More Related Content
Similar to โรคไข้เลือดออก
Similar to โรคไข้เลือดออก (20)
More from French Natthawut
More from French Natthawut (9)
โรคไข้เลือดออก
- 1. 1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6
ปีการศึกษา 2560
ชื่อโครงงาน โรคไข้เลือดออก
ชื่อผู้ทาโครงงาน
1 นาย ธนกฤต สมฤทธิ์ ชั้น ม.6/5 เลขที่ 12
2 นาย ณัฐวุฒิ มะโนกิจ ชั้น ม.6/5 เลขที่ 31
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 2. 2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม
1 นาย ธนกฤต สมฤทธิ์ ชั้น ม.6/5
2 นาย ณัฐวุฒิ มะโนกิจ ชั้น ม.6/5
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
โรคไข้เลือดออก
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
Dengue hemorrhagic fever - DHF
ประเภทโครงงาน
พัฒนาสื่อเพื่อหารศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน นาย ธนกฤต สมฤทธิ์
นาย ณัฐวุฒิ มะโนกิจ
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มุลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน
ในปัจจุบันโรคไข้เลือดออกที่พบในประเทศไทยและประเทศใกล้เคียงในอาเซียนอาคเนย์เกิดจากโรค
ไวรัส dengue จึงเรียกชื่อว่าDengue hemorrhagic fever (DHF) มักติดต่อช่างกลไปสู่คนซึ่งมียุงลายเป็นตัว
พาหะที่สาคัญโดยยยุงตัวเมียจัดการและดูดเลือดของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสแดงที่จากนั้นถึงจะเข้าไปฝังตัวและเพิ่ม
จานวนในตัวอย่างไรทาให้มีเชื้อไวรัสอยู่ในตัวของอิงรายตลอดเวลาของมันประมาณ 1-2 เดือนแล้วถ่ายทอด
เชื้อไปสู่คนที่ถูกกัดได้ ยุงลายเป็นยุงที่อาศัยอยู่ในบริเวณบ้าน มักกัดกลางวันมีแหล่งเพาะพันธุ์ คือ น้านิ่งที่ขัง
อยู่ในภาชนะเก็บน้าต่างๆอาทิ โอ่ง แจกันดอกไม้ ถ้วยรองขาตู้ จาน ชาม กระป๋ อง หม้อ ยางรถยนต์ หรือ
กระถาง เป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นโรคที่เป็นปัญหาสาคัญทางด้านสาธารณสุขและการแพทย์ อาการของโรคนี้มี
ความคล้ายคลึงกับโรคไข้หวัดในช่วงแรก จึงทาให้ผู้ป่วยเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ว่าตนมีเพียงโรคไข้หวัด และทา
ให้ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องในทันที และในปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคไข้เลือดออกโดยตรง หากอาการไม่
รุนแรงโรคนี้จะหายได้เอง ดังนั้นการรักษาจึงเป็นเพียงการรักษาไปตามอาการเป็นสาคัญ กล่าวคือ ให้ยาลดไข้
เช็ดตัว ให้ดื่มน้ามากๆ เพื่อป้องกันภาวะช็อค และการรักษาภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นโรค
ไข้เลือดออกมีอาการและความรุนแรงของโรคหลายระดับตั้งแต่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อยไปจนถึงเกิด
ภาวะช็อคซึ่งเป็นสาเหตุที่ทาให้ผู้ป่วยเสียชีวิตดังนั้นผู้จัดทาจึงศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกเพื่อเป็น
ความรู้แก่ผู้ที่ศึกษาและสนใจในโรคไข้เลือดออก
- 3. 3
วัตถุประสงค์
1. เพื่อศึกษาเกี่ยวกับเรื่องโรคไข้เลือดออก
2.เพื่อเผยแพร่ความรู้เรื่องโรคไข้เลือดออกลงในเว็บไซต์
ขอบเขตโครงงาน
เป็นการสร้างสื่อให้ความรู้ เรื่องโรคไข้เลือดออก จากโปรแกรม เพื่อการศึกษาเรื่องโรคไข้เลือดออก
และ ศึกษาสาเหตุการเกิดโรคไข้เลือดออก
รวมไปถึงศึกษาวิธีการป้องกัน และรักษาการเกิดโรคไข้เลือดออก เพื่อเผยแพร่ความรู้เรื่องโรคไข้เลือดออก
