AT1AT1
- 1. แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5
ปีการศึกษา 2562
ชื่อโครงงาน ปัญหาอุทกภัย
ชื่อผู้ทาโครงงาน
ชื่อ นางสาวณิชา เขียวหงษ์ เลขที่ 12 ชั้น ม.6 ห้อง 6
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 62
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม
น.ส.ณิชา เขียวหงษ์ เลขที่ 12 ม.6/6
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
ปัญหาอุทกภัย
- 2. ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
The disease from flood problem
ประเภทโครงงาน
เพื่อพัฒนาและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบจากอุทกภัยรวมไปถึงวิธีการป้องกันโรคต่างๆที่อัน
เนื่องมาจากอุทกภัย โดยสามารถนาไปปรับใช้เพื่อเป็นการป้องกันในชีวิตประจาวันได้
ชื่อผู้ทาโครงงาน
นางสาวณิชา เขียวหงษ์
ชื่อที่ปรึกษา
ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน
ภาคเรียนที่ 1
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน)
ปัญหาอุทกภัยเป็นปัญหาทางธรรมชาติโดยมีหลายสาเหตุหลายปัจจัยที่ทาให้เกิดปัญหาน้าท่วมไม่ว่าจะเป็นฝน
ตกหนักเป็นเวลานานหลายวัน น้าท่วมขัง แหล่งกักเก็บน้าล้น ท่อระบายน้าระบายน้าไม่ทัน โดยปัญหา
อุทกภัยจึงก่อให้เกิดโรคต่างๆที่ถูกแพร่เข้ามาผ่านทางระบบต่างๆในร่างกายและก่อให้เกิดโรคต่างๆซึ่งหากไม่
รีบหาทางหรือวิธีป้องกันก็อาจนาไปสู่อันตรายต่อชีวิตได้ นอกจากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ผลกระทบจากปัญหาน้า
ท่วมก็มีอีกมากมายปัญหาพวกนี้จะส่งผลต่อการดาเนินชีวิตของเราในแต่ละวันอาจจะส่งผลกระทบมาก-น้อยก็
อาจจะแล้วแต่ระบบภูมิคุ้มกันในระบบร่างกายของแต่ละคน ดังนั้นสิ่งที่เราควรจะทาคือการรู้และตระหนักถึง
อันตรายจากปัญหาน้าท่วมเราควรรู้ถึงวิธีป้องกันผลกระทบอันเกิดจากน้าท่วมรวมไปถึงรู้วิธีการการรักษา/การ
ปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพื่อจะเป็นแนวทางในการป้องกันการเกิดโรคต่างๆ
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
1.เพื่อศึกษาหาวิธีการป้องกันปัญหาอุทกภัย
2.เพื่อศึกษาหาทางป้องกันการเกิดโรคจากปัญหาอุทกภัย
3.เพื่อนาข้อมูลที่ได้ค้นคว้าไปจัดทาเป็นแผ่นพับต่างๆและเผยแพร่แก่คนอื่นๆโดยมีจุดประสงค์ว่าเผยแพร่ข้อมูล
ให้ได้มากที่สุดและให้คนอื่นๆเข้าถึงข้อมูลที่ได้จัดทาได้อย่างง่ายและสะดวกมากที่สุด
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
-สาเหตุของปัญหาอุทกภัย
-ผลกระทบของปัญหาน้าท่วม
-แนวทางการแก้ไขปัญหาอุทกภัย
- การป้องกันการเกิดโรคจากปัญหาอุทกภัย
หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน)
- 3. ปัญหาอุทกภัย
อุทกภัย คือ ภัยและอันตรายทีเกิดจากสภาวะน้าท่วมหรือน้าท่วมฉับพลันหรืออันตรายเกิดจากสภาวะน้าไหล
เอ่อล้นฝังแม่น้า ลาธาร หรือทางน้า เนื่องจากมีน้าเป็นสาเหตุอาจเป็นน้าท่วม น้าป่าไหลหลากหรืออื่นๆ โดย
ปกติอุทกภัยเกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่องเป็นเวลานานทาให้ เกิดการสะสมน้าบนพื้นที่ซึ่งระบายออกไม่ทันทาให้
