SlideShare a Scribd company logo
1 of 41
Download to read offline
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย




         คู่มือประกอบสื่ อการสอน วิชาคณิตศาสตร์

                                      เรื่อง

                     ความสั มพันธ์ และฟังก์ ชัน
                         (เนือหาตอนที่ 5)
                             ้
                       พีชคณิตของฟังก์ชัน

                                      โดย

                 อาจารย์ ดร.รตินันท์ บุญเคลือบ


       สื่ อการสอนชุดนี้ เป็ นความร่ วมมือระหว่ าง
    คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย กับ
สํ านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพืนฐาน (สพฐ.)
                                          ้
                 กระทรวงศึกษาธิการ
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
          สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


                       สื่ อการสอน เรื่อง ความสั มพันธ์ และฟังก์ ชัน
       สื่ อการสอน เรื่ อง ความสัมพันธ์และฟังก์ชน มีจานวนตอนทั้งหมดรวม 16 ตอน ซึ่งประกอบด้วย
                                                ั ํ

1. บทนํา เรื่อง ความสั มพันธ์ และฟังก์ชัน
2. เนือหาตอนที่ 1 ความสั มพันธ์
          ้
                       - แผนภาพรวมเรื่ องความสัมพันธ์และฟังก์ชนั
                       - ผลคูณคาร์ทีเซียน
                       - ความสัมพันธ์
                       - การวาดกราฟของความสัมพันธ์
3. เนือหาตอนที่ 2 โดเมนและเรนจ์
                ้
                       - โดเมนและเรนจ์
                       - การหาโดเมนและเรนจ์โดยการแก้สมการ
                       - การหาโดเมนและเรนจ์โดยการวาดกราฟ
4. เนือหาตอนที่ 3 อินเวอร์ สของความสั มพันธ์ และบทนิยามของฟังก์ชัน
                  ้
                       - อินเวอร์สของความสัมพันธ์
                       - บทนิยามของฟังก์ชน   ั
5. เนือหาตอนที่ 4 ฟังก์ ชันเบืองต้ น
      ้                                ้
                       - ฟั งก์ชนจากเซต A ไปเซต B
                                  ั
                       - ฟังก์ชนทัวถึง
                                    ั ่
                       - ฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง
                                ั
6. เนือหาตอนที่ 5 พีชคณิตของฟังก์ชัน
        ้
                       - พีชคณิ ตของฟังก์ชนั
                       - ตัวอย่างประเภทของฟังก์ชนพื้นฐาน
                                                 ั
7. เนือหาตอนที่ 6 อินเวอร์ สของฟังก์ชันและฟังก์ชันอินเวอร์ ส
              ้
                       - อินเวอร์สของฟังก์ชนละฟังก์ชนอินเวอร์ส
                                               ั    ั
                       - กราฟของฟังก์ชนอินเวอร์ส
                                         ั
8. เนือหาตอนที่ 7 ฟังก์ชันประกอบ
            ้
                       - ฟังก์ชนประกอบ
                                     ั
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
             สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

                           - โดเมนและเรนจ์ของฟังก์ชนประกอบ
                                                      ั
                           - สมบัติของฟังก์ชนประกอบ
                                             ั
 9. แบบฝึ กหัด (พืนฐาน 1)
                   ้
10. แบบฝึ กหัด (พืนฐาน 2)
                     ้
11. แบบฝึ กหัด (ขั้นสู ง)
12. สื่ อปฏิสัมพันธ์ เรื่อง ความสั มพันธ์ และฟังก์ชัน
13. สื่ อปฏิสัมพันธ์ เรื่อง อินเวอร์ สของความสั มพันธ์ และฟังก์ ชันอินเวอร์ ส
14. สื่ อปฏิสัมพันธ์ เรื่อง โดเมนและเรนจ์
15. สื่ อปฏิสัมพันธ์ เรื่อง พีชคณิตและการประกอบของฟังก์ชัน
16. สื่ อปฏิสัมพันธ์ เรื่อง การเลือนแกน
                                  ่

         คณะผูจดทําหวังเป็ นอย่างยิงว่า สื่ อการสอนชุดนี้ จะเป็ นประโยชน์ต่อการเรี ยนการสอนสําหรับ
                ้ั                     ่
 ครู และนักเรี ยนทุกโรงเรี ยนที่ใช้สื่อชุดนี้ร่วมกับการเรี ยนการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ เรื่ อง ความสัมพันธ์
 และฟั ง ก์ชัน นอกจากนี้ หากท่ านสนใจสื่ อ การสอนวิ ชาคณิ ต ศาสตร์ ใ นเรื่ อ งอื่ นๆที่ ค ณะผูจ ัด ทํา ได้
                                                                                               ้
 ดําเนินการไปแล้ว ท่านสามารถดูชื่อเรื่ อง และชื่อตอนได้จากรายชื่อสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ท้ งหมด ั
                   ่
 ในตอนท้ายของคูมือฉบับนี้
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                   สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

    เรื่อง               ความสัมพันธ์และฟังก์ชน
                                              ั
    หมวด                 เนื้อหา
    ตอนที่               5 (5/7)

    หัวข้ อย่ อย             1. พีชคณิ ตของฟังก์ชน ั
                             2. ตัวอย่างของฟังก์ชนพื้นฐาน
                                                 ั
    จุดประสงค์ การเรียนรู้
        เพื่อให้ผเู ้ รี ยน
        1. เข้าใจบทนิยามของการดําเนินการทางพีชคณิ ตของฟังก์ชน    ั
                                                               ั ํ
        2. คํานวณผลของการดําเนินการทางพีชคณิ ตของฟังก์ชนที่กาหนดมาให้ได้
        3. เข้าใจบทนิยามของฟังก์ชนลดและฟังก์ชนเพิ่ม
                                               ั          ั
        4. ได้เห็นตัวอย่างฟังก์ชนพื้นฐานชนิดต่างๆ
                                         ั
    ผลการเรียนรู้ทคาดหวังี่
        ผูเ้ รี ยนสามารถ
                                                              ั ํ
        1. คํานวณผลของการดําเนินการทางพีชคณิ ตของฟังก์ชนที่กาหนดมาให้ได้
                             ่                         ั ํ
        2. ระบุได้วาช่วงใดในโดเมนของฟังก์ชนที่กาหนดทําให้ฟังก์ชนนั้นเป็ นฟังก์ชนลด และช่วงใดใน
                                                                   ั           ั
                            ั ํ
    โดเมนของฟังก์ชนที่กาหนดทําให้ฟังก์ชนนั้นเป็ นฟังก์ชนเพิ่ม
                                                     ั      ั
        3. สามารถยกตัวอย่างฟังก์ชนพื้นฐานต่างๆ และวาดกราฟของฟังก์ชนพื้นฐานเหล่านั้นได้
                                             ั                       ั


 
                                   
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
    สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


                                      เนือหาในสื่ อ 
                                         ้
 




                                                                                       
 
 




                                                                                       
 
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย




                        1. พีชคณิตของฟังก์ ชัน
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                   สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในตอนนี้ได้ยกตัวอย่างพีชคณิ ตของฟังก์ชนที่นกเรี ยนอาจได้ใช้ในชีวตประจําวันโดยไม่รู้ตว จากนั้นพยายาม
                                          ั ั                     ิ                   ั
ยกตัวอย่างเพือชักจูงให้นกเรี ยนเห็นเงื่อนไขที่จาเป็ นในการนิยามการดําเนินการทางพีชคณิ ตของฟังก์ชน โดยในที่น้ ี
             ่          ั                      ํ                                                ั
กําลังพิจารณาการบวก  
 




                                                                                                             
 
 




                                                                                                             
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                   สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

หลังจากที่นกเรี ยนได้ขอสังเกตเกี่ยวกับเงื่อนไขในการนิยามการดําเนินการทางพีชคณิ ตของฟังก์ชนแล้ว ในตอนนี้ได้
           ั          ้                                                                  ั
ให้บทนิยามของการดําเนินการทางพีชคณิ ตต่างๆ ของฟังก์ชน กล่าวคือ การบวก การลบ การคูณ และการหาร  
                                                        ั
 




                                                                                                             
 
เมื่อมาถึงตอนนี้ครู ควรยํ้าอีกครั้งว่าฟังก์ชนคือความสัมพันธ์แบบหนึ่ง ดังนั้นแท้จริ งแล้วฟังก์ชนคือเซตของคู่อนดับ
                                            ั                                                 ั             ั
ดังนั้นการนําฟังก์ชนสองฟังก์ชนขึ้นไปมาดําเนินการทางพีชคณิ ต เช่น นํามาบวกกันนั้น จะดําเนินการกันเฉพาะ
                    ั             ั
สมาชิกตัวหลังของคู่อนดับที่อยูในความสัมพันธ์เท่านั้น ในขณะที่สมาชิกตัวหน้าของความสัมพันธ์มีหน้าที่บ่งบอกว่า
                       ั            ่
จะหาผลการดําเนินการทางพีชคณิ ตของฟังก์ชนนั้นๆ ได้หรื อไม่เท่านั้น ไม่ตองนํามาเกี่ยวข้องกับการดําเนินการแต่
                                                ั                           ้
อย่างใด  
                                   
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                   สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

               ั                                                   ั                ํ
ในตอนนี้ได้ให้ตวอย่างในการคํานวณผลการดําเนินการทางพีชคณิ ตของฟังก์ชน ทั้งในกรณี ที่กาหนดฟังก์ชนมาให้
                                                                                              ั
แบบแจกแจงสมาชิก และแบบบอกเงื่อนไข 
 




                                                                                                                           
 
 




                                                                                                                           
 
                                          ํ
สําหรับปัญหาชวนคิดที่ทิ้งไว้ในตัวอย่างที่กาหนดให้ f       = {(0,2), (1, 4), (2, 6), (3, 8)} และ

                                                     g ìæ 1 ö æ 0 ö æ 3 öï ìæ 1 ö
                                                         ï                   ü ï                 æ 1 öü
                                                                                                      ï
g = {(0,1), (1, 0), (2, 3), (5, 7)}              ่
                                      นั้น จะได้วา     = ïç0, ÷, ç1, ÷, ç2, ÷ï = ïç0, ÷, (1, 0), ç2, ÷ï
                                                         íç ÷ ç ÷ ç ÷ý íç ÷
                                                          ç   ÷ ç 4 ÷ ç 6 ÷ï ïç 2 ÷
                                                                                  ç ÷            ç ÷ý
                                                                                                 ç ÷ ÷ï                
                                                     f   ïç 2 ÷ è ø è øï ïè ø
                                                         ïè ø        ÷      ÷                    è 2 øï
                                                         î                   þ î                      þ
 
                                                                                       2
          ั                                                ํ
นอกจากนี้ยงมีปัญหาชวนคิดที่ทิ้งไว้ในตัวอย่างอีกข้อหนึ่งที่กาหนดให้ f (x ) =            2
                                                                                               ในขณะที่เปลี่ยน
                                                                                     x -9
                                            æ ö
ฟังก์ชน g เป็ น g(x ) =
      ั                   x -5    จะได้วา ç f ÷(x ) =
                                        ่ ç ÷
                                          ç ÷ ÷
                                                                  2
                                                                              แต่โดเมนของ      f
                                                                                                     จะเปลี่ยนเป็ น
                                            çg ø
                                            è               2
                                                         (x - 9) x - 5                         g
(5, ¥)  
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                      สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 
                                                ั            ่
เมื่อมาถึงจุดนี้ครู อาจยกตัวอย่างโดยใช้ฟังก์ชนจากสื่ อตอนที่ผานๆ มาเพื่อให้นกเรี ยนฝึ กหาผลการดําเนินการเชิง
                                                                            ั
พีชคณิ ตของฟังก์ชนนั้นๆ พร้อมทั้งระบุโดเมนของผลการดําเนินการเหล่านั้นได้ นอกจากนี้ครู ยงอาจยกตัวอย่าง
                      ั                                                                      ั
เหล่านี้เพิ่มเติมเพื่อให้นกเรี ยนชํานาญยิงขึ้น 
                          ั              ่
 
ตัวอย่ าง 1 กําหนดให้ f = {(1, 0), (2,1), (3, 5), (4, 3), (5, 2)} และ
                                                                                         f
g = {(-1, -2), (0, -1), (1, 2), (2, -3), (3, 4)}           จงหา f      + g, f - g, fg,       และ g  
                                                                                         g        f
 
วิธีทา f
     ํ     + g = {(1, 0 + 2), (2,1 + (-3)), (3, 5 + 4)} = {(1, 2), (2, -2), (3, 9)}  
       f - g = {(1, 0 - 2), (2,1 - (-3)), (3, 5 - 4)} = {(1, -2), (2, 4), (3,1)}  
            fg = {(1,(0)(2)), (2,(1)(-3)), (3,(5)(4)} = {(1, 0), (2, -3), (3, 20)}  
                 ìæ 0 ö æ 1 ö æ 5 öü ï
                 ï                           ì        æ    1 ÷ æ 5 ÷ü
                                                             ö       öï
             f
               = ïç1, ÷, ç2,    ÷ ç ÷ï ï ï            ç        ç      ï
                 íç ÷ ç
                  ç ø ÷ ç -3 ÷, ç3, 4 ÷ï = ï(1, 0), ç2, - 3 ÷, ç3, 4 ÷ý  
                                ÷ ç ÷ý í              ç      ÷ ç ÷ï
             g ïèïç 2 ÷ è       ÷ è ÷ï ï
                                ø       øþ î          è      ÷ è ÷ï
                                                             ø       øþ
                 î
             g ìæ -3 ÷ æ 4 ÷ü ì
                 ïç     ö        öï ï           æ 4 ÷ü
                                                ç ÷ï
                                                      öï
               = ïç2,
                 íç     ÷ ç ÷ï ï
                        ÷, ç3, 5 ÷ý = í(2, -3), ç3, 5 ÷ý  
                           ç                    ç
             f   ïç 1 ÷ è ÷ï ï
                 ïè     ø         ï ï
                                 øþ î           è ÷ï   ï
                                                      øþ
                 î
 
ตัวอย่ าง 2 กําหนดให้ f (x ) =      3-x     และ g(x ) = -2+ | x - 4 | จงหา
                                          æf ö            æ ö
( f + g )(x ), ( f - g )(x ), ( fg )(x ), ç ÷ (x )
                                          ç ÷
                                          çg ÷       และ ç g ÷(x )  
                                                         ç ÷
                                                         ç ÷
                                          è ÷ø               ÷
                                                          çf ø
                                                          è
พร้อมทั้งระบุโดเมนของแต่ละฟังก์ชนที่หามาได้  
                                  ั
 
     ํ               ่
วิธีทา จากโจทย์จะได้วา Df = (-¥, 3] และ Dg               =      นอกจากนี้ {x | f (x ) = 0} = {3} และ
                                      ่
{x | g(x ) = 0} = {2, 6} ดังนั้นจะได้วา  

