SlideShare a Scribd company logo
1 of 12
Download to read offline
1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5- 6
ปีการศึกษา 2561
ชื่อโครงงาน วิตามินมีโทษหรือไม่
ชื่อผู้ทาโครงงาน
1นางสาว ธนัชพร เชื้อนาม เลขที่3 ชั้น 6ห้อง7
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานร่วม (ถ้ามี)-
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2561
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม .……
1ธนัชพร เชื้อนาม เลขที่……… 2…………………………………เลขที่ ……….
3………………………………….. เลขที่………
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
วิตามินมีโทษหรือไม่
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
Does a vitamin have a penalty?
ประเภทโครงงาน โครงงานเพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสวา ธนัชพร เชื้อนาม
ชื่อที่ปรึกษาครู เขื่อนทอง มูลวรรณ์
ชื่อที่ปรึกษาร่วม -
ระยะเวลาดาเนินงาน 1เดือน
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน)
ในชีวิตประจาวันของเรา วิตามินเป็นสารอินทรีย์ที่ประกอบอยู่ในร่างกายของคนไม่มากแต่ร่างกายนั้นก็ไม่สามารถ
ขาดวิตามินได้ เพราะวิตามินเป็นตัวที่ช่วยทาให้ระบบต่างๆภายในร่างกายเกิดความสมดุลและเสริมสร้างการ
เจริญเติบโตของร่างกายให้มีสุขภาพที่ดี ที่สาคัญเราไม่สามารถผลิตหรือสังเคราะห์วิตามินเองได้ เราจึงจาเป็นต้อง
ได้รับวิตามินจากสารอาหารที่เรารับประทานไปในแต่ละมื้อ หรือการได้รับจากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อทดแทน
วิตามินที่ขาดหายไปวิตามินนั้นมีหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดจะให้ประโยชน์และโทษที่แตกต่างกันไป ในปัจจุบันผู้คนส่วน
ใหญ่มักนิยมซื้ออาหารเสริมมารับประทานเพราะคิดว่าดีต่อสุขภาพ แต่หากเรารับประทานมากเกินไปวิตามินอาจ
ส่งผลเสียต่อร่างกายแทนผลดีของมันได้ เช่น วิตามินเคช่วยให้กระดูกแข็งแรง และบรรเทาอาการรอบเดือนที่มา
มากกว่าปกติ แต่ถ้ารับประทานเกินขนาดจะทาให้ท้องร่วงได้เป็นต้น จากข้อมูลที่กล่าวมาจึงเป็นเหตุผลที่ทาให้
ผู้จัดทาตัดสินใจทาโครงงานนี้เพราะไม่เพียงแต่ผู้จัดทาจะได้รับความรู้และยังสามารถเป็นตัวช่วยให้หลายๆคนที่กาลัง
ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมมารับประทานอีกด้วย
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
1.เพื่อศึกษาประโยชน์และโทษของวิตามิน
2.เพื่อให้ผู้อ่านนาความรู้ที่ได้ไปช่วยในการติดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
คุณสมบัติของวิตามินแต่ละชนิด
ประโยชน์ของวิตามินแต่ละชนิด
โทษของวิตามินแต่ละชนิด
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมของวิตามินแต่ละชนิด
3
หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน)
วิตามินเอ หรือ เรตินอล จัดเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันหรือน้ามัน ซึ่งภายในร่างกายของเราสามารถเก็บวิตามิน
เอได้ ทาให้ไม่จาเป็นต้องรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอทุกวัน โดยแหล่งอาหารที่มีวิตามินเอ ได้แก่ อาหาร
จาพวกตับ, บร็อกโคลี, ผักโขม, ฟักทอง, น้ามันตับปลา, แครอท, ไข่, นม, มะละกอ, มะม่วง, ถั่วลันเตา เป็นต้น
ประโยชน์ของวิตามินเอ
– ช่วยบารุงสายตา ป้องกันภาวะตาแห้ง หรือตาบอด
– ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ
– ช่วยแก้ปัญหาเรื่องผิวพรรณ ลดจุดด่างดา ทาให้ผิวแข็งแรง
– ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก ฟัน และเหงือก
– ช่วยบารุงให้ผมมีสุขภาพดี
– ช่วยรักษาสิว ริ้วรอยต่างๆ
– ช่วยรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษ และโรคถุงลมโป่งพองได้
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
ปกติในท้องตลาดทั่วไปมีวางจาหน่ายอยู่ 2 ประเภท คือ ประเภทที่สกัดน้ามันตับปลาตามธรรมชาติ และประเภท
กระจายตัวในน้า ที่เหมาะสาหรับคนที่ไม่ควรรับประทานแบบน้ามัน อย่างผู้ที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย ซึ่งขนาดที่
แนะนาให้รับประทานโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 5,000 – 10,000 ไอยู และนอกจากนี้ยังมีกรดวิตามินเอแบบทา หรือ
เรียกว่า เรตินเอ ที่ใช้เพื่อการรักษาสิวเป็นหลัก โดยจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่จาเป็นต้องใช้ตามใบสั่งของแพทย์เท่านั้น
อันตรายจากการได้รับวิตามินเอมากเกินขนาด
– การรับประทานวิตามินเกินวันละ 15,000 ไอยู อย่างต่อเนื่องติดต่อกันทุกวันจะเกิดเป็นพิษต่อตับขึ้น
– สาหรับผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หากได้รับวิตามินเอเกินขนาดจะทาให้ทารกที่ออกมาพิการได้
– อาการที่บ่งชี้ว่ากาลังได้รับวิตามินเอเกินขนาด ได้แก่ ผมร่วง, ท้องเสีย, อาเจียน, เป็นผื่น, ปวดศีรษะ, รอบ
เดือนมาผิดปกติ, ตับบวมโต, ปวดกระดูก และอ่อนเพลีย เป็นต้น
วิตามินบี หรือ วิตามินบีรวม วิตามินบีนั้นมีอยู่หลายชนิด และต่างก็มีประโยชน์และผลข้างเคียงที่ต่างกันออกไป โดย
วิตามินบีแต่ละตัวจะทางานเสริมซึ่งกันและกัน ต้องรับประทานร่วมกันจึงจะมีประสิทธิภาพมากกว่าแยกรับประทาน
สาหรับชนิดต่าง ๆ ของวิตามินบีรวมนั้นก็ได้แก่ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินบี
7 วิตามินบี 9 วิตามินบี 12 วิตามินบี 15 วิตามินบี 17
วิตามินบี 1 (ไทอะมีน)
วิตามินบี 1 หรือ ไทอะมีน มีชื่อเรียกว่า “วิตามินเสริมขวัญและกาลังใจ”เพราะมีส่วนช่วยบารุงประสาท
แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ผัก โฮลวีต ถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต ถั่วลิสง ราข้าว เปลือกข้าว เมล็ดที่ไม่ผ่านการขัดสี
บริเวอร์ยีสต์ นม ไข่แดง ปลา เนื้อออร์แกนิก เนื้อหมูไม่ติดมัน