พื้นที่นั้นมีน้าท่วม ภัยร้ายที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติและเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้โดยเกิดจากฝนตกหนัก
ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน บางครั้งทาให้เกิดแผ่นดินถล่ม อาจมีสาเหตุจากพายุหมุนเขตร้อนลมมรสุมมีกาลังแรง
มีกาลังแรง ร่องความกดอากาศต่ามีกาลังแรง อากาศแปรปรวน น้าทะเลหนุนแผ่นดินไหว เขื่อนพัง ทาให้เกิด
อุทกภัยได้เสมอ ปัญหาอุทกภัยก่อให้เกิดโรคต่างๆในร่างกายของเราไม่ว่าจะเป็น
โรคน้ากัดเท้า : เกิดจากความเปียกและอับชื้นบริเวณเท้าและง่ามนิ้วเท้า ซึ่งเป็นสาเหตุให้ผิวหนัง
บริเวณนั้นหลุดลอกออก ทาให้เชื้อโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อราสามารถเข้าไปฝังตัวบริเวณนั้น ทาให้
เกิดแผลผุพอง ผื่นคัน และสามารถอักเสบเป็นหนองได้ ทาให้เกิดความเจ็บปวดทรมาน เดินได้ไม่
สะดวก
โรคฉี่หนู : โรคติดต่อประเภทหนึ่งโดยมีหนูเป็นพาหะ สามารถติดต่อจากหนูสู่คนได้ผ่านทางปัสสาวะ
ของหนู ไม่ว่าหนูนั้นจะฉี่ลงน้าที่ท่วมขังหรือฉี่ลงไปในอาหารที่เรารับประทาน ภายหลังจากหนูฉี่ลงน้า
เชื้อโรคนี้จะแพร่กระจายอยู่ในน้า และจะเข้าสู่ร่างกายเราผ่านทางแผลที่ผิวหนังที่สัมผัสน้านั้น
โรคไข้เลือดออก : มีสาเหตุมาจากยุงลาย ซึ่งมักจะออกหากินเวลากลางวัน ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง
ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว คลื่นไส้อาเจียน อาการที่สังเกตได้ง่ายอย่างหนึ่งคือจะมีจุดเล็กๆตาม
ลาตัวและแขน ขา เมื่อมีอาการดังกล่าวอย่าซื้อยามารับประทานเอง ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
โรคปอดอักเสบ : เกิดขึ้นกับผู้ที่สาลักเอาน้าที่ไม่สะอาดเข้าไปในระบบทางเดินหายใจ ทาให้เกิดอาการ
ปอดอักเสบ ปอดติดเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ไอมาก หายใจหอบและเร็ว ผู้มีอาการนี้ควรรีบไปพบ
แพทย์
โรคตาแดง : เกิดจากการสัมผัสกับเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมักจะเกิดจากการใช้มือหรือผ้าเช็ค
หน้าที่มีเชื้อเหล่านี้ไปสัมผัสดวงตา ผู้ป่วยจะมีอาการคันและเคืองตา บางรายอาจจะมีอาการปวด
ดวงตา บวมแดง มีขี้ตามาก ร่วมด้วย
โรคอหิวาตกโรค : เกิดจากเชื้อแบคทีเรียประเภท Vibrio Cholerae มักเกิดจากการรับประทาน
อาหารที่ไม่สะอาด ซึ่งมีแมลงวันเป็นพาหะ ทาให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง มีลักษณะอุจจาระ
เหลวมาก ถ่ายบ่อยทั้งวัน อาการอาจจะหายไปเองได้ แต่ถ้ามีอาการมากต้องรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
ไข้ไทฟอยด์ : เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Enterica Serovar ซึ่งจะอยู่ในน้าดื่มและอาหารที่
ไม่สะอาด มีเชื้อโรคปนอยู่ โดยจะเข้าไปฝังตัวในลาไส้และระบบขับถ่าย ผู้ป่วยจะมีไข้สูง เหงื่อออก
- 4. มาก กระเพาะและลาไส้อักเสบ มีอาการท้องเสียแบบไม่มีเลือดปน ผู้ป่วยบางรายอาจจะหายได้เองใน
2-4 สัปดาห์ แต่ในรายที่มีอาการแทรกซ้อน เช่น เลือดออกทางเดินอาหาร ลาไส้ทะลุ ไตวาย ช่องท้อง
