SlideShare a Scribd company logo
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย




         คู่มือประกอบสื่ อการสอน วิชาคณิตศาสตร์

                                      เรื่อง

                     ความสั มพันธ์ และฟังก์ ชัน
                        (เนือหาตอนที่ 4)
                            ้
                         ฟังก์ ชันเบืองต้ น
                                     ้

                                      โดย

                 อาจารย์ ดร.รตินันท์ บุญเคลือบ


       สื่ อการสอนชุดนี้ เป็ นความร่ วมมือระหว่ าง
    คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย กับ
สํ านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพืนฐาน (สพฐ.)
                                          ้
                 กระทรวงศึกษาธิการ
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
          สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


                       สื่ อการสอน เรื่อง ความสั มพันธ์ และฟังก์ ชัน
       สื่ อการสอน เรื่ อง ความสัมพันธ์และฟังก์ชน มีจานวนตอนทั้งหมดรวม 16 ตอน ซึ่งประกอบด้วย
                                                ั ํ

1. บทนํา เรื่อง ความสั มพันธ์ และฟังก์ชัน
2. เนือหาตอนที่ 1 ความสั มพันธ์
          ้
                       - แผนภาพรวมเรื่ องความสัมพันธ์และฟังก์ชนั
                       - ผลคูณคาร์ทีเซียน
                       - ความสัมพันธ์
                       - การวาดกราฟของความสัมพันธ์
3. เนือหาตอนที่ 2 โดเมนและเรนจ์
                ้
                       - โดเมนและเรนจ์
                       - การหาโดเมนและเรนจ์โดยการแก้สมการ
                       - การหาโดเมนและเรนจ์โดยการวาดกราฟ
4. เนือหาตอนที่ 3 อินเวอร์ สของความสั มพันธ์ และบทนิยามของฟังก์ชัน
                  ้
                       - อินเวอร์สของความสัมพันธ์
                       - บทนิยามของฟังก์ชน   ั
5. เนือหาตอนที่ 4 ฟังก์ ชันเบืองต้ น
      ้                                ้
                       - ฟั งก์ชนจากเซต A ไปเซต B
                                  ั
                       - ฟังก์ชนทัวถึง
                                    ั ่
                       - ฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง
                                ั
6. เนือหาตอนที่ 5 พีชคณิตของฟังก์ชัน
        ้
                       - พีชคณิ ตของฟังก์ชนั
                       - ตัวอย่างประเภทของฟังก์ชนพื้นฐาน
                                                 ั
7. เนือหาตอนที่ 6 อินเวอร์ สของฟังก์ชันและฟังก์ชันอินเวอร์ ส
              ้
                       - อินเวอร์สของฟังก์ชนละฟังก์ชนอินเวอร์ส
                                               ั    ั
                       - กราฟของฟังก์ชนอินเวอร์ส
                                         ั
8. เนือหาตอนที่ 7 ฟังก์ชันประกอบ
            ้
                       - ฟังก์ชนประกอบ
                                     ั
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
             สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

                           - โดเมนและเรนจ์ของฟังก์ชนประกอบ
                                                      ั
                           - สมบัติของฟังก์ชนประกอบ
                                             ั
 9. แบบฝึ กหัด (พืนฐาน 1)
                   ้
10. แบบฝึ กหัด (พืนฐาน 2)
                     ้
11. แบบฝึ กหัด (ขั้นสู ง)
12. สื่ อปฏิสัมพันธ์ เรื่อง ความสั มพันธ์ และฟังก์ชัน
13. สื่ อปฏิสัมพันธ์ เรื่อง อินเวอร์ สของความสั มพันธ์ และฟังก์ ชันอินเวอร์ ส
14. สื่ อปฏิสัมพันธ์ เรื่อง โดเมนและเรนจ์
15. สื่ อปฏิสัมพันธ์ เรื่อง พีชคณิตและการประกอบของฟังก์ชัน
16. สื่ อปฏิสัมพันธ์ เรื่อง การเลือนแกน
                                  ่

         คณะผูจดทําหวังเป็ นอย่างยิงว่า สื่ อการสอนชุดนี้ จะเป็ นประโยชน์ต่อการเรี ยนการสอนสําหรับ
                ้ั                     ่
 ครู และนักเรี ยนทุกโรงเรี ยนที่ใช้สื่อชุดนี้ร่วมกับการเรี ยนการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ เรื่ อง ความสัมพันธ์
 และฟั ง ก์ชัน นอกจากนี้ หากท่ านสนใจสื่ อ การสอนวิ ชาคณิ ต ศาสตร์ ใ นเรื่ อ งอื่ นๆที่ ค ณะผูจ ัด ทํา ได้
                                                                                               ้
 ดําเนินการไปแล้ว ท่านสามารถดูชื่อเรื่ อง และชื่อตอนได้จากรายชื่อสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ท้ งหมด ั
                   ่
 ในตอนท้ายของคูมือฉบับนี้
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
               สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เรื่อง               ความสัมพันธ์และฟังก์ชน
                                          ั
หมวด                 เนื้อหา
ตอนที่               4 (4/7)

หัวข้ อย่ อย             1. ฟังก์ชนจากเซต A ไปเซต B
                                                ั
                         2. ฟังก์ชนทัวถึง      ั ่
                         3. ฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง
                                             ั
จุดประสงค์ การเรียนรู้
     เพื่อให้ผเู ้ รี ยน
     1. เข้าใจบทนิยามของฟังก์ชนจากเซต A ไปเซต B              ั
                                                     ั ํ
     2. ตรวจสอบว่าฟังก์ชนที่กาหนดให้เป็ นฟังก์ชนจากเซต A ไปเซต B หรื อไม่
                                                                 ั
                                           ั                       ํ
     3. ยกตัวอย่างฟังก์ชนจากเซต A ไปเซต B ที่กาหนดให้ได้ และนับจํานวนฟังก์ชนที่เป็ นไปได้
                                                                                   ั
ทั้งหมด จากเซต A ไปเซต B ที่เป็ นเซตจํากัดทั้งคู่ได้
     4. เข้าใจบทนิยามของฟังก์ชนทัวถึง                     ั ่
     5. ยกตัวอย่างฟังก์ชนทัวถึงจากเซต A ไปเซต B ที่กาหนดให้ได้
                                          ั ่                              ํ
     6. เข้าใจบทนิยามของฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง               ั
                                     ั                                         ํ
     7. ยกตัวอย่างฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งจากเซต A ไปเซต B ที่กาหนดให้ได้ และนับจํานวนฟังก์ชน        ั
หนึ่งต่อหนึ่งที่เป็ นไปได้ท้ งหมด จากเซต A ไปเซต B ที่เป็ นเซตจํากัดทั้งคู่ได้
                                                  ั
                                                    ั ํ
     8. ตรวจสอบว่าฟังก์ชนที่กาหนดให้เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งหรื อไม่โดยใช้วิธีเชิงพีชคณิ ตหรื อ
                                                               ั
โดยใช้กราฟของฟังก์ชนได้        ั
ผลการเรียนรู้ทคาดหวัง ี่
     ผูเ้ รี ยนสามารถ
                                   ่                    ั ํ                      ํ
     1. ตรวจสอบได้วาฟังก์ชนที่กาหนดให้เป็ นฟังก์ชนจากเซต A ไปเซต B ที่กาหนดให้หรื อไม่ได้
                                                                        ั
                                       ั                             ํ
     2. ยกตัวอย่างฟังก์ชนจากเซต A ไปเซต B ที่กาหนดให้ได้ และนับจํานวนฟังก์ชนที่เป็ นไปได้
                                                                                     ั
ทั้งหมด จากเซต A ไปเซต B ที่เป็ นเซตจํากัดทั้งคู่ได้
                                 ่                     ั ํ
     3. ตรวจสอบได้วาฟังก์ชนที่กาหนดให้เป็ นฟังก์ชนทัวถึงจากเซต A ไปเซต B ที่กาหนดให้
                                                                       ั ่             ํ
หรื อไม่ได้
     4. ยกตัวอย่างฟังก์ชนทัวถึงจากเซต A ไปเซต B ที่กาหนดให้ได้
                                         ั ่                                 ํ
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
               สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

                                   ั ํ
         5. ตรวจสอบว่าฟังก์ชนที่กาหนดให้เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งหรื อไม่โดยใช้วิธีเชิงพีชคณิ ตหรื อ
                                                    ั
    โดยใช้กราฟของฟังก์ชนได้ ั
                               ั                                  ํ
         6. ยกตัวอย่างฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งจากเซต A ไปเซต B ที่กาหนดให้ได้ และนับจํานวนฟังก์ชน        ั
    หนึ่งต่อหนึ่งที่เป็ นไปได้ท้ งหมด จากเซต A ไปเซต B ที่เป็ นเซตจํากัดทั้งคู่ได้
                                 ั



 
                               
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
    สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 
                                      เนือหาในสื่ อ 
                                         ้
 




                                                                                       
 
 




                                                                                       
                    
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย




                  1. ฟังก์ ชันจากเซต A ไปเซต B
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                   สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

                                                           ่
ก่อนอื่นครู ควรทบทวนเพื่อตรวจสอบว่านักเรี ยนเข้าใจหรื อไม่วาฟังก์ชนเป็ นความสัมพันธ์แบบหนึ่ง ที่มีสมบัติพิเศษ
                                                                  ั
กล่าวคือสมาชิกตัวหน้าของความสัมพันธ์ที่เป็ นฟังก์ชนนั้นจะไม่ถูกใช้ซ้ า และอาจทบทวนนักเรี ยนให้ยอนนึกไปถึง
                                                    ั                ํ                           ้
ความสัมพันธ์จากเซต A ไปเซต B เพื่อบ่งบอกให้แน่ชดว่าสมาชิกตัวหน้าและสมาชิกตัวหลังของคูอนดับใน
                                                      ั                                      ่ ั
ความสัมพันธ์จะมาจากเซตใด ดังนั้นในฐานะที่ฟังก์ชนเป็ นความสัมพันธ์แบบหนึ่งการกําหนดว่าสมาชิกตัวหน้าและ
                                                  ั
สมาชิกตัวหลังของคู่อนดับในฟังก์ชนมาจากเซตใด จึงทําได้ในทํานองเดียวกันกับความสัมพันธ์หากแต่มีเงื่อนไข
                       ั               ั
บางอย่างเพิ่มเติม ซึ่งได้กล่าวถึงในสื่ อตอนนี้ 
 




                                                                                                           
 
เมื่อมาถึงตอนนี้ครู อาจยํ้าอีกครั้งว่า ความสัมพันธ์ r จากเซต A ไปเซต B มีเงื่อนไขเพียง Dr Ì A และ
Rr Ì B ในขณะที่ฟังก์ชน f : A  B ต้องมีเงื่อนไขที่สาคัญคือ Df = A และ Rf Ì B นอกจากนี้ ครู อาจ
                            ั                               ํ
ให้นกเรี ยนช่วยกันยกตัวอย่างเซต A และเซต B และฟังก์ชนจากเซต A ไปเซต B ดังกล่าว ทั้งนี้อาจให้
      ั                                                       ั
นักเรี ยนลองนึกถึงเซต A หรื อเซต B ที่เป็ นเซตอนันต์
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                  สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในตอนนี้ได้ต้งข้อสังเกตต่างๆ เกี่ยวกับฟังก์ชนจาก เซต A ไปเซต B และการนับจํานวนฟังก์ชนทั้งหมดที่
             ั                              ั                                       ั
เป็ นไปได้จาก เซต A ไปเซต B เมื่อทั้งคู่เป็ นเซตจํากัด
 




                                                                                                       
 




                                                                                                       
 
เมื่อถึงตอนนี้ครู อาจให้นกเรี ยนช่วยกันอภิปรายหากเซต A หรื อเซต B เป็ นเซตว่างแล้วจะมีฟังก์ชนจากเซต A ไป
                         ั                                                                    ั
เซต B หรื อไม่ ถ้าหากมีฟังก์ชนนั้นคือเซตใด  
                                ั
 
สําหรับการนับจํานวนฟังก์ชนทั้งหมดที่เป็ นไปได้จากเซต A ไปเซต B เมื่อทั้งคู่เป็ นเซตจํากัดนั้น หากนักเรี ยน
                              ั
ยังไม่เข้าใจในทีแรกครู อาจแบ่งการอธิบายเป็ นขั้นๆ ดังนี้ 
     1. ให้ n(A) = 1 แล้วค่อยๆ เพิม n(B ) จาก 1 เป็ น 2 เป็ น 3 เรื่ อยไปจนเป็ นจํานวนนับ m ใดๆ  
                                      ่
     2. ให้ n(B ) = 1 แล้วค่อยๆ เพิ่ม n(A) จาก 1 เป็ น 2 เป็ น 3 เรื่ อยไปจนเป็ นจํานวนนับ n ใดๆ  
     3. ให้ n(A) = n และ n(B ) = m เมื่อ n และ m เป็ นจํานวนนับใดๆ  
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                    สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สําหรับการนับจํานวนฟังก์ชนทั้งหมดที่เป็ นไปได้จากเซต A ไปเซต B เมื่อทั้งคูเ่ ป็ นเซตจํากัดที่อธิบายไว้ใน
                                ั
สื่ อนั้น แท้จริ งแล้วใช้หลักการคูณ ซึ่งเป็ นหลักการนับเบื้องต้นที่กล่าวว่า หากงานชิ้นใหญ่หนึ่งสามารถแบ่ง
ออกเป็ นงานย่อยๆ ได้ k งาน โดยแต่ละงานย่อยมีจานวนวิธีในการทํางานย่อยให้สาเร็ จเป็ น
                                                     ํ                                 ํ
n1, n2 , n 3 , ..., nk  วิธี ตามลําดับแล้ว จํานวนวิธีที่จะทํางานชิ้นใหญ่น้ นให้สาเร็ จจะเป็ น n1n2n 3 nk วิธี
                                                                             ั   ํ
ซึ่งรายละเอียดสําหรับหลักการนับเบื้องต้นนี้นกเรี ยนจะได้ศึกษาในสื่ อชุดการนับและความน่าจะเป็ นโดย
                                                 ั
อาจารย์ณฐกาญจน์ต่อไป  
                ั
 
เมื่อนักเรี ยนเข้าใจเรื่ องการนับจํานวนฟังก์ชนทั้งหมดที่เป็ นไปได้จากเซต A ไปเซต B เมื่อทั้งคู่เป็ นเซตจํากัด
                                              ั
แล้วครู อาจยกตัวอย่างเหล่านี้เพิ่มเติม 
 
ตัวอย่ าง 1 ถ้า A = {1, 2, 3, 4, 5, 6} และ B = {1, 2, 3} แล้วจงหาจํานวนฟังก์ชน f : A  B    ั
ทั้งหมดซึ่ง f (1) = 1 และ f (2) = 2  
 
