymphocyte) มี 2 ชนิด ได้แก่
2.2.1 ลิมโฟไซต์ชนิดบี (B-lymphocyte) หรือ
(B-cell) สร้างและเจริญในไขกระดูก
2.2.2. ลิมโฟไซต์ชนิดที (T-lymphocyte) หรือ
(T-cell) สร้างจากไขกระดูกแล้วไปเจริญที่ต่อมไทมัส
ลิมโฟไซต์
2.2.1 ลิมโฟไซต์ชนิดบี (B-
lymphocyte) หรือ
เซลล์บี (B-cell) สร้างและเจริญใน
ไขกระดูก
- เซลล์บี (B-cell) บางชนิดเปลี่ยนไป
ทำาหน้าที่สร้างแอนติบอดีจำาเพาะต่อ
แอนติเจน เรียกว่า เซลล์พลาสมา
( plasma cell) จากนั้นแอนติบอดีจะจดจำา
แอนติเจนนั้นไว้ เรียกว่า เซลล์เมมเมอรี
(memory cell) ถ้ามีแอนติเจนนี้เข้าสู่
ร่างกายอีกเซลล์เมมเมอรีจะแบ่งตัวอย่าง
2.2.2. ลิมโฟไซต์ชนิดที (T-
lymphocyte) หรือ เซลล์ที (T-cell) สร้าง
จากไขกระดูกแล้วไปเจริญที่ต่อมไทมัส
- เซลล์ทีผู้ช่วย (helper T-cell หรือ
CD4+) หน้าที่กระตุ้นให้เซลล์บีสร้าง
แอนติบอดีมาต่อต้านแอนติเจน
- เซลล์ทีที่ทำาลายสิ่งแปลกปลอม
(cytotoxic T-cell หรือ CD8+) หน้าที่
ทำาลายเซลล์แปลกปลอม หรือเซลล์ที่มีสิ่ง
แปลกปลอม เซลล์มะเร็ง เซลล์ติดเชื้อ
ไวรัส เซลล์จากอวัยวะที่ร่างกายได้รับการ
เซลล์เม็ดเลือดขาว
granulocyte agranulocyte
osinophil
าจัดปรสิต
ยาธิ
Nutrophil
(Phagocytosis)
ฝี, หนอง
Basophil
ปล่อยสาร heparin
การแข็งตัวของเลือด
Monocyte
Macrophage
Phagocytosis
Lymphocyte
T-lymplocy
Helper T-cell
CD+4
สร้าง antigen
Cytotoxic T-ce
CD8+
ทำาลายเซลล์
แปลกปลอม
Supressor T-c
สร้างสารไปกด
B-cell , T-cell
B-lymphocyte
สร้าง antibody
Memory cell
จากไขกระดูก มีอายุ 2 – 14 วัน
อายุ100-300
วัน
เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว
1. มีจำานวนมากกว่า
- ชาย 5-5.5
ล้านเซลล์/เลือด 1
ลูกบาศก์มิลลิเมตร
- หญิง 4.5-5
ล้านเซลล์/เลือด 1
ลูกบาศก์มิลลิเมตร
2. มีจำานวนน้อยกว่า
ชาย-หญิง มี 5,000-
10,000 เซลล์/เลือด
1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร
2. มีขนาดเล็กกว่า
เส้นผ่านศูนย์กลาง 7-
8ไมโครเมตร
2. มีขนาดใหญ่กว่า
เส้นผ่านศูนย์กลาง 8-
20ไมโครเมตร
ลักษณะ
ไม่ใช่เซลล์แต่เป็นชิ้นส่วนของไซ
โทพลาสซึม ชนิดหนึ่งของ
กระดูกไขสันหลังที่ขาดเป็นชิ้น
เพลตเลตมีเยื่อหุ้มเซลล์แต่ไม่มี
นิวเคลียส
วยในการแข็งตัวของเลือด เรียกว่า เศษเม็ดเล
ลือด แผ่นเลือด มีอายุ 10 วัน
มีรูปร่างไม่แน่นอน
