15. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จะเห็นว่า f เป็ นฟังก์ชนเพิ่มบนเซต (-¥,1) และ บนเซต (1, ¥) แต่ f ไม่เป็ นฟังก์ชนเพิ่มบน (ทําไม) ซึ่งคือ
ั ั
โดเมนของ f (สังเกตว่า f ไม่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง) ในกรณี ที่ f เป็ นฟังก์ชนเพิ่ม (หรื อฟังก์ชนลด) บนโดเมน
ั ั ั
ของฟังก์ชน f อาจกล่าวสั้นๆ ว่า f เป็ นฟังก์ชนเพิ่ม (หรื อฟังก์ชนลด) เท่านั้น
ั ั ั
นอกจากนี้ในบางตําราอาจกําหนดนิยามในลักษณะดังนี้
สําหรับฟังก์ชน f ที่มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของจํานวนจริ ง และ A Ì Df จะได้วา
ั ่
1. f เป็ นฟังก์ชันเพิม บน A ก็ต่อเมื่อ สําหรับ x1 และ x 2 Î A ถ้า x 1 < x 2 แล้ว f (x 1 ) £ f (x 2 )
่
2. f เป็ นฟังก์ชันลด บน A ก็ต่อเมื่อ สําหรับ x1 และ x 2 Î A ถ้า x 1 < x 2 แล้ว f (x 1 ) ³ f (x 2 )
ในขณะที่สื่อชุดนี้ แท้จริ งแล้วกําหนดนิยามไว้ดงนี้ ั
สําหรับฟังก์ชน f ที่มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของจํานวนจริ ง และ A Ì Df จะได้วา
ั ่
1. f เป็ นฟังก์ชนไม่ลด (nondecreasing function) บน A ก็ต่อเมื่อ สําหรับ x1 และ x 2 Î A ถ้า x 1 < x 2 แล้ว
ั
f (x 1 ) £ f (x 2 )
2. ฟังก์ชนไม่เพิ่ม (nondecreasing function) บน A ก็ต่อเมื่อ สําหรับ x1 และ x 2 Î A ถ้า x 1 < x 2 แล้ว
ั
f (x 1 ) ³ f (x 2 )
3. ฟังก์ชนเพิ่ม หรื อฟังก์ชนเพิ่มโดยแท้ (increasing function หรื อ strictly increasing) บน A ก็ต่อเมื่อ สําหรับ x1 และ
ั ั
x 2 Î A ถ้า x 1 < x 2 แล้ว f (x 1 ) < f (x 2 )
4. ฟังก์ชนลด หรื อฟังก์ชนลดโดยแท้ (decreasing function หรื อ strictly decreasing) บน A ก็ต่อเมื่อ สําหรับ x1 และ
ั ั
x 2 Î A ถ้า x 1 < x 2 แล้ว f (x 1 ) > f (x 2 )
อีกทั้งในการตอบว่าช่วงใดเป็ นช่วงที่ฟังก์ชนเพิ่ม หรื อช่วงใดเป็ นช่วงที่ฟังก์ชนลด บางตําราอาจรวมจุดปลายช่วง (หาก
ั ั
่
จุดปลายช่วงนั้นอยูในโดเมนของฟังก์ชน) ในขณะที่บางตําราจะตอบเป็ นช่วงเปิ ดโดยไม่สนใจจุดปลายช่วงดังเช่นที่
ั
นักเรี ยนเห็นในสื่ อชุดนี้นนเอง ั่
ในช่วงนี้ครู ควรถามคําถามนําเพื่อให้นกเรี ยนช่วยกันอภิปรายในประเด็นเหล่านี้
ั
่ ่
1. สมมติวา f เป็ นฟังก์ชนเพิม (หรื อฟังก์ชนลด) และ f (x1 ) < f (x 2 ) แล้วสรุ ปได้หรื อไม่วา x1 < x 2 (หรื อ
ั ่ ั
x 1 > x 2 ) โดยให้นกเรี ยนช่วยกันยกตัวอย่างประกอบ
ั
16. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2. เมื่อนักเรี ยนอภิปรายและยกตัวอย่างกันไปพอสมควรแล้วน่าจะนํามาสู่ ขอสรุ ปว่า ถ้า f เป็ นฟังก์ชนเพิ่ม (หรื อ
้ ั
ฟังก์ชนลด) แล้วสําหรับ x 1 Î Df และ x 2 Î Df ( x1 < x 2 ก็ต่อเมื่อ f (x1 ) < f (x 2 ) (หรื อ f (x1 ) > f (x 2 ) ))
ั
ั ั ั ํ
สมบัติน้ ีนาไปใช้ในการแก้อสมการของฟังก์ชนอื่นๆ ที่เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง เช่น ฟังก์ชนเลขชี้กาลัง และฟังก์ชน
ํ ั
ั ํ
ลอการิ ทึม ซึ่งนักเรี ยนจะได้ศึกษารายละเอียดในสื่ อเรื่ องฟังก์ชนเลขชี้กาลังและฟังก์ชนลอการิ ทึม โดย อาจารย์เพ็ญ
ั
พรรณ และอาจารย์จิณดิษฐ์ นอกจากนี้นกเรี ยนที่มีความสนใจเป็ นพิเศษอาจสังเกตได้อีกว่า ถ้า f เป็ นฟังก์ชนเพิ่ม
ั ั
(หรื อฟังก์ชนลด) แล้ว f เป็ นฟังก์ชนหนึ่งต่อหนึ่ง ซึ่งบทพิสูจน์จะขอให้ไว้สาหรับนักเรี ยนที่สนใจ
ั ั ํ
่
พิสูจน์ กําหนดให้ f เป็ นฟังก์ชนเพิ่ม ให้ x1 Î Df และ x 2 Î Df สมมติวา x1 ¹ x 2 โดยไม่เสี ยนัยทัวไป สมมติวา
ั ่ ่
ั ่
x 1 < x 2 เนื่ องจาก f เป็ นฟั งก์ชนเพิ่ม ทําให้ได้วา f (x1 ) < f (x 2 ) นันคือ f (x 1 ) ¹ f (x 2 ) เพราะว่าข้อความ ถ้า
่
่
x 1 ¹ x 2 แล้ว f (x 1 ) ¹ f (x 2 ) สมมูลกับข้อความ ถ้า f (x 1 ) = f (x 2 ) แล้ว x 1 = x 2 จึงสรุ ปได้วา f เป็ นฟั งก์ชน
ั
หนึ่งต่อหนึ่ง
เมื่อมาถึงตอนนี้ครู ควรยกตัวอย่างเหล่านี้ประกอบ
x
ตัวอย่ าง 3 กําหนดให้ f (x ) = จงหาช่วงที่ f เป็ นฟังก์ชนเพิม และช่วงที่ f เป็ นฟังก์ชนลด
ั ่ ั
4 - x2
x1 x2
ํ ่
วิธีทา ให้ x1 และ x 2 เป็ นสมาชิกของโดเมน f สมมติวา f (x1 ) < f (x 2 ) นันคือ
่ 2
< ซึ่งเมื่อย้าย
4-x 1
4 - x 22
4x 1 - x 1x 22 - 4x 2 + x 12x 2 (4 + x 1x 2 )(x 1 - x 2 )
ข้างและรวมเศษส่ วนจะได้ 2 2
= <0
(4 - x )(4 - x 2 )
1
(4 - x 12 )(4 - x 22 )
่
กรณี x1 < -2 และ x 2 < -2 จะได้วา x12 > 4 และ x 22 > 4 และ x1x 2 > 0 ดังนั้น x1 < x 2
่
กรณี -2 < x1, x 2 < 2 จะได้วา x12 < 4 และ x 22 < 4 และ -4 < x1x 2 < 4 ดังนั้น x1 < x 2
่
กรณี x1 > 2 และ x 2 > 2 ได้วา x12 > 4 และ x 22 > 4 และ x1x 2 > 0 ดังนั้น x1 < x 2
่
ทําให้ได้วา f เป็ นฟังก์ชนเพิมบนช่วง (-¥, -2), (-2,2) และ (2, ¥) และไม่มีช่วงที่ f เป็ นฟังก์ชนลด
ั ่ ั
ตัวอย่ าง 4 สมมติวา f และ g เป็ นฟังก์ชนเพิมทั้งคู่ (หรื อฟังก์ชนลดทั้งคู่) บนช่วง A Ì Df
่ ั ่ ั Ç Dg ที่ไม่ใช่เซตว่าง
แล้ว f + g จะเป็ นฟังก์ชนเพิ่มทั้งคู่ (หรื อฟังก์ชนลดทั้งคู่) บนช่วง A หรื อไม่
ั ั
17. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
่ ่
วิธีทา ให้ x1 Î A และ x 2 Î A สมมติวา x1 < x 2 จะได้วา f (x1 ) < f (x 2 ) และ g(x1 ) < g(x 2 ) ทําให้
ํ
่ ั ่ ่
(f + g )(x 1 ) = f (x1 ) + g(x1 ) < f (x 2 ) + g(x 2 ) = (f + g )(x 2 ) นันคือ f + g เป็ นฟังก์ชนเพิมทั้งคูบนช่วง A
หมายเหตุ ในที่น้ ีแสดงให้ดูเฉพาะกรณี ที่ f และ g เป็ นฟังก์ชนเพิ่มทั้งคู่ ส่ วนในกรณี ที่ f และ g เป็ นฟังก์ชนลดทั้ง
ั ั
คู่ ขอให้นกเรี ยนช่วยกันทําเป็ นแบบฝึ กหัด
ั
18. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในตอนนี้ได้กล่าวถึงนิยามของฟังก์ชนเชิงเส้นในรู ป f (x ) = ax + b เมื่อ a และ b เป็ นจํานวนจริ งใดๆ
ั
สําหรับปัญหาชวนคิดที่ทิ้งไว้ในสื่ อนั้น จะเห็นว่าแบ่งออกเป็ นสามกรณี ได้ดงนี้ ั
กรณี a > 0 ให้ x1 และ x 2 เป็ นจํานวนจริ งใดๆ ที่ x 1 < x 2 เนื่องจาก a > 0 จะได้วา ่
่
f (x 1 ) = ax 1 + b < ax 2 + b = f (x 2 ) ทําให้ได้วา เมื่อ a > 0 ฟั งก์ชนเชิงเส้น f (x ) = ax + b เป็ นฟั งก์ชนเพิ่ม
ั ั
กรณี a < 0 ให้ x1 และ x 2 เป็ นจํานวนจริ งใดๆ ที่ x 1 < x 2 เนื่องจาก a < 0 จะได้วา ่
่
f (x 1 ) = ax 1 + b > ax 2 + b = f (x 2 ) ทําให้ได้วา เมื่อ a < 0 ฟั งก์ชนเชิงเส้น f (x ) = ax + b เป็ นฟั งก์ชนลด
ั ั
่ ่
กรณี a = 0 จะได้วาฟังก์ชนเชิงเส้นอยูในรู ป f (x ) = b ซึ่งเป็ นฟังก์ชนคงที่
ั ั
สําหรับฟังก์ชนเชิงเส้น f (x ) = ax + b จะเรี ยก a ว่าความชันของกราฟ (ที่เป็ นเส้นตรง) ของฟังก์ชนนี้ และเรี ยก b
ั ั
ว่าระยะตัดแกน y
19. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เมื่อถึงตอนนี้ครู อาจให้นกเรี ยนร่ างกราฟของฟังก์ชนเชิงเส้นเมื่อ a และ b มีเงื่อนไขต่างๆ กัน กล่าวคือ
ั ั
1. a > 0 และ b > 0
2. a > 0 และ b < 0
3. a < 0 และ b < 0
4. a = 0 และ b < 0
นอกจากนี้ยงอาจถามในทํานองกลับกัน กล่าวคือกําหนดกราฟเส้นตรงมาให้แล้วให้นกเรี ยนช่วยกันระบุเครื่ องหมาย
ั ั
ของ a และ b
20. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในตอนนี้ได้กล่าวถึงฟังก์ชนกําลังสองในรู ป f (x ) = ax 2 + bx + c เมื่อ a, b และ c เป็ นจํานวนจริ งที่ a ¹ 0
ั
แม้วานักเรี ยนจะได้เรี ยนเกี่ยวกับพาราโบลาซึ่งเป็ นกราฟของสมการกําลังสองมาแล้วในระดับมัธยมศึกษา
่
ตอนต้นแล้วครู ควรยํ้าอีกครั้งว่า เนื่องจาก
æ æ ö æ ö
2
æ öö
2
÷ æ ö
2
ç 2
çx + 2x ç b ÷ + ç b ÷ + c - ç b ÷ ÷ = a çx + b ÷ + c - b
2
aç ç ÷ ç ÷
ç ÷ ç ÷ ç ÷÷ ç ÷
ç
ç
è è 2a ø è 2a ÷
÷ ø a ç 2a ÷ ÷
è ÷÷ø÷ø
ç
è
÷
2a ÷
ø 4a
æ b 2 ö
่
ทําให้ได้วาจุดยอดของพาราโบลาคือ ç ç- , c - b ÷ จุดยอดนี้ อาจเรี ยกว่า จุดวกกลับของพาราโบลา ซึ่ งใน
÷
ç 2a ÷
ç
è 4a ÷ø
æ ö 2
กรณี ที่ a > 0 จะได้วาจุดวกกลับนี้เป็ นจุดตํ่าสุ ดของฟังก์ชน และค่าตํ่าสุ ดของฟังก์ชนคือ f ç- b ÷ = c - b
่ ั ั ç ÷
ç 2a ÷
è ÷
ø 4a
่
ในขณะที่เมื่อ a < 0 จะได้วาจุดวกกลับนี้เป็ นจุดสู งสุ ดของฟังก์ชน และค่าสูงสุ ดของฟังก์ชนคือ
ั ั
21. คู่มือสื่ อการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ โดยความร่ วมมือระหว่าง
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
æ b ö 2
ç- ÷ = c - b
fç ÷
ç 2a ÷
÷
เช่นกัน นอกจากนี้กราฟของพาราโบลายังมีเส้นตรง x = - b เป็ นแกนสมมาตรอีก
è ø 4a 2a
ด้วย
่
สําหรับปัญหาชวนคิดที่ทิ้งไว้ในสื่ อนั้นจะได้วา
æ ö
กรณี a > 0 ฟังก์ชนกําลังสองจะเป็ นฟังก์ชนลดบนช่วง ç-¥, - b ÷ และเป็ นฟังก์ชนเพิมบนช่วง
ั ั ç
ç
÷
÷
÷
ั ่
ç
è 2a ø
æ b ö
÷
ç
ç- , ¥÷
÷
ç 2a
è ÷
ø
æ ö
กรณี a < 0 ฟังก์ชนกําลังสองจะเป็ นฟังก์ชนเพิมบนช่วง ç-¥, - b ÷ และเป็ นฟังก์ชนลดบนช่วง
ั ั ่ ç
ç
÷
÷
÷
ั
ç
è 2a ø
æ b ö
÷
ç
ç- , ¥÷
÷
ç 2a
è ÷
ø
ครู ควรให้นกเรี ยนสังเกตต่อว่าจุดตัดแกน X ของฟังก์ชนกําลังสองคือคําตอบที่เป็ นจํานวนจริ งของสมการ
ั ั
ax 2 + bx + c = 0 นันเอง กล่าวคือถ้า (A, 0) และ (B, 0) เป็ นจุดตัดแกน X ทั้งสองจุดของฟั งก์ชนกําลัง
่ ั
่
สองแล้วจะได้วา ax 2 + bx + c = a(x - A)(x - B ) ในขณะที่ถามีจุดตัดแกน X เพียงจุดเดียว หรื อกราฟ
้
่
ของฟังก์ชนกําลังสองแตะแกน X ที่จุด (A, 0) แล้วจะได้วา ax 2 + bx + c = a(x - A)2 และสําหรับกราฟ
ั
ั ั ่
ของฟังก์ชนกําลังสองที่ไม่ตดแกน X จะได้วาสําหรับจํานวนจริ ง x ใดๆ ax 2 + bx + c > 0 หรื อ
ax 2 + bx + c < 0 อย่างใดอย่างหนึ่ งอย่างเดียวเท่านั้น นันหมายความว่าสมการ ax 2 + bx + c = 0 ไม่มี
่
คําตอบที่เป็ นจํานวนจริ ง หรื อ b 2 - 4ac < 0 นันเอง ประเด็นอีกประเด็นหนึ่งที่สาคัญคือถ้า (A, 0) และ
่ ํ
่
(B, 0) เป็ นจุดตัดแกน X ทั้งสองจุดของฟั งก์ชนกําลังสองแล้วจะได้วาจุดยอดหรื อจุดวกกลับ (ซึ่ งอาจเป็ น
ั
จุดสู งสุ ดหรื อจุดตํ่าสุ ด) นั้นจะอยูที่จุดซึ่ง x = A + B ซึ่งอยูตรงกลางระหว่าง x = A และ x = B
่ ่
2
เมื่อมาถึงตรงนี้ครู อาจยกตัวอย่างเหล่านี้เพิมเติม
่
æ 10 ö
÷
ตัวอย่ าง 5 กําหนดให้ f (x ) = -x 2 + 4x - 10 สรุ ปได้หรื อไม่วา f ç
่ ç ç
÷ < -6
÷
ç 3÷
ç
è ÷
ø