อักเสบ อาจจะทาให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นเมื่อมีอาการไข้ไทฟอยด์ การไปพบแพทย์จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
โรคเครียดวิตกกังวล : ผู้ประสบเหตุน้าท่วมย่อมมีอาการเครียดและวิตกกังวล อันเนื่องมาจากความ
เสียหายต่อทรัพย์สินที่เกิดขึ้น การทามาหากินลาบาก ไปทางานหรือโรงเรียนไม่ได้ หาซื้อข้าวปลา
อาหารลาบาก ดังนั้นอาการเครียดและซึมเศร้าจึงมักจะเกิดขึ้นกับผู้ประสบภัยทุกคน ความเครียด
สามารถทาให้เกิดอาการข้างเคียงได้เช่น โรคกระเพาะอาหาร การทางานของหัวใจผิดปกติ ปวดศีรษะ
ตลอดเวลา เบื่ออาหาร ดังนั้นเมื่อน้าท่วม ต้องบริหารจิตของตนเองไม่ให้เครียดมากจนเกินไป หมั่น
พูดคุยปรึกษาญาติพี่น้องมากขึ้น
โรคฉี่หนู เป็นโรคควรต้องระวังให้มากที่สุดหากมีปัญหาด้านอุทกภัยเนื่องจากโรคฉี่หนูหรือเรียกอีก
อย่างว่าโรคเล็ปโตสไปโรซิส เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ทั้งกับคนและสัตว์ การติด
เชื้อในคนมีสาเหตุมาจากการสัมผัสดิน น้า อาหารที่ปนเปื้อนปัสสาวะ เลือด หรือเนื้อเยื่อของของสัตว์
ที่ติดเชื้อชนิดนี้ เช่น สุนัข วัว ควาย หนู สุกร ม้า สัตว์ป่า เป็นต้นโดยผู้ติดเชื้อจากโรคฉี่หนูจะสามารถ
แสดงอาการได้ตั้งแต่ 2-30 วันหลังได้รับเชื้อ แต่ส่วนใหญ่มักแสดงอาการในช่วงประมาณ 7-14 วัน ซึ่ง
อาการของโรคนี้อาจปรากฏตั้งแต่ไม่มีอาการเลย มีอาการขั้นอ่อนไปจนถึงขั้นรุนแรงถึงชีวิต อาการ
ของโรคฉี่หนูหากเป็นในระยะแรกสามารถหายไปได้เองใน 5-7 วัน แต่มีผู้ป่วยราว 5-10 เปอร์เซ็นต์ ที่
อาการเหมือนจะดีขึ้นและหายดี หลังจากนั้นประมาณ 1-3 วันกลับทรุดลง เนื่องจากมีการพัฒนาของ
โรคไปสู่โรคฉี่หนูแบบรุนแรง และยังสามารถส่งผลกระทบถึงอวัยวะต่าง ๆ เช่น สมอง หัวใจ ตับ ไต
หรือปอดได้เลยทีเดียว อาการของโรคชนิดรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้
การวินิจฉัยโรคฉี่หนู
การติดเชื้อโรคฉี่หนูที่ไม่รุนแรงอาจยากต่อการวินิจฉัย เนื่องจากมีอาการคล้ายคลึงกับโรคอื่นๆ เช่น
โรคหวัด ในขณะที่โรคฉี่หนูชนิดรุนแรงจะวินิจฉัยได้ง่ายกว่า เนื่องจากแสดงอาการรุนแรงมากกว่า
เริ่มแรกแพทย์จะตรวจร่างกายเบื้องต้นและซักถามประวัติผู้ป่วย ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง เช่น เพิ่งกลับมา
จากการเดินทาง เล่นกีฬาทางน้า มีการสัมผัสกับแหล่งน้าจืด มีอาชีพที่ต้องทางานกับสัตว์ หรือเคยพัก
หรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคฉี่หนูควรแจ้งข้อมูลเหล่านี้ให้แพทย์ทราบ
หากแพทย์พิจารณาแล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นการติดเชื้อจากโรคฉี่หนู จึงอาจมีการส่งตรวจ
เลือดหรือตรวจปัสสาวะอย่างใดอย่างหนึ่งหรือตรวจทั้งคู่ ส่วนกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการของโรคชนิดรุนแรง
อาจต้องใช้การวินิจฉัยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การเอกซเรย์ทรวงอก การตรวจเลือดเพื่อดูการทางานของ
ตับและไตเพิ่มเติม เป็นต้น
การรักษาโรคฉี่หนู
โดยมากโรคฉี่หนูมักไม่มีอาการรุนแรงและหายดีได้เอง หรืออาจรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอย่างยาเพนิซิล