( f + g )(x ) = 3 - x - 2+ | x - 4 |          โดยที่ Df +g    = (-¥, 3]             
(f - g )(x ) = 3 - x + 2- | x - 4 | โดยที่ Df -g = (-¥, 3]                          
    (fg )(x ) = 3 - x (-2+ | x - 4 |)            โดยที่ Dfg   = (-¥, 3]         
    æf ö          3-x
    ç ÷ (x ) =
    ç ÷                            โดยที่ D f    = (-¥,2) È (2, 3]          
    çg ÷
    è ÷ø       -2+ | x - 4 |                 g
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                            สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

    æg ÷
       ö
    ç ÷ (x ) = -2+ | x - 4 |
    ç ÷                                               โดยที่ Dg         = (-¥, 3)                 
    çf ÷
    è ø           3-x                                               f

 
                                                      แบบฝึ กหัดเพิมเติมเรื่องพีชคณิตของฟังก์ชัน 
                                                                   ่
 
1. กําหนดให้ f        = {(-3, 2), (-2, -1), (-1, 0), (2,1), (4, 3)}                                               และ g(x ) = | x + 1 | จงหา
                            f
f + g, f - g, fg,                   และ g  
                            g               f
                                                                                                                                                       æf ö
2. กําหนดให้ f (x ) = (x + 1)2 และ g(x ) =                                   x -1              จงหา (f           + g )(x ), ( f - g )(x ), ( fg )(x ), ç ÷ (x )
                                                                                                                                                       ç ÷
                                                                                                                                                       çg ÷
                                                                                                                                                       è ÷ø
     æ ö
และ ç g ÷(x ) พร้อมทั้งระบุโดเมนของแต่ละฟังก์ชนที่หามาได้  
    ç ÷
    ç ÷ ÷
                                              ั
     çf ø
     è
3. กําหนดให้ f และ g เป็ นฟังก์ชนที่มีกราฟดังรู ป จงร่ างกราฟของ
                                ั                                                                                         f +g        และ f - g  
                                    3.0                                                                                             3.0




                                     f
                                    2.5                                                                                             2.5
                                                                                                                                                  g
                                    2.0                                                                                             2.0




                                    1.5                                                                                             1.5




                                    1.0                                                                                             1.0




                                    0.5                                                                                             0.5




            - 1.5   - 1.0   - 0.5     0.0       0.5     1.0   1.5                                      - 1.5      - 1.0     - 0.5     0.0   0.5   1.0   1.5




4. จงร่ างกราฟของ fg เมื่อกําหนดให้ f (x ) = -1 และ g เป็ นฟังก์ชนที่มีกราฟดังรู ป  
                                                                 ั

                                                                          - 1.0   - 0.5          0.5       1.0    1.5     2.0




                                                                                          -1




                                                                                          -2




                                                                                          -3




                                                                                                                                    f
5. กําหนดให้ f (x ) = x และ g(x ) = | x | +1 จงหาโดเมนและเรนจ์ของ
                                                                                                                                    g
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย




                   2. ตัวอย่ างของฟังก์ ชันพืนฐาน
                                             ้
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                   สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในช่วงแรกนี้ยงไม่ได้ยกตัวอย่างฟังก์ชนพื้นฐานต่างๆ ที่นกเรี ยนควรรู ้จก แต่ได้กล่าวถึงบทนิยามของฟังก์ชนเพิม และ
              ั                     ั                 ั              ั                               ั ่
ฟังก์ชนลด ซึ่งมีความสําคัญอย่างยิงในการแก้อสมการต่างๆ  
      ั                          ่
 




                                                                                                           
 
 




                                                                                                           
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                    สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

หลังจากที่เข้าใจบทนิยามของฟังก์ชนเพิม และฟังก์ชนลดแล้ว ในตอนนี้ได้ยกตัวอย่างต่างๆ เกี่ยวกับฟังก์ชนเพิม และ
                                 ั ่            ั                                                ั ่
ฟังก์ชนลด โดยให้นกเรี ยนได้ฝึกพิจารณาโดยวิธีเชิงพีชคณิ ต และโดยการวาดกราฟ 
      ั            ั
 




                                                                                                                   
 




                                                                                              
 
เมื่อมาถึงตอนนี้ครู ควรเน้นยํ้าว่า ฟังก์ชนหนึ่งๆ นั้นไม่จาเป็ นจะต้องเป็ นฟังก์ชนเพิ่ม หรื อฟังก์ชนลดเพียงอย่างเดียว
                                         ั                ํ                     ั                 ั
ตลอดทั้งโดเมน แต่อาจมีบางช่วงที่ฟังก์ชนนั้นเป็ นฟังก์ชนเพิ่ม และบางช่วงที่ฟังก์ชนนั้นเป็ นฟังก์ชนลด สําหรับ
                                           ั                ั                         ั              ั
ฟังก์ชนที่ไม่เพิ่มและไม่ลดเลยนั้นจะเรี ยกว่าเป็ นฟังก์ชนคงที่ ยิงไปกว่านั้นการกํากับว่าฟังก์ชนนั้นๆ เป็ นฟังก์ชนเพิ่ม
       ั                                                ั        ่                              ั               ั
หรื อฟังก์ชนลดบนเซตใด มีความสําคัญเช่นกัน ให้นกเรี ยนพิจารณาฟังก์ชน f ที่มีกราฟดังรู ป 
           ั                                          ั                     ั
                                                1.0



                                                0.5


                                     -1                      1           2           3

                                               - 0.5

 
                                               - 1.0

 
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                    สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จะเห็นว่า f เป็ นฟังก์ชนเพิ่มบนเซต (-¥,1) และ บนเซต (1, ¥) แต่ f ไม่เป็ นฟังก์ชนเพิ่มบน  (ทําไม) ซึ่งคือ
                                 ั                                                        ั
โดเมนของ f (สังเกตว่า f ไม่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง) ในกรณี ที่ f เป็ นฟังก์ชนเพิ่ม (หรื อฟังก์ชนลด) บนโดเมน
                                                ั                                  ั               ั
ของฟังก์ชน f อาจกล่าวสั้นๆ ว่า f เป็ นฟังก์ชนเพิ่ม (หรื อฟังก์ชนลด) เท่านั้น 
                   ั                                  ั           ั
    
นอกจากนี้ในบางตําราอาจกําหนดนิยามในลักษณะดังนี้ 
สําหรับฟังก์ชน f ที่มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของจํานวนจริ ง และ A Ì Df จะได้วา  
                       ั                                                                    ่
1. f เป็ นฟังก์ชันเพิม บน A ก็ต่อเมื่อ สําหรับ x1 และ x 2 Î A ถ้า x 1 < x 2 แล้ว f (x 1 ) £ f (x 2 )  
                               ่
2. f เป็ นฟังก์ชันลด บน A ก็ต่อเมื่อ สําหรับ x1 และ x 2 Î A ถ้า x 1 < x 2 แล้ว f (x 1 ) ³ f (x 2 )  
 
ในขณะที่สื่อชุดนี้ แท้จริ งแล้วกําหนดนิยามไว้ดงนี้      ั
สําหรับฟังก์ชน f ที่มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของจํานวนจริ ง และ A Ì Df จะได้วา  
                     ั                                                                        ่
1. f เป็ นฟังก์ชนไม่ลด (nondecreasing function) บน A ก็ต่อเมื่อ สําหรับ x1 และ x 2 Î A ถ้า x 1 < x 2 แล้ว
                         ั
 f (x 1 ) £ f (x 2 )  
2. ฟังก์ชนไม่เพิ่ม (nondecreasing function) บน A ก็ต่อเมื่อ สําหรับ x1 และ x 2 Î A ถ้า x 1 < x 2 แล้ว
               ั
 f (x 1 ) ³ f (x 2 )  
3. ฟังก์ชนเพิ่ม หรื อฟังก์ชนเพิ่มโดยแท้ (increasing function หรื อ strictly increasing) บน A ก็ต่อเมื่อ สําหรับ x1 และ
             ั                           ั
x 2 Î A ถ้า x 1 < x 2 แล้ว f (x 1 ) < f (x 2 )  
4. ฟังก์ชนลด หรื อฟังก์ชนลดโดยแท้ (decreasing function หรื อ strictly decreasing) บน A ก็ต่อเมื่อ สําหรับ x1 และ
           ั                       ั
x 2 Î A ถ้า x 1 < x 2 แล้ว f (x 1 ) > f (x 2 )  
  
อีกทั้งในการตอบว่าช่วงใดเป็ นช่วงที่ฟังก์ชนเพิ่ม หรื อช่วงใดเป็ นช่วงที่ฟังก์ชนลด บางตําราอาจรวมจุดปลายช่วง (หาก
                                                  ั                             ั
                           ่
จุดปลายช่วงนั้นอยูในโดเมนของฟังก์ชน) ในขณะที่บางตําราจะตอบเป็ นช่วงเปิ ดโดยไม่สนใจจุดปลายช่วงดังเช่นที่
                                              ั
นักเรี ยนเห็นในสื่ อชุดนี้นนเอง      ั่
  
ในช่วงนี้ครู ควรถามคําถามนําเพื่อให้นกเรี ยนช่วยกันอภิปรายในประเด็นเหล่านี้ 
                                            ั
 
                 ่                                                                              ่
1. สมมติวา f เป็ นฟังก์ชนเพิม (หรื อฟังก์ชนลด) และ f (x1 ) < f (x 2 ) แล้วสรุ ปได้หรื อไม่วา x1 < x 2 (หรื อ
                                        ั ่         ั
x 1 > x 2 ) โดยให้นกเรี ยนช่วยกันยกตัวอย่างประกอบ
                             ั
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                     สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

2. เมื่อนักเรี ยนอภิปรายและยกตัวอย่างกันไปพอสมควรแล้วน่าจะนํามาสู่ ขอสรุ ปว่า ถ้า f เป็ นฟังก์ชนเพิ่ม (หรื อ
                                                                               ้                            ั
ฟังก์ชนลด) แล้วสําหรับ x 1 Î Df และ x 2 Î Df ( x1 < x 2 ก็ต่อเมื่อ f (x1 ) < f (x 2 ) (หรื อ f (x1 ) > f (x 2 ) ))
        ั
                                                 ั                   ั                             ั      ํ
สมบัติน้ ีนาไปใช้ในการแก้อสมการของฟังก์ชนอื่นๆ ที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง เช่น ฟังก์ชนเลขชี้กาลัง และฟังก์ชน
            ํ                                                                                                           ั
                                                                 ั           ํ
ลอการิ ทึม ซึ่งนักเรี ยนจะได้ศึกษารายละเอียดในสื่ อเรื่ องฟังก์ชนเลขชี้กาลังและฟังก์ชนลอการิ ทึม โดย อาจารย์เพ็ญ
                                                                                          ั
พรรณ และอาจารย์จิณดิษฐ์ นอกจากนี้นกเรี ยนที่มีความสนใจเป็ นพิเศษอาจสังเกตได้อีกว่า ถ้า f เป็ นฟังก์ชนเพิ่ม
                                          ั                                                                      ั
(หรื อฟังก์ชนลด) แล้ว f เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง ซึ่งบทพิสูจน์จะขอให้ไว้สาหรับนักเรี ยนที่สนใจ
               ั                       ั                                           ํ
 
                                                                                 ่
พิสูจน์ กําหนดให้ f เป็ นฟังก์ชนเพิ่ม ให้ x1 Î Df และ x 2 Î Df สมมติวา x1 ¹ x 2 โดยไม่เสี ยนัยทัวไป สมมติวา
                                   ั                                                                          ่           ่
                                     ั              ่
x 1 < x 2 เนื่ องจาก f เป็ นฟั งก์ชนเพิ่ม ทําให้ได้วา f (x1 ) < f (x 2 ) นันคือ f (x 1 ) ¹ f (x 2 ) เพราะว่าข้อความ ถ้า
                                                                           ่
                                                                                                        ่
x 1 ¹ x 2 แล้ว f (x 1 ) ¹ f (x 2 ) สมมูลกับข้อความ ถ้า f (x 1 ) = f (x 2 ) แล้ว x 1 = x 2 จึงสรุ ปได้วา f เป็ นฟั งก์ชน
                                                                                                                      ั
หนึ่งต่อหนึ่ง  
 
เมื่อมาถึงตอนนี้ครู ควรยกตัวอย่างเหล่านี้ประกอบ 
 
                                   x
ตัวอย่ าง 3 กําหนดให้ f (x ) =            จงหาช่วงที่ f เป็ นฟังก์ชนเพิม และช่วงที่ f เป็ นฟังก์ชนลด 
                                                                   ั ่                           ั
                                 4 - x2
 
                                                                                                x1              x2
     ํ                                            ่
วิธีทา ให้ x1 และ x 2 เป็ นสมาชิกของโดเมน f สมมติวา f (x1 ) < f (x 2 ) นันคือ
                                                                         ่                            2
                                                                                                          <              ซึ่งเมื่อย้าย
                                                                                           4-x       1
                                                                                                              4 - x 22
                              4x 1 - x 1x 22 - 4x 2 + x 12x 2       (4 + x 1x 2 )(x 1 - x 2 )
ข้างและรวมเศษส่ วนจะได้                    2           2
                                                                =                               <0     
                                  (4 - x )(4 - x 2 )
                                          1
                                                                    (4 - x 12 )(4 - x 22 )
                                      ่
กรณี x1 < -2 และ x 2 < -2 จะได้วา x12 > 4 และ x 22 > 4 และ x1x 2 > 0 ดังนั้น x1 < x 2  
                                 ่
กรณี -2 < x1, x 2 < 2 จะได้วา x12 < 4 และ x 22 < 4 และ -4 < x1x 2 < 4 ดังนั้น x1 < x 2  
                               ่
กรณี x1 > 2 และ x 2 > 2 ได้วา x12 > 4 และ x 22 > 4 และ x1x 2 > 0 ดังนั้น x1 < x 2  
          ่
ทําให้ได้วา f เป็ นฟังก์ชนเพิมบนช่วง (-¥, -2), (-2,2) และ (2, ¥) และไม่มีช่วงที่ f เป็ นฟังก์ชนลด 
                         ั ่                                                                  ั
 
ตัวอย่ าง 4 สมมติวา f และ g เป็ นฟังก์ชนเพิมทั้งคู่ (หรื อฟังก์ชนลดทั้งคู่) บนช่วง A Ì Df
                  ่                         ั ่                  ั                                        Ç Dg    ที่ไม่ใช่เซตว่าง
แล้ว f + g จะเป็ นฟังก์ชนเพิ่มทั้งคู่ (หรื อฟังก์ชนลดทั้งคู่) บนช่วง A หรื อไม่ 
                        ั                         ั
 
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                    สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