ภายในประกอบด้วยทอมโบรพลา
สติน (thromboplastin) ซึ่งมีส่วน
ประกอบสำาคัญเกี่ยวกับการแข็งตัว
ของเลือด
ภาพการประสานกันของโปรตีนไฟ
นำ้าเลือดเป็นของเหลวค่อนข้างใส
มีสีเหลืองอ่อน
ภาพแสดงลักษณะของนำ้า
นำ้าเลือดประกอบด้วย
1. นำ้า ประมาณ 90-93 % รักษา
ระดับของนำ้าเลือด และความดันเลือด
ให้คงที่ เป็นตัวกลางในการลำาเลียง
สาร
2. โปรตีน 7-10 % (ไพรบริโนเจน, อัล
บูมิน, โกลบูลิน) ช่วยในการแข็งตัวของ
เลือด
สารอาหารโมเลกุลเล็กๆ ยูเรีย คาร์บอนไดออ
นไซม์และฮอร์โมนชนิดต่างๆ
หมู่เลือดและ
การให้เลือด
O
A B
AB
ะบบเลือด ABO
Universal donorUniversal donor
Universal recipientUniversal recipient
หมู่เลือด
Bl.gr.
แอนติเจนบนเม็ดเลือด
แดง
Antigen
แอนติบอดีย์ในนำ้า
เลือด
Antibody
การกระจายใน
คนไทย
Population
A A Anti-B 22 %
B B Anti-A 33 %
AB A และ B - 8 %
O H Anti-A และ anti-B 37 %
ผู้รับผู้ให้
-
หมู่เลือด O พบมากที่สุด, A กับ B พบได้มาก
พอๆ กัน และ AB มีน้อยที่สุด
หมู่เลือด O พบมากที่สุด, A กับ B พบได้มาก
พอๆ กัน และ AB มีน้อยที่สุด
ระบบเลือด Rh
ไม่มี Agไม่มี Ag
ไม่มี Ab แต่ถ้ารับ Rh+ จะสร้าง Abไม่มี Ab แต่ถ้ารับ Rh+ จะสร้าง Ab
รับ Rh- ได้
รับ Rh+ ได้ ครั้ง
เดียว
รับ Rh- ได้
รับ Rh+ ได้ ครั้ง
เดียว
มี Agมี Ag
ไม่มี Ab และไม่สร้าง Aไม่มี Ab และไม่สร้าง Ab
รับได้ทั้ง Rh- และ Rh+รับได้ทั้ง Rh- และ Rh+
R
h+
R
h+
R
h-
R
h-
ERYTHROBLASTOSIS
FETALIS เป็นอาการของเด็กทารก
ที่เกิดจากคู่สมรสที่มีสามีมีเลือด Rh+
ภรรยามีเลือด Rh- เลือดของลูกคน
แรกอาจกระตุ้นให้แม่สร้างแอนติบอดี
Rh ขึ้นเมื่อมีครรภ์ครั้งต่อมา และ
ทารกมีเลือด Rh+ อีกจะเกิดอันตราย
ขึ้นได้ เนื่องจากปฏิกิริยาระหว่าง
แอนติบอดีในเลือดแม่กับแอนติเจน
ครอบครัวใดที่อาจมีปัญหาในการให้
กำาเนิดบุตรคนที่สอง
ก.      สามี Rh+ , ภรรยา Rh- , บุตร
คนแรก Rh+
ข.      สามี Rh+ , ภรรยา Rh- , บุตร
คนแรก Rh-
ค.      สามี Rh- , ภรรยา Rh+ , บุตร
คนแรก Rh+
ง.       สามี Rh- , ภรรยา Rh+ , บุตร
บุคคลในข้อใดต่อไปนี้ที่มีโอกาสเสียชีวิต
เนื่องจากการรับเลือดในระบบ Rh
ก.      ครั้งแรกผู้ให้ Rh+ , ผู้รับ Rh- ,
ครั้งที่ 2 ผู้ให้ Rh+
ข.      ครั้งแรกผู้ให้ Rh+ , ผู้รับ Rh- ,
ครั้งที่ 2 ผู้ให้ Rh-