ปริมาณที่แนะนาให้รับประทานต่อวันสาหรับผู้ใหญ่คือ 1 – 1.5 มิลลิกรัม
ผลเสียของการรับประทานเกินขนาดยังไม่พบว่ามีอาการเป็นพิษ หากรับประทานเกินขนาดก็จะถูกขับออก
ทางปัสสาวะและไม่มีการสะสมแต่อย่างใด แต่หากมีอาการ (ซึ่งพบได้น้อยมาก ๆ หรือแทบไม่เกิดเลย) ก็คือ
สั่น โรคเริมกาเริบ ตัวบวม กระวนกระวาย หัวใจเต้นเร็ว และภูมิแพ้
ประโยชน์ของวิตามินบี1 1. ช่วยบารุงประสาท กล้ามเนื้อ ทาให้หัวใจทางานเป็นปกติ
2. ช่วยบารุงสมอง ความคิด สติปัญญาให้ดีขึ้น
3. ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโต
4. ช่วยย่อยอาหารจาพวกแป้งได้ดี
4
5. ช่วยบรรเทาอาการเมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบิน
6. ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหลังการผ่าตัดทาฟัน
7. ช่วยรักษาโรคงูสวัด
8. ช่วยรักษาโรคเหน็บชา
วิตามินบี 2 (ไรโบฟลาวิน)
วิตามินบี 2 หรือ ไรโบฟลาวิน มีอีกชื่อว่า วิตามินจี (Vitamin G)
แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ไข่ นม ถั่ว โยเกิร์ต ชีส ผักใบเขียว ปลา ตับ ไต
ปริมาณที่แนะนาให้รับประทานต่อวันสาหรับผู้ใหญ่คือ 1.2 – 1.7 มิลลิกรัม แต่ขนาดที่ใช้รับประทานต่อวัน
โดยทั่วไปคือ 100-300 mg.
ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด ยังไม่พบอาการที่บ่งชี้ว่าเป็นพิษที่เกิดจากการรับประทานวิตามินชนิดนี้
แต่มีความเป็นไปได้ว่าหากในร่างกายมีวิตามินชนิดนี้สูงเกินไปก็คือ คัน รู้สึกชา อาการแสบยิบ ๆ
โรคจากการขาดวิตามินบีชนิดนี้ ได้แก่ โรคปากนกกระจอก หรือโรคขาดวิตามินบี 1 และบี 2 พบที่บริเวณริม
ฝีปาก มุมปาก ผิวหนัง อวัยวะสืบพันธุ์
ประโยชน์ของวิตามินบี 2
1. บารุงผิวพรรณ เล็บ และเส้นผม
2. ช่วยในกระบวนการสร้างการเจริญเติบโตและสืบพันธุ์
3. เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น ช่วยบรรเทาอาการอ่อนล้าของสายตา
4. ช่วยลดความเจ็บปวดจากไมเกรน
5. กาจัดอาการเจ็บแสบในปาก ริมฝีปาก และลิ้น
6. ทางานร่วมกับสารอื่น ๆ ในการเผาผลาญอาหารประเภทแป้ง ไขมัน และโปรตีน
วิตามินบี 3 (ไนอะซิน)
วิตามินบี 3 หรือ ไนอะซิน สาหรับชื่ออื่น ๆ ได้แก่ ไนอะซินาไมด์, กรดนิโคตินิก, นิโคตินาไมด์
แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ไข่ ปลา เนื้อไม่ติดมัน เนื้อขาวจากพวกสัตว์ปีก ตับ โฮลวีต จมูกข้าวสาลี ถั่วลิสง อะ
โวคาโด อินทผลัม ลูกพรุน มะเดื่อฝรั่ง บริเวอร์ยีสต์
ปริมาณที่แนะนาให้คุณรับประทานต่อวันคือ 13-19 มิลลิกรัม
โรคจากการขาดวิตามินบีชนิดนี้ ได้แก่ โรคเพลลากรา (Pellagra) ลักษณะอาการคือเป็นผื่นผิวหนังอักเสบ
รุนแรง
ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด
1. อาจมีแนวโน้มเป็นโรคเกาต์หรือมีอาการปวดตามข้อได้ หากในร่างกายคุณมีไนอะซินมากเกินไป
2. ผลข้างเคียงอาจมีอาการร้อนวูบวาบ หน้าแดง คันตามตัว เมื่อรับประทานเกินกว่า 100 mg.
3. ไม่ควรให้สัตว์กินไนอะซิน โดยเฉพาะสุนัข เพราะอาจมีอาการเหงื่อออก ร้อนวูบวาบตามตัว และสร้าง
ความอึดอัดแก่สัตว์เลี้ยงได้
4. ทาให้ผู้ที่มีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวานมีปัญหาต่อการควบคุมน้าตาลในเลือด หรือส่งผลให้อาการของ
โรคเบาหวานรุนแรงขึ้นได้และอาจทาให้ตับทางานผิดปกติได้ เพราะไนอะซินในร่างกายที่มีสูงมากเกินไปจะ
ส่งผลต่อการควบคุมน้าตาลในร่างกาย
ประโยชน์ของวิตามินบี 3
1. ช่วยบารุงผิวพรรณ
2. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
3. ช่วยเผาผลาญไขมันและช่วยให้ระบบย่อยอาหารทางานได้ดีขึ้น บรรเทาปัญหาต่าง ๆ ของระบบย่อย
อาหาร
5
4. บรรเทาอาการปวดศีระษะจากไมเกรน
5. ลดอาการวิงเวียนศีรษะของโรคน้าในหูไม่เท่ากัน
6. เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ช่วยลดความดันโลหิต
7. ช่วยรักษาอาการร้อนในและกลิ่นปาก
8. บรรเทาอาการท้องร่วง
9. ช่วยเพิ่มพลังงานที่ได้จากการย่อยและเผาผลาญอาหาร
วิตามินบี 5 (กรดแพนโทเทนิก)
แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ เนื้อสัตว์ ไก่ ตับ ไต หัวใจ ธัญพืชไม่ขัดสี ราข้าว จมูกข้าวสาลี ถั่ว ผักสีเขียว
กากน้าตาลไม่บริสุทธิ์ บริเวอร์ยีสต์
ขนาดที่แนะนาให้รับประทานสาหรับผู้ใหญ่คือ 10 mg. ต่อวัน
โรคจากการขาดวิตามินบี 5 ได้แก่ โรคไฮโปไกลซีเมีย (Hypoglycemia) หรือภาวะน้าตาลในเลือดต่า เป็น
แผลในลาไส้เล็ก โรคเลือด โรคผิวหนัง
ประโยชน์ของวิตามินบี 5
1. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
2. ช่วยลดอาการข้างเคียงจากการใช้ยาปฏิชีวนะ
3. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
4. ช่วยในกระบวนการรักษาแผล
5. ช่วยรักษาอาการช็อกหลังการผ่าตัด
6. ช่วยป้องกันการอ่อนเพลียของร่างกาย
7. ช่วยลดความเจ็บปวดจากโรคข้ออักเสบในผู้ป่วยบางรายได้
8. ช่วยรักษาอาการเหน็บชาที่มือและเท้า
9. ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย
วิตามินบี 6 (ไพริด็อกซิน)
วิตามินบี 6 หรือ ไพริด็อกซิน เป็นคาที่ใช้เรียกรวมกันของกลุ่มสารที่มีโครงสร้างคล้ายกันและทางานร่วมกัน
ซึ่งประกอบไปด้วย ไพริด็อกซิน ไพริด็อกซาล และไพริด็อกซามีน
แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ บริเวอร์ยีสต์ ราข้าว จมูกข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี ถั่วลิสง ถั่วเหลือง
วอลนัต กะหล่าปลี กากน้าตาล แคนตาลูป ไข่ ตับ ปลา
ขนาดที่แนะนาให้รับประทานต่อวันคือ 1.6 – 2 mg.
ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด อาจเกิดอาการกระสับกระส่ายในเวลานอน ฝันเหมือนจริงเกินไป เท้า
ชาและมีอาการกระตุก สาหรับผู้ที่รับประทานขนาด 2,000 – 10,000 mg. ทุกวันอาจทาให้เกิดปัญหาต่อ
ระบบประสาทได้ ขอแนะนาว่าควรรับประทานขนาดไม่เกิน 500 mg. ต่อวันจะปลอดภัยกว่า
โรคจากการขาดวิตามินบี 6 โรคโลหิตจาง ผื่นผิวหนังอักเสบจากต่อมไขมัน