                                            ่                ่
วิธีทา ให้ x1 Î A และ x 2 Î A สมมติวา x1 < x 2 จะได้วา f (x1 ) < f (x 2 ) และ g(x1 ) < g(x 2 ) ทําให้
      ํ
                                                                          ่                     ั ่        ่
(f + g )(x 1 ) = f (x1 ) + g(x1 ) < f (x 2 ) + g(x 2 ) = (f + g )(x 2 ) นันคือ f + g เป็ นฟังก์ชนเพิมทั้งคูบนช่วง A  
 
หมายเหตุ ในที่น้ ีแสดงให้ดูเฉพาะกรณี ที่ f และ g เป็ นฟังก์ชนเพิ่มทั้งคู่ ส่ วนในกรณี ที่ f และ g เป็ นฟังก์ชนลดทั้ง
                                                                ั                                             ั
คู่ ขอให้นกเรี ยนช่วยกันทําเป็ นแบบฝึ กหัด
           ั
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                    สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



ในตอนนี้ได้กล่าวถึงนิยามของฟังก์ชนเชิงเส้นในรู ป f (x ) = ax + b เมื่อ a และ b เป็ นจํานวนจริ งใดๆ
                                 ั
 




                                                              




                                                                                              
 
สําหรับปัญหาชวนคิดที่ทิ้งไว้ในสื่ อนั้น จะเห็นว่าแบ่งออกเป็ นสามกรณี ได้ดงนี้   ั
กรณี a > 0 ให้ x1 และ x 2 เป็ นจํานวนจริ งใดๆ ที่ x 1 < x 2 เนื่องจาก a > 0 จะได้วา       ่
                                                     ่
 f (x 1 ) = ax 1 + b < ax 2 + b = f (x 2 ) ทําให้ได้วา เมื่อ a > 0 ฟั งก์ชนเชิงเส้น f (x ) = ax + b เป็ นฟั งก์ชนเพิ่ม 
                                                                            ั                                   ั
กรณี a < 0 ให้ x1 และ x 2 เป็ นจํานวนจริ งใดๆ ที่ x 1 < x 2 เนื่องจาก a < 0 จะได้วา         ่
                                                       ่
 f (x 1 ) = ax 1 + b > ax 2 + b = f (x 2 ) ทําให้ได้วา เมื่อ a < 0 ฟั งก์ชนเชิงเส้น f (x ) = ax + b เป็ นฟั งก์ชนลด 
                                                                              ั                                   ั
                      ่                  ่
กรณี a = 0 จะได้วาฟังก์ชนเชิงเส้นอยูในรู ป f (x ) = b ซึ่งเป็ นฟังก์ชนคงที่ 
                             ั                                            ั
 
สําหรับฟังก์ชนเชิงเส้น f (x ) = ax + b จะเรี ยก a ว่าความชันของกราฟ (ที่เป็ นเส้นตรง) ของฟังก์ชนนี้ และเรี ยก b
                ั                                                                                     ั
ว่าระยะตัดแกน y  
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                  สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 
เมื่อถึงตอนนี้ครู อาจให้นกเรี ยนร่ างกราฟของฟังก์ชนเชิงเส้นเมื่อ a และ b มีเงื่อนไขต่างๆ กัน กล่าวคือ 
                         ั                        ั
     1. a > 0 และ b > 0  
     2. a > 0 และ b < 0  
     3. a < 0 และ b < 0  
     4. a = 0 และ b < 0  
 
นอกจากนี้ยงอาจถามในทํานองกลับกัน กล่าวคือกําหนดกราฟเส้นตรงมาให้แล้วให้นกเรี ยนช่วยกันระบุเครื่ องหมาย
           ั                                                                       ั
ของ a และ b  
   
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                   สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในตอนนี้ได้กล่าวถึงฟังก์ชนกําลังสองในรู ป f (x ) = ax 2 + bx + c เมื่อ a, b และ c เป็ นจํานวนจริ งที่ a ¹ 0  
                         ั
 




                                                                                                               
 




                                                                                             
 
แม้วานักเรี ยนจะได้เรี ยนเกี่ยวกับพาราโบลาซึ่งเป็ นกราฟของสมการกําลังสองมาแล้วในระดับมัธยมศึกษา
    ่
ตอนต้นแล้วครู ควรยํ้าอีกครั้งว่า เนื่องจาก  
                     æ       æ ö æ ö
                                               2
                                                         æ öö
                                                             2
                                                               ÷   æ           ö
                                                                                2
                     ç 2
                     çx + 2x ç b ÷ + ç b ÷ + c - ç b ÷ ÷ = a çx + b ÷ + c - b  
                                                                                         2
                  aç         ç ÷ ç ÷
                             ç ÷ ç ÷                     ç ÷÷      ç           ÷
                     ç
                     ç
                     è       è 2a ø è 2a ÷
                                   ÷          ø     a ç 2a ÷ ÷
                                                         è ÷÷ø÷ø
                                                                   ç
                                                                   è
                                                                               ÷
                                                                            2a ÷
                                                                               ø        4a
                                    æ b              2 ö
           ่
ทําให้ได้วาจุดยอดของพาราโบลาคือ ç   ç- , c - b ÷ จุดยอดนี้ อาจเรี ยกว่า จุดวกกลับของพาราโบลา ซึ่ งใน
                                                       ÷
                                    ç 2a               ÷
                                    ç
                                    è              4a ÷ø
                                                                                           æ    ö         2
กรณี ที่ a > 0 จะได้วาจุดวกกลับนี้เป็ นจุดตํ่าสุ ดของฟังก์ชน และค่าตํ่าสุ ดของฟังก์ชนคือ f ç- b ÷ = c - b
                      ่                                    ั                        ั      ç    ÷
                                                                                           ç 2a ÷
                                                                                           è    ÷
                                                                                                ø       4a
                          ่
ในขณะที่เมื่อ a < 0 จะได้วาจุดวกกลับนี้เป็ นจุดสู งสุ ดของฟังก์ชน และค่าสูงสุ ดของฟังก์ชนคือ
                                                                ั                       ั
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                     สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 æ b ö        2
 ç- ÷ = c - b
fç    ÷
 ç 2a ÷
      ÷
                       เช่นกัน นอกจากนี้กราฟของพาราโบลายังมีเส้นตรง x = - b เป็ นแกนสมมาตรอีก
 è    ø     4a                                                                            2a
ด้วย  
 
                                             ่
สําหรับปัญหาชวนคิดที่ทิ้งไว้ในสื่ อนั้นจะได้วา 
                                                             æ             ö
กรณี a > 0 ฟังก์ชนกําลังสองจะเป็ นฟังก์ชนลดบนช่วง ç-¥, - b ÷ และเป็ นฟังก์ชนเพิมบนช่วง
                 ั                      ั         ç
                                                  ç
                                                           ÷
                                                           ÷
                                                           ÷
                                                                           ั ่
                                                             ç
                                                             è          2a ø
æ b   ö
      ÷
ç
ç- , ¥÷  
      ÷
ç 2a
è     ÷
      ø
                                                              æ              ö
กรณี a < 0 ฟังก์ชนกําลังสองจะเป็ นฟังก์ชนเพิมบนช่วง ç-¥, - b ÷ และเป็ นฟังก์ชนลดบนช่วง
                 ั                      ั ่         ç
                                                    ç
                                                             ÷
                                                             ÷
                                                             ÷
                                                                             ั
                                                              ç
                                                              è          2a ø
æ b   ö
      ÷
ç
ç- , ¥÷  
      ÷
ç 2a
è     ÷
      ø
 
ครู ควรให้นกเรี ยนสังเกตต่อว่าจุดตัดแกน X ของฟังก์ชนกําลังสองคือคําตอบที่เป็ นจํานวนจริ งของสมการ
               ั                                      ั
ax 2 + bx + c = 0 นันเอง กล่าวคือถ้า (A, 0) และ (B, 0) เป็ นจุดตัดแกน X ทั้งสองจุดของฟั งก์ชนกําลัง
                        ่                                                                         ั
                 ่
สองแล้วจะได้วา ax 2 + bx + c = a(x - A)(x - B ) ในขณะที่ถามีจุดตัดแกน X เพียงจุดเดียว หรื อกราฟ
                                                                 ้
                                                           ่
ของฟังก์ชนกําลังสองแตะแกน X ที่จุด (A, 0) แล้วจะได้วา ax 2 + bx + c = a(x - A)2 และสําหรับกราฟ
           ั
             ั                ั              ่
ของฟังก์ชนกําลังสองที่ไม่ตดแกน X จะได้วาสําหรับจํานวนจริ ง x ใดๆ ax 2 + bx + c > 0 หรื อ
ax 2 + bx + c < 0 อย่างใดอย่างหนึ่ งอย่างเดียวเท่านั้น นันหมายความว่าสมการ ax 2 + bx + c = 0 ไม่มี
                                                         ่
คําตอบที่เป็ นจํานวนจริ ง หรื อ b 2 - 4ac < 0 นันเอง ประเด็นอีกประเด็นหนึ่งที่สาคัญคือถ้า (A, 0) และ
                                                 ่                             ํ
                                                                   ่
(B, 0) เป็ นจุดตัดแกน X ทั้งสองจุดของฟั งก์ชนกําลังสองแล้วจะได้วาจุดยอดหรื อจุดวกกลับ (ซึ่ งอาจเป็ น
                                               ั
จุดสู งสุ ดหรื อจุดตํ่าสุ ด) นั้นจะอยูที่จุดซึ่ง x = A + B ซึ่งอยูตรงกลางระหว่าง x = A และ x = B  
                                      ่                           ่
                                                     2
 
เมื่อมาถึงตรงนี้ครู อาจยกตัวอย่างเหล่านี้เพิมเติม 
                                            ่
 
                                                                            æ 10 ö
                                                                                 ÷
ตัวอย่ าง 5 กําหนดให้ f (x ) = -x 2 + 4x - 10 สรุ ปได้หรื อไม่วา f ç
                                                               ่ ç ç
                                                                                 ÷ < -6
                                                                                 ÷            
                                                                            ç 3÷
                                                                            ç
                                                                            è    ÷
                                                                                 ø
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                   สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

                                                                             4
     ํ                                                      ่
วิธีทา เนื่องจาก a = -1 < 0 ดังนั้นฟังก์ชนนี้มีจุดสู งสุดอยูที่ x = -
                                         ั                                       = 2 และค่าสู งสุ ดของฟั งก์ชน
                                                                                                             ั
                                                                           2(-1)
              42                             10                       æ   10 ö
                                                                             ÷
คือ -10 -         = -6     และเพราะว่า          ¹2               ่ ç
                                                       ทําให้ได้วา f ç
                                                                     ç       ÷ < -6  
                                                                             ÷
                                                                             ÷
            4(-1)                             3                       ç
                                                                      ç
                                                                      è    3ø÷

หมายเหตุ สําหรับตัวอย่างข้อนี้ ถ้านักเรี ยนแทนค่า x ลงในสูตรของ f (x ) โดยตรงอาจเปรี ยบเทียบลําบาก 
 
ตัวอย่ าง 6 กําหนดให้กราฟของฟังก์ชน f (x ) = -x 2 + 2x + 8 เป็ นรู ปพาราโบลาที่ตดแกน X ที่จุด A และ
                                     ั                                          ั
B จงหาพื้นที่ของสามเหลี่ยม ABC เมื่อ C คือจุดวกกลับของพาราโบลานี้  
 
วิธีทา เนื่องจาก f (x ) = -x 2 + 2x + 8 = -(x - 4)(x + 2) ดังนั้นจุดตัดแกน X คือ A = (-2, 0) และ
     ํ
                                             æ            2 ö
                                             ç- 2 , 8 - 2 ÷ = (1, 9)
B = (4, 0) ตามลําดับ สําหรับจุดวกกลับคือ C = ç
                                             ç              ÷                               ดังนั้นพื้นที่รูป
                                                            ÷
                                             ç 2(-1)
                                             è         4(-1)÷
                                                            ø
                    1
สามเหลี่ยม ABC     = (4 - (-2))(9) = 27           ตารางหน่วย
                    2
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                    สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในช่วงนี้ได้กล่าวถึงฟังก์ชนค่าสัมบูรณ์ในรู ป f (x ) = a | x - b | +c เมื่อ a, b และ c เป็ นจํานวนจริ งที่ a ¹ 0  
                          ั
 




                                                                                                                        
 




จากรู ปของกราฟฟังก์ชนค่าสัมบูรณ์จะเห็นว่า กราฟนี้มีเส้นตรง x = b เป็ นแกนสมมาตร และในกรณี ที่ a > 0
                       ั
        ่                                        ่
จะได้วากราฟของฟังก์ชนค่าสัมบูรณ์มีจุดตํ่าสุ ดอยูที่จุด (b, c) และค่าตํ่าสุ ดของฟังก์ชนคือ f (b) = c ในขณะที่
                         ั                                                           ั
                 ่                                            ่
ถ้า a < 0 จะได้วากราฟของฟังก์ชนค่าสัมบูรณ์มีจุดสูงสุ ดอยูที่จุด (b, c) และค่าสู งสุ ดของฟังก์ชนคือ
                                    ั                                                           ั
 f (b) = c  
 
สําหรับประเด็นที่ทิ้งไว้ให้นกเรี ยนช่วยกันอภิปรายในสื่ อนั้นคือค่าของจํานวนจริ ง a มีผลอย่างไรกับลักษณะ
                            ั
กราฟของฟังก์ชนนี้ นักเรี ยนอาจทําได้โดยลงรอยทางเดินของจุดของฟังก์ชนเหล่านี้
              ั                                                             ั
                                                  1
f1(x ) = | x |, f2 (x ) = 2 | x | และ f3 (x ) =     | x | บนระนาบ XY         เดียวกัน ซึ่งนักเรี ยนจะได้กราฟดังรู ป 
                                                  2
 
 
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                     สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

                                          f2
                                                                    3.0


 
 
                                                                    2.5




                                                                    2.0



                                           f1
                                                                    1.5

 
                                           f3
                                                                    1.0




                                                                    0.5


 
                                            - 1.5   - 1.0   - 0.5         0.5   1.0    1.5
 
                               ่
จากกราฟที่ได้พอจะสรุ ปได้วา ถ้า a = 1 แขนของตัว V ที่เป็ นรู ปกราฟของฟังก์ชนนี้จะทํามุม 45 กับแกน
                                                                                 ั
 X ในขณะที่ถา a > 1 มุมระหว่างแขนของตัว V ที่เป็ นรู ปกราฟของฟั งก์ชนนี้ จะทํามุมมากกว่า 45 กับแกน
                ้                                                          ั
 X ขึ้นไปเรื่ อยๆ สําหรับกรณี ที่ 0 < a < 1 มุมระหว่างแขนของตัว V ที่เป็ นรู ปกราฟของฟั งก์ชนนี้ จะทํามุม
                                                                                               ั
น้อยกว่า 45 กับแกน X ลงมาเรื่ อยๆ ดังนั้นสัมประสิ ทธิ์ a จะมีผลต่อความกว้างและความแคบของขาของตัว
V ที่เป็ นรู ปกราฟของฟั งก์ชนนี้ นนเอง ส่ วนในกรณี ที่ a < 0 นั้น จะสามารถพิจารณาได้ในทํานองเดียวกัน
                              ั ั่
กล่าวคือแยกเป็ นกรณี ที่ -1 < a < 0 และ กรณี ที่ a < -1 อันที่จริ งแล้ว ถ้าให้ q เป็ นมุมที่แขนของตัว V
                         ่
ทํากับแกน X จะได้วา tan q = a  
 