ค.      ครั้งแรกผู้ให้ Rh- , ผู้รับ Rh+ ,
ครั้งที่ 2 ผู้ให้ Rh+
ง.       ครั้งแรกผู้ให้ Rh- , ผู้รับ Rh+ ,
ครั้งที่ 2 ผู้ให้ Rh-
ระบบนำ้าเหลือง (lymphatic
system) ประกอบด้วย
*****นำ้าเหลือง( lymph )
*****ท่อนำ้าเหลือง( lymph vessel )
*****อวัยวะนำ้าเหลือง (lymphatic
organ)
น้าที่ของนำ้าเหลือง
1. ลำาเลียงอาหารประเภทไขมัน
2. กำาจัดสิ่งแปลกปลอม
น้าที่ของนำ้าเหลือง
1. ลำาเลียงอาหารประเภทไขมัน
2. กำาจัดสิ่งแปลกปลอม
าที่ของต่อมนำ้าเหลือง
1. กรองและทำาความสะอาดนำ้าเหลือง
2. กำาจัดสิ่งแปลกปลอม
3. สร้างและทำาลายเซลล์เม็ดเลือดขาว
4. สร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงขณะอยู่ในคร
าที่ของต่อมนำ้าเหลือง
1. กรองและทำาความสะอาดนำ้าเหลือง
2. กำาจัดสิ่งแปลกปลอม
3. สร้างและทำาลายเซลล์เม็ดเลือดขาว
4. สร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงขณะอยู่ในคร
ชนิดของต่อมนำ้าเหลือง
1.ต่อมทอมซิล อยู่ในลำาคอ จับสิ่งแปลก
ปลอมไม่ให้เข้าหลอดอาหารและกล่องเสียง
ถ้าติดเชื้อจะอักเสบ
2.ต่อมไทมัส ช่วยอนุบาล T-cell สร้าง
ฮอร์โมน
3.ม้าม เป็นต่อมนำ้าเหลืองที่ใหญ่ที่สุด
3.1 สะสมเลือด
3.2 สร้าง antibody
3.3 สร้างเม็ดเลือดแดงก่อนคลอด
3.4 ทำาลายเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว
ชนิดของต่อมนำ้าเหลือง
1.ต่อมทอมซิล อยู่ในลำาคอ จับสิ่งแปลก
ปลอมไม่ให้เข้าหลอดอาหารและกล่องเสียง
ถ้าติดเชื้อจะอักเสบ
2.ต่อมไทมัส ช่วยอนุบาล T-cell สร้าง
ฮอร์โมน
3.ม้าม เป็นต่อมนำ้าเหลืองที่ใหญ่ที่สุด
3.1 สะสมเลือด
3.2 สร้าง antibody
3.3 สร้างเม็ดเลือดแดงก่อนคลอด
3.4 ทำาลายเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว
Immunity System
เชื้อโรคและสิ่งแปลก
ปลอมที่เข้าสู่ร่างกายแล้ว
ทำาให้ร่างกายเกิด
ปฏิกิริยาต่อต้าน
กลไกการ
ป้องกัน
ระบบของร่างกายที่มีกลไกการป้องกันและ
ทำาลายเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม
ระบบ
ภูมิคุ้มกัน
แอนติ
เจน
แบค
ทีเรีย
เชื้อ
รา
สาร
เคมี
ฝุ่น
ละออ
ง
เกสร
ดอกไม้
ไวรั
ส
ผิวห
นัง
เซลล์เม็ด
เลือดขาวระบบนำ้า
ผิวห
นัง
ด่านแรกที่ทำาหน้าที่
ป้องกันร่างกายจาก
เชื้อโรคและสิ่ง
แปลกปลอมผิวหนังไม่ฉีกขาด
ไม่เป็นรอยแผล
แอนติเจนบางชนิด
อาจเข้าสู่ร่างกาย
บริเวณต่อมเหงื่อ
และรูขุมขน
กรดแลกติกที่ปนกับ