ประโยชน์ของวิตามินบี 6
1. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรง
2. ช่วยชะลอวัยได้
3. ช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในไต
4. ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
5. ทาให้ร่างกายดูดซึมโปรตีนและไขมันได้ดียิ่งขึ้น
6. ช่วยเปลี่ยนรูปของทริปโตเฟน ให้เป็นวิตามินบี 3
7. ช่วยป้องกันโรคทางประสาทและโรคผิวหนังหลายชนิด
6
8. ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน
9. เป็นยาขับปัสสาวะตามธรรมชาติ
10. ลดอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งในเวลากลางคืน มือชา ขาเป็นตะคริว และปลายประสาทที่แขนขาอักเสบ
บางชนิด
11. ช่วยลดอาการปากแห้งและปัญหาด้านการปัสสาวะที่เกิดจากการรับประทานยาต้านอาการซึมเศร้าใน
กลุ่มไตรไซคลิก
วิตามินบี 7 (ไบโอติน)
วิตามินบี 7 (Biotin) หรือ วิตามินเอช เป็นวิตามินที่ละลายในน้า ซึ่งมีซัลเฟอร์เป็นส่วนประกอบและจัดอยู่
ในกลุ่มวิตามินบีรวม
แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ตับวัว ไข่แดง นม แป้งถั่วเหลือง เนย ถั่วลิสง บริเวอร์ยีสต์ ข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี
ขนาดที่แนะนาให้รับประทานต่อวันคือ 100 – 300 mcg.
โรคจากการขาดไบโอติน ผมร่วง ซึมเศร้า เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย หมดเรี่ยวแรง การเผาผลาญไขมันทางานไม่
สมบูรณ์ เป็นผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณหน้าและตัว แต่ทั้งนี้ยังไม่พบผู้ที่มีอาการเป็นพิษจากการรับประทานไบ
โอตินเกินขนาดติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
ประโยชน์ของไบโอติน
1. ช่วยป้องกันผมหงอกได้ดี
2. ช่วยป้องกันและรักษาโรคเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะล้าน
3. ช่วยป้องกันและบารุงรักษาเล็บที่แห้งเปราะ
4. ช่วยในการเผาผลาญไขมันและโปรตีน
5. บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ
6. ช่วยบรรเทาอาการผื่นผิวหนังอักเสบ ผดผื่นคันต่าง ๆ
วิตามินบี 9 (กรดโฟลิก)
วิตามินบี 9 หรือ กรดโฟลิก (โฟเลต,โฟลาซิน) หรือรู้จักกันในชื่อ วิตามินเอ็มหรือวิตามินบีซี (BC)
แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ไข่แดง ตับ ผักใบเขียวเข้ม แคร์รอต แคนตาลูป ฟักทอง เอพริคอต อะโวคาโด อาร์
ทิโชก ถั่ว แป้งไรย์แบบสีเข้มที่ไม่ผ่านการขัดสี ทอร์ทูลายีสต์
ขนาดที่แนะนาให้รับประทานคือประมาณ 180 – 200 mcg. ต่อวัน
ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด ปัจจุบันยังไม่พบว่ามีอาการที่เป็นพิษต่อร่างกายหากรับประทานใน
ปริมาณมากติดต่อกัน แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการผื่นแพ้ได้บ้าง และหากร่างกายมีกรดโฟลิกมากเกินไป
อาจทาให้เป็นโรคโลหิตจางจากการขาดวิตามินบี 12 แต่ไม่แสดงออกมา
โรคจากการขาดวิตามินบี 9 โรคโลหิตจางแบบแมโครไซติกหรือเม็ดเลือดแดงมีขนาดใหญ่ผิดปกติ
ประโยชน์ของวิตามินบี 9
1. ช่วยบารุงผิวพรรณและสุขภาพ
2. ช่วยแก้ปัญหาสีผิวไม่สม่าเสมอได้
3. ช่วยชะลอให้ผมขาวช้าลง หากรับประทานร่วมกับพาบา และวิตามินบี5
4. ช่วยให้เจริญอาหาร หากร่างกายอ่อนเพลีย
5. ช่วยป้องกันแผลร้อนในได้
6. ช่วยรักษาภาวะซีดหรือโลหิตจาง
7. ทางานออกฤทธิ์คล้ายยาแก้ปวด
8. ช่วยป้องกันพยาธิในลาไส้และอาการแพ้จากอาหารเป็นพิษ
9. ช่วยป้องกันการพิการของเด็กทารกแรกเกิด
7
10. ช่วยในการสร้างน้านมของมารดาหลังคลอดบุตร
11. ช่วยลดระดับของกรดอะมิโนโฮโมซิสเทอีนในเลือด
12. ชวยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้
วิตามินบี 12 (โคบาลามิน)
วิตามินบี 12 หรือ โคบาลามิน (Cobalamin) มีอีกชื่อที่รู้กันดีคือ วิตามินแดงหรือไซยาโนโคบาลามิน
(Cyanocobalamin)
แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ เนื้อสัตว์เป็นหลัก ตับ ไต นม ไข่แดง ชีส ปลา เนื้อหมู เนื้อวัว อาหารหมักดอง เป็น
ต้น
ขนาดที่แนะนาให้รับประทานต่อวันสาหรับผู้ใหญ่คือ 2 ไมโครกรัม
หากร่างกายขาดวิตามินบี 12 อาจทาให้เกิด โรคโลหิตจางและโรคเกี่ยวกับระบบประสาทได้
ประโยชน์ของวิตามินบี12
1. ช่วยบารุงประสาททาให้ระบบประสาทแข็งแรงขึ้น
2. ช่วยเพิ่มสมาธิ ความจา และการทรงตัว
3. ช่วยบรรเทาอาการหงุดหงิด ลดความเครียด
4. ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตและเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย
5. ช่วยทาให้เด็กเจริญอาหาร
6. ทาให้ร่างกายสามารถใช้ไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตได้อย่างเหมาะสม
7. มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
8. ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง
9. ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งจากการสูบบุหรี่
10. ปริมาณ 80 ไมโครกรัมต่อวันจะช่วยเสริมสร้างความแข็งของกระดูกและช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูก
พรุนได้
วิตามินบี 15 (กรดแพงเกมิก)
แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ข้าวกล้อง เมล็ดฟักทอง เมล็ดงา เมล็ดธัญพืชไม่ขัดสี บริเวอร์ยีสต์
ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด ยังไม่พบว่าหากรับประทานในปริมาณมากจะมีอาการเป็นพิษต่ร่างกาย
แต่อาจมีอาการคลื่นไส้ในช่วงแรก ๆ ที่เริ่มรับประทานวิตามินบี 15 แต่อาการมักจะหายไปได้เองภายในไม่กี่
วัน และอาจจะบรรเทาอาการโดยเริ่มต้นรับประทานวิตามินบี 15 หลังมื้ออาหารที่หนักที่สุดของวัน
โรคที่พบจากการขาดวิตามินบี15 เนื่องจากวิตามินตัวนี้ยังมีงานวิจัยค่อนข้างน้อยและจากัด แต่มีความเป็นไป
ได้ว่าการขาดวิตามินบี 15 จะทาให้เกิดความผิดปกติของต่อมและเส้นประสาท โรคหัวใจ สภาวะที่ออกซิเจน
ไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่าง ๆได้น้อยลง