ปัญหาชวนคิดที่ทิ้งไว้ในสื่ อนั้นจะได้วา ่
กรณี a > 0 ฟังก์ชนค่าสัมบูรณ์จะเป็ นฟังก์ชนลดบนช่วง (-¥,b) แล้วเป็ นฟังก์ชนเพิมบนช่วง (b, ¥)  
                     ั                        ั                                    ั ่
กรณี a < 0 ฟังก์ชนค่าสัมบูรณ์จะเป็ นฟังก์ชนเพิมบนช่วง (-¥,b) แล้วเป็ นฟังก์ชนลดบนช่วง (b, ¥)  
                       ั                        ั ่                                 ั
 
เมื่อถึงตอนนี้ครู อาจให้นกเรี ยนร่ างกราฟของฟังก์ชนค่าสัมบูรณ์เมื่อ a, b และ c มีเงื่อนไขต่างๆ กัน เช่น 
                           ั                        ั
     1. a > 0, b > 0 และ c > 0  
    2.      a > 0, b > 0   และ c < 0  
    3.      a > 0, b < 0 และ c > 0  
    4.      a > 0, b < 0 และ c < 0  

เป็ นต้น 
 
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                    สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นอกจากนี้ยงอาจถามในทํานองกลับกัน กล่าวคือกําหนดกราฟของฟังก์ชนค่าสัมบูรณ์มาให้แล้วให้นกเรี ยนช่วยกัน
             ั                                                           ั                  ั
ระบุเครื่ องหมายของ a, b และ c  
                                                  ่
ในตอนนี้ได้กล่าวถึงฟังก์ชนพหุ นามดีกรี n ที่อยูในรู ป  
                          ั
                     f (x ) = an x n + an -1x n -1 + an-2x n -2 + ... + a2x 2 + a1x + a 0  
เมื่อ ai Î  ทุก i Î  È {0} และ an ¹ 0  
 




 
ในระดับนี้นกเรี ยนควรจะวาดกราฟของฟังก์ชนพหุนามดีกรี สามรู ปแบบหนึ่งคือ f (x ) = ax 3 เมื่อ a เป็ น
             ั                                ั
จํานวนจริ งที่ไม่ใช่ 0 เหมือนเช่นที่ยกตัวอย่างไว้ในสื่ อนี้ได้ สําหรับประเด็นที่ทิ้งไว้ให้นกเรี ยนช่วยกันอภิปราย
                                                                                           ั
นั้นจะเห็นว่า ในกรณี ที่ a > 0 ฟังก์ชน f (x ) = ax 3 จะเป็ นฟังก์ชนเพิ่มบนเซตของจํานวนจริ ง แต่ในกรณี ที่
                                      ั                               ั
a < 0 ฟั งก์ชน f (x ) = ax 3 จะเป็ นฟั งก์ชนลดบนเซตของจํานวนจริ ง  
               ั                           ั
 
                                   
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                    สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในช่วงนี้ได้แนะนําให้นกเรี ยนรู ้จกฟังก์ชนขั้นบันได ซึ่งเป็ นฟังก์ชนที่มีค่าคงที่เป็ นช่วงๆ ทั้งนี้ความยาวของแต่ละช่วง
                      ั           ั      ั                         ั
ที่ค่าของฟังก์ชนแตกต่างกันนั้นไม่จาเป็ นต้องยาวเท่ากัน ตลอดจนค่าของฟังก์ชนในช่วงที่อยูติดกันอาจมีค่าเพิ่มขึ้น
               ั                    ํ                                             ั             ่
หรื อลดลงก็ได้  
                                                               




                                                                                              
 
                                    ì 0; 0 £ x £ 1
                                    ï
                                    ï
                                    ï
                                    ï 4; 1 < x £ 2
                                    ï
                       ่
จากกราฟในสื่ อนี้จะได้วา   f (x ) = ï
                                    í                   
                                    ï6; 2 < x £ 3
                                    ï
                                    ï
                                    ï8; 3 < x £ 4
                                    ï
                                    ï
                                    î
 
ในบางครั้งจํานวนขั้นบันไดอาจมีมากมายไม่จากัด เช่น 
                                              ํ
 
                                                                                    ่
ตัวอย่ าง 7 กําหนดให้ f (x ) = จํานวนเต็มที่มากที่สุดที่นอยกว่าหรื อเท่ากับ x จะได้วาสําหรับจํานวนเต็ม n ใดๆ ถ้า
                                                         ้
                                                                           ì
                                                                           ï        
                                                                           ï
                                                                           ï
                                                                           ï-1; - 1 £ x £ 0
                                                                           ï
                                                                           ï
                                                                           ï
n £ x < n + 1 แล้ว f (x ) = n       ซึ่งสามารถเขียนได้ในรู ป      f (x ) = í 0; 0 £ x < 1              
                                                                           ï
                                                                           ï 1; 1 £ x < 2
                                                                           ï
                                                                           ï
                                                                           ï
                                                                           ï
                                                                           ï       
                                                                           ï
                                                                           î
 
ฟังก์ชนขั้นบันไดที่สาคัญฟังก์ชนหนึ่งซึ่งได้กล่าวถึงไว้ในบทนําเรื่ องความสัมพันธ์และฟังก์ชนโดยอาจารย์จิณดิษฐ์น้ น
      ั             ํ         ั                                                           ั                    ั
         ั                                                    ั                                  ํ
คือฟังก์ชนขั้นบันไดหนึ่งหน่วย (unit-step function) หรื อฟังก์ชนเฮวีไซด์ (Heaviside function) ที่กาหนดโดย
           ì1; x > c
           ï
u(x - c) = ï
           í             ซึ่งบางครั้งอาจใช้สญลักษณ์ uc (x ) และที่จุด x = c ในตําราบางเล่มอาจกําหนดให้
                                            ั
           ï0; x < c
           ï
           î
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                      สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

u(c) = 0                                    ํ
              หรื อ u(c) = 1 หรื ออาจไม่ได้กาหนดค่าของฟังก์ชนที่จุดนี้ไว้เลย และโดยส่ วนใหญ่จะมีเงื่อนไขว่า
                                                            ั
c³0        
 
ผลการดําเนินการเชิงพีชคณิ ตระหว่างฟังก์ชนขั้นบันไดหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะการบวกและการลบ มีความสําคัญในการ
                                            ั
ประยุกต์ทางคณิ ตศาสตร์ช้ นสูงต่อไป  
                          ั
 
ตัวอย่ าง 8 จงหา u1(x ) - u3 (x ) พร้อมทั้งวาดกราฟของผลลบที่ได้ 
 
                                                  ì 1 - 1;
                                                  ï          x > 3 ì0;ï       x>3
                             ì         ì
                             ï1; x > 1 ï1; x > 3 ï
                                       ï          ï
                                                  ï                   ï
                                                                      ï
วิธีทา
     ํ   u1(x ) - u 3 (x ) = ï
                             í        -í        = í1 - 0; 1 < x < 3 = ï1; 1 < x < 3
                                                                      í                                 ซึ่งมีกราฟดังรู ป 
                             ï0; x < 1 ï0; x < 3 ï
                             ï         ï          ï 0 - 0;            ï
                             î         î          ï
                                                  ï           x < 1 ï 0;
                                                                      ï
                                                                      ï       x <1
                                                  î                   î
                                              1.0


                                              0.8


                                              0.6


                                              0.4


                                              0.2



                                         -1            1       2       3       4       5
คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
                     สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในตอนนี้ได้กล่าวถึงฟังก์ชนที่นิยามเป็ นช่วงๆ กล่าวคือค่าของฟังก์ชนกําหนดด้วยสูตรที่ต่างกันบนช่วงที่เป็ นสับเซต
                           ั                                      ั
                                                ั                                    ่
ของโดเมนต่างๆ กัน ในบางครั้งอาจเรี ยกว่าฟังก์ชนแยกตอน นักเรี ยนน่าจะพอสังเกตได้วาฟังก์ชนขั้นบันไดเป็ น
                                                                                           ั
ฟังก์ชนที่นิยามเป็ นช่วงๆ แบบหนึ่งโดยค่าของฟังก์ชนเป็ นค่าคงที่ที่ต่างกันไปในแต่ละช่วง  
      ั                                            ั
                                                                




                                                                                               
 
                                                           ì2x 2 + 3x + 1; x < -2
                                                           ï
                                                           ï
                                                           ï
สําหรับตัวอย่างของฟังก์ชนที่ยกไว้ในสื่ อคือ
                        ั                         f (x ) = ï 4x + 1; - 2 £ x < 4
                                                           í                             นั้นจะมีกราฟเป็ นดังรู ป 
                                                           ï 3
                                                           ïx + x + 1;
                                                           ï
                                                           ï                 x ³4
                                                           î
 
                                                   200


                                                   150

 
                                                   100
 
                                                    50


 
                                 4 -         2-                 2       4       6


 
                                                                         ่ ั
สังเกตว่าจุดปลายของกราฟในแต่ละช่วงอาจเป็ นจุดทึบหรื อจุดโปร่ งขึ้นอยูกบว่าช่วงนั้นๆ รวมจุดปลายหรื อไม่นนเอง 
                                                                                                          ั่
 
สําหรับฟังก์ชนที่นิยามเป็ นช่วงๆ นั้นนักเรี ยนอาจลืมไปว่าได้คุนเคยกับฟังก์ชนลักษณะนี้มาก่อนแล้ว นันคือฟังก์ชนที่
             ั                                                ้              ั                    ่          ั
                                                  ìx ; x ³ 0
                                                  ï
มีค่าสัมบูรณ์มาเกี่ยวข้อง เช่น   f (x ) = | x | = ï
                                                  í            
                                                  ï-x ; x < 0
                                                  ï
                                                  î
 
34 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่5_พีชคณิตของฟังก์ชัน
34 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่5_พีชคณิตของฟังก์ชัน
34 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่5_พีชคณิตของฟังก์ชัน
34 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่5_พีชคณิตของฟังก์ชัน
34 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่5_พีชคณิตของฟังก์ชัน
34 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่5_พีชคณิตของฟังก์ชัน
34 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่5_พีชคณิตของฟังก์ชัน
34 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่5_พีชคณิตของฟังก์ชัน
34 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่5_พีชคณิตของฟังก์ชัน
34 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่5_พีชคณิตของฟังก์ชัน
34 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่5_พีชคณิตของฟังก์ชัน
34 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่5_พีชคณิตของฟังก์ชัน
34 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่5_พีชคณิตของฟังก์ชัน

More Related Content

What's hot

แบบรายงานการอบรมออนไลน์รองโอ๋
แบบรายงานการอบรมออนไลน์รองโอ๋แบบรายงานการอบรมออนไลน์รองโอ๋
แบบรายงานการอบรมออนไลน์รองโอ๋Nontaporn Pilawut
 
การสร้างแนวข้อสอบ Pisa
การสร้างแนวข้อสอบ Pisaการสร้างแนวข้อสอบ Pisa
การสร้างแนวข้อสอบ PisaBiobiome
 
รายงานวิจัยในชั้นเรียน
รายงานวิจัยในชั้นเรียนรายงานวิจัยในชั้นเรียน
รายงานวิจัยในชั้นเรียนchaiwat vichianchai
 
โครงงานคณิตบทที่ 1
โครงงานคณิตบทที่ 1โครงงานคณิตบทที่ 1
โครงงานคณิตบทที่ 1Jutarat Bussadee
 
เพาเวอร์เซต
เพาเวอร์เซตเพาเวอร์เซต
เพาเวอร์เซตAon Narinchoti
 
ภาคผนวกโครงงานกล้อง
ภาคผนวกโครงงานกล้องภาคผนวกโครงงานกล้อง
ภาคผนวกโครงงานกล้องkrupornpana55
 
ชุดกิจกรรม เรื่อง รายงานการศึกษาค้นคว้า ชุด รูปแบบและจุดมุ่งหมายของรายงาน
ชุดกิจกรรม เรื่อง รายงานการศึกษาค้นคว้า  ชุด รูปแบบและจุดมุ่งหมายของรายงานชุดกิจกรรม เรื่อง รายงานการศึกษาค้นคว้า  ชุด รูปแบบและจุดมุ่งหมายของรายงาน
ชุดกิจกรรม เรื่อง รายงานการศึกษาค้นคว้า ชุด รูปแบบและจุดมุ่งหมายของรายงานSAKANAN ANANTASOOK
 
โครงงานรรสมุทรปราการ
โครงงานรรสมุทรปราการโครงงานรรสมุทรปราการ
โครงงานรรสมุทรปราการaispretty
 
ใบความรู้คู่อันดับและกราฟ
ใบความรู้คู่อันดับและกราฟใบความรู้คู่อันดับและกราฟ
ใบความรู้คู่อันดับและกราฟJiraprapa Suwannajak
 
หัวกระดาษข้อสอบ
หัวกระดาษข้อสอบหัวกระดาษข้อสอบ
หัวกระดาษข้อสอบworapanthewaha
 
การจัดหมู่
การจัดหมู่การจัดหมู่
การจัดหมู่supamit jandeewong
 
แบบฝึกทักษะเรื่องสถิติ O net
แบบฝึกทักษะเรื่องสถิติ O netแบบฝึกทักษะเรื่องสถิติ O net
แบบฝึกทักษะเรื่องสถิติ O netพัน พัน
 
โครงงานน้ำยาปรับผ้านุ่ม
โครงงานน้ำยาปรับผ้านุ่มโครงงานน้ำยาปรับผ้านุ่ม
โครงงานน้ำยาปรับผ้านุ่มeeii
 

What's hot (20)

แบบรายงานการอบรมออนไลน์รองโอ๋
แบบรายงานการอบรมออนไลน์รองโอ๋แบบรายงานการอบรมออนไลน์รองโอ๋
แบบรายงานการอบรมออนไลน์รองโอ๋
 
36 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่7_ฟังก์ชันประกอบ
36 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่7_ฟังก์ชันประกอบ36 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่7_ฟังก์ชันประกอบ
36 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่7_ฟังก์ชันประกอบ
 