ให้แก่ผู้ที่สนใจในเรื่องนี้
หลักการและทฤษฎี
1.โรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออก คือ โรคติดเชื้อซึ่งมีสาเหตุมาจาก ไวรัสเดงกี่ (Dengue virus) อาการของโรคนี้มีความ
คล้ายคลึงกับโรคไข้หวัดในช่วงแรก จึงทาให้ผู้ป่วยเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ว่าตนเป็นเพียงโรคไข้หวัด และทาให้
ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องในทันที โรคไข้เลือดออกมีอาการและความรุนแรงของโรคหลายระดับตั้งแต่ไม่มี
อาการหรือมีอาการเล็กน้อยไปจนถึงเกิดภาวะช็อกซึ่งเป็นสาเหตุที่ทาให้ผู้ป่วยเสียชีวิต สถิติในปี
พ.ศ. 2554 รายงานโดย กลุ่มโรคไข้เลือดออก สานักโรคติดต่อนาโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวง
สาธารณสุข พบว่า มีอัตราป่วย 107.02 และอัตราป่วยตาย 0.10 ซึ่งหมายความว่า ในประชากร
ทุก 100,000 คน จะมีผู้ที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกได้ถึง 107.02 คน และมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ 0.1คน
2.การติดต่อ
ไวรัสเดงกี่ที่เป็นสาเหตุของโรคไข้เลือดออกสามารถมีชีวิตรอดและเพิ่มจานวนภายในตัวของยุงลาย
ยุงลายจึงเป็นพาหะของโรคไข้เลือดออก และกล่าวได้ว่าโรคไข้เลือดออกติดต่อจากคนสู่คน ยุงลายที่เป็นพาหะ
นี้มีชื่อว่า Aedes aegypti ยุงชนิดนี้ออกหากินเวลากลางวัน ยุงจะกัดและดูดเลือดที่มีเชื้อไวรัสเดงกี่จากผู้ที่กาลัง
ป่วยเป็นไข้เลือดออก เมื่อยุงลายไปกัดคนใหม่ ก็จะถ่ายทอดเชื้อให้กับคนที่ถูกยุงกัดต่อไป ยุงชนิดนี้อาศัยอยู่ใน
เขตภูมิอากาศแบบร้อนชื้น ประเทศไทยจึงเป็นอีกบริเวณหนึ่งที่มีการระบาดของโรคนี้ค่อนข้างสูง โดยพบการ
ระบาดมากที่สุดในฤดูฝน ช่วงอายุของคนที่พบว่าป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกมากที่สุด คือ คนอายุ 10-14 ปี
รองลงมาคือ อายุ 15-24 ปี และ อายุ 5-9 ปี ตามลาดับ ส่วนช่วงอายุ0-4 ปี และมากกว่า 25 ปี จนถึง 65 ปี
เป็นช่วงอายุที่พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกจานวนน้อยที่สุด
3.อาการ
อาการของโรคนี้คล้ายคลึงกับโรคไข้หวัด กล่าวคือ มีอาการไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ แต่
แตกต่างกันที่ ไข้จะสูงกว่ามาก โดยอาจมีไข้สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส ผู้ป่วยจะมีหน้าแดง และปวดเมื่อย
กล้ามเนื้อค่อนข้างมากกว่า หากทาการทดสอบโดยการรัดต้นแขนด้วยสายรัด (Touniquet test) จะพบจุด
เลือดออก ผู้ป่วยอาจมีเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดกาเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน หรืออาการเลือดออก
- 4. 4
ผิดปกติอื่นๆ และในบางรายที่มีอาการรุนแรงมากๆ อาจพบอาการซึม เหงื่อออก มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเบาแต่
เร็ว ปวดท้องโดยเฉพาะบริเวณใต้ชายโครงขวา ปัสสาวะลดลง อาจถึงกับช็อกและเสียชีวิตได้ โดยอาการนาของ
ภาวะช็อกมักเริ่มจากการมีไข้ลดลง ดังนั้นหากพบว่าผู้ป่วยเริ่มมีไข้ลดลงตามด้วยอาการดังที่กล่าวมา ควรรีบ
แจ้งแพทย์หรือนาผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที
ในเด็กที่ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออก มักพบว่า มีอาการในระยะเริ่มต้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งหาก