ประโยชน์ของวิตามินบี15
1. ช่วยเพิ่มการตอบสนองภูมิคุ้มกันของร่างกาย
2. ช่วยในการสังเคราะห์โปรตีน
3. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
4. ช่วยบรรเทาอาการอยากดื่มสุรา
5. ช่วยรักษาอาการเมาค้าง
6. ช่วยปกป้องตับจากภาวะตับแข็ง
7. เร่งการฟื้นตัวจากความอ่อนเพลีย
8. ช่วยป้องกันอันตรายจากมลพิษต่าง ๆ
8
9. สามารถยืดอายุของเซลล์ในหลอดทดลองได้
10. ช่วยบรรเทาอาการเจ็บหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและโรคหืด
วิตามินบี 17 (อะมิกดาลิน)
วิตามินบี 17 หรือ อะมิกดาลิน (Amygdalin) หรือ เลไทรล์ (Laetrile)
แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ เมล็ดพืชโดยเฉพาะเมล็ดเอพริคอต และยังมีเมล็ดอื่น ๆ อีก เช่น เมล็ดแตงโม เมล็ด
พลับ เมล็ดถั่วอัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน ข้าว ถั่ว รวมไปถึงถั่วแมคาเดเมีย
การได้รับวิตามินชนิดนี้ในปริมาณที่มากเกินไปอาจจะทาให้ตัวเย็น เหงื่อออก ปวดศีรษะ คลื่นไส้ มีอาการง่วง
ซึม หายใจติดขัด ริมฝีปากเขียว ความดันต่า
เชื่อกันว่าวิตามินชนิดนี้สามารถช่วยรักษาโรคมะเร็งได้ (แต่ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่มากและยังไม่เป็นที่ยอมรับ)
วิตามินชนิดนี้สามารถช่วยป้องกันความเสื่อมทางสมองได้ และสามารถช่วยทาให้ผู้ที่ร่างกายอ่อนแอกลับมามี
สุขภาพร่างกายแข็งแรงเหมือนเดิมและสุขภาพจิตก็ดีขึ้น
วิตามินซีหรือ กรดแอสคอร์บิก จัดเป็นวิตามินที่ละลายในน้า และจะสลายตัวได้อย่างรวดเร็วเมื่อถูกแสง หรือ
ความร้อน ซึ่งวิตามินซีจัดเป็นวิตามินที่สาคัญต่อร่างกายอย่างยิ่งเพราะเรียกได้ว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มี
ประสิทธิภาพสูงมากๆ โดยในสัตว์ส่วนใหญ่นั้นจะสามารถสังเคราะห์วิตามินซีขึ้นได้เอง แต่ในมนุษย์ หนูตะเภา
และลิง จาเป็นต้องได้รับจากการรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีเข้าไป โดยแหล่งอาหารที่มีวิตามินซีอยู่ ได้แก่
ผลไม้รสเปรี้ยวทั้งหลาย, มะเขือเทศ, ส้ม, มันฝรั่ง, ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ทั้งหลาย, แคนตาลูป, พริกไทย, ดอก
กะหล่าเป็นต้น
ประโยชน์ของวิตามินซี
– ช่วยเสริมสร้างเส้นใยคอลลาเจนให้แก่เซลล์ต่างๆ ในร่างกาย
– ช่วยป้องกันโรคหวัด
– ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
– ช่วยให้ผิวพรรณดีสดใส เปล่งปลั่ง
– ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่างๆ
– ช่วยลดความดันโลหิต
– ช่วยป้องกันอาการเลือดออกตามไรฟัน
– ช่วยเพิ่มการดูดซึมของธาตุเหล็กภายในร่างกาย
– ช่วยรักษาแผลสด หรือแผลจากไฟไหม้ได้
– ช่วยสมานแผลให้หายเร็วขึ้น
– ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
– ช่วยยาที่ใช้ส าหรับการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
– ช่วยต้านทานอนุมูลอิสระได้ดีมาก
– ช่วยป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อจากแบคทีเรียและไวรัสหลายชนิด
– ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอภายในร่างกาย
– ช่วยสร้างเม็ดเลือดขาว
– ช่วยต้านทานอาการภูมิแพ้
– ช่วยป้องกันการเกิดโรคเกาต์
– ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
9
ในท้องตลาดทั่วไปเรียกได้ว่าเป็นวิตามินที่มีจาหน่ายแพร่หลายมากที่สุดชนิดหนึ่ง นิยมรับประทานกันมาก มีทั้งใน
รูปแบบของแคปซูล อัดเม็ด ลูกอม แบบผง และน้าเชื่อม เป็นต้น โดยขนาดที่แนะนาให้รับประทานต่อวันจะอยู่ที่
500 มิลลิกรัม ถึงประมาณ 4 กรัมต่อวัน และไม่ควรรับประทานขณะท้องว่างเนื่องจากมีกรด ควรรับประทานหลัง
อาหารทันที หรือพร้อมอาหาร และห้ามอมไว้ในปากเพราะจะกัดกร่อนฟัน ทาให้เกิดแผลภายในช่องปากได้
อันตรายจากการได้รับวิตามินซีมากเกินขนาด
การรับประทานวิตามินซีมากเกินขนาดอาจก่อให้เกิดโรคนิ่วจากกรมออกซาลิกและกรดยูริกได้และอาจมีอาการ
ปัสสาวะบ่อย, ท้องร่วง, ปวดศีรษะ หรือเป็นผื่นตามผิวหนัง เป็นต้น ฉะนั้นควรรับประทานวิตามินซีในปริมาณที่
เพียงพอต่อร่างกาย
วิตามินดีหรือ แคลซิเฟอรอล หรือ วิตามินแดด จัดเป็นวิตามินที่ละลายในน้ามัน โดยร่างกายของเราจะได้รับ
วิตามินชนิดนี้จากการได้รับแสงแดด หรืออาหารที่รับประทานเข้าไป โดยแหล่งอาหารที่มีวิตามินดีอยู่ ได้แก่ นม,
เนย, ปลา, เมล็ดธัญพืชต่างๆ, ไข่แดง, ตับ เป็นต้น
ประโยชน์ของวิตามินดี
– ช่วยในเรื่องการดูดซึมของวิตามินเอ
– ช่วยเสริมสร้างฟอสฟอรัสและแคลเซียม ที่เป็นส่วนสาคัญต่อการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน
– ช่วยแก้ภาวะเยื่อบุตาอักเสบ
– ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลาไส้
– ช่วยแก้โรคหวัดได้หากรับประทานร่วมกับวิตามินเอและซี
– ช่วยป้องกันภาวะการเกิดโรคกระดูกพรุน
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
สาหรับวิตามินดีที่เป็นอาหารเสริม มีขนาดที่แนะนาให้รับประทานคือ 5 – 10 ไมโครกรัม สาหรับในผู้ใหญ่ โดยใน
ท้องตลาดทั่วไปมีวางจาหน่ายทั้งแบบแคปซูลและแบบเม็ด ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนซื้อมารับประทาน
อันตรายจากการได้รับวิตามินดีมากเกินขนาด
การรับประทานวิตามินดีมากเกินขนาดอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายขึ้น
ได้ โดยมีอาการต่างๆ เช่น คันตามบริเวณผิวหนัง, มีอาการท้องร่วง, เจ็บบริเวณดวงตา, กลั้นปัสสาวะไม่อยู่,
อาเจียน หรือมีหินปูนแคลเซียมสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือด ปอด กระเพาะอาหาร หรือตับ และไตได้
วิตามินอีหรือ ไทโคฟีรอล หรือ ไทโคไทรอีนอล จัดเป็นวิตามินที่ละลายในน้ามันหรือไขมัน เมื่อรับประทานเข้าไป
จะถูกเก็บสะสมตามเนื้อเยื่อไขมัน, เลือด, ต่อมหมวกไต, ต่อมใต้สมอง, หัวใจ, มดลูก และกล้ามเนื้ออัณฑะ โดย