เหงื่อสามารถป้องกัน
การเจริญเติบโตของ
แบคทีเรีย
ภูมิคุ้มกันของร่างกาย
1.    ภูมิคุ้มกันโดยกำาเนิด
( INNATE IMMUNITY ) หรือ
แบบไม่จำาเพาะ เป็นการป้องกัน และ
กำาจัดแอนติเจนที่มีมาก่อนหน้าที่
แอนติเจนเข้าสู่ร่างกาย เช่น การขับเหงื่อ
ของผิวหนัง ขนจมูกช่วยกรองแอนติเจน
ต่างๆ LYSOZYME ในนำ้าลาย นำ้าตาล
นำ้ามูก ตลอดจนปฏิกิริยารีเฟลกซ์ต่างๆ
เช่น การไอ การจาม
ภูมิคุ้มกันของร่างกาย
1.    ภูมิคุ้มกันโดยกำาเนิด
( INNATE IMMUNITY ) หรือ
แบบไม่จำาเพาะ เป็นการป้องกัน และ
กำาจัดแอนติเจนที่มีมาก่อนหน้าที่
แอนติเจนเข้าสู่ร่างกาย เช่น การขับเหงื่อ
ของผิวหนัง ขนจมูกช่วยกรองแอนติเจน
ต่างๆ LYSOZYME ในนำ้าลาย นำ้าตาล
นำ้ามูก ตลอดจนปฏิกิริยารีเฟลกซ์ต่างๆ
เช่น การไอ การจาม
- ภูมิคุ้มกันก่อเอง ( ACTIVE
IMMUNIZATION ) เป็นการสร้าง
ภูมิคุ้มกันโดยการนำาสารที่เป็นแอนติเจนที่
ทำาให้อ่อนกำาลัง ไม่สามารถทำาให้เกิด
อันตรายต่อร่างกายได้ มาฉีด กิน หรือทา
เพื่อกระคุ้นให้ร่างกายแอนติบอดีขึ้นมาต่อ
ด้านแอนติเจนชนิดนั้น
วัคซีน ( VACCINE ) ทำามาจากเชื้อ
โรคที่ทำาให้อ่อนกำาลัง เช่น ไอกรน ไทฟอยด์
อหิวาตกโรค วัณโรค โปลิโอ หัด หัด
เยอรมัน คางทูม
- ภูมิคุ้มกันก่อเอง ( ACTIVE
IMMUNIZATION ) เป็นการสร้าง
ภูมิคุ้มกันโดยการนำาสารที่เป็นแอนติเจนที่
ทำาให้อ่อนกำาลัง ไม่สามารถทำาให้เกิด
อันตรายต่อร่างกายได้ มาฉีด กิน หรือทา
เพื่อกระคุ้นให้ร่างกายแอนติบอดีขึ้นมาต่อ
ด้านแอนติเจนชนิดนั้น
วัคซีน ( VACCINE ) ทำามาจากเชื้อ
โรคที่ทำาให้อ่อนกำาลัง เช่น ไอกรน ไทฟอยด์
อหิวาตกโรค วัณโรค โปลิโอ หัด หัด
เยอรมัน คางทูม
- ภูมิคุ้มกันรับมา ( PASSIVE
IMMUNIZATION )
   - ซีรัมหรือ เซรุ่ม ( SERUM ) คือ
ส่วนนำ้าใสของนำ้าเลือดของกระต่ายหรือ
ม้าที่ได้รับการกระตุ้นให้สร้าง
แอนติบอดี มาฉีดให้ผู้ป่วย เช่น คอตีบ
พิษงู เป็นต้น
- นำ้านมที่ทารกๆ ได้รับจากการดูด
นำ้านมแม่ และภูมิคุ้มกันที่ทารกในครรภ์
- ภูมิคุ้มกันรับมา ( PASSIVE
IMMUNIZATION )
   - ซีรัมหรือ เซรุ่ม ( SERUM ) คือ
ส่วนนำ้าใสของนำ้าเลือดของกระต่ายหรือ
ม้าที่ได้รับการกระตุ้นให้สร้าง
แอนติบอดี มาฉีดให้ผู้ป่วย เช่น คอตีบ
พิษงู เป็นต้น
- นำ้านมที่ทารกๆ ได้รับจากการดูด
นำ้านมแม่ และภูมิคุ้มกันที่ทารกในครรภ์
การรักษาดุลยภาพในร่างกาย

