10. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มาถึงตอนนี้จึงสรุ ปข้อสังเกตที่ได้จากตัวอย่างเป็ นทฤษฎีบท และได้ให้ขอสังเกตเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างโดเมน
้
และเรนจ์ของฟังก์ชน กับโดเมนและเรนจ์ของฟังก์ชนอินเวอร์ส
ั ั
เมื่อมาถึงตอนนี้ครู อาจให้ขอสังเกตเพิ่มเติมกับนักเรี ยนว่า ถ้า r เป็ นความสัมพันธ์ แล้วจะใช้สญลักษณ์ r -1 แทนอิน
้ ั
เวอร์สของความสัมพันธ์ r อย่างไรก็ดีหาก f เป็ นฟังก์ชนสัญลักษณ์ f -1 มักจะสงวนไว้สาหรับอินเวอร์สของ
ั ํ
ฟังก์ชนที่เป็ นฟังก์ชน หรื อฟังก์ชนอินเวอร์สเท่านั้น
ั ั ั
หลังจากนักเรี ยนเข้าใจบทนิยามของฟังก์ชนอินเวอร์สแล้ว ครู ควรพยายามยกตัวอย่างฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งจาก A และ
ั ั
B ที่เป็ นสับเซตของจํานวนจริ งหลายๆ ฟั งก์ชน ให้นกเรี ยนช่วยกันสังเกตและอภิปรายจนได้ขอสรุ ปเหล่านี้
ั ั ้
1. ถ้า f เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง แล้ว f -1 ที่เป็ นฟังก์ชนจะเป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งด้วย แต่ f -1 จะเป็ นฟังก์ชนหนึ่ง
ั ั ั ั
ต่อหนึ่งจากเซตใดไปยังเซตใด
่
พิสูจน์ บทพิสูจน์น้ ีจะพิสูจน์เฉพาะข้อความที่วา ถ้า f เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง แล้ว f -1 ที่เป็ นฟังก์ชนจะเป็ น
ั ั
ฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง สําหรับประเด็นหลังขอให้นกเรี ยนช่วยกันคิดหาคําตอบเอง
ั ั
่ ั ่
สมมติวา f เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง จะได้วา f -1 เป็ นฟังก์ชน สําหรับ x1 Î Df และ x 2 Î Df ให้
ั -1 -1
่
f -1(x 1 ) = f -1(x 2 ) ดังนั้น (x 1, f -1(x 1 )) Î f -1 และ (x 2, f -1(x 2 )) Î f -1 ทําให้ได้วา (f -1(x 1 ), x 1 ) Î f และ
ั ่
(f -1(x 2 ), x 2 ) Î f เนื่ องจาก f เป็ นฟั งก์ชนทําให้ได้วาไม่มีการใช้สมาชิกตัวหน้าซํ้ากัน ดังนั้น x 1 = x 2 นันคือ f -1่
เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง
ั
9
11. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2. ถ้า f เป็ นฟังก์ชนสมนัยหนึ่งต่อหนึ่ง แล้ว f -1 ที่เป็ นฟังก์ชนจะเป็ นฟังก์ชนสมนัยหนึ่งต่อหนึ่งด้วย และ f -1 จะ
ั ั ั
เป็ นฟังก์ชนสมนัยหนึ่งต่อหนึ่งจากเซตใดไปยังเซตใด
ั
่
พิสูจน์ สมมติวา f เป็ นฟังก์ชนสมนัยหนึ่งต่อหนึ่ง จากข้อ 1. ได้พิสูจน์ไปแล้วว่า f -1 เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง
ั ั
เนื่องจาก f สมนัยหนึ่งต่อหนึ่ง ดังนั้น f เป็ นฟังก์ชนจาก A ไปทัวถึง B นันคือ Df = A และ Rf = B ต่อมา
ั ่ ่