แหล่งอาหารส าคัญที่มีวิตามินอีอยู่ ได้แก่ อะโวคาโด, พืชผักใบเขียว, เมล็ดธัญพืชต่างๆ, เนื้อสัตว์, ข้าวโพด, ไข่
แดง เป็นต้น
ประโยชน์ของวิตามินอี
– ช่วยคงความอ่อนเยาว์ให้แก่ใบหน้าและผิวพรรณ ดูอ่อนกว่าวัย
– ช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์เนื้อเยื่อต่างๆ
– ช่วยป้องกันและละลายลิ่มเลือดในร่างกาย
– ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ ได้หลากหลายชนิด
– ช่วยเพิ่มออกซิเจนให้แก่ร่างกาย
– ช่วยให้ปอดแข็งแรง
– ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งบริเวณเต้านม
– ช่วยปกป้องร่างกาย ป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี
– ช่วยป้องกันการเกิดโรคต้อกระจกตา
– ช่วยให้ร่างกายสดชื่น ไม่อ่อนเพลีย
10
– ช่วยสมานแผลไหม้บริเวณผิวหนังให้หายได้เร็วขึ้น
– ช่วยป้องกันการเกิดแผลเป็นที่หนาและนูนขึ้น
– ช่วยบรรเทาอาการขาตึงหรือเกิดตะคริว
– ช่วยลดความเสี่ยงหรือความรุนแรงของโรคสมองเสื่อม หรือภาวะอัลไซเมอร์
– ช่วยลดอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
– ช่วยป้องกันภาวการณ์เกิดโรคอัมพาต หรืออัมพฤกษ์
– ช่วยลดความดันโลหิต
– ช่วยป้องกันภาวะการแท้ง
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
สาหรับวิตามินอีนั้นในท้องตลาดทั่วไปมีจาหน่ายทั้งในรูปแบบของน้ามันชนิดแคปซูล และแบบอัดเม็ดที่ละลายน้า
ตั้งแต่ 100 – 1,500 ไอยู โดยมีขนาดที่แนะนาให้รับประทานทั่วไปอยู่ที่ 200 – 1,200 ไอยูต่อวัน
อันตรายจากการได้รับวิตามินอีมากเกินขนาด
การรับประทานวิตามินอีมากเกินขนาดอาจทาให้เกิดอาการคลื่นไส้ ปวดท้องขึ้นได้ โดยเฉพาะผู้ที่รับประทานยา
ต้านการแข็งตัวของเลือดไม่ควรรับประทานวิตามินนี้สูงเกินไป เนื่องจากจะทาให้เลือดหยุดไหลยาก และห้ามใช้
ในผู้ที่ขาดวิตามินเค เพราะจะส่งผลให้เลือดหยุดไหลได้ยากเช่นเดียวกัน
วิตามินเค หรือ แอลฟาฟิลโลควิโนน จัดเป็นวิตามินที่ละลายในน้ามัน โดยวิตามินเคนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด คือ
วิตามินเค 1 ที่พบได้มากในพืชผักใบเขียว, กีวี และอะโวคาโด
วิตามินเค 2 เป็นประเภทที่สามารถสร้างขึ้นได้โดยแบคทีเรียกลุ่มโพรโบติกในลาไส้ใหญ่ของเรา และพบมากใน
อาหารประเภทเนื้อ, นม, ไข่, ถั่วหมักญี่ปุ่น
วิตามินเค 3 จัดเป็นวิตามินสังเคราะห์ อยู่ในรูปที่ละลายน้า เป็นวิตามินที่มีพิษ ซึ่งเป็นวิตามินที่ห้ามไม่ให้นามา
ผลิตเป็นอาหารเสริม เพราะมีอันตรายและส่งผลให้เกิดอาการแพ้
ประโยชน์ของวิตามินเค
– ช่วยบรรเทาภาวะอาการรอบเดือนที่มามากผิดปกติ
– ช่วยป้องกันภาวะเลือดออกภายในร่างกาย หรือเลือดไหลไม่หยุด
– ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ไม่เปราะบาง
– ช่วยในการสร้างลิ่มเลือดภายในร่างกาย
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
สาหรับวิตามินเคในท้องตลาดทั่วไปมีจาหน่ายแบบเม็ด 100 ไมโครกรัม โดยอาจมีผสมอยู่ในวิตามินรวมทั่วๆ ไป
โดยปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายในเด็กทารกคือ 10 – 20 ไมโคกรัม ส่วนในเด็กเล็กจะอยู่ที่ 15 – 100 ไมโคกรัม
และในผู้หญิงจะอยู่ที่ 90 ไมโครกรัม ส่วนในผู้ชายจะอยู่ที่ 120 ไมโครกรัม
อันตรายจากการได้รับวิตามินเคมากเกินขนาด
การรับประทานวิตามินเคมากเกินขนาดจะส่งผลเสียต่อร่างกายโดยอาจมีอาการท้องร่วงอย่างหนัก ซึ่งก่อนซื้อมา
รับประทานควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง เพราะแม้ว่าวิตามินเคนั้นจะมีความแตกต่างจากวิตามินที่ละลายในไขมัน
ประเภทอื่นคือจะไม่สะสมในร่างกายเหมือนชนิดอื่นก็ตาม แต่วิตามินเคสังเคราะห์ก็จัดเป็นวิตามินที่อันตรายหาก
รับประทานมากเกินขนาด หรือไม่ตรงกับความต้องการของร่างกายนั่นเอง
วิธีดาเนินงาน
แนวทางการดาเนินงาน
1.คิดหัวข้อโครงงาน
2.หาข้อมูล
11
3.จัดทาโครงร่างเพื่อนาเสนอ
4.ทาโครงงาน
5.นาเสนอโครงงานผ่าน powerpoint
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
1.อินเทอร์เน็ต
2.โปรแกรม powerpoint
งบประมาณ
-
ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลาดับ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9
1
0
1
1
12
1
3
1
4
1
5
16 17
1 คิดหัวข้อโครงงาน
2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล
3 จัดทาโครงร่างงาน
4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน
5 ปรับปรุงทดสอบ
6 การทาเอกสารรายงาน
7 ประเมินผลงาน
8 นาเสนอโครงงาน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน)
ได้เพิ่มความรู้ในเรื่องของประโยชน์ของวิตามินแต่ละตัวคุณสมบัติของวิตามินและได้ทราบถึงโทษที่เราสามารถได้รับ
จากวิตามินหากรับประทานไม่ถูกวิถีหรือรับประทานโดยไม่ได้รับคาแนะนาและเป็นแนวทางในแก่ผู้ที่ต้องการศึกษา
เกี่ยวกับเรื่องนี้
สถานที่ดาเนินการ
บ้าน
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
กลุ่มสาระสุขศึกษา
แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน)
https://medthai.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E
0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1/
https://www.honestdocs.co/vitamin-c-essential-oils
https://medthai.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99
%E0%B9%80%E0%B8%84/
http://www.laservisionthai.com/health-
corner/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C
12
%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8
%B4%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%B5
https://www.honestdocs.co/vitamin-c-benefits-and-harm-you-never-heard-of
https://medthai.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99
%E0%B8%94%E0%B8%B5/
https://medthai.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99
%E0%B8%AD%E0%B8%B5/

