More Related Content
Similar to 9789740330349 (20)
9789740330349
- 1. บทที่ 1
ความรู้เกี่ยวกับปรัชญา
ก่อนที่จะท�ำความเข้าใจเกี่ยวกับปรัชญาการศึกษา เราควรจะมี
ความรู้เกี่ยวกับปรัชญาขั้นต้นตามสมควรว่า ปรัชญาคืออะไร ปรัชญามี
ขอบเขตแค่ไหน ปรัชญาศึกษาเรื่องอะไรกันบ้าง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะได้กล่าว
ถึงพอเป็นสังเขปในบทแรกนี้
ความหมายของปรัชญา
การที่จะให้ความหมายหรือให้ค�ำจ�ำกัดความของค�ำว่าปรัชญานั้น
ไม่ใช่ของที่ท�ำได้ง่ายและเป็นสิ่งที่ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุดได้ยาก แต่ก็ผิดได้ยาก
เช่นกันเพราะนักปรัชญาแต่ละคน นักคิดแต่ละกลุ่ม นักปรัชญาแต่ละสมัย ก็ให้
คำนยามแตกตางกนออกไป การใหความหมายในทนจะกลาวอยางกวาง ๆ เพอ
� ิ ่ ั ้ ี่ ี้ ่ ่ ้ ื่
ให้เข้าใจตรงกันในหมู่ผู้ที่ท�ำความเข้าใจในเรื่องของปรัชญาการศึกษาต่อไป
สวนคำนยามทละเอยดพสดารนน ผสนใจจะอานไดจากหนงสอทแนะนำไวทายบทนี้
่ � ิ ี่ ี ิ ั้ ู้ ่ ้ ั ื ี่ � ้ ้
- 2. ก. ความหมายตามรูปศัพท์
การพิจารณาความหมายของปรัชญาแบบแรกคือพิจารณาตาม
รูปศัพท์ที่ใช้อยู่ว่ามีความหมายอย่างไร ซึ่งเราอาจพิจารณาได้เป็น 2 แนวทาง
คือ รูปศัพท์ภาษาไทยและรูปศัพท์ภาษาอังกฤษ
ตามรปศพทในภาษาไทยนน คำวาปรชญาเปนคำทพระเจาวรวงศเ์ ธอ
ู ั ์ ั้ � ่ ั ็ � ี่ ้
กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ทรงบัญญัติขึ้นเพื่อใช้แทนค�ำว่า Philosophy
ในภาษาอังกฤษ (กีรติ บุญเจือ, 2519 : 1) และเป็นศัพท์บัญญัติที่ “ติด”
เป็นที่นิยมใช้กันกว้างขวางในปัจจุบัน ตามรากศัพท์ปรัชญาเป็นค�ำสันสกฤต
มาจากคำวา ชญา แปลวา รู้ เขาใจ เมอเตมอปสรรค ปร ซงแปลวา ไกล สงสด
� ่ ่ ้ ื่ ิ ุ ึ่ ่ ู ุ
ประเสริฐ ลงไปข้างหน้า จึงกลายเป็นค�ำว่า ปรัชญา ซึงอาจจะให้ความหมายได้วา
่ ่
เปนความรอบรู้ รกวางขวาง หรอความรอนประเสรฐ ความรขนสงกได้ โดยนยนี้
็ ู้ ้ ื ู้ ั ิ ู้ ั้ ู ็ ั
ความหมายของปรั ช ญาในศั พ ท ์ ภ าษาไทยจึ ง เน ้ น ไปที่ ตั ว ความรู ้ ห รื อ ผู ้ รู ้
ซึ่งเป็นความรู้ที่กว้างขวางลึกซึ้งประเสริฐ เป็นต้น ซึ่งตรงกับค�ำว่า ปัญญาใน
ภาษาบาลี
แต่ตามรูปศัพท์ในภาษาอังกฤษนั้นมีความหมายแตกต่างไปจาก
ภาษาไทยอยูบาง โดยทีพทาโกรัสเป็นคนทีเ่ ริมใช้คำนี้ โดยเรียกตัวเองว่านักปรัชญา
่้ ่ ี ่ �
(Philosopher) (Thakur, 1977: 3) รากศัพท์เดิมของค�ำ Philosophy นั้น
มาจากค�ำภาษากรีก 2 ค�ำสนธิกัน คือ Philos กับ Sophia ค�ำว่า Philos หรือ
Philia นั้นแปลว่า รักหรือความรัก (Love) ส่วนค�ำว่า Sophia นั้น หมายถึง