More Related Content

What's hot

ระบบหายใจ (1-2560)
ระบบหายใจ  (1-2560)ระบบหายใจ  (1-2560)
ระบบหายใจ (1-2560)Thitaree Samphao
 
ระบบขับถ่าย (T) 1 2560
ระบบขับถ่าย (T) 1 2560ระบบขับถ่าย (T) 1 2560
ระบบขับถ่าย (T) 1 2560Thitaree Samphao
 
ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย Thitaree Samphao
 
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system kasidid20309
 
ระบบขับถ่าย ม.2
ระบบขับถ่าย ม.2ระบบขับถ่าย ม.2
ระบบขับถ่าย ม.2Sukanya Nak-on
 
การขับถ่ายของคน
การขับถ่ายของคนการขับถ่ายของคน
การขับถ่ายของคนWan Ngamwongwan
 
ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่ายระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่ายkrubua
 
ระบบย่อยอาหาร - Digestive system
ระบบย่อยอาหาร - Digestive systemระบบย่อยอาหาร - Digestive system
ระบบย่อยอาหาร - Digestive systemsupreechafkk
 
ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือด Thitaree Samphao
 
ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือด Thitaree Samphao
 
ระบบขับถ่าย Excretory system
ระบบขับถ่าย Excretory systemระบบขับถ่าย Excretory system
ระบบขับถ่าย Excretory systemพัน พัน
 
ระบบหายใจ
ระบบหายใจระบบหายใจ
ระบบหายใจWan Ngamwongwan
 
กลไกการรักษาดุลยภาพ 54
กลไกการรักษาดุลยภาพ 54กลไกการรักษาดุลยภาพ 54
กลไกการรักษาดุลยภาพ 54Oui Nuchanart
 
โครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สของคน
โครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สของคน โครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สของคน
โครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สของคน Wan Ngamwongwan
 

What's hot (20)

การดำรงชีพ
การดำรงชีพการดำรงชีพ
การดำรงชีพ
 
ระบบหายใจ (1-2560)
ระบบหายใจ  (1-2560)ระบบหายใจ  (1-2560)
ระบบหายใจ (1-2560)
 
ระบบขับถ่าย (T) 1 2560
ระบบขับถ่าย (T) 1 2560ระบบขับถ่าย (T) 1 2560
ระบบขับถ่าย (T) 1 2560
 
ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย
 
ระบบกำจัดของเสีย (Excretory System)
ระบบกำจัดของเสีย (Excretory System)ระบบกำจัดของเสีย (Excretory System)
ระบบกำจัดของเสีย (Excretory System)
 
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
 
ระบบขับถ่าย ม.2
ระบบขับถ่าย ม.2ระบบขับถ่าย ม.2
ระบบขับถ่าย ม.2
 
การขับถ่ายของคน
การขับถ่ายของคนการขับถ่ายของคน
การขับถ่ายของคน
 
ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่ายระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย
 
ระบบย่อยอาหาร - Digestive system
ระบบย่อยอาหาร - Digestive systemระบบย่อยอาหาร - Digestive system
ระบบย่อยอาหาร - Digestive system
 
ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือด
 
ระบบหายใจ (Respiratory System)
ระบบหายใจ (Respiratory System)ระบบหายใจ (Respiratory System)
ระบบหายใจ (Respiratory System)
 
4.excretion system
4.excretion system4.excretion system
4.excretion system
 
ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือด
 
ระบบขับถ่าย Excretory system
ระบบขับถ่าย Excretory systemระบบขับถ่าย Excretory system
ระบบขับถ่าย Excretory system
 
ระบบหายใจ
ระบบหายใจระบบหายใจ
ระบบหายใจ
 
กลไกการรักษาดุลยภาพ 54
กลไกการรักษาดุลยภาพ 54กลไกการรักษาดุลยภาพ 54
กลไกการรักษาดุลยภาพ 54
 
โครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สของคน
โครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สของคน โครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สของคน
โครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สของคน
 
ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
 
ระบบหายใจppt
ระบบหายใจpptระบบหายใจppt
ระบบหายใจppt
 

Similar to การรักษาดุลยภาพในร่างกาย

ระบบหายใจ1
ระบบหายใจ1ระบบหายใจ1
ระบบหายใจ1Wan Ngamwongwan
 
บทที่ 4 การแลกเปลี่ยนแก๊สในสัตว์
บทที่ 4  การแลกเปลี่ยนแก๊สในสัตว์บทที่ 4  การแลกเปลี่ยนแก๊สในสัตว์
บทที่ 4 การแลกเปลี่ยนแก๊สในสัตว์Amporn Ponlana
 
บทที่ 4 การแลกเปลี่ยนแก๊สในสัตว์
บทที่ 4  การแลกเปลี่ยนแก๊สในสัตว์บทที่ 4  การแลกเปลี่ยนแก๊สในสัตว์
บทที่ 4 การแลกเปลี่ยนแก๊สในสัตว์Amporn Ponlana
 
ระบบหายใจ (Respiration)
ระบบหายใจ (Respiration)ระบบหายใจ (Respiration)
ระบบหายใจ (Respiration)joongka3332
 
การศึกษาโครงสร้างของหัวใจหมู โครงสร้างอวัยวะแลกเปลี่ยนแก๊ส และการวัดปริมาตรปอด
การศึกษาโครงสร้างของหัวใจหมู โครงสร้างอวัยวะแลกเปลี่ยนแก๊ส และการวัดปริมาตรปอดการศึกษาโครงสร้างของหัวใจหมู โครงสร้างอวัยวะแลกเปลี่ยนแก๊ส และการวัดปริมาตรปอด
การศึกษาโครงสร้างของหัวใจหมู โครงสร้างอวัยวะแลกเปลี่ยนแก๊ส และการวัดปริมาตรปอดpitsanu duangkartok
 
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์feeonameray
 
ระบบนิเวศ00
ระบบนิเวศ00ระบบนิเวศ00
ระบบนิเวศ00suttidakamsing
 
ระบบนิเวศ001
ระบบนิเวศ001ระบบนิเวศ001
ระบบนิเวศ001suttidakamsing
 
ระบบนิเวศ00
ระบบนิเวศ00ระบบนิเวศ00
ระบบนิเวศ00suttidakamsing
 
โครงงานสุขศึกษา
โครงงานสุขศึกษาโครงงานสุขศึกษา
โครงงานสุขศึกษาTatsawan Khejonrak
 
สมดุลเคมีในสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม
สมดุลเคมีในสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมสมดุลเคมีในสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม
สมดุลเคมีในสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมวิศิษฏ์ ชูทอง
 
ติวสอบเตรียมระบบหายใจและขับถ่าย
ติวสอบเตรียมระบบหายใจและขับถ่ายติวสอบเตรียมระบบหายใจและขับถ่าย
ติวสอบเตรียมระบบหายใจและขับถ่ายWichai Likitponrak
 