ลิน(Penicillin) หรือดอกซีไซคลิน(Doxycycline) เป็นระยะเวลา 5-7 วัน ซึ่งควรต้องรับประทานตาม
กาหนดให้ครบถ้วนแม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อแบคทีเรียถูกกาจัดจนหมด และ
ป้องกันการกลับไปติดเชื้ออีกครั้งนอกเหนือจากยาปฏิชีวนะ ผู้ป่วยอาจรับประทานยาแก้ปวดอย่างไอบู
- 5. โพรเฟน(Ibuprofen) หรือพาราเซตามอล (Paracetamol) เพื่อลดอาการปวดศีรษะ มีไข้ และปวด
กล้ามเนื้อได้เช่นกันในขณะที่ผู้ป่วยโรคฉี่หนูแบบรุนแรงจะต้องนอกพักที่โรงพยาบาล และรักษาอาการ
ติดเชื้อด้วยการฉีดยาปฏิชีวนะเข้าไปในกระแสเลือดโดยตรง และหากมีอวัยวะใด ๆ ที่เสียหายจากการ
ติดเชื้อ ทาให้ไม่สามารถใช้หรือทาหน้าที่ตามปกติได้ก็อาจจาเป็นต้องใช้เครื่องมือต่าง ๆ เข้าช่วย เช่น
ผู้ป่วยอาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือหากติดเชื้อที่ไตทาให้ไตเสียหายจนทางานไม่ได้ก็ต้องใช้การ
ล้างไตเข้าช่วย เป็นต้น
ผู้ป่วยบางรายอาจออกจากโรงพยาบาลได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่บางรายอาจต้องพักรักษาตัวที่
โรงพยาบาลเป็นเวลาหลายเดือน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะของผู้ป่วย รวมถึงความ
เสียหายต่ออวัยวะที่ติดเชื้อส่วนหญิงตั้งครรภ์ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากเชื้ออาจแพร่ไปสู่ทารกใน
ครรภ์และส่งผลให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นหญิงตั้งครรภ์ที่มีอาการของโรคฉี่หนูจึงอาจต้องเข้ารับการรักษาใน
โรงพยาบาลและเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด
การป้องกันโรคฉี่หนู
ให้ความรู้เกี่ยวกับการติดต่อของโรคแก่ประชาชน โดยแนะนาให้หลีกเลี่ยงการว่ายน้าหรือการเดินลุย
ในน้าที่อาจปนเปื้อนเชื้อปัสสาวะจากสัตว์นาโรค หรือควรสวมใส่รองเท้าบู๊ตป้องกันทุกครั้งหากมีความ
จาเป็น
หมั่นตรวจตราแหล่งน้าและดินทรายที่อาจมีเชื้อปนเปื้อน ควรระบายน้าตามท่อระบายออกแล้วล้าง
เพื่อกาจัดน้าที่ปนเปื้อน
ส่งเสริมการป้องกันโรคแก่ผู้ที่ทาอาชีพที่มีความเสี่ยงทั้งหลาย โดยให้สวมถุงมือยางหรือรองเท้าบู๊ต
ควบคุมและกาจัดหนูตามบริเวณที่อยู่อาศัย สถานที่ทางาน รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ โดยเฉพาะ
ในพื้นที่ชนบท
แยกสัตว์ที่ติดเชื้อออกจากสัตว์ชนิดอื่น ๆ และบริเวณที่อยู่อาศัย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ
โรค
ปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคฉี่หนู โดยเลือกฉีดวัคซีนซีโรวาร์ (Serovars)
สาหรับป้องกันเชื้อฉี่หนูชนิดที่พบได้บ่อยตามท้องถิ่นนั้น ๆ ทั้งนี้การฉีดวัคซีนแม้จะสามารถป้องกันโรค
ฉี่หนู แต่ไม่อาจป้องกันการติดเชื้อหรือแพร่เชื้อทางปัสสาวะได้
ปัจจุบันในบางประเทศมีวัคซีนโรคฉี่หนูสาหรับคน โดยใช้ฉีดป้องกันให้คนงานหรือผู้มีอาชีพเสี่ยงติด
เชื้อ ได้แก่ประเทศฝรั่งเศส เสปน อิตาลี จีน ญี่ปุ่น และอิสราเอล ส่วนในประเทศไทยยังไม่มีวัคซีน
สาหรับคน
ทฤษฎีการแก้ไขปัญหาน้าท่วม
- 6. ทฤษฏีการแก้ไขปัญหาน้าท่วมอันเนื่องมาจากพระราชดาริตามแนวทางการบริหารจัดการด้านน้าท่วมล้น