29 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน บทนำ
29 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน บทนำ29 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน บทนำ
29 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน บทนำ
 
67 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่2_การเรียงสับเปลี่ยน
67 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่2_การเรียงสับเปลี่ยน67 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่2_การเรียงสับเปลี่ยน
67 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่2_การเรียงสับเปลี่ยน
 
31 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่2_โดเมนและเรนจ์
31 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่2_โดเมนและเรนจ์31 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่2_โดเมนและเรนจ์
31 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่2_โดเมนและเรนจ์
 
แผนKpa ส่งจริง (ซ่อมแซม)
แผนKpa ส่งจริง (ซ่อมแซม)แผนKpa ส่งจริง (ซ่อมแซม)
แผนKpa ส่งจริง (ซ่อมแซม)
 
การสร้างแนวข้อสอบ Pisa
การสร้างแนวข้อสอบ Pisaการสร้างแนวข้อสอบ Pisa
การสร้างแนวข้อสอบ Pisa
 
รายงานวิจัยในชั้นเรียน
รายงานวิจัยในชั้นเรียนรายงานวิจัยในชั้นเรียน
รายงานวิจัยในชั้นเรียน
 
โครงงานคณิตบทที่ 1
โครงงานคณิตบทที่ 1โครงงานคณิตบทที่ 1
โครงงานคณิตบทที่ 1
 
เพาเวอร์เซต
เพาเวอร์เซตเพาเวอร์เซต
เพาเวอร์เซต
 
ภาคผนวกโครงงานกล้อง
ภาคผนวกโครงงานกล้องภาคผนวกโครงงานกล้อง
ภาคผนวกโครงงานกล้อง
 
ชุดกิจกรรม เรื่อง รายงานการศึกษาค้นคว้า ชุด รูปแบบและจุดมุ่งหมายของรายงาน
ชุดกิจกรรม เรื่อง รายงานการศึกษาค้นคว้า  ชุด รูปแบบและจุดมุ่งหมายของรายงานชุดกิจกรรม เรื่อง รายงานการศึกษาค้นคว้า  ชุด รูปแบบและจุดมุ่งหมายของรายงาน
ชุดกิจกรรม เรื่อง รายงานการศึกษาค้นคว้า ชุด รูปแบบและจุดมุ่งหมายของรายงาน
 
เอกสารประกอบการเรียนการสอน
เอกสารประกอบการเรียนการสอนเอกสารประกอบการเรียนการสอน
เอกสารประกอบการเรียนการสอน
 
โครงงานรรสมุทรปราการ
โครงงานรรสมุทรปราการโครงงานรรสมุทรปราการ
โครงงานรรสมุทรปราการ
 
ใบความรู้คู่อันดับและกราฟ
ใบความรู้คู่อันดับและกราฟใบความรู้คู่อันดับและกราฟ
ใบความรู้คู่อันดับและกราฟ
 
หัวกระดาษข้อสอบ
หัวกระดาษข้อสอบหัวกระดาษข้อสอบ
หัวกระดาษข้อสอบ
 
การจัดหมู่
การจัดหมู่การจัดหมู่
การจัดหมู่
 
ลอการิทึม
ลอการิทึมลอการิทึม
ลอการิทึม
 
แบบฝึกทักษะเรื่องสถิติ O net
แบบฝึกทักษะเรื่องสถิติ O netแบบฝึกทักษะเรื่องสถิติ O net
แบบฝึกทักษะเรื่องสถิติ O net
 
โครงงานน้ำยาปรับผ้านุ่ม
โครงงานน้ำยาปรับผ้านุ่มโครงงานน้ำยาปรับผ้านุ่ม
โครงงานน้ำยาปรับผ้านุ่ม
 

Similar to 34 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่5_พีชคณิตของฟังก์ชัน

Similar to 34 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่5_พีชคณิตของฟังก์ชัน (20)

35 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่6_อินเวอร์สของฟังก์ชันและฟังก์ชันอินเวอร์ส
35 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่6_อินเวอร์สของฟังก์ชันและฟังก์ชันอินเวอร์ส35 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่6_อินเวอร์สของฟังก์ชันและฟังก์ชันอินเวอร์ส
35 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่6_อินเวอร์สของฟังก์ชันและฟังก์ชันอินเวอร์ส
 
41 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่4_อสมการเลขชี้กำลัง
41 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่4_อสมการเลขชี้กำลัง41 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่4_อสมการเลขชี้กำลัง
41 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่4_อสมการเลขชี้กำลัง
 
40 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่3_ลอการิทึม
40 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่3_ลอการิทึม40 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่3_ลอการิทึม
40 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่3_ลอการิทึม
 
37 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม บทนำ
37 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม บทนำ37 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม บทนำ
37 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม บทนำ
 
39 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่2_ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอ...
39 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่2_ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอ...39 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่2_ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอ...
39 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่2_ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอ...
 
63 ลำดับและอนุกรม ตอนที่5_อนุกรม
63 ลำดับและอนุกรม ตอนที่5_อนุกรม63 ลำดับและอนุกรม ตอนที่5_อนุกรม
63 ลำดับและอนุกรม ตอนที่5_อนุกรม
 
30 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่1_ความสัมพันธ์
30 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่1_ความสัมพันธ์30 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่1_ความสัมพันธ์
30 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่1_ความสัมพันธ์
 
42 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่5_อสมการลอการิทึม
42 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่5_อสมการลอการิทึม42 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่5_อสมการลอการิทึม
42 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่5_อสมการลอการิทึม
 
82 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่9_การกระจายสัมพัทธ์
82 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่9_การกระจายสัมพัทธ์82 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่9_การกระจายสัมพัทธ์
82 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่9_การกระจายสัมพัทธ์
 
20 จำนวนจริง ตอนที่7_ค่าสัมบูรณ์
20 จำนวนจริง ตอนที่7_ค่าสัมบูรณ์20 จำนวนจริง ตอนที่7_ค่าสัมบูรณ์
20 จำนวนจริง ตอนที่7_ค่าสัมบูรณ์
 
46 ตรีโกณมิติ ตอนที่3_ฟังก์ชันตรีโกณมิติ1
46 ตรีโกณมิติ ตอนที่3_ฟังก์ชันตรีโกณมิติ146 ตรีโกณมิติ ตอนที่3_ฟังก์ชันตรีโกณมิติ1
46 ตรีโกณมิติ ตอนที่3_ฟังก์ชันตรีโกณมิติ1
 
87 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่14_โปรแกรมการคำนวณทางสถิติ2
87 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่14_โปรแกรมการคำนวณทางสถิติ287 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่14_โปรแกรมการคำนวณทางสถิติ2
87 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่14_โปรแกรมการคำนวณทางสถิติ2
 
32 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่3_อินเวอร์สของความสัมพันธ์และบทนิยามของฟังก์ชัน
32 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่3_อินเวอร์สของความสัมพันธ์และบทนิยามของฟังก์ชัน32 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่3_อินเวอร์สของความสัมพันธ์และบทนิยามของฟังก์ชัน
32 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่3_อินเวอร์สของความสัมพันธ์และบทนิยามของฟังก์ชัน
 
79 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่6_การกระจายสัมบูรณ์1
79 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่6_การกระจายสัมบูรณ์179 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่6_การกระจายสัมบูรณ์1
79 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่6_การกระจายสัมบูรณ์1
 
60 ลำดับและอนุกรม ตอนที่2_การประยุกต์ลำดับเลขคณิตและเรขาคณิต
60 ลำดับและอนุกรม ตอนที่2_การประยุกต์ลำดับเลขคณิตและเรขาคณิต60 ลำดับและอนุกรม ตอนที่2_การประยุกต์ลำดับเลขคณิตและเรขาคณิต
60 ลำดับและอนุกรม ตอนที่2_การประยุกต์ลำดับเลขคณิตและเรขาคณิต
 
61 ลำดับและอนุกรม ตอนที่3_ลิมิตของลำดับ
61 ลำดับและอนุกรม ตอนที่3_ลิมิตของลำดับ61 ลำดับและอนุกรม ตอนที่3_ลิมิตของลำดับ
61 ลำดับและอนุกรม ตอนที่3_ลิมิตของลำดับ
 
14 จำนวนจริง ตอนที่1_สมบัติของจำนวนจริง
14 จำนวนจริง ตอนที่1_สมบัติของจำนวนจริง14 จำนวนจริง ตอนที่1_สมบัติของจำนวนจริง
14 จำนวนจริง ตอนที่1_สมบัติของจำนวนจริง
 
52 ตรีโกณมิติ สื่อปฏิสัมพันธ์เรื่องมุมบนวงกลมหนึ่งหน่วย
52 ตรีโกณมิติ สื่อปฏิสัมพันธ์เรื่องมุมบนวงกลมหนึ่งหน่วย52 ตรีโกณมิติ สื่อปฏิสัมพันธ์เรื่องมุมบนวงกลมหนึ่งหน่วย
52 ตรีโกณมิติ สื่อปฏิสัมพันธ์เรื่องมุมบนวงกลมหนึ่งหน่วย
 
5.ตอนที่ 3
5.ตอนที่ 35.ตอนที่ 3
5.ตอนที่ 3
 
81 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่8_การกระจายสัมบูรณ์3
81 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่8_การกระจายสัมบูรณ์381 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่8_การกระจายสัมบูรณ์3
81 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่8_การกระจายสัมบูรณ์3
 

More from กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์

More from กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์ (20)