ความรู้ ความปราดเปรื่อง (Wisdom) เมื่อรวมกันเข้าเป็น Philosophy แล้วจึง
หมายถึง ความรักในความรู้ ความรักในความปราดเปรื่อง (The Love of
Wisdom) ความหมายตามรูปศัพท์ในภาษาอังกฤษนี้เน้นไปที่ทัศนคติ นิสัย
และความตังใจ เน้นทีกระบวนการในการจะหาความรู้ นักปรัชญาตามความหมาย
้ ่
2 ปรัชญาการศึกษาเบื้องต้น
- 3. รูปศัพท์ภาษาอังกฤษจึงหมายถึงคนที่สนใจแสวงหา และอยากรู้อยากเห็น
ใฝหาความรอยเู่ สมอ ไมใชคนทมความรแลวเพยงพอกบความรทตนมอยแลวนน
่ ู้ ่ ่ ี่ ี ู้ ้ ี ั ู้ ี่ ี ู่ ้ ั้
อย่างไรก็ตาม แม้ค�ำนิยามจะแตกต่างกันออกไปบ้างตามรูปศัพท์
ของภาษาไทยและภาษาอังกฤษก็ตาม แต่สิ่งที่ร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือความรู้
ไม่ว่าจะเป็นตัวความรู้หรือการแสวงหาความรู้ก็ตาม ปรัชญาจึงหนีไม่พ้นเรื่อง
ความรไปได้ แตจะเปนความรอะไร อยางไร หรอเกยวของอยางใด เพออะไรนน
ู้ ่ ็ ู้ ่ ื ี่ ้ ่ ื่ ั้
จะกล่าวถึงในตอนต่อ ๆ ไป
ข. ความหมายโดยอรรถ
การพิจารณาหาความหมายของปรัชญาโดยอรรถนี้ ก็เช่นเดียวกับ
การให้ค�ำนิยามปรัชญาโดยทั่ว ๆ ไปนั้นเอง คือไม่มีค�ำนิยามตายตัว การให้
ความหมายในที่นี้จะพิจารณาเพื่อประโยชน์ในการศึกษาต่อไปเป็นหลักส�ำคัญ
เมื่อพิจารณาโดยเนื้อหาแล้ว เราก็อาจกล่าวได้ว่า ปรัชญานั้นเป็น
สาขาวิชาหนึ่ง ซึ่งมีที่มาและมีวิวัฒนาการอันยาวนาน โดยเริ่มต้นจากการที่
มนุษย์มีความสงสัยและพิศวงงงงวยต่อสิ่งแวดล้อมรอบข้าง แล้วก็พยายาม
ขบคิดหาค�ำตอบต่อปัญหาและความสงสัยต่าง ๆ เหล่านั้น ในระยะแรก ๆ ก็
พยายามหาค�ำตอบต่อปัญหาในสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น โลก จักรวาล
ธรรมชาติก่อน แล้วจึงหันมาสนใจเรื่องของมนุษย์เองในระยะหลัง โดยเฉพาะ
สมัยหลังโสกราตีสเป็นต้นมา เพื่อหาความหมายต่อสิ่งแวดล้อมเหล่านั้น
การตั้งข้อสงสัยและการพยายามหาค�ำตอบต่อสิ่งแวดล้อมและตัวมนุษย์เองนี้
ในระยะแรก ๆ กเปนไปอยางงาย ๆ ใชเหตผลไมลกซงซบซอนมากนก เปนการ
็ ็ ่ ่ ้ ุ ่ ึ ึ้ ั ้ ั ็
คาดคะเนตามความนึกคิดและสติปัญญา ในยุคนั้น ๆ ความรู้ที่ใช้ประกอบก็
มีลักษณะกว้าง ๆ ตามที่คิดได้ในยุคนั้น ๆ เช่นกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปนับเป็น
ความรู้เกี่ยวกับปรัชญา 3
- 4. ร้อย ๆ ปีขึ้นไป ปัญหาและค�ำตอบต่าง ๆ เหล่านี้ก็ได้รับการพิจารณาสืบทอด
และปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นระยะของความคิดนึกที่สมบูรณ์ขึ้น ผลของ
ความพยายามสะสมเหล่านี้เองที่เราเรียกกันว่างานทางปรัชญา
ในระยะแรก ความรู้ต่าง ๆ ที่นักปรัชญาน�ำมาประกอบในการ