More Related Content

What's hot

โครงงานคอม[1]
โครงงานคอม[1]โครงงานคอม[1]
โครงงานคอม[1]maddemon madden
 
โครงงานวิทยาศาสตร์การกีฬา602.30
โครงงานวิทยาศาสตร์การกีฬา602.30โครงงานวิทยาศาสตร์การกีฬา602.30
โครงงานวิทยาศาสตร์การกีฬา602.30Pattawee Siriwongkhruea
 
แบบเสนอโครงงาน (ล าส ด)
แบบเสนอโครงงาน (ล าส ด)แบบเสนอโครงงาน (ล าส ด)
แบบเสนอโครงงาน (ล าส ด)Nuties Electron
 
แบบร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบร่างโครงงานคอมพิวเตอร์Preawpraow Klinhomm
 
2560 project โครงงาน20
2560 project โครงงาน202560 project โครงงาน20
2560 project โครงงาน20arisara pianlai
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์Benya Chaiwan
 
โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์Tmw Pcy
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์Benya Chaiwan
 

What's hot (17)

โครงงานคอม
โครงงานคอม โครงงานคอม
โครงงานคอม
 
โครงงานคอม[1]
โครงงานคอม[1]โครงงานคอม[1]
โครงงานคอม[1]
 
2560 project
2560 project2560 project
2560 project
 
โครงงานวิทยาศาสตร์การกีฬา602.30
โครงงานวิทยาศาสตร์การกีฬา602.30โครงงานวิทยาศาสตร์การกีฬา602.30
โครงงานวิทยาศาสตร์การกีฬา602.30
 
2560 project
2560 project2560 project
2560 project
 
แบบเสนอโครงงาน (ล าส ด)
แบบเสนอโครงงาน (ล าส ด)แบบเสนอโครงงาน (ล าส ด)
แบบเสนอโครงงาน (ล าส ด)
 
กล้วย
กล้วยกล้วย
กล้วย
 
2562 final-project
2562 final-project 2562 final-project
2562 final-project
 
Jirachaya jeein
Jirachaya jeeinJirachaya jeein
Jirachaya jeein
 
แบบร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
 
ประวัติ
ประวัติประวัติ
ประวัติ
 
2562 final-project social-addict
2562 final-project social-addict2562 final-project social-addict
2562 final-project social-addict
 
2560 project โครงงาน20
2560 project โครงงาน202560 project โครงงาน20
2560 project โครงงาน20
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
 
โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
 
2562 final-project
2562 final-project2562 final-project
2562 final-project
 

Similar to 2561 project 03

Similar to 2561 project 03 (20)

หน่อไม้ฝรั่ง
หน่อไม้ฝรั่งหน่อไม้ฝรั่ง
หน่อไม้ฝรั่ง
 
Aaaaaaaaaaa
AaaaaaaaaaaAaaaaaaaaaa
Aaaaaaaaaaa
 
รักษาโรคมะเร็ง
รักษาโรคมะเร็งรักษาโรคมะเร็ง
รักษาโรคมะเร็ง
 
Do you-know-green-tea
Do you-know-green-teaDo you-know-green-tea
Do you-know-green-tea
 
Work1
Work1Work1
Work1
 
2562 final-project 03
2562 final-project 032562 final-project 03
2562 final-project 03
 
2558 project-มิ้น
2558 project-มิ้น2558 project-มิ้น
2558 project-มิ้น
 
2560 project
2560 project2560 project
2560 project
 
2561 project-chichayu
2561 project-chichayu2561 project-chichayu
2561 project-chichayu
 
Vegetarian food
Vegetarian foodVegetarian food
Vegetarian food
 
2560 project
2560 project2560 project
2560 project
 
Achi
AchiAchi
Achi
 
เค้าโครงร่างคู่คอม
เค้าโครงร่างคู่คอมเค้าโครงร่างคู่คอม
เค้าโครงร่างคู่คอม
 
โครงร่าง โครงงานน้ำผัก
โครงร่าง โครงงานน้ำผักโครงร่าง โครงงานน้ำผัก
โครงร่าง โครงงานน้ำผัก
 
Project1
Project1Project1
Project1
 
2557 โครงงาน
2557 โครงงาน2557 โครงงาน
2557 โครงงาน
 
The massage with herb for health
The massage with herb for healthThe massage with herb for health
The massage with herb for health
 
RUN FOR HEALTH
RUN FOR HEALTHRUN FOR HEALTH
RUN FOR HEALTH
 
Lower belly reduce disease
Lower belly reduce diseaseLower belly reduce disease
Lower belly reduce disease
 
