SlideShare a Scribd company logo
ความหมายของการพูด


วาทการ เป็นคำาศัพท์หนึ่ง ซึ่งทาง
วิชาการนิยมใช้แทน การพูด
พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน
(2513:831) ได้ให้ความหมายของคำา
ว่า
“วาท” หมายถึง คำาพูด ถ้อยคำา,ลัทธิ
รวมกันเข้าเป็นวาทการ
“วาทการ” หมายถึง กิจพูดหรือกิจ
การพูดเป็นพฤติกรรมการสื่อสารที่
ใช้กนแพร่หลาย โดยผู้พูดสามารถใช้
ั
ทังวัจนะภาษาและ อวัจนะภาษาใน
้
การส่งสารติดต่อไปยังผู้ฟงได้อย่าง
ั
ชัดเจนและรวดเร็ว
วัจ นะภาษา (Verbal) ได้แก่ การสื่อสาร
ในระบบคำาและประโยค โดยผ่านการฟัง
การพูด การอ่าน และการเขียน โดยมีคำา
และประโยคเป็นตัวสือความหมาย
่
 อวัจ นะภาษา (Unverbal) ได้แก่ การ

การพูด หมายถึง การใช้ถ้อยคำา นำ้าเสียง
รวมทั้งกิริยาอาการถ่ายทอดความรู้ความ
คิดและความรู้สึกของผู้พูดให้ผู้ฟงได้รับรู้
ั
และเกิดการตอบสนอง ในการติดต่อ
สื่อสารด้วยการพูด ผูพูดจะต้องระลึกว่าไม่
้
เพียงแต่พูดเท่านั้นจะต้องรู้จักพูดให้ดีด้วย
 การพูด ที่ด ี คือ การใช้ถ้อยคำา นำ้าเสียง
รวมทั้งกิริยาอาการอย่างมีประสิทธิภาพ
และถูกต้องตามจรรยามารยาทและ
ประเพณีนิยมของสังคม เพือถ่ายทอด
่
ความคิดความรู้ ความรู้สกและความ
ึ

แนวคิด พืน ฐานเกี่ย วกับ การ
้
พูด

1. ทุกคนพูดได้แต่บางคนเท่านันที่พูดเป็น
้
2. การพูดเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์
 การพูด เป็นศาสตร์อย่างหนึง ที่เรียกว่า
่
วาทศาสตร์ คือมีทฤษฎี มีระเบียบกฎเกณฑ์
สามารถศึกษาเรียนรู้ และถ่ายทอดได้ เช่น
เดียวกับศาสตร์แขนงอื่นๆ
 ความเป็นศิลป์ คือ ผู้พูดต้องมีศลปะ คือมี
ิ
ความสามารถในการถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ
ได้เป็นอย่างดี มีลีลาการพูดที่มชวิตชีวา น่า
ี ี
สนใจ เป็นต้น
5. การฝึกพูดจะมีผลต่อการ
พัฒนาบุคลิกภาพทั้งภายนอก
และภายใน




ภายนอก คือ บุคลิกภายนอก เช่น
การฝึกพูดทีสมำ่าเสมอจะสามารถ
่
ปรากฏตัวและการแสดงออกใน
สถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม
ภายใน หรือ บุคลิกภายใน เช่น
การฝึกพูดอย่างสมำ่าเสมอจะทำาให้ผู้
องค์ป ระกอบของการพูด
(1)

ผู้พดหรือผู้
ู
ส่งสาร
( Sender
or
(3)
Speaker)
เนื้อ หา
สาระ
หรือ
เรื่อ งที่
จะพูด
(Messa
ge)

  (4)
เครื่อ ง
สื่อ สาร
หรือ คำา
พูด
(Chann
1) ผู้พูดหรือผู้ส่งสาร ( Sender or
Speaker)




ผูพูดทำาหน้าทีส่งสารผ่านสื่อไปให้ผฟัง ดังนั้น
้
่
ู้
ผูพูดจะต้องมีความสามารถใช้ทั้งศาสตร์และ
้
ศิลปะของตนเอง ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดไป
สู่ผู้ฟังให้ได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ความ
สามารถของผูพูดที่จะทำาให้ฟังได้เข้าใจมาก
้
น้อยแค่ไหนนัน ย่อมขึ้นอยู่กับสิ่งต่อไปนี้
้
ผูพูดมีความสามารถในการใช้ภาษา เสียง
้
และกิริยาท่าทางเพียงไร ผู้พูดมีเจตคติต่อ
เรื่องที่จะพูด และต่อผูฟังแค่ไหน ผู้พูดมีระดับ
้
ความรู้ในเรื่องทีพูดมากน้อย และลึกซึ้งเพียง
่
ใดผู้พูดมีฐานะทางสังคม พื้นฐานทาง
จริยธรรม และวัฒนธรรมอยู่ในระดับใด ผูพูด
้
 2) ผู้ฟัง หรือผู้รับสาร (Receiver or
Listener)


ผู้ฟงอยู่ในฐานะที่จะต้องรับสารของผู้
ั
พูดโดยอาศัยเครื่องสื่อสารเป็นเครื่อง
นำาพา เพือให้ผู้ฟังสามารถรับสารได้
่
ตรงกับเจตนาของผู้พูด ซึ่งขึ้นอยู่กับ
สิงอื่น ๆ เช่น ทักษะ ความพร้อม ความ
่
สนใจ พืนความรู้ วัฒนธรรม และ
้
เจตคติของผู้ฟัง
3) เนื้อหาสาระหรือ เรื่องที่จะพูด
(Message)


เนื้อหาทีผู้พดส่งไปนั้นจะต้องมี
่ ู
คุณค่า และคุมค่าแก่การเสียเวลา
้
ของผู้ฟง มีจุดมุ่งหมายทีชดเจน
ั
่ ั
ดังนัน สารทีผู้พดส่งไปนั้นจะ
้
่ ู
ต้องเตรียมมาแล้วอย่างดี เช่น การ
คัดเลือก จัดลำาดับขั้นตอน และการ
ฝึกฝนตนเองของผู้พูด จะทำาให้
การพูดมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    4) เครื่องสือสาร หรือ คำาพูด
่
(Channel)
       
 หมายถึง การที่ผู้พดต้องการให้ผู้ฟง
ู
ั
รับทราบ และเข้าใจตามความมุ่งหมาย
ของผู้พด โดยการถ่ายทอดออกมาเป็น
ู
คำาพูด และสิ่งทีนำาสารไปสูผู้ฟง ได้แก่
่
่ ั
เวลา สถานที่ อากาศ และเครื่องรับรู้
ต่าง ๆ เช่น ตา หู จมูก ลิน กาย
้
นอกจากนียังรวมไปถึงสือ
้
่
จุด มุ่ง หมายของการ
พูด

  1) พูดเพื่อให้ความรู้หรือ
ข่าวสารข้อเท็จจริง
  2) พูดเพื่อโน้มน้าวจิตใจหรือ
ชักจูงใจ
  3) พูดเพื่อให้เกิดความ
เพลิดเพลินหรือเพื่อจรรโลงใจ
1) พูด เพือ ให้ค วามรูห รือ
่
้
ข่า วสารข้อ เท็จ จริง


การพูดแบบนี้เป็นการพูดโดยอาศัยข้อมูล
ต่าง ๆ ในเรื่องที่ผู้ฟงต้องการจะทราบ การ
ั
พูดต้องพูดให้ตรงประเด็นและหัวข้อที่
กำาหนดให้ บางครั้งผู้พูดต้องเตรียม
อุปกรณ์ประกอบการบรรยายไปด้วย เพือ
่
ให้ผู้ฟงเข้าใจแจ่มแจ้งในเรื่องที่พูดมาก
ั
ที่สดเท่าที่จะทำาได้ การพูด เช่นนี้ส่วนมาก
ุ
จะใช้วิธีการพูดด้วยการบรรยาย อธิบาย
พรรณนา เล่าเรื่อง ชี้แจง สาธิตและวิธี
หลัก ทัว ไปของการพูด เพื่อ ให้
่
ความรู้ห รือ ข่า วสารข้อ เท็จ
จริง ดัง นี้

1.1) ลำาดับความดี ไม่วกไปวนมา เรียบเรียง
ใจความเป็นหมวดหมู่ เป็นขั้นตอน มีความ
กลมกลืนกันในแต่ละตอน
 1.2) ขยายความดี มีตัวอย่างประกอบ อ้าง
เหตุผลทำาให้ผฟังเข้าใจชัดเจนขึ้น
ู้
 1.3) จังหวะดี จังหวะของการพูดมีส่วนที่จะ
ทำาให้ง่ายหรือยากต่อการเข้าใจ เช่น พูดให้ยาก
ลงเมื่อถึงต่อยากและพูดเร็วเมื่อถึงตอนง่าย แทรก
อารมณ์ขันเมื่อถึงตอนที่เป็นเรื่องหนักสมอง เพื่อ
ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศ ความเครียด เป็นต้น

 2) พูด เพื่อ โน้ม น้า วจิต ใจ
หรือ ชัก จูง ใจ


การพูดแบบนี้ ผู้พดจะต้องใช้
ู
ศิลปะในการพูดหลายๆ แบบเพือ
่
จูงใจให้ผู้ฟงเกิดความศรัทธา
ั
เลือมใสมีความคิดเห็นคล้อยตาม
่
หรือกระทำาอย่างใดอย่างหนึ่งตาม
ทีผู้พดตังความมุ่งหมายไว้ เช่น
่ ู ้
การพูดชักชวนให้เลือมใสในลัทธิ
่
ทางศาสนา การพูดให้ประชาชน