          ํ                ่
วิธีทา จากโจทย์จะได้วา Df = A และ (1,1) และ (2, 2) Î f นันคือ       ่
 f = {(1,1), (2,2), (3,), (4,), (5,), (6,)} ดังนั้นในการสร้างฟั งก์ชน f ต้องนําสมาชิกของ B มา
                                                                                   ั
            ่ ั
จับคูกบ 3, 4, 5 และ 6 ตามลําดับ ซึ่งตัวเลขทั้งสี่ น้ ีสามารถจับคู่กบสมาชิกของ B ได้ตวละ 3 วิธี ดังนั้นจะ
                                                                      ั                         ั
      ่
ได้วาจํานวนฟังก์ชน f : A  B ทั้งหมดซึ่ง f (1) = 1 และ f (2) = 2 คือ 34 = 81 ฟังก์ชน 
                      ั                                                                           ั
 
ตัวอย่ าง 2 ถ้า A = {1, 2, 3, 4, 5, 6} และ B = {1, 2, 3} แล้วจงหาจํานวนฟังก์ชน f : A  B      ั
ทั้งหมดซึ่ง f (1) ¹ 1 หรื อ f (2) ¹ 2  
 
วิธีทา เนื่องจากจํานวนฟังก์ชน f : A  B ทั้งหมดซึ่ง f (1) ¹ 1 หรื อ f (2) ¹ 2 คือ จํานวนฟังก์ชน
        ํ                         ั                                                                     ั
 f : A  B ทั้งหมดที่นา f : A  B ซึ่ ง f (1) = 1 และ f (2) = 2 ออกไป ดังนั้นจํานวนฟั งก์ชน
                             ํ                                                                        ั
 f : A  B ทั้งหมดซึ่ ง f (1) ¹ 1 หรื อ f (2) ¹ 2 คือ 36 - 81 = 648 ฟั งก์ชน         ั
 
 
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                  สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

                        แบบฝึ กหัดเพิมเติมเรื่องฟังก์ ชันจากเซต A ไปเซต B  
                                     ่
1. กําหนดให้ A = {1, 2, 3} และ P (A) คือพาวเวอร์เซตของ A จํานวนฟังก์ชนทั้งหมดที่เป็ นไปได้จากเซต
                                                                           ั
A ไปเซต P (A) มีมากกว่าหรื อน้อยกว่าจํานวนฟั งก์ชนทั้งหมดที่เป็ นไปได้จากเซต P (A) ไป A อยูกี่ฟังก์ชน  
                                                  ั                                        ่        ั
2. สําหรับจํานวนนับ n และ m ใดๆ จงแสดงว่า m n £ 2nm และ n m £ 2nm  
3. กําหนดให้ A = {1, 2, 3, 4, 5, 6} และ B = {x Î  || x | £ 6} จงหาจํานวนสมาชิกของเซต
{f : A  B | x  หาร f (x ) ลงตัว ทุก x Î A}  
4. กําหนดให้ A = {1, 2, 3, 4, 5, 6},   B = {{1}, {2}, {3}, {4}, {5}, {6}}, และ
F = {f : A  B | x Ï f (x ) ทุก x Î A} จงหาจํานวนสมาชิกของ F   
5. กําหนดให้ A = {1, 2, 3, 4} และ S = {f : A  A | f (x ) > x - 1 ทุก x Î A} จงหาจํานวนสมาชิก
ของ S  

 
                                  
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย




                             2. ฟังก์ ชันทัวถึง
                                           ่
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                  สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในช่วงนี้ได้อธิบายบทนิยามของฟังก์ชนจากเซต A ไปทัวถึงเซต B จากนั้นได้ต้ งข้อสังเกตเกี่ยวกับจํานวน
                                  ั              ่                      ั
สมาชิกของเซต A และเซต B ที่มีผลต่อการมีอยูของฟังก์ชนจากเซต A ไปทัวถึงเซต B เมื่อทั้งคู่เป็ นเซต
                                            ่       ั                 ่
จํากัด และยกตัวอย่างการนับจํานวนฟังก์ชนจากเซต A ไปทัวถึงเซต B เมื่อทั้งคู่เป็ นเซตจํากัด  
                                      ั               ่
 




                                                                                                     
 




                                                                                                     
 




                                                                                        
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                   สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เมื่อมาถึงตรงนี้ครู ควรยํ้าว่าข้อสังเกตที่ได้ต้ งไว้ในสื่ อนั้น บอกเพียงว่าสําหรับเซต A และเซต B ที่เป็ นเซต
                                                ั
จํากัด ถ้า n(A) < n(B ) แล้วจะไม่มีฟังก์ชน  f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนทัวถึง จากนั้นครู ควรชวนนักเรี ยนให้
                                                    ั                           ั ่
ช่วยกันอภิปรายว่า แล้วในกรณี ที่ n(A) ³ n(B ) จะหาฟังก์ชน  f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนทัวถึงได้อย่างน้อย
                                                                   ั                        ั ่
หนึ่งฟังก์ชนเสมอหรื อไม่ ถ้าหาได้ให้นกเรี ยนช่วยกันยกตัวอย่างประกอบ 
            ั                               ั
  
ครู ควรให้นกเรี ยนช่วยกันอภิปรายต่อในประเด็นต่างๆ เช่น 
              ั
     1. สําหรับเซต A และเซต B ที่เป็ นเซตจํากัด หากมีฟังก์ชน f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนทัวถึงแล้วจะ
                                                                       ั                      ั ่
          เปรี ยบเทียบ n(A) กับ n(B ) ได้หรื อไม่ ถ้าได้ผลของการเปรี ยบเทียบเป็ นอย่างไร  
     2. หากเซต A เป็ นเซตอนันต์และเซต B เป็ นเซตจํากัดแล้วจะมี f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนทัวถึงได้   ั ่
          หรื อไม่ 
     3. หากเซต A เป็ นเซตจํากัดและเซต B เป็ นเซตอนันต์แล้วจะมี f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนทัวถึงได้    ั ่
          หรื อไม่ 
     4. หาก A เป็ นเซตจํากัดและมีฟังก์ชน f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนทัวถึง แล้วเซต B เป็ นเซตจํากัดหรื อ
                                                  ั                            ั ่
          เซตอนันต์หรื อสรุ ปไม่ได้ 
     5. หาก B เป็ นเซตอนันต์และมีฟังก์ชน f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนทัวถึง แล้วเซต A เป็ นเซตจํากัดหรื อ
                                                      ั                          ั ่
          เซตอนันต์หรื อสรุ ปไม่ได้ 
เป็ นต้น 
 
สําหรับการนับจํานวนฟังก์ชนจากเซต A ไปทัวถึงเซต B ในกรณี ที่ท้ งคู่เป็ นเซตจํากัดและ B มีสมาชิกเป็ น
                                  ั                     ่                    ั
จํานวนมากนั้นเป็ นเรื่ องยาก แต่ยงสามารถอาศัยแนวคิดในตัวอย่างที่ยกไว้ในสื่ อในการนับจํานวนฟังก์ชน
                                    ั                                                                     ั
ดังกล่าวได้ อย่างไรก็ดีสาหรับนักเรี ยนที่สนใจครู อาจยกตัวอย่างนี้เพิ่มเติม 
                           ํ
 
ตัวอย่ าง 3 ให้ A = {1, 2, 3, 4} และ B = {a, b, c} จงหาจํานวนฟังก์ชนจากเซต A ไปทัวถึงเซต B
                                                                                     ั            ่
ทั้งหมดที่เป็ นไปได้ 
 
วิธีทา จํานวนฟังก์ชนจากเซต A ไปทัวถึงเซต B ทั้งหมดที่เป็ นไปได้  
     ํ               ั                    ่
        = จํานวนฟั งก์ชนจากเซต A ไปเซต B ทั้งหมดที่เป็ นไปได้  
                         ั
           - จํานวนฟั งก์ชนจากเซต A ไปเซต B ทั้งหมดที่เรนจ์มีสมาชิกตัวเดียว  
                              ั
           - จํานวนฟั งก์ชนจากเซต A ไปเซต B ทั้งหมดที่เรนจ์มีสมาชิกสองตัว 
                                ั
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                    สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จากตัวอย่างในสื่ อทําให้ทราบว่าจํานวนฟังก์ชนจากเซต A ไปเซต B ทั้งหมดที่เรนจ์มีสมาชิกตัวเดียว = 3
                                            ั
         ั                    ั                                                               ่
ฟังก์ชน สําหรับจํานวนฟังก์ชนจากเซต A ไปเซต B ทั้งหมดที่เรนจ์มีสมาชิกสองตัวนั้น สมมติวาสมาชิกสอง
ตัวดังกล่าวคือ a และ b ดังนั้นการหาจํานวนฟังก์ชนจากเซต A ไปเซต B ทั้งหมดที่เรนจ์มีสมาชิกสองตัว จะ
                                                       ั
เหมือนกับการหาจํานวนฟังก์ชนจากเซต A ไปทัวถึงเซต {a, b} ซึ่งจากตัวอย่างในสื่ อจะได้วามีอยู่ 14
                                ั                  ่                                      ่
ฟังก์ชน ในทํานองเดียวกันจะสามารถเปลี่ยนเรนจ์ที่มีสมาชิกสองตัวให้เป็ น {a, c} และ {b, c} ดังนั้นจํานวน
       ั
ฟังก์ชนจากเซต A ไปเซต B ทั้งหมดที่เรนจ์มีสมาชิกสองตัว = 3 ´ 14 = 42 ฟังก์ชน ทําให้ได้วาจํานวน
           ั                                                                        ั           ่
ฟังก์ชนจากเซต A ไปทัวถึงเซต B ทั้งหมดที่เป็ นไปได้ = 34 - 3 - 42 = 36 ฟังก์ชน 
             ั             ่                                                          ั
 
                                                 ั                ่
นอกจากนี้ครู อาจยกตัวอย่างเพิ่มเติมโดยใช้ฟังก์ชนจากสื่ อตอนที่ผานๆ มาเพื่อให้นกเรี ยนช่วยกันพิจารณาว่าเป็ น
                                                                              ั
ฟังก์ชนจากเซตใดไปทัวถึงเซตใด ซึ่งตอบได้ง่ายๆ จากการพิจารณาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์นนเอง  
               ั         ่                                                                        ั่
 
                                     แบบฝึ กหัดเพิมเติมเรื่องฟังก์ชันทัวถึง 
                                                     ่                 ่
จงระบุวาฟังก์ชนที่กาหนดให้ต่อไปนี้เป็ นฟังก์ชนจากเซตใดไปทัวถึงเซตใด  
                 ่ ั ํ                         ั                ่
1. f (x ) = x 2 เมื่อ -1 < x £ 3  
2. f (x ) = | x | เมื่อ -3 £ x < 1  
3.   f (x ) = 2x 2 - 1    
                x
4. f (x ) =   2
                      
              x -1
                  ì
                  ï    1ü
                        ï
5.   f (x ) = min ïx , ï
                  í     ý     
                  ï xï
                  ï
                  î     ï
                        þ
 
 
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย




                        3. ฟังก์ ชันหนึ่งต่ อหนึ่ง
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                   สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในช่วงนี้ได้อธิบายถึงบทนิยามของฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งจากเซต A ไปเซต B จากนั้นได้ต้ งข้อสังเกตเกี่ยวกับ
                                     ั                                           ั
                                                     ่
จํานวนสมาชิกของเซต A และเซต B ที่มีผลต่อการมีอยูของฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งจากเซต A ไปเซต B เมื่อทั้ง
                                                            ั
คูเ่ ป็ นเซตจํากัด  
      




                                                                                                                
 




                                                                                                                
 
เมื่อมาถึงตรงนี้ครู ควรยํ้าว่าข้อสังเกตที่ได้ต้ งไว้ในสื่ อนั้น บอกเพียงว่าสําหรับเซต A และเซต B ที่เป็ นเซต
                                                ั
จํากัด ถ้า n(A) > n(B ) แล้วจะไม่มีฟังก์ชน  f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง จากนั้นครู ควรชวน
                                                  ั                           ั
นักเรี ยนให้ช่วยกันอภิปรายว่า แล้วในกรณี ที่ n(A) £ n(B ) จะหาฟังก์ชน  f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อ
                                                                                ั                       ั
หนึ่งได้อย่างน้อยหนึ่งฟังก์ชนเสมอหรื อไม่ ถ้าหาได้ให้นกเรี ยนช่วยกันยกตัวอย่างประกอบ  
                               ั                                ั
 
 
 
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                   สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในช่วงนี้ได้อธิบายการนับจํานวนฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งที่เป็ นไปได้ท้ งหมดจากเซต A ไปเซต B เมื่อทั้งคู่เป็ น
                                    ั                             ั
เซตจํากัด และ n(A) £ n(B )  
 




                                                             
สําหรับการนับจํานวนฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งที่เป็ นไปได้จากเซต A ไปเซต B เมื่อทั้งคู่เป็ นเซตจํากัดนั้น หาก
                             ั
นักเรี ยนยังไม่เข้าใจในทีแรกครู อาจแบ่งการอธิบายเป็ นขั้นๆ ดังนี้ 
      1. ให้ n(A) = 1 แล้วค่อยๆ เพิ่ม n(B ) จาก 1 เป็ น 2 เป็ น 3 เรื่ อยไปจนเป็ นจํานวนนับ m ใดๆ 
      2. ให้ n(A) = 2 แล้วค่อยๆ เพิ่ม n(B ) จาก 2 เป็ น 3 เป็ น 4 เรื่ อยไปจนเป็ นจํานวนนับ m ใดๆ  
      3. ให้ n(A) = n และ n(B ) = m เมื่อ n และ m เป็ นจํานวนนับใดๆ ที่ n £ m  
 
การนับจํานวนฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งที่เป็ นไปได้ท้ งหมดจากเซต A ไปเซต B เมื่อทั้งคู่เป็ นเซตจํากัดที่อธิบายใน
                       ั                            ั
สื่ อนั้นอาศัยหลักการคูณเช่นเดียวกัน ยิงไปกว่านั้นจํานวนฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งที่เป็ นไปได้ท้ งหมดจากเซต A
                                         ่                       ั                            ั
ไปเซต B เมื่อทั้งคู่เป็ นเซตจํากัดที่ได้น้ น เท่ากับจํานวนการจัดเรี ยงสิ่ งของที่แตกต่างกัน m สิ่ งโดยเลือกมา
                                           ั
จัดเรี ยงในแนวเส้นตรงเพียง n สิ่ ง ซึ่งรายละเอียดของหลักการนับ และการจัดเรี ยงสิ่ งของนั้นนักเรี ยนจะได้
ศึกษาในสื่ อเรื่ องการนับและความน่าจะเป็ นโดยอาจารย์ณฐกาญจน์  
                                                           ั
 