วิธีการต่างๆ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชดาริในการแก้ไขปัญหาน้าท่วมคือ
1. การก่อสร้างคันกั้นน้า เพื่อป้องกันน้าท่วมซึ่งเป็นวิธีการดั้งเดิมแต่ครั้งโบราณโดยการก่อสร้างคันดินกั้นน้า
ขนาดที่เหมาะสมขนานไปตามลาน้าห่างจากขอบตลิ่งพอสมควร เพื่อป้องกันมิให้น้าล้นตลิ่งไปท่วมในพื้นที่
ต่างๆ ด้านใน
2. การก่อสร้างทางผันน้า เพื่อผันน้าทั้งหมดหรือบางส่วนที่ล้นตลิ่งท่วมท้นให้ออกไป โดยการก่อสร้างทางผันน้า
หรือขุดคลองสายใหม่เชื่อมต่อกับลาน้าที่มีปัญหาน้า ท่วมโดยให้น้าไหลไปตามทางผันน้าที่ขุดขึ้นใหม่ไปลงลาน้า
สายอื่น หรือระบายออกสู่ทะเลตามความเหมาะสม
3. การปรับปรุงและตกแต่งสภาพลาน้า เพื่อให้น้าที่ท่วมทะลักสามารถไหลไปตามลาน้าได้สะดวกหรือช่วยให้
กระแสน้าไหล เร็วยิ่งขึ้น อันเป็นการบรรเทาความเสียหายจากน้าท่วมขังได้ โดยใช้วิธีการดังนี้
– ขุดลอกลาน้าตื้นเขินให้น้าไหลสะดวกขึ้น
– ตกแต่งดินตามลาดตลิ่งให้เรียบมิให้เป็นอุปสรรคต่อทางเดินของน้า
– กาจัดวัชพืช ผักตบชวา และรื้อทาลายสิ่งกีดขวางทางน้าไหลให้ออกไปจนหมดสิ้น
– หากลาน้าคดโค้งมาก ให้หาแนวทางขุดคลองใหม่เป็นลาน้าสายตรงให้น้าไหลสะดวก
4. การก่อสร้างเขื่อนเก็บกักน้าเป็นมาตรการป้องกันน้าท่วมที่สาคัญประการหนึ่งในการกักเก็บน้าที่ไหลท่วมล้น
ในฤดูน้าหลาก โดยเก็บไว้ทางด้านเหนือเขื่อนในลักษณะอ่างเก็บน้า
วิธีดาเนินงาน
แนวทางการดาเนินงาน:
1.หาข้อมูลเกี่ยวกับปัญหานี้
2.ศึกษารวบรวมข้อมูล
3.จัดหารายงาน
4.นาเสนองาน
5.นาเสนอครู ปรับปรุงและแก้ไข
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
-อินเตอร์เน็ต
-หนังสือที่เกี่ยวกับปัญหาด้านสุขภาพที่เกิดจากปัญหาน้าท่วม
-วารสาร แผ่นพับรวมไปถึงข้อมูลต่างๆจากทั้งทางอนามัย โรงพยาบาล
-สามารถสอบถามอาการจากผู้ที่เคยเป็นโรคนี้ซึ่งจะทาให้เราได้ข้อมูลได้แท้แน่นอน
งบประมาณ
ไม่เกิน 1000 บาท
- 7. ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลาดับ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9
1
0
1
1
12
1
3
1
4
1
5
16 17
1 คิดหัวข้อโครงงาน
2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล
3 จัดทาโครงร่างงาน
4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน
5 ปรับปรุงทดสอบ
6 การทาเอกสารรายงาน
7 ประเมินผลงาน
8 นาเสนอโครงงาน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน)
ผู้จัดทาจะได้เล็งเห็นปัญหานี้ ได้มีความรู้เกี่ยวกับข้อมูลต่างๆมากขึ้น
ทาให้สามารถนาไปใช้ในชีวิตประจาวันได้และสามารถนาไปเผยแพร่วิธีการป้องกันให้กับผู้อื่นเพื่อเป็นประโยชน์
แก่ผู้อื่นต่อๆไปได้
สถานที่ดาเนินการ
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
สาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี
แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน)
https://krupenka.wordpress.com/2013/01/24/%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%
8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%
B8%81%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2/
https://guru.sanook.com/8507/