หลักทัวไปของการพูดเพือโน้มน้าว
่
่
จิตใจหรือชักจูงใจ ดังนี้

2.1) สร้า งความสนใจ ผู้พ ด ต้อ งสร้า งความ
ู
สนใจให้เ กิด แก่ผ ู้ฟ ง ตัง แต่ว ิน าทีแ รกทีเ ริ่ม พูด
ั ้
่
เพราะโดยปกติแ ล้ว ผู้ฟ ง จะมีค วามสนใจและ
ั
ตั้ง ใจในช่ว ง 15 – 20 นาทีแ รกเท่า นัน
้
2.2) สร้า งความต้อ งการ ผู้พ ูด ต้อ งอ้า งเหตุผ ล
หรือ ความจำา เป็น บางอย่า งทีผ ู้ฟ ง ต้อ งทำา หรือ
่ ั
ปฏิบ ัต ิต ามทีผ ู้พ ด แนะนำา
่ ู
2.3) สร้า งความพอใจ ทำา ให้ผ ู้ฟ ง เห็น จริง กับ คำา
ั
พูด ของผู้พ ด เช่น อยูใ นสถานการณ์เ ดีย วกัน
ู
่
2.4) สร้า งมโนภาพ ผู้พ ด ต้อ งยกตัว อย่า ง อุป มา
ู
อุป ไมย หรือ เหตุก ารณ์ม าประกอบขยายความ
2.5) เรีย กร้อ งกระตุ้น ความสนใจให้ท ำา ตามทีผ ู้
่
3) พูดเพือให้เกิดความเพลิดเพลิน
่
หรือเพื่อจรรโลงใจ


การพูดแบบนี้ ผู้พดต้องเข้าใจว่า
ู
บรรยากาศในการพูดก็ดี ความ
ต้องการของผู้ฟังก็ดี เป็นการพูดที่ผู้
พูดจะต้องเน้นให้ผู้ฟังเกิดความ
สนุกสนานบันเทิงควบคูไปกับการได้
่
รับความรู้สกนึกคิดที่แปลกใหม่ เล็ก ๆ
ึ
น้อย ๆ เป็นการพูดในลักษณะเสริม
สร้างความนึกคิดของผู้ฟงให้เกิด
ั
ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อยกระดับ
หลักทั่วไปของการพูดเพื่อให้เกิดความ
เพลิดเพลินหรือเพื่อจรรโลงใจ ดังนี้

3.1) พูดให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ได้
เนื้อหาเรื่องราวเหมาะสมกับงาน
 3.2) ไม่ควรพูดนานเกินไป ถ้า
เป็นการพูดคนเดียว อาจจะใช้เวลา
ประมาณ 35 – 45 นาทีก็พอ หรือถ้า
พูดหลายคน ควรใช้เวลาคนละ
ประมาณ 10 นาที ถ้านานกว่านี้ผู้ฟง
ั
จะเกิดความเบื่อหน่าย
 3.3) เรื่องที่พดสนุกสนานให้ความ
ู
บันเทิงและเบาสมอง ตลกขบขันได้แต่

การแบ่ง ระดับ การพูด


การพูดแบ่งได้ 2 ประการ คือ การพูด ระหว่า ง
บุค คล และ การพูด ในกลุม
่
1. การพูด ระหว่า งบุค คล
             เป็นการพูดที่ไม่เป็นทางการ ไม่มี
เนื้อหาจำากัดแน่นอน ทั้งผู้พูดและผูฟังไม่ได้
้
เตรียมตัวมาล่วงหน้า แต่เป็นการพูดที่ใช้มาก
ที่สด ใช้ในชีวิตประจำาวัน การพูดชนิดนี้พอจะ
ุ
แยกได้ดังนี้
1.1)  การทัก ทายปราศรัย


การพูดชนิดนี้เป็นการช่วย
สร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกันทั้ง
ผู้ที่เรารู้จักอยู่แล้วหรือผู้ที่เรา
ยังเคยไม่รู้จัก โดยการพูดชนิด
นี้ผู้พูดควรยิ้มแย้มและไม่ควร
ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น
เมื่อเราทักทายผู้ที่อาวุโส
1.2)  การแนะนำา ตนเอง


การแนะนำา ตัว เองนั้น มีค วามสำา คัญ ในการ
ดำา เนิน ชีว ิต ในชีว ิต ประจำา วัน เพราะเราต้อ งได้
พบ ได้ร ู้จ ัก กับ คนอืน ๆอยู่เ สมอ การแนะนำา
่
ตนเองมี 3 โอกาสสำา คัญ ดัง นี้
      - การแนะนำา ตนเองในที่ส าธารณะ การ
แนะนำา ชนิด นีค วรจะพูด จากัน เล็ก น้อ ยก่อ น
้
แล้ว ค่อ ยแนะนำา ตัว มิใ ช่ว ่า จู่ๆ ก็แ นะนำา ตัว ขึ้น
มา
      - การแนะนำา ตนเองในการทำา กิจ ธุร ะ การ
แนะนำา ชนิด นีม ัก จะต้อ งไปพบผู้ท ย ัง ไม่ร ู้จ ัก กัน
้
ี่
ซึ่ง จะต้อ งนัด หมายไว้ล ่ว งหน้า ควรแต่ง กายให้
สุภ าพเรีย บร้อ ย ไปให้ต รงตามเวลานัด แนะนำา
ตนเองด้ว ยนำ้า เสีย งทีส ุภ าพ ไม่ด ัง หรือ ค่อ ยจน
่
เกิน ไป
1.3)  การสนทนา


 เป็น กิจ กรรมที่บ ุค คลสองคนหรือ
มากกว่า นั้น พูด คุย กัน เพื่อ แลกเปลี่ย น
ความรู้ ความคิด ความรู้ส ึก และ
ประสบการณ์ร ะหว่า งกัน อย่า งไม่เ ป็น
ทางการ แบ่ง ได้ 2 แบบคือ
1. การสนทนาระหว่า งบุค คลที่ค น
ุ้
เคยกัน การสนทนาชนิด นี้ผ ู้พ ูด ไม่ต ้อ ง
คำา นึง ถึง มากนัก แต่ก ็ไ ม่ค วรก้า วก่า ย
เรื่อ งส่ว นตัว ของกัน และกัน
2. การพูด ในกลุ่ม


การพูด ในกลุ่ม นั้น เป็น
กิจ กรรมที่ส ำา คัญ ในสมัย
ปัจ จุบ ัน ทั้ง ในชีว ิต ประจำา
วัน และในการศึก ษา โดย
เฉพาะในการศึก ษานั้น
หากมีก ารแบ่ง กลุ่ม ให้ท ุก
คนได้ช ่ว ยกัน ออกความคิด
เห็น ก็จ ะเป็น การเสริม
2.1)  การเล่า เรือ งที่ไ ด้
่
อ่า นหรือ ฟัง มา


การเล่า เรื่อ งที่ต นได้อ ่า นหรือ
ฟัง มานั้น ไม่จ ำา เป็น ต้อ งเล่า ทุก
เหตุก ารณ์แ ต่ค วรเล่า แต่
ประเด็น ที่ส ำา คัญ ๆ ภาษาที่ใ ช้
เล่า ก็ค วรเป็น ภาษาที่เ ข้า ใจ
ได้ง ่า ยๆ ใช้น ำ้า เสีย งประกอบ
ในการเล่า เรื่อ ง เช่น เน้น
เสีย งในตอนที่ส ำา คัญ รวมไป


2.2)  การเล่า
เหตุก ารณ์

ในชีว ิต ประจำา วัน ของเรานัน มัก จะมี
้
เหตุก ารณ์ต ่า งๆเกิด ขึ้น ได้เ สมอ ในบาง
ครั้ง ผูพ ูด ก็ม ีค วามจำา เป็น ที่จ ะต้อ งเล่า
้
เหตุก ารณ์น ั้น ให้ผ อ ื่น ฟัง อาจจะเป็น
ู้
เหตุก ารณ์ท ี่ป ระทับ ใจ ตื่น เต้น โดยการที่
จะเล่า เหตุก ารณ์น ั้น ๆให้น ่า สนใจ ก็ค วรที่
จะเริ่ม ต้น ด้ว ยการแสดงเหตุผ ลว่า
เหตุก ารณ์น ี้ม เ รื่อ งที่น า สนใจยัง ไง ใช้
ี
่
ถ้อ ยคำา และภาษาสำา นวนที่ท ำา ให้ผ ฟ ัง ได้
ู้
เห็น ภาพ เล่า เหตุก ารณ์ใ ห้ต อ เนือ งกัน เพื่อ
่
่
ผูฟ ัง จะได้ต ิด ตามเรื่อ งได้ด ี นำ้า เสีย ง
้
ประเภทของการพูด
การพูดแบบที่ 1 แบ่งตามวิธีการพูดมี
4 ประเภท คือ
      
  1) การพูด โดย
ฉับ พลัน หรือ กะทัน หัน
          
2) การพูด โดย
การเตรีย มการมาล่ว งหน้า
 3) การพูด โดยอาศัย อ่า นจาก
ต้น ฉบับ


  1) การพูด โดยฉับ พลัน หรือ
กะทัน หัน

ได้แ ก่ก ารพูด ที่ผ ู้พ ูด ไม่ร ู้ต ัว มาก่อ นจะต้อ งพูด ไม่ไ ด้ม ี
การเตรีย มตัว ล่ว งหน้า ทั้ง ในด้า นเนื้อ เรื่อ งที่จ ะพูด แต่
ก็ไ ด้ร ับ เชิญ หรือ ได้ร ับ มอบหมายให้พ ูด เช่น การพูด
กล่า วอวยพรในวัน เกิด กล่า วอวยพรคู่บ ่า วสาว กล่า ว
ต้อ นรับ ผู้ม าเยือ น กล่า วขอบคุณ ผู้ม ีอ ุป การะสนับ สนุน
การพูด กะทัน หัน นี้ หากผู้พ ูด ได้ร ับ เชิญ ในลัก ษณะดัง
กล่า วข้อ ที่ค วรปฏิบ ัต ิเ พื่อ ให้ก ารพูด ประสบความ
สำา เร็จ ก็ค วรปฏิบ ัต ิต นดัง ต่อ ไปนี้
       1.1 )ต้อ งคุม สติใ ห้ม ั่น อย่า ประหม่า หรือ
ตกใจตื่น เต้น จนเกิน ไป ทำา จิต ใจให้ป กติแ ละสร้า ง
ความมัน ใจให้แ ก่ต นเองด้ว ยการสร้า งความพึง พอใจ
่
และความยิน ดีท ี่จ ะได้พ ูด ในโอกาสเช่น นั้น
       1.2 )ให้น ึก ถึง ประสบการณ์ต ่า งๆ ทีเ รีย นรู้
่
หรือ ได้พ บเห็น มา ซึ่ง เห็น ว่า เป็น เรื่อ งที่ด ีม ป ระโยชน์
ี
 2) การพูด โดยการเตรีย ม
การมาล่ว งหน้า
 การพูด แบบนี้เ ป็น การพูด ที่ผ ู้
พูด ได้ม ีโ อกาสเตรีย มตัว มา
ก่อ นคือ ผู้พ ูด รู้ว ่า ตนเองได้ร ับ
เชิญ หรือ จะต้อ งพูด ในเรื่อ ง
อะไรบ้า ง จึง ต้อ งมีก ารเตรีย ม
ตัว ล่ว งหน้า เท่า ที่โ อกาสเวลา
จะอำา นวยให้ ดัง นั้น การเตรีย ม
ในเรื่อ งต่า งๆ ที่จ ะพูด เป็น
  3) การพูด โดยอาศัย
อ่า นจากต้น ฉบับ