ครู ควรให้นกเรี ยนช่วยกันอภิปรายต่อในประเด็นต่างๆ เช่น 
              ั
      1. สําหรับเซต A และเซต B ที่เป็ นเซตจํากัด หากมีฟังก์ชน f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งแล้ว
                                                                    ั                           ั
          จะเปรี ยบเทียบ n(A) กับ n(B ) ได้หรื อไม่ ถ้าได้ผลของการเปรี ยบเทียบเป็ นอย่างไร  
      2. หากเซต A เป็ นเซตอนันต์และเซต B เป็ นเซตจํากัดแล้วจะมี f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง
                                                                                                    ั
          ได้หรื อไม่ 
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                   สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

     3. หากเซต A เป็ นเซตจํากัดและเซต B เป็ นเซตอนันต์แล้วจะมี f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง
                                                                                         ั
          ได้หรื อไม่ 
     4. หาก A เป็ นเซตจํากัดและมีฟังก์ชน f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง แล้วเซต B เป็ นเซตจํากัด
                                              ั                  ั
          หรื อเซตอนันต์หรื อสรุ ปไม่ได้ 
     5. หาก B เป็ นเซตอนันต์และมีฟังก์ชน f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง แล้วเซต A เป็ นเซต
                                                ั                  ั
          จํากัดหรื อเซตอนันต์หรื อสรุ ปไม่ได้ 
เป็ นต้น 
 
เมื่อมาถึงตอนนี้ครู อาจยกตัวอย่างเหล่านี้เพิมเติม 
                                            ่
 
ตัวอย่ าง 4 กําหนดให้ A เป็ นเซตจํากัดใดๆ ที่ไม่ใช่เซตว่าง จงหาจํานวนฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งทั้งหมดที่เป็ นไป
                                                                               ั
ได้จากเซต A ไปพาวเวอร์เซตของ A  
 
วิธีทา เนื่องจากพาวเวอร์เซตของ A มีสมาชิก 2n (A) ตัว ซึ่งมากกว่า n(A) เสมอ (ทําไม) ดังนั้นจํานวนฟังก์ชน
     ํ                                                                                                    ั
หนึ่งต่อหนึ่งทั้งหมดที่เป็ นไปได้จากเซต A ไปพาวเวอร์เซตของ A เท่ากับ
2n (A)(2n (A) - 1)(2n (A) - 2)(2n (A) - (n(A) - 1)) ฟั งก์ชน 
                                                             ั
    
ตัวอย่ าง 5 กําหนดให้ A = {1, 2} และ B = {1, 2, 3, ..., 10} จงหาจํานวนสมาชิกของเซต  
{f : A  B | f เป็ นฟั งก์ชนหนึ่ งต่อหนึ่ ง และ มี x Î A ซึ่ ง f (x ) = x }  
                               ั
 
วิธีทา จากโจทย์จะสามารถแยกพิจารณาเป็ นสองกรณี ได้ดงนี้  
       ํ                                                 ั
                      ่                                                                          ่ ั
กรณี x = 1 จะได้วา f = {(1,1), (2,)} เนื่องจาก f เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง ดังนั้น 2 จะจับคูกบ 1 ด้วย
                                                                     ั
ฟังก์ชน f อีกไม่ได้ ทําให้มีจานวนวิธีที่จะนําตัวเลขในเซต B มาจับคู่กบ 2 เพียง 9 วิธี 
           ั                       ํ                                     ั
                        ่                                                                         ่ ั
กรณี x = 2 จะได้วา f = {(1,), (2,2)} เนื่องจาก f เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง ดังนั้น 1 จะจับคูกบ 2 ด้วย
                                                                       ั
ฟังก์ชน f อีกไม่ได้ ทําให้มีจานวนวิธีที่จะนําตัวเลขในเซต B มาจับคู่กบ 1 เพียง 9 วิธี 
         ั                           ํ                                     ั
อย่างไรก็ดีท้ งสองกรณี น้ ีมีการนับ f = {(1,1), (2,2)} ซํ้ากันสองครั้ง ดังนั้นจํานวนสมาชิกของเซต  
              ั
{f : A  B | f เป็ นฟั งก์ชนหนึ่ งต่อหนึ่ ง และ มี x Î A ซึ่ ง f (x ) = x } เท่ากับ 9 + 9 - 1 = 17 ตัว 
                                 ั
 
 
                                        
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                           สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

                                        ั ํ
ในช่วงนี้ได้อธิบายถึงการตรวจสอบว่าฟังก์ชนที่กาหนดให้เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งหรื อไม่ โดยวิธีเชิงพีชคณิ ตและ
                                                               ั
โดยการวาดกราฟ 
 




                                                                                                                                                       
 
เมื่อถึงตอนนี้ครู อาจตั้งข้อสังเกตให้นกเรี ยนเห็นว่าหากฟังก์ชนที่กาหนดมาให้น้ นมีพจน์ที่เกี่ยวข้องกับ | x |
                                         ั                      ั ํ               ั
หรื อ x n เมื่อ n เป็ นจํานวนคู่ ฟังก์ชนเหล่านั้นมีสิทธิ์จะไม่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งสูง เนื่องจาก ค่าของ x ที่
                                       ั                                 ั
เป็ นน้อยกว่าศูนย์ หรื อมากกว่าศูนย์ เมื่อแทนค่าในพจน์ดงกล่าวแล้วจะมีค่ามากกว่าศูนย์ท้ งสิ้ น ทําให้ได้วา
                                                           ั                                 ั             ่
สมาชิกตัวหน้าสองตัวที่ต่างกันมีสิทธิ์จะไปจับคู่กบสมาชิกตัวหลังตัวเดียวกันได้ ทั้งนี้ตองพิจารณาเงื่อนไขอื่นๆ
                                                    ั                                     ้
ที่เกี่ยวกับฟังก์ชนที่กาหนดให้อย่างรอบคอบก่อน ดังเช่นตัวอย่างนี้ 
                  ั ํ
 
                                                       x3
ตัวอย่ าง 6 จงพิจารณาว่าฟังก์ชน f (x ) =
                              ั                              เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งหรื อไม่ 
                                                                        ั
                                                      |x |
 
                                                                                         x 13        x 23
                                      ่
วิธีทา สําหรับ x 1 และ x 2 Î Df สมมติวา f (x1 ) = f (x1 ) นันคือ
     ํ                                                      ่                                    =             
                                                                                        | x1 |       | x2 |
                                                                                            x 13          x 23
                                                               ่
กรณี ( x1 > 0 และ x 2 > 0 ) หรื อ ( x1 < 0 และ x 2 < 0 ) จะได้วา                                     =             ส่ งผลให้
                                                                                           | x1 |         | x2 |
         x 13       x 23
x = 1
     2
                =          = x 22   ทําให้ x1 = x 2  
         x1         x2
                                               x 13          x 23                           x 13            x 23
                              ่
กรณี x1 > 0 และ x 2 < 0 จะได้วา                        =              ส่ งผลให้     2
                                                                                  x =
                                                                                   1
                                                                                                    =-             = -x 22      ซึ่งเกิดข้อขัดแย้ง 
                                              | x1 |         | x2 |                         x1              x2
                                               x 13          x 23                                  x 13       x 23
                              ่
กรณี x1 < 0 และ x 2 > 0 จะได้วา                        =              ส่ งผลให้   -x 12 = -               =            = x 22   ซึ่งเกิดข้อขัดแย้ง 
                                              | x1 |         | x2 |                                 x1            x2
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                    สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

                   ํ      ่
จากทั้งสามกรณี ทาให้ได้วาถ้า f (x1 ) = f (x1 ) แล้ว x1 = x 2 แสดงว่า f เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง ซึ่งสามารถ
                                                                                  ั
พิจารณาได้จากกราฟของฟังก์ชนนี้เช่นกัน 
                                ั
                                                                                 4

    
 
                                                                                 2

   
 
                                                          -2         -1                    1         2

 
                                                                                -2


 
                                                                                -4



 
                                       ั               ่
เมื่อมาถึงตอนนี้ครู อาจยกตัวอย่างฟังก์ชนจากสื่ อตอนที่ผานๆ มาเพื่อให้นกเรี ยนช่วยกันตรวจสอบว่าเป็ นฟังก์ชน
                                                                       ั                                   ั
หนึ่งต่อหนึ่งหรื อไม่ นอกจากนี้ครู อาจยกตัวอย่างต่อไปนี้เพิ่มเติม 
 
ตัวอย่ าง 6 จงพิจารณาว่าฟังก์ชน f (x ) = | 2x - 1 | +3 เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งหรื อไม่ 
                              ั                                    ั
 
วิธีทา เนื่องจาก (0, 4) Î f และ (1, 4) Î f แต่ 0 ¹ 1 ดังนั้น f ไม่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง ทั้งนี้อาจสังเกต
     ํ                                                                       ั
ได้จากกราฟ 
                                                    4.0




                                                    3.8




                                                    3.6




                                                    3.4




                                                    3.2




                                                               0.2        0.4        0.6       0.8       1.0
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                    สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ซึ่งเห็นได้ชดว่ามีเส้นตรงที่ขนานกับแกน X ตัดกราฟ y = f (x ) มากกว่าหนึ่งจุด
            ั

ตัวอย่ าง 8 จงพิจารณาว่าฟังก์ชน f (x ) = x 3 เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งหรื อไม่ 
                              ั                         ั
 
                                    ่                                    ่
วิธีทา ให้ x1 และ x 2 Î Df สมมติวา x13 = f (x1 ) = f (x 2 ) = x 23 จะได้วา x1 = x 2 และ f เป็ นฟังก์ชนหนึ่ง
     ํ                                                                                               ั
ต่อหนึ่ง สําหรับฟังก์ชนนี้นกเรี ยนสามารถลองลงรอยทางเดินของจุดเพือร่ างกราฟได้ดงรู ป
                      ั ั                                           ่            ั
                                                                     1.0




                                                                     0.5




                                                - 1.0       - 0.5                  0.5     1.0




                                                                    - 0.5




                                                                    - 1.0




จากกราฟเห็นได้ชดว่าเส้นตรงทั้งหลายที่ขนานกับแกน X ตัดกราฟของฟังก์ชนนี้เพียงจุดเดียวเท่านั้นแสดงว่า f
                   ั                                              ั
เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง
           ั


ตัวอย่ าง 7 จงพิจารณาว่าฟังก์ชน f (x ) = ax + b เมื่อ a,
                              ั                                             b, c   และ d เป็ นจํานวนจริ งที่ c และ d ไม่เป็ นศูนย์
                                             cx + d
พร้อมกัน จงหาเงื่อนไขเพิ่มเติมของ a,       b, c         และ d ที่ทาให้ f เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง
                                                                  ํ                 ั

                                           ax 1 + b                                      ax 2 + b
     ํ                           ่
วิธีทา ให้ x1 และ x 2 Î Df สมมติวา                        = f (x 1 ) = f (x 2 ) =                   ดังนั้น
                                           cx 1 + d                                      cx 2 + d
                                                           นันคือ (ad - bc)x1 = (ad - bc)x 2 จะได้วา
acx 1x 2 + adx 1 + bcx 2 + bd = acx 1x 2 + bcx 1 + adx 2 + bd่                                           ่
                      ่
หาก ad - bc ¹ 0 จะได้วา x1 = x 2 และ f เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง ดังนั้นเงื่อนไขเพิ่มเติมคือ ad - bc ¹ 0
                                                  ั
พึงสังเกตว่า ad - bc ¹ 0 ก็ต่อเมื่อ a       ¹
                                                b
                                       c        d
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                                  สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

                                  แบบฝึ กหัดเพิมเติมเรื่องฟังก์ ชันหนึ่งต่ อหนึ่ง
                                                 ่
จงพิจารณาว่าฟังก์ชนที่กาหนดให้ต่อไปนี้เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งหรื อไม่ พร้อมทั้งให้เหตุผลประกอบ
                   ั ํ                               ั
1. f (x ) = -x
2. f (x ) = 2 | x |
3. f (x ) = -3x 2 + 1 เมื่อ x < 0
4. f (x ) = (x - 2)2 เมื่อ x ³ 0
5. f (x ) = จํานวนเต็มที่นอยที่สุดที่มากกว่าหรื อเท่ากับ x
                           ้
6. f (x ) = ห.ร.ม. ของ x กับ 123456

จากกราฟของฟังก์ชนที่กาหนดให้ต่อไปนี้ จงพิจารณาว่าเป็ นกราฟของฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งหรื อไม่ หากไม่เป็ นให้
                  ั ํ                                              ั
ยกตัวอย่างเส้นตรงที่ขนานกับแกน X และตัดกราฟของฟังก์ชนนั้นๆ มากกว่าหนึ่งจุด
                                                        ั
7.                       5
                                                     8.                                               1.0




                                                                                                      0.5
                         4




                                                                                    - 1.0    - 0.5                0.5       1.0       1.5   2.0
                         3

                                                                                                     - 0.5



                         2
                                                                                                     - 1.0




                         1                                                                           - 1.5




                                                                                                     - 2.0

     -2        -1            0        1           2




9.                                         1.5                               10.                              6
                                           1.0
                                           0.5
                                                                                                              4
          -6        -4           -2       - 0.5       2   4       6
                                          - 1.0
                                          - 1.5                                                               2




                                                                                   -6       -4        -2                2         4         6



                                                                                                             -2




                                                                                                             -4




                                                                                                             -6
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย




                     สรุปสาระสํ าคัญประจําตอน
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                    สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย




                                                                                                                 
 




                                                                                              
 
ในช่วงที่สื่อกําลังสรุ ปสาระสําคัญประจําตอนนั้น ได้กล่าวถึงฟังก์ชน f : A  B ที่มีสมบัติทวถึง และ หนึ่งต่อหนึ่ง
                                                                      ั                        ั่
พร้อมๆ กัน ฟังก์ชนดังกล่าวนี้จะเรี ยกว่า ฟังก์ชนสมนัยหนึ่งต่อหนึ่ง (one-to-one correspondence function) ครู ควรนํา
                    ั                           ั
นักเรี ยนอภิปรายว่าหากเซต A และเซต B เป็ นเซตจํากัดทั้งคู่แล้วจํานวนสมาชิกของเซตทั้งสองมีผลต่อการมีอยูของ        ่
                                                                                   ่
ฟังก์ชนสมนัยหนึ่งต่อหนึ่งระหว่างเซตทั้งสองหรื อไม่ โดยอาจเริ่ มจากเงื่อนไขที่วาถ้า n(A) ³ n(B ) แล้วจะสามารถ
        ั
หาฟังก์ชน f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนทัวถึงได้เสมอ ในขณะที่หาก n(A) £ n(B ) แล้วจะสามารถหาฟังก์ชน
          ั                          ั ่                                                                      ั
 f : A  B ที่เป็ นฟั งก์ชนหนึ่ งต่อหนึ่ งได้เสมอ เพื่อนําไปสู่ ขอสรุ ปที่วาถ้า n(A) = n(B ) แล้วจะสามารถหาฟั งก์ชน
                           ั                                     ้         ่                                         ั
 f : A  B ที่เป็ นฟั งก์ชนสมนัยหนึ่ งต่อหนึ่ งได้เสมอ และในทางกลับกันสําหรับเซต A และเซต B ที่เป็ นเซตจํากัด
                             ั
                                                                   ่
หากมี f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนสมนัยหนึ่งต่อหนึ่งแล้วจะได้วา n(A) = n(B ) เช่นกัน เมื่อมาถึงจุดนี้ครู อาจชี้ให้
                                 ั
นักเรี ยนตระหนักว่า การนับจํานวนสิ่ งของต่างๆ ที่มีอยูเ่ ป็ นจํานวนจํากัด ในชีวิตประจําวันของนักเรี ยนแท้จริ งแล้วคือ
การสร้างฟังก์ชนสมนัยหนึ่งต่อหนึ่งจากเซต {1, 2, 3, ..., n} ไปยังเซตของสิ่ งของที่มี n ชิ้นนันเอง 
                ั                                                                                 ่
 