พิจารณาเพื่อตั้งค�ำถามและหาค�ำตอบให้กับความหมายของสิ่งต่าง ๆ รอบ
กายนั้นย่อมได้ความรู้หลาย ๆ อย่างมาประกอบกัน ความรู้ทุกอย่างก็เป็น
ปรัชญาทั้งหมด แต่เมื่อความรู้ในสาขาใดได้รับการพัฒนากว้างขวางและลึกซึ้ง
ขึ้น มีค�ำตอบของตนเองชัดเจนขึ้น ก็แยกตัวเป็นวิชาหนึ่งต่างหากออกไป
(กีรติ บุญเจือ, 2519 : 5) ชี้ว่า วิชาที่แยกตัวออกไปจากปรัชญาวิชาแรกก็คือ
วชาศาสนา เพราะศาสนานนแรก ๆ กเ็ ปนความพยายามทจะตอบปญหาและหา
ิ ั้ ็ ี่ ั
ความหมายของความเป็นมนุษย์ทั่ว ๆ ไป อันเป็นปรัชญาอยู่ ต่อเมื่อมีคนคิด
ละเอียดและท�ำความเข้าใจชัดเจน มีพิธีกรรมของตนเองชัดเจนขึ้นก็แยกเป็น
วิชาต่างหากออกไป ที่เหลือก็เป็นเนื้อหาของปรัชญาต่อไป วิชาที่แตกตัวออก
มาจากปรัชญาในระยะหลัง ๆ ก็ได้แก่ ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์
เป็นต้น โดยเหตุนี้ การที่จะกล่าวถึงเนื้อหาของวิชาปรัชญาอย่างชัดเจน เช่น
การกล่าวถึงวิชาพฤกษศาสตร์ว่าศึกษาเรื่องพืช สัตวศาสตร์ศึกษาเรื่องของ
สัตว์ จึงเป็นสิ่งที่ท�ำได้ยากและไม่ครอบคลุมขอบเขตและวิวัฒนาการของวิชา
ปรัชญาอย่างเพียงพอ เหตุนี้ในปัจจุบันจึงมีผู้กล่าวว่า ปรัชญานั้นไม่มีเนื้อหา
ของตนเอง แต่เป็นการน�ำเนื้อหาของวิชาต่าง ๆ มาวิเคราะห์ สรุปรวมหาความ
สัมพันธ์และความหมายให้แก่ศาสตร์นั้น ๆ (ซี อี เอ็ม โจด, 2523 : 7) ในขณะ
เดียวกันก็จะมองเห็นคุณค่าอย่างอื่น ๆ เพิ่มเติมขึ้นมาด้วย
การให้ค่าให้ความหมายของสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เองที่ท�ำให้เนื้อหาของ
ปรัชญาจัดตัวเองชัดเจนขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การค้นหาความจริงแท้
4 ปรัชญาการศึกษาเบื้องต้น
- 5. (Ultimate Reality) ของสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลและพื้นพิภพนี้ โดยอาศัย
ความรู้จากศาสตร์ต่าง ๆ มาประกอบกัน ซึ่งกลายเป็นเนื้อหาของปรัชญา
ในปัจจุบัน
อีกลักษณะหนึ่ง ปรัชญาเป็นวิธีการมองปัญหาหรือมองความรู้ที่
มีอยู่ (A way of looking at knowledge) โดยนัยนี้ ปรัชญาไม่ใช่วิธีการ
หาความรู้ใหม่และไม่ใช่ตัวความรู้ (Body of Knowledge) แต่เป็นวิธีการ
เป็นลักษณะการมองความรู้หรือปัญหาที่เป็นอยู่ ที่มีอยู่แล้ว วิธีการของ
ปรัชญาจะไม่ให้ความรู้ใหม่ ๆ ไม่ใช่การค้นพบความรู้ใหม่ แต่เป็นการมอง
ความรู้หรือปัญหาในทัศนะใหม่ ๆ (Phenix, 1958: 4) ความหมายในประการ
นี้เองที่คนโดยมากเข้าใจกัน ดังที่มีค�ำกล่าวอยู่เสมอว่า ปรัชญาชีวิตของคนนั้น
คนนี้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ปรัชญาการท�ำงานของนาย ก. เป็นอย่างนั้น นาย ข.