Basic m2-2-chapter1
Basic m2-2-chapter1Basic m2-2-chapter1
Basic m2-2-chapter1
 
Basic m5-2-chapter3
Basic m5-2-chapter3Basic m5-2-chapter3
Basic m5-2-chapter3
 
Basic m5-2-chapter2
Basic m5-2-chapter2Basic m5-2-chapter2
Basic m5-2-chapter2
 
Basic m5-2-link
Basic m5-2-linkBasic m5-2-link
Basic m5-2-link
 
Basic m5-1-link
Basic m5-1-linkBasic m5-1-link
Basic m5-1-link
 
Basic m5-1-chapter1
Basic m5-1-chapter1Basic m5-1-chapter1
Basic m5-1-chapter1
 
Basic m5-1-chapter2
Basic m5-1-chapter2Basic m5-1-chapter2
Basic m5-1-chapter2
 
Basic m5-2-chapter1
Basic m5-2-chapter1Basic m5-2-chapter1
Basic m5-2-chapter1
 
Basic m4-2-link
Basic m4-2-linkBasic m4-2-link
Basic m4-2-link
 
Basic m4-2-chapter2
Basic m4-2-chapter2Basic m4-2-chapter2
Basic m4-2-chapter2
 
Basic m4-1-link
Basic m4-1-linkBasic m4-1-link
Basic m4-1-link
 
Basic m4-2-chapter1
Basic m4-2-chapter1Basic m4-2-chapter1
Basic m4-2-chapter1
 
Basic m4-1-chapter2
Basic m4-1-chapter2Basic m4-1-chapter2
Basic m4-1-chapter2
 
Basic m4-1-chapter3
Basic m4-1-chapter3Basic m4-1-chapter3
Basic m4-1-chapter3
 
Basic m4-1-chapter4
Basic m4-1-chapter4Basic m4-1-chapter4
Basic m4-1-chapter4
 
Basic m3-2-chapter2
Basic m3-2-chapter2Basic m3-2-chapter2
Basic m3-2-chapter2
 
Basic m3-2-link
Basic m3-2-linkBasic m3-2-link
Basic m3-2-link
 
Basic m4-1-chapter1
Basic m4-1-chapter1Basic m4-1-chapter1
Basic m4-1-chapter1
 
Basic m3-2-chapter4
Basic m3-2-chapter4Basic m3-2-chapter4
Basic m3-2-chapter4
 
Basic m3-2-chapter3
Basic m3-2-chapter3Basic m3-2-chapter3
Basic m3-2-chapter3
 

34 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่5_พีชคณิตของฟังก์ชัน

  • 1. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คู่มือประกอบสื่ อการสอน วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความสั มพันธ์ และฟังก์ ชัน (เนือหาตอนที่ 5) ้ พีชคณิตของฟังก์ชัน โดย อาจารย์ ดร.รตินันท์ บุญเคลือบ สื่ อการสอนชุดนี้ เป็ นความร่ วมมือระหว่ าง คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย กับ สํ านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพืนฐาน (สพฐ.) ้ กระทรวงศึกษาธิการ
  • 2. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สื่ อการสอน เรื่อง ความสั มพันธ์ และฟังก์ ชัน สื่ อการสอน เรื่ อง ความสัมพันธ์และฟังก์ชน มีจานวนตอนทั้งหมดรวม 16 ตอน ซึ่งประกอบด้วย ั ํ 1. บทนํา เรื่อง ความสั มพันธ์ และฟังก์ชัน 2. เนือหาตอนที่ 1 ความสั มพันธ์ ้ - แผนภาพรวมเรื่ องความสัมพันธ์และฟังก์ชนั - ผลคูณคาร์ทีเซียน - ความสัมพันธ์ - การวาดกราฟของความสัมพันธ์ 3. เนือหาตอนที่ 2 โดเมนและเรนจ์ ้ - โดเมนและเรนจ์ - การหาโดเมนและเรนจ์โดยการแก้สมการ - การหาโดเมนและเรนจ์โดยการวาดกราฟ 4. เนือหาตอนที่ 3 อินเวอร์ สของความสั มพันธ์ และบทนิยามของฟังก์ชัน ้ - อินเวอร์สของความสัมพันธ์ - บทนิยามของฟังก์ชน ั 5. เนือหาตอนที่ 4 ฟังก์ ชันเบืองต้ น ้ ้ - ฟั งก์ชนจากเซต A ไปเซต B ั - ฟังก์ชนทัวถึง ั ่ - ฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง ั 6. เนือหาตอนที่ 5 พีชคณิตของฟังก์ชัน ้ - พีชคณิ ตของฟังก์ชนั - ตัวอย่างประเภทของฟังก์ชนพื้นฐาน ั 7. เนือหาตอนที่ 6 อินเวอร์ สของฟังก์ชันและฟังก์ชันอินเวอร์ ส ้ - อินเวอร์สของฟังก์ชนละฟังก์ชนอินเวอร์ส ั ั - กราฟของฟังก์ชนอินเวอร์ส ั 8. เนือหาตอนที่ 7 ฟังก์ชันประกอบ ้ - ฟังก์ชนประกอบ ั
  • 3. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - โดเมนและเรนจ์ของฟังก์ชนประกอบ ั - สมบัติของฟังก์ชนประกอบ ั 9. แบบฝึ กหัด (พืนฐาน 1) ้ 10. แบบฝึ กหัด (พืนฐาน 2) ้ 11. แบบฝึ กหัด (ขั้นสู ง) 12. สื่ อปฏิสัมพันธ์ เรื่อง ความสั มพันธ์ และฟังก์ชัน 13. สื่ อปฏิสัมพันธ์ เรื่อง อินเวอร์ สของความสั มพันธ์ และฟังก์ ชันอินเวอร์ ส 14. สื่ อปฏิสัมพันธ์ เรื่อง โดเมนและเรนจ์ 15. สื่ อปฏิสัมพันธ์ เรื่อง พีชคณิตและการประกอบของฟังก์ชัน 16. สื่ อปฏิสัมพันธ์ เรื่อง การเลือนแกน ่ คณะผูจดทําหวังเป็ นอย่างยิงว่า สื่ อการสอนชุดนี้ จะเป็ นประโยชน์ต่อการเรี ยนการสอนสําหรับ ้ั ่ ครู และนักเรี ยนทุกโรงเรี ยนที่ใช้สื่อชุดนี้ร่วมกับการเรี ยนการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ เรื่ อง ความสัมพันธ์ และฟั ง ก์ชัน นอกจากนี้ หากท่ านสนใจสื่ อ การสอนวิ ชาคณิ ต ศาสตร์ ใ นเรื่ อ งอื่ นๆที่ ค ณะผูจ ัด ทํา ได้ ้ ดําเนินการไปแล้ว ท่านสามารถดูชื่อเรื่ อง และชื่อตอนได้จากรายชื่อสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ท้ งหมด ั ่ ในตอนท้ายของคูมือฉบับนี้
  • 4. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง ความสัมพันธ์และฟังก์ชน ั หมวด เนื้อหา ตอนที่ 5 (5/7) หัวข้ อย่ อย 1. พีชคณิ ตของฟังก์ชน ั 2. ตัวอย่างของฟังก์ชนพื้นฐาน ั จุดประสงค์ การเรียนรู้ เพื่อให้ผเู ้ รี ยน 1. เข้าใจบทนิยามของการดําเนินการทางพีชคณิ ตของฟังก์ชน ั ั ํ 2. คํานวณผลของการดําเนินการทางพีชคณิ ตของฟังก์ชนที่กาหนดมาให้ได้ 3. เข้าใจบทนิยามของฟังก์ชนลดและฟังก์ชนเพิ่ม ั ั 4. ได้เห็นตัวอย่างฟังก์ชนพื้นฐานชนิดต่างๆ ั ผลการเรียนรู้ทคาดหวังี่ ผูเ้ รี ยนสามารถ ั ํ 1. คํานวณผลของการดําเนินการทางพีชคณิ ตของฟังก์ชนที่กาหนดมาให้ได้ ่ ั ํ 2. ระบุได้วาช่วงใดในโดเมนของฟังก์ชนที่กาหนดทําให้ฟังก์ชนนั้นเป็ นฟังก์ชนลด และช่วงใดใน ั ั ั ํ โดเมนของฟังก์ชนที่กาหนดทําให้ฟังก์ชนนั้นเป็ นฟังก์ชนเพิ่ม ั ั 3. สามารถยกตัวอย่างฟังก์ชนพื้นฐานต่างๆ และวาดกราฟของฟังก์ชนพื้นฐานเหล่านั้นได้ ั ั    
  • 5. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เนือหาในสื่ อ  ้            
  • 6. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 1. พีชคณิตของฟังก์ ชัน
  • 7. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในตอนนี้ได้ยกตัวอย่างพีชคณิ ตของฟังก์ชนที่นกเรี ยนอาจได้ใช้ในชีวตประจําวันโดยไม่รู้ตว จากนั้นพยายาม ั ั ิ ั ยกตัวอย่างเพือชักจูงให้นกเรี ยนเห็นเงื่อนไขที่จาเป็ นในการนิยามการดําเนินการทางพีชคณิ ตของฟังก์ชน โดยในที่น้ ี ่ ั ํ ั กําลังพิจารณาการบวก                                    
  • 8. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากที่นกเรี ยนได้ขอสังเกตเกี่ยวกับเงื่อนไขในการนิยามการดําเนินการทางพีชคณิ ตของฟังก์ชนแล้ว ในตอนนี้ได้ ั ้ ั ให้บทนิยามของการดําเนินการทางพีชคณิ ตต่างๆ ของฟังก์ชน กล่าวคือ การบวก การลบ การคูณ และการหาร   ั       เมื่อมาถึงตอนนี้ครู ควรยํ้าอีกครั้งว่าฟังก์ชนคือความสัมพันธ์แบบหนึ่ง ดังนั้นแท้จริ งแล้วฟังก์ชนคือเซตของคู่อนดับ ั ั ั ดังนั้นการนําฟังก์ชนสองฟังก์ชนขึ้นไปมาดําเนินการทางพีชคณิ ต เช่น นํามาบวกกันนั้น จะดําเนินการกันเฉพาะ ั ั สมาชิกตัวหลังของคู่อนดับที่อยูในความสัมพันธ์เท่านั้น ในขณะที่สมาชิกตัวหน้าของความสัมพันธ์มีหน้าที่บ่งบอกว่า ั ่ จะหาผลการดําเนินการทางพีชคณิ ตของฟังก์ชนนั้นๆ ได้หรื อไม่เท่านั้น ไม่ตองนํามาเกี่ยวข้องกับการดําเนินการแต่ ั ้ อย่างใด    
  • 9. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ั ั ํ ในตอนนี้ได้ให้ตวอย่างในการคํานวณผลการดําเนินการทางพีชคณิ ตของฟังก์ชน ทั้งในกรณี ที่กาหนดฟังก์ชนมาให้ ั แบบแจกแจงสมาชิก และแบบบอกเงื่อนไข              ํ สําหรับปัญหาชวนคิดที่ทิ้งไว้ในตัวอย่างที่กาหนดให้ f = {(0,2), (1, 4), (2, 6), (3, 8)} และ g ìæ 1 ö æ 0 ö æ 3 öï ìæ 1 ö ï ü ï æ 1 öü ï g = {(0,1), (1, 0), (2, 3), (5, 7)} ่ นั้น จะได้วา = ïç0, ÷, ç1, ÷, ç2, ÷ï = ïç0, ÷, (1, 0), ç2, ÷ï íç ÷ ç ÷ ç ÷ý íç ÷ ç ÷ ç 4 ÷ ç 6 ÷ï ïç 2 ÷ ç ÷ ç ÷ý ç ÷ ÷ï   f ïç 2 ÷ è ø è øï ïè ø ïè ø ÷ ÷ è 2 øï î þ î þ   2 ั ํ นอกจากนี้ยงมีปัญหาชวนคิดที่ทิ้งไว้ในตัวอย่างอีกข้อหนึ่งที่กาหนดให้ f (x ) = 2 ในขณะที่เปลี่ยน x -9 æ ö ฟังก์ชน g เป็ น g(x ) = ั x -5 จะได้วา ç f ÷(x ) = ่ ç ÷ ç ÷ ÷ 2 แต่โดเมนของ f จะเปลี่ยนเป็ น çg ø è 2 (x - 9) x - 5 g (5, ¥)  
  • 10. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย   ั ่ เมื่อมาถึงจุดนี้ครู อาจยกตัวอย่างโดยใช้ฟังก์ชนจากสื่ อตอนที่ผานๆ มาเพื่อให้นกเรี ยนฝึ กหาผลการดําเนินการเชิง ั พีชคณิ ตของฟังก์ชนนั้นๆ พร้อมทั้งระบุโดเมนของผลการดําเนินการเหล่านั้นได้ นอกจากนี้ครู ยงอาจยกตัวอย่าง ั ั เหล่านี้เพิ่มเติมเพื่อให้นกเรี ยนชํานาญยิงขึ้น  ั ่   ตัวอย่ าง 1 กําหนดให้ f = {(1, 0), (2,1), (3, 5), (4, 3), (5, 2)} และ f g = {(-1, -2), (0, -1), (1, 2), (2, -3), (3, 4)} จงหา f + g, f - g, fg, และ g   g f   วิธีทา f ํ + g = {(1, 0 + 2), (2,1 + (-3)), (3, 5 + 4)} = {(1, 2), (2, -2), (3, 9)}   f - g = {(1, 0 - 2), (2,1 - (-3)), (3, 5 - 4)} = {(1, -2), (2, 4), (3,1)}   fg = {(1,(0)(2)), (2,(1)(-3)), (3,(5)(4)} = {(1, 0), (2, -3), (3, 20)}   ìæ 0 ö æ 1 ö æ 5 öü ï ï ì æ 1 ÷ æ 5 ÷ü ö öï f = ïç1, ÷, ç2, ÷ ç ÷ï ï ï ç ç ï íç ÷ ç ç ø ÷ ç -3 ÷, ç3, 4 ÷ï = ï(1, 0), ç2, - 3 ÷, ç3, 4 ÷ý   ÷ ç ÷ý í ç ÷ ç ÷ï g ïèïç 2 ÷ è ÷ è ÷ï ï ø øþ î è ÷ è ÷ï ø øþ î g ìæ -3 ÷ æ 4 ÷ü ì ïç ö öï ï æ 4 ÷ü ç ÷ï öï = ïç2, íç ÷ ç ÷ï ï ÷, ç3, 5 ÷ý = í(2, -3), ç3, 5 ÷ý   ç ç f ïç 1 ÷ è ÷ï ï ïè ø ï ï øþ î è ÷ï ï øþ î   ตัวอย่ าง 2 กําหนดให้ f (x ) = 3-x และ g(x ) = -2+ | x - 4 | จงหา æf ö æ ö ( f + g )(x ), ( f - g )(x ), ( fg )(x ), ç ÷ (x ) ç ÷ çg ÷ และ ç g ÷(x )   ç ÷ ç ÷ è ÷ø ÷ çf ø è พร้อมทั้งระบุโดเมนของแต่ละฟังก์ชนที่หามาได้   ั   ํ ่ วิธีทา จากโจทย์จะได้วา Df = (-¥, 3] และ Dg = นอกจากนี้ {x | f (x ) = 0} = {3} และ ่ {x | g(x ) = 0} = {2, 6} ดังนั้นจะได้วา   ( f + g )(x ) = 3 - x - 2+ | x - 4 | โดยที่ Df +g = (-¥, 3]   (f - g )(x ) = 3 - x + 2- | x - 4 | โดยที่ Df -g = (-¥, 3]   (fg )(x ) = 3 - x (-2+ | x - 4 |) โดยที่ Dfg = (-¥, 3]   æf ö 3-x ç ÷ (x ) = ç ÷ โดยที่ D f = (-¥,2) È (2, 3]   çg ÷ è ÷ø -2+ | x - 4 | g