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                   สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในกรณี ที่ A และ B เป็ นเซตอนันต์ การมีอยูของฟังก์ชนสมนัยหนึ่งต่อหนึ่งระหว่างเซตทั้งสองนี้บ่งบอกว่าเซตทั้ง
                                               ่       ั
สองนี้มี “จํานวนสมาชิก” เท่าๆ กัน ซึ่งนักเรี ยนอาจดูตวอย่างได้จาก โรงแรมของฮิลแบร์ท ในสื่ อบทนําเรื่ องเซต โดย
                                                     ั
อาจารย์จิณดิษฐ์ และอาจารย์รตินนท์  
                                ั
 
ชวนคิด สําหรับเซต A ใดๆ จะมีฟังก์ชน f : A  A ที่เป็ นฟังก์ชนสมนัยหนึ่งต่อหนึ่งอย่างน้อยหนึ่งฟังก์ชนหรื อไม่
                                       ั                          ั                                      ั
ถ้ามีจงยกตัวอย่างฟังก์ชนที่มีสมบัติดงกล่าว ถ้าไม่มีจงให้เหตุผลประกอบ
                       ั            ั
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย




                            ภาคผนวกที่ 1
                      แบบฝึ กหัด/เนือหาเพิมเติม
                                    ้     ่
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                 สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

                                         แบบฝึ กหัดระคน 
สําหรับเซต A และเซต B    ใดๆ จงพิจารณาว่าข้อความในข้อ 1 – 6 ว่าเป็ นจริ งหรื อไม่ พร้อมทั้งให้เหตุผล
ประกอบ 
1. ถ้า A เป็ นเซตจํากัดแล้วฟังก์ชน f : A  B ใดๆ เป็ นเซตจํากัด 
                                 ั
2. ถ้า A เป็ นเซตอนันต์แล้วมี f : A  B ที่เป็ นเซตจํากัด 
3. ถ้า A เป็ นเซตอนันต์และ B เป็ นเซตจํากัดแล้วจะมี f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนทัวถึง  
                                                                              ั ่
                                                                          ่
4. ถ้า A เป็ นเซตจํากัดและมี f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนทัวถึงแล้วจะได้วา B เป็ นเซตจํากัด 
                                                      ั ่
5. ถ้า A เป็ นเซตอนันต์และ B เป็ นเซตจํากัดแล้วจะมี f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง 
                                                                               ั
                                                                                 ่
6. ถ้า A เป็ นเซตอนันต์และมี f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งแล้วจะได้วา B เป็ นเซตอนันต์  
                                                       ั
 
7. กําหนดให้ A = {1, 2, 3, 4, 5, 6},   B = {{1}, {1, 2}, {1, 2, 3}, {1, 2, 3, 4}}  และ
F = {f : B  A | f (X ) Ï X ทุกเซต X Î B } จงหาจํานวนสมาชิกของ F   
8. กําหนดให้ A = {1, 2, 3, 4} และ S = {f : A  A | f (x ) £ x + 1 ทุก x Î A} จงหาจํานวนสมาชิก
ของ S  
9. กําหนดให้ A = {1, 2} และ B = {1, 2, 3, ..., 10} จงหาจํานวนสมาชิกของเซต  
{f : A  B | f เป็ นฟั งก์ชนหนึ่ งต่อหนึ่ ง และ มี x Î A ซึ่ ง f (x ) ¹ x }  
                             ั
10. กําหนดให้ A = {0, 1, 2, 3} และ P (A) คือพาวเวอร์เซตของ A จงหาจํานวนสมาชิกของเซต
{f : A  P (A) | x Ï f (x ) และ x + 1 Ï f (x ) ทุก x Î A}  
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย




                              ภาคผนวกที่ 2
                             เฉลยแบบฝึ กหัด
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                   สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

                               เฉลยแบบฝึ กหัดเรื่องฟังก์ ชันจากเซต  A ไปเซต  B  
1. น้อยกว่าอยู่ 6049 ฟังก์ชน  
                           ั
2. ให้ n และ m เป็ นจํานวนนับใดๆ และ A และ B เป็ นเซตจํากัดที่ n(A) = n และ n(B ) = m จะได้วา    ่
จํานวนความสัมพันธ์ท้ งหมดที่เป็ นไปได้จากเซต A ไปเซต B หรื อจากเซต B ไปเซต A คือ 2nm
                      ั
ความสัมพันธ์ จํานวนฟังก์ชน f : A  B ทั้งหมดที่เป็ นไปได้คือ m n ฟังก์ชน และจํานวนฟังก์ชน
                             ั                                             ั                ั
f : B  A ทั้งหมดที่เป็ นไปได้คือ n m เนื่ องจากฟั งก์ชน f : A  B เป็ นความสัมพันธ์จากเซต A ไปเซต
                                                           ั
B แบบหนึ่ ง และฟั งก์ชน f : B  A เป็ นความสัมพันธ์จากเซต B ไปเซต A แบบหนึ่ ง จึงสรุ ปได้วา
                        ั                                                                     ่
m n £ 2nm และ n m £ 2nm             
3. 12285 ตัว                              4. 15625 ตัว                           5. 24 ตัว 

                                  เฉลยแบบฝึ กหัดเรื่องฟังก์ ชันทัวถึง 
                                                                 ่
1. f เป็ นฟังก์ชนจากเซต (-1, 3] ไปทัวถึง [0, 9]
                ั                   ่                 2. f เป็ นฟังก์ชนจากเซต [-3,1) ไปทัวถึง [0, 3]  
                                                                       ั                 ่
                         æ      1 ùú éê 1      ö
3. f เป็ นฟังก์ชนจากเซต ç-¥, -
                ั       ç
                        ç           È       , ¥÷ ไปทัวถึง [0, ¥)  
                                               ÷
                                               ÷     ่
                        ç
                        è          ú ê         ÷
                                               ø
                                 2û ë 2
4.f เป็ นฟั งก์ชนจากเซต  - {-1, 1} ไปทัวถึง  - {0}
                ั                         ่                     
5. f เป็ นฟังก์ชนจากเซต  - {0} ไปทัวถึง (-¥, -1] È (0,1]  
                 ั                        ่
 
                                   เฉลยแบบฝึ กหัดเรื่องฟังก์ ชันหนึ่งต่ อหนึ่ง 
1. เป็ น เพราะทุก x1 และ x 2 ในโดเมนของ f ถ้า -x1 = -x 2 แล้ว x1 = x 2  
2. ไม่เป็ น เพราะมี f (-1) = 2 = f (1) แต่ -1 ¹ 1  
3. เป็ น เพราะทุก x1 และ x 2 ในโดเมนของ f ถ้า -3x12 + 1 = -3x 22 + 1 แล้ว | x1 | = | x 2 | แต่ในที่น้ ี
                                 ่
x 1 < 0 และ x 2 < 0 ทําให้ได้วา x 1 = x 2  
4. ไม่เป็ น เพราะมี f (1) = 1 = f (3) แต่ 1 ¹ 3  
5. ไม่เป็ น เพราะมี f (1) = 1 = f (0.9) แต่ 1 ¹ 0.9  
6. ไม่เป็ น เพราะมี f (4) = 4 = f (20) แต่ 4 ¹ 20  
7. เป็ น                                                   8. เป็ น 
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                   สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

9. ไม่เป็ น เพราะมีเส้นตรงดังรู ปตัดกราฟมากกว่าหนึ่งจุด 10. ไม่เป็ น เพราะมีเส้นตรงดังรู ปตัดกราฟมากกว่า  
                                                               หนึ่งจุด  
                                                                                                    6


                        1.5                                                                         4
                        1.0
                        0.5                                                                         2


    -6     -4     -2   - 0.5       2       4        6
                       - 1.0                                                        -6   -4   -2        2   4   6


                       - 1.5
  
                                                                                                   -2




                                                                                                   -4



                                                                                                   -6




 
                                            เฉลยแบบฝึ กหัดระคน 
 
1. จริ ง เพราะ Df = A  
2. เท็จ เช่น A =  เนื่องจาก Df = A =  ทําให้ฟังก์ชนจากเซต A =  ไปเซต B เป็ นเซตอนันต์  
                                                           ั
                ่
3. จริ ง สมมติวา n(B ) = n เนื่องจากเซต A เป็ นเซตอนันต์ ดังนั้นสร้างฟังก์ชนจากสมาชิก n ตัวของเซต A
                                                                             ั
กับสมาชิกทุกตัวของเซต B จากนั้นสมาชิกที่เหลือของเซต A สร้างฟังก์ชนโดยกําหนดค่าฟังก์ชนให้เป็ น
                                                                         ั                    ั
สมาชิกตัวใดตัวหนึ่งของเซต B  
4. จริ ง เพราะการที่มีฟังก์ชน f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนทัวถึง แสดงว่า n(A) ³ n(B )  
                              ั                       ั ่
5. เท็จ เช่น f :   {1} เนื่องจาก Df =  ทําให้ฟังก์ชนระหว่างเซตทั้งสองนี้ไม่มีทางเป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อ
                                                             ั                                  ั
หนึ่งได้ 
6. จริ ง เพราะการที่มีฟังก์ชน f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง แสดงว่า n(A) £ n(B )  
                            ั                          ั
7. 120 ตัว                      8. 96 ตัว          9. 89 ตัว                10. 512 ตัว  

More Related Content

What's hot

ใบความรู้คู่อันดับและกราฟ
ใบความรู้คู่อันดับและกราฟใบความรู้คู่อันดับและกราฟ
ใบความรู้คู่อันดับและกราฟJiraprapa Suwannajak
 
โครงงานเรขาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ของพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมและรูปสี่เ...
โครงงานเรขาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ของพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมและรูปสี่เ...โครงงานเรขาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ของพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมและรูปสี่เ...
โครงงานเรขาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ของพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมและรูปสี่เ...
พิทักษ์ ทวี
 
การวัดตำแหน่งที่ของข้อมูลม.6
การวัดตำแหน่งที่ของข้อมูลม.6การวัดตำแหน่งที่ของข้อมูลม.6
การวัดตำแหน่งที่ของข้อมูลม.6
KruGift Girlz
 
ข้อสอบเรื่องการบวกลบคูณหารพหุนาม
ข้อสอบเรื่องการบวกลบคูณหารพหุนามข้อสอบเรื่องการบวกลบคูณหารพหุนาม
ข้อสอบเรื่องการบวกลบคูณหารพหุนาม
ทับทิม เจริญตา
 
ฮิสโทแกรม
ฮิสโทแกรมฮิสโทแกรม
ฮิสโทแกรมkrookay2012
 
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ๋ทางการเรียน หน่วย งานและพลังงาน
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ๋ทางการเรียน    หน่วย งานและพลังงานแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ๋ทางการเรียน    หน่วย งานและพลังงาน
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ๋ทางการเรียน หน่วย งานและพลังงาน
dnavaroj
 
แบบฝึกทักษะเรื่องสถิติ O net
แบบฝึกทักษะเรื่องสถิติ O netแบบฝึกทักษะเรื่องสถิติ O net
แบบฝึกทักษะเรื่องสถิติ O net
พัน พัน
 
แบบทดสอบ พร้อมเฉลย ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน
แบบทดสอบ พร้อมเฉลย ความสัมพันธ์และฟังก์ชันแบบทดสอบ พร้อมเฉลย ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน
แบบทดสอบ พร้อมเฉลย ความสัมพันธ์และฟังก์ชันphaephae
 
เฉลยค่ากลางของข้อมูล
เฉลยค่ากลางของข้อมูลเฉลยค่ากลางของข้อมูล
เฉลยค่ากลางของข้อมูล
krurutsamee
 
แบบฝึกทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ตามขั้นตอนของโพลยา เรื่อง พื้นที่ผิวและปริ...
แบบฝึกทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ตามขั้นตอนของโพลยา เรื่อง พื้นที่ผิวและปริ...แบบฝึกทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ตามขั้นตอนของโพลยา เรื่อง พื้นที่ผิวและปริ...
แบบฝึกทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ตามขั้นตอนของโพลยา เรื่อง พื้นที่ผิวและปริ...
เล็ก น่ารัก
 
ลำดับและอนุกรม
ลำดับและอนุกรมลำดับและอนุกรม
ลำดับและอนุกรมrdschool
 
ใบงานเรื่องคู่อันดับและกราฟ
ใบงานเรื่องคู่อันดับและกราฟใบงานเรื่องคู่อันดับและกราฟ
ใบงานเรื่องคู่อันดับและกราฟ
Fern Monwalee
 
บทที่ 5 ความเท่ากันทุกประการ
บทที่ 5 ความเท่ากันทุกประการบทที่ 5 ความเท่ากันทุกประการ
บทที่ 5 ความเท่ากันทุกประการ
sawed kodnara
 
โครงงานรรสมุทรปราการ
โครงงานรรสมุทรปราการโครงงานรรสมุทรปราการ
โครงงานรรสมุทรปราการaispretty
 
การเท่ากัน
การเท่ากันการเท่ากัน
การเท่ากันAon Narinchoti
 
เพาเวอร์เซต
เพาเวอร์เซตเพาเวอร์เซต
เพาเวอร์เซตAon Narinchoti
 

What's hot (20)

ใบความรู้คู่อันดับและกราฟ
ใบความรู้คู่อันดับและกราฟใบความรู้คู่อันดับและกราฟ
ใบความรู้คู่อันดับและกราฟ
 
โครงงานเรขาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ของพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมและรูปสี่เ...
โครงงานเรขาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ของพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมและรูปสี่เ...โครงงานเรขาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ของพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมและรูปสี่เ...
โครงงานเรขาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ของพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมและรูปสี่เ...
 