อย่างนี้ เป็นต้น การมองปัญหานี้จ�ำเป็นจะต้องวิเคราะห์ตีความปัญหาข้อมูล
ต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง แต่บางคนก็อาจจะใช้ประสบการณ์และความคิดนึกของ
ตนเองเท่านั้น ความเป็นนักปรัชญาในที่นี้จึงมักจะมองกันในแง่ที่ว่า ใครจะมี
ความสามารถเข้าถึงปัญหาที่แท้จริงมากกว่ากัน
ความหมายของปรัชญาในแนวทางของการมองปัญหานี้เองอาจจะ
พิจารณาได้วาเป็นการใช้วชาปรัชญามาประยุกต์กอาจจะไม่ผดนัก เพราะปรัชญา
่ ิ ็ ิ
ประยุกต์นนก็คอการน�ำแนวคิดหรือวิธการ รวมทังปัญหาพืนฐานทางปรัชญามา
ั้ ื ี ้ ้
วิเคราะห์วชาต่าง ๆ ให้การท�ำความเข้าใจในวิชาต่าง ๆ ชัดเจนขึน เช่น ปรัชญา
ิ ้
ศิลปะ ปรัชญาคณิตศาสตร์ ปรัชญาประวัติศาสตร์ เป็นต้น
ความรู้เกี่ยวกับปรัชญา 5
- 6. สาขาของปรัชญา
ดังที่ได้กล่าวมาแต่ต้นบ้างแล้วว่า ปรัชญาปัจจุบันนั้นมุ่งที่การค้นหา
ความจริงเป็นหลักส�ำคัญ เมือวิเคราะห์ความเป็นจริงนันแล้ว ก็วเิ คราะห์ตอไปว่า
่ ้ ่
เราจะรู้ความเป็นจริงนั้นได้อย่างไร และเราจะประพฤติตนอย่างไรจึงจะเหมาะ
กับความเป็นจริงนั้น ๆ จากพื้นฐานของความจริงนี้เองท�ำให้เราสามารถแบ่ง
สาขาของปรัชญาออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ที่นิยมกันได้เป็น 3 สาขาใหญ่ ๆ คือ
1. อภิปรัชญา (Metaphysics or Ontology)
สาขาของปรัชญาในส่วนของอภิปรัชญานี้เกี่ยวข้องกับปัญหาและ
ทฤษฎีของความเป็นจริง (Reality) เป็นความพยายามที่จะตอบค�ำถามและ
หาความหมายของความจริงที่แท้ (Ultimate Reality) คืออะไร อะไรคือ
ธรรมชาติของจักรวาล พื้นพิภพ และชีวิตมนุษย์ ชีวิตมนุษย์เป็นอิสระเองหรือ
ขึ้นอยู่กับสิ่งที่สูงกว่า (พระเจ้า) เป็นต้น นักปรัชญาแต่ละคนแต่ละกลุ่มของ
ความคิดจะตอบปัญหานี้แตกต่างกันออกไป
ฝ่ายหนึ่งมีความเชื่อว่า ธรรมชาติที่แท้จริงของคนนั้นคือจิต (Mind)
สิ่งหรือส่วนอื่น ๆ ไม่แน่นอน แต่อีกฝ่ายหนึ่งมีความเห็นว่า สิ่งที่แท้จริงก็คือ
สิ่งที่เราเห็น สัมผัสได้ (Material Organism) สิ่งที่อยู่นอกเหนือไม่ใช่สิ่งที่
แน่นอน แนวคิดทั้งสองนี้มีอิทธิพลต่อการศึกษามากดังจะได้กล่าวถึงอีกครั้ง
หนึ่งในบทที่ 4
2. ทฤษฎีความรู้ (Epistemology)
ปรัชญาสาขานี้บางทีก็เรียกกันว่าญาณวิทยา เกี่ยวข้องโดยตรงกับ
ปัญหาและทฤษฎีของความรู้ (Knowledge) เป็นความพยายามทีจะตอบค�ำถาม
่
6 ปรัชญาการศึกษาเบื้องต้น