่
เนื่องจาก f -1 เป็ นอินเวอร์ส ของฟังก์ชน f จึงทําให้ได้วา Df = B และ Rf = A ดังนั้น f -1 เป็ นฟังก์ชน
ั -1 -1 ั
สมนัยหนึ่งต่อหนึ่งจาก B ไป A
3. ถ้า f เป็ นฟังก์ชนเพิ่มแล้ว f -1 เป็ นฟังก์ชนเพิม
ั ั ่
่
พิสูจน์ สมมติวา f เป็ นฟังก์ชนเพิ่ม สําหรับ x1 Î Df และ x 2 Î Df ให้ f -1(x1 ) < f -1(x 2 ) ดังนั้น
ั -1 -1
่
(x 1, f -1(x 1 )) Î f -1 และ (x 2, f -1(x 2 )) Î f -1 ทําให้ได้วา (f -1(x 1 ), x 1 ) Î f และ (f -1(x 2 ), x 2 ) Î f เนื่ องจาก f
ั ่ ่
เป็ นฟังก์ชนเพิมทําให้ได้วา x1 < x 2 นันคือ f -1 เป็ นฟังก์ชนเพิ่ม
่ ั
4. ถ้า f เป็ นฟังก์ชนลดแล้ว f -1 เป็ นฟังก์ชนลด
ั ั
พิสูจน์ ให้นกเรี ยนช่วยกันทําเป็ นแบบฝึ กหัด
ั
5. ถ้า f เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งแล้ว (f -1 )-1 = f
ั
พิสูจน์ สําหรับคู่อนดับ (x, y ) ใดๆ (x, y ) Î f ก็ต่อเมื่อ (y, x ) Î f -1 ก็ต่อเมื่อ (x, y ) Î (f -1 )-1
ั
10
13. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ั ั ํ
ในช่วงนี้ได้ยกตัวอย่างการหาฟังก์ชนอินเวอร์สจากฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งที่กาหนดให้ และวาดกราฟของฟังก์ชนและ
ั
ฟังก์ชนอินเวอร์สบนระนาบ XY เดียวกัน ซึ่งจะมีสมบัติเช่นเดียวกับกราฟของความสัมพันธ์และอินเวอร์สของ
ั
ความสัมพันธ์ กล่าวคือมีเส้นตรง y = x เป็ นแกนสมมาตร
เมื่อมาถึงตอนนี้ครู อาจยกตัวอย่างโดยใช้ฟังก์ชนที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งในสื่ อตอนอื่นๆ มาให้นกเรี ยนฝึ กหา
ั ั ั
ฟังก์ชนอินเวอร์ส นอกจากนี้ยงอาจยกตัวอย่างเหล่านี้เพิมเติม โดยตัวอย่างที่กาหนดให้ต่อไปนี้จะข้ามขั้นตอน
ั ั ่ ํ
การตรวจสอบว่าฟังก์ชนที่กาหนดมาให้เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่งหรื อไม่ ซึ่งขั้นตอนนี้ขอให้นกเรี ยนระลึกอยู่
ั ํ ั ั
เสมอว่าต้องตรวจสอบก่อน และขอให้นกเรี ยนช่วยกันทําเป็ นแบบฝึ กหัด
ั
ìx ; 0 £ x < 1
ï
ตัวอย่ าง 1 กําหนดให้ f (x ) = ï
í จงหา f -1 โดยระบุโดเมนและเรนจ์ของ f -1 แล้ววาดกราฟ
ïx + 1; x ³ 1
ï
î
ของ f และ f -1 บนระนาบ XY เดียวกัน
12
14. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ํ ั ํ
วิธีทา จากฟังก์ชนที่กาหนดให้ตองแยกการพิจารณาออกเป็ นสองกรณี
้
่
กรณี 0 £ x < 1 จะได้วา y = f (x ) = x เพื่อจะหาอินเวอร์ส ทําการสลับบทบาทระหว่าง x และ y จะได้วา ่
่
x = y เมื่อ 0 £ y < 1 ดังนั้นในกรณี น้ ี จะได้วา f -1(x ) = x เมื่อ 0 £ x < 1
่
กรณี x ³ 1 จะได้วา y = f (x ) = x + 1 เพื่อจะหาอินเวอร์ส ทําการสลับบทบาทระหว่าง x และ y จะได้วา ่
่