ผู้ปกครองละเลยการพาผู้ป่วยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล ก็มีโอกาสที่ผู้ป่วยเด็กจะเสียชีวิตเนื่องจากการ
รักษาที่ล่าช้าได้ ดังนั้นผู้ปกครองจึงควรสงสัยไว้ก่อนว่าบุตรหลานที่มีอาการไข้สูงในฤดูฝนอาจเป็นโรค
ไข้เลือดออก และควรรีบพาบุตรหลานไปรับการรักษา
4.การรักษา
เนื่องจากยังไม่มีการพัฒนายาฆ่าเชื้อไวรัสเดงกี่ การรักษาโรคนี้จึงเป็นการรักษาตามอาการเป็นสาคัญ
กล่าวคือมีการใช้ยาลดไข้ เช็ดตัว และการป้องกันภาวะช็อก
ยาลดไข้ที่ใช้มีเพียงชนิดเดียว คือ ยาพาราเซตามอล (paracetamol) ขนาดยาที่ใช้ในผู้ใหญ่คือ พาราเซตามอล
ชนิดเม็ดละ 500 มิลลิกรัม รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง โดยไม่ควรรับประทานเกินวันละ 8 เม็ด
(4 กรัม) ส่วนขนาดยาที่ใช้ในเด็กคือ พาราเซตามอลชนิดน้า 10-15 มิลลิกรัมต่อน้าหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อครั้ง
ทุก 4-6 ชั่วโมง โดยไม่ควรรับประทานเกินวันละ 5 ครั้ง หรือ 2.6 กรัม ยาพาราเซตามอลนี้เป็นยารับประทาน
ตามอาการ ดังนั้น หากไม่มีไข้ก็สามารถหยุดยาได้ทันที
ผลิตภัณฑ์พาราเซตามอลชนิดน้าสาหรับเด็กมีจาหน่ายในหลายความแรงได้แก่ 120 มิลลิกรัมต่อ 1ช้อนชา
(1 ช้อนชา เท่ากับ 5 มิลลิลิตร), 250 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนชา, และ 60 มิลลิกรัมต่อ 0.6 มิลลิลิตร ส่วนใหญ่เป็น
ยาน้าเชื่อมที่ต้องรินใส่ช้อนเพื่อป้อนเด็ก ในกรณีทารก การป้อนยาทาได้ค่อนข้างยากจึงมีผลิตภัณฑ์ยาที่ทา
จาหน่ายโดยบรรจุในขวดพร้อมหลอดหยด เวลาใช้ก็เพียงแต่ใช้หลอดหยดดูดยาออกจากขวดและนาไปป้อน
เด็กได้เลย ด้วยเหตุที่ผลิตภัณฑ์พาราเซตามอลชนิดน้าสาหรับเด็กมีหลายความแรงจึงควรอ่านฉลากและวิธีใช้
ให้ดีก่อนนาไปป้อนเด็ก กล่าวคือ หากเด็กหนัก 10 กิโลกรัม และมียาน้าความแรง 120 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนชา
ก็ควรป้อนยาเด็กครั้งละ 1 ช้อนชาหรือ 5 มิลลิลิตร และป้อนซ้าได้ทุก 4-6 ชั่วโมงแต่ไม่ควรป้อนยาเกินวัน
ละ 5 ครั้ง หากไม่มีไข้ก็สามารถหยุดยาได้ทันที
แอสไพรินและไอบูโปรเฟน เป็นยาลดไข้เช่นกัน แต่ยาทั้งสองชนิดนี้ห้ามนามาใช้ในโรคไข้เลือดออก เนื่องจาก
ยาทั้งสองชนิดนี้จะยิ่งส่งเสริมการเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติจนอาจเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยได้ในส่วนการป้องกัน
ภาวะช็อกนั้น กระทาได้โดยการชดเชยน้าให้ร่างกายเพื่อไม่ให้ปริมาตรเลือดลดต่าลงจนทาให้ความดันโลหิตตก
แพทย์จะพิจารณาให้สารน้าตามความรุนแรงของอาการ โดยอาจให้ผู้ป่วยดื่มเพียงสารละลายเกลือแร่ โอ อาร์
เอ็ส หรือผู้ป่วยบางรายอาจได้รับน้าเกลือเข้าทางหลอดเลือดดา ในกรณีที่ผู้ป่วยเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติจน
เกิดภาวะเสียเลือดอาจต้องได้รับเลือดเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามจะต้องเฝ้าระวังภาวะช็อกดังที่ได้กล่าวไปแล้ว
ข้างต้นเนื่องจากภาวะนี้มีความอันตรายต่อชีวิตของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก
- 5. 5
5.การป้องกัน
แม้ว่าในปัจจุบันกาลังมีการพัฒนาวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ แต่ก็ยังไม่มียาที่สามารถฆ่าเชื้อ
ไวรัสเดงกี่ได้ ดังนั้นคาตอบที่ดีที่สุดของโรคไข้เลือดออกในปัจจุบันนี้ คือ การป้องกันไม่ให้เป็นโรคโดยการ
ควบคุมยุงลายให้มีจานวนลดลงซึ่งทาได้โดยการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายและการกาจัดยุงลายทั้ง
ลูกน้าและตัวเต็มวัย และป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด ทั้งนี้การป้องกันทาได้ 3 ลักษณะ คือ
1. การป้องกันทางกายภาพ ได้แก่
-ปิดภาชนะเก็บน้าด้วยฝาปิด เช่น มีผาปิดปากโอ่งน้า ตุ่มน้า ถังเก็บน้า หรือถ้าไม่มีฝาปิด ก็วางคว่าลงหากยัง
ไม่ต้องการใช้ เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นที่วางไข่ของยุงลาย
-เปลี่ยนน้าในแจกันดอกไม้สดบ่อยๆ อย่างน้อยทุกๆ 7 วัน
-ปล่อยปลากินลูกน้าลงในภาชนะเก็บน้า เช่น โอ่ง ตุ่ม ภาชนะละ 2-4 ตัว รวมถึงอ่างบัวและตู้ปลาก็ควรมีปลา
กินลูกน้าเพื่อคอยควบคุมจานวนลูกน้ายุงลายเช่นกัน
-ใส่เกลือลงน้าในจานรองขาตู้กับข้าว เพื่อควบคุมและกาจัดลูกน้ายุงลาย โดยใส่เกลือ 2 ช้อนชา ต่อความ
จุ 250 มิลลิลิตร พบว่าสามารถควบคุมลูกน้าได้นานกว่า 7 วัน
2. การป้องกันทางเคมี ได้แก่
-เติมทรายทีมีฟอส ซึ่งเป็นสารเคมีที่องค์การอนามัยโลกแนะนาให้ใช้และรับรองความปลอดภัย เหมาะสมกับ
ภาชนะที่ไม่สามารถใส่ปลากินลูกน้าได้
-การพ่นสารเคมีหรือยากันยุงเพื่อกาจัดยุงตัวเต็มวัย มีข้อดีคือ ประสิทธิภาพสูง แต่ข้อเสียคือ มีราคาแพง และ
เป็นพิษต่อคนและสัตว์เลี้ยง จึงต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการฉีดพ่นและฉีดเฉพาะเมื่อจาเป็นเท่านั้น เพื่อป้องกัน
ความเป็นพิษต่อคนและสัตว์เลี้ยง ควรเลือกฉีดในเวลาที่มีคนอยู่น้อยที่สุดและฉีดพ่นลงในแหล่งที่คาดว่าเป็น
แหล่งเพาะพันธุ์ยุง เช่น ท่อระบายน้า กระถางต้นไม้ เป็นต้น
-การใช้สารเคมีเพื่อกาจัดยุงในบ้านเรือน ที่ใช้กันมี 2 ชนิด คือ ยาจุดกันยุง และสเปรย์ฉีดไล่ยุง โดยสารออก
ฤทธิ์อาจเป็นยาในกลุ่มไพรีทรอยด์ (Pyrethroids), ดีท (DEET, diethyltoluamide) เป็นต้น เมื่อก่อนมียาฆ่ายุง
ด้วย มีชื่อว่า ดีดีที แต่สารนี้ถูกยกเลิกการใช้ไปแล้วเนื่องจากเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตและตกค้างในสิ่งแวดล้อมเป็น
ระยะเวลานานมาก อย่างไรก็ตาม สารเคมีไม่ว่าจากยาจุดกันยุงหรือสเปรย์ฉีดไล่ยุง ก็มีความเป็นพิษต่อคนและ
สัตว์ ดังนั้นเพื่อลดความเป็นพิษดังกล่าวควรจุดยากันยุงในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ล้างมือทุกครั้ง
หลังจากสัมผัส ส่วนยาฉีดไล่ยุงจะมีความเป็นพิษมากกว่า ดังนั้นห้ามฉีดลงบนผิวหนัง และควรปฏิบัติตามวิธีใช้
ที่ระบุข้างกระป๋องอย่างเคร่งครัด
3. การปฏิบัติตัว ได้แก่
-นอนในมุ้ง หรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวดเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด โดยจะต้องปฏิบัติเหมือนกันทั้งกลางวันและ
กลางคืน
-หากไม่สามารถนอนในมุ้งหรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวดได้ ควรใช้ยากันยุงชนิดทาผิวซึ่งมีสารสาคัญที่สกัดจาก
ธรรมชาติ เช่น น้ามันตะไคร้หอม (oil of citronella), น้ามันยูคาลิปตัส (oil of eucalyptus) ซึ่งมีความปลอดภัย
สูงกว่ามาทาหรือหยดใส่ผิวหนังใช้เป็นยากันยุง แต่ประสิทธิภาพจะต่ากว่า DEET
- 6. 6
วิธีดาเนินงาน
แนวทางการดาเนินงาน
1. เลือกเรื่องที่สนใจ เสนอหัวข้อโครงงานกับครูที่ปรึกษาโครงงาน
2. สืบค้นข้อมูล เอกสารที่เกี่ยวข้อง จากอินเทอร์เน็ตและแหล่งเรียนรู้ต่างๆ
3. รวบรวมและสรุปข้อมูลจากการศึกษาค้นคว้า
4. นาไปให้ครูที่ปรึกษาตรวจความถูกต้อง สมบูรณ์
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
1. เครื่องคอมพิวเตอร์
งบประมาณ
ไม่มีค่าใช่จ่ายใดๆ
ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลาดั
บ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอ
บ
1 2 3 4 5 6 7 8 9
1
0
1
1
12
1
3
1
4
1
5
16 17
1 คิดหัวข้อโครงงาน คณะผู้จัดทา
2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล คณะผู้จัดทา
3 จัดทาโครงร่างงาน คณะผู้จัดทา
4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน คณะผู้จัดทา
5 ปรับปรุงทดสอบ คณะผู้จัดทา
6 การทาเอกสารรายงาน คณะผู้จัดทา
7 ประเมินผลงาน คณะผู้จัดทา
8 นาเสนอโครงงาน คณะผู้จัดทา
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1. ได้รับความรู้ในเรื่องโรคไข้เลือดออก
2. ได้รับความรู้สาเหตุการเกิดโรคไข้เลือดออก
3. ได้รู้วิธีการป้องกัน และรักษาการเกิดโรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออกเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากยุงลาย Aedes aegypti ตัวเมียบินไปกัดคนที่ป่วยเป็น
ไข้เลือดออกโดยเฉพาะช่วงที่มีไข้สูง เชื้อไวรัสแดงกี่จะเพิ่มจานวนในตัวยุงลายประมาณ 8- 10 วัน เชื้อไวรัส
แดงกี่จะไปที่ผนังกระเพาะและต่อมน้าลายของยุง เมื่อยุงกัดคนก็จะแพร่เชื้อสู่คน เชื้อจะอยู่ในร่างกายคน
ประมาณ 2 – 7 วันใช่ช่วงที่มีไข้ หากยุงกัดคนในช่วงนี้จะรับเชื้อไวรัสมาแพร่ให้กับคนอื่น ซึ่งส่วนใหญ่มักจะ
- 7. 7
เป็นเด็ก โรคนี้ระบาดในฤดูฝน ยุงลายชอบออกหากินในเวลากลางวันตามบ้านเรือน และโรงเรียน ชอบวางไข้
ตามภาชนะที่มีน้าขัง เช่น กะลา กระป๋อง แต่ไม่ชอบวางไข่ในท่อน้า ห้วย หนอง
การป้องกัน แม้ว่าในปัจจุบันกาลังมีการพัฒนาวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสแดงกี่ แต่ก็ยังไม่มียาที่
สามารถฆ่าเชื้อไวรัสแดงกี่ได้ ดังนั้นคาตอบที่ดีที่สุดของโรคไข้เลือดออกในปัจจุบันนี้ คือ การป้องกันไม่ให้เป็น
โรคโดยการควบคุมยุงลายให้มีจานวนลดลงซึ่งทาได้โดยการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายและการกาจัด
ยุงลายทั้งลูกน้าและตัวเต็มวัย และป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด
สถานที่ดาเนินการ
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
1.วิทยาศาสตร์
2.สุขะศึกษา
แหล่งอ้างอิง
Kapook. ไข้เลือดออก โรคตัวร้ายที่มียุงลายเป็นพาหะ อันตรายถึงชีวิต !. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
http://health.kapook.com/view2522.html.
เภสัชกรหญิง วิภารักษ์บุญมาก. บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน โรคไข้เลือดออก. (ออนไลน์).
แหล่งที่มา : http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/.
Sanook. โรคไข้เลือดออก (Dengue Haemorrhagic Fever) . (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
http://guru.sanook.com/3873/.
ธัญชนก บูรัมย์. โครงงานคอมพิวเตอร์เรื่องโรคไข้เลือดออก. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
http://veclever.blogspot.com/2015/09/blog-post_20.html.
วนันต์ เปี่ยมท่าน.โครงงานโรคไข้เลือดออก.(ออนไลน์).แหล่งที่มา :
http://nimmal.blogspot.com/2016/08/1.html