- 7. และหาความหมายเกียวกับความรูในด้านต่าง ๆ เช่น ความรูทเราได้รบมานันมี
่ ้ ้ ี่ ั ้
ธรรมชาติอย่างไร เป็นความรู้ที่แท้จริงหรือเปล่า มีความรู้อะไรบ้างที่คนเราควร
ศึกษา ความรู้ที่ได้นั้นมีแหล่งอยู่ที่ไหน และเราจะใช้เครื่องมืออะไรเพื่อให้ได้มา
ซึ่งความรู้เหล่านั้น เป็นต้น
แนวทาง 2 ทางที่พูดกันอยู่เสมอในเรื่องของทฤษฎีความรู้ก็คือ กลุ่ม
แรกความรู้ได้มาจากและโดยวิธีประจักษนิยม (Empiricism) คือการสังเกต
เก็บรวบรวม ทดสอบ และอาจจะทดลอง (Controlled experience) เพิ่มเติม
ทีหลังได้อีก แต่อีกบางกลุ่มเป็นความรู้ที่ได้จากวิธีการอื่น ๆ ที่ไม่ใช่วิธีการของ
ประจักษนิยม เช่น การใช้เหตุผลหรือเหตุผลนิยม (Rationalist) การคิดขึ้น
ได้เอง (Intuition) ผู้รู้บอกให้ (Authority) เป็นต้น (Kneller, 1964: 8-12;
รัตนา ตันบุญเต็ก, ม.ป.ท. : 46-50) เหล่านี้เป็นความรู้ที่ถูกต้อง เหมาะสม และ
เป็นจริงเพียงใด ทฤษฎีของความรู้ในลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้มีความส�ำคัญต่อ
การศึกษาในแง่ของการให้ความรู้ ครูควรจะให้ความรู้แก่เด็กหรือไม่ ความรู้ที่
ให้ควรให้อะไร และให้อย่างไรจึงจะเกิดประโยชน์เต็มที่
3. คุณวิทยา (Axiology)
คุณวิทยาหรือบางทีเรียกกันว่าคุณค่านี้เกี่ยวพันโดยตรงกับปัญหา
และทฤษฎีของคุณค่า (Values) เป็นความพยายามที่จะตอบค�ำถามและหา
ความหมาย จุดเริ่มต้น และความแน่นอนของค่านิยมต่าง ๆ เช่น ค่านิยม
อย่างไหนควรเป็นมาตรฐาน จะปฏิบัติตนอย่างไรให้สอดคล้องกับมาตรฐาน
นั้น มาตรฐานนั้น ๆ เหมาะสมถูกต้องเพียงใด เป็นต้น
โดยทวไป ปรชญาทางคณวทยานจะศกษา 3 ลกษณะ คอ จรยศาสตร์
ั่ ั ุ ิ ี้ ึ ั ื ิ
(Ethics) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ข้อปฏิบัติระหว่างกัน
ความรู้เกี่ยวกับปรัชญา 7
- 8. ความถูกต้อง ความชัว ความดี เป็นต้น อย่างที่ 2 คือสุนทรียศาสตร์ (Aesthetics)
่
ศึกษาถึงเรื่องของความงามความสวย ที่เรากล่าวว่า ภาพภาพหนึ่งงามนั้น
หมายความว่าอย่างไร ความงามที่แท้จริงคืออะไร และอย่างที่สามที่กล่าว
ถึงกันในเรื่องของคุณวิทยาก็คือ ปรัชญาสังคมการเมือง (Sociopolitical
Philosophy) ศึกษาว่า ชุมชนคืออะไร มีไว้เพื่ออะไร เมื่อใดประชาชนควร
ท�ำตามค�ำสั่งรัฐบาล รัฐบาลแบบใดดีที่สุด เป็นต้น
การพิจารณาในเรื่องของคุณค่ามักจะแบ่งเป็น 2 แนว แนวแรกถือว่า
คุณค่าหรือค่านิยมมีค่าความสมบูรณ์แน่นอนเป็นคุณค่าอยู่ในตัวของสิ่งหรือ
