SlideShare a Scribd company logo
1 of 11
Download to read offline
1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6
ปีการศึกษา 2560
ชื่อโครงงาน เบาหวานภัยต่อเรา.
ชื่อผู้ทาโครงงาน
นางสาวพัชวัลย์ ไกรศรีพันธุ์ เลขที่ 37 ชั้น ม.6 ห้อง 13
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน
ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม
1. นางสาวพัชวัลย์ ไกรศรีพันธุ์ เลขที่ 37
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย) เบาหวานภัยต่อเรา
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ) Diabetes mellitus danger to us
ประเภทโครงงาน เพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาวพัชวัลย์ ไกรศรีพันธุ์
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน(อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน)
ในปัจจุบันในโลกก็มักจะมีคนที่มีน้าหนักเกินมาตรฐานอยู่ทั่วไป ยิ่งของกินในสมัยนี้ทั้งขนมกรุบกรอบ ของ
หวานต่างๆก็มีน้าตาลเป็นส่วนประกอบอยู่อย่างมาก ถ้าเรากินเข้าไปมากๆก็อาจทาให้เกิดเป็นโรคเบาหวานได้
ทั้งนั้น และโรคเบาหวานนี้ยังสามารถติดต่อทางพันธุกรรมได้อีกด้วย ฉันจึงคิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจว่าอาการของ
โรคเบาหวานนั้นเริ่มต้นอย่างไร กินอย่างไรให้ไม่เป็นโรคเบาหวาน รักษาได้หรือไม่ หรือมีสมุนไพรตัวไหนที่จะ
รักษาในโรคเบาหวานได้บ้าง
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
1.เพื่อให้ผู้คนระวังในเรื่องการรับประทานอาหาร
2.เพื่อให้ได้ศึกษาวิธีป้องกัน และการรักษาโรคเบาหวาน
ขอบเขตโครงงาน(คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
1.ใช้ข้อมูลที่เป็นจริงและมีข้อพิสูจน์แล้ว
2.มีเนื้อหาที่เข้าใจง่าย และละเอียด
3
หลักการและทฤษฎี(ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน)
โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง และก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ ก่อให้เกิดปัญหากับ ฟันและเหงือก ตา ไต หัวใจ
หลอดเลือดแดง ท่านผู้อ่านสามารถป้องกันโรคแทรกซ้อนต่างๆได้โดยการปรับ อาหาร การออกกาลังกาย และยา
ให้เหมาะสม ท่านผู้อ่านสามารถนาข้อเสนอแนะจากบทความนี้ไปปรึกษากับแพทย์ที่รักษาท่านอยู่ ท่านต้องร่วมมือ
กับคณะแพทย์ที่ทาการรักษาเพื่อกาหนดเป้าหมายการรักษา บทความนี้เชื่อว่าจะช่วยท่านควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้น
โรคเบาหวานคืออะไร
อาหารที่รับประทานเข้าไปส่วนใหญ่จะเปลี่ยนจะเปลี่ยนเป็นน้าตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน
เซลล์ในตับอ่อนชื่อเบต้าเซลล์เป็นตัวสร้างอินซูลิน อินซูลินเป็นตัวนาน้าตาลกลูโคสเข้าเซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน
โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้าตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เกิดเนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรื
ประสิทธิภาพของอินซูลินลดลงเนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทาให้น้าตาลในเลือดสูงขึ้นอยู่เป็นเวลานานจะเกิด
โรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ เช่น ตา ไต และระบบประสาท
อาการของโรคเบาหวาน
อาการของโรคเบาหวานที่พบบ่อย : ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ามาก หิวมากกว่าปรกติ น้าหนักลด อ่อนเพลีย
สมาธิไม่มี ชาปลายมือปลายเท้า ตามัว ป่วยบ่อย ติดเชื้อบ่อย คลื่นไส้ เวียนหัว หงุดหงิด ขบคิดปัญหาง่ายๆ ไม่ดี
แผลหายช้า คันผิวหนัง คันช่องคลอด อาการที่พบบ่อยนี้จะเริ่มสังเกตเห็นได้เมื่อระดับน้าตาลสูงกว่า 200 มก./ดล.
ทั้งนี้เพราะไตสามารถเก็บกักกลูโคสได้มากทีี่สุดประมาณ 160-180 มก./ดล. ที่ระดับน้าตาลสูงกว่านี้กลูโคสเป็น
สารที่ดูดน้าเอาไว้ จึงพาเอาน้าและเกลือแร่อย่างอื่นเช่นโซเดียม ขับออกมาเป็นปัสสาวะจานวนที่มากกว่าปรกติ
ผู้ป่วยจะสังเกตได้ง่ายคือแม้ไม่รับประทานน้าในขณะหลับ ก็ยังต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะ ส่วนอาการผิวแห้ง คัน
กระหายน้านั้นเป็นผลพวงของปัสสาวะที่มากนั่นเอง ส่วนอาการทางอารมณ์และสมอง เกิดจากความหนืดของ
เลือดที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสมองสามารถสังเกตได้ค่อนข้างไวนั่นเอง
ดังนั้นในคนที่ระดับดับน้าตาลสูงกว่าเกณฑ์126 มก./ดล.จึงไม่มีอาการใดๆ ใและโดยบังเอิญในการตรวจ
ร่างกายประจาปี
ชนิดของโรคเบาหวาน แบ่งเบาหวานเป็น 4 กลุ่ม
โรคเบาหวานเป็นกลุ่มของโรคซึ่งมีระดับน้าตาลในเลือดสูง ซึ่งอาจจะเกิดจากความผิดปกติของการสร้าง หรือ
การออกฤทธิ์ หรืออาจจะเกิดจากกลไกทั้งสอง ผลจากการที่น้าตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน ทาให้เกิดโรคหลอด
เลือดแข็งและมีการทาลาย ไต สมอง หัวใจ ระดับน้าตาลเมื่อเป็นใหม่ๆจะไม่สูงแต่เมื่อเวลาผ่านไประดับน้าตาลจะ
สูงขึ้น ชนิดของโรคเบาหวาน
4
1. เบาหวานชนิดที่หนึ่ง [Type 1 diabetes,immune-mediated ] หรือที่เคยเรียกว่า Insulin-dependent diabetes
ผู้ป่วยมักจะเกิดอาการก่อนอายุ 30 ปี ด้วยอาการหิวน้าบ่อย น้าหนักลด เกิด ketosis ได้ง่าย เกิดจากมีการทาลายของ
ß-cell ทาให้มีการหลั่งอินซูลินน้อยลง
immune-mediated เป็นโรคเบาหวานชนิดที่1เกิดจากมีการทาลายของตับอ่อนเนื่องจากมีภูมิคุ้ม antibody กันต่อ
beta-cell ของตับอ่อน นอกจากนั้นยังพบมี antibody ต่อ insulin ผู้ป่วยจะไม่มีการสร้าง insulin หรืออาจจะมีแต่น้อย
มาก ความรุนแรงของโรคในแต่ละคนจะไม่เท่ากัน บางคนเป็นมากและเร็ว นอกจากนั้นผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังเสียงต่อการ
เกิดโรคแพ้ภูมิต่างๆ เช่น Graves' disease, Hashimoto's thyroiditis, Addison's disease, vitiligo, celiac sprue,
autoimmune hepatitis, myasthenia gravis, and pernicious anemia
Idiopathic diabetes เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ที่เจาะเลือดไม่พบ antibody ต่อเซลล์ของตับอ่อน
2. เบาหวานชนิดที่สอง [Type 2 diabetes,noinsulin dependent] เกิดจากที่ร่างกายผลิตอินซูลินไม่เพียงพอต่อ
ความต้องการของร่างกาย เนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistance) ความสาคัญของโรคเบาหวานชนิดนี้
คือคนอาจจะเป็นโรคเบาหวานโดยที่ไม่เกิดอาการอะไร เมื่อผู้ป่วยมีอาการของโรคเบาหวานมักจะมีโรคแทรกซ้อน
แล้วร้อยละ 50 จึงมีความจาเป็นอย่างยิ่งสาหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน จะต้องตรวจเลือดแม้ว่าจะยังไม่มี
อาการของโรคเบาหวาน ผู้ป่วยมักจะมีอายุมากกว่า 30 ปีมักจะวินิจฉัยโดยการเจาะเลือดตรวจร่างกายโดยไม่มี
อาการ ผู้ป่วยมักจะอ้วนโรคจะค่อยๆดาเนินจนเกิดโรคแทรกซ้อน ผู้ป่วยจะมีระดับอินซูลินปกติหรือสูง สาเหตุที่
เป็นเบาหวานเพราะมีภาวะต้านต่ออินซูลิน insulin resistance การลดน้าหนัก การออกกาลังกาย จะช่วยในการ
ควบคุมโรคเบาหวาน
3. เบาหวานชนิดอื่นๆตามสาเหตุ เช่น พันธุกรรมเนื่องจากการทางานของ beta cell,การออกฤทธิ์ของอินซูลิน
หรือจากการติดเชื้อ จากยาเป็นต้น เนื่องจากพบไม่บ่อยจึงไม่ขอกล่าวในที่นี้
4. เบาหวานในคนตั้งครรภ์[ Gestation diabetes] เบาหวานที่เป็นขณะตั้งครรภ์
(ในปี2010 ได้จัดเบาหวานไว้เป็นสี่กลุ่มดังกล่าวข้องต้น)
5. Impaired fasting glucose/impaired glucose tolerance [IFG/IGT]
น้าตาลของคนปกติจะน้อยกว่า 100 มก%
ค่าน้าตาลในเลือดสูงกว่าปกติแต่ยังไม่ถึงระดับที่จะวินิจฉัยว่าจะเป็นเบาหวาน [100-126 mg%] เรียก Prediabetes
ผู้ป่วยกลุ่มนี้มี อัตราเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานสูงส่วน
ผู้ที่มีระดับน้าตาลเกิน 126 มก%ให้การวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน
ส่วนการตรวจความทนทานต่อเบาหวาน Glucose tolerance test
IGT เป็นการทดสอบโดยให้รับประทานน้าตาล 75 กรับแล้วตรวจหาระดับน้าตาลหลังรับประทานน้าตาลไปแล้ว 2
ชั่วโมงอยู่ในช่วง 140 - 200 มก%
คนที่ปกติระดับน้าตาลจะน้อยกว่า 140 มิลิกรัม
ค่าอยู่ระหว่าง 140-199 มิลิกรัมเรียก impaired glucose tolerance test เป็นภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน
Prediabetes
ผู้ที่ระดับน้าตาลมากกว่า 200 มิลิกรัม% ถือว่าเป็นโรคเบาหวาน
5
เบาหวานชนิดที่หนึ่ง เบาหวานชนิดที่สอง
 เกิดในคนอายุน้อย(30)
 ผอม
 ไม่สามารถสร้างอินซูลิน
 เกิดอาการรุนแรงได้ง่าย
 จาเป็นต้องใช้อินซูลิน
 เกิดในคนอายุมาก(40)
 น้าหนักเกินหรืออ้วน
 ผลิตอินซูลินได้บ้าง แต่ไม่พอ
 มีอาการเล็กน้อย
 คุมอาหารและใช้ยาเม็ด
สัญญาณของโรคเบาหวาน
การที่เราเป็นโรคเบาหวานนั้น หลายคนอาจจะมองว่าจาเป็นต้องมีการตรวจเลือดอย่างเดียวจึงจะรู้ แต่ความจริง
คือก่อนการตรวจเจอเบาหวาน มักจะมีอาการของโรคอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น เหนื่อย เพลีย เป็นแผลเรื้อรัง ปัสสาวะ
บ่อย โดยเฉพาะตอนกลางคืน หลังเที่ยงคืนลงไป ที่จะมีการตื่นมาปัสสาวะบ่อยครั้งเป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้หากเรา
สังเกตตัวเอง จะทาให้ทราบได้เร็วมากขึ้น และหาหมอเพื่อเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที
อาการหลักของโรคเบาหวาน
1. ปัสสาวะบ่อยขึ้น หิวน้ามากขึ้น หากเริ่มมีอาการปัสสาวะบ่อยขึ้น และหิวน้ามากขึ้น โดยเฉพาะตอน
กลางคืน จะกระหายน้า มากกว่าเดิม นี้เป็นสัญญาณของโรคเบาหวาน เพราะร่างกายต้องการขับน้าตาล
ที่มีอยู่สูงในเลือด ออกมาทางปัสสาวะ
2. น้าหนักลด น้าหนักที่ลดผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคบางชนิดก็ได้โดยเฉพาะเบาหวาน การมี
น้าตาลในเลือดสูง จะทาให้น้าหนักลดลงอย่างเร็วมาก ประมาณ 5-10 กิโลภายใน 2-3 เดือน
3. บาดแผลหายช้า หากมีแผลที่บริเวณผิวหนัง เช่น มีดบาด การติดเชื้อ หรือรอยฟกช้า และแผลหายช้ามาก นั้น
เป็นสัญญาณบ่ง บอกให้รู้แล้วว่า คุณเป็นเบาหวานแล้ว เพราะระดับน้าตาลในเลือดที่สูงของผู้ป่วยเบาหวาน จะไป
ขัดขวางการทางานของ หลอดเลือด
4. หิวบ่อย กินจุบจิบ ถ้าเกิดหิวบ่อยและกินจุบจิบขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ คุณอาจเป็นเบาหวานแล้วก็ได้
เพราะเมื่อระดับ น้าตาลในเลือดต่า จะทาให้ร่างกายต้องการอาหาร เพื่อเพิ่มระดับน้าตาลในเลือด จึงส่งสัญญาณ
เป็นความหิวนั้นเอง
5. อ่อนเพลีย อารมณ์ไม่คงที่ อาการอ่อนเพลีย และอารมณ์ฉุนเฉียว เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยเบาหวาน เมื่อมี
ระดับน้าตาลใน เลือดสูง เนื่องจากระดับน้าตาลในเลือดส่งผลต่อการทางานทุกระบบ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับ
อารมณ์ด้วย
6
สัญญาณอันตรายอื่นๆ
1. มีอาการอ่อนเพลียง่าย ทั้งๆ ที่พักผ่อนเพียงพอ และไม่ได้เจ็บป่วย
2. น้าหนักลดลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
3. ปัสสาวะบ่อยจนผิดปกติ
4. หิวน้ามากกว่าปกติ
5. มีอาการตาพร่ามัวลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
6. ปวดขา หรือปวดเข่า
7. ผิวหนังแห้ง มีอาการคัน อาจจะคันตามตัว หรือคันบริเวณปากช่องคลอด
8. เป็นฝีตามตัวได้บ่อยๆ
9. มีอารมณ์แปรปรวน โมโหง่าย
10. แผลมักหายช้า ไม่แห้งสนิท หรือไม่ขึ้นสะเก็ดเสียที
วิธีป้องกันโรคเบาหวาน
การป้องกันตนเองไม่ให้เป็นโรคเบาหวานนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก แค่เริ่มจากการป้องกันที่ต้นเหตุก็สามารถลด
ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานได้มากขึ้นแล้ว สาหรับวิธีการป้องกัน คุณสามารถปฏิบัติตามได้ง่ายๆ ดังนี้
1. ออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ หากไม่อยากให้โรคเบาหวานถามหาก็ควรหมั่นออกกาลังกายประจา และควรออก
กาลังกายอย่างต่อเนื่องให้ได้อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ทั้งนี้ก็เพื่อให้แป้งและน้าตาลที่สะสมอยู่
ในกล้ามเนื้อ ถูกดึงออกไปใช้เป็นพลังงาน ซึ่งก็จะทาให้ระดับแป้งและน้าตาลลดลงตามความเหมาะสมไปด้วย
2. ควบคุมน้าหนักให้คงที่ สาหรับคนที่มีหุ่นดีอยู่แล้วก็ควรควบคุมน้าหนักให้คงที่ต่อไป โดยพยายามอย่าให้
น้าหนักเกินเกณฑ์หรือหากใครที่เป็นโรคอ้วนก็ควรรีบลดน้าหนักโดยด่วน ทั้งนี้ก็เพราะจากการวิจัยพบว่าผู้ที่มี
น้าหนักเกินล้วนมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานสูงถึง 80% เลยทีเดียว และแน่นอนว่าคุณคงไม่อยากเป็นหนึ่งใน
บุคคลเหล่านั้น เพราะฉะนั้น การควบคุมน้าหนักจึงถือเป็นสิ่งที่สาคัญที่สุด
3. รับแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าหรือเย็น เพราะแสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้าและตอนเย็นนั้น จะอุดมไปด้วยวิตามิน D ที่
มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งวิตามินดีไม่เพียงแต่จะบารุงผิวพรรณให้ดูเปล่งปลั่งมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกัน
โรคเบาหวานอีกด้วย เพราะการขาดวิตามินดีจะทาให้มีโอกาสเป็นเบาหวานได้สูง การเสริมวิตามินดีอย่างเพียงพอ
จึงเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด แต่ทั้งนี้หากออกกาลังกายไปพร้อมๆ กันด้วยก็จะยิ่งดี
4. รับประทานข้าวกล้องแทนข้าวขาว ข้าวกล้อง เป็นข้าวที่อุดมไปด้วยวิตามินและสารอาหารต่างๆ มากมาย อีกทั้ง
ยังไม่ทาให้อ้วนอีกด้วย และที่สาคัญข้าวกล้องยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้ดี ดังนั้น จึงควร
รับประทานข้าวกล้องแทนข้าวขาวทั่วไป หรือจะหุงรวมกับข้าวขาวด้วยก็ได้
5. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทาลายตับให้เสื่อมสภาพลงและเสี่ยงต่อภาวะตับแข็ง ซึ่ง
เมื่อตับอ่อนเกิดความผิดปกติก็จะทาให้ผลิตอินซูลินได้น้อยลง ส่งผลให้เกิดการสะสมน้าตาลในร่างกายและในเส้น
เลือดเป็นจานวนมาก กระทั่งเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานในที่สุด
7
6. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่จะทาให้ร่างกายได้รับสารอาหารและ
วิตามินอย่างเพียงพอ ส่งผลให้ทุกส่วนในร่างกายมีความแข็งแรงสมบูรณ์มากขึ้น จึงลดความเสี่ยงเบาหวานได้ดี
นั่นเอง แต่ทั้งนี้ควรเน้นเมนูผักผลไม้ให้มากๆ พร้อมทั้งลดคาร์โบไฮเดตจากแป้งและไขมันให้น้อยลง เพราะการ
ได้รับไขมันและคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป ก็ทาให้เสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานได้เช่นกัน
แนวทางการรักษาโรคเบาหวาน
จริงอยู่ที่โรคเบาหวานเป็นโรคที่ไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้แต่เราก็สามารถควบคุมความรุนแรงของโรคให้อยู่
ในระดับที่คงที่และบรรเทาเบาลงได้เช่นเดียวกัน โดยแนวทางในการรักษานั้นจะมีอยู่ 2 วิธีใหญ่ๆ ซึ่งก็คือการรักษา
ด้วยยาแพทย์แผนปัจจุบันและการรักษาด้วยธรรมชาติบาบัด ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. วิธีรักษาโรคเบาหวานตามแนวทางแพทย์แผนปัจจุบัน การรักษาโรคเบาหวานด้วยวิธีทางแพทย์แผนปัจจุบัน
นั้น ในเบื้องต้นแพทย์จะให้ผู้ป่วยรับประทานยาหรือฉีดอินซูลินเข้าสู่กระแสเลือด ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับอาการ ความ
รุนแรงของโรคและการวินิจฉัยของแพทย์ด้วย โดยการรับประทานยาหรือการฉีดอินซูลินนั้นผู้ป่วยจะต้องปฎิบัติ
ตามคาแนะนาของแพทย์อย่างเคร่งครัดต่อเนื่อง ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่มีอาการรุนแรงมากขึ้น ก็เนื่องจากการไม่ปฎิบัติ
ตามแพทย์สั่ง และไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจาวันใหม่นั่นเอง
2. วิธีรักษาโรคเบาหวานตามแนวทางธรรมชาติบาบัด การรักษาโรคเบาหวานด้วยธรรมชาติบาบัดเป็นวิธีแบบ
ค่อยเป็นคอยไป เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานในระยะแรก หรือผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงมากนัก โดยวิธีธรรมชาติบาบัด
นั้นจะช่วยบรรเทาอาการของผู้ป่วยได้เป็นอย่างมาก และหากทาควบคู่กับการรับประทานยาหรือการฉีดอินซูลิน
ด้วยแล้วก็จะยิ่งได้ผลดีมากทีเดียว สาหรับวิธีรักษาก็มีด้วยกัน ดังต่อไปนี้
ควบคุมเมนูอาหาร ผู้ป่วยเบาหวานไม่สามารถรับประทานอาหารได้เหมือนกับคนปกติทั่วไป ซึ่งจะต้องหลีกเลี่ยง
อาหารต้องห้ามและเลือกเสริมด้วยอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดสารอาหาร รวมทั้งเลือก
รับประทานอาหารที่มีส่วนช่วยในการลดระดับน้าตาลในเลือดด้วย อย่างเช่น ตาลึง มะระขี้นก และอบเชย เป็นต้น
ซึ่งหากสามารถควบคุมการรับประทานอาหารได้ดังนี้ อาการป่วยเบาหวานก็จะบรรเทาลงอย่างแน่นอน
ออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ การออกกาลังกาย ถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาเบาหวานด้วยวิธีธรรมชาติบาบัด
เพราะเบาหวานเกิดจากการมีระดับน้าตาลในเลือดที่สูงเกินไป เราจึงต้องรักษาอาการด้วยการลดปริมาณน้าตาลใน
เลือดให้ได้ซึ่งก็สามารถทาได้ด้วยการออกกาลังกาย เพื่อให้มีการดึงเอาน้าตาลออกมาใช้เป็นพลังงานมากขึ้นนั่นเอง
ทาจิตใจให้ผ่อนคลาย ความกลัว ความกังวลและความเครียด อาจทาให้ภาวะน้าตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้น ดังนั้น จึงควร
ทาจิตใจให้ผ่อนคลายเพื่อรักษาระดับน้าตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ นอกจากนี้ การทาใจให้ผ่อนคลายอยู่เสมอ
ยังทาให้เรามีความสุขมากยิ่งขึ้นแม้จะเป็นโรคเบาหวานหรือโรคใดก็ตาม แต่พื้นฐานจิตใจที่ดีย่อมช่วยยกระดับการ
มีคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้อย่างง่ายๆ
8
สมุนไพรรักษาโรคเบาหวาน
นอกจากการรักษาโรคเบาหวานตามวิธีทางการแพทย์และธรรมชาติบาบัดแล้ว ก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งซึ่งคือการ
รับประทานสมุนไพรที่มีสรรพคุณป้องกันและรักษาอาการของโรคเบาหวานให้ทุเลาลง โดยมี 5 ชนิด ดังนี้
1. มะระขี้นก มะระขี้นก เป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยสารซาแลนติน มีสรรพคุณช่วยลดระดับน้าตาลในเลือด
กระตุ้นการผลิตอินซูลินของตับอ่อนจึงสามารถช่วยบรรเทาอาการของผู้ป่วยเบาหวานได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้
มะระขี้นกยังไปเปี่ยมไปด้วยคุณประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันโรคต้อกระจก ชะลอ
ความเสื่อมของไต ซึ่งก็เรียกได้ว่าเป็นสมุนไพรที่มากไปด้วยประโยชน์อย่างแท้จริง
2. อบเชย สมุนไพรที่สามารถลดระดับน้าตาลในเลือดได้อย่างดีเยี่ยม แถมยังรับประทานง่าย เพียงแค่นาอบเชยมา
โรยลงบนอาหาร ก็สามารถรับประทานเพื่อบรรเทาอาการของโรคเบาหวานลงได้แล้ว ที่สาคัญอบเชยยังสามารถ
รักษาได้ทั้งเบาหวานประเภทที่ 1 และประเภทที่ 2 เพียงแต่ต้องหมั่นรับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นประจา
3. ตาลึง สมุนไพรหาง่ายที่มักจะพบตามข้างรั้วบ้าน หรือขึ้นเป็นเถาพันต้นไม้อื่นๆ ซึ่งนอกจากจะมีรสชาติอร่อย
รับประทานง่ายแล้ว ตาลึงยังมีส่วนช่วยในการลดระดับน้าตาลในเลือดอีกด้วย แนะนาสาหรับผู้ที่ป่วยเป็น
โรคเบาหวาน ควรรับประทานตาลึงวันละ 50 กรัม และเมื่อรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน คุณจะพบว่าระดับ
น้าตาลในเลือดลดลง อีกทั้งยังอาจกลับมาอยู่ในระดับปกติได้อีกด้วย
4. ชาเขียว หลายคนอาจจะมองว่าชาเขียวไม่มีประโยชน์ในด้านการรักษาเบาหวาน แต่ความเป็นจริงแล้ว ชาเขียวก็
สามารถดื่มเพื่อบรรเทาโรคเบาหวานได้ดีเช่นกัน โดยชาเขียวนั้นจะช่วยควบคุมระดับน้าตาลในเลือดและค่อยๆ
ลดลงจนปกติ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการทางานของอินซูลินได้ดี แต่ทั้งนี้ ควรเลือกดื่มเฉพาะชาเขียวแท้ที่ไม่มีความ
หวานสูงจะดีที่สุด
5. กระเทียม กระเทียมเป็นสมุนไพรในครัวเรือนที่หลายคนอาจยังไม่รู้ ว่าสามารถช่วยรักษาโรคเบาหวานได้เช่นกัน
โดยกระเทียมนั้นมีสารอัลซิลีนที่มีสรรพคุณในการลดความดันโลหิต ช่วยลดไขมันในเลือดและลดระดับน้าตาลใน
เลือด สาหรับผู้ป่วยเบาหวาน แต่แนะนาว่าควรรับประทานแบบสดๆ เพราะอุดมไปด้วยคุณประโยชน์และมี
ประสิทธิภาพในการรักษาเบาหวานได้สูงกว่าการรับประทานแบบสุกนั่นเอง
โรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรัง ปัจจุบันยังไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ การป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
และที่สาคัญควรหมั่นตรวจระดับน้าตาลอยู่เสมอ โดยเฉพาะการตรวจสุขภาพประจาปี เพราะการตรวจพบเบาหวาน
เร็วขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะมีโอกาสควบคุมดูแลไม่ให้อาการของโรคหนักขึ้น หรือสามารถป้องกันการเกิด
ภาวะแทรกซ้อนจนอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ สาหรับผู้ที่กาลังประสบกับโรคนี้อยู่ก็ไม่ควรกังวลจนเกินไป ควรทาใจ
ให้สบาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ร่วมกับผักสมุนไพร และปฎิบัติตามคาสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด เพียงเท่านี้
ก็จะช่วยให้คุณสุขภาพแข็งแรง มีคุณภาพชีวิตที่ดีและยืดอายุไขให้ยืนยาวได้แล้วเช่นกัน
9
การดูแลตัวเอง เมื่อเป็นโรคเบาหวาน
อย่างที่เรารู้กันดีว่า คนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานนั้นต้องมีการดูแลตัวเองเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนอย่าง
อื่นขึ้นมาอีก ซึ่งวิธีการดูแลตัวเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีดังนี้
เน้นรับประทานอาหารจาพวกผัก หรือผลไม้ให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผัก เพราะจะช่วยในเรื่องของการ
ขับถ่ายได้เป็นอย่างดี
หากผู้ป่วยเป็นคนที่มีน้าหนักเกิน หรือมีภาวะโรคอ้วนร่วมด้วย แนะนาว่าให้ลดปริมาณอาหารลงเหลือเพียงครึ่ง
เดียวของที่เคยกินในแต่ละมื้อ เพื่อช่วยในการควบคุมน้าตาล
อย่าอดอาหาร เพราะการอดอาหาร หรือทานอาหารน้อยเกินไป จะทาให้ระดับน้าตาลในเลือดไม่คงที่ และวัด
ระดับน้าตาลได้ยากมากขึ้น
ระวังอย่าให้เป็นแผล เพราะคนเป็นโรคเบาหวานมักจะแผลหายช้า และอาจจะก่อให้เกิดการติดเชื้อจนต้องตัด
อวัยวะที่เป็นแผลทิ้ง เพื่อรักษาอาการในส่วนอื่น
อาหารที่ผู้ป่ วยเบาหวานทานได้
โรคเบาหวานเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาให้หายขาด แต่สามารถลดความรุนแรงด้วยการเลือกทานอาหารให้
เหมาะกับโรค ผู้ป่วยเบาหวานจาเป็นต้องควบคุมอาหาร เพื่อลดระดับน้าตาลในเลือด ลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิด
ภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่นๆ โดยเป้าหมายหลักคือการรับประทานอาหารหลากหลายชนิด ได้สารอาหารครบถ้วน
แต่ลดอาหารที่ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นน้าตาล
อาหารจาพวกคาร์โบไฮเดรต ควรได้รับเช่นเดียวกับคนทั่วไป ไม่ควรงดหรือจากัดมากเกินไป โดย
คาร์โบไฮเดรตที่ผู้เป็นเหาหวานได้รับควรเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ธัญพืช ขนมปังโฮลสีต และถั่วเมล็ดแห้ง
อาหารจาพวกผัก ควรรับประทานมากกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะผักใบเขียวที่มีกากใยอาหารสูง เพราะว่าใย
อาหารจะช่วยลดการดูดซึมน้าตาลในร่างกายได้ดี ส่งผลให้ระดับน้าตาลในเลือดลดลง ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
จึงควรรับประทานผักให้มาก ทั้งผักสุกและผักสด
อาหารจาพวกเนื้อสัตว์(ไม่ติดมัน) หากเป็นไปได้ให้ทานแต่น้อย แต่ควรทานทุกมื้อ โดยอาจเปลี่ยนจากเนื้อสัตว์
มาเป็นเนื้อปลาและเต้าหู้แทน
อาหารประเภทไขมัน การเลือกใช้น้ามันในการประกอบอาหารเป็นส่วนสาคัญ ผู้ป่วยเป็นเบาหวานควรใช้
น้ามันถั่วเหลือง น้ามันรา น้ามันถั่วลิสง รวมไปถึงน้ามันปลามในการประกอบอาหาร และควรงดการใช้น้ามันหมู
และน้ามันมะพร้าวเนื่องจากมีกรดไขมันอิ่มตัวสะสมอยู่มาก การทานอาหารที่ได้น้ามันก็ควรเลี่ยงโดยเฉพาะ อาหาร
ทอด และอาหารที่เป็นกะทิ รวมไปถึงขนมปังที่ใช้เนยหรือมาการีนในการผลิตก็ควรงด
อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากโรคเบาหวานในช่วงตั้งครรภ์
โรคเบาหวานจัดได้ว่าเป็นโรคที่มีอันตรายต่อทั้งตัวแม่และลูกในครรภ์เป็นอย่างมาก เมื่อมีระดับน้าตาลในเลือดสูง
จะทาให้เกิดภาวะเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษ มีความดันโลหิตสูงกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย พบได้บ่อย
ในการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ เกิดความเสื่อมสภาพของระบบหลอดเลือด ผนังหลอดเลือดบาง โดยเฉพาะ
บริเวณปลายประสาท ตา และไต
10
ความเสี่ยงที่จะเกิดกับลูกน้อยในครรภ์ หากคุณแม่มีระดับน้าตาลในเลือดสูง จะทาให้การเจริญเติบโตของเด็ก
ผิดปกติ อาจพบว่ามีร่างกายใหญ่จนเป็นอุปสรรคต่อการคลอด มีภาวะแท้งคุกคาม ทาให้ต้องคลอดก่อนกาหนด บาง
รายรุนแรงถึงขั้นที่เด็กเสียชีวิตตั้งแต่ในครรภ์
การดูแลตัวเองของคุณแม่ทั้งผู้ที่มีความเสี่ยงและที่มีโรคนี้อยู่ จะต้องมีวินัยในการดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดตาม
คาแนะนาของแพทย์ควบคุมระดับน้าตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ควบคุมการกินอาหาร ลดแป้งและน้าตาล เน้นผัก
และผลไม้เพื่อป้องกันไม่ให้น้าตาลสูงจนไปทาร้ายทั้งตัวคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์
นี่เป็นเพียงข้อมูลที่ควรรู้ และข้อปฏิบัติเกี่ยวกับโรคเบาหวานที่หลายคน อาจจะมองข้ามไป ซึ่งอาจจะก่อให้เกิด
อันตรายต่อสุขภาพได้และอีกอย่างหนึ่งที่ทุกคนควรจาไว้คือ การเป็นโรคเบาหวานอาจจะทาให้ถึงตายได้หากไม่
ควบคุมดูแลตัวเองแต่เนิ่นๆ เพราะอาการของโรคเบาหวานสามารถที่จะพัฒนาตัวเองไปสู่โรคร้ายอื่นๆได้อย่าง
มากมาย
วิธีดาเนินงาน
แนวทางการดาเนินงาน
1.คัดเลือกหัวข้อโครงงานที่สนใจ
2. ศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและแหล่งข้อมูล3.จัดทา
3. จัดทาเค้าโครงของโครงงานที่จะทา
4. ลงมือทาโครงงาน
5. เขียนรายงาน
6. การนาเสนอและแสดงโครงงาน
4.นาเสนอ
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
1.โปรแกรม Microsoft word
2.Google ในการค้นคว้าข้อมูล
งบประมาณ -
11
ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลาดับ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17
1 คิดหัวข้อโครงงาน
2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล
3 จัดทาโครงร่างงาน
4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน
5 ปรับปรุงทดสอบ
6 การทาเอกสารรายงาน
7 ประเมินผลงาน
8 นาเสนอโครงงาน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน)
1.ผู้คนหันมาสนใจสุขภาพตนเองมากขึ้น
2.คนที่เป็นโรคเบาหวานลดน้อยลง
สถานที่ดาเนินการ
1.บ้าน
2.ห็องคอมพิวเตอร์โรงเรียน
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
1.กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษา
2.กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน)
http://siamhealth.net/public_html/Disease/endocrine/DM/intro.htm
http://www.dmthai.org/news_and_knowledge/88
http://siamhealth.net/public_html/Disease/endocrine/DM/type.htm

More Related Content

What's hot

02แบบจำลองอนุภาคของสาร
02แบบจำลองอนุภาคของสาร02แบบจำลองอนุภาคของสาร
02แบบจำลองอนุภาคของสาร
dnavaroj
 
แบบทดสอบเรื่อง ดาราศาสตร์ ชุด 1(อัตนัย)
แบบทดสอบเรื่อง ดาราศาสตร์ ชุด 1(อัตนัย)แบบทดสอบเรื่อง ดาราศาสตร์ ชุด 1(อัตนัย)
แบบทดสอบเรื่อง ดาราศาสตร์ ชุด 1(อัตนัย)
Jariya Jaiyot
 
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
Aomiko Wipaporn
 
สำรวจพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนของนักเรียนชั้น ม.4 5
สำรวจพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนของนักเรียนชั้น ม.4 5สำรวจพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนของนักเรียนชั้น ม.4 5
สำรวจพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนของนักเรียนชั้น ม.4 5
พัน พัน
 
ใบงานที่ 4 ดิน หิน แร่
ใบงานที่ 4 ดิน หิน แร่ใบงานที่ 4 ดิน หิน แร่
ใบงานที่ 4 ดิน หิน แร่
website22556
 
เฉลย การแปลงคำอุปสรรค ม.3 , ม.4
เฉลย การแปลงคำอุปสรรค ม.3 , ม.4เฉลย การแปลงคำอุปสรรค ม.3 , ม.4
เฉลย การแปลงคำอุปสรรค ม.3 , ม.4
krusarawut
 
โครงงานเรื่อง การศึกษาต้นไม้ในโรงเรียน
โครงงานเรื่อง การศึกษาต้นไม้ในโรงเรียนโครงงานเรื่อง การศึกษาต้นไม้ในโรงเรียน
โครงงานเรื่อง การศึกษาต้นไม้ในโรงเรียน
พัน พัน
 
ความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสสาร
ความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสสารความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสสาร
ความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสสาร
dalarat
 

What's hot (20)

ปัญหาน้ำเน่าเสีย
ปัญหาน้ำเน่าเสียปัญหาน้ำเน่าเสีย
ปัญหาน้ำเน่าเสีย
 
02แบบจำลองอนุภาคของสาร
02แบบจำลองอนุภาคของสาร02แบบจำลองอนุภาคของสาร
02แบบจำลองอนุภาคของสาร
 
แบบทดสอบเรื่อง ดาราศาสตร์ ชุด 1(อัตนัย)
แบบทดสอบเรื่อง ดาราศาสตร์ ชุด 1(อัตนัย)แบบทดสอบเรื่อง ดาราศาสตร์ ชุด 1(อัตนัย)
แบบทดสอบเรื่อง ดาราศาสตร์ ชุด 1(อัตนัย)
 
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
 
บทที่ 2 การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ
บทที่ 2 การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆบทที่ 2 การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ
บทที่ 2 การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ
 
โครงงานการทำขนมเค้ก
โครงงานการทำขนมเค้กโครงงานการทำขนมเค้ก
โครงงานการทำขนมเค้ก
 
สำรวจพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนของนักเรียนชั้น ม.4 5
สำรวจพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนของนักเรียนชั้น ม.4 5สำรวจพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนของนักเรียนชั้น ม.4 5
สำรวจพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนของนักเรียนชั้น ม.4 5
 
งานและพลังงาน (work and_energy)
งานและพลังงาน (work and_energy)งานและพลังงาน (work and_energy)
งานและพลังงาน (work and_energy)
 
ใบงานที่ 1-5 ม.1 1/61
ใบงานที่ 1-5 ม.1 1/61ใบงานที่ 1-5 ม.1 1/61
ใบงานที่ 1-5 ม.1 1/61
 
แบบประเมินความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมต่อต้านยาไอซ์ในโรงเรียน
แบบประเมินความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมต่อต้านยาไอซ์ในโรงเรียนแบบประเมินความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมต่อต้านยาไอซ์ในโรงเรียน
แบบประเมินความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมต่อต้านยาไอซ์ในโรงเรียน
 
บริการจัดวางตัวบุคคล
บริการจัดวางตัวบุคคลบริการจัดวางตัวบุคคล
บริการจัดวางตัวบุคคล
 
ใบงานที่ 4 ดิน หิน แร่
ใบงานที่ 4 ดิน หิน แร่ใบงานที่ 4 ดิน หิน แร่
ใบงานที่ 4 ดิน หิน แร่
 
เฉลย การแปลงคำอุปสรรค ม.3 , ม.4
เฉลย การแปลงคำอุปสรรค ม.3 , ม.4เฉลย การแปลงคำอุปสรรค ม.3 , ม.4
เฉลย การแปลงคำอุปสรรค ม.3 , ม.4
 
Ans n6-w1-1
Ans n6-w1-1Ans n6-w1-1
Ans n6-w1-1
 
โครงงานเรื่อง การศึกษาต้นไม้ในโรงเรียน
โครงงานเรื่อง การศึกษาต้นไม้ในโรงเรียนโครงงานเรื่อง การศึกษาต้นไม้ในโรงเรียน
โครงงานเรื่อง การศึกษาต้นไม้ในโรงเรียน
 
การถ่ายโอนความร้อน ม.1
การถ่ายโอนความร้อน ม.1การถ่ายโอนความร้อน ม.1
การถ่ายโอนความร้อน ม.1
 
ความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสสาร
ความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสสารความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสสาร
ความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสสาร
 
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
ที่มาและความสำคัญของโครงงานที่มาและความสำคัญของโครงงาน
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
 
บทที่5แรงในชีวิตประจำวันม 2
บทที่5แรงในชีวิตประจำวันม 2บทที่5แรงในชีวิตประจำวันม 2
บทที่5แรงในชีวิตประจำวันม 2
 
Mindmap การลำเลียงสารผ่านเข้าออกเซลล์
Mindmap การลำเลียงสารผ่านเข้าออกเซลล์Mindmap การลำเลียงสารผ่านเข้าออกเซลล์
Mindmap การลำเลียงสารผ่านเข้าออกเซลล์
 

Similar to แบบโครงร่าง โรคเบาหวาน

แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
Phimwaree
 
โครงงานเพื่อการศึกษา
โครงงานเพื่อการศึกษาโครงงานเพื่อการศึกษา
โครงงานเพื่อการศึกษา
Bream Mie
 
การดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกาย
การดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกายการดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกาย
การดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกาย
Patitta Sitti
 
การดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกาย
การดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกายการดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกาย
การดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกาย
Patitta Sitti
 

Similar to แบบโครงร่าง โรคเบาหวาน (20)

Computer project
Computer projectComputer project
Computer project
 
Final Project computer_4
Final Project computer_4Final Project computer_4
Final Project computer_4
 
โรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้า
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
 
AT1
AT1AT1
AT1
 
Tuangtham Sura M.6/9 No.37
Tuangtham Sura M.6/9 No.37Tuangtham Sura M.6/9 No.37
Tuangtham Sura M.6/9 No.37
 
2562 final-project 34-610
2562 final-project  34-6102562 final-project  34-610
2562 final-project 34-610
 
2560 project
2560 project 2560 project
2560 project
 
โครงงานเพื่อการศึกษา
โครงงานเพื่อการศึกษาโครงงานเพื่อการศึกษา
โครงงานเพื่อการศึกษา
 
โครงงานคอมคิว
โครงงานคอมคิวโครงงานคอมคิว
โครงงานคอมคิว
 
2562 final-project 03
2562 final-project 032562 final-project 03
2562 final-project 03
 
Obesity
ObesityObesity
Obesity
 
Obesity
ObesityObesity
Obesity
 
การดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกาย
การดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกายการดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกาย
การดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกาย
 
Aaaaaaaaaaa
AaaaaaaaaaaAaaaaaaaaaa
Aaaaaaaaaaa
 
โรคซึมเศร้าแก้ไข
โรคซึมเศร้าแก้ไขโรคซึมเศร้าแก้ไข
โรคซึมเศร้าแก้ไข
 
กิจกรรมที่1 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
กิจกรรมที่1 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์กิจกรรมที่1 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
กิจกรรมที่1 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
 
2562 final-project 40
2562 final-project 402562 final-project 40
2562 final-project 40
 
การดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกาย
การดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกายการดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกาย
การดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกาย
 
2557 โครงงาน3
2557 โครงงาน32557 โครงงาน3
2557 โครงงาน3
 

More from Dduang07 (7)

โรค Phobia
โรค Phobiaโรค Phobia
โรค Phobia
 
งานคอม22
งานคอม22งานคอม22
งานคอม22
 
2560 project 2
2560 project  22560 project  2
2560 project 2
 
2560 project (1)
2560 project  (1)2560 project  (1)
2560 project (1)
 
งานคอม
งานคอมงานคอม
งานคอม
 
2560 project
2560 project 2560 project
2560 project
 
โครงร่าง งานคอม 2560
โครงร่าง งานคอม 2560โครงร่าง งานคอม 2560
โครงร่าง งานคอม 2560
 

แบบโครงร่าง โรคเบาหวาน

  • 1. 1 แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6 ปีการศึกษา 2560 ชื่อโครงงาน เบาหวานภัยต่อเรา. ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาวพัชวัลย์ ไกรศรีพันธุ์ เลขที่ 37 ชั้น ม.6 ห้อง 13 ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์ ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
  • 2. 2 ใบงาน การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์ สมาชิกในกลุ่ม 1. นางสาวพัชวัลย์ ไกรศรีพันธุ์ เลขที่ 37 คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้ ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย) เบาหวานภัยต่อเรา ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ) Diabetes mellitus danger to us ประเภทโครงงาน เพื่อการศึกษา ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาวพัชวัลย์ ไกรศรีพันธุ์ ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์ ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1 ที่มาและความสาคัญของโครงงาน(อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน) ในปัจจุบันในโลกก็มักจะมีคนที่มีน้าหนักเกินมาตรฐานอยู่ทั่วไป ยิ่งของกินในสมัยนี้ทั้งขนมกรุบกรอบ ของ หวานต่างๆก็มีน้าตาลเป็นส่วนประกอบอยู่อย่างมาก ถ้าเรากินเข้าไปมากๆก็อาจทาให้เกิดเป็นโรคเบาหวานได้ ทั้งนั้น และโรคเบาหวานนี้ยังสามารถติดต่อทางพันธุกรรมได้อีกด้วย ฉันจึงคิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจว่าอาการของ โรคเบาหวานนั้นเริ่มต้นอย่างไร กินอย่างไรให้ไม่เป็นโรคเบาหวาน รักษาได้หรือไม่ หรือมีสมุนไพรตัวไหนที่จะ รักษาในโรคเบาหวานได้บ้าง วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ) 1.เพื่อให้ผู้คนระวังในเรื่องการรับประทานอาหาร 2.เพื่อให้ได้ศึกษาวิธีป้องกัน และการรักษาโรคเบาหวาน ขอบเขตโครงงาน(คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน) 1.ใช้ข้อมูลที่เป็นจริงและมีข้อพิสูจน์แล้ว 2.มีเนื้อหาที่เข้าใจง่าย และละเอียด
  • 3. 3 หลักการและทฤษฎี(ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน) โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง และก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ ก่อให้เกิดปัญหากับ ฟันและเหงือก ตา ไต หัวใจ หลอดเลือดแดง ท่านผู้อ่านสามารถป้องกันโรคแทรกซ้อนต่างๆได้โดยการปรับ อาหาร การออกกาลังกาย และยา ให้เหมาะสม ท่านผู้อ่านสามารถนาข้อเสนอแนะจากบทความนี้ไปปรึกษากับแพทย์ที่รักษาท่านอยู่ ท่านต้องร่วมมือ กับคณะแพทย์ที่ทาการรักษาเพื่อกาหนดเป้าหมายการรักษา บทความนี้เชื่อว่าจะช่วยท่านควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้น โรคเบาหวานคืออะไร อาหารที่รับประทานเข้าไปส่วนใหญ่จะเปลี่ยนจะเปลี่ยนเป็นน้าตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน เซลล์ในตับอ่อนชื่อเบต้าเซลล์เป็นตัวสร้างอินซูลิน อินซูลินเป็นตัวนาน้าตาลกลูโคสเข้าเซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้าตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เกิดเนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรื ประสิทธิภาพของอินซูลินลดลงเนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทาให้น้าตาลในเลือดสูงขึ้นอยู่เป็นเวลานานจะเกิด โรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ เช่น ตา ไต และระบบประสาท อาการของโรคเบาหวาน อาการของโรคเบาหวานที่พบบ่อย : ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ามาก หิวมากกว่าปรกติ น้าหนักลด อ่อนเพลีย สมาธิไม่มี ชาปลายมือปลายเท้า ตามัว ป่วยบ่อย ติดเชื้อบ่อย คลื่นไส้ เวียนหัว หงุดหงิด ขบคิดปัญหาง่ายๆ ไม่ดี แผลหายช้า คันผิวหนัง คันช่องคลอด อาการที่พบบ่อยนี้จะเริ่มสังเกตเห็นได้เมื่อระดับน้าตาลสูงกว่า 200 มก./ดล. ทั้งนี้เพราะไตสามารถเก็บกักกลูโคสได้มากทีี่สุดประมาณ 160-180 มก./ดล. ที่ระดับน้าตาลสูงกว่านี้กลูโคสเป็น สารที่ดูดน้าเอาไว้ จึงพาเอาน้าและเกลือแร่อย่างอื่นเช่นโซเดียม ขับออกมาเป็นปัสสาวะจานวนที่มากกว่าปรกติ ผู้ป่วยจะสังเกตได้ง่ายคือแม้ไม่รับประทานน้าในขณะหลับ ก็ยังต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะ ส่วนอาการผิวแห้ง คัน กระหายน้านั้นเป็นผลพวงของปัสสาวะที่มากนั่นเอง ส่วนอาการทางอารมณ์และสมอง เกิดจากความหนืดของ เลือดที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสมองสามารถสังเกตได้ค่อนข้างไวนั่นเอง ดังนั้นในคนที่ระดับดับน้าตาลสูงกว่าเกณฑ์126 มก./ดล.จึงไม่มีอาการใดๆ ใและโดยบังเอิญในการตรวจ ร่างกายประจาปี ชนิดของโรคเบาหวาน แบ่งเบาหวานเป็น 4 กลุ่ม โรคเบาหวานเป็นกลุ่มของโรคซึ่งมีระดับน้าตาลในเลือดสูง ซึ่งอาจจะเกิดจากความผิดปกติของการสร้าง หรือ การออกฤทธิ์ หรืออาจจะเกิดจากกลไกทั้งสอง ผลจากการที่น้าตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน ทาให้เกิดโรคหลอด เลือดแข็งและมีการทาลาย ไต สมอง หัวใจ ระดับน้าตาลเมื่อเป็นใหม่ๆจะไม่สูงแต่เมื่อเวลาผ่านไประดับน้าตาลจะ สูงขึ้น ชนิดของโรคเบาหวาน
  • 4. 4 1. เบาหวานชนิดที่หนึ่ง [Type 1 diabetes,immune-mediated ] หรือที่เคยเรียกว่า Insulin-dependent diabetes ผู้ป่วยมักจะเกิดอาการก่อนอายุ 30 ปี ด้วยอาการหิวน้าบ่อย น้าหนักลด เกิด ketosis ได้ง่าย เกิดจากมีการทาลายของ ß-cell ทาให้มีการหลั่งอินซูลินน้อยลง immune-mediated เป็นโรคเบาหวานชนิดที่1เกิดจากมีการทาลายของตับอ่อนเนื่องจากมีภูมิคุ้ม antibody กันต่อ beta-cell ของตับอ่อน นอกจากนั้นยังพบมี antibody ต่อ insulin ผู้ป่วยจะไม่มีการสร้าง insulin หรืออาจจะมีแต่น้อย มาก ความรุนแรงของโรคในแต่ละคนจะไม่เท่ากัน บางคนเป็นมากและเร็ว นอกจากนั้นผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังเสียงต่อการ เกิดโรคแพ้ภูมิต่างๆ เช่น Graves' disease, Hashimoto's thyroiditis, Addison's disease, vitiligo, celiac sprue, autoimmune hepatitis, myasthenia gravis, and pernicious anemia Idiopathic diabetes เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ที่เจาะเลือดไม่พบ antibody ต่อเซลล์ของตับอ่อน 2. เบาหวานชนิดที่สอง [Type 2 diabetes,noinsulin dependent] เกิดจากที่ร่างกายผลิตอินซูลินไม่เพียงพอต่อ ความต้องการของร่างกาย เนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistance) ความสาคัญของโรคเบาหวานชนิดนี้ คือคนอาจจะเป็นโรคเบาหวานโดยที่ไม่เกิดอาการอะไร เมื่อผู้ป่วยมีอาการของโรคเบาหวานมักจะมีโรคแทรกซ้อน แล้วร้อยละ 50 จึงมีความจาเป็นอย่างยิ่งสาหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน จะต้องตรวจเลือดแม้ว่าจะยังไม่มี อาการของโรคเบาหวาน ผู้ป่วยมักจะมีอายุมากกว่า 30 ปีมักจะวินิจฉัยโดยการเจาะเลือดตรวจร่างกายโดยไม่มี อาการ ผู้ป่วยมักจะอ้วนโรคจะค่อยๆดาเนินจนเกิดโรคแทรกซ้อน ผู้ป่วยจะมีระดับอินซูลินปกติหรือสูง สาเหตุที่ เป็นเบาหวานเพราะมีภาวะต้านต่ออินซูลิน insulin resistance การลดน้าหนัก การออกกาลังกาย จะช่วยในการ ควบคุมโรคเบาหวาน 3. เบาหวานชนิดอื่นๆตามสาเหตุ เช่น พันธุกรรมเนื่องจากการทางานของ beta cell,การออกฤทธิ์ของอินซูลิน หรือจากการติดเชื้อ จากยาเป็นต้น เนื่องจากพบไม่บ่อยจึงไม่ขอกล่าวในที่นี้ 4. เบาหวานในคนตั้งครรภ์[ Gestation diabetes] เบาหวานที่เป็นขณะตั้งครรภ์ (ในปี2010 ได้จัดเบาหวานไว้เป็นสี่กลุ่มดังกล่าวข้องต้น) 5. Impaired fasting glucose/impaired glucose tolerance [IFG/IGT] น้าตาลของคนปกติจะน้อยกว่า 100 มก% ค่าน้าตาลในเลือดสูงกว่าปกติแต่ยังไม่ถึงระดับที่จะวินิจฉัยว่าจะเป็นเบาหวาน [100-126 mg%] เรียก Prediabetes ผู้ป่วยกลุ่มนี้มี อัตราเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานสูงส่วน ผู้ที่มีระดับน้าตาลเกิน 126 มก%ให้การวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน ส่วนการตรวจความทนทานต่อเบาหวาน Glucose tolerance test IGT เป็นการทดสอบโดยให้รับประทานน้าตาล 75 กรับแล้วตรวจหาระดับน้าตาลหลังรับประทานน้าตาลไปแล้ว 2 ชั่วโมงอยู่ในช่วง 140 - 200 มก% คนที่ปกติระดับน้าตาลจะน้อยกว่า 140 มิลิกรัม ค่าอยู่ระหว่าง 140-199 มิลิกรัมเรียก impaired glucose tolerance test เป็นภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน Prediabetes ผู้ที่ระดับน้าตาลมากกว่า 200 มิลิกรัม% ถือว่าเป็นโรคเบาหวาน
  • 5. 5 เบาหวานชนิดที่หนึ่ง เบาหวานชนิดที่สอง  เกิดในคนอายุน้อย(30)  ผอม  ไม่สามารถสร้างอินซูลิน  เกิดอาการรุนแรงได้ง่าย  จาเป็นต้องใช้อินซูลิน  เกิดในคนอายุมาก(40)  น้าหนักเกินหรืออ้วน  ผลิตอินซูลินได้บ้าง แต่ไม่พอ  มีอาการเล็กน้อย  คุมอาหารและใช้ยาเม็ด สัญญาณของโรคเบาหวาน การที่เราเป็นโรคเบาหวานนั้น หลายคนอาจจะมองว่าจาเป็นต้องมีการตรวจเลือดอย่างเดียวจึงจะรู้ แต่ความจริง คือก่อนการตรวจเจอเบาหวาน มักจะมีอาการของโรคอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น เหนื่อย เพลีย เป็นแผลเรื้อรัง ปัสสาวะ บ่อย โดยเฉพาะตอนกลางคืน หลังเที่ยงคืนลงไป ที่จะมีการตื่นมาปัสสาวะบ่อยครั้งเป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้หากเรา สังเกตตัวเอง จะทาให้ทราบได้เร็วมากขึ้น และหาหมอเพื่อเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที อาการหลักของโรคเบาหวาน 1. ปัสสาวะบ่อยขึ้น หิวน้ามากขึ้น หากเริ่มมีอาการปัสสาวะบ่อยขึ้น และหิวน้ามากขึ้น โดยเฉพาะตอน กลางคืน จะกระหายน้า มากกว่าเดิม นี้เป็นสัญญาณของโรคเบาหวาน เพราะร่างกายต้องการขับน้าตาล ที่มีอยู่สูงในเลือด ออกมาทางปัสสาวะ 2. น้าหนักลด น้าหนักที่ลดผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคบางชนิดก็ได้โดยเฉพาะเบาหวาน การมี น้าตาลในเลือดสูง จะทาให้น้าหนักลดลงอย่างเร็วมาก ประมาณ 5-10 กิโลภายใน 2-3 เดือน 3. บาดแผลหายช้า หากมีแผลที่บริเวณผิวหนัง เช่น มีดบาด การติดเชื้อ หรือรอยฟกช้า และแผลหายช้ามาก นั้น เป็นสัญญาณบ่ง บอกให้รู้แล้วว่า คุณเป็นเบาหวานแล้ว เพราะระดับน้าตาลในเลือดที่สูงของผู้ป่วยเบาหวาน จะไป ขัดขวางการทางานของ หลอดเลือด 4. หิวบ่อย กินจุบจิบ ถ้าเกิดหิวบ่อยและกินจุบจิบขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ คุณอาจเป็นเบาหวานแล้วก็ได้ เพราะเมื่อระดับ น้าตาลในเลือดต่า จะทาให้ร่างกายต้องการอาหาร เพื่อเพิ่มระดับน้าตาลในเลือด จึงส่งสัญญาณ เป็นความหิวนั้นเอง 5. อ่อนเพลีย อารมณ์ไม่คงที่ อาการอ่อนเพลีย และอารมณ์ฉุนเฉียว เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยเบาหวาน เมื่อมี ระดับน้าตาลใน เลือดสูง เนื่องจากระดับน้าตาลในเลือดส่งผลต่อการทางานทุกระบบ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับ อารมณ์ด้วย
  • 6. 6 สัญญาณอันตรายอื่นๆ 1. มีอาการอ่อนเพลียง่าย ทั้งๆ ที่พักผ่อนเพียงพอ และไม่ได้เจ็บป่วย 2. น้าหนักลดลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ 3. ปัสสาวะบ่อยจนผิดปกติ 4. หิวน้ามากกว่าปกติ 5. มีอาการตาพร่ามัวลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ 6. ปวดขา หรือปวดเข่า 7. ผิวหนังแห้ง มีอาการคัน อาจจะคันตามตัว หรือคันบริเวณปากช่องคลอด 8. เป็นฝีตามตัวได้บ่อยๆ 9. มีอารมณ์แปรปรวน โมโหง่าย 10. แผลมักหายช้า ไม่แห้งสนิท หรือไม่ขึ้นสะเก็ดเสียที วิธีป้องกันโรคเบาหวาน การป้องกันตนเองไม่ให้เป็นโรคเบาหวานนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก แค่เริ่มจากการป้องกันที่ต้นเหตุก็สามารถลด ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานได้มากขึ้นแล้ว สาหรับวิธีการป้องกัน คุณสามารถปฏิบัติตามได้ง่ายๆ ดังนี้ 1. ออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ หากไม่อยากให้โรคเบาหวานถามหาก็ควรหมั่นออกกาลังกายประจา และควรออก กาลังกายอย่างต่อเนื่องให้ได้อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ทั้งนี้ก็เพื่อให้แป้งและน้าตาลที่สะสมอยู่ ในกล้ามเนื้อ ถูกดึงออกไปใช้เป็นพลังงาน ซึ่งก็จะทาให้ระดับแป้งและน้าตาลลดลงตามความเหมาะสมไปด้วย 2. ควบคุมน้าหนักให้คงที่ สาหรับคนที่มีหุ่นดีอยู่แล้วก็ควรควบคุมน้าหนักให้คงที่ต่อไป โดยพยายามอย่าให้ น้าหนักเกินเกณฑ์หรือหากใครที่เป็นโรคอ้วนก็ควรรีบลดน้าหนักโดยด่วน ทั้งนี้ก็เพราะจากการวิจัยพบว่าผู้ที่มี น้าหนักเกินล้วนมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานสูงถึง 80% เลยทีเดียว และแน่นอนว่าคุณคงไม่อยากเป็นหนึ่งใน บุคคลเหล่านั้น เพราะฉะนั้น การควบคุมน้าหนักจึงถือเป็นสิ่งที่สาคัญที่สุด 3. รับแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าหรือเย็น เพราะแสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้าและตอนเย็นนั้น จะอุดมไปด้วยวิตามิน D ที่ มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งวิตามินดีไม่เพียงแต่จะบารุงผิวพรรณให้ดูเปล่งปลั่งมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกัน โรคเบาหวานอีกด้วย เพราะการขาดวิตามินดีจะทาให้มีโอกาสเป็นเบาหวานได้สูง การเสริมวิตามินดีอย่างเพียงพอ จึงเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด แต่ทั้งนี้หากออกกาลังกายไปพร้อมๆ กันด้วยก็จะยิ่งดี 4. รับประทานข้าวกล้องแทนข้าวขาว ข้าวกล้อง เป็นข้าวที่อุดมไปด้วยวิตามินและสารอาหารต่างๆ มากมาย อีกทั้ง ยังไม่ทาให้อ้วนอีกด้วย และที่สาคัญข้าวกล้องยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้ดี ดังนั้น จึงควร รับประทานข้าวกล้องแทนข้าวขาวทั่วไป หรือจะหุงรวมกับข้าวขาวด้วยก็ได้ 5. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทาลายตับให้เสื่อมสภาพลงและเสี่ยงต่อภาวะตับแข็ง ซึ่ง เมื่อตับอ่อนเกิดความผิดปกติก็จะทาให้ผลิตอินซูลินได้น้อยลง ส่งผลให้เกิดการสะสมน้าตาลในร่างกายและในเส้น เลือดเป็นจานวนมาก กระทั่งเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานในที่สุด
  • 7. 7 6. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่จะทาให้ร่างกายได้รับสารอาหารและ วิตามินอย่างเพียงพอ ส่งผลให้ทุกส่วนในร่างกายมีความแข็งแรงสมบูรณ์มากขึ้น จึงลดความเสี่ยงเบาหวานได้ดี นั่นเอง แต่ทั้งนี้ควรเน้นเมนูผักผลไม้ให้มากๆ พร้อมทั้งลดคาร์โบไฮเดตจากแป้งและไขมันให้น้อยลง เพราะการ ได้รับไขมันและคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป ก็ทาให้เสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานได้เช่นกัน แนวทางการรักษาโรคเบาหวาน จริงอยู่ที่โรคเบาหวานเป็นโรคที่ไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้แต่เราก็สามารถควบคุมความรุนแรงของโรคให้อยู่ ในระดับที่คงที่และบรรเทาเบาลงได้เช่นเดียวกัน โดยแนวทางในการรักษานั้นจะมีอยู่ 2 วิธีใหญ่ๆ ซึ่งก็คือการรักษา ด้วยยาแพทย์แผนปัจจุบันและการรักษาด้วยธรรมชาติบาบัด ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 1. วิธีรักษาโรคเบาหวานตามแนวทางแพทย์แผนปัจจุบัน การรักษาโรคเบาหวานด้วยวิธีทางแพทย์แผนปัจจุบัน นั้น ในเบื้องต้นแพทย์จะให้ผู้ป่วยรับประทานยาหรือฉีดอินซูลินเข้าสู่กระแสเลือด ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับอาการ ความ รุนแรงของโรคและการวินิจฉัยของแพทย์ด้วย โดยการรับประทานยาหรือการฉีดอินซูลินนั้นผู้ป่วยจะต้องปฎิบัติ ตามคาแนะนาของแพทย์อย่างเคร่งครัดต่อเนื่อง ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่มีอาการรุนแรงมากขึ้น ก็เนื่องจากการไม่ปฎิบัติ ตามแพทย์สั่ง และไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจาวันใหม่นั่นเอง 2. วิธีรักษาโรคเบาหวานตามแนวทางธรรมชาติบาบัด การรักษาโรคเบาหวานด้วยธรรมชาติบาบัดเป็นวิธีแบบ ค่อยเป็นคอยไป เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานในระยะแรก หรือผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงมากนัก โดยวิธีธรรมชาติบาบัด นั้นจะช่วยบรรเทาอาการของผู้ป่วยได้เป็นอย่างมาก และหากทาควบคู่กับการรับประทานยาหรือการฉีดอินซูลิน ด้วยแล้วก็จะยิ่งได้ผลดีมากทีเดียว สาหรับวิธีรักษาก็มีด้วยกัน ดังต่อไปนี้ ควบคุมเมนูอาหาร ผู้ป่วยเบาหวานไม่สามารถรับประทานอาหารได้เหมือนกับคนปกติทั่วไป ซึ่งจะต้องหลีกเลี่ยง อาหารต้องห้ามและเลือกเสริมด้วยอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดสารอาหาร รวมทั้งเลือก รับประทานอาหารที่มีส่วนช่วยในการลดระดับน้าตาลในเลือดด้วย อย่างเช่น ตาลึง มะระขี้นก และอบเชย เป็นต้น ซึ่งหากสามารถควบคุมการรับประทานอาหารได้ดังนี้ อาการป่วยเบาหวานก็จะบรรเทาลงอย่างแน่นอน ออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ การออกกาลังกาย ถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาเบาหวานด้วยวิธีธรรมชาติบาบัด เพราะเบาหวานเกิดจากการมีระดับน้าตาลในเลือดที่สูงเกินไป เราจึงต้องรักษาอาการด้วยการลดปริมาณน้าตาลใน เลือดให้ได้ซึ่งก็สามารถทาได้ด้วยการออกกาลังกาย เพื่อให้มีการดึงเอาน้าตาลออกมาใช้เป็นพลังงานมากขึ้นนั่นเอง ทาจิตใจให้ผ่อนคลาย ความกลัว ความกังวลและความเครียด อาจทาให้ภาวะน้าตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้น ดังนั้น จึงควร ทาจิตใจให้ผ่อนคลายเพื่อรักษาระดับน้าตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ นอกจากนี้ การทาใจให้ผ่อนคลายอยู่เสมอ ยังทาให้เรามีความสุขมากยิ่งขึ้นแม้จะเป็นโรคเบาหวานหรือโรคใดก็ตาม แต่พื้นฐานจิตใจที่ดีย่อมช่วยยกระดับการ มีคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้อย่างง่ายๆ
  • 8. 8 สมุนไพรรักษาโรคเบาหวาน นอกจากการรักษาโรคเบาหวานตามวิธีทางการแพทย์และธรรมชาติบาบัดแล้ว ก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งซึ่งคือการ รับประทานสมุนไพรที่มีสรรพคุณป้องกันและรักษาอาการของโรคเบาหวานให้ทุเลาลง โดยมี 5 ชนิด ดังนี้ 1. มะระขี้นก มะระขี้นก เป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยสารซาแลนติน มีสรรพคุณช่วยลดระดับน้าตาลในเลือด กระตุ้นการผลิตอินซูลินของตับอ่อนจึงสามารถช่วยบรรเทาอาการของผู้ป่วยเบาหวานได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ มะระขี้นกยังไปเปี่ยมไปด้วยคุณประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันโรคต้อกระจก ชะลอ ความเสื่อมของไต ซึ่งก็เรียกได้ว่าเป็นสมุนไพรที่มากไปด้วยประโยชน์อย่างแท้จริง 2. อบเชย สมุนไพรที่สามารถลดระดับน้าตาลในเลือดได้อย่างดีเยี่ยม แถมยังรับประทานง่าย เพียงแค่นาอบเชยมา โรยลงบนอาหาร ก็สามารถรับประทานเพื่อบรรเทาอาการของโรคเบาหวานลงได้แล้ว ที่สาคัญอบเชยยังสามารถ รักษาได้ทั้งเบาหวานประเภทที่ 1 และประเภทที่ 2 เพียงแต่ต้องหมั่นรับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นประจา 3. ตาลึง สมุนไพรหาง่ายที่มักจะพบตามข้างรั้วบ้าน หรือขึ้นเป็นเถาพันต้นไม้อื่นๆ ซึ่งนอกจากจะมีรสชาติอร่อย รับประทานง่ายแล้ว ตาลึงยังมีส่วนช่วยในการลดระดับน้าตาลในเลือดอีกด้วย แนะนาสาหรับผู้ที่ป่วยเป็น โรคเบาหวาน ควรรับประทานตาลึงวันละ 50 กรัม และเมื่อรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน คุณจะพบว่าระดับ น้าตาลในเลือดลดลง อีกทั้งยังอาจกลับมาอยู่ในระดับปกติได้อีกด้วย 4. ชาเขียว หลายคนอาจจะมองว่าชาเขียวไม่มีประโยชน์ในด้านการรักษาเบาหวาน แต่ความเป็นจริงแล้ว ชาเขียวก็ สามารถดื่มเพื่อบรรเทาโรคเบาหวานได้ดีเช่นกัน โดยชาเขียวนั้นจะช่วยควบคุมระดับน้าตาลในเลือดและค่อยๆ ลดลงจนปกติ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการทางานของอินซูลินได้ดี แต่ทั้งนี้ ควรเลือกดื่มเฉพาะชาเขียวแท้ที่ไม่มีความ หวานสูงจะดีที่สุด 5. กระเทียม กระเทียมเป็นสมุนไพรในครัวเรือนที่หลายคนอาจยังไม่รู้ ว่าสามารถช่วยรักษาโรคเบาหวานได้เช่นกัน โดยกระเทียมนั้นมีสารอัลซิลีนที่มีสรรพคุณในการลดความดันโลหิต ช่วยลดไขมันในเลือดและลดระดับน้าตาลใน เลือด สาหรับผู้ป่วยเบาหวาน แต่แนะนาว่าควรรับประทานแบบสดๆ เพราะอุดมไปด้วยคุณประโยชน์และมี ประสิทธิภาพในการรักษาเบาหวานได้สูงกว่าการรับประทานแบบสุกนั่นเอง โรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรัง ปัจจุบันยังไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ การป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด และที่สาคัญควรหมั่นตรวจระดับน้าตาลอยู่เสมอ โดยเฉพาะการตรวจสุขภาพประจาปี เพราะการตรวจพบเบาหวาน เร็วขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะมีโอกาสควบคุมดูแลไม่ให้อาการของโรคหนักขึ้น หรือสามารถป้องกันการเกิด ภาวะแทรกซ้อนจนอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ สาหรับผู้ที่กาลังประสบกับโรคนี้อยู่ก็ไม่ควรกังวลจนเกินไป ควรทาใจ ให้สบาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ร่วมกับผักสมุนไพร และปฎิบัติตามคาสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด เพียงเท่านี้ ก็จะช่วยให้คุณสุขภาพแข็งแรง มีคุณภาพชีวิตที่ดีและยืดอายุไขให้ยืนยาวได้แล้วเช่นกัน
  • 9. 9 การดูแลตัวเอง เมื่อเป็นโรคเบาหวาน อย่างที่เรารู้กันดีว่า คนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานนั้นต้องมีการดูแลตัวเองเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนอย่าง อื่นขึ้นมาอีก ซึ่งวิธีการดูแลตัวเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีดังนี้ เน้นรับประทานอาหารจาพวกผัก หรือผลไม้ให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผัก เพราะจะช่วยในเรื่องของการ ขับถ่ายได้เป็นอย่างดี หากผู้ป่วยเป็นคนที่มีน้าหนักเกิน หรือมีภาวะโรคอ้วนร่วมด้วย แนะนาว่าให้ลดปริมาณอาหารลงเหลือเพียงครึ่ง เดียวของที่เคยกินในแต่ละมื้อ เพื่อช่วยในการควบคุมน้าตาล อย่าอดอาหาร เพราะการอดอาหาร หรือทานอาหารน้อยเกินไป จะทาให้ระดับน้าตาลในเลือดไม่คงที่ และวัด ระดับน้าตาลได้ยากมากขึ้น ระวังอย่าให้เป็นแผล เพราะคนเป็นโรคเบาหวานมักจะแผลหายช้า และอาจจะก่อให้เกิดการติดเชื้อจนต้องตัด อวัยวะที่เป็นแผลทิ้ง เพื่อรักษาอาการในส่วนอื่น อาหารที่ผู้ป่ วยเบาหวานทานได้ โรคเบาหวานเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาให้หายขาด แต่สามารถลดความรุนแรงด้วยการเลือกทานอาหารให้ เหมาะกับโรค ผู้ป่วยเบาหวานจาเป็นต้องควบคุมอาหาร เพื่อลดระดับน้าตาลในเลือด ลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิด ภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่นๆ โดยเป้าหมายหลักคือการรับประทานอาหารหลากหลายชนิด ได้สารอาหารครบถ้วน แต่ลดอาหารที่ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นน้าตาล อาหารจาพวกคาร์โบไฮเดรต ควรได้รับเช่นเดียวกับคนทั่วไป ไม่ควรงดหรือจากัดมากเกินไป โดย คาร์โบไฮเดรตที่ผู้เป็นเหาหวานได้รับควรเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ธัญพืช ขนมปังโฮลสีต และถั่วเมล็ดแห้ง อาหารจาพวกผัก ควรรับประทานมากกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะผักใบเขียวที่มีกากใยอาหารสูง เพราะว่าใย อาหารจะช่วยลดการดูดซึมน้าตาลในร่างกายได้ดี ส่งผลให้ระดับน้าตาลในเลือดลดลง ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน จึงควรรับประทานผักให้มาก ทั้งผักสุกและผักสด อาหารจาพวกเนื้อสัตว์(ไม่ติดมัน) หากเป็นไปได้ให้ทานแต่น้อย แต่ควรทานทุกมื้อ โดยอาจเปลี่ยนจากเนื้อสัตว์ มาเป็นเนื้อปลาและเต้าหู้แทน อาหารประเภทไขมัน การเลือกใช้น้ามันในการประกอบอาหารเป็นส่วนสาคัญ ผู้ป่วยเป็นเบาหวานควรใช้ น้ามันถั่วเหลือง น้ามันรา น้ามันถั่วลิสง รวมไปถึงน้ามันปลามในการประกอบอาหาร และควรงดการใช้น้ามันหมู และน้ามันมะพร้าวเนื่องจากมีกรดไขมันอิ่มตัวสะสมอยู่มาก การทานอาหารที่ได้น้ามันก็ควรเลี่ยงโดยเฉพาะ อาหาร ทอด และอาหารที่เป็นกะทิ รวมไปถึงขนมปังที่ใช้เนยหรือมาการีนในการผลิตก็ควรงด อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากโรคเบาหวานในช่วงตั้งครรภ์ โรคเบาหวานจัดได้ว่าเป็นโรคที่มีอันตรายต่อทั้งตัวแม่และลูกในครรภ์เป็นอย่างมาก เมื่อมีระดับน้าตาลในเลือดสูง จะทาให้เกิดภาวะเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษ มีความดันโลหิตสูงกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย พบได้บ่อย ในการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ เกิดความเสื่อมสภาพของระบบหลอดเลือด ผนังหลอดเลือดบาง โดยเฉพาะ บริเวณปลายประสาท ตา และไต
  • 10. 10 ความเสี่ยงที่จะเกิดกับลูกน้อยในครรภ์ หากคุณแม่มีระดับน้าตาลในเลือดสูง จะทาให้การเจริญเติบโตของเด็ก ผิดปกติ อาจพบว่ามีร่างกายใหญ่จนเป็นอุปสรรคต่อการคลอด มีภาวะแท้งคุกคาม ทาให้ต้องคลอดก่อนกาหนด บาง รายรุนแรงถึงขั้นที่เด็กเสียชีวิตตั้งแต่ในครรภ์ การดูแลตัวเองของคุณแม่ทั้งผู้ที่มีความเสี่ยงและที่มีโรคนี้อยู่ จะต้องมีวินัยในการดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดตาม คาแนะนาของแพทย์ควบคุมระดับน้าตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ควบคุมการกินอาหาร ลดแป้งและน้าตาล เน้นผัก และผลไม้เพื่อป้องกันไม่ให้น้าตาลสูงจนไปทาร้ายทั้งตัวคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ นี่เป็นเพียงข้อมูลที่ควรรู้ และข้อปฏิบัติเกี่ยวกับโรคเบาหวานที่หลายคน อาจจะมองข้ามไป ซึ่งอาจจะก่อให้เกิด อันตรายต่อสุขภาพได้และอีกอย่างหนึ่งที่ทุกคนควรจาไว้คือ การเป็นโรคเบาหวานอาจจะทาให้ถึงตายได้หากไม่ ควบคุมดูแลตัวเองแต่เนิ่นๆ เพราะอาการของโรคเบาหวานสามารถที่จะพัฒนาตัวเองไปสู่โรคร้ายอื่นๆได้อย่าง มากมาย วิธีดาเนินงาน แนวทางการดาเนินงาน 1.คัดเลือกหัวข้อโครงงานที่สนใจ 2. ศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและแหล่งข้อมูล3.จัดทา 3. จัดทาเค้าโครงของโครงงานที่จะทา 4. ลงมือทาโครงงาน 5. เขียนรายงาน 6. การนาเสนอและแสดงโครงงาน 4.นาเสนอ เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ 1.โปรแกรม Microsoft word 2.Google ในการค้นคว้าข้อมูล งบประมาณ -
  • 11. 11 ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน ลาดับ ที่ ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 1 คิดหัวข้อโครงงาน 2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล 3 จัดทาโครงร่างงาน 4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน 5 ปรับปรุงทดสอบ 6 การทาเอกสารรายงาน 7 ประเมินผลงาน 8 นาเสนอโครงงาน ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน) 1.ผู้คนหันมาสนใจสุขภาพตนเองมากขึ้น 2.คนที่เป็นโรคเบาหวานลดน้อยลง สถานที่ดาเนินการ 1.บ้าน 2.ห็องคอมพิวเตอร์โรงเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง 1.กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษา 2.กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน) http://siamhealth.net/public_html/Disease/endocrine/DM/intro.htm http://www.dmthai.org/news_and_knowledge/88 http://siamhealth.net/public_html/Disease/endocrine/DM/type.htm