More Related Content Similar to 9789740335733 (20) 97897403357332. ภาคที่ 1 พื้นฐานนักพูดและปลุกวิญญาณนักพูด มี
วัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการเป็นนักพูดที่ดี
เกิดแรงบันดาลใจที่จะเป็นนักพูดที่เก่งกล้าขึ้น ผู้ที่พูดเก่งอยู่แล้ว
ก็จะเก่งยิ่งขึ้น ส่วนผู้ที่ยังพูดไม่เก่งก็พร้อมที่จะเป็นนักพูดที่เก่ง
ในกาลต่อไป
เนื้อหาของภาคนี้แบ่งออกเป็น 3 ประเด็น ได้แก่
คุณสมบัติของนักพูดที่ดี ประกอบด้วยพื้นฐานของการ
เป็นนักพูดที่ดีและเก่ง รีบเร่งหาความรู้และความรอบรู้ของนักพูด
ที่ดี มีวิสัยของนักถ่ายทอดความรู้ และเชิดชูจรรยาบรรณ
บันไดก้าวสู่การเป็นนักพูดอย่างมืออาชีพ ประกอบด้วย
หาจุดเริ่มต้นให้ดี พบเวทีรีบแสดงฝีมือ ถือโอกาสพัฒนาสม�่ำเสมอ
พบเจอสิ่งใหม่ให้ฝึกฝนจนช�ำนาญ ถือเป็นงานที่ท�ำไม่หยุดเว้น
เลือกเฟ้นสรรสร้างความรู้ใหม่
การเตรียมใจให้พร้อมที่จะเป็นนักพูด โดยจะต้องมี
ธรรมะพื้นฐาน 4 ประการ คือ เริ่มต้นด้วยฉันทะ รู้วิริยะน้อมน�ำ
จิตตะธรรมมั่นคง และเสริมส่งวิมังสา
1
3. 2
คุณสมบัติของนักพูดที่ดี
การเป็นนักพูดที่ดีนั้น มิใช่ว่าทุกคนจะสามารถท�ำได้ดีและประสบ
ความส�ำเร็จเหมือนกันเสมอไป แต่ก็หาใช่งานที่ยากแก่การจะเป็น หากมีการ
เรียนรู้ มีการฝึกหัด และรู้จักเพิ่มเติมหรือพัฒนาคุณสมบัติแห่งตนให้เหมาะสม
ที่จะเป็นนักพูดที่ดี คุณสมบัติของนักพูดที่ดีซึ่งกล่าวถึงในที่นี้มี 4 ประเด็น
คือ
• พื้นฐานของการเป็นนักพูดที่ดีและเก่ง
• รีบเร่งหาความรู้และความรอบรู้ของนักพูดที่ดี
• มีวิสัยของนักถ่ายทอดความรู้
• เชิดชูจรรยาบรรณ
พื้นฐานของการเป็นนักพูดที่ดีและเก่ง
คนที่จะเป็นนักพูดที่ดีและเก่งได้นั้น จะต้องมีคุณสมบัติตามถ้อยค�ำ
คล้องจองต่อไปนี้คือ บุคลิกดีงามสง่า ภูมิปัญญารอบรู้และลุ่มลึก ฝึกปฏิภาณ
ไหวพริบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ น�้ำเสียงใส ชัดเจน ถูกต้อง ความเร็ว
พอเหมาะพอดี มีมารยาทงามสม อารมณ์ขันหรรษา รู้ลีลาสร้างสรรค์ค�ำ
น�ำความยืดหยุ่นประยุกต์ใช้ นิสัยอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนตั้งใจจริงและ
รับผิดชอบหลากหลาย มุ่งหมายพัฒนาเต็มหัวใจ
1. บุคลิกดีงามสง่า เกิดจากการแต่งกายดี มีรสนิยมดี ตลอดจน
สุขภาพร่างกายต้องแข็งแรง มีสัดส่วนทรวดทรงที่ดี
2. ภูมิปัญญารอบรู้และลุ่มลึก หมายถึง มีความรู้เฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง
อย่างแตกฉาน อย่างน้อยก็ในสาขาวิชาที่ถนัดหรือศึกษามา นอกจากนี้
ยังต้องมีความรู้รอบตัวทั่วไป เช่น การเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม
เทคโนโลยี
4. 3
3. ฝึกปฏิภาณไหวพริบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ ใครก็ตามที่สามารถ
แก้ปัญหาเฉพาะได้ดี ผู้นั้นจะได้รับการยอมรับว่ามีความสามารถ การจะ
กระท�ำการดังกล่าวได้นั้นต้องมีประสบการณ์มามาก อาจพบด้วยตนเอง
เห็นตัวอย่างจากบุคคลอื่น ตลอดจนอ่านจากหนังสือหรือแหล่งค้นคว้า
ต่าง ๆ ก็ได้
4. น�้ำเสียงใส ชัดเจน ถูกต้อง ความเร็วพอเหมาะพอดี น�้ำเสียงที่
ดีเกิดจากความมั่นใจ เต็มใจ และจริงใจที่จะพูด พูดให้ชัดเจน ถูกต้อง
ความเร็วในการเปล่งถ้อยค�ำพอดี ๆ ไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป คนพูดดีมิใช่คน
พูดเร็ว
5. มีมารยาทงามสม มารยาทมีทั้งภายนอกและภายใน มารยาท
ภายในคือ มีจิตใจดีงาม เป็นมิตร ไม่ขุ่นเคือง ไม่คิดเอาของของคนอื่น
มาเป็นของตนเอง โดยเฉพาะความรู้ ความคิด และวิทยาการต่าง ๆ หาก
ไม่ได้มาจากการค้นพบของตน เวลาพูดต้องกล่าวอ้างอิง ส่วนมารยาท
ภายนอกคือ พฤติกรรม เช่น ความตรงต่อเวลา ประพฤติในสิ่งสมควร ไม่
เรียกร้องอะไรที่มากเกินควร ไม่พูดอะไรที่ก่อให้เกิดความเสียหาย
6. อารมณ์ขันหรรษา ไม่มีผู้ฟังคนใดต้องการฟังสิ่งที่เครียด ๆ แม้
เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องยาก วิชาการ หรือปัญหาหนัก ๆ นักพูดที่ดีต้องถ่ายทอด
ให้ฟังแล้วไม่เครียด แต่เนื้อหาครบถ้วนเช่นเดิม อารมณ์ขันจะเป็นเครื่องมือ
ช่วยได้เป็นอย่างดี เป็นสิ่งที่ฝึกฝนได้ไม่ยาก แต่ต้องใช้เวทีแสดงและประสบการณ์
แบบค่อยเป็นค่อยไป
7. รู้ลีลาสร้างสรรค์ค�ำ ภาษาฟังเพลิน คือ ภาษาประกอบด้วยถ้อยค�ำ
แปลกใหม่ สร้างสรรค์ ไม่ซ�้ำซาก การพูดที่ดีผู้พูดต้องสามารถคิดค�ำใหม่ ๆ
ใช้ในการพูดของตนเองบ้าง จะชวนให้น่าฟังมากยิ่งขึ้น ภาษาเหล่านี้ต้องค่อย ๆ
สะสมจากการอ่าน การฟัง การอ่านหนังสือของนักเขียนที่เชี่ยวชาญด้าน
การใช้ภาษาสร้างสรรค์จะช่วยให้เราซึมซับภาษานั้นโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว
5. 4
8. น�ำความยืดหยุ่นประยุกต์ใช้ อะไรที่ตึงเกินไปหรือหย่อนเกินไป
เป็นสิ่งที่ไม่ช่วยให้เกิดการพัฒนา การพูดในลักษณะที่ย่อหย่อน เป็นสิ่งที่
ไม่ดีและไม่ควรปฏิบัติ ใคร ๆ ก็รู้ แต่สิ่งที่ตึงเกินไป เช่น เนื้อหาสาระ เวลา
กิจกรรม หรืออื่น ๆ มักจะเกินเลยที่ผู้ฟังจะรับได้ นักพูดที่ดีต้องรู้จักยืดหยุ่น
ประสบการณ์และปฏิภาณปัญญาจะช่วยได้เมื่อการพูดจริง ๆ มาถึง
9. นิสัยอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่มีใครไม่ชอบคนอ่อนน้อม แต่อย่าลืม
ว่าอ่อนน้อมไม่ใช่อ่อนแอ ความอ่อนน้อมแสดงได้ด้วยพฤติกรรม ทั้งความ
ประพฤติและการพูด เช่น การไหว้ โค้งค�ำนับ การกล่าวสวัสดี ขอบคุณ ขอโทษ
หรือกล่าวชื่นชม เช่น เยี่ยม ดี ดีมาก ถูกต้อง เหล่านี้ควรเป็นสิ่งที่นักพูด
ผู้เยี่ยมยอดต้องมี
10. เป็นคนตั้งใจจริงและรับผิดชอบหลากหลาย การพูดที่ประสบ
ความส�ำเร็จต้องมาจากความตั้งใจอย่างเต็มใจ เมื่อคนเรามีสิ่งนี้ เราก็มีใจ
ที่จะเตรียมตัว เตรียมเนื้อหาสาระ เตรียมซ้อมการพูด ประกอบกับมีความ
รับผิดชอบต่อการพูด ทั้งรับผิดชอบในเนื้อหาที่น�ำมาเสนอ ซึ่งจะต้องถูกต้อง
และสร้างสรรค์ รวมทั้งรับผิดชอบเป็นผู้พูดในเรื่องนั้น เวลานั้น ตามที่
ก�ำหนดตกลงกันไว้ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ช่วยน�ำพาให้เป็นนักพูดที่ดีได้
11. มุ่งหมายพัฒนาเต็มหัวใจ ไม่มีใครพูดได้ พูดดีได้ในครั้งเดียว
และไม่มีนักพูดคนใดพูดครั้งเดียวแล้วประสบความส�ำเร็จ เป็นนักพูดมือ
อาชีพได้ในทันที การที่เรามุ่งหวังพัฒนาตนเองให้ศักยภาพการพูดก้าวหน้า
ไปเป็นล�ำดับ ๆ ความผิดพลาดในครั้งนี้เป็นหนทางให้เราได้พัฒนาในครั้ง
ต่อไป ขอเพียงไม่ย่อท้อเท่านั้นเอง ก็จะเป็นนักพูดมืออาชีพได้ในที่สุด
6. 5
รีบเร่งหาความรู้และความรอบรู้ของนักพูดที่ดี
การพูดแต่ละครั้งเป็นการถ่ายทอดความรู้ให้คนอื่น ๆ ได้รับรู้หรือ
รับทราบ เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้พูดเองนั่นแหละจะต้องมีความรู้และความรอบรู้
เป็นอย่างดีเสียก่อน
ความรู้ คือ วิทยาการในด้านใดด้านหนึ่งตามศาสตร์สาขาวิชาที่ได้
ศึกษา เช่น วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ ภาษาศาสตร์ บริการธุรกิจ รัฐศาสตร์
ความรู้เหล่านี้ได้จากการศึกษาตามระบบ และส่วนหนึ่งได้จากศึกษาเรียนรู้
ด้วยตนเอง
ความรอบรู้ คือ วิชา องค์ความรู้ หรือสาระต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ
ด�ำรงชีวิตของมนุษย์ อาจเป็นข่าวสาร เกร็ดความรู้นานาประการ สังคม
วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ เป็นต้น เราต้องค่อย ๆ สั่งสมจากการอ่านหนังสือ
การฟัง การศึกษาสืบค้นจากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ
ทั้งความรู้และความรอบรู้ต้องมีอยู่อย่างสมบูรณ์ในตัวนักพูดที่ดี
มีลักษณะทั่วไปดังนี้
1. รู้สาระอันเป็นรายละเอียดในเรื่องนั้นอย่างเพียงพอ การรู้เรื่อง
ต่าง ๆ อย่างเพียงพอนั้นไม่จ�ำเป็นต้องรู้มาแต่ต้นหรือรู้มาก่อนที่จะได้พูด
เรื่องที่พูดบางเรื่องเราเพียงแต่พอมีความรู้และคิดว่าพูดได้ เมื่อเราต้องพูด
จริง ๆ ก็ต้องค้นคว้า เตรียมข้อมูลให้เพียงพอ ดังนั้น เราต้องเป็นนักค้นคว้า
ที่มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ
2. เข้าใจเหตุผลของรายละเอียดนั้น เรื่องทุกเรื่อง งานทุกงาน หรือ
อะไรก็ตามย่อมมีเหตุผลอันเป็นรายละเอียดอยู่ด้วยเสมอ การที่เรารู้สิ่งนั้น
ย่อมหมายความว่าเรามีความลึกซึ้งในเนื้อหาสาระของสิ่งนั้นอย่างถ่องแท้
เช่น ในการเขียนหนังสือ จดหมาย หรืออีเมลโต้ตอบกัน เราจะไม่ใช้ประโยค
ลงท้ายที่ว่า “จักขอบคุณยิ่ง” แต่เราใช้ว่า “จะขอบคุณยิ่ง” การที่เราตอบ
7. 6
ได้ว่า เหตุที่ต้องใช้ “จะ” นั้น เพราะค�ำว่า “จัก” มีความหมายอันหนัก ใช้
เมื่อแสดงการลงโทษหรือคาดโทษ การขอบคุณใครก็ตามไม่ใช่การคาดโทษ
จึงใช้ค�ำว่า “จะขอบคุณยิ่ง” ความรู้ในลักษณะนี้ส่วนหนึ่งเป็นความรู้
เนื่องมาจากได้ศึกษาในชั้นเรียน และส่วนหนึ่งก็ได้มาจากการศึกษาเพิ่มเติม
ด้วยตนเอง
3. รู้สมมติฐานหรือความเป็นมาของสิ่งนั้น เป็นการคาดเดาสิ่งที่จะ
เกิดขึ้นในอนาคตอันเนื่องมาจากสิ่งนั้นได้อย่างมีเหตุผล การที่เราจะท�ำ
เช่นนี้ได้ก็มาจากการที่เรามีความรู้ในรายละเอียดและเหตุผลของสิ่งนั้น
มาเป็นอย่างดี เช่น เรารู้ว่าการติดต่อสื่อสารกันอย่างเป็นทางการในงาน
ราชการและธุรกิจ ต้องจัดท�ำเป็นหนังสือหรือจดหมายโต้ตอบ ต่อมาเมื่อมี
ระบบการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ที่เรียกว่าอีเมล เราก็ตั้งสมมุติฐานได้ว่า
ในอนาคตการติดต่อสามารถท�ำได้โดยทางอีเมล ซึ่งก็ก�ำลังเกิดขึ้นและได้รับ
ความนิยมอยู่ในขณะนี้
4. สามารถประยุกต์สิ่งนั้นให้เห็นเป็นจริงได้ การจะพิสูจน์ว่ารู้อะไร
สักอย่างหนึ่งได้ถึงขั้นหรือไม่นั้น การประยุกต์ให้เป็นจริงเป็นเครื่องทดสอบ
ได้ เช่น เรารู้หลักการเขียนอีเมลชี้แจงลูกค้าที่เขียนเข้ามาร้องเรียนเรื่องการ
ส่งสินค้าล่าช้าได้ และต่อมามีจดหมายร้องเรียนจากลูกค้ามาเป็นหนังสือ
หรือเอกสารว่าสินค้านอกจากส่งไปล่าช้าแล้วยังช�ำรุดอีก หากเราเขียนอีเมล
ฉบับนั้นได้อย่างดี เราก็สามารถเขียนจดหมายตอบข้อร้องเรียนของลูกค้า
ฉบับนี้ได้ดีเช่นกัน เพราะหลักและวิธีการเขียนอีเมลกับหลักและวิธีการเขียน
หนังสือหรือเอกสารเป็นสิ่งที่ประยุกต์กันได้ หากเราสามารถประยุกต์ได้
เช่นนี้ แสดงว่าเป็นนักพูดที่มีความรู้และความรอบรู้เป็นอย่างดีทีเดียว
8. 7
มีวิสัยของนักถ่ายทอดความรู้
หากเปรียบนักพูดเป็นครูหรืออาจารย์ก็ย่อมได้ เพราะต่างก็เป็นนัก
ถ่ายทอดความรู้ทั้งสิ้น การจะเป็นนักถ่ายทอดที่ดีนั้น นอกจากพรสวรรค์
แล้ว พรแสวงที่เกิดขึ้นภายหลังอันเนื่องมาจากความตั้งใจจริงก็เป็นสิ่งช่วยให้
เป็นนักถ่ายทอดชั้นเยี่ยมทั้งนั้น
นักถ่ายทอดที่ดีมีคุณลักษณะดังนี้
1. มีเทคนิคต่าง ๆ เป็นอย่างดี เช่น ในการบรรยาย การอภิปราย
และการสัมมนา ต้องรู้จักจัดกิจกรรมเพื่อให้ผู้ฟังได้ความรู้อย่างครบถ้วน
อย่างง่าย ได้สาระ
2. ต้องพูดให้เป็น ฟังเข้าใจตามที่พูดได้อย่างรวดเร็ว ต้องพูดเรื่องที่ยาก
และซับซ้อนให้เข้าใจได้โดยง่าย หรือพูดเรื่องที่ดูง่าย ๆ พื้น ๆ ให้มีหลักการ
ได้แง่คิด
3. ต้องเป็นนักฟัง นักพูดมิใช่พูดอย่างเดียวโดยไม่ฟัง เวลาพูดก็มี
ผู้ฟัง ผู้ฟังจะโต้ตอบกับผู้พูด เมื่อผู้ฟังพูดเราต้องตั้งใจฟัง ฟังให้ตลอดและ
ควบคุมอารมณ์ ขณะที่ฟังอย่าคิดค�ำตอบทันที และฟังเอาความหมาย
มากกว่าถ้อยค�ำ เมื่อได้ความครบถ้วนแล้วจึงคิด แล้วพูดตอบตามหลักการ
เป็นนักพูดที่ดี
4. ต้องรู้หลักและเทคนิคการน�ำเสนอเป็นประเด็น นักพูดที่ดีต้องเป็น
นักฟัง นักอ่าน นักค้นคว้าที่ดีมาก่อน จากนั้นจึงมาเป็นนักเสนอหรือนักพูด
เราต้องรู้จักตั้งประเด็นและสรุปประเด็น รู้ว่าประเด็นใดคือประเด็นหลัก
ประเด็นใดคือประเด็นรอง และอะไรที่มิใช่ประเด็น
5. มีอารมณ์ขันและสร้างบรรยากาศในการพูดการฟังได้อย่างเหมาะสม
เกร็ดอารมณ์ขันมีอยู่มากมาย ทั้งที่มีขายเป็นหนังสือ เทป หรือซีดี การที่เรา
9. 8
ได้ดูได้อ่านก็สามารถเก็บเกี่ยวมาใช้ประกอบการพูดได้ แต่ก่อนใช้เราต้อง
ตีความให้แตกเสียก่อน มิเช่นนั้นแล้วจะไม่ขัน อีกทั้งต้องดูกาลเทศะ
ให้เหมาะสมด้วย
6. ใช้ภาษาพูดได้ดี คือ เป็นภาษาที่ตรงกับเนื้อหา ความต้องการ
และพื้นฐานความรู้ของผู้ฟัง เวลาพูดกับนักวิชาการ พนักงานบริษัท นิสิต
นักศึกษา ชาวบ้าน ล้วนแต่ต้องใช้ภาษาที่แตกต่างกัน นักพูดที่ดีต้องเลือก
ภาษาที่ใช้พูดให้เหมาะกับผู้ฟังจึงจะประสบความส�ำเร็จ
เชิดชูจรรยาบรรณ
อาชีพใด ๆ ก็มีจรรยาบรรณทั้งนั้น รวมทั้งนักพูดด้วย ไม่ว่าจะมืออาชีพ
หรือมือสมัครเล่น เพราะจรรยาบรรณจะเป็นประทีปชวาลาส่องน�ำทางให้
เส้นทางการพูดสว่างไสวได้อย่างยาวนาน จรรยาบรรณที่นักพูดควรมีได้แก่
1. เมื่อถ่ายทอดหรือสอน ต้องมีความรู้จริงในเรื่องนั้น ๆ หากไม่รู้มา
แต่ดั้งเดิม ก็ต้องค้นคว้าและศึกษาให้แตกฉานเสียก่อน
2. ต้องมุ่งประโยชน์ของผู้ฟังเป็นที่ตั้ง ส่วนใหญ่หน่วยงานหรือผู้เชิญ
ให้ไปพูดมีความต้องการว่าผู้มาพูดนั้นจะมาท�ำประโยชน์ ช่วยแก้ปัญหาให้
ผู้เชิญหรือผู้ฟัง นักพูดที่ดีต้องมุ่งสิ่งดังกล่าว แม้ผลตอบแทนเป็นสิ่งของและ
เงินทองที่เราจะได้จะสูงหรือต�่ำก็ตาม ก็ไม่ควรถือเป็นความมุ่งหวัง
3. เมื่อได้รับเชิญให้ไปพูด แสดงว่าโอกาสเป็นของผู้พูดแล้ว ในโอกาสนี้
ไม่ควรฉกฉวยการกล่าวโจมตีคนอื่นหรือหน่วยงานอื่นให้เกิดความเสียหาย
แม้เรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงและไม่ดี หากจ�ำเป็นต้องแสดงความคิดเห็นอย่าง
เลี่ยงไม่ได้ก็ควรแสดงความเป็นกลางเอาไว้
10. 9
4. ไม่ฉกฉวยโอกาสเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว เช่น ประโยชน์
ในการขายหนังสือหรือสิ่งของของผู้พูด หรือเชิญชวนร่วมกิจกรรมของผู้พูด
5. ความประพฤติและการปฏิบัติตนของผู้พูดควรจะสอดคล้องกับ
เรื่องที่พูด เช่น พูดเรื่องการปฏิบัติธรรม ผู้พูดต้องปฏิบัติธรรมด้วย ไม่มี
เรื่องเสื่อมเสียไม่ว่าในเรื่องใด
บันไดก้าวสู่การเป็นนักพูดอย่างมืออาชีพ
การเป็นนักพูดที่ประสบความส�ำเร็จนั้นต้องมีจุดเริ่มต้นทั้งนั้น บางคน
ก็เหมือนกับคนอื่น ๆ หรือบางคนก็ไม่เหมือนใคร เช่น จุดเริ่มต้นการพูด
ของผู้เขียน คือผู้เขียนเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ลูกศิษย์ชั้นปีที่ 4 ออกไป
ฝึกงาน และหน่วยงานนั้นมอบหมายให้ลูกศิษย์จัดหาวิทยากรมาพูดเรื่อง
การเขียนหนังสือราชการ ลูกศิษย์จึงเสนอชื่อผู้เขียนไป แล้วประตูแห่งการพูด
ได้เงินได้ทองของผู้เขียนก็เปิดตั้งแต่บัดนั้น เมื่อวิเคราะห์ว่าท�ำไมจึงท�ำได้
ก็น่าจะเพราะผู้เขียนเป็นอาจารย์อยู่แล้ว ความรู้ที่จะพูดก็มีอยู่อย่างพร้อมมูล
อีกทั้งการพูดก็เป็นศาสตร์ที่ศึกษาและฝึกฝนมาโดยตรง จึงไม่ใช่เรื่องยาก
อะไรนัก
การก้าวไปสู่นักพูดเหมือนกับการขึ้นบันไดที่ต้องขึ้นไปทีละขั้น ๆ
การที่เราได้พูดครั้งแรกก็ท�ำนายล่วงหน้าได้ว่าต้องมีครั้งที่ 2 และครั้งต่อไป
อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ของผู้เขียนและการศึกษาแนวคิดทฤษฎี
สามารถสรุปบันไดก้าวไปสู่นักพูดมืออาชีพได้ 6 ขั้น ได้แก่
• หาจุดเริ่มต้นให้ดี
• พบเวทีรีบแสดงฝีมือ
• ถือโอกาสพัฒนาสม�่ำเสมอ
• พบเจอสิ่งใหม่ให้ฝึกฝนจนช�ำนาญ
11. 10
• ถือเป็นงานที่ท�ำไม่หยุดเว้น
• เลือกเฟ้นสรรสร้างความรู้ใหม่
หาจุดเริ่มต้นให้ดี
การเป็นนักพูดที่ประสบความส�ำเร็จก็เหมือนกับการท�ำงานอื่น ๆ ที่ต้อง
อาศัยจุดเริ่มต้นที่ดี
จุดเริ่มต้นจริง ๆ อยู่ในใจของทุกคน คือเราต้องตั้งใจให้แน่วแน่ว่าจะเป็น
นักพูดที่ประสบความส�ำเร็จให้ได้นั่นเอง
หลังจากนั้นคงต้องคิดทบทวนตนเองว่า ถนัดที่จะพูดเรื่องอะไรมาก
ที่สุด ศึกษาและค้นคว้าเพิ่มเติมให้ช�ำนาญที่สุด พยายามหาโอกาสพูดให้ได้
เช่น ในหน่วยงานที่เราท�ำงานอยู่ หากว่างานนั้นเปิดโอกาสให้เราพูด จงคว้าไว้
ทันที อย่างน้อยการพูดในหน่วยงานก็เป็นเวทีให้เราฝึกฝน
เมื่อเราท�ำเช่นนี้บ่อย ๆ ก็เหมือนกับการท�ำความดีที่จะได้รับความ
ชื่นชมแผ่กว้างออกไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็จะมีโอกาสพูดนอกหน่วยงาน นั่น
หมายถึงการได้รับค่าตอบแทนการพูดนั่นเอง
เรื่องที่เราคิดว่าจะพูดให้ได้ดีที่สุดนั้นไม่ควรมีเรื่องเดียว แต่ในขั้นต้น
ก็ไม่ควรเกิน 3 เรื่อง หากมีมากเกินไปอาจไม่ได้รับความเชื่อถือก็ได้ แต่ถ้า
เป็นผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ ก็ไม่เป็นอะไร เพราะเก่งจริง
ส�ำหรับผู้เขียนนั้นแม้มิได้ประกอบอาชีพหลักเป็นนักพูด แต่ก็มีโอกาส
ได้ออกไปพูดในเรื่องต่าง ๆ ณ องค์การต่าง ๆ ตามที่เชิญให้ไปพูดหรือเป็น
วิทยากรอยู่สม�่ำเสมอ ก็มีจุดเริ่มต้นของการพูดเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ในขณะ
ที่ปฏิบัติอาชีพเป็นอาจารย์สอนที่สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์
และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษมนั้น ลูกศิษย์คนหนึ่ง
ซึ่งออกไปฝึกงานที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย มาแจ้งแก่
ผู้เขียนว่า ทางสถานที่ฝึกงานมอบหมายให้เขาจัดหาวิทยากรมาพูดเรื่องการ
เขียนหนังสือราชการแก่พนักงานของการรถไฟฟ้าฯ เขาก็แจ้งแก่หน่วยงานว่า