การกระท�ำนั้น ๆ (Instrinsic) ไม่เปลี่ยนแปลงและมีล�ำดับขั้นตอน ส่วนอีก
แบบหนึ่งค่านิยมเป็นแต่เพียงเครื่องมือ (Instrumental) ของมนุษย์เปลี่ยนแปลง
ได้ไม่คงที่ แล้วแต่ข้อตกลงของสังคม เป็นต้น แนวคิดนี้มีผลต่อการศึกษา
อย่างมาก เพราะถ้ายึดค่านิยมใดก็จะอบรมคนไปแนวนั้น การประพฤติปฏิบัติ
ในโรงเรียนอย่างใดควรเหมาะสม ถูกต้อง
สาขาที่กล่าวมาทั้ง 3 ลักษณะนี้เป็นสาขาหลักที่นิยมกันในหมู่
ผู้ศึกษาทางปรัชญา แต่ในบางครั้งก็เพิ่มตรรกวิทยา (Logic) เข้าไว้ด้วย เพราะ
ตรรกวิทยานั้นเป็นเครื่องมือ เป็นวิธีการคิดหาเหตุผลที่จะน�ำมาใช้กับปรัชญา
ซึ่งมักจะแบ่งเป็นการอนุมาน (Deductive Logic) เป็นการอนุมานเอาจาก
ข้อสรุปที่ถูกต้องเหมาะสมแล้วไปอธิบายข้อเท็จจริงปลีกย่อยอื่น ส่วนการ
อุปมาน (Inductive Logic) นันเป็นการคิดหาเหตุผลด้วยการพิจารณาข้อเท็จจริง
้
ปลีกย่อยต่าง ๆ หลาย ๆ ชนิดแล้วสรุปไปหากฎเกณฑ์หรือหลักทัวไปของสิงนัน
่ ่ ้
8 ปรัชญาการศึกษาเบื้องต้น
- 9. การมองปัญหาในปรัชญา
ดังที่ได้กล่าวไว้ในเรื่องของความหมายของปรัชญาว่า ปรัชญาอาจ
หมายถึงการมองปัญหาได้และเป็นที่นิยมกันโดยทั่วไปนั้น ในส่วนนี้จะได้เพิ่ม
เตมวา ลกษณะการมองปญหาในแนวทางของปรชญาเปนอยางไร ซงเปนขอสรป
ิ ่ ั ั ั ็ ่ ึ่ ็ ้ ุ
โดยทั่วไป นักปรัชญาบางคนอาจจะเห็นด้วย บางคนไม่เห็นด้วย แต่ไม่ว่าจะ
เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยเพียงใด นักปรัชญาหรือนักปรัชญาการศึกษาก็มักจะ
ใช้เสมอ คือ
1. มองอย่างวิพากษ์ (Critical and Reflective) คนโดยทั่วไป
จะรับความเชื่อ แนวคิด หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในสังคมไว้เสมอ แต่เขาจะ
ไม่แสดงว่าเป็นปรัชญาขึ้นมา ถ้าหากไม่วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์สิ่งนั้น หรือ
ไม่คิดโต้ตอบสิ่งนั้นให้มากขึ้นลึกซึ้งขึ้นต่อไป นักปรัชญาการศึกษาจะต้อง
มองการศกษาอยางวเิ คราะห์ วจารณสง แนวคด การกระทำตาง ๆ ทางการศกษา
ึ ่ ิ ์ ิ่ ิ � ่ ึ
อยู่เสมอ โดยเหตุนี้ นักปรัชญาจึงมักจะอธิบายว่า ลักษณะส�ำคัญอันหนึ่งของ
ปรัชญาก็คือ การวิพากษ์ (วิทย์ วิศทเวทย์, 2520 : 166)
2. มองเป็นแนวคิดหรือมโนทัศน์ (Concept) บุคคลทั่วไปโดย
เฉพาะผทปฏบตงานประจำอยนนมกจะสนใจและเกยวของกบปญหาและเรองราว
ู้ ี่ ิ ั ิ � ู่ ั้ ั ี่ ้ ั ั ื่
ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ในชีวิตประจ�ำวัน และมองปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเคยชิน
และหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแต่ละครั้งไป แต่นักปรัชญาจะไม่สนใจภาค
ปฏิบัติเหล่านี้หรือสนใจน้อย นักปรัชญาจะมองเป็นแนวคิด และเป็นแนวคิดที่
ค่อนข้างจะต้องเข้าใจด้วยสติปัญญา (Abstract Concepts) เช่น คนทั่วไป
จะสนใจเรื่องราคา เรื่องความต้องการ เรื่องแรงงาน เรื่องเงินเดือน ฯลฯ
แต่นักปรัชญาจะสนใจเรื่องจุดมุ่งหมาย เรื่องประสบการณ์ เรื่องจิตใจ เรื่อง
ธรรมชาติ เป็นต้น (Randall and Buchler, 1942: 4)
ความรู้เกี่ยวกับปรัชญา 9
- 10. 3. มองอย่างครอบคลุม (Comprehensive) การพิจารณาในทาง
ปรัชญานั้น ควรจะครอบคลุมเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอและมากพอ
ปัญหาต่าง ๆ ทีเกิดขึนนั้นมีสาเหตุอะไรบ้าง สาเหตุไหนส�ำคัญมากน้อยแค่ไหน
่ ้
มีทางแก้ปัญหาได้กี่ทาง แต่ละทางเหมาะสม ไม่เหมาะสมอย่างไร นักปรัชญา
ต้องมองครอบคลุมและเข้าใจอย่างเพียงพอ
4. มองอย่างชัดเจนหรือการท�ำให้กระจ่าง (Clarification)
นกปรชญาหรอเนอหาของปรชญาเองกตามจะตองพจารณาอะไรชดเจนแจมแจง
ั ั ื ื้ ั ็ ้ ิ ั ่ ้
ว่าหมายความอย่างไร ไม่มีความคลุมเครือที่ว่า เอกภาพของการศึกษานั้น
หมายความวาอยางไร คนดคออะไร คณภาพคออะไร เหลานเี้ ปนสงทนกปรชญา
่ ่ ี ื ุ ื ่ ็ ิ่ ี่ ั ั
โดยเฉพาะปรัชญาการศึกษาจะต้องมองให้ชัดเจนทั้งในแง่ของความคิดและ
วิธีการ (Clarification of Ideas and Methods) ซึ่งจะต้องอาศัยการวิเคราะห์
วิจารณ์ก่อนเป็นเบื้องต้น
5. ตีความและประเมิน (Interpretation and Evaluation)
นักปรัชญาหรือสิ่งที่ปรัชญาเกี่ยวข้องนั้นไม่เพียงแต่วิพากษ์เป็นแนวคิดและ
ครอบคลุมเท่านัน ยังจะต้องตีความและประเมินออกมาด้วยว่าส�ำคัญ เหมาะสม
้
สอดคล้องเพียงใด โดยเหตุนี้ บางทีจึงมักจะเรียกปรัชญาว่าเป็นการตีความ
หรือให้ค่าแก่ศาสตร์ทั้งหลาย (An Interpretation of Knowledge) และเป็น
การตีความอย่างวิเคราะห์ (Critical Comment and Evaluation) ด้วยพร้อม
กันไป
6. หาความหมายของประสบการณ์มนุษย์ (The Meaning
of Human Experiences) ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ปัญหาอะไรในปรัชญาก็ตาม
สิ่งที่หนีไม่พ้นในการมองหาและพิจารณากันในปรัชญาก็คือ ความหมายของ
10 ปรัชญาการศึกษาเบื้องต้น