  • 11. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย æg ÷ ö ç ÷ (x ) = -2+ | x - 4 | ç ÷ โดยที่ Dg = (-¥, 3)   çf ÷ è ø 3-x f   แบบฝึ กหัดเพิมเติมเรื่องพีชคณิตของฟังก์ชัน  ่   1. กําหนดให้ f = {(-3, 2), (-2, -1), (-1, 0), (2,1), (4, 3)} และ g(x ) = | x + 1 | จงหา f f + g, f - g, fg, และ g   g f æf ö 2. กําหนดให้ f (x ) = (x + 1)2 และ g(x ) = x -1 จงหา (f + g )(x ), ( f - g )(x ), ( fg )(x ), ç ÷ (x ) ç ÷ çg ÷ è ÷ø æ ö และ ç g ÷(x ) พร้อมทั้งระบุโดเมนของแต่ละฟังก์ชนที่หามาได้   ç ÷ ç ÷ ÷ ั çf ø è 3. กําหนดให้ f และ g เป็ นฟังก์ชนที่มีกราฟดังรู ป จงร่ างกราฟของ ั f +g และ f - g     3.0 3.0   f 2.5 2.5 g   2.0 2.0 1.5 1.5 1.0 1.0 0.5 0.5 - 1.5 - 1.0 - 0.5 0.0 0.5 1.0 1.5 - 1.5 - 1.0 - 0.5 0.0 0.5 1.0 1.5 4. จงร่ างกราฟของ fg เมื่อกําหนดให้ f (x ) = -1 และ g เป็ นฟังก์ชนที่มีกราฟดังรู ป   ั - 1.0 - 0.5 0.5 1.0 1.5 2.0 -1 -2 -3 f 5. กําหนดให้ f (x ) = x และ g(x ) = | x | +1 จงหาโดเมนและเรนจ์ของ g
  • 12. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2. ตัวอย่ างของฟังก์ ชันพืนฐาน ้
  • 13. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในช่วงแรกนี้ยงไม่ได้ยกตัวอย่างฟังก์ชนพื้นฐานต่างๆ ที่นกเรี ยนควรรู ้จก แต่ได้กล่าวถึงบทนิยามของฟังก์ชนเพิม และ ั ั ั ั ั ่ ฟังก์ชนลด ซึ่งมีความสําคัญอย่างยิงในการแก้อสมการต่างๆ   ั ่                                    
  • 14. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากที่เข้าใจบทนิยามของฟังก์ชนเพิม และฟังก์ชนลดแล้ว ในตอนนี้ได้ยกตัวอย่างต่างๆ เกี่ยวกับฟังก์ชนเพิม และ ั ่ ั ั ่ ฟังก์ชนลด โดยให้นกเรี ยนได้ฝึกพิจารณาโดยวิธีเชิงพีชคณิ ต และโดยการวาดกราฟ  ั ั           เมื่อมาถึงตอนนี้ครู ควรเน้นยํ้าว่า ฟังก์ชนหนึ่งๆ นั้นไม่จาเป็ นจะต้องเป็ นฟังก์ชนเพิ่ม หรื อฟังก์ชนลดเพียงอย่างเดียว ั ํ ั ั ตลอดทั้งโดเมน แต่อาจมีบางช่วงที่ฟังก์ชนนั้นเป็ นฟังก์ชนเพิ่ม และบางช่วงที่ฟังก์ชนนั้นเป็ นฟังก์ชนลด สําหรับ ั ั ั ั ฟังก์ชนที่ไม่เพิ่มและไม่ลดเลยนั้นจะเรี ยกว่าเป็ นฟังก์ชนคงที่ ยิงไปกว่านั้นการกํากับว่าฟังก์ชนนั้นๆ เป็ นฟังก์ชนเพิ่ม ั ั ่ ั ั หรื อฟังก์ชนลดบนเซตใด มีความสําคัญเช่นกัน ให้นกเรี ยนพิจารณาฟังก์ชน f ที่มีกราฟดังรู ป  ั ั ั   1.0   0.5   -1 1 2 3   - 0.5   - 1.0  
  • 15. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะเห็นว่า f เป็ นฟังก์ชนเพิ่มบนเซต (-¥,1) และ บนเซต (1, ¥) แต่ f ไม่เป็ นฟังก์ชนเพิ่มบน  (ทําไม) ซึ่งคือ ั ั โดเมนของ f (สังเกตว่า f ไม่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง) ในกรณี ที่ f เป็ นฟังก์ชนเพิ่ม (หรื อฟังก์ชนลด) บนโดเมน ั ั ั ของฟังก์ชน f อาจกล่าวสั้นๆ ว่า f เป็ นฟังก์ชนเพิ่ม (หรื อฟังก์ชนลด) เท่านั้น  ั ั ั   นอกจากนี้ในบางตําราอาจกําหนดนิยามในลักษณะดังนี้  สําหรับฟังก์ชน f ที่มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของจํานวนจริ ง และ A Ì Df จะได้วา   ั ่ 1. f เป็ นฟังก์ชันเพิม บน A ก็ต่อเมื่อ สําหรับ x1 และ x 2 Î A ถ้า x 1 < x 2 แล้ว f (x 1 ) £ f (x 2 )   ่ 2. f เป็ นฟังก์ชันลด บน A ก็ต่อเมื่อ สําหรับ x1 และ x 2 Î A ถ้า x 1 < x 2 แล้ว f (x 1 ) ³ f (x 2 )     ในขณะที่สื่อชุดนี้ แท้จริ งแล้วกําหนดนิยามไว้ดงนี้  ั สําหรับฟังก์ชน f ที่มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของจํานวนจริ ง และ A Ì Df จะได้วา   ั ่ 1. f เป็ นฟังก์ชนไม่ลด (nondecreasing function) บน A ก็ต่อเมื่อ สําหรับ x1 และ x 2 Î A ถ้า x 1 < x 2 แล้ว ั f (x 1 ) £ f (x 2 )   2. ฟังก์ชนไม่เพิ่ม (nondecreasing function) บน A ก็ต่อเมื่อ สําหรับ x1 และ x 2 Î A ถ้า x 1 < x 2 แล้ว ั f (x 1 ) ³ f (x 2 )   3. ฟังก์ชนเพิ่ม หรื อฟังก์ชนเพิ่มโดยแท้ (increasing function หรื อ strictly increasing) บน A ก็ต่อเมื่อ สําหรับ x1 และ ั ั x 2 Î A ถ้า x 1 < x 2 แล้ว f (x 1 ) < f (x 2 )   4. ฟังก์ชนลด หรื อฟังก์ชนลดโดยแท้ (decreasing function หรื อ strictly decreasing) บน A ก็ต่อเมื่อ สําหรับ x1 และ ั ั x 2 Î A ถ้า x 1 < x 2 แล้ว f (x 1 ) > f (x 2 )     อีกทั้งในการตอบว่าช่วงใดเป็ นช่วงที่ฟังก์ชนเพิ่ม หรื อช่วงใดเป็ นช่วงที่ฟังก์ชนลด บางตําราอาจรวมจุดปลายช่วง (หาก ั ั ่ จุดปลายช่วงนั้นอยูในโดเมนของฟังก์ชน) ในขณะที่บางตําราจะตอบเป็ นช่วงเปิ ดโดยไม่สนใจจุดปลายช่วงดังเช่นที่ ั นักเรี ยนเห็นในสื่ อชุดนี้นนเอง  ั่    ในช่วงนี้ครู ควรถามคําถามนําเพื่อให้นกเรี ยนช่วยกันอภิปรายในประเด็นเหล่านี้  ั   ่ ่ 1. สมมติวา f เป็ นฟังก์ชนเพิม (หรื อฟังก์ชนลด) และ f (x1 ) < f (x 2 ) แล้วสรุ ปได้หรื อไม่วา x1 < x 2 (หรื อ ั ่ ั x 1 > x 2 ) โดยให้นกเรี ยนช่วยกันยกตัวอย่างประกอบ ั
  • 16. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2. เมื่อนักเรี ยนอภิปรายและยกตัวอย่างกันไปพอสมควรแล้วน่าจะนํามาสู่ ขอสรุ ปว่า ถ้า f เป็ นฟังก์ชนเพิ่ม (หรื อ ้ ั ฟังก์ชนลด) แล้วสําหรับ x 1 Î Df และ x 2 Î Df ( x1 < x 2 ก็ต่อเมื่อ f (x1 ) < f (x 2 ) (หรื อ f (x1 ) > f (x 2 ) )) ั ั ั ั ํ สมบัติน้ ีนาไปใช้ในการแก้อสมการของฟังก์ชนอื่นๆ ที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง เช่น ฟังก์ชนเลขชี้กาลัง และฟังก์ชน ํ ั ั ํ ลอการิ ทึม ซึ่งนักเรี ยนจะได้ศึกษารายละเอียดในสื่ อเรื่ องฟังก์ชนเลขชี้กาลังและฟังก์ชนลอการิ ทึม โดย อาจารย์เพ็ญ ั พรรณ และอาจารย์จิณดิษฐ์ นอกจากนี้นกเรี ยนที่มีความสนใจเป็ นพิเศษอาจสังเกตได้อีกว่า ถ้า f เป็ นฟังก์ชนเพิ่ม ั ั (หรื อฟังก์ชนลด) แล้ว f เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง ซึ่งบทพิสูจน์จะขอให้ไว้สาหรับนักเรี ยนที่สนใจ ั ั ํ   ่ พิสูจน์ กําหนดให้ f เป็ นฟังก์ชนเพิ่ม ให้ x1 Î Df และ x 2 Î Df สมมติวา x1 ¹ x 2 โดยไม่เสี ยนัยทัวไป สมมติวา ั ่ ่ ั ่ x 1 < x 2 เนื่ องจาก f เป็ นฟั งก์ชนเพิ่ม ทําให้ได้วา f (x1 ) < f (x 2 ) นันคือ f (x 1 ) ¹ f (x 2 ) เพราะว่าข้อความ ถ้า ่ ่ x 1 ¹ x 2 แล้ว f (x 1 ) ¹ f (x 2 ) สมมูลกับข้อความ ถ้า f (x 1 ) = f (x 2 ) แล้ว x 1 = x 2 จึงสรุ ปได้วา f เป็ นฟั งก์ชน ั หนึ่งต่อหนึ่ง     เมื่อมาถึงตอนนี้ครู ควรยกตัวอย่างเหล่านี้ประกอบ    x ตัวอย่ าง 3 กําหนดให้ f (x ) = จงหาช่วงที่ f เป็ นฟังก์ชนเพิม และช่วงที่ f เป็ นฟังก์ชนลด  ั ่ ั 4 - x2   x1 x2 ํ ่ วิธีทา ให้ x1 และ x 2 เป็ นสมาชิกของโดเมน f สมมติวา f (x1 ) < f (x 2 ) นันคือ ่ 2 < ซึ่งเมื่อย้าย 4-x 1 4 - x 22 4x 1 - x 1x 22 - 4x 2 + x 12x 2 (4 + x 1x 2 )(x 1 - x 2 ) ข้างและรวมเศษส่ วนจะได้ 2 2 = <0   (4 - x )(4 - x 2 ) 1 (4 - x 12 )(4 - x 22 ) ่ กรณี x1 < -2 และ x 2 < -2 จะได้วา x12 > 4 และ x 22 > 4 และ x1x 2 > 0 ดังนั้น x1 < x 2   ่ กรณี -2 < x1, x 2 < 2 จะได้วา x12 < 4 และ x 22 < 4 และ -4 < x1x 2 < 4 ดังนั้น x1 < x 2   ่ กรณี x1 > 2 และ x 2 > 2 ได้วา x12 > 4 และ x 22 > 4 และ x1x 2 > 0 ดังนั้น x1 < x 2   ่ ทําให้ได้วา f เป็ นฟังก์ชนเพิมบนช่วง (-¥, -2), (-2,2) และ (2, ¥) และไม่มีช่วงที่ f เป็ นฟังก์ชนลด  ั ่ ั   ตัวอย่ าง 4 สมมติวา f และ g เป็ นฟังก์ชนเพิมทั้งคู่ (หรื อฟังก์ชนลดทั้งคู่) บนช่วง A Ì Df ่ ั ่ ั Ç Dg ที่ไม่ใช่เซตว่าง แล้ว f + g จะเป็ นฟังก์ชนเพิ่มทั้งคู่ (หรื อฟังก์ชนลดทั้งคู่) บนช่วง A หรื อไม่  ั ั  
  • 17. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ่ ่ วิธีทา ให้ x1 Î A และ x 2 Î A สมมติวา x1 < x 2 จะได้วา f (x1 ) < f (x 2 ) และ g(x1 ) < g(x 2 ) ทําให้ ํ ่ ั ่ ่ (f + g )(x 1 ) = f (x1 ) + g(x1 ) < f (x 2 ) + g(x 2 ) = (f + g )(x 2 ) นันคือ f + g เป็ นฟังก์ชนเพิมทั้งคูบนช่วง A     หมายเหตุ ในที่น้ ีแสดงให้ดูเฉพาะกรณี ที่ f และ g เป็ นฟังก์ชนเพิ่มทั้งคู่ ส่ วนในกรณี ที่ f และ g เป็ นฟังก์ชนลดทั้ง ั ั คู่ ขอให้นกเรี ยนช่วยกันทําเป็ นแบบฝึ กหัด ั
  • 18. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในตอนนี้ได้กล่าวถึงนิยามของฟังก์ชนเชิงเส้นในรู ป f (x ) = ax + b เมื่อ a และ b เป็ นจํานวนจริ งใดๆ ั         สําหรับปัญหาชวนคิดที่ทิ้งไว้ในสื่ อนั้น จะเห็นว่าแบ่งออกเป็ นสามกรณี ได้ดงนี้  ั กรณี a > 0 ให้ x1 และ x 2 เป็ นจํานวนจริ งใดๆ ที่ x 1 < x 2 เนื่องจาก a > 0 จะได้วา ่ ่ f (x 1 ) = ax 1 + b < ax 2 + b = f (x 2 ) ทําให้ได้วา เมื่อ a > 0 ฟั งก์ชนเชิงเส้น f (x ) = ax + b เป็ นฟั งก์ชนเพิ่ม  ั ั กรณี a < 0 ให้ x1 และ x 2 เป็ นจํานวนจริ งใดๆ ที่ x 1 < x 2 เนื่องจาก a < 0 จะได้วา ่ ่ f (x 1 ) = ax 1 + b > ax 2 + b = f (x 2 ) ทําให้ได้วา เมื่อ a < 0 ฟั งก์ชนเชิงเส้น f (x ) = ax + b เป็ นฟั งก์ชนลด  ั ั ่ ่ กรณี a = 0 จะได้วาฟังก์ชนเชิงเส้นอยูในรู ป f (x ) = b ซึ่งเป็ นฟังก์ชนคงที่  ั ั   สําหรับฟังก์ชนเชิงเส้น f (x ) = ax + b จะเรี ยก a ว่าความชันของกราฟ (ที่เป็ นเส้นตรง) ของฟังก์ชนนี้ และเรี ยก b ั ั ว่าระยะตัดแกน y  
  • 19. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย   เมื่อถึงตอนนี้ครู อาจให้นกเรี ยนร่ างกราฟของฟังก์ชนเชิงเส้นเมื่อ a และ b มีเงื่อนไขต่างๆ กัน กล่าวคือ  ั ั 1. a > 0 และ b > 0   2. a > 0 และ b < 0   3. a < 0 และ b < 0   4. a = 0 และ b < 0     นอกจากนี้ยงอาจถามในทํานองกลับกัน กล่าวคือกําหนดกราฟเส้นตรงมาให้แล้วให้นกเรี ยนช่วยกันระบุเครื่ องหมาย ั ั ของ a และ b    