36 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่7_ฟังก์ชันประกอบ
36 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่7_ฟังก์ชันประกอบ36 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่7_ฟังก์ชันประกอบ
36 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่7_ฟังก์ชันประกอบ
 
การวัดตำแหน่งที่ของข้อมูลม.6
การวัดตำแหน่งที่ของข้อมูลม.6การวัดตำแหน่งที่ของข้อมูลม.6
การวัดตำแหน่งที่ของข้อมูลม.6
 
06 การให้เหตุผลและตรรกศาสตร์ บทนำ
06 การให้เหตุผลและตรรกศาสตร์ บทนำ06 การให้เหตุผลและตรรกศาสตร์ บทนำ
06 การให้เหตุผลและตรรกศาสตร์ บทนำ
 
ข้อสอบเรื่องการบวกลบคูณหารพหุนาม
ข้อสอบเรื่องการบวกลบคูณหารพหุนามข้อสอบเรื่องการบวกลบคูณหารพหุนาม
ข้อสอบเรื่องการบวกลบคูณหารพหุนาม
 
ฮิสโทแกรม
ฮิสโทแกรมฮิสโทแกรม
ฮิสโทแกรม
 
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ๋ทางการเรียน หน่วย งานและพลังงาน
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ๋ทางการเรียน    หน่วย งานและพลังงานแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ๋ทางการเรียน    หน่วย งานและพลังงาน
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ๋ทางการเรียน หน่วย งานและพลังงาน
 
แบบฝึกทักษะเรื่องสถิติ O net
แบบฝึกทักษะเรื่องสถิติ O netแบบฝึกทักษะเรื่องสถิติ O net
แบบฝึกทักษะเรื่องสถิติ O net
 
ลอการิทึม
ลอการิทึมลอการิทึม
ลอการิทึม
 
แบบทดสอบ พร้อมเฉลย ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน
แบบทดสอบ พร้อมเฉลย ความสัมพันธ์และฟังก์ชันแบบทดสอบ พร้อมเฉลย ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน
แบบทดสอบ พร้อมเฉลย ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน
 
แบบทดสอบ เรื่องพหุนาม
แบบทดสอบ เรื่องพหุนามแบบทดสอบ เรื่องพหุนาม
แบบทดสอบ เรื่องพหุนาม
 
เฉลยค่ากลางของข้อมูล
เฉลยค่ากลางของข้อมูลเฉลยค่ากลางของข้อมูล
เฉลยค่ากลางของข้อมูล
 
แบบฝึกทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ตามขั้นตอนของโพลยา เรื่อง พื้นที่ผิวและปริ...
แบบฝึกทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ตามขั้นตอนของโพลยา เรื่อง พื้นที่ผิวและปริ...แบบฝึกทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ตามขั้นตอนของโพลยา เรื่อง พื้นที่ผิวและปริ...
แบบฝึกทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ตามขั้นตอนของโพลยา เรื่อง พื้นที่ผิวและปริ...
 
ลำดับและอนุกรม
ลำดับและอนุกรมลำดับและอนุกรม
ลำดับและอนุกรม
 
ใบงานเรื่องคู่อันดับและกราฟ
ใบงานเรื่องคู่อันดับและกราฟใบงานเรื่องคู่อันดับและกราฟ
ใบงานเรื่องคู่อันดับและกราฟ
 
บทที่ 5 ความเท่ากันทุกประการ
บทที่ 5 ความเท่ากันทุกประการบทที่ 5 ความเท่ากันทุกประการ
บทที่ 5 ความเท่ากันทุกประการ
 
โครงงานรรสมุทรปราการ
โครงงานรรสมุทรปราการโครงงานรรสมุทรปราการ
โครงงานรรสมุทรปราการ
 
การเท่ากัน
การเท่ากันการเท่ากัน
การเท่ากัน
 
เพาเวอร์เซต
เพาเวอร์เซตเพาเวอร์เซต
เพาเวอร์เซต
 

Similar to 33 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่4_ฟังก์ชันเบื้องต้น

31201final521
31201final52131201final521
ปริซึม
ปริซึมปริซึม
ปริซึมkrookay2012
 
ชุดฝึกทักษะ 54
ชุดฝึกทักษะ 54ชุดฝึกทักษะ 54
ชุดฝึกทักษะ 54Orapan Chamnan
 
Dc282 interaction
Dc282 interactionDc282 interaction
Dc282 interaction
ajpeerawich
 
1 คำอธิบายรายวิชา
1 คำอธิบายรายวิชา1 คำอธิบายรายวิชา
1 คำอธิบายรายวิชาNichaphon Tasombat
 

Similar to 33 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่4_ฟังก์ชันเบื้องต้น (20)

35 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่6_อินเวอร์สของฟังก์ชันและฟังก์ชันอินเวอร์ส
35 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่6_อินเวอร์สของฟังก์ชันและฟังก์ชันอินเวอร์ส35 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่6_อินเวอร์สของฟังก์ชันและฟังก์ชันอินเวอร์ส
35 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่6_อินเวอร์สของฟังก์ชันและฟังก์ชันอินเวอร์ส
 
30 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่1_ความสัมพันธ์
30 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่1_ความสัมพันธ์30 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่1_ความสัมพันธ์
30 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่1_ความสัมพันธ์
 
40 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่3_ลอการิทึม
40 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่3_ลอการิทึม40 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่3_ลอการิทึม
40 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่3_ลอการิทึม
 
31201final521
31201final52131201final521
31201final521
 
11
1111
11
 
Add m2-2-chapter1
Add m2-2-chapter1Add m2-2-chapter1
Add m2-2-chapter1
 
39 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่2_ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอ...
39 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่2_ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอ...39 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่2_ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอ...
39 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่2_ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอ...
 
Limit
LimitLimit
Limit
 
20 จำนวนจริง ตอนที่7_ค่าสัมบูรณ์
20 จำนวนจริง ตอนที่7_ค่าสัมบูรณ์20 จำนวนจริง ตอนที่7_ค่าสัมบูรณ์
20 จำนวนจริง ตอนที่7_ค่าสัมบูรณ์
 
ปริซึม
ปริซึมปริซึม
ปริซึม
 
41 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่4_อสมการเลขชี้กำลัง
41 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่4_อสมการเลขชี้กำลัง41 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่4_อสมการเลขชี้กำลัง
41 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่4_อสมการเลขชี้กำลัง
 
77 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่4_แนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง3
77 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่4_แนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง377 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่4_แนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง3
77 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่4_แนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง3
 
Unit3
Unit3Unit3
Unit3
 
38 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่1_เลขยกกำลัง
38 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่1_เลขยกกำลัง38 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่1_เลขยกกำลัง
38 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่1_เลขยกกำลัง
 
ชุดฝึกทักษะ 54
ชุดฝึกทักษะ 54ชุดฝึกทักษะ 54
ชุดฝึกทักษะ 54
 
Dc282 interaction
Dc282 interactionDc282 interaction
Dc282 interaction
 
1 คำอธิบายรายวิชา
1 คำอธิบายรายวิชา1 คำอธิบายรายวิชา
1 คำอธิบายรายวิชา
 
32 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่3_อินเวอร์สของความสัมพันธ์และบทนิยามของฟังก์ชัน
32 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่3_อินเวอร์สของความสัมพันธ์และบทนิยามของฟังก์ชัน32 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่3_อินเวอร์สของความสัมพันธ์และบทนิยามของฟังก์ชัน
32 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่3_อินเวอร์สของความสัมพันธ์และบทนิยามของฟังก์ชัน
 
Pbl2 docx
Pbl2 docxPbl2 docx
Pbl2 docx
 
Pbl2 docx
Pbl2 docxPbl2 docx
Pbl2 docx
 

More from กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์

More from กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์ (20)