 การพูด ประเภทนี้เ ป็น การพูด ตาม

ต้น ฉบับ ที่เ ขีย นขึน ซึง เป็น การเตรีย ม
้ ่
ไว้ล ่ว งหน้า เป็น อย่า งดี ส่ว นมาก
เป็น การพูด ทางพิธ ก ารต่า ง ๆ สำา คัญ ๆ
ี
เช่น การกล่า วเปิด งานการกล่า ว
รายงาน การกล่า วเปิด ประชุม การ
กล่า วรายงานการประชุม การกล่า วคำา
ปราศรัย การกล่า วคำา สดุด ีก ารกล่า ว
คำา ให้โ อวาท การกล่า วต้อ นรับ ที่เ ป็น
พิธ ีก ารสำา คัญ ๆ ฯลฯ
4) การพูด โดยวิธ ี
ท่อ งจำา



การพูด ลัก ษณะนีเ ป็น การพูด ที่ผ พ ูด
้
ู้
จะต้อ งเตรีย มตัว ท่อ งจำา เนื้อ หาอย่า ง
ละเอีย ดจากเอกสาร ตำา รา หนัง สือ
ต่า งๆ อย่า งแม่น ยำา เช่น การท่อ งจำา
ตัว เลข จำา สุภ าษิต คำา พัง เพย เนือ หา
้
ที่ส ำา คัญ ๆ การพูด แบบนีเ ป็น การพูด ที่
้
ผูพ ูด จะต้อ งใช้ค วามเพีย รพยายาม
้
มากในการจดจำา เนือ หา และจะต้อ ง
้
มีเ วลาในการเตรีย มตัว เช่น การ
เทศน์ข องพระสงฆ์ การสวดอ้อ วอน
การพูดแบบที่ 2 แบ่งตามจำานวนผู้ฟัง
มี 2 ประเภท คือ
 1) การพูดรายบุคคล เป็นการพูด
ตัวต่อตัว ได้แก่ การพูดทีใช้อยู่ใน
่
ชีวิตประจำาวัน เช่น การสนทนา การ
สัมภาษณ์ การเล่าเรื่อง การแนะนำาตัว
เป็นต้น
      2) การพูดในทีชุมนุมชน
่

เป็นการพูดทีมีผู้ฟงเป็นจำานวนมาก
่
ั
เป็นการพูดทีมีแบบแผนต้องมีการเตรี
่


คุณ สมบัต ิเ บื้อ งต้น ของ
นัพูด ที่ด ีจดต้ที่ดบ ปรุง พื้น ฐานของตนให้ม ี
ก พู ำา อ งปรั ี
นัก

 

คุณ สมบัต ิท ี่ส ำา คัญ เบื้อ งต้น 5 ประการดัง นี้

1) เป็น นัก ฟัง ที่ด ี นัก พูด ไม่ใ ช่ฝ ึก พูด อย่า งเดีย ว
ต้อ งฝึก ฟัง ด้ว ย ต้อ งรู้ว ่า เมื่อ ไรควรพูด เมื่อ ไรควรฟัง
การฟัง ผู้อ น ทำา ให้เ ราได้ร ับ ความรู้เ พิม ขึ้น หรือ อย่า ง
ื่
่
น้อ ยก็ไ ด้ท บทวนความรู้เ ดิม ที่เ รามีอ ยูแ ล้ว ข้อ สำา คัญ
่
ถ้า เลือ กฟัง ในสิง ที่ม ีป ระโยชน์ก ็จ ะทำา ให้เ พิม คุณ ค่า
่
่
ให้แ ก่ต ัว เองมากขึ้น
2) ศึก ษาหาความรู้อ ยูเ สมอ นัก พูด ต้อ งศึก ษา
่
หาความรู้ไ ม่ห ยุด ยัง ความรู้ท ี่ว ่า นี้น อกจากจะได้จ าก
้
การฟัง แล้ว ความรู้ท ี่ไ ด้จ ากการอ่า นสำา คัญ ทีส ุด การ
่
อ่า นเป็น วิธ ีต ัก ตวงความรู้ท ร วดเร็ว และรวบรัด ที่ส ุด
ี่
นัก พูด ต้อ งรัก การอ่า นให้ม ากจะเป็น ประโยชน์แ ก่
การพูด การพูด ก็จ ะวนเวีย นอยูท ี่เ ดิม ไม่ไ ปไหน พอ
่
    3) ยอมรับฟังคำาวิจารณ์ นักพูดต้องยอมรับฟัง
วิพากษ์วิจารณ์จากผูอนต้องต้อนรับทั้งคำาติและชม
้ ื่
น้อมรับคำาวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น นำามาปรับปรุง
แก้ไขตัวเอง
    4) เป็นตัวของตัวเอง นักพูดทีดีตองเป็นตัวของตัว
่ ้
เอง อย่าเลียนแบบใคร งานเลียนแบบเป็นงานทีไร้
่
เกียรติไม่สร้างสรรค์ และไม่ทำาความภูมิใจให้แก่ตว
ั
เอง ถ้ามีบุคคลใดเป็นตัวอย่างในการพูดที่ดี ขอให้
จดจำานำาเอาบางสิ่งบางอย่างของเขามาลองปฏิบัตดู
ิ
อย่าเลียนแบบเขาทั้งหมด จงเป็นตัวของตัวเอง ได้
ของดีจากใครได้ความรู้ข้อคิดดีๆจากใคร ถ้าทำาได้
ควรเอ่ยนามเขาให้ปรากฏ นอกจากจะได้แสดง
มารยาทอันงดงามแล้ว ยังสามารถถ่ายทอดสิ่งต่างๆ
เหล่านันได้อย่างเต็มปากเต็มคำาไม่เคอะเขินอีกด้วย
้
วิธ ก ารพูด ที่ด ี
ี





การพูดเป็นเรื่องของการสร้างความ
เชือถือและศรัทธาให้เกิดแก่ผู้ฟง แต่
่
ั
ก่อนจะให้ผู้ฟงเกิดความเชื่อถือจะต้อง
ั
ทำาให้เกิดความสนใจ เร้าใจ ใคร่รู้ใน
ช่วงแรกทันที
ดังนัน คำาพูดประโยคแรก
้
(Opening Sentence) หรือข้อความ
ตอนต้นในการเริ่มพูด (Opening
Statement) จึงมีความสำาคัญมาก






การเริ่มพูด ตอนต้น ให้ต ื่น เต้น ต้องไม่กล่าวนำาหรือ
พูดอารัมภบท ยืดยาด เยิ่นเย่อ ต้องพูดถึงความเป็นมา
ทีมความสำาคัญจริงๆ ต้องกล่าวนำาว่าจะพูดเรื่องอะไร มี
่ ี
ความสำาคัญอย่างไรต่อผู้ฟังการพูด ต้องนำาความสนใจ
ข้อเท็จจริง ไปสู่เรื่องราวทีจะพูดโดยไม่ชักช้า
การพูดตอนกลางให้ก ลมกลืน ระมัดระวังว่าจะ
พูดอะไร และพูดอย่างไร ไม่พูดออกตัวกล่าวอย่างล่อง
ลอย ไร้นำ้าหนัก แถลงข้อเท็จจริง เป็นข้อๆ ให้เด่นชัด
พูดให้เรียงลำาดับ ไม่สับสน ใช้โสตทัศนูปกรณ์ใน
จังหวะทีเหมาะสมช่วยเร้าความสนใจและสร้างความ
่
เข้าใจ
การพูดตอนท้า ยให้ท บทวน สรุปข้อเท็จจริงโดย
พูดเน้นยำ้าประเด็นสำาคัญ แต่ไม่พูดซำ้า เพราะจะทำาให้
เป็นการน่าเบื่อหน่าย รำาคาญเหมือนการพูดวกวน
แบบฝึก หัด ทบทวน
1.ให้นกศึกษาพูดแนะนำาตัวเอง โดยนำา
ั
ประวัตสวนตัวมาเชื่อมโยงกับเรื่องราว
ิ ่
ทีเป็นประเด็น สำาคัญในปัจจุบน ให้
่
ั
สามารถพูดได้ภายในเวลา 3-5 นาที
2.ให้นักศึกษาฝึกการฟังและวิจารณ์การ
พูดของเพือนนักศึกษาที่พดหน้าชัน
่
ู
้
3. ให้นกศึกษาบอกถึงคุณสมบัตที่ดของ
ั
ิ ี
นักพูดมา 10 ข้อ

More Related Content

What's hot

หลักการพูด
หลักการพูดหลักการพูด
หลักการพูดKruBowbaro
 
คำยืมภาษาต่างประเทศในภาษาไทย
คำยืมภาษาต่างประเทศในภาษาไทยคำยืมภาษาต่างประเทศในภาษาไทย
คำยืมภาษาต่างประเทศในภาษาไทยพัน พัน
 
บทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง-แผนที่
บทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง-แผนที่บทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง-แผนที่
บทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง-แผนที่
ครูอ้อ วิรยา
 
เคาะสัญญาณ
เคาะสัญญาณเคาะสัญญาณ
เคาะสัญญาณAui Ounjai
 
แรงพยุงหรือแรงลอยตัว
แรงพยุงหรือแรงลอยตัวแรงพยุงหรือแรงลอยตัว
แรงพยุงหรือแรงลอยตัว
เรียนฟิสิกส์กับครูเอ็ม Miphukham
 
Questionnaire
QuestionnaireQuestionnaire
Questionnaire
sakonpon
 
1 อิศรญาณภาษิต ok
1 อิศรญาณภาษิต  ok1 อิศรญาณภาษิต  ok
1 อิศรญาณภาษิต ok
กึม จันทิภา
 
การตัดต่อภาพยนตร์ มุมกล้อง
การตัดต่อภาพยนตร์  มุมกล้องการตัดต่อภาพยนตร์  มุมกล้อง
การตัดต่อภาพยนตร์ มุมกล้อง
ณัฐพล บัวพันธ์
 
ประโยคความซ้อน
ประโยคความซ้อนประโยคความซ้อน
ประโยคความซ้อน
พัน พัน
 
เทคนิคการสอน กระบวนการกลุ่ม
เทคนิคการสอน  กระบวนการกลุ่มเทคนิคการสอน  กระบวนการกลุ่ม
เทคนิคการสอน กระบวนการกลุ่มJunya Punngam
 
ใบงานที่ 1เรื่องการเขียนเรียงความ
ใบงานที่ 1เรื่องการเขียนเรียงความใบงานที่ 1เรื่องการเขียนเรียงความ
ใบงานที่ 1เรื่องการเขียนเรียงความ
marisa724
 
ความน่าจะเป็น_9วิชาสามัญ(55-58)
ความน่าจะเป็น_9วิชาสามัญ(55-58)ความน่าจะเป็น_9วิชาสามัญ(55-58)
ความน่าจะเป็น_9วิชาสามัญ(55-58)
Thanuphong Ngoapm
 
เรื่อง โพลาไรเซชันของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เรื่อง  โพลาไรเซชันของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเรื่อง  โพลาไรเซชันของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เรื่อง โพลาไรเซชันของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าSomporn Laothongsarn
 
1.แบบฝึกหัดเวกเตอร์
1.แบบฝึกหัดเวกเตอร์1.แบบฝึกหัดเวกเตอร์
1.แบบฝึกหัดเวกเตอร์
เซิฟ กิ๊ฟ ติวเตอร์
 
หน่วยที่ 1 การเปลี่ยนแปลงของภาษา
หน่วยที่ 1 การเปลี่ยนแปลงของภาษาหน่วยที่ 1 การเปลี่ยนแปลงของภาษา
หน่วยที่ 1 การเปลี่ยนแปลงของภาษา
Wilawun Wisanuvekin
 
คำถามพร้อมตอบ อิเหนา-ตอน-ศึกกะหมังกุหนิง
คำถามพร้อมตอบ อิเหนา-ตอน-ศึกกะหมังกุหนิงคำถามพร้อมตอบ อิเหนา-ตอน-ศึกกะหมังกุหนิง
คำถามพร้อมตอบ อิเหนา-ตอน-ศึกกะหมังกุหนิง
Wan Wan
 

What's hot (20)

หลักการพูด
หลักการพูดหลักการพูด
หลักการพูด
 
คำประสม
คำประสมคำประสม
คำประสม
 
คำยืมภาษาต่างประเทศในภาษาไทย
คำยืมภาษาต่างประเทศในภาษาไทยคำยืมภาษาต่างประเทศในภาษาไทย
คำยืมภาษาต่างประเทศในภาษาไทย
 
ม.5 เทอม 1 หน่วย 1
ม.5 เทอม 1 หน่วย 1ม.5 เทอม 1 หน่วย 1
ม.5 เทอม 1 หน่วย 1
 
บทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง-แผนที่
บทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง-แผนที่บทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง-แผนที่
บทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง-แผนที่
 
เคาะสัญญาณ
เคาะสัญญาณเคาะสัญญาณ
เคาะสัญญาณ
 
แรงพยุงหรือแรงลอยตัว
แรงพยุงหรือแรงลอยตัวแรงพยุงหรือแรงลอยตัว
แรงพยุงหรือแรงลอยตัว
 
Questionnaire
QuestionnaireQuestionnaire
Questionnaire
 
1 ธรรมชาติและพลังของภาษาไทย(5-34)
1 ธรรมชาติและพลังของภาษาไทย(5-34)1 ธรรมชาติและพลังของภาษาไทย(5-34)
1 ธรรมชาติและพลังของภาษาไทย(5-34)
 
1 อิศรญาณภาษิต ok
1 อิศรญาณภาษิต  ok1 อิศรญาณภาษิต  ok
1 อิศรญาณภาษิต ok
 
การตัดต่อภาพยนตร์ มุมกล้อง
การตัดต่อภาพยนตร์  มุมกล้องการตัดต่อภาพยนตร์  มุมกล้อง
การตัดต่อภาพยนตร์ มุมกล้อง
 
ประโยคความซ้อน
ประโยคความซ้อนประโยคความซ้อน
ประโยคความซ้อน
 
หู
หูหู
หู
 
เทคนิคการสอน กระบวนการกลุ่ม
เทคนิคการสอน  กระบวนการกลุ่มเทคนิคการสอน  กระบวนการกลุ่ม
เทคนิคการสอน กระบวนการกลุ่ม
 
ใบงานที่ 1เรื่องการเขียนเรียงความ
ใบงานที่ 1เรื่องการเขียนเรียงความใบงานที่ 1เรื่องการเขียนเรียงความ
ใบงานที่ 1เรื่องการเขียนเรียงความ
 
ความน่าจะเป็น_9วิชาสามัญ(55-58)
ความน่าจะเป็น_9วิชาสามัญ(55-58)ความน่าจะเป็น_9วิชาสามัญ(55-58)
ความน่าจะเป็น_9วิชาสามัญ(55-58)
 
เรื่อง โพลาไรเซชันของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เรื่อง  โพลาไรเซชันของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเรื่อง  โพลาไรเซชันของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เรื่อง โพลาไรเซชันของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
 
1.แบบฝึกหัดเวกเตอร์
1.แบบฝึกหัดเวกเตอร์1.แบบฝึกหัดเวกเตอร์
1.แบบฝึกหัดเวกเตอร์
 
หน่วยที่ 1 การเปลี่ยนแปลงของภาษา
หน่วยที่ 1 การเปลี่ยนแปลงของภาษาหน่วยที่ 1 การเปลี่ยนแปลงของภาษา
หน่วยที่ 1 การเปลี่ยนแปลงของภาษา
 
คำถามพร้อมตอบ อิเหนา-ตอน-ศึกกะหมังกุหนิง
คำถามพร้อมตอบ อิเหนา-ตอน-ศึกกะหมังกุหนิงคำถามพร้อมตอบ อิเหนา-ตอน-ศึกกะหมังกุหนิง
คำถามพร้อมตอบ อิเหนา-ตอน-ศึกกะหมังกุหนิง
 

Viewers also liked

การฟัง 4
การฟัง 4การฟัง 4
การฟัง 4Yota Bhikkhu
 
Advance english 1[1]
Advance english 1[1]Advance english 1[1]
Advance english 1[1]Yota Bhikkhu
 
Advance english 5[1]
Advance english 5[1]Advance english 5[1]
Advance english 5[1]Yota Bhikkhu
 
7. t test ตัวแปร status and gender
7. t test ตัวแปร status and gender7. t test ตัวแปร status and gender
7. t test ตัวแปร status and genderYota Bhikkhu
 
4.บทที่ 4 ผลวิจัย-ตารางแผนการใช้ประโยชน์และสภาพการใช้งานจริงกับอาคารสถานที่
4.บทที่ 4 ผลวิจัย-ตารางแผนการใช้ประโยชน์และสภาพการใช้งานจริงกับอาคารสถานที่4.บทที่ 4 ผลวิจัย-ตารางแผนการใช้ประโยชน์และสภาพการใช้งานจริงกับอาคารสถานที่
4.บทที่ 4 ผลวิจัย-ตารางแผนการใช้ประโยชน์และสภาพการใช้งานจริงกับอาคารสถานที่Yota Bhikkhu
 
2.บทที่.2 บทวรรณกรรม
2.บทที่.2 บทวรรณกรรม2.บทที่.2 บทวรรณกรรม
2.บทที่.2 บทวรรณกรรมYota Bhikkhu
 
8. โครงงานวิจัยความพึงพอใจ มจร.ไร่ขิง (ตัวที่ขออนุมัติ)
8. โครงงานวิจัยความพึงพอใจ มจร.ไร่ขิง (ตัวที่ขออนุมัติ)8. โครงงานวิจัยความพึงพอใจ มจร.ไร่ขิง (ตัวที่ขออนุมัติ)
8. โครงงานวิจัยความพึงพอใจ มจร.ไร่ขิง (ตัวที่ขออนุมัติ)
Yota Bhikkhu
 
Advance english 2[1]
Advance english 2[1]Advance english 2[1]
Advance english 2[1]Yota Bhikkhu
 
พระวินัย แนวคิดเกี่ยวกับวินัย000
พระวินัย แนวคิดเกี่ยวกับวินัย000พระวินัย แนวคิดเกี่ยวกับวินัย000
พระวินัย แนวคิดเกี่ยวกับวินัย000Yota Bhikkhu
 
พุทธศาสนาหลังพุทธกาล
พุทธศาสนาหลังพุทธกาลพุทธศาสนาหลังพุทธกาล
พุทธศาสนาหลังพุทธกาลYota Bhikkhu
 
การฟังอย่างตั้งใจ 4
การฟังอย่างตั้งใจ 4การฟังอย่างตั้งใจ 4
การฟังอย่างตั้งใจ 4Yota Bhikkhu
 
Advance english 3[1]
Advance english 3[1]Advance english 3[1]
Advance english 3[1]Yota Bhikkhu
 
ประวัติความสำคัญของพระพุทธศาสนา
ประวัติความสำคัญของพระพุทธศาสนาประวัติความสำคัญของพระพุทธศาสนา
ประวัติความสำคัญของพระพุทธศาสนาYota Bhikkhu
 
Course syllabus english for management
Course syllabus english for managementCourse syllabus english for management
Course syllabus english for managementYota Bhikkhu
 
รหัสวิชา 407 313 ภาษาอังกฤษสำหรับนักรัฐศาสตร์
รหัสวิชา 407 313  ภาษาอังกฤษสำหรับนักรัฐศาสตร์รหัสวิชา 407 313  ภาษาอังกฤษสำหรับนักรัฐศาสตร์
รหัสวิชา 407 313 ภาษาอังกฤษสำหรับนักรัฐศาสตร์Yota Bhikkhu
 
0.ปก คัดย่อ-กิติกรรมฯ-สารบัญ ฯลฯ
0.ปก คัดย่อ-กิติกรรมฯ-สารบัญ ฯลฯ0.ปก คัดย่อ-กิติกรรมฯ-สารบัญ ฯลฯ
0.ปก คัดย่อ-กิติกรรมฯ-สารบัญ ฯลฯYota Bhikkhu
 

Viewers also liked (18)

การฟัง 4
การฟัง 4การฟัง 4
การฟัง 4
 
Advance english 1[1]
Advance english 1[1]Advance english 1[1]
Advance english 1[1]
 
Introduction 6
Introduction 6Introduction 6
Introduction 6
 
Advance english 5[1]
Advance english 5[1]Advance english 5[1]
Advance english 5[1]
 
7. t test ตัวแปร status and gender
7. t test ตัวแปร status and gender7. t test ตัวแปร status and gender
7. t test ตัวแปร status and gender
 
Globalisation 8
Globalisation 8Globalisation 8
Globalisation 8
 
4.บทที่ 4 ผลวิจัย-ตารางแผนการใช้ประโยชน์และสภาพการใช้งานจริงกับอาคารสถานที่
4.บทที่ 4 ผลวิจัย-ตารางแผนการใช้ประโยชน์และสภาพการใช้งานจริงกับอาคารสถานที่4.บทที่ 4 ผลวิจัย-ตารางแผนการใช้ประโยชน์และสภาพการใช้งานจริงกับอาคารสถานที่
4.บทที่ 4 ผลวิจัย-ตารางแผนการใช้ประโยชน์และสภาพการใช้งานจริงกับอาคารสถานที่
 
2.บทที่.2 บทวรรณกรรม
2.บทที่.2 บทวรรณกรรม2.บทที่.2 บทวรรณกรรม
2.บทที่.2 บทวรรณกรรม
 
8. โครงงานวิจัยความพึงพอใจ มจร.ไร่ขิง (ตัวที่ขออนุมัติ)
8. โครงงานวิจัยความพึงพอใจ มจร.ไร่ขิง (ตัวที่ขออนุมัติ)8. โครงงานวิจัยความพึงพอใจ มจร.ไร่ขิง (ตัวที่ขออนุมัติ)
8. โครงงานวิจัยความพึงพอใจ มจร.ไร่ขิง (ตัวที่ขออนุมัติ)
 
Advance english 2[1]
Advance english 2[1]Advance english 2[1]
Advance english 2[1]
 
พระวินัย แนวคิดเกี่ยวกับวินัย000
พระวินัย แนวคิดเกี่ยวกับวินัย000พระวินัย แนวคิดเกี่ยวกับวินัย000
พระวินัย แนวคิดเกี่ยวกับวินัย000
 
พุทธศาสนาหลังพุทธกาล
พุทธศาสนาหลังพุทธกาลพุทธศาสนาหลังพุทธกาล
พุทธศาสนาหลังพุทธกาล
 
การฟังอย่างตั้งใจ 4
การฟังอย่างตั้งใจ 4การฟังอย่างตั้งใจ 4
การฟังอย่างตั้งใจ 4
 
Advance english 3[1]
Advance english 3[1]Advance english 3[1]
Advance english 3[1]
 
ประวัติความสำคัญของพระพุทธศาสนา
ประวัติความสำคัญของพระพุทธศาสนาประวัติความสำคัญของพระพุทธศาสนา
ประวัติความสำคัญของพระพุทธศาสนา
 
Course syllabus english for management
Course syllabus english for managementCourse syllabus english for management
Course syllabus english for management
 
รหัสวิชา 407 313 ภาษาอังกฤษสำหรับนักรัฐศาสตร์
รหัสวิชา 407 313  ภาษาอังกฤษสำหรับนักรัฐศาสตร์รหัสวิชา 407 313  ภาษาอังกฤษสำหรับนักรัฐศาสตร์
รหัสวิชา 407 313 ภาษาอังกฤษสำหรับนักรัฐศาสตร์
 
0.ปก คัดย่อ-กิติกรรมฯ-สารบัญ ฯลฯ
0.ปก คัดย่อ-กิติกรรมฯ-สารบัญ ฯลฯ0.ปก คัดย่อ-กิติกรรมฯ-สารบัญ ฯลฯ
0.ปก คัดย่อ-กิติกรรมฯ-สารบัญ ฯลฯ
 

Similar to ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการพูด 5

สรุปทักษะการสื่อสารและการประสานงานอย่างมืออาชีพ
สรุปทักษะการสื่อสารและการประสานงานอย่างมืออาชีพสรุปทักษะการสื่อสารและการประสานงานอย่างมืออาชีพ
สรุปทักษะการสื่อสารและการประสานงานอย่างมืออาชีพnunaka
 
Consult
ConsultConsult
Consult
kamyui_49
 
Brands thai (o net)
Brands thai (o net)Brands thai (o net)
Brands thai (o net)
Khamcha-I Pittaya​khom school
 
บทความทางวิชาการ
บทความทางวิชาการบทความทางวิชาการ
บทความทางวิชาการnootsaree
 
คุณธรรมและมารยาทในการสื่อสาร
คุณธรรมและมารยาทในการสื่อสารคุณธรรมและมารยาทในการสื่อสาร
คุณธรรมและมารยาทในการสื่อสารkrubuatoom
 
บทที่ 6 การสนทนา
บทที่ 6 การสนทนาบทที่ 6 การสนทนา
บทที่ 6 การสนทนา
Aj.Mallika Phongphaew
 
6 การพูดเพื่อติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน(188-208)
6 การพูดเพื่อติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน(188-208)6 การพูดเพื่อติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน(188-208)
6 การพูดเพื่อติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน(188-208)อัมพร ศรีพิทักษ์
 
ศิลปการพูด 5
ศิลปการพูด 5ศิลปการพูด 5
ศิลปการพูด 5Yota Bhikkhu
 
คำพูดที่ได้ผล Words That Work.pptx
 คำพูดที่ได้ผล Words That Work.pptx คำพูดที่ได้ผล Words That Work.pptx
คำพูดที่ได้ผล Words That Work.pptx
maruay songtanin
 
บทท 3-6 กศบป
บทท   3-6 กศบปบทท   3-6 กศบป
บทท 3-6 กศบปNamfon Wannapa
 
สื่อการสอนวิชาทักษะภาษาไทยเพื่ออาชีพ
สื่อการสอนวิชาทักษะภาษาไทยเพื่ออาชีพสื่อการสอนวิชาทักษะภาษาไทยเพื่ออาชีพ
สื่อการสอนวิชาทักษะภาษาไทยเพื่ออาชีพpanjit
 
Chapter การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้เ...
Chapter การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้เ...Chapter การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้เ...
Chapter การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้เ...
aphithak
 
Chapter 3 การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดย...
Chapter 3   การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดย...Chapter 3   การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดย...
Chapter 3 การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดย...
aphithak
 
หน่วยที่๑
หน่วยที่๑หน่วยที่๑
หน่วยที่๑panjit
 
หน่วยที่ ๑ การใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร
หน่วยที่ ๑ การใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารหน่วยที่ ๑ การใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร
หน่วยที่ ๑ การใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารpanjit
 
ถอดเทปโครงการศิลปะการพูด
ถอดเทปโครงการศิลปะการพูดถอดเทปโครงการศิลปะการพูด
ถอดเทปโครงการศิลปะการพูด
pyopyo
 
คนกลาง Mediator
คนกลาง Mediator คนกลาง Mediator
คนกลาง Mediator
maruay songtanin
 
การพูดอย่างเป็นทางการ 5
การพูดอย่างเป็นทางการ 5การพูดอย่างเป็นทางการ 5
การพูดอย่างเป็นทางการ 5Yota Bhikkhu
 

Similar to ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการพูด 5 (20)

สรุปทักษะการสื่อสารและการประสานงานอย่างมืออาชีพ
สรุปทักษะการสื่อสารและการประสานงานอย่างมืออาชีพสรุปทักษะการสื่อสารและการประสานงานอย่างมืออาชีพ
สรุปทักษะการสื่อสารและการประสานงานอย่างมืออาชีพ
 
Consult
ConsultConsult
Consult
 
การพูดประเภทต่าง ๆ
การพูดประเภทต่าง ๆการพูดประเภทต่าง ๆ
การพูดประเภทต่าง ๆ
 
Brands thai (o net)
Brands thai (o net)Brands thai (o net)
Brands thai (o net)
 
Chapter9
Chapter9Chapter9
Chapter9
 
บทความทางวิชาการ
บทความทางวิชาการบทความทางวิชาการ
บทความทางวิชาการ
 
คุณธรรมและมารยาทในการสื่อสาร
คุณธรรมและมารยาทในการสื่อสารคุณธรรมและมารยาทในการสื่อสาร
คุณธรรมและมารยาทในการสื่อสาร
 
บทที่ 6 การสนทนา
บทที่ 6 การสนทนาบทที่ 6 การสนทนา
บทที่ 6 การสนทนา
 
6 การพูดเพื่อติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน(188-208)
6 การพูดเพื่อติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน(188-208)6 การพูดเพื่อติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน(188-208)
6 การพูดเพื่อติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน(188-208)
 
ศิลปการพูด 5
ศิลปการพูด 5ศิลปการพูด 5
ศิลปการพูด 5
 
คำพูดที่ได้ผล Words That Work.pptx
 คำพูดที่ได้ผล Words That Work.pptx คำพูดที่ได้ผล Words That Work.pptx
คำพูดที่ได้ผล Words That Work.pptx
 
บทท 3-6 กศบป
บทท   3-6 กศบปบทท   3-6 กศบป
บทท 3-6 กศบป
 
สื่อการสอนวิชาทักษะภาษาไทยเพื่ออาชีพ
สื่อการสอนวิชาทักษะภาษาไทยเพื่ออาชีพสื่อการสอนวิชาทักษะภาษาไทยเพื่ออาชีพ
สื่อการสอนวิชาทักษะภาษาไทยเพื่ออาชีพ
 
Chapter การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้เ...
Chapter การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้เ...Chapter การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้เ...
Chapter การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้เ...
 
Chapter 3 การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดย...
Chapter 3   การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดย...Chapter 3   การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดย...
Chapter 3 การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดย...
 
หน่วยที่๑
หน่วยที่๑หน่วยที่๑
หน่วยที่๑
 
หน่วยที่ ๑ การใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร
หน่วยที่ ๑ การใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารหน่วยที่ ๑ การใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร
หน่วยที่ ๑ การใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร
 
ถอดเทปโครงการศิลปะการพูด
ถอดเทปโครงการศิลปะการพูดถอดเทปโครงการศิลปะการพูด
ถอดเทปโครงการศิลปะการพูด
 
คนกลาง Mediator
คนกลาง Mediator คนกลาง Mediator
คนกลาง Mediator
 
การพูดอย่างเป็นทางการ 5
การพูดอย่างเป็นทางการ 5การพูดอย่างเป็นทางการ 5
การพูดอย่างเป็นทางการ 5
 

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการพูด 5

  • 1.
  • 2. ความหมายของการพูด  วาทการ เป็นคำาศัพท์หนึ่ง ซึ่งทาง วิชาการนิยมใช้แทน การพูด พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน (2513:831) ได้ให้ความหมายของคำา ว่า “วาท” หมายถึง คำาพูด ถ้อยคำา,ลัทธิ รวมกันเข้าเป็นวาทการ “วาทการ” หมายถึง กิจพูดหรือกิจ
  • 3. การพูดเป็นพฤติกรรมการสื่อสารที่ ใช้กนแพร่หลาย โดยผู้พูดสามารถใช้ ั ทังวัจนะภาษาและ อวัจนะภาษาใน ้ การส่งสารติดต่อไปยังผู้ฟงได้อย่าง ั ชัดเจนและรวดเร็ว วัจ นะภาษา (Verbal) ได้แก่ การสื่อสาร ในระบบคำาและประโยค โดยผ่านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน โดยมีคำา และประโยคเป็นตัวสือความหมาย ่  อวัจ นะภาษา (Unverbal) ได้แก่ การ 
  • 4. การพูด หมายถึง การใช้ถ้อยคำา นำ้าเสียง รวมทั้งกิริยาอาการถ่ายทอดความรู้ความ คิดและความรู้สึกของผู้พูดให้ผู้ฟงได้รับรู้ ั และเกิดการตอบสนอง ในการติดต่อ สื่อสารด้วยการพูด ผูพูดจะต้องระลึกว่าไม่ ้ เพียงแต่พูดเท่านั้นจะต้องรู้จักพูดให้ดีด้วย  การพูด ที่ด ี คือ การใช้ถ้อยคำา นำ้าเสียง รวมทั้งกิริยาอาการอย่างมีประสิทธิภาพ และถูกต้องตามจรรยามารยาทและ ประเพณีนิยมของสังคม เพือถ่ายทอด ่ ความคิดความรู้ ความรู้สกและความ ึ 
  • 5. แนวคิด พืน ฐานเกี่ย วกับ การ ้ พูด 1. ทุกคนพูดได้แต่บางคนเท่านันที่พูดเป็น ้ 2. การพูดเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์  การพูด เป็นศาสตร์อย่างหนึง ที่เรียกว่า ่ วาทศาสตร์ คือมีทฤษฎี มีระเบียบกฎเกณฑ์ สามารถศึกษาเรียนรู้ และถ่ายทอดได้ เช่น เดียวกับศาสตร์แขนงอื่นๆ  ความเป็นศิลป์ คือ ผู้พูดต้องมีศลปะ คือมี ิ ความสามารถในการถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ได้เป็นอย่างดี มีลีลาการพูดที่มชวิตชีวา น่า ี ี สนใจ เป็นต้น
  • 6. 5. การฝึกพูดจะมีผลต่อการ พัฒนาบุคลิกภาพทั้งภายนอก และภายใน   ภายนอก คือ บุคลิกภายนอก เช่น การฝึกพูดทีสมำ่าเสมอจะสามารถ ่ ปรากฏตัวและการแสดงออกใน สถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ภายใน หรือ บุคลิกภายใน เช่น การฝึกพูดอย่างสมำ่าเสมอจะทำาให้ผู้
  • 7. องค์ป ระกอบของการพูด (1) ผู้พดหรือผู้ ู ส่งสาร ( Sender or (3) Speaker) เนื้อ หา สาระ หรือ เรื่อ งที่ จะพูด (Messa ge)   (4) เครื่อ ง สื่อ สาร หรือ คำา พูด (Chann
  • 8. 1) ผู้พูดหรือผู้ส่งสาร ( Sender or Speaker)   ผูพูดทำาหน้าทีส่งสารผ่านสื่อไปให้ผฟัง ดังนั้น ้ ่ ู้ ผูพูดจะต้องมีความสามารถใช้ทั้งศาสตร์และ ้ ศิลปะของตนเอง ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดไป สู่ผู้ฟังให้ได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ความ สามารถของผูพูดที่จะทำาให้ฟังได้เข้าใจมาก ้ น้อยแค่ไหนนัน ย่อมขึ้นอยู่กับสิ่งต่อไปนี้ ้ ผูพูดมีความสามารถในการใช้ภาษา เสียง ้ และกิริยาท่าทางเพียงไร ผู้พูดมีเจตคติต่อ เรื่องที่จะพูด และต่อผูฟังแค่ไหน ผู้พูดมีระดับ ้ ความรู้ในเรื่องทีพูดมากน้อย และลึกซึ้งเพียง ่ ใดผู้พูดมีฐานะทางสังคม พื้นฐานทาง จริยธรรม และวัฒนธรรมอยู่ในระดับใด ผูพูด ้
  • 9.  2) ผู้ฟัง หรือผู้รับสาร (Receiver or Listener)  ผู้ฟงอยู่ในฐานะที่จะต้องรับสารของผู้ ั พูดโดยอาศัยเครื่องสื่อสารเป็นเครื่อง นำาพา เพือให้ผู้ฟังสามารถรับสารได้ ่ ตรงกับเจตนาของผู้พูด ซึ่งขึ้นอยู่กับ สิงอื่น ๆ เช่น ทักษะ ความพร้อม ความ ่ สนใจ พืนความรู้ วัฒนธรรม และ ้ เจตคติของผู้ฟัง
  • 10. 3) เนื้อหาสาระหรือ เรื่องที่จะพูด (Message)  เนื้อหาทีผู้พดส่งไปนั้นจะต้องมี ่ ู คุณค่า และคุมค่าแก่การเสียเวลา ้ ของผู้ฟง มีจุดมุ่งหมายทีชดเจน ั ่ ั ดังนัน สารทีผู้พดส่งไปนั้นจะ ้ ่ ู ต้องเตรียมมาแล้วอย่างดี เช่น การ คัดเลือก จัดลำาดับขั้นตอน และการ ฝึกฝนตนเองของผู้พูด จะทำาให้ การพูดมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • 11.     4) เครื่องสือสาร หรือ คำาพูด ่ (Channel)          หมายถึง การที่ผู้พดต้องการให้ผู้ฟง ู ั รับทราบ และเข้าใจตามความมุ่งหมาย ของผู้พด โดยการถ่ายทอดออกมาเป็น ู คำาพูด และสิ่งทีนำาสารไปสูผู้ฟง ได้แก่ ่ ่ ั เวลา สถานที่ อากาศ และเครื่องรับรู้ ต่าง ๆ เช่น ตา หู จมูก ลิน กาย ้ นอกจากนียังรวมไปถึงสือ ้ ่
  • 13. 1) พูด เพือ ให้ค วามรูห รือ ่ ้ ข่า วสารข้อ เท็จ จริง  การพูดแบบนี้เป็นการพูดโดยอาศัยข้อมูล ต่าง ๆ ในเรื่องที่ผู้ฟงต้องการจะทราบ การ ั พูดต้องพูดให้ตรงประเด็นและหัวข้อที่ กำาหนดให้ บางครั้งผู้พูดต้องเตรียม อุปกรณ์ประกอบการบรรยายไปด้วย เพือ ่ ให้ผู้ฟงเข้าใจแจ่มแจ้งในเรื่องที่พูดมาก ั ที่สดเท่าที่จะทำาได้ การพูด เช่นนี้ส่วนมาก ุ จะใช้วิธีการพูดด้วยการบรรยาย อธิบาย พรรณนา เล่าเรื่อง ชี้แจง สาธิตและวิธี
  • 14. หลัก ทัว ไปของการพูด เพื่อ ให้ ่ ความรู้ห รือ ข่า วสารข้อ เท็จ จริง ดัง นี้ 1.1) ลำาดับความดี ไม่วกไปวนมา เรียบเรียง ใจความเป็นหมวดหมู่ เป็นขั้นตอน มีความ กลมกลืนกันในแต่ละตอน  1.2) ขยายความดี มีตัวอย่างประกอบ อ้าง เหตุผลทำาให้ผฟังเข้าใจชัดเจนขึ้น ู้  1.3) จังหวะดี จังหวะของการพูดมีส่วนที่จะ ทำาให้ง่ายหรือยากต่อการเข้าใจ เช่น พูดให้ยาก ลงเมื่อถึงต่อยากและพูดเร็วเมื่อถึงตอนง่าย แทรก อารมณ์ขันเมื่อถึงตอนที่เป็นเรื่องหนักสมอง เพื่อ ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศ ความเครียด เป็นต้น 
  • 15.  2) พูด เพื่อ โน้ม น้า วจิต ใจ หรือ ชัก จูง ใจ  การพูดแบบนี้ ผู้พดจะต้องใช้ ู ศิลปะในการพูดหลายๆ แบบเพือ ่ จูงใจให้ผู้ฟงเกิดความศรัทธา ั เลือมใสมีความคิดเห็นคล้อยตาม ่ หรือกระทำาอย่างใดอย่างหนึ่งตาม ทีผู้พดตังความมุ่งหมายไว้ เช่น ่ ู ้ การพูดชักชวนให้เลือมใสในลัทธิ ่ ทางศาสนา การพูดให้ประชาชน
  • 16.      หลักทัวไปของการพูดเพือโน้มน้าว ่ ่ จิตใจหรือชักจูงใจ ดังนี้ 2.1) สร้า งความสนใจ ผู้พ ด ต้อ งสร้า งความ ู สนใจให้เ กิด แก่ผ ู้ฟ ง ตัง แต่ว ิน าทีแ รกทีเ ริ่ม พูด ั ้ ่ เพราะโดยปกติแ ล้ว ผู้ฟ ง จะมีค วามสนใจและ ั ตั้ง ใจในช่ว ง 15 – 20 นาทีแ รกเท่า นัน ้ 2.2) สร้า งความต้อ งการ ผู้พ ูด ต้อ งอ้า งเหตุผ ล หรือ ความจำา เป็น บางอย่า งทีผ ู้ฟ ง ต้อ งทำา หรือ ่ ั ปฏิบ ัต ิต ามทีผ ู้พ ด แนะนำา ่ ู 2.3) สร้า งความพอใจ ทำา ให้ผ ู้ฟ ง เห็น จริง กับ คำา ั พูด ของผู้พ ด เช่น อยูใ นสถานการณ์เ ดีย วกัน ู ่ 2.4) สร้า งมโนภาพ ผู้พ ด ต้อ งยกตัว อย่า ง อุป มา ู อุป ไมย หรือ เหตุก ารณ์ม าประกอบขยายความ 2.5) เรีย กร้อ งกระตุ้น ความสนใจให้ท ำา ตามทีผ ู้ ่
  • 17. 3) พูดเพือให้เกิดความเพลิดเพลิน ่ หรือเพื่อจรรโลงใจ  การพูดแบบนี้ ผู้พดต้องเข้าใจว่า ู บรรยากาศในการพูดก็ดี ความ ต้องการของผู้ฟังก็ดี เป็นการพูดที่ผู้ พูดจะต้องเน้นให้ผู้ฟังเกิดความ สนุกสนานบันเทิงควบคูไปกับการได้ ่ รับความรู้สกนึกคิดที่แปลกใหม่ เล็ก ๆ ึ น้อย ๆ เป็นการพูดในลักษณะเสริม สร้างความนึกคิดของผู้ฟงให้เกิด ั ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อยกระดับ
  • 18. หลักทั่วไปของการพูดเพื่อให้เกิดความ เพลิดเพลินหรือเพื่อจรรโลงใจ ดังนี้ 3.1) พูดให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ได้ เนื้อหาเรื่องราวเหมาะสมกับงาน  3.2) ไม่ควรพูดนานเกินไป ถ้า เป็นการพูดคนเดียว อาจจะใช้เวลา ประมาณ 35 – 45 นาทีก็พอ หรือถ้า พูดหลายคน ควรใช้เวลาคนละ ประมาณ 10 นาที ถ้านานกว่านี้ผู้ฟง ั จะเกิดความเบื่อหน่าย  3.3) เรื่องที่พดสนุกสนานให้ความ ู บันเทิงและเบาสมอง ตลกขบขันได้แต่ 
  • 19. การแบ่ง ระดับ การพูด  การพูดแบ่งได้ 2 ประการ คือ การพูด ระหว่า ง บุค คล และ การพูด ในกลุม ่ 1. การพูด ระหว่า งบุค คล              เป็นการพูดที่ไม่เป็นทางการ ไม่มี เนื้อหาจำากัดแน่นอน ทั้งผู้พูดและผูฟังไม่ได้ ้ เตรียมตัวมาล่วงหน้า แต่เป็นการพูดที่ใช้มาก ที่สด ใช้ในชีวิตประจำาวัน การพูดชนิดนี้พอจะ ุ แยกได้ดังนี้
  • 20. 1.1)  การทัก ทายปราศรัย  การพูดชนิดนี้เป็นการช่วย สร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกันทั้ง ผู้ที่เรารู้จักอยู่แล้วหรือผู้ที่เรา ยังเคยไม่รู้จัก โดยการพูดชนิด นี้ผู้พูดควรยิ้มแย้มและไม่ควร ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น เมื่อเราทักทายผู้ที่อาวุโส
  • 21. 1.2)  การแนะนำา ตนเอง  การแนะนำา ตัว เองนั้น มีค วามสำา คัญ ในการ ดำา เนิน ชีว ิต ในชีว ิต ประจำา วัน เพราะเราต้อ งได้ พบ ได้ร ู้จ ัก กับ คนอืน ๆอยู่เ สมอ การแนะนำา ่ ตนเองมี 3 โอกาสสำา คัญ ดัง นี้       - การแนะนำา ตนเองในที่ส าธารณะ การ แนะนำา ชนิด นีค วรจะพูด จากัน เล็ก น้อ ยก่อ น ้ แล้ว ค่อ ยแนะนำา ตัว มิใ ช่ว ่า จู่ๆ ก็แ นะนำา ตัว ขึ้น มา       - การแนะนำา ตนเองในการทำา กิจ ธุร ะ การ แนะนำา ชนิด นีม ัก จะต้อ งไปพบผู้ท ย ัง ไม่ร ู้จ ัก กัน ้ ี่ ซึ่ง จะต้อ งนัด หมายไว้ล ่ว งหน้า ควรแต่ง กายให้ สุภ าพเรีย บร้อ ย ไปให้ต รงตามเวลานัด แนะนำา ตนเองด้ว ยนำ้า เสีย งทีส ุภ าพ ไม่ด ัง หรือ ค่อ ยจน ่ เกิน ไป
  • 22. 1.3)  การสนทนา   เป็น กิจ กรรมที่บ ุค คลสองคนหรือ มากกว่า นั้น พูด คุย กัน เพื่อ แลกเปลี่ย น ความรู้ ความคิด ความรู้ส ึก และ ประสบการณ์ร ะหว่า งกัน อย่า งไม่เ ป็น ทางการ แบ่ง ได้ 2 แบบคือ 1. การสนทนาระหว่า งบุค คลที่ค น ุ้ เคยกัน การสนทนาชนิด นี้ผ ู้พ ูด ไม่ต ้อ ง คำา นึง ถึง มากนัก แต่ก ็ไ ม่ค วรก้า วก่า ย เรื่อ งส่ว นตัว ของกัน และกัน
  • 23. 2. การพูด ในกลุ่ม  การพูด ในกลุ่ม นั้น เป็น กิจ กรรมที่ส ำา คัญ ในสมัย ปัจ จุบ ัน ทั้ง ในชีว ิต ประจำา วัน และในการศึก ษา โดย เฉพาะในการศึก ษานั้น หากมีก ารแบ่ง กลุ่ม ให้ท ุก คนได้ช ่ว ยกัน ออกความคิด เห็น ก็จ ะเป็น การเสริม
  • 24. 2.1)  การเล่า เรือ งที่ไ ด้ ่ อ่า นหรือ ฟัง มา  การเล่า เรื่อ งที่ต นได้อ ่า นหรือ ฟัง มานั้น ไม่จ ำา เป็น ต้อ งเล่า ทุก เหตุก ารณ์แ ต่ค วรเล่า แต่ ประเด็น ที่ส ำา คัญ ๆ ภาษาที่ใ ช้ เล่า ก็ค วรเป็น ภาษาที่เ ข้า ใจ ได้ง ่า ยๆ ใช้น ำ้า เสีย งประกอบ ในการเล่า เรื่อ ง เช่น เน้น เสีย งในตอนที่ส ำา คัญ รวมไป
  • 25.  2.2)  การเล่า เหตุก ารณ์ ในชีว ิต ประจำา วัน ของเรานัน มัก จะมี ้ เหตุก ารณ์ต ่า งๆเกิด ขึ้น ได้เ สมอ ในบาง ครั้ง ผูพ ูด ก็ม ีค วามจำา เป็น ที่จ ะต้อ งเล่า ้ เหตุก ารณ์น ั้น ให้ผ อ ื่น ฟัง อาจจะเป็น ู้ เหตุก ารณ์ท ี่ป ระทับ ใจ ตื่น เต้น โดยการที่ จะเล่า เหตุก ารณ์น ั้น ๆให้น ่า สนใจ ก็ค วรที่ จะเริ่ม ต้น ด้ว ยการแสดงเหตุผ ลว่า เหตุก ารณ์น ี้ม เ รื่อ งที่น า สนใจยัง ไง ใช้ ี ่ ถ้อ ยคำา และภาษาสำา นวนที่ท ำา ให้ผ ฟ ัง ได้ ู้ เห็น ภาพ เล่า เหตุก ารณ์ใ ห้ต อ เนือ งกัน เพื่อ ่ ่ ผูฟ ัง จะได้ต ิด ตามเรื่อ งได้ด ี นำ้า เสีย ง ้
  • 26. ประเภทของการพูด การพูดแบบที่ 1 แบ่งตามวิธีการพูดมี 4 ประเภท คือ          1) การพูด โดย ฉับ พลัน หรือ กะทัน หัน            2) การพูด โดย การเตรีย มการมาล่ว งหน้า  3) การพูด โดยอาศัย อ่า นจาก ต้น ฉบับ
  • 27.    1) การพูด โดยฉับ พลัน หรือ กะทัน หัน ได้แ ก่ก ารพูด ที่ผ ู้พ ูด ไม่ร ู้ต ัว มาก่อ นจะต้อ งพูด ไม่ไ ด้ม ี การเตรีย มตัว ล่ว งหน้า ทั้ง ในด้า นเนื้อ เรื่อ งที่จ ะพูด แต่ ก็ไ ด้ร ับ เชิญ หรือ ได้ร ับ มอบหมายให้พ ูด เช่น การพูด กล่า วอวยพรในวัน เกิด กล่า วอวยพรคู่บ ่า วสาว กล่า ว ต้อ นรับ ผู้ม าเยือ น กล่า วขอบคุณ ผู้ม ีอ ุป การะสนับ สนุน การพูด กะทัน หัน นี้ หากผู้พ ูด ได้ร ับ เชิญ ในลัก ษณะดัง กล่า วข้อ ที่ค วรปฏิบ ัต ิเ พื่อ ให้ก ารพูด ประสบความ สำา เร็จ ก็ค วรปฏิบ ัต ิต นดัง ต่อ ไปนี้        1.1 )ต้อ งคุม สติใ ห้ม ั่น อย่า ประหม่า หรือ ตกใจตื่น เต้น จนเกิน ไป ทำา จิต ใจให้ป กติแ ละสร้า ง ความมัน ใจให้แ ก่ต นเองด้ว ยการสร้า งความพึง พอใจ ่ และความยิน ดีท ี่จ ะได้พ ูด ในโอกาสเช่น นั้น        1.2 )ให้น ึก ถึง ประสบการณ์ต ่า งๆ ทีเ รีย นรู้ ่ หรือ ได้พ บเห็น มา ซึ่ง เห็น ว่า เป็น เรื่อ งที่ด ีม ป ระโยชน์ ี
  • 28.  2) การพูด โดยการเตรีย ม การมาล่ว งหน้า  การพูด แบบนี้เ ป็น การพูด ที่ผ ู้ พูด ได้ม ีโ อกาสเตรีย มตัว มา ก่อ นคือ ผู้พ ูด รู้ว ่า ตนเองได้ร ับ เชิญ หรือ จะต้อ งพูด ในเรื่อ ง อะไรบ้า ง จึง ต้อ งมีก ารเตรีย ม ตัว ล่ว งหน้า เท่า ที่โ อกาสเวลา จะอำา นวยให้ ดัง นั้น การเตรีย ม ในเรื่อ งต่า งๆ ที่จ ะพูด เป็น
  • 29.   3) การพูด โดยอาศัย อ่า นจากต้น ฉบับ   การพูด ประเภทนี้เ ป็น การพูด ตาม ต้น ฉบับ ที่เ ขีย นขึน ซึง เป็น การเตรีย ม ้ ่ ไว้ล ่ว งหน้า เป็น อย่า งดี ส่ว นมาก เป็น การพูด ทางพิธ ก ารต่า ง ๆ สำา คัญ ๆ ี เช่น การกล่า วเปิด งานการกล่า ว รายงาน การกล่า วเปิด ประชุม การ กล่า วรายงานการประชุม การกล่า วคำา ปราศรัย การกล่า วคำา สดุด ีก ารกล่า ว คำา ให้โ อวาท การกล่า วต้อ นรับ ที่เ ป็น พิธ ีก ารสำา คัญ ๆ ฯลฯ
  • 30. 4) การพูด โดยวิธ ี ท่อ งจำา  การพูด ลัก ษณะนีเ ป็น การพูด ที่ผ พ ูด ้ ู้ จะต้อ งเตรีย มตัว ท่อ งจำา เนื้อ หาอย่า ง ละเอีย ดจากเอกสาร ตำา รา หนัง สือ ต่า งๆ อย่า งแม่น ยำา เช่น การท่อ งจำา ตัว เลข จำา สุภ าษิต คำา พัง เพย เนือ หา ้ ที่ส ำา คัญ ๆ การพูด แบบนีเ ป็น การพูด ที่ ้ ผูพ ูด จะต้อ งใช้ค วามเพีย รพยายาม ้ มากในการจดจำา เนือ หา และจะต้อ ง ้ มีเ วลาในการเตรีย มตัว เช่น การ เทศน์ข องพระสงฆ์ การสวดอ้อ วอน
  • 31. การพูดแบบที่ 2 แบ่งตามจำานวนผู้ฟัง มี 2 ประเภท คือ  1) การพูดรายบุคคล เป็นการพูด ตัวต่อตัว ได้แก่ การพูดทีใช้อยู่ใน ่ ชีวิตประจำาวัน เช่น การสนทนา การ สัมภาษณ์ การเล่าเรื่อง การแนะนำาตัว เป็นต้น       2) การพูดในทีชุมนุมชน ่ เป็นการพูดทีมีผู้ฟงเป็นจำานวนมาก ่ ั เป็นการพูดทีมีแบบแผนต้องมีการเตรี ่
  • 32.  คุณ สมบัต ิเ บื้อ งต้น ของ นัพูด ที่ด ีจดต้ที่ดบ ปรุง พื้น ฐานของตนให้ม ี ก พู ำา อ งปรั ี นัก   คุณ สมบัต ิท ี่ส ำา คัญ เบื้อ งต้น 5 ประการดัง นี้ 1) เป็น นัก ฟัง ที่ด ี นัก พูด ไม่ใ ช่ฝ ึก พูด อย่า งเดีย ว ต้อ งฝึก ฟัง ด้ว ย ต้อ งรู้ว ่า เมื่อ ไรควรพูด เมื่อ ไรควรฟัง การฟัง ผู้อ น ทำา ให้เ ราได้ร ับ ความรู้เ พิม ขึ้น หรือ อย่า ง ื่ ่ น้อ ยก็ไ ด้ท บทวนความรู้เ ดิม ที่เ รามีอ ยูแ ล้ว ข้อ สำา คัญ ่ ถ้า เลือ กฟัง ในสิง ที่ม ีป ระโยชน์ก ็จ ะทำา ให้เ พิม คุณ ค่า ่ ่ ให้แ ก่ต ัว เองมากขึ้น 2) ศึก ษาหาความรู้อ ยูเ สมอ นัก พูด ต้อ งศึก ษา ่ หาความรู้ไ ม่ห ยุด ยัง ความรู้ท ี่ว ่า นี้น อกจากจะได้จ าก ้ การฟัง แล้ว ความรู้ท ี่ไ ด้จ ากการอ่า นสำา คัญ ทีส ุด การ ่ อ่า นเป็น วิธ ีต ัก ตวงความรู้ท ร วดเร็ว และรวบรัด ที่ส ุด ี่ นัก พูด ต้อ งรัก การอ่า นให้ม ากจะเป็น ประโยชน์แ ก่ การพูด การพูด ก็จ ะวนเวีย นอยูท ี่เ ดิม ไม่ไ ปไหน พอ ่
  • 33.     3) ยอมรับฟังคำาวิจารณ์ นักพูดต้องยอมรับฟัง วิพากษ์วิจารณ์จากผูอนต้องต้อนรับทั้งคำาติและชม ้ ื่ น้อมรับคำาวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น นำามาปรับปรุง แก้ไขตัวเอง     4) เป็นตัวของตัวเอง นักพูดทีดีตองเป็นตัวของตัว ่ ้ เอง อย่าเลียนแบบใคร งานเลียนแบบเป็นงานทีไร้ ่ เกียรติไม่สร้างสรรค์ และไม่ทำาความภูมิใจให้แก่ตว ั เอง ถ้ามีบุคคลใดเป็นตัวอย่างในการพูดที่ดี ขอให้ จดจำานำาเอาบางสิ่งบางอย่างของเขามาลองปฏิบัตดู ิ อย่าเลียนแบบเขาทั้งหมด จงเป็นตัวของตัวเอง ได้ ของดีจากใครได้ความรู้ข้อคิดดีๆจากใคร ถ้าทำาได้ ควรเอ่ยนามเขาให้ปรากฏ นอกจากจะได้แสดง มารยาทอันงดงามแล้ว ยังสามารถถ่ายทอดสิ่งต่างๆ เหล่านันได้อย่างเต็มปากเต็มคำาไม่เคอะเขินอีกด้วย ้
  • 34. วิธ ก ารพูด ที่ด ี ี   การพูดเป็นเรื่องของการสร้างความ เชือถือและศรัทธาให้เกิดแก่ผู้ฟง แต่ ่ ั ก่อนจะให้ผู้ฟงเกิดความเชื่อถือจะต้อง ั ทำาให้เกิดความสนใจ เร้าใจ ใคร่รู้ใน ช่วงแรกทันที ดังนัน คำาพูดประโยคแรก ้ (Opening Sentence) หรือข้อความ ตอนต้นในการเริ่มพูด (Opening Statement) จึงมีความสำาคัญมาก
  • 35.    การเริ่มพูด ตอนต้น ให้ต ื่น เต้น ต้องไม่กล่าวนำาหรือ พูดอารัมภบท ยืดยาด เยิ่นเย่อ ต้องพูดถึงความเป็นมา ทีมความสำาคัญจริงๆ ต้องกล่าวนำาว่าจะพูดเรื่องอะไร มี ่ ี ความสำาคัญอย่างไรต่อผู้ฟังการพูด ต้องนำาความสนใจ ข้อเท็จจริง ไปสู่เรื่องราวทีจะพูดโดยไม่ชักช้า การพูดตอนกลางให้ก ลมกลืน ระมัดระวังว่าจะ พูดอะไร และพูดอย่างไร ไม่พูดออกตัวกล่าวอย่างล่อง ลอย ไร้นำ้าหนัก แถลงข้อเท็จจริง เป็นข้อๆ ให้เด่นชัด พูดให้เรียงลำาดับ ไม่สับสน ใช้โสตทัศนูปกรณ์ใน จังหวะทีเหมาะสมช่วยเร้าความสนใจและสร้างความ ่ เข้าใจ การพูดตอนท้า ยให้ท บทวน สรุปข้อเท็จจริงโดย พูดเน้นยำ้าประเด็นสำาคัญ แต่ไม่พูดซำ้า เพราะจะทำาให้ เป็นการน่าเบื่อหน่าย รำาคาญเหมือนการพูดวกวน
  • 36. แบบฝึก หัด ทบทวน 1.ให้นกศึกษาพูดแนะนำาตัวเอง โดยนำา ั ประวัตสวนตัวมาเชื่อมโยงกับเรื่องราว ิ ่ ทีเป็นประเด็น สำาคัญในปัจจุบน ให้ ่ ั สามารถพูดได้ภายในเวลา 3-5 นาที 2.ให้นักศึกษาฝึกการฟังและวิจารณ์การ พูดของเพือนนักศึกษาที่พดหน้าชัน ่ ู ้ 3. ให้นกศึกษาบอกถึงคุณสมบัตที่ดของ ั ิ ี นักพูดมา 10 ข้อ

Editor's Notes

  1. {}