  • 20. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในตอนนี้ได้กล่าวถึงฟังก์ชนกําลังสองในรู ป f (x ) = ax 2 + bx + c เมื่อ a, b และ c เป็ นจํานวนจริ งที่ a ¹ 0   ั           แม้วานักเรี ยนจะได้เรี ยนเกี่ยวกับพาราโบลาซึ่งเป็ นกราฟของสมการกําลังสองมาแล้วในระดับมัธยมศึกษา ่ ตอนต้นแล้วครู ควรยํ้าอีกครั้งว่า เนื่องจาก   æ æ ö æ ö 2 æ öö 2 ÷ æ ö 2 ç 2 çx + 2x ç b ÷ + ç b ÷ + c - ç b ÷ ÷ = a çx + b ÷ + c - b   2 aç ç ÷ ç ÷ ç ÷ ç ÷ ç ÷÷ ç ÷ ç ç è è 2a ø è 2a ÷ ÷ ø a ç 2a ÷ ÷ è ÷÷ø÷ø ç è ÷ 2a ÷ ø 4a æ b 2 ö ่ ทําให้ได้วาจุดยอดของพาราโบลาคือ ç ç- , c - b ÷ จุดยอดนี้ อาจเรี ยกว่า จุดวกกลับของพาราโบลา ซึ่ งใน ÷ ç 2a ÷ ç è 4a ÷ø æ ö 2 กรณี ที่ a > 0 จะได้วาจุดวกกลับนี้เป็ นจุดตํ่าสุ ดของฟังก์ชน และค่าตํ่าสุ ดของฟังก์ชนคือ f ç- b ÷ = c - b ่ ั ั ç ÷ ç 2a ÷ è ÷ ø 4a ่ ในขณะที่เมื่อ a < 0 จะได้วาจุดวกกลับนี้เป็ นจุดสู งสุ ดของฟังก์ชน และค่าสูงสุ ดของฟังก์ชนคือ ั ั
  • 21. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย æ b ö 2 ç- ÷ = c - b fç ÷ ç 2a ÷ ÷ เช่นกัน นอกจากนี้กราฟของพาราโบลายังมีเส้นตรง x = - b เป็ นแกนสมมาตรอีก è ø 4a 2a ด้วย     ่ สําหรับปัญหาชวนคิดที่ทิ้งไว้ในสื่ อนั้นจะได้วา  æ ö กรณี a > 0 ฟังก์ชนกําลังสองจะเป็ นฟังก์ชนลดบนช่วง ç-¥, - b ÷ และเป็ นฟังก์ชนเพิมบนช่วง ั ั ç ç ÷ ÷ ÷ ั ่ ç è 2a ø æ b ö ÷ ç ç- , ¥÷   ÷ ç 2a è ÷ ø æ ö กรณี a < 0 ฟังก์ชนกําลังสองจะเป็ นฟังก์ชนเพิมบนช่วง ç-¥, - b ÷ และเป็ นฟังก์ชนลดบนช่วง ั ั ่ ç ç ÷ ÷ ÷ ั ç è 2a ø æ b ö ÷ ç ç- , ¥÷   ÷ ç 2a è ÷ ø   ครู ควรให้นกเรี ยนสังเกตต่อว่าจุดตัดแกน X ของฟังก์ชนกําลังสองคือคําตอบที่เป็ นจํานวนจริ งของสมการ ั ั ax 2 + bx + c = 0 นันเอง กล่าวคือถ้า (A, 0) และ (B, 0) เป็ นจุดตัดแกน X ทั้งสองจุดของฟั งก์ชนกําลัง ่ ั ่ สองแล้วจะได้วา ax 2 + bx + c = a(x - A)(x - B ) ในขณะที่ถามีจุดตัดแกน X เพียงจุดเดียว หรื อกราฟ ้ ่ ของฟังก์ชนกําลังสองแตะแกน X ที่จุด (A, 0) แล้วจะได้วา ax 2 + bx + c = a(x - A)2 และสําหรับกราฟ ั ั ั ่ ของฟังก์ชนกําลังสองที่ไม่ตดแกน X จะได้วาสําหรับจํานวนจริ ง x ใดๆ ax 2 + bx + c > 0 หรื อ ax 2 + bx + c < 0 อย่างใดอย่างหนึ่ งอย่างเดียวเท่านั้น นันหมายความว่าสมการ ax 2 + bx + c = 0 ไม่มี ่ คําตอบที่เป็ นจํานวนจริ ง หรื อ b 2 - 4ac < 0 นันเอง ประเด็นอีกประเด็นหนึ่งที่สาคัญคือถ้า (A, 0) และ ่ ํ ่ (B, 0) เป็ นจุดตัดแกน X ทั้งสองจุดของฟั งก์ชนกําลังสองแล้วจะได้วาจุดยอดหรื อจุดวกกลับ (ซึ่ งอาจเป็ น ั จุดสู งสุ ดหรื อจุดตํ่าสุ ด) นั้นจะอยูที่จุดซึ่ง x = A + B ซึ่งอยูตรงกลางระหว่าง x = A และ x = B   ่ ่ 2   เมื่อมาถึงตรงนี้ครู อาจยกตัวอย่างเหล่านี้เพิมเติม  ่   æ 10 ö ÷ ตัวอย่ าง 5 กําหนดให้ f (x ) = -x 2 + 4x - 10 สรุ ปได้หรื อไม่วา f ç ่ ç ç ÷ < -6 ÷   ç 3÷ ç è ÷ ø
  • 22. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 4 ํ ่ วิธีทา เนื่องจาก a = -1 < 0 ดังนั้นฟังก์ชนนี้มีจุดสู งสุดอยูที่ x = - ั = 2 และค่าสู งสุ ดของฟั งก์ชน ั 2(-1) 42 10 æ 10 ö ÷ คือ -10 - = -6 และเพราะว่า ¹2 ่ ç ทําให้ได้วา f ç ç ÷ < -6   ÷ ÷ 4(-1) 3 ç ç è 3ø÷ หมายเหตุ สําหรับตัวอย่างข้อนี้ ถ้านักเรี ยนแทนค่า x ลงในสูตรของ f (x ) โดยตรงอาจเปรี ยบเทียบลําบาก    ตัวอย่ าง 6 กําหนดให้กราฟของฟังก์ชน f (x ) = -x 2 + 2x + 8 เป็ นรู ปพาราโบลาที่ตดแกน X ที่จุด A และ ั ั B จงหาพื้นที่ของสามเหลี่ยม ABC เมื่อ C คือจุดวกกลับของพาราโบลานี้     วิธีทา เนื่องจาก f (x ) = -x 2 + 2x + 8 = -(x - 4)(x + 2) ดังนั้นจุดตัดแกน X คือ A = (-2, 0) และ ํ æ 2 ö ç- 2 , 8 - 2 ÷ = (1, 9) B = (4, 0) ตามลําดับ สําหรับจุดวกกลับคือ C = ç ç ÷ ดังนั้นพื้นที่รูป ÷ ç 2(-1) è 4(-1)÷ ø 1 สามเหลี่ยม ABC = (4 - (-2))(9) = 27 ตารางหน่วย 2
  • 23. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในช่วงนี้ได้กล่าวถึงฟังก์ชนค่าสัมบูรณ์ในรู ป f (x ) = a | x - b | +c เมื่อ a, b และ c เป็ นจํานวนจริ งที่ a ¹ 0   ั       จากรู ปของกราฟฟังก์ชนค่าสัมบูรณ์จะเห็นว่า กราฟนี้มีเส้นตรง x = b เป็ นแกนสมมาตร และในกรณี ที่ a > 0 ั ่ ่ จะได้วากราฟของฟังก์ชนค่าสัมบูรณ์มีจุดตํ่าสุ ดอยูที่จุด (b, c) และค่าตํ่าสุ ดของฟังก์ชนคือ f (b) = c ในขณะที่ ั ั ่ ่ ถ้า a < 0 จะได้วากราฟของฟังก์ชนค่าสัมบูรณ์มีจุดสูงสุ ดอยูที่จุด (b, c) และค่าสู งสุ ดของฟังก์ชนคือ ั ั f (b) = c     สําหรับประเด็นที่ทิ้งไว้ให้นกเรี ยนช่วยกันอภิปรายในสื่ อนั้นคือค่าของจํานวนจริ ง a มีผลอย่างไรกับลักษณะ ั กราฟของฟังก์ชนนี้ นักเรี ยนอาจทําได้โดยลงรอยทางเดินของจุดของฟังก์ชนเหล่านี้ ั ั 1 f1(x ) = | x |, f2 (x ) = 2 | x | และ f3 (x ) = | x | บนระนาบ XY เดียวกัน ซึ่งนักเรี ยนจะได้กราฟดังรู ป  2    
  • 24. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย   f2 3.0     2.5   2.0   f1 1.5     f3 1.0   0.5   - 1.5 - 1.0 - 0.5 0.5 1.0 1.5   ่ จากกราฟที่ได้พอจะสรุ ปได้วา ถ้า a = 1 แขนของตัว V ที่เป็ นรู ปกราฟของฟังก์ชนนี้จะทํามุม 45 กับแกน ั X ในขณะที่ถา a > 1 มุมระหว่างแขนของตัว V ที่เป็ นรู ปกราฟของฟั งก์ชนนี้ จะทํามุมมากกว่า 45 กับแกน ้ ั X ขึ้นไปเรื่ อยๆ สําหรับกรณี ที่ 0 < a < 1 มุมระหว่างแขนของตัว V ที่เป็ นรู ปกราฟของฟั งก์ชนนี้ จะทํามุม ั น้อยกว่า 45 กับแกน X ลงมาเรื่ อยๆ ดังนั้นสัมประสิ ทธิ์ a จะมีผลต่อความกว้างและความแคบของขาของตัว V ที่เป็ นรู ปกราฟของฟั งก์ชนนี้ นนเอง ส่ วนในกรณี ที่ a < 0 นั้น จะสามารถพิจารณาได้ในทํานองเดียวกัน ั ั่ กล่าวคือแยกเป็ นกรณี ที่ -1 < a < 0 และ กรณี ที่ a < -1 อันที่จริ งแล้ว ถ้าให้ q เป็ นมุมที่แขนของตัว V ่ ทํากับแกน X จะได้วา tan q = a     ปัญหาชวนคิดที่ทิ้งไว้ในสื่ อนั้นจะได้วา ่ กรณี a > 0 ฟังก์ชนค่าสัมบูรณ์จะเป็ นฟังก์ชนลดบนช่วง (-¥,b) แล้วเป็ นฟังก์ชนเพิมบนช่วง (b, ¥)   ั ั ั ่ กรณี a < 0 ฟังก์ชนค่าสัมบูรณ์จะเป็ นฟังก์ชนเพิมบนช่วง (-¥,b) แล้วเป็ นฟังก์ชนลดบนช่วง (b, ¥)   ั ั ่ ั   เมื่อถึงตอนนี้ครู อาจให้นกเรี ยนร่ างกราฟของฟังก์ชนค่าสัมบูรณ์เมื่อ a, b และ c มีเงื่อนไขต่างๆ กัน เช่น  ั ั 1. a > 0, b > 0 และ c > 0   2. a > 0, b > 0 และ c < 0   3. a > 0, b < 0 และ c > 0   4. a > 0, b < 0 และ c < 0   เป็ นต้น   
  • 25. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยงอาจถามในทํานองกลับกัน กล่าวคือกําหนดกราฟของฟังก์ชนค่าสัมบูรณ์มาให้แล้วให้นกเรี ยนช่วยกัน ั ั ั ระบุเครื่ องหมายของ a, b และ c   ่ ในตอนนี้ได้กล่าวถึงฟังก์ชนพหุ นามดีกรี n ที่อยูในรู ป   ั f (x ) = an x n + an -1x n -1 + an-2x n -2 + ... + a2x 2 + a1x + a 0   เมื่อ ai Î  ทุก i Î  È {0} และ an ¹ 0       ในระดับนี้นกเรี ยนควรจะวาดกราฟของฟังก์ชนพหุนามดีกรี สามรู ปแบบหนึ่งคือ f (x ) = ax 3 เมื่อ a เป็ น ั ั จํานวนจริ งที่ไม่ใช่ 0 เหมือนเช่นที่ยกตัวอย่างไว้ในสื่ อนี้ได้ สําหรับประเด็นที่ทิ้งไว้ให้นกเรี ยนช่วยกันอภิปราย ั นั้นจะเห็นว่า ในกรณี ที่ a > 0 ฟังก์ชน f (x ) = ax 3 จะเป็ นฟังก์ชนเพิ่มบนเซตของจํานวนจริ ง แต่ในกรณี ที่ ั ั a < 0 ฟั งก์ชน f (x ) = ax 3 จะเป็ นฟั งก์ชนลดบนเซตของจํานวนจริ ง   ั ั    
  • 26. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในช่วงนี้ได้แนะนําให้นกเรี ยนรู ้จกฟังก์ชนขั้นบันได ซึ่งเป็ นฟังก์ชนที่มีค่าคงที่เป็ นช่วงๆ ทั้งนี้ความยาวของแต่ละช่วง ั ั ั ั ที่ค่าของฟังก์ชนแตกต่างกันนั้นไม่จาเป็ นต้องยาวเท่ากัน ตลอดจนค่าของฟังก์ชนในช่วงที่อยูติดกันอาจมีค่าเพิ่มขึ้น ั ํ ั ่ หรื อลดลงก็ได้         ì 0; 0 £ x £ 1 ï ï ï ï 4; 1 < x £ 2 ï ่ จากกราฟในสื่ อนี้จะได้วา f (x ) = ï í   ï6; 2 < x £ 3 ï ï ï8; 3 < x £ 4 ï ï î   ในบางครั้งจํานวนขั้นบันไดอาจมีมากมายไม่จากัด เช่น  ํ   ่ ตัวอย่ าง 7 กําหนดให้ f (x ) = จํานวนเต็มที่มากที่สุดที่นอยกว่าหรื อเท่ากับ x จะได้วาสําหรับจํานวนเต็ม n ใดๆ ถ้า ้ ì ï  ï ï ï-1; - 1 £ x £ 0 ï ï ï n £ x < n + 1 แล้ว f (x ) = n ซึ่งสามารถเขียนได้ในรู ป f (x ) = í 0; 0 £ x < 1   ï ï 1; 1 £ x < 2 ï ï ï ï ï  ï î   ฟังก์ชนขั้นบันไดที่สาคัญฟังก์ชนหนึ่งซึ่งได้กล่าวถึงไว้ในบทนําเรื่ องความสัมพันธ์และฟังก์ชนโดยอาจารย์จิณดิษฐ์น้ น ั ํ ั ั ั ั ั ํ คือฟังก์ชนขั้นบันไดหนึ่งหน่วย (unit-step function) หรื อฟังก์ชนเฮวีไซด์ (Heaviside function) ที่กาหนดโดย ì1; x > c ï u(x - c) = ï í ซึ่งบางครั้งอาจใช้สญลักษณ์ uc (x ) และที่จุด x = c ในตําราบางเล่มอาจกําหนดให้ ั ï0; x < c ï î
  • 27. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย u(c) = 0 ํ หรื อ u(c) = 1 หรื ออาจไม่ได้กาหนดค่าของฟังก์ชนที่จุดนี้ไว้เลย และโดยส่ วนใหญ่จะมีเงื่อนไขว่า ั c³0     ผลการดําเนินการเชิงพีชคณิ ตระหว่างฟังก์ชนขั้นบันไดหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะการบวกและการลบ มีความสําคัญในการ ั ประยุกต์ทางคณิ ตศาสตร์ช้ นสูงต่อไป   ั   ตัวอย่ าง 8 จงหา u1(x ) - u3 (x ) พร้อมทั้งวาดกราฟของผลลบที่ได้    ì 1 - 1; ï x > 3 ì0;ï x>3 ì ì ï1; x > 1 ï1; x > 3 ï ï ï ï ï ï วิธีทา ํ u1(x ) - u 3 (x ) = ï í -í = í1 - 0; 1 < x < 3 = ï1; 1 < x < 3 í ซึ่งมีกราฟดังรู ป  ï0; x < 1 ï0; x < 3 ï ï ï ï 0 - 0; ï î î ï ï x < 1 ï 0; ï ï x <1 î î   1.0 0.8 0.6 0.4 0.2 -1 1 2 3 4 5
  • 28. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในตอนนี้ได้กล่าวถึงฟังก์ชนที่นิยามเป็ นช่วงๆ กล่าวคือค่าของฟังก์ชนกําหนดด้วยสูตรที่ต่างกันบนช่วงที่เป็ นสับเซต ั ั ั ่ ของโดเมนต่างๆ กัน ในบางครั้งอาจเรี ยกว่าฟังก์ชนแยกตอน นักเรี ยนน่าจะพอสังเกตได้วาฟังก์ชนขั้นบันไดเป็ น ั ฟังก์ชนที่นิยามเป็ นช่วงๆ แบบหนึ่งโดยค่าของฟังก์ชนเป็ นค่าคงที่ที่ต่างกันไปในแต่ละช่วง   ั ั       ì2x 2 + 3x + 1; x < -2 ï ï ï สําหรับตัวอย่างของฟังก์ชนที่ยกไว้ในสื่ อคือ ั f (x ) = ï 4x + 1; - 2 £ x < 4 í นั้นจะมีกราฟเป็ นดังรู ป  ï 3 ïx + x + 1; ï ï x ³4 î     200   150   100     50     4 - 2- 2 4 6   ่ ั สังเกตว่าจุดปลายของกราฟในแต่ละช่วงอาจเป็ นจุดทึบหรื อจุดโปร่ งขึ้นอยูกบว่าช่วงนั้นๆ รวมจุดปลายหรื อไม่นนเอง  ั่   สําหรับฟังก์ชนที่นิยามเป็ นช่วงๆ นั้นนักเรี ยนอาจลืมไปว่าได้คุนเคยกับฟังก์ชนลักษณะนี้มาก่อนแล้ว นันคือฟังก์ชนที่ ั ้ ั ่ ั ìx ; x ³ 0 ï มีค่าสัมบูรณ์มาเกี่ยวข้อง เช่น f (x ) = | x | = ï í   ï-x ; x < 0 ï î