2558 project
2558 project 2558 project
2558 project
 

2561 project 03

  • 1. 1 แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5- 6 ปีการศึกษา 2561 ชื่อโครงงาน วิตามินมีโทษหรือไม่ ชื่อผู้ทาโครงงาน 1นางสาว ธนัชพร เชื้อนาม เลขที่3 ชั้น 6ห้อง7 ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์ ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานร่วม (ถ้ามี)- ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
  • 2. 2 ใบงาน การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์ สมาชิกในกลุ่ม .…… 1ธนัชพร เชื้อนาม เลขที่……… 2…………………………………เลขที่ ………. 3………………………………….. เลขที่……… คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้ ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย) วิตามินมีโทษหรือไม่ ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ) Does a vitamin have a penalty? ประเภทโครงงาน โครงงานเพื่อการศึกษา ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสวา ธนัชพร เชื้อนาม ชื่อที่ปรึกษาครู เขื่อนทอง มูลวรรณ์ ชื่อที่ปรึกษาร่วม - ระยะเวลาดาเนินงาน 1เดือน ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน) ในชีวิตประจาวันของเรา วิตามินเป็นสารอินทรีย์ที่ประกอบอยู่ในร่างกายของคนไม่มากแต่ร่างกายนั้นก็ไม่สามารถ ขาดวิตามินได้ เพราะวิตามินเป็นตัวที่ช่วยทาให้ระบบต่างๆภายในร่างกายเกิดความสมดุลและเสริมสร้างการ เจริญเติบโตของร่างกายให้มีสุขภาพที่ดี ที่สาคัญเราไม่สามารถผลิตหรือสังเคราะห์วิตามินเองได้ เราจึงจาเป็นต้อง ได้รับวิตามินจากสารอาหารที่เรารับประทานไปในแต่ละมื้อ หรือการได้รับจากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อทดแทน วิตามินที่ขาดหายไปวิตามินนั้นมีหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดจะให้ประโยชน์และโทษที่แตกต่างกันไป ในปัจจุบันผู้คนส่วน ใหญ่มักนิยมซื้ออาหารเสริมมารับประทานเพราะคิดว่าดีต่อสุขภาพ แต่หากเรารับประทานมากเกินไปวิตามินอาจ ส่งผลเสียต่อร่างกายแทนผลดีของมันได้ เช่น วิตามินเคช่วยให้กระดูกแข็งแรง และบรรเทาอาการรอบเดือนที่มา มากกว่าปกติ แต่ถ้ารับประทานเกินขนาดจะทาให้ท้องร่วงได้เป็นต้น จากข้อมูลที่กล่าวมาจึงเป็นเหตุผลที่ทาให้ ผู้จัดทาตัดสินใจทาโครงงานนี้เพราะไม่เพียงแต่ผู้จัดทาจะได้รับความรู้และยังสามารถเป็นตัวช่วยให้หลายๆคนที่กาลัง ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมมารับประทานอีกด้วย วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ) 1.เพื่อศึกษาประโยชน์และโทษของวิตามิน 2.เพื่อให้ผู้อ่านนาความรู้ที่ได้ไปช่วยในการติดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน) คุณสมบัติของวิตามินแต่ละชนิด ประโยชน์ของวิตามินแต่ละชนิด โทษของวิตามินแต่ละชนิด ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมของวิตามินแต่ละชนิด
  • 3. 3 หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน) วิตามินเอ หรือ เรตินอล จัดเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันหรือน้ามัน ซึ่งภายในร่างกายของเราสามารถเก็บวิตามิน เอได้ ทาให้ไม่จาเป็นต้องรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอทุกวัน โดยแหล่งอาหารที่มีวิตามินเอ ได้แก่ อาหาร จาพวกตับ, บร็อกโคลี, ผักโขม, ฟักทอง, น้ามันตับปลา, แครอท, ไข่, นม, มะละกอ, มะม่วง, ถั่วลันเตา เป็นต้น ประโยชน์ของวิตามินเอ – ช่วยบารุงสายตา ป้องกันภาวะตาแห้ง หรือตาบอด – ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ – ช่วยแก้ปัญหาเรื่องผิวพรรณ ลดจุดด่างดา ทาให้ผิวแข็งแรง – ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก ฟัน และเหงือก – ช่วยบารุงให้ผมมีสุขภาพดี – ช่วยรักษาสิว ริ้วรอยต่างๆ – ช่วยรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษ และโรคถุงลมโป่งพองได้ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ปกติในท้องตลาดทั่วไปมีวางจาหน่ายอยู่ 2 ประเภท คือ ประเภทที่สกัดน้ามันตับปลาตามธรรมชาติ และประเภท กระจายตัวในน้า ที่เหมาะสาหรับคนที่ไม่ควรรับประทานแบบน้ามัน อย่างผู้ที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย ซึ่งขนาดที่ แนะนาให้รับประทานโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 5,000 – 10,000 ไอยู และนอกจากนี้ยังมีกรดวิตามินเอแบบทา หรือ เรียกว่า เรตินเอ ที่ใช้เพื่อการรักษาสิวเป็นหลัก โดยจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่จาเป็นต้องใช้ตามใบสั่งของแพทย์เท่านั้น อันตรายจากการได้รับวิตามินเอมากเกินขนาด – การรับประทานวิตามินเกินวันละ 15,000 ไอยู อย่างต่อเนื่องติดต่อกันทุกวันจะเกิดเป็นพิษต่อตับขึ้น – สาหรับผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หากได้รับวิตามินเอเกินขนาดจะทาให้ทารกที่ออกมาพิการได้ – อาการที่บ่งชี้ว่ากาลังได้รับวิตามินเอเกินขนาด ได้แก่ ผมร่วง, ท้องเสีย, อาเจียน, เป็นผื่น, ปวดศีรษะ, รอบ เดือนมาผิดปกติ, ตับบวมโต, ปวดกระดูก และอ่อนเพลีย เป็นต้น วิตามินบี หรือ วิตามินบีรวม วิตามินบีนั้นมีอยู่หลายชนิด และต่างก็มีประโยชน์และผลข้างเคียงที่ต่างกันออกไป โดย วิตามินบีแต่ละตัวจะทางานเสริมซึ่งกันและกัน ต้องรับประทานร่วมกันจึงจะมีประสิทธิภาพมากกว่าแยกรับประทาน สาหรับชนิดต่าง ๆ ของวิตามินบีรวมนั้นก็ได้แก่ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินบี 7 วิตามินบี 9 วิตามินบี 12 วิตามินบี 15 วิตามินบี 17 วิตามินบี 1 (ไทอะมีน) วิตามินบี 1 หรือ ไทอะมีน มีชื่อเรียกว่า “วิตามินเสริมขวัญและกาลังใจ”เพราะมีส่วนช่วยบารุงประสาท แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ผัก โฮลวีต ถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต ถั่วลิสง ราข้าว เปลือกข้าว เมล็ดที่ไม่ผ่านการขัดสี บริเวอร์ยีสต์ นม ไข่แดง ปลา เนื้อออร์แกนิก เนื้อหมูไม่ติดมัน ปริมาณที่แนะนาให้รับประทานต่อวันสาหรับผู้ใหญ่คือ 1 – 1.5 มิลลิกรัม ผลเสียของการรับประทานเกินขนาดยังไม่พบว่ามีอาการเป็นพิษ หากรับประทานเกินขนาดก็จะถูกขับออก ทางปัสสาวะและไม่มีการสะสมแต่อย่างใด แต่หากมีอาการ (ซึ่งพบได้น้อยมาก ๆ หรือแทบไม่เกิดเลย) ก็คือ สั่น โรคเริมกาเริบ ตัวบวม กระวนกระวาย หัวใจเต้นเร็ว และภูมิแพ้ ประโยชน์ของวิตามินบี1 1. ช่วยบารุงประสาท กล้ามเนื้อ ทาให้หัวใจทางานเป็นปกติ 2. ช่วยบารุงสมอง ความคิด สติปัญญาให้ดีขึ้น 3. ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโต 4. ช่วยย่อยอาหารจาพวกแป้งได้ดี
