More Related Content Similar to ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการพูด 5
Similar to ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการพูด 5 (20) ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการพูด 54. การพูด หมายถึง การใช้ถ้อยคำา นำ้าเสียง
รวมทั้งกิริยาอาการถ่ายทอดความรู้ความ
คิดและความรู้สึกของผู้พูดให้ผู้ฟงได้รับรู้
ั
และเกิดการตอบสนอง ในการติดต่อ
สื่อสารด้วยการพูด ผูพูดจะต้องระลึกว่าไม่
้
เพียงแต่พูดเท่านั้นจะต้องรู้จักพูดให้ดีด้วย
การพูด ที่ด ี คือ การใช้ถ้อยคำา นำ้าเสียง
รวมทั้งกิริยาอาการอย่างมีประสิทธิภาพ
และถูกต้องตามจรรยามารยาทและ
ประเพณีนิยมของสังคม เพือถ่ายทอด
่
ความคิดความรู้ ความรู้สกและความ
ึ
5. แนวคิด พืน ฐานเกี่ย วกับ การ
้
พูด
1. ทุกคนพูดได้แต่บางคนเท่านันที่พูดเป็น
้
2. การพูดเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์
การพูด เป็นศาสตร์อย่างหนึง ที่เรียกว่า
่
วาทศาสตร์ คือมีทฤษฎี มีระเบียบกฎเกณฑ์
สามารถศึกษาเรียนรู้ และถ่ายทอดได้ เช่น
เดียวกับศาสตร์แขนงอื่นๆ
ความเป็นศิลป์ คือ ผู้พูดต้องมีศลปะ คือมี
ิ
ความสามารถในการถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ
ได้เป็นอย่างดี มีลีลาการพูดที่มชวิตชีวา น่า
ี ี
สนใจ เป็นต้น
8. 1) ผู้พูดหรือผู้ส่งสาร ( Sender or
Speaker)
ผูพูดทำาหน้าทีส่งสารผ่านสื่อไปให้ผฟัง ดังนั้น
้
่
ู้
ผูพูดจะต้องมีความสามารถใช้ทั้งศาสตร์และ
้
ศิลปะของตนเอง ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดไป
สู่ผู้ฟังให้ได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ความ
สามารถของผูพูดที่จะทำาให้ฟังได้เข้าใจมาก
้
น้อยแค่ไหนนัน ย่อมขึ้นอยู่กับสิ่งต่อไปนี้
้
ผูพูดมีความสามารถในการใช้ภาษา เสียง
้
และกิริยาท่าทางเพียงไร ผู้พูดมีเจตคติต่อ
เรื่องที่จะพูด และต่อผูฟังแค่ไหน ผู้พูดมีระดับ
้
ความรู้ในเรื่องทีพูดมากน้อย และลึกซึ้งเพียง
่
ใดผู้พูดมีฐานะทางสังคม พื้นฐานทาง
จริยธรรม และวัฒนธรรมอยู่ในระดับใด ผูพูด
้
9. 2) ผู้ฟัง หรือผู้รับสาร (Receiver or
Listener)
ผู้ฟงอยู่ในฐานะที่จะต้องรับสารของผู้
ั
พูดโดยอาศัยเครื่องสื่อสารเป็นเครื่อง
นำาพา เพือให้ผู้ฟังสามารถรับสารได้
่
ตรงกับเจตนาของผู้พูด ซึ่งขึ้นอยู่กับ
สิงอื่น ๆ เช่น ทักษะ ความพร้อม ความ
่
สนใจ พืนความรู้ วัฒนธรรม และ
้
เจตคติของผู้ฟัง
11. 4) เครื่องสือสาร หรือ คำาพูด
่
(Channel)
หมายถึง การที่ผู้พดต้องการให้ผู้ฟง
ู
ั
รับทราบ และเข้าใจตามความมุ่งหมาย
ของผู้พด โดยการถ่ายทอดออกมาเป็น
ู
คำาพูด และสิ่งทีนำาสารไปสูผู้ฟง ได้แก่
่
่ ั
เวลา สถานที่ อากาศ และเครื่องรับรู้
ต่าง ๆ เช่น ตา หู จมูก ลิน กาย
้
นอกจากนียังรวมไปถึงสือ
้
่
13. 1) พูด เพือ ให้ค วามรูห รือ
่
้
ข่า วสารข้อ เท็จ จริง
การพูดแบบนี้เป็นการพูดโดยอาศัยข้อมูล
ต่าง ๆ ในเรื่องที่ผู้ฟงต้องการจะทราบ การ
ั
พูดต้องพูดให้ตรงประเด็นและหัวข้อที่
กำาหนดให้ บางครั้งผู้พูดต้องเตรียม
อุปกรณ์ประกอบการบรรยายไปด้วย เพือ
่
ให้ผู้ฟงเข้าใจแจ่มแจ้งในเรื่องที่พูดมาก
ั
ที่สดเท่าที่จะทำาได้ การพูด เช่นนี้ส่วนมาก
ุ
จะใช้วิธีการพูดด้วยการบรรยาย อธิบาย
พรรณนา เล่าเรื่อง ชี้แจง สาธิตและวิธี
14. หลัก ทัว ไปของการพูด เพื่อ ให้
่
ความรู้ห รือ ข่า วสารข้อ เท็จ
จริง ดัง นี้
1.1) ลำาดับความดี ไม่วกไปวนมา เรียบเรียง
ใจความเป็นหมวดหมู่ เป็นขั้นตอน มีความ
กลมกลืนกันในแต่ละตอน
1.2) ขยายความดี มีตัวอย่างประกอบ อ้าง
เหตุผลทำาให้ผฟังเข้าใจชัดเจนขึ้น
ู้
1.3) จังหวะดี จังหวะของการพูดมีส่วนที่จะ
ทำาให้ง่ายหรือยากต่อการเข้าใจ เช่น พูดให้ยาก
ลงเมื่อถึงต่อยากและพูดเร็วเมื่อถึงตอนง่าย แทรก
อารมณ์ขันเมื่อถึงตอนที่เป็นเรื่องหนักสมอง เพื่อ
ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศ ความเครียด เป็นต้น
15. 2) พูด เพื่อ โน้ม น้า วจิต ใจ
หรือ ชัก จูง ใจ
การพูดแบบนี้ ผู้พดจะต้องใช้
ู
ศิลปะในการพูดหลายๆ แบบเพือ
่
จูงใจให้ผู้ฟงเกิดความศรัทธา
ั
เลือมใสมีความคิดเห็นคล้อยตาม
่
หรือกระทำาอย่างใดอย่างหนึ่งตาม
ทีผู้พดตังความมุ่งหมายไว้ เช่น
่ ู ้
การพูดชักชวนให้เลือมใสในลัทธิ
่
ทางศาสนา การพูดให้ประชาชน
16.
หลักทัวไปของการพูดเพือโน้มน้าว
่
่
จิตใจหรือชักจูงใจ ดังนี้
2.1) สร้า งความสนใจ ผู้พ ด ต้อ งสร้า งความ
ู
สนใจให้เ กิด แก่ผ ู้ฟ ง ตัง แต่ว ิน าทีแ รกทีเ ริ่ม พูด
ั ้
่
เพราะโดยปกติแ ล้ว ผู้ฟ ง จะมีค วามสนใจและ
ั
ตั้ง ใจในช่ว ง 15 – 20 นาทีแ รกเท่า นัน
้
2.2) สร้า งความต้อ งการ ผู้พ ูด ต้อ งอ้า งเหตุผ ล
หรือ ความจำา เป็น บางอย่า งทีผ ู้ฟ ง ต้อ งทำา หรือ
่ ั
ปฏิบ ัต ิต ามทีผ ู้พ ด แนะนำา
่ ู
2.3) สร้า งความพอใจ ทำา ให้ผ ู้ฟ ง เห็น จริง กับ คำา
ั
พูด ของผู้พ ด เช่น อยูใ นสถานการณ์เ ดีย วกัน
ู
่
2.4) สร้า งมโนภาพ ผู้พ ด ต้อ งยกตัว อย่า ง อุป มา
ู
อุป ไมย หรือ เหตุก ารณ์ม าประกอบขยายความ
2.5) เรีย กร้อ งกระตุ้น ความสนใจให้ท ำา ตามทีผ ู้
่
19. การแบ่ง ระดับ การพูด
การพูดแบ่งได้ 2 ประการ คือ การพูด ระหว่า ง
บุค คล และ การพูด ในกลุม
่
1. การพูด ระหว่า งบุค คล
เป็นการพูดที่ไม่เป็นทางการ ไม่มี
เนื้อหาจำากัดแน่นอน ทั้งผู้พูดและผูฟังไม่ได้
้
เตรียมตัวมาล่วงหน้า แต่เป็นการพูดที่ใช้มาก
ที่สด ใช้ในชีวิตประจำาวัน การพูดชนิดนี้พอจะ
ุ
แยกได้ดังนี้
21. 1.2) การแนะนำา ตนเอง
การแนะนำา ตัว เองนั้น มีค วามสำา คัญ ในการ
ดำา เนิน ชีว ิต ในชีว ิต ประจำา วัน เพราะเราต้อ งได้
พบ ได้ร ู้จ ัก กับ คนอืน ๆอยู่เ สมอ การแนะนำา
่
ตนเองมี 3 โอกาสสำา คัญ ดัง นี้
- การแนะนำา ตนเองในที่ส าธารณะ การ
แนะนำา ชนิด นีค วรจะพูด จากัน เล็ก น้อ ยก่อ น
้
แล้ว ค่อ ยแนะนำา ตัว มิใ ช่ว ่า จู่ๆ ก็แ นะนำา ตัว ขึ้น
มา
- การแนะนำา ตนเองในการทำา กิจ ธุร ะ การ
แนะนำา ชนิด นีม ัก จะต้อ งไปพบผู้ท ย ัง ไม่ร ู้จ ัก กัน
้
ี่
ซึ่ง จะต้อ งนัด หมายไว้ล ่ว งหน้า ควรแต่ง กายให้
สุภ าพเรีย บร้อ ย ไปให้ต รงตามเวลานัด แนะนำา
ตนเองด้ว ยนำ้า เสีย งทีส ุภ าพ ไม่ด ัง หรือ ค่อ ยจน
่
เกิน ไป
22. 1.3) การสนทนา
เป็น กิจ กรรมที่บ ุค คลสองคนหรือ
มากกว่า นั้น พูด คุย กัน เพื่อ แลกเปลี่ย น
ความรู้ ความคิด ความรู้ส ึก และ
ประสบการณ์ร ะหว่า งกัน อย่า งไม่เ ป็น
ทางการ แบ่ง ได้ 2 แบบคือ
1. การสนทนาระหว่า งบุค คลที่ค น
ุ้
เคยกัน การสนทนาชนิด นี้ผ ู้พ ูด ไม่ต ้อ ง
คำา นึง ถึง มากนัก แต่ก ็ไ ม่ค วรก้า วก่า ย
เรื่อ งส่ว นตัว ของกัน และกัน
23. 2. การพูด ในกลุ่ม
การพูด ในกลุ่ม นั้น เป็น
กิจ กรรมที่ส ำา คัญ ในสมัย
ปัจ จุบ ัน ทั้ง ในชีว ิต ประจำา
วัน และในการศึก ษา โดย
เฉพาะในการศึก ษานั้น
หากมีก ารแบ่ง กลุ่ม ให้ท ุก
คนได้ช ่ว ยกัน ออกความคิด
เห็น ก็จ ะเป็น การเสริม
24. 2.1) การเล่า เรือ งที่ไ ด้
่
อ่า นหรือ ฟัง มา
การเล่า เรื่อ งที่ต นได้อ ่า นหรือ
ฟัง มานั้น ไม่จ ำา เป็น ต้อ งเล่า ทุก
เหตุก ารณ์แ ต่ค วรเล่า แต่
ประเด็น ที่ส ำา คัญ ๆ ภาษาที่ใ ช้
เล่า ก็ค วรเป็น ภาษาที่เ ข้า ใจ
ได้ง ่า ยๆ ใช้น ำ้า เสีย งประกอบ
ในการเล่า เรื่อ ง เช่น เน้น
เสีย งในตอนที่ส ำา คัญ รวมไป
25.
2.2) การเล่า
เหตุก ารณ์
ในชีว ิต ประจำา วัน ของเรานัน มัก จะมี
้
เหตุก ารณ์ต ่า งๆเกิด ขึ้น ได้เ สมอ ในบาง
ครั้ง ผูพ ูด ก็ม ีค วามจำา เป็น ที่จ ะต้อ งเล่า
้
เหตุก ารณ์น ั้น ให้ผ อ ื่น ฟัง อาจจะเป็น
ู้
เหตุก ารณ์ท ี่ป ระทับ ใจ ตื่น เต้น โดยการที่
จะเล่า เหตุก ารณ์น ั้น ๆให้น ่า สนใจ ก็ค วรที่
จะเริ่ม ต้น ด้ว ยการแสดงเหตุผ ลว่า
เหตุก ารณ์น ี้ม เ รื่อ งที่น า สนใจยัง ไง ใช้
ี
่
ถ้อ ยคำา และภาษาสำา นวนที่ท ำา ให้ผ ฟ ัง ได้
ู้
เห็น ภาพ เล่า เหตุก ารณ์ใ ห้ต อ เนือ งกัน เพื่อ
่
่
ผูฟ ัง จะได้ต ิด ตามเรื่อ งได้ด ี นำ้า เสีย ง
้
27.
1) การพูด โดยฉับ พลัน หรือ
กะทัน หัน
ได้แ ก่ก ารพูด ที่ผ ู้พ ูด ไม่ร ู้ต ัว มาก่อ นจะต้อ งพูด ไม่ไ ด้ม ี
การเตรีย มตัว ล่ว งหน้า ทั้ง ในด้า นเนื้อ เรื่อ งที่จ ะพูด แต่
ก็ไ ด้ร ับ เชิญ หรือ ได้ร ับ มอบหมายให้พ ูด เช่น การพูด
กล่า วอวยพรในวัน เกิด กล่า วอวยพรคู่บ ่า วสาว กล่า ว
ต้อ นรับ ผู้ม าเยือ น กล่า วขอบคุณ ผู้ม ีอ ุป การะสนับ สนุน
การพูด กะทัน หัน นี้ หากผู้พ ูด ได้ร ับ เชิญ ในลัก ษณะดัง
กล่า วข้อ ที่ค วรปฏิบ ัต ิเ พื่อ ให้ก ารพูด ประสบความ
สำา เร็จ ก็ค วรปฏิบ ัต ิต นดัง ต่อ ไปนี้
1.1 )ต้อ งคุม สติใ ห้ม ั่น อย่า ประหม่า หรือ
ตกใจตื่น เต้น จนเกิน ไป ทำา จิต ใจให้ป กติแ ละสร้า ง
ความมัน ใจให้แ ก่ต นเองด้ว ยการสร้า งความพึง พอใจ
่
และความยิน ดีท ี่จ ะได้พ ูด ในโอกาสเช่น นั้น
1.2 )ให้น ึก ถึง ประสบการณ์ต ่า งๆ ทีเ รีย นรู้
่
หรือ ได้พ บเห็น มา ซึ่ง เห็น ว่า เป็น เรื่อ งที่ด ีม ป ระโยชน์
ี
28. 2) การพูด โดยการเตรีย ม
การมาล่ว งหน้า
การพูด แบบนี้เ ป็น การพูด ที่ผ ู้
พูด ได้ม ีโ อกาสเตรีย มตัว มา
ก่อ นคือ ผู้พ ูด รู้ว ่า ตนเองได้ร ับ
เชิญ หรือ จะต้อ งพูด ในเรื่อ ง
อะไรบ้า ง จึง ต้อ งมีก ารเตรีย ม
ตัว ล่ว งหน้า เท่า ที่โ อกาสเวลา
จะอำา นวยให้ ดัง นั้น การเตรีย ม
ในเรื่อ งต่า งๆ ที่จ ะพูด เป็น
29. 3) การพูด โดยอาศัย
อ่า นจากต้น ฉบับ
การพูด ประเภทนี้เ ป็น การพูด ตาม
ต้น ฉบับ ที่เ ขีย นขึน ซึง เป็น การเตรีย ม
้ ่
ไว้ล ่ว งหน้า เป็น อย่า งดี ส่ว นมาก
เป็น การพูด ทางพิธ ก ารต่า ง ๆ สำา คัญ ๆ
ี
เช่น การกล่า วเปิด งานการกล่า ว
รายงาน การกล่า วเปิด ประชุม การ
กล่า วรายงานการประชุม การกล่า วคำา
ปราศรัย การกล่า วคำา สดุด ีก ารกล่า ว
คำา ให้โ อวาท การกล่า วต้อ นรับ ที่เ ป็น
พิธ ีก ารสำา คัญ ๆ ฯลฯ
30. 4) การพูด โดยวิธ ี
ท่อ งจำา
การพูด ลัก ษณะนีเ ป็น การพูด ที่ผ พ ูด
้
ู้
จะต้อ งเตรีย มตัว ท่อ งจำา เนื้อ หาอย่า ง
ละเอีย ดจากเอกสาร ตำา รา หนัง สือ
ต่า งๆ อย่า งแม่น ยำา เช่น การท่อ งจำา
ตัว เลข จำา สุภ าษิต คำา พัง เพย เนือ หา
้
ที่ส ำา คัญ ๆ การพูด แบบนีเ ป็น การพูด ที่
้
ผูพ ูด จะต้อ งใช้ค วามเพีย รพยายาม
้
มากในการจดจำา เนือ หา และจะต้อ ง
้
มีเ วลาในการเตรีย มตัว เช่น การ
เทศน์ข องพระสงฆ์ การสวดอ้อ วอน
31. การพูดแบบที่ 2 แบ่งตามจำานวนผู้ฟัง
มี 2 ประเภท คือ
1) การพูดรายบุคคล เป็นการพูด
ตัวต่อตัว ได้แก่ การพูดทีใช้อยู่ใน
่
ชีวิตประจำาวัน เช่น การสนทนา การ
สัมภาษณ์ การเล่าเรื่อง การแนะนำาตัว
เป็นต้น
2) การพูดในทีชุมนุมชน
่
เป็นการพูดทีมีผู้ฟงเป็นจำานวนมาก
่
ั
เป็นการพูดทีมีแบบแผนต้องมีการเตรี
่
32.
คุณ สมบัต ิเ บื้อ งต้น ของ
นัพูด ที่ด ีจดต้ที่ดบ ปรุง พื้น ฐานของตนให้ม ี
ก พู ำา อ งปรั ี
นัก
คุณ สมบัต ิท ี่ส ำา คัญ เบื้อ งต้น 5 ประการดัง นี้
1) เป็น นัก ฟัง ที่ด ี นัก พูด ไม่ใ ช่ฝ ึก พูด อย่า งเดีย ว
ต้อ งฝึก ฟัง ด้ว ย ต้อ งรู้ว ่า เมื่อ ไรควรพูด เมื่อ ไรควรฟัง
การฟัง ผู้อ น ทำา ให้เ ราได้ร ับ ความรู้เ พิม ขึ้น หรือ อย่า ง
ื่
่
น้อ ยก็ไ ด้ท บทวนความรู้เ ดิม ที่เ รามีอ ยูแ ล้ว ข้อ สำา คัญ
่
ถ้า เลือ กฟัง ในสิง ที่ม ีป ระโยชน์ก ็จ ะทำา ให้เ พิม คุณ ค่า
่
่
ให้แ ก่ต ัว เองมากขึ้น
2) ศึก ษาหาความรู้อ ยูเ สมอ นัก พูด ต้อ งศึก ษา
่
หาความรู้ไ ม่ห ยุด ยัง ความรู้ท ี่ว ่า นี้น อกจากจะได้จ าก
้
การฟัง แล้ว ความรู้ท ี่ไ ด้จ ากการอ่า นสำา คัญ ทีส ุด การ
่
อ่า นเป็น วิธ ีต ัก ตวงความรู้ท ร วดเร็ว และรวบรัด ที่ส ุด
ี่
นัก พูด ต้อ งรัก การอ่า นให้ม ากจะเป็น ประโยชน์แ ก่
การพูด การพูด ก็จ ะวนเวีย นอยูท ี่เ ดิม ไม่ไ ปไหน พอ
่
34. วิธ ก ารพูด ที่ด ี
ี
การพูดเป็นเรื่องของการสร้างความ
เชือถือและศรัทธาให้เกิดแก่ผู้ฟง แต่
่
ั
ก่อนจะให้ผู้ฟงเกิดความเชื่อถือจะต้อง
ั
ทำาให้เกิดความสนใจ เร้าใจ ใคร่รู้ใน
ช่วงแรกทันที
ดังนัน คำาพูดประโยคแรก
้
(Opening Sentence) หรือข้อความ
ตอนต้นในการเริ่มพูด (Opening
Statement) จึงมีความสำาคัญมาก
35.
การเริ่มพูด ตอนต้น ให้ต ื่น เต้น ต้องไม่กล่าวนำาหรือ
พูดอารัมภบท ยืดยาด เยิ่นเย่อ ต้องพูดถึงความเป็นมา
ทีมความสำาคัญจริงๆ ต้องกล่าวนำาว่าจะพูดเรื่องอะไร มี
่ ี
ความสำาคัญอย่างไรต่อผู้ฟังการพูด ต้องนำาความสนใจ
ข้อเท็จจริง ไปสู่เรื่องราวทีจะพูดโดยไม่ชักช้า
การพูดตอนกลางให้ก ลมกลืน ระมัดระวังว่าจะ
พูดอะไร และพูดอย่างไร ไม่พูดออกตัวกล่าวอย่างล่อง
ลอย ไร้นำ้าหนัก แถลงข้อเท็จจริง เป็นข้อๆ ให้เด่นชัด
พูดให้เรียงลำาดับ ไม่สับสน ใช้โสตทัศนูปกรณ์ใน
จังหวะทีเหมาะสมช่วยเร้าความสนใจและสร้างความ
่
เข้าใจ
การพูดตอนท้า ยให้ท บทวน สรุปข้อเท็จจริงโดย
พูดเน้นยำ้าประเด็นสำาคัญ แต่ไม่พูดซำ้า เพราะจะทำาให้
เป็นการน่าเบื่อหน่าย รำาคาญเหมือนการพูดวกวน
36. แบบฝึก หัด ทบทวน
1.ให้นกศึกษาพูดแนะนำาตัวเอง โดยนำา
ั
ประวัตสวนตัวมาเชื่อมโยงกับเรื่องราว
ิ ่
ทีเป็นประเด็น สำาคัญในปัจจุบน ให้
่
ั
สามารถพูดได้ภายในเวลา 3-5 นาที
2.ให้นักศึกษาฝึกการฟังและวิจารณ์การ
พูดของเพือนนักศึกษาที่พดหน้าชัน
่
ู
้
3. ให้นกศึกษาบอกถึงคุณสมบัตที่ดของ
ั
ิ ี
นักพูดมา 10 ข้อ