Basic m2-2-chapter1
Basic m2-2-chapter1Basic m2-2-chapter1
Basic m2-2-chapter1
 
Basic m5-2-chapter3
Basic m5-2-chapter3Basic m5-2-chapter3
Basic m5-2-chapter3
 
Basic m5-2-chapter2
Basic m5-2-chapter2Basic m5-2-chapter2
Basic m5-2-chapter2
 
Basic m5-2-link
Basic m5-2-linkBasic m5-2-link
Basic m5-2-link
 
Basic m5-1-link
Basic m5-1-linkBasic m5-1-link
Basic m5-1-link
 
Basic m5-1-chapter1
Basic m5-1-chapter1Basic m5-1-chapter1
Basic m5-1-chapter1
 
Basic m5-1-chapter2
Basic m5-1-chapter2Basic m5-1-chapter2
Basic m5-1-chapter2
 
Basic m5-2-chapter1
Basic m5-2-chapter1Basic m5-2-chapter1
Basic m5-2-chapter1
 
Basic m4-2-link
Basic m4-2-linkBasic m4-2-link
Basic m4-2-link
 
Basic m4-2-chapter2
Basic m4-2-chapter2Basic m4-2-chapter2
Basic m4-2-chapter2
 
Basic m4-1-link
Basic m4-1-linkBasic m4-1-link
Basic m4-1-link
 
Basic m4-2-chapter1
Basic m4-2-chapter1Basic m4-2-chapter1
Basic m4-2-chapter1
 
Basic m4-1-chapter2
Basic m4-1-chapter2Basic m4-1-chapter2
Basic m4-1-chapter2
 
Basic m4-1-chapter3
Basic m4-1-chapter3Basic m4-1-chapter3
Basic m4-1-chapter3
 
Basic m4-1-chapter4
Basic m4-1-chapter4Basic m4-1-chapter4
Basic m4-1-chapter4
 
Basic m3-2-chapter2
Basic m3-2-chapter2Basic m3-2-chapter2
Basic m3-2-chapter2
 
Basic m3-2-link
Basic m3-2-linkBasic m3-2-link
Basic m3-2-link
 
Basic m4-1-chapter1
Basic m4-1-chapter1Basic m4-1-chapter1
Basic m4-1-chapter1
 
Basic m3-2-chapter4
Basic m3-2-chapter4Basic m3-2-chapter4
Basic m3-2-chapter4
 
Basic m3-2-chapter3
Basic m3-2-chapter3Basic m3-2-chapter3
Basic m3-2-chapter3
 

33 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่4_ฟังก์ชันเบื้องต้น

  • 1. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คู่มือประกอบสื่ อการสอน วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความสั มพันธ์ และฟังก์ ชัน (เนือหาตอนที่ 4) ้ ฟังก์ ชันเบืองต้ น ้ โดย อาจารย์ ดร.รตินันท์ บุญเคลือบ สื่ อการสอนชุดนี้ เป็ นความร่ วมมือระหว่ าง คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย กับ สํ านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพืนฐาน (สพฐ.) ้ กระทรวงศึกษาธิการ
  • 2. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สื่ อการสอน เรื่อง ความสั มพันธ์ และฟังก์ ชัน สื่ อการสอน เรื่ อง ความสัมพันธ์และฟังก์ชน มีจานวนตอนทั้งหมดรวม 16 ตอน ซึ่งประกอบด้วย ั ํ 1. บทนํา เรื่อง ความสั มพันธ์ และฟังก์ชัน 2. เนือหาตอนที่ 1 ความสั มพันธ์ ้ - แผนภาพรวมเรื่ องความสัมพันธ์และฟังก์ชนั - ผลคูณคาร์ทีเซียน - ความสัมพันธ์ - การวาดกราฟของความสัมพันธ์ 3. เนือหาตอนที่ 2 โดเมนและเรนจ์ ้ - โดเมนและเรนจ์ - การหาโดเมนและเรนจ์โดยการแก้สมการ - การหาโดเมนและเรนจ์โดยการวาดกราฟ 4. เนือหาตอนที่ 3 อินเวอร์ สของความสั มพันธ์ และบทนิยามของฟังก์ชัน ้ - อินเวอร์สของความสัมพันธ์ - บทนิยามของฟังก์ชน ั 5. เนือหาตอนที่ 4 ฟังก์ ชันเบืองต้ น ้ ้ - ฟั งก์ชนจากเซต A ไปเซต B ั - ฟังก์ชนทัวถึง ั ่ - ฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง ั 6. เนือหาตอนที่ 5 พีชคณิตของฟังก์ชัน ้ - พีชคณิ ตของฟังก์ชนั - ตัวอย่างประเภทของฟังก์ชนพื้นฐาน ั 7. เนือหาตอนที่ 6 อินเวอร์ สของฟังก์ชันและฟังก์ชันอินเวอร์ ส ้ - อินเวอร์สของฟังก์ชนละฟังก์ชนอินเวอร์ส ั ั - กราฟของฟังก์ชนอินเวอร์ส ั 8. เนือหาตอนที่ 7 ฟังก์ชันประกอบ ้ - ฟังก์ชนประกอบ ั
  • 3. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - โดเมนและเรนจ์ของฟังก์ชนประกอบ ั - สมบัติของฟังก์ชนประกอบ ั 9. แบบฝึ กหัด (พืนฐาน 1) ้ 10. แบบฝึ กหัด (พืนฐาน 2) ้ 11. แบบฝึ กหัด (ขั้นสู ง) 12. สื่ อปฏิสัมพันธ์ เรื่อง ความสั มพันธ์ และฟังก์ชัน 13. สื่ อปฏิสัมพันธ์ เรื่อง อินเวอร์ สของความสั มพันธ์ และฟังก์ ชันอินเวอร์ ส 14. สื่ อปฏิสัมพันธ์ เรื่อง โดเมนและเรนจ์ 15. สื่ อปฏิสัมพันธ์ เรื่อง พีชคณิตและการประกอบของฟังก์ชัน 16. สื่ อปฏิสัมพันธ์ เรื่อง การเลือนแกน ่ คณะผูจดทําหวังเป็ นอย่างยิงว่า สื่ อการสอนชุดนี้ จะเป็ นประโยชน์ต่อการเรี ยนการสอนสําหรับ ้ั ่ ครู และนักเรี ยนทุกโรงเรี ยนที่ใช้สื่อชุดนี้ร่วมกับการเรี ยนการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ เรื่ อง ความสัมพันธ์ และฟั ง ก์ชัน นอกจากนี้ หากท่ านสนใจสื่ อ การสอนวิ ชาคณิ ต ศาสตร์ ใ นเรื่ อ งอื่ นๆที่ ค ณะผูจ ัด ทํา ได้ ้ ดําเนินการไปแล้ว ท่านสามารถดูชื่อเรื่ อง และชื่อตอนได้จากรายชื่อสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ท้ งหมด ั ่ ในตอนท้ายของคูมือฉบับนี้
  • 4. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง ความสัมพันธ์และฟังก์ชน ั หมวด เนื้อหา ตอนที่ 4 (4/7) หัวข้ อย่ อย 1. ฟังก์ชนจากเซต A ไปเซต B ั 2. ฟังก์ชนทัวถึง ั ่ 3. ฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง ั จุดประสงค์ การเรียนรู้ เพื่อให้ผเู ้ รี ยน 1. เข้าใจบทนิยามของฟังก์ชนจากเซต A ไปเซต B ั ั ํ 2. ตรวจสอบว่าฟังก์ชนที่กาหนดให้เป็ นฟังก์ชนจากเซต A ไปเซต B หรื อไม่ ั ั ํ 3. ยกตัวอย่างฟังก์ชนจากเซต A ไปเซต B ที่กาหนดให้ได้ และนับจํานวนฟังก์ชนที่เป็ นไปได้ ั ทั้งหมด จากเซต A ไปเซต B ที่เป็ นเซตจํากัดทั้งคู่ได้ 4. เข้าใจบทนิยามของฟังก์ชนทัวถึง ั ่ 5. ยกตัวอย่างฟังก์ชนทัวถึงจากเซต A ไปเซต B ที่กาหนดให้ได้ ั ่ ํ 6. เข้าใจบทนิยามของฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง ั ั ํ 7. ยกตัวอย่างฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งจากเซต A ไปเซต B ที่กาหนดให้ได้ และนับจํานวนฟังก์ชน ั หนึ่งต่อหนึ่งที่เป็ นไปได้ท้ งหมด จากเซต A ไปเซต B ที่เป็ นเซตจํากัดทั้งคู่ได้ ั ั ํ 8. ตรวจสอบว่าฟังก์ชนที่กาหนดให้เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งหรื อไม่โดยใช้วิธีเชิงพีชคณิ ตหรื อ ั โดยใช้กราฟของฟังก์ชนได้ ั ผลการเรียนรู้ทคาดหวัง ี่ ผูเ้ รี ยนสามารถ ่ ั ํ ํ 1. ตรวจสอบได้วาฟังก์ชนที่กาหนดให้เป็ นฟังก์ชนจากเซต A ไปเซต B ที่กาหนดให้หรื อไม่ได้ ั ั ํ 2. ยกตัวอย่างฟังก์ชนจากเซต A ไปเซต B ที่กาหนดให้ได้ และนับจํานวนฟังก์ชนที่เป็ นไปได้ ั ทั้งหมด จากเซต A ไปเซต B ที่เป็ นเซตจํากัดทั้งคู่ได้ ่ ั ํ 3. ตรวจสอบได้วาฟังก์ชนที่กาหนดให้เป็ นฟังก์ชนทัวถึงจากเซต A ไปเซต B ที่กาหนดให้ ั ่ ํ หรื อไม่ได้ 4. ยกตัวอย่างฟังก์ชนทัวถึงจากเซต A ไปเซต B ที่กาหนดให้ได้ ั ่ ํ
  • 5. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ั ํ 5. ตรวจสอบว่าฟังก์ชนที่กาหนดให้เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งหรื อไม่โดยใช้วิธีเชิงพีชคณิ ตหรื อ ั โดยใช้กราฟของฟังก์ชนได้ ั ั ํ 6. ยกตัวอย่างฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งจากเซต A ไปเซต B ที่กาหนดให้ได้ และนับจํานวนฟังก์ชน ั หนึ่งต่อหนึ่งที่เป็ นไปได้ท้ งหมด จากเซต A ไปเซต B ที่เป็ นเซตจํากัดทั้งคู่ได้ ั    
  • 6. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย   เนือหาในสื่ อ  ้            
  • 7. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 1. ฟังก์ ชันจากเซต A ไปเซต B
  • 8. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ่ ก่อนอื่นครู ควรทบทวนเพื่อตรวจสอบว่านักเรี ยนเข้าใจหรื อไม่วาฟังก์ชนเป็ นความสัมพันธ์แบบหนึ่ง ที่มีสมบัติพิเศษ ั กล่าวคือสมาชิกตัวหน้าของความสัมพันธ์ที่เป็ นฟังก์ชนนั้นจะไม่ถูกใช้ซ้ า และอาจทบทวนนักเรี ยนให้ยอนนึกไปถึง ั ํ ้ ความสัมพันธ์จากเซต A ไปเซต B เพื่อบ่งบอกให้แน่ชดว่าสมาชิกตัวหน้าและสมาชิกตัวหลังของคูอนดับใน ั ่ ั ความสัมพันธ์จะมาจากเซตใด ดังนั้นในฐานะที่ฟังก์ชนเป็ นความสัมพันธ์แบบหนึ่งการกําหนดว่าสมาชิกตัวหน้าและ ั สมาชิกตัวหลังของคู่อนดับในฟังก์ชนมาจากเซตใด จึงทําได้ในทํานองเดียวกันกับความสัมพันธ์หากแต่มีเงื่อนไข ั ั บางอย่างเพิ่มเติม ซึ่งได้กล่าวถึงในสื่ อตอนนี้        เมื่อมาถึงตอนนี้ครู อาจยํ้าอีกครั้งว่า ความสัมพันธ์ r จากเซต A ไปเซต B มีเงื่อนไขเพียง Dr Ì A และ Rr Ì B ในขณะที่ฟังก์ชน f : A  B ต้องมีเงื่อนไขที่สาคัญคือ Df = A และ Rf Ì B นอกจากนี้ ครู อาจ ั ํ ให้นกเรี ยนช่วยกันยกตัวอย่างเซต A และเซต B และฟังก์ชนจากเซต A ไปเซต B ดังกล่าว ทั้งนี้อาจให้ ั ั นักเรี ยนลองนึกถึงเซต A หรื อเซต B ที่เป็ นเซตอนันต์
  • 9. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในตอนนี้ได้ต้งข้อสังเกตต่างๆ เกี่ยวกับฟังก์ชนจาก เซต A ไปเซต B และการนับจํานวนฟังก์ชนทั้งหมดที่ ั ั ั เป็ นไปได้จาก เซต A ไปเซต B เมื่อทั้งคู่เป็ นเซตจํากัด           เมื่อถึงตอนนี้ครู อาจให้นกเรี ยนช่วยกันอภิปรายหากเซต A หรื อเซต B เป็ นเซตว่างแล้วจะมีฟังก์ชนจากเซต A ไป ั ั เซต B หรื อไม่ ถ้าหากมีฟังก์ชนนั้นคือเซตใด   ั   สําหรับการนับจํานวนฟังก์ชนทั้งหมดที่เป็ นไปได้จากเซต A ไปเซต B เมื่อทั้งคู่เป็ นเซตจํากัดนั้น หากนักเรี ยน ั ยังไม่เข้าใจในทีแรกครู อาจแบ่งการอธิบายเป็ นขั้นๆ ดังนี้  1. ให้ n(A) = 1 แล้วค่อยๆ เพิม n(B ) จาก 1 เป็ น 2 เป็ น 3 เรื่ อยไปจนเป็ นจํานวนนับ m ใดๆ   ่ 2. ให้ n(B ) = 1 แล้วค่อยๆ เพิ่ม n(A) จาก 1 เป็ น 2 เป็ น 3 เรื่ อยไปจนเป็ นจํานวนนับ n ใดๆ   3. ให้ n(A) = n และ n(B ) = m เมื่อ n และ m เป็ นจํานวนนับใดๆ  
  • 10. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สําหรับการนับจํานวนฟังก์ชนทั้งหมดที่เป็ นไปได้จากเซต A ไปเซต B เมื่อทั้งคูเ่ ป็ นเซตจํากัดที่อธิบายไว้ใน ั สื่ อนั้น แท้จริ งแล้วใช้หลักการคูณ ซึ่งเป็ นหลักการนับเบื้องต้นที่กล่าวว่า หากงานชิ้นใหญ่หนึ่งสามารถแบ่ง ออกเป็ นงานย่อยๆ ได้ k งาน โดยแต่ละงานย่อยมีจานวนวิธีในการทํางานย่อยให้สาเร็ จเป็ น ํ ํ n1, n2 , n 3 , ..., nk  วิธี ตามลําดับแล้ว จํานวนวิธีที่จะทํางานชิ้นใหญ่น้ นให้สาเร็ จจะเป็ น n1n2n 3 nk วิธี ั ํ ซึ่งรายละเอียดสําหรับหลักการนับเบื้องต้นนี้นกเรี ยนจะได้ศึกษาในสื่ อชุดการนับและความน่าจะเป็ นโดย ั อาจารย์ณฐกาญจน์ต่อไป   ั   เมื่อนักเรี ยนเข้าใจเรื่ องการนับจํานวนฟังก์ชนทั้งหมดที่เป็ นไปได้จากเซต A ไปเซต B เมื่อทั้งคู่เป็ นเซตจํากัด ั แล้วครู อาจยกตัวอย่างเหล่านี้เพิ่มเติม    ตัวอย่ าง 1 ถ้า A = {1, 2, 3, 4, 5, 6} และ B = {1, 2, 3} แล้วจงหาจํานวนฟังก์ชน f : A  B ั ทั้งหมดซึ่ง f (1) = 1 และ f (2) = 2     ํ ่ วิธีทา จากโจทย์จะได้วา Df = A และ (1,1) และ (2, 2) Î f นันคือ ่ f = {(1,1), (2,2), (3,), (4,), (5,), (6,)} ดังนั้นในการสร้างฟั งก์ชน f ต้องนําสมาชิกของ B มา ั ่ ั จับคูกบ 3, 4, 5 และ 6 ตามลําดับ ซึ่งตัวเลขทั้งสี่ น้ ีสามารถจับคู่กบสมาชิกของ B ได้ตวละ 3 วิธี ดังนั้นจะ ั ั ่ ได้วาจํานวนฟังก์ชน f : A  B ทั้งหมดซึ่ง f (1) = 1 และ f (2) = 2 คือ 34 = 81 ฟังก์ชน  ั ั   ตัวอย่ าง 2 ถ้า A = {1, 2, 3, 4, 5, 6} และ B = {1, 2, 3} แล้วจงหาจํานวนฟังก์ชน f : A  B ั ทั้งหมดซึ่ง f (1) ¹ 1 หรื อ f (2) ¹ 2     วิธีทา เนื่องจากจํานวนฟังก์ชน f : A  B ทั้งหมดซึ่ง f (1) ¹ 1 หรื อ f (2) ¹ 2 คือ จํานวนฟังก์ชน ํ ั ั f : A  B ทั้งหมดที่นา f : A  B ซึ่ ง f (1) = 1 และ f (2) = 2 ออกไป ดังนั้นจํานวนฟั งก์ชน ํ ั f : A  B ทั้งหมดซึ่ ง f (1) ¹ 1 หรื อ f (2) ¹ 2 คือ 36 - 81 = 648 ฟั งก์ชน   ั    
  • 11. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แบบฝึ กหัดเพิมเติมเรื่องฟังก์ ชันจากเซต A ไปเซต B   ่ 1. กําหนดให้ A = {1, 2, 3} และ P (A) คือพาวเวอร์เซตของ A จํานวนฟังก์ชนทั้งหมดที่เป็ นไปได้จากเซต ั A ไปเซต P (A) มีมากกว่าหรื อน้อยกว่าจํานวนฟั งก์ชนทั้งหมดที่เป็ นไปได้จากเซต P (A) ไป A อยูกี่ฟังก์ชน   ั ่ ั 2. สําหรับจํานวนนับ n และ m ใดๆ จงแสดงว่า m n £ 2nm และ n m £ 2nm   3. กําหนดให้ A = {1, 2, 3, 4, 5, 6} และ B = {x Î  || x | £ 6} จงหาจํานวนสมาชิกของเซต {f : A  B | x หาร f (x ) ลงตัว ทุก x Î A}   4. กําหนดให้ A = {1, 2, 3, 4, 5, 6},   B = {{1}, {2}, {3}, {4}, {5}, {6}}, และ F = {f : A  B | x Ï f (x ) ทุก x Î A} จงหาจํานวนสมาชิกของ F    5. กําหนดให้ A = {1, 2, 3, 4} และ S = {f : A  A | f (x ) > x - 1 ทุก x Î A} จงหาจํานวนสมาชิก ของ S      
  • 12. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2. ฟังก์ ชันทัวถึง ่
  • 13. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในช่วงนี้ได้อธิบายบทนิยามของฟังก์ชนจากเซต A ไปทัวถึงเซต B จากนั้นได้ต้ งข้อสังเกตเกี่ยวกับจํานวน ั ่ ั สมาชิกของเซต A และเซต B ที่มีผลต่อการมีอยูของฟังก์ชนจากเซต A ไปทัวถึงเซต B เมื่อทั้งคู่เป็ นเซต ่ ั ่ จํากัด และยกตัวอย่างการนับจํานวนฟังก์ชนจากเซต A ไปทัวถึงเซต B เมื่อทั้งคู่เป็ นเซตจํากัด   ั ่            
  • 14. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อมาถึงตรงนี้ครู ควรยํ้าว่าข้อสังเกตที่ได้ต้ งไว้ในสื่ อนั้น บอกเพียงว่าสําหรับเซต A และเซต B ที่เป็ นเซต ั จํากัด ถ้า n(A) < n(B ) แล้วจะไม่มีฟังก์ชน  f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนทัวถึง จากนั้นครู ควรชวนนักเรี ยนให้ ั ั ่ ช่วยกันอภิปรายว่า แล้วในกรณี ที่ n(A) ³ n(B ) จะหาฟังก์ชน  f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนทัวถึงได้อย่างน้อย ั ั ่ หนึ่งฟังก์ชนเสมอหรื อไม่ ถ้าหาได้ให้นกเรี ยนช่วยกันยกตัวอย่างประกอบ  ั ั    ครู ควรให้นกเรี ยนช่วยกันอภิปรายต่อในประเด็นต่างๆ เช่น  ั 1. สําหรับเซต A และเซต B ที่เป็ นเซตจํากัด หากมีฟังก์ชน f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนทัวถึงแล้วจะ ั ั ่ เปรี ยบเทียบ n(A) กับ n(B ) ได้หรื อไม่ ถ้าได้ผลของการเปรี ยบเทียบเป็ นอย่างไร   2. หากเซต A เป็ นเซตอนันต์และเซต B เป็ นเซตจํากัดแล้วจะมี f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนทัวถึงได้ ั ่ หรื อไม่  3. หากเซต A เป็ นเซตจํากัดและเซต B เป็ นเซตอนันต์แล้วจะมี f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนทัวถึงได้ ั ่ หรื อไม่  4. หาก A เป็ นเซตจํากัดและมีฟังก์ชน f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนทัวถึง แล้วเซต B เป็ นเซตจํากัดหรื อ ั ั ่ เซตอนันต์หรื อสรุ ปไม่ได้  5. หาก B เป็ นเซตอนันต์และมีฟังก์ชน f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนทัวถึง แล้วเซต A เป็ นเซตจํากัดหรื อ ั ั ่ เซตอนันต์หรื อสรุ ปไม่ได้  เป็ นต้น    สําหรับการนับจํานวนฟังก์ชนจากเซต A ไปทัวถึงเซต B ในกรณี ที่ท้ งคู่เป็ นเซตจํากัดและ B มีสมาชิกเป็ น ั ่ ั จํานวนมากนั้นเป็ นเรื่ องยาก แต่ยงสามารถอาศัยแนวคิดในตัวอย่างที่ยกไว้ในสื่ อในการนับจํานวนฟังก์ชน ั ั ดังกล่าวได้ อย่างไรก็ดีสาหรับนักเรี ยนที่สนใจครู อาจยกตัวอย่างนี้เพิ่มเติม  ํ   ตัวอย่ าง 3 ให้ A = {1, 2, 3, 4} และ B = {a, b, c} จงหาจํานวนฟังก์ชนจากเซต A ไปทัวถึงเซต B ั ่ ทั้งหมดที่เป็ นไปได้    วิธีทา จํานวนฟังก์ชนจากเซต A ไปทัวถึงเซต B ทั้งหมดที่เป็ นไปได้   ํ ั ่ = จํานวนฟั งก์ชนจากเซต A ไปเซต B ทั้งหมดที่เป็ นไปได้   ั - จํานวนฟั งก์ชนจากเซต A ไปเซต B ทั้งหมดที่เรนจ์มีสมาชิกตัวเดียว   ั - จํานวนฟั งก์ชนจากเซต A ไปเซต B ทั้งหมดที่เรนจ์มีสมาชิกสองตัว  ั
  • 15. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากตัวอย่างในสื่ อทําให้ทราบว่าจํานวนฟังก์ชนจากเซต A ไปเซต B ทั้งหมดที่เรนจ์มีสมาชิกตัวเดียว = 3 ั ั ั ่ ฟังก์ชน สําหรับจํานวนฟังก์ชนจากเซต A ไปเซต B ทั้งหมดที่เรนจ์มีสมาชิกสองตัวนั้น สมมติวาสมาชิกสอง ตัวดังกล่าวคือ a และ b ดังนั้นการหาจํานวนฟังก์ชนจากเซต A ไปเซต B ทั้งหมดที่เรนจ์มีสมาชิกสองตัว จะ ั เหมือนกับการหาจํานวนฟังก์ชนจากเซต A ไปทัวถึงเซต {a, b} ซึ่งจากตัวอย่างในสื่ อจะได้วามีอยู่ 14 ั ่ ่ ฟังก์ชน ในทํานองเดียวกันจะสามารถเปลี่ยนเรนจ์ที่มีสมาชิกสองตัวให้เป็ น {a, c} และ {b, c} ดังนั้นจํานวน ั ฟังก์ชนจากเซต A ไปเซต B ทั้งหมดที่เรนจ์มีสมาชิกสองตัว = 3 ´ 14 = 42 ฟังก์ชน ทําให้ได้วาจํานวน ั ั ่ ฟังก์ชนจากเซต A ไปทัวถึงเซต B ทั้งหมดที่เป็ นไปได้ = 34 - 3 - 42 = 36 ฟังก์ชน  ั ่ ั   ั ่ นอกจากนี้ครู อาจยกตัวอย่างเพิ่มเติมโดยใช้ฟังก์ชนจากสื่ อตอนที่ผานๆ มาเพื่อให้นกเรี ยนช่วยกันพิจารณาว่าเป็ น ั ฟังก์ชนจากเซตใดไปทัวถึงเซตใด ซึ่งตอบได้ง่ายๆ จากการพิจารณาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์นนเอง   ั ่ ั่   แบบฝึ กหัดเพิมเติมเรื่องฟังก์ชันทัวถึง  ่ ่ จงระบุวาฟังก์ชนที่กาหนดให้ต่อไปนี้เป็ นฟังก์ชนจากเซตใดไปทัวถึงเซตใด   ่ ั ํ ั ่ 1. f (x ) = x 2 เมื่อ -1 < x £ 3   2. f (x ) = | x | เมื่อ -3 £ x < 1   3. f (x ) = 2x 2 - 1   x 4. f (x ) = 2   x -1 ì ï 1ü ï 5. f (x ) = min ïx , ï í ý   ï xï ï î ï þ    
  • 16. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 3. ฟังก์ ชันหนึ่งต่ อหนึ่ง
  • 17. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในช่วงนี้ได้อธิบายถึงบทนิยามของฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งจากเซต A ไปเซต B จากนั้นได้ต้ งข้อสังเกตเกี่ยวกับ ั ั ่ จํานวนสมาชิกของเซต A และเซต B ที่มีผลต่อการมีอยูของฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งจากเซต A ไปเซต B เมื่อทั้ง ั คูเ่ ป็ นเซตจํากัด             เมื่อมาถึงตรงนี้ครู ควรยํ้าว่าข้อสังเกตที่ได้ต้ งไว้ในสื่ อนั้น บอกเพียงว่าสําหรับเซต A และเซต B ที่เป็ นเซต ั จํากัด ถ้า n(A) > n(B ) แล้วจะไม่มีฟังก์ชน  f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง จากนั้นครู ควรชวน ั ั นักเรี ยนให้ช่วยกันอภิปรายว่า แล้วในกรณี ที่ n(A) £ n(B ) จะหาฟังก์ชน  f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อ ั ั หนึ่งได้อย่างน้อยหนึ่งฟังก์ชนเสมอหรื อไม่ ถ้าหาได้ให้นกเรี ยนช่วยกันยกตัวอย่างประกอบ   ั ั      
  • 18. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในช่วงนี้ได้อธิบายการนับจํานวนฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งที่เป็ นไปได้ท้ งหมดจากเซต A ไปเซต B เมื่อทั้งคู่เป็ น ั ั เซตจํากัด และ n(A) £ n(B )       สําหรับการนับจํานวนฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งที่เป็ นไปได้จากเซต A ไปเซต B เมื่อทั้งคู่เป็ นเซตจํากัดนั้น หาก ั นักเรี ยนยังไม่เข้าใจในทีแรกครู อาจแบ่งการอธิบายเป็ นขั้นๆ ดังนี้  1. ให้ n(A) = 1 แล้วค่อยๆ เพิ่ม n(B ) จาก 1 เป็ น 2 เป็ น 3 เรื่ อยไปจนเป็ นจํานวนนับ m ใดๆ  2. ให้ n(A) = 2 แล้วค่อยๆ เพิ่ม n(B ) จาก 2 เป็ น 3 เป็ น 4 เรื่ อยไปจนเป็ นจํานวนนับ m ใดๆ   3. ให้ n(A) = n และ n(B ) = m เมื่อ n และ m เป็ นจํานวนนับใดๆ ที่ n £ m     การนับจํานวนฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งที่เป็ นไปได้ท้ งหมดจากเซต A ไปเซต B เมื่อทั้งคู่เป็ นเซตจํากัดที่อธิบายใน ั ั สื่ อนั้นอาศัยหลักการคูณเช่นเดียวกัน ยิงไปกว่านั้นจํานวนฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งที่เป็ นไปได้ท้ งหมดจากเซต A ่ ั ั ไปเซต B เมื่อทั้งคู่เป็ นเซตจํากัดที่ได้น้ น เท่ากับจํานวนการจัดเรี ยงสิ่ งของที่แตกต่างกัน m สิ่ งโดยเลือกมา ั จัดเรี ยงในแนวเส้นตรงเพียง n สิ่ ง ซึ่งรายละเอียดของหลักการนับ และการจัดเรี ยงสิ่ งของนั้นนักเรี ยนจะได้ ศึกษาในสื่ อเรื่ องการนับและความน่าจะเป็ นโดยอาจารย์ณฐกาญจน์   ั   ครู ควรให้นกเรี ยนช่วยกันอภิปรายต่อในประเด็นต่างๆ เช่น  ั 1. สําหรับเซต A และเซต B ที่เป็ นเซตจํากัด หากมีฟังก์ชน f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งแล้ว ั ั จะเปรี ยบเทียบ n(A) กับ n(B ) ได้หรื อไม่ ถ้าได้ผลของการเปรี ยบเทียบเป็ นอย่างไร   2. หากเซต A เป็ นเซตอนันต์และเซต B เป็ นเซตจํากัดแล้วจะมี f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง ั ได้หรื อไม่ 
  • 19. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 3. หากเซต A เป็ นเซตจํากัดและเซต B เป็ นเซตอนันต์แล้วจะมี f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง ั ได้หรื อไม่  4. หาก A เป็ นเซตจํากัดและมีฟังก์ชน f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง แล้วเซต B เป็ นเซตจํากัด ั ั หรื อเซตอนันต์หรื อสรุ ปไม่ได้  5. หาก B เป็ นเซตอนันต์และมีฟังก์ชน f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง แล้วเซต A เป็ นเซต ั ั จํากัดหรื อเซตอนันต์หรื อสรุ ปไม่ได้  เป็ นต้น    เมื่อมาถึงตอนนี้ครู อาจยกตัวอย่างเหล่านี้เพิมเติม  ่   ตัวอย่ าง 4 กําหนดให้ A เป็ นเซตจํากัดใดๆ ที่ไม่ใช่เซตว่าง จงหาจํานวนฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งทั้งหมดที่เป็ นไป ั ได้จากเซต A ไปพาวเวอร์เซตของ A     วิธีทา เนื่องจากพาวเวอร์เซตของ A มีสมาชิก 2n (A) ตัว ซึ่งมากกว่า n(A) เสมอ (ทําไม) ดังนั้นจํานวนฟังก์ชน ํ ั หนึ่งต่อหนึ่งทั้งหมดที่เป็ นไปได้จากเซต A ไปพาวเวอร์เซตของ A เท่ากับ 2n (A)(2n (A) - 1)(2n (A) - 2)(2n (A) - (n(A) - 1)) ฟั งก์ชน  ั   ตัวอย่ าง 5 กําหนดให้ A = {1, 2} และ B = {1, 2, 3, ..., 10} จงหาจํานวนสมาชิกของเซต   {f : A  B | f เป็ นฟั งก์ชนหนึ่ งต่อหนึ่ ง และ มี x Î A ซึ่ ง f (x ) = x }   ั   วิธีทา จากโจทย์จะสามารถแยกพิจารณาเป็ นสองกรณี ได้ดงนี้   ํ ั ่ ่ ั กรณี x = 1 จะได้วา f = {(1,1), (2,)} เนื่องจาก f เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง ดังนั้น 2 จะจับคูกบ 1 ด้วย ั ฟังก์ชน f อีกไม่ได้ ทําให้มีจานวนวิธีที่จะนําตัวเลขในเซต B มาจับคู่กบ 2 เพียง 9 วิธี  ั ํ ั ่ ่ ั กรณี x = 2 จะได้วา f = {(1,), (2,2)} เนื่องจาก f เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง ดังนั้น 1 จะจับคูกบ 2 ด้วย ั ฟังก์ชน f อีกไม่ได้ ทําให้มีจานวนวิธีที่จะนําตัวเลขในเซต B มาจับคู่กบ 1 เพียง 9 วิธี  ั ํ ั อย่างไรก็ดีท้ งสองกรณี น้ ีมีการนับ f = {(1,1), (2,2)} ซํ้ากันสองครั้ง ดังนั้นจํานวนสมาชิกของเซต   ั {f : A  B | f เป็ นฟั งก์ชนหนึ่ งต่อหนึ่ ง และ มี x Î A ซึ่ ง f (x ) = x } เท่ากับ 9 + 9 - 1 = 17 ตัว  ั      
  • 20. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ั ํ ในช่วงนี้ได้อธิบายถึงการตรวจสอบว่าฟังก์ชนที่กาหนดให้เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งหรื อไม่ โดยวิธีเชิงพีชคณิ ตและ ั โดยการวาดกราฟ        เมื่อถึงตอนนี้ครู อาจตั้งข้อสังเกตให้นกเรี ยนเห็นว่าหากฟังก์ชนที่กาหนดมาให้น้ นมีพจน์ที่เกี่ยวข้องกับ | x | ั ั ํ ั หรื อ x n เมื่อ n เป็ นจํานวนคู่ ฟังก์ชนเหล่านั้นมีสิทธิ์จะไม่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งสูง เนื่องจาก ค่าของ x ที่ ั ั เป็ นน้อยกว่าศูนย์ หรื อมากกว่าศูนย์ เมื่อแทนค่าในพจน์ดงกล่าวแล้วจะมีค่ามากกว่าศูนย์ท้ งสิ้ น ทําให้ได้วา ั ั ่ สมาชิกตัวหน้าสองตัวที่ต่างกันมีสิทธิ์จะไปจับคู่กบสมาชิกตัวหลังตัวเดียวกันได้ ทั้งนี้ตองพิจารณาเงื่อนไขอื่นๆ ั ้ ที่เกี่ยวกับฟังก์ชนที่กาหนดให้อย่างรอบคอบก่อน ดังเช่นตัวอย่างนี้  ั ํ   x3 ตัวอย่ าง 6 จงพิจารณาว่าฟังก์ชน f (x ) = ั เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งหรื อไม่  ั |x |   x 13 x 23 ่ วิธีทา สําหรับ x 1 และ x 2 Î Df สมมติวา f (x1 ) = f (x1 ) นันคือ ํ ่ =   | x1 | | x2 | x 13 x 23 ่ กรณี ( x1 > 0 และ x 2 > 0 ) หรื อ ( x1 < 0 และ x 2 < 0 ) จะได้วา = ส่ งผลให้ | x1 | | x2 | x 13 x 23 x = 1 2 = = x 22 ทําให้ x1 = x 2   x1 x2 x 13 x 23 x 13 x 23 ่ กรณี x1 > 0 และ x 2 < 0 จะได้วา = ส่ งผลให้ 2 x = 1 =- = -x 22 ซึ่งเกิดข้อขัดแย้ง  | x1 | | x2 | x1 x2 x 13 x 23 x 13 x 23 ่ กรณี x1 < 0 และ x 2 > 0 จะได้วา = ส่ งผลให้ -x 12 = - = = x 22 ซึ่งเกิดข้อขัดแย้ง  | x1 | | x2 | x1 x2
  • 21. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ํ ่ จากทั้งสามกรณี ทาให้ได้วาถ้า f (x1 ) = f (x1 ) แล้ว x1 = x 2 แสดงว่า f เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง ซึ่งสามารถ ั พิจารณาได้จากกราฟของฟังก์ชนนี้เช่นกัน  ั 4     2     -2 -1 1 2     -2     -4   ั ่ เมื่อมาถึงตอนนี้ครู อาจยกตัวอย่างฟังก์ชนจากสื่ อตอนที่ผานๆ มาเพื่อให้นกเรี ยนช่วยกันตรวจสอบว่าเป็ นฟังก์ชน ั ั หนึ่งต่อหนึ่งหรื อไม่ นอกจากนี้ครู อาจยกตัวอย่างต่อไปนี้เพิ่มเติม    ตัวอย่ าง 6 จงพิจารณาว่าฟังก์ชน f (x ) = | 2x - 1 | +3 เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งหรื อไม่  ั ั   วิธีทา เนื่องจาก (0, 4) Î f และ (1, 4) Î f แต่ 0 ¹ 1 ดังนั้น f ไม่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง ทั้งนี้อาจสังเกต ํ ั ได้จากกราฟ  4.0 3.8 3.6 3.4 3.2 0.2 0.4 0.6 0.8 1.0
  • 22. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเห็นได้ชดว่ามีเส้นตรงที่ขนานกับแกน X ตัดกราฟ y = f (x ) มากกว่าหนึ่งจุด ั ตัวอย่ าง 8 จงพิจารณาว่าฟังก์ชน f (x ) = x 3 เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งหรื อไม่  ั ั   ่ ่ วิธีทา ให้ x1 และ x 2 Î Df สมมติวา x13 = f (x1 ) = f (x 2 ) = x 23 จะได้วา x1 = x 2 และ f เป็ นฟังก์ชนหนึ่ง ํ ั ต่อหนึ่ง สําหรับฟังก์ชนนี้นกเรี ยนสามารถลองลงรอยทางเดินของจุดเพือร่ างกราฟได้ดงรู ป ั ั ่ ั 1.0 0.5 - 1.0 - 0.5 0.5 1.0 - 0.5 - 1.0 จากกราฟเห็นได้ชดว่าเส้นตรงทั้งหลายที่ขนานกับแกน X ตัดกราฟของฟังก์ชนนี้เพียงจุดเดียวเท่านั้นแสดงว่า f ั ั เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง ั ตัวอย่ าง 7 จงพิจารณาว่าฟังก์ชน f (x ) = ax + b เมื่อ a, ั b, c และ d เป็ นจํานวนจริ งที่ c และ d ไม่เป็ นศูนย์ cx + d พร้อมกัน จงหาเงื่อนไขเพิ่มเติมของ a, b, c และ d ที่ทาให้ f เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง ํ ั ax 1 + b ax 2 + b ํ ่ วิธีทา ให้ x1 และ x 2 Î Df สมมติวา = f (x 1 ) = f (x 2 ) = ดังนั้น cx 1 + d cx 2 + d นันคือ (ad - bc)x1 = (ad - bc)x 2 จะได้วา acx 1x 2 + adx 1 + bcx 2 + bd = acx 1x 2 + bcx 1 + adx 2 + bd่ ่ ่ หาก ad - bc ¹ 0 จะได้วา x1 = x 2 และ f เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง ดังนั้นเงื่อนไขเพิ่มเติมคือ ad - bc ¹ 0 ั พึงสังเกตว่า ad - bc ¹ 0 ก็ต่อเมื่อ a ¹ b c d
  • 23. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แบบฝึ กหัดเพิมเติมเรื่องฟังก์ ชันหนึ่งต่ อหนึ่ง ่ จงพิจารณาว่าฟังก์ชนที่กาหนดให้ต่อไปนี้เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งหรื อไม่ พร้อมทั้งให้เหตุผลประกอบ ั ํ ั 1. f (x ) = -x 2. f (x ) = 2 | x | 3. f (x ) = -3x 2 + 1 เมื่อ x < 0 4. f (x ) = (x - 2)2 เมื่อ x ³ 0 5. f (x ) = จํานวนเต็มที่นอยที่สุดที่มากกว่าหรื อเท่ากับ x ้ 6. f (x ) = ห.ร.ม. ของ x กับ 123456 จากกราฟของฟังก์ชนที่กาหนดให้ต่อไปนี้ จงพิจารณาว่าเป็ นกราฟของฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งหรื อไม่ หากไม่เป็ นให้ ั ํ ั ยกตัวอย่างเส้นตรงที่ขนานกับแกน X และตัดกราฟของฟังก์ชนนั้นๆ มากกว่าหนึ่งจุด ั 7. 5 8. 1.0 0.5 4 - 1.0 - 0.5 0.5 1.0 1.5 2.0 3 - 0.5 2 - 1.0 1 - 1.5 - 2.0 -2 -1 0 1 2 9. 1.5 10. 6 1.0 0.5 4 -6 -4 -2 - 0.5 2 4 6 - 1.0 - 1.5 2 -6 -4 -2 2 4 6 -2 -4 -6
  • 24. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สรุปสาระสํ าคัญประจําตอน
  • 25. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย         ในช่วงที่สื่อกําลังสรุ ปสาระสําคัญประจําตอนนั้น ได้กล่าวถึงฟังก์ชน f : A  B ที่มีสมบัติทวถึง และ หนึ่งต่อหนึ่ง ั ั่ พร้อมๆ กัน ฟังก์ชนดังกล่าวนี้จะเรี ยกว่า ฟังก์ชนสมนัยหนึ่งต่อหนึ่ง (one-to-one correspondence function) ครู ควรนํา ั ั นักเรี ยนอภิปรายว่าหากเซต A และเซต B เป็ นเซตจํากัดทั้งคู่แล้วจํานวนสมาชิกของเซตทั้งสองมีผลต่อการมีอยูของ ่ ่ ฟังก์ชนสมนัยหนึ่งต่อหนึ่งระหว่างเซตทั้งสองหรื อไม่ โดยอาจเริ่ มจากเงื่อนไขที่วาถ้า n(A) ³ n(B ) แล้วจะสามารถ ั หาฟังก์ชน f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนทัวถึงได้เสมอ ในขณะที่หาก n(A) £ n(B ) แล้วจะสามารถหาฟังก์ชน ั ั ่ ั f : A  B ที่เป็ นฟั งก์ชนหนึ่ งต่อหนึ่ งได้เสมอ เพื่อนําไปสู่ ขอสรุ ปที่วาถ้า n(A) = n(B ) แล้วจะสามารถหาฟั งก์ชน ั ้ ่ ั f : A  B ที่เป็ นฟั งก์ชนสมนัยหนึ่ งต่อหนึ่ งได้เสมอ และในทางกลับกันสําหรับเซต A และเซต B ที่เป็ นเซตจํากัด ั ่ หากมี f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนสมนัยหนึ่งต่อหนึ่งแล้วจะได้วา n(A) = n(B ) เช่นกัน เมื่อมาถึงจุดนี้ครู อาจชี้ให้ ั นักเรี ยนตระหนักว่า การนับจํานวนสิ่ งของต่างๆ ที่มีอยูเ่ ป็ นจํานวนจํากัด ในชีวิตประจําวันของนักเรี ยนแท้จริ งแล้วคือ การสร้างฟังก์ชนสมนัยหนึ่งต่อหนึ่งจากเซต {1, 2, 3, ..., n} ไปยังเซตของสิ่ งของที่มี n ชิ้นนันเอง  ั ่  
  • 26. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในกรณี ที่ A และ B เป็ นเซตอนันต์ การมีอยูของฟังก์ชนสมนัยหนึ่งต่อหนึ่งระหว่างเซตทั้งสองนี้บ่งบอกว่าเซตทั้ง ่ ั สองนี้มี “จํานวนสมาชิก” เท่าๆ กัน ซึ่งนักเรี ยนอาจดูตวอย่างได้จาก โรงแรมของฮิลแบร์ท ในสื่ อบทนําเรื่ องเซต โดย ั อาจารย์จิณดิษฐ์ และอาจารย์รตินนท์   ั   ชวนคิด สําหรับเซต A ใดๆ จะมีฟังก์ชน f : A  A ที่เป็ นฟังก์ชนสมนัยหนึ่งต่อหนึ่งอย่างน้อยหนึ่งฟังก์ชนหรื อไม่ ั ั ั ถ้ามีจงยกตัวอย่างฟังก์ชนที่มีสมบัติดงกล่าว ถ้าไม่มีจงให้เหตุผลประกอบ ั ั
  • 27. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาคผนวกที่ 1 แบบฝึ กหัด/เนือหาเพิมเติม ้ ่
  • 28. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แบบฝึ กหัดระคน  สําหรับเซต A และเซต B ใดๆ จงพิจารณาว่าข้อความในข้อ 1 – 6 ว่าเป็ นจริ งหรื อไม่ พร้อมทั้งให้เหตุผล ประกอบ  1. ถ้า A เป็ นเซตจํากัดแล้วฟังก์ชน f : A  B ใดๆ เป็ นเซตจํากัด  ั 2. ถ้า A เป็ นเซตอนันต์แล้วมี f : A  B ที่เป็ นเซตจํากัด  3. ถ้า A เป็ นเซตอนันต์และ B เป็ นเซตจํากัดแล้วจะมี f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนทัวถึง   ั ่ ่ 4. ถ้า A เป็ นเซตจํากัดและมี f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนทัวถึงแล้วจะได้วา B เป็ นเซตจํากัด  ั ่ 5. ถ้า A เป็ นเซตอนันต์และ B เป็ นเซตจํากัดแล้วจะมี f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง  ั ่ 6. ถ้า A เป็ นเซตอนันต์และมี f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งแล้วจะได้วา B เป็ นเซตอนันต์   ั   7. กําหนดให้ A = {1, 2, 3, 4, 5, 6},   B = {{1}, {1, 2}, {1, 2, 3}, {1, 2, 3, 4}}  และ F = {f : B  A | f (X ) Ï X ทุกเซต X Î B } จงหาจํานวนสมาชิกของ F    8. กําหนดให้ A = {1, 2, 3, 4} และ S = {f : A  A | f (x ) £ x + 1 ทุก x Î A} จงหาจํานวนสมาชิก ของ S   9. กําหนดให้ A = {1, 2} และ B = {1, 2, 3, ..., 10} จงหาจํานวนสมาชิกของเซต   {f : A  B | f เป็ นฟั งก์ชนหนึ่ งต่อหนึ่ ง และ มี x Î A ซึ่ ง f (x ) ¹ x }   ั 10. กําหนดให้ A = {0, 1, 2, 3} และ P (A) คือพาวเวอร์เซตของ A จงหาจํานวนสมาชิกของเซต {f : A  P (A) | x Ï f (x ) และ x + 1 Ï f (x ) ทุก x Î A}  
  • 29. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาคผนวกที่ 2 เฉลยแบบฝึ กหัด
  • 30. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เฉลยแบบฝึ กหัดเรื่องฟังก์ ชันจากเซต  A ไปเซต  B   1. น้อยกว่าอยู่ 6049 ฟังก์ชน   ั 2. ให้ n และ m เป็ นจํานวนนับใดๆ และ A และ B เป็ นเซตจํากัดที่ n(A) = n และ n(B ) = m จะได้วา ่ จํานวนความสัมพันธ์ท้ งหมดที่เป็ นไปได้จากเซต A ไปเซต B หรื อจากเซต B ไปเซต A คือ 2nm ั ความสัมพันธ์ จํานวนฟังก์ชน f : A  B ทั้งหมดที่เป็ นไปได้คือ m n ฟังก์ชน และจํานวนฟังก์ชน ั ั ั f : B  A ทั้งหมดที่เป็ นไปได้คือ n m เนื่ องจากฟั งก์ชน f : A  B เป็ นความสัมพันธ์จากเซต A ไปเซต ั B แบบหนึ่ ง และฟั งก์ชน f : B  A เป็ นความสัมพันธ์จากเซต B ไปเซต A แบบหนึ่ ง จึงสรุ ปได้วา ั ่ m n £ 2nm และ n m £ 2nm   3. 12285 ตัว 4. 15625 ตัว 5. 24 ตัว  เฉลยแบบฝึ กหัดเรื่องฟังก์ ชันทัวถึง  ่ 1. f เป็ นฟังก์ชนจากเซต (-1, 3] ไปทัวถึง [0, 9] ั ่ 2. f เป็ นฟังก์ชนจากเซต [-3,1) ไปทัวถึง [0, 3]   ั ่ æ 1 ùú éê 1 ö 3. f เป็ นฟังก์ชนจากเซต ç-¥, - ั ç ç È , ¥÷ ไปทัวถึง [0, ¥)   ÷ ÷ ่ ç è ú ê ÷ ø 2û ë 2 4.f เป็ นฟั งก์ชนจากเซต  - {-1, 1} ไปทัวถึง  - {0} ั ่   5. f เป็ นฟังก์ชนจากเซต  - {0} ไปทัวถึง (-¥, -1] È (0,1]   ั ่   เฉลยแบบฝึ กหัดเรื่องฟังก์ ชันหนึ่งต่ อหนึ่ง  1. เป็ น เพราะทุก x1 และ x 2 ในโดเมนของ f ถ้า -x1 = -x 2 แล้ว x1 = x 2   2. ไม่เป็ น เพราะมี f (-1) = 2 = f (1) แต่ -1 ¹ 1   3. เป็ น เพราะทุก x1 และ x 2 ในโดเมนของ f ถ้า -3x12 + 1 = -3x 22 + 1 แล้ว | x1 | = | x 2 | แต่ในที่น้ ี ่ x 1 < 0 และ x 2 < 0 ทําให้ได้วา x 1 = x 2   4. ไม่เป็ น เพราะมี f (1) = 1 = f (3) แต่ 1 ¹ 3   5. ไม่เป็ น เพราะมี f (1) = 1 = f (0.9) แต่ 1 ¹ 0.9   6. ไม่เป็ น เพราะมี f (4) = 4 = f (20) แต่ 4 ¹ 20   7. เป็ น 8. เป็ น 
  • 31. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 9. ไม่เป็ น เพราะมีเส้นตรงดังรู ปตัดกราฟมากกว่าหนึ่งจุด 10. ไม่เป็ น เพราะมีเส้นตรงดังรู ปตัดกราฟมากกว่า   หนึ่งจุด   6   1.5 4 1.0   0.5 2 -6 -4 -2 - 0.5 2 4 6   - 1.0 -6 -4 -2 2 4 6 - 1.5   -2 -4   -6   เฉลยแบบฝึ กหัดระคน    1. จริ ง เพราะ Df = A   2. เท็จ เช่น A =  เนื่องจาก Df = A =  ทําให้ฟังก์ชนจากเซต A =  ไปเซต B เป็ นเซตอนันต์   ั ่ 3. จริ ง สมมติวา n(B ) = n เนื่องจากเซต A เป็ นเซตอนันต์ ดังนั้นสร้างฟังก์ชนจากสมาชิก n ตัวของเซต A ั กับสมาชิกทุกตัวของเซต B จากนั้นสมาชิกที่เหลือของเซต A สร้างฟังก์ชนโดยกําหนดค่าฟังก์ชนให้เป็ น ั ั สมาชิกตัวใดตัวหนึ่งของเซต B   4. จริ ง เพราะการที่มีฟังก์ชน f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนทัวถึง แสดงว่า n(A) ³ n(B )   ั ั ่ 5. เท็จ เช่น f :   {1} เนื่องจาก Df =  ทําให้ฟังก์ชนระหว่างเซตทั้งสองนี้ไม่มีทางเป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อ ั ั หนึ่งได้  6. จริ ง เพราะการที่มีฟังก์ชน f : A  B ที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง แสดงว่า n(A) £ n(B )   ั ั 7. 120 ตัว 8. 96 ตัว 9. 89 ตัว 10. 512 ตัว