x = y + 1 เมื่อ y ³ 1 นันคือ y = x - 1 เมื่อ x - 1 ³ 1 ดังนั้นในกรณี น้ ี จะได้วา f -1(x ) = x - 1 เมื่อ
่
x ³2
ìx ; 0 £ x < 1
ï
ดังนั้น f (x ) = ï
-1
í โดยสามารถวาดกราฟของ f และ f -1 ่
ที่อยูคนละระนาบ และ กราฟของ
ï x - 1; x ³ 2
ï
î
-1
่
f และ f ที่อยูบนระนาบ XY เดียวกันได้ดงรู ปั
3.5
3.0
3.0
-1
f
2.5
2.5
f
2.0
2.0
1.5
1.5
1.0
1.0
0.5 0.5
0.5 1.0 1.5 2.0 2.5 0 1 2 3 4
3.0
2.5
2.0
1.5
1.0
0.5
0.0 0.5 1.0 1.5 2.0 2.5 3.0
่
จากกราฟของ f -1 จะเห็นได้วา Df -1 = [0,1) È [2, ¥) และ Rf -1 = [0, ¥)
13
15. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ตัวอย่ าง 2 กําหนดให้ f (x ) = -(x - 1)2 ทุก x £ 1 จงหา f -1 โดยระบุโดเมนและเรนจ์ของ f -1 แล้ววาด
กราฟของ f และ f -1 บนระนาบ XY เดียวกัน
่
วิธีทา จากโจทย์จะได้วา y = -(x - 1)2 เมื่อ x £ 1 เพื่อจะหาอินเวอร์ส ทําการสลับบทบาทระหว่าง x และ y จะ
ํ
่
ได้วา x = -(y - 1)2 เมื่อ y £ 1 นันคือ (y - 1)2 = -x ทําให้มีเงื่อนไขว่า x £ 0 และ y £ 1 คํานวณต่อมาจะได้
่
่
y - 1 = -x แต่ y £ 1 ดังนั้น y = 1 - -x ในกรณี น้ ี จะได้วา f -1(x ) = 1 - -x โดยที่
Df = (-¥, 0] และ Rf = (-¥,1] และวาดกราฟของ f และ f -1 บนระนาบ XY เดียวกันได้ดงรู ป
-1 -1 ั
y=x
2
1
-1
f
-3 -2 -1 1
f
-1
-2
-3
-4
14
16. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในช่วงนี้ได้ยกตัวอย่างการหา f -1 เมื่อกําหนดให้ f (x ) = ax + b โดยที่ a, b, c และ d เป็ นจํานวนจริ งที่ไม่
cx + d
เท่ากับศูนย์
สําหรับตัวอย่างนี้ถา b และ d ไม่เป็ นศูนย์พร้อมกันก็ยงคํานวณ f -1(x ) ได้เช่นกัน อย่างไรก็ดีสิ่งที่สาคัญยิงประการ
้ ั ํ ่
หนึ่งสําหรับตัวอย่างนี้ คือ การรับประกันว่า f เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง ซึ่งได้ยกตัวอย่างไว้ในคู่มือสื่ อตอนที่ 4
ั
ฟังก์ชนเบื้องต้น ว่า f (x ) = ax + b จะเป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง เมื่อ ad - bc ¹ 0 ในที่นี่จะขอแนะนําการวาด
ั ั
cx + d
1
ั ุ่
กราฟของฟังก์ชนในลักษณะนี้ โดยพิจารณาจากกรณี ที่ไม่ยงยากก่อน กล่าวคือ จะวาดกราฟของฟังก์ชน
ั f (x ) =
x
ั ั ่
ซึ่งครู อาจให้นกเรี ยนช่วยกันลงรอยทางเดินของจุด เพื่อสังเกตค่าของฟังก์ชนเมื่อ x < 0 และ x > 0 ซึ่งจะได้วา
กราฟจะมีลกษณะดังรู ป
ั
2
1
-4 -2 2 4
-1
-2
กราฟในลักษณะนี้จะเรี ยกว่าไฮเพอร์โบลามุมฉาก สังเกตว่ากราฟจะไม่มีทางตัด หรื อสัมผัสแกน X และ แกน Y
่
โดยจะเรี ยกแกนทั้งสองนี้วาเส้นกํากับ กล่าวคือกํากับ “ความกว้าง” ของไฮเพอร์โบลาไม่ให้มากเกินเส้นกํากับทั้งสองนี้
15
17. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นอกจากนี้ยงอาจกล่าวว่าจุด (0, 0) เป็ นจุดศูนย์กลางของไฮเพอร์โบลามุมฉากรู ปนี้ เมื่อมาถึงตอนนี้ครู อาจให้นกเรี ยน
ั ั
1
ช่วยกันคิดต่อว่า หากมีการเปลี่ยนรู ปแบบของฟังก์ชน
ั f (x ) = ให้อยูในรู ป g(x ) = 1 + k เมื่อ k เป็ นจํานวน
่
x x
่
จริ งที่ไม่ใช่ศูนย์ จะได้วา กราฟของไฮเพอร์โบลามุมฉากรู ปเดิมจะเลื่อนในแนวดิ่ง k หน่วย โดยถ้า k > 0 จะเลื่อน
้ ่ ่
ขึ้น แต่ถา k < 0 จะเลื่อนลง นันคือจุดศูนย์กลางของไฮเพอร์โบลาจะเปลี่ยนไปอยูที่จุด (0, k ) และเส้นกํากับจะ
กลายเป็ นเส้นตรง y = k และแกน Y ดังรู ป
k>0
k<0
1 1
ในขณะที่การเปลี่ยนรู ปแบบของฟังก์ชน
ั f (x ) = ่
ให้อยูในรู ป h(x ) = เมื่อ h เป็ นจํานวนจริ งที่ไม่ใช่ศูนย์
x x -h
่
จะได้วา กราฟของไฮเพอร์โบลามุมฉากรู ปเดิมจะเลื่อนในแนวนอน h หน่วย โดยถ้า h > 0 จะเลื่อนไปทางขวา แต่
่
ถ้า h < 0 จะเลื่อนไปทางซ้าย นันคือจุดศูนย์กลางของไฮเพอร์โบลาจะเปลี่ยนไปอยูที่จุด (h, 0) และเส้นกํากับจะ
่
กลายเป็ นเส้นตรง x = h และแกน X ดังรู ป
h>0 h<0
1 1
ดังนั้นหากเปลี่ยนรู ปแบบของฟังก์ชน
ั f (x ) = ่
ให้อยูในรู ป r (x ) = + k เมื่อ h และ k เป็ นจํานวนจริ งที่
x x -h
่ ่
ไม่ใช่ศูนย์ จะได้วา จุดศูนย์กลางของไฮเพอร์โบลาจะเปลี่ยนไปอยูที่จุด (h, k ) และเส้นกํากับจะกลายเป็ นเส้นตรง
x =h และเส้นตรง y = k ดังนั้นในกรณี ที่ h และ k เป็ นจํานวนจริ งบวกจะได้กราฟของฟังก์ชน r ดังรู ป
ั
16
18. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เมื่อมาถึงตอนนี้นกเรี ยนน่าจะพอเชื่อมโยงได้วา หากเปลี่ยนรู ปแบบของฟังก์ชน f (x ) = ax + b ในกรณี ที่ c และ
ั ่ ั
cx + d
1
ad - bc ่
เป็ นจํานวนจริ งที่ไม่เท่ากับศูนย์ ให้อยูในรู ปแบบที่คล้ายกับฟังก์ชน ฟังก์ชน r (x ) =
ั ั +k ก็จะ
x -h
สามารถร่ างกราฟของฟังก์ชนนี้ได้เช่นกัน การเปลี่ยนรู ปแบบดังกล่าวทําได้โดย
ั
æ ö æ b dö æ ö
çx + d + b - d ÷
ç ÷ ç
ç - ÷ ÷ ç
ç 1 ÷
÷
f (x ) =
ax + b a ç
= ç ç c a c ÷ = a ç1 + a c ÷ = bc - ad ç
÷
÷ ç ÷
÷ ç +
ac ÷ ÷
÷
cx + d cçç d ÷ cç
÷
÷ ç
ç d÷
÷
÷ c 2 ç
ç
ç x + d bc - ad ÷
÷
÷
ç x+ ÷
÷ ç x+ ÷ ç ÷
ç
è c ø ç
è c÷ø ç
è c ÷
ø
จะเห็นว่ามีพจน์ bc - ad มาคูณอยูขางหน้า ให้นกเรี ยนช่วยกันอภิปรายว่า พจน์น้ ีมีผลอย่างไรต่อลักษณะของกราฟ
่ ้ ั
c2
æ ö
โดยเริ่ มจากการพิจารณาฟังก์ชนในรู ป f (x ) = a ç 1 ÷ ในกรณี ที่ a เป็ นจํานวนจริ งบวก และในกรณี ที่ a เป็ นจํานวน
ั ç ÷
çx ÷
è ÷ ø
จริ งลบก่อน
17
19. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สําหรับปัญหาชวนคิดที่ทิ้งไว้ทายสื่ อชุดนี้ นักเรี ยนสามารถช่วยกันอภิปรายโดยพิจารณาจากตัวอย่างเพิ่มเติมที่ได้
้
ให้ไว้ในคู่มือของสื่ อตอนนี้ ซึ่งจะเห็นได้วา กราฟของ f และ f -1 ไม่จาเป็ นต้องตัดกันเสมอ ดังเช่นในตัวอย่าง
่ ํ
2 ข้างต้น
ั ํ ํ ่
นอกจากนี้นกเรี ยนน่าจะได้คาตอบด้วยว่าถ้ากราฟของ f และ f -1 ตัดกันแล้วจุดตัดไม่จาเป็ นต้องอยูบน
่
เส้นตรง y = x กล่าวคือถ้ากราฟของฟังก์ชน f ที่มีสมมาตรกับเส้นตรง y = x อยูแล้วจุดตัดของ f และ
ั
f -1 ่
จะอยูนอกเส้นตรง y = x ได้ เช่น f (x ) = -x หรื อ f (x ) = 1 เป็ นต้น สังเกตว่าตัวอย่างทั้งสองนี้มี
x
่
สมบัติวา f (x ) = f -1
(x ) ทุก x Î Df Ç Df -1ครู และนักเรี ยนควรช่วยอภิปรายกันต่อว่า หาก มี
x Î Df Ç Df -1 ่
ที่ f (x ) ¹ f -1(x ) และกราฟของ f และ f -1 ตัดกันแล้วจุดตัดจําเป็ นต้องอยูบนเส้นตรง
y =x หรื อไม่
18
20. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
แบบฝึ กหัดเพิมเติมเรื่องอินเวอร์ สของฟังก์ชันและฟังก์ชันอินเวอร์ ส และกราฟของฟังก์ชันอินเวอร์ ส
่
สําหรับฟังก์ชน f ที่กาหนดให้ต่อไปนี้ จงแสดงว่ามี f -1 จากนั้นจงหา f -1 โดยระบุโดเมนและเรนจ์ของ f -1
ั ํ
แล้ววาดกราฟของ f และ f -1 บนระนาบ XY เดียวกัน
1. f (x ) = 1 - x ทุก x £ 1
ì1 - x ; 0 £ x £ 1
ï
2. f (x ) = ï
í
ï1 + x - 1; x > 1
ï
ï
î
ìx + 1; x ³ 1
ï
3. f (x ) = ï
í
ïx - 1; x < 0
ï
î
4. f (x ) = x 2 - 1 เมื่อ x ³ 0
5. f (x ) = x 2 + 2x + 5 เมื่อ x ³ -1
19
24. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
แบบฝึ กหัดระคน
1. กําหนดให้ f (x ) = x และ A = {x Î | f -1(x ) + (f (x ))2 - 2 = 0} จงเขียนเซต A แบบแจกแจงสมาชิก
2. กําหนดให้ f และ g เป็ นฟังก์ชนซึ่ง Df = [0, ¥) โดยที่ f -1(x ) = x 2 ทุก x ³ 0 และ
ั
æ ö
g -1(x ) = ( f (x ))2 + 1 ทุก x ³ 0 ถ้า a > 0 ทําให้ (f + g )(a ) = 19 แล้วจงหาค่าของ (f -1 + g -1 )ça ÷
ç ÷
ç ÷÷
ç4ø
è
ì1 - x ; 0 £ x £ 1
ï
ï
3. กําหนดให้ f (x ) = í จงหาจํานวนจริ ง a ³ 0 ที่ทาให้ f -1(a ) = a
ํ
ï1 + x - 1; x > 1
ï
ï
î
4. สําหรับจํานวนจริ ง a ที่ไม่เท่ากับศูนย์ จงหา f -1(x ) เมื่อกําหนดให้ f (x ) = ax + b
จงหา f -1(x ) พร้อมทั้งระบุโดเมนและเรนจ์ของ f -1 เมื่อกําหนดให้
3-x
5. f (x ) =
x -4
ìn
ï
ï ;
ï n Î E+
ï2
ï
6. f (n ) = ï
í
ï
ï1 - n
ï
ï +
ï 2 ; n ÎO
ï
î
เมื่อ E + คือเซตของจํานวนนับที่เป็ นจํานวนคู่ และ O + คือเซตของจํานวนนับที่เป็ นจํานวนคี่
ì3 - x ; x < 1
ï
7. f (x ) = ï
í
ï3 - x 2 ; x ³ 1
ï
ï
î
x
8. f (x ) =
1+ | x |
23