ระบบนิเวศ
ระบบนิเวศระบบนิเวศ
ระบบนิเวศsuttidakamsing
 
ความสัมพันธ์ในระบบนิเวศ
ความสัมพันธ์ในระบบนิเวศความสัมพันธ์ในระบบนิเวศ
ความสัมพันธ์ในระบบนิเวศgasine092
 
บทที่ 3 ตอนที่ 3
บทที่ 3  ตอนที่ 3บทที่ 3  ตอนที่ 3
บทที่ 3 ตอนที่ 3gasine092
 

Similar to การรักษาดุลยภาพในร่างกาย (20)

ระบบหายใจ1
ระบบหายใจ1ระบบหายใจ1
ระบบหายใจ1
 
บทที่ 4 การแลกเปลี่ยนแก๊สในสัตว์
บทที่ 4  การแลกเปลี่ยนแก๊สในสัตว์บทที่ 4  การแลกเปลี่ยนแก๊สในสัตว์
บทที่ 4 การแลกเปลี่ยนแก๊สในสัตว์
 
บทที่ 4 การแลกเปลี่ยนแก๊สในสัตว์
บทที่ 4  การแลกเปลี่ยนแก๊สในสัตว์บทที่ 4  การแลกเปลี่ยนแก๊สในสัตว์
บทที่ 4 การแลกเปลี่ยนแก๊สในสัตว์
 
Movement
MovementMovement
Movement
 
ระบบหายใจ (Respiration)
ระบบหายใจ (Respiration)ระบบหายใจ (Respiration)
ระบบหายใจ (Respiration)
 
การศึกษาโครงสร้างของหัวใจหมู โครงสร้างอวัยวะแลกเปลี่ยนแก๊ส และการวัดปริมาตรปอด
การศึกษาโครงสร้างของหัวใจหมู โครงสร้างอวัยวะแลกเปลี่ยนแก๊ส และการวัดปริมาตรปอดการศึกษาโครงสร้างของหัวใจหมู โครงสร้างอวัยวะแลกเปลี่ยนแก๊ส และการวัดปริมาตรปอด
การศึกษาโครงสร้างของหัวใจหมู โครงสร้างอวัยวะแลกเปลี่ยนแก๊ส และการวัดปริมาตรปอด
 
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์
 
ระบบนิเวศ00
ระบบนิเวศ00ระบบนิเวศ00
ระบบนิเวศ00
 
ระบบนิเวศ001
ระบบนิเวศ001ระบบนิเวศ001
ระบบนิเวศ001
 
ระบบนิเวศ00
ระบบนิเวศ00ระบบนิเวศ00
ระบบนิเวศ00
 
โครงงานสุขศึกษา
โครงงานสุขศึกษาโครงงานสุขศึกษา
โครงงานสุขศึกษา
 
Lesson 1 homeostasis
Lesson 1 homeostasisLesson 1 homeostasis
Lesson 1 homeostasis
 
สมดุลเคมีในสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม
สมดุลเคมีในสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมสมดุลเคมีในสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม
สมดุลเคมีในสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม
 
Photosynthesis
PhotosynthesisPhotosynthesis
Photosynthesis
 
ติวสอบเตรียมระบบหายใจและขับถ่าย
ติวสอบเตรียมระบบหายใจและขับถ่ายติวสอบเตรียมระบบหายใจและขับถ่าย
ติวสอบเตรียมระบบหายใจและขับถ่าย
 
ระบบนิเวศ
ระบบนิเวศระบบนิเวศ
ระบบนิเวศ
 
ความสัมพันธ์ในระบบนิเวศ
ความสัมพันธ์ในระบบนิเวศความสัมพันธ์ในระบบนิเวศ
ความสัมพันธ์ในระบบนิเวศ
 
บทที่ 3 ตอนที่ 3
บทที่ 3  ตอนที่ 3บทที่ 3  ตอนที่ 3
บทที่ 3 ตอนที่ 3
 
G2
G2G2
G2
 
สรุปเซลล์
สรุปเซลล์สรุปเซลล์
สรุปเซลล์
 

การรักษาดุลยภาพในร่างกาย