  • 4. 4 5. ช่วยบรรเทาอาการเมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบิน 6. ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหลังการผ่าตัดทาฟัน 7. ช่วยรักษาโรคงูสวัด 8. ช่วยรักษาโรคเหน็บชา วิตามินบี 2 (ไรโบฟลาวิน) วิตามินบี 2 หรือ ไรโบฟลาวิน มีอีกชื่อว่า วิตามินจี (Vitamin G) แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ไข่ นม ถั่ว โยเกิร์ต ชีส ผักใบเขียว ปลา ตับ ไต ปริมาณที่แนะนาให้รับประทานต่อวันสาหรับผู้ใหญ่คือ 1.2 – 1.7 มิลลิกรัม แต่ขนาดที่ใช้รับประทานต่อวัน โดยทั่วไปคือ 100-300 mg. ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด ยังไม่พบอาการที่บ่งชี้ว่าเป็นพิษที่เกิดจากการรับประทานวิตามินชนิดนี้ แต่มีความเป็นไปได้ว่าหากในร่างกายมีวิตามินชนิดนี้สูงเกินไปก็คือ คัน รู้สึกชา อาการแสบยิบ ๆ โรคจากการขาดวิตามินบีชนิดนี้ ได้แก่ โรคปากนกกระจอก หรือโรคขาดวิตามินบี 1 และบี 2 พบที่บริเวณริม ฝีปาก มุมปาก ผิวหนัง อวัยวะสืบพันธุ์ ประโยชน์ของวิตามินบี 2 1. บารุงผิวพรรณ เล็บ และเส้นผม 2. ช่วยในกระบวนการสร้างการเจริญเติบโตและสืบพันธุ์ 3. เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น ช่วยบรรเทาอาการอ่อนล้าของสายตา 4. ช่วยลดความเจ็บปวดจากไมเกรน 5. กาจัดอาการเจ็บแสบในปาก ริมฝีปาก และลิ้น 6. ทางานร่วมกับสารอื่น ๆ ในการเผาผลาญอาหารประเภทแป้ง ไขมัน และโปรตีน วิตามินบี 3 (ไนอะซิน) วิตามินบี 3 หรือ ไนอะซิน สาหรับชื่ออื่น ๆ ได้แก่ ไนอะซินาไมด์, กรดนิโคตินิก, นิโคตินาไมด์ แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ไข่ ปลา เนื้อไม่ติดมัน เนื้อขาวจากพวกสัตว์ปีก ตับ โฮลวีต จมูกข้าวสาลี ถั่วลิสง อะ โวคาโด อินทผลัม ลูกพรุน มะเดื่อฝรั่ง บริเวอร์ยีสต์ ปริมาณที่แนะนาให้คุณรับประทานต่อวันคือ 13-19 มิลลิกรัม โรคจากการขาดวิตามินบีชนิดนี้ ได้แก่ โรคเพลลากรา (Pellagra) ลักษณะอาการคือเป็นผื่นผิวหนังอักเสบ รุนแรง ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด 1. อาจมีแนวโน้มเป็นโรคเกาต์หรือมีอาการปวดตามข้อได้ หากในร่างกายคุณมีไนอะซินมากเกินไป 2. ผลข้างเคียงอาจมีอาการร้อนวูบวาบ หน้าแดง คันตามตัว เมื่อรับประทานเกินกว่า 100 mg. 3. ไม่ควรให้สัตว์กินไนอะซิน โดยเฉพาะสุนัข เพราะอาจมีอาการเหงื่อออก ร้อนวูบวาบตามตัว และสร้าง ความอึดอัดแก่สัตว์เลี้ยงได้ 4. ทาให้ผู้ที่มีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวานมีปัญหาต่อการควบคุมน้าตาลในเลือด หรือส่งผลให้อาการของ โรคเบาหวานรุนแรงขึ้นได้และอาจทาให้ตับทางานผิดปกติได้ เพราะไนอะซินในร่างกายที่มีสูงมากเกินไปจะ ส่งผลต่อการควบคุมน้าตาลในร่างกาย ประโยชน์ของวิตามินบี 3 1. ช่วยบารุงผิวพรรณ 2. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ 3. ช่วยเผาผลาญไขมันและช่วยให้ระบบย่อยอาหารทางานได้ดีขึ้น บรรเทาปัญหาต่าง ๆ ของระบบย่อย อาหาร
  • 5. 5 4. บรรเทาอาการปวดศีระษะจากไมเกรน 5. ลดอาการวิงเวียนศีรษะของโรคน้าในหูไม่เท่ากัน 6. เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ช่วยลดความดันโลหิต 7. ช่วยรักษาอาการร้อนในและกลิ่นปาก 8. บรรเทาอาการท้องร่วง 9. ช่วยเพิ่มพลังงานที่ได้จากการย่อยและเผาผลาญอาหาร วิตามินบี 5 (กรดแพนโทเทนิก) แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ เนื้อสัตว์ ไก่ ตับ ไต หัวใจ ธัญพืชไม่ขัดสี ราข้าว จมูกข้าวสาลี ถั่ว ผักสีเขียว กากน้าตาลไม่บริสุทธิ์ บริเวอร์ยีสต์ ขนาดที่แนะนาให้รับประทานสาหรับผู้ใหญ่คือ 10 mg. ต่อวัน โรคจากการขาดวิตามินบี 5 ได้แก่ โรคไฮโปไกลซีเมีย (Hypoglycemia) หรือภาวะน้าตาลในเลือดต่า เป็น แผลในลาไส้เล็ก โรคเลือด โรคผิวหนัง ประโยชน์ของวิตามินบี 5 1. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ 2. ช่วยลดอาการข้างเคียงจากการใช้ยาปฏิชีวนะ 3. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย 4. ช่วยในกระบวนการรักษาแผล 5. ช่วยรักษาอาการช็อกหลังการผ่าตัด 6. ช่วยป้องกันการอ่อนเพลียของร่างกาย 7. ช่วยลดความเจ็บปวดจากโรคข้ออักเสบในผู้ป่วยบางรายได้ 8. ช่วยรักษาอาการเหน็บชาที่มือและเท้า 9. ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย วิตามินบี 6 (ไพริด็อกซิน) วิตามินบี 6 หรือ ไพริด็อกซิน เป็นคาที่ใช้เรียกรวมกันของกลุ่มสารที่มีโครงสร้างคล้ายกันและทางานร่วมกัน ซึ่งประกอบไปด้วย ไพริด็อกซิน ไพริด็อกซาล และไพริด็อกซามีน แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ บริเวอร์ยีสต์ ราข้าว จมูกข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี ถั่วลิสง ถั่วเหลือง วอลนัต กะหล่าปลี กากน้าตาล แคนตาลูป ไข่ ตับ ปลา ขนาดที่แนะนาให้รับประทานต่อวันคือ 1.6 – 2 mg. ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด อาจเกิดอาการกระสับกระส่ายในเวลานอน ฝันเหมือนจริงเกินไป เท้า ชาและมีอาการกระตุก สาหรับผู้ที่รับประทานขนาด 2,000 – 10,000 mg. ทุกวันอาจทาให้เกิดปัญหาต่อ ระบบประสาทได้ ขอแนะนาว่าควรรับประทานขนาดไม่เกิน 500 mg. ต่อวันจะปลอดภัยกว่า โรคจากการขาดวิตามินบี 6 โรคโลหิตจาง ผื่นผิวหนังอักเสบจากต่อมไขมัน ประโยชน์ของวิตามินบี 6 1. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรง 2. ช่วยชะลอวัยได้ 3. ช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในไต 4. ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ 5. ทาให้ร่างกายดูดซึมโปรตีนและไขมันได้ดียิ่งขึ้น 6. ช่วยเปลี่ยนรูปของทริปโตเฟน ให้เป็นวิตามินบี 3 7. ช่วยป้องกันโรคทางประสาทและโรคผิวหนังหลายชนิด
  • 6. 6 8. ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน 9. เป็นยาขับปัสสาวะตามธรรมชาติ 10. ลดอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งในเวลากลางคืน มือชา ขาเป็นตะคริว และปลายประสาทที่แขนขาอักเสบ บางชนิด 11. ช่วยลดอาการปากแห้งและปัญหาด้านการปัสสาวะที่เกิดจากการรับประทานยาต้านอาการซึมเศร้าใน กลุ่มไตรไซคลิก วิตามินบี 7 (ไบโอติน) วิตามินบี 7 (Biotin) หรือ วิตามินเอช เป็นวิตามินที่ละลายในน้า ซึ่งมีซัลเฟอร์เป็นส่วนประกอบและจัดอยู่ ในกลุ่มวิตามินบีรวม แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ตับวัว ไข่แดง นม แป้งถั่วเหลือง เนย ถั่วลิสง บริเวอร์ยีสต์ ข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี ขนาดที่แนะนาให้รับประทานต่อวันคือ 100 – 300 mcg. โรคจากการขาดไบโอติน ผมร่วง ซึมเศร้า เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย หมดเรี่ยวแรง การเผาผลาญไขมันทางานไม่ สมบูรณ์ เป็นผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณหน้าและตัว แต่ทั้งนี้ยังไม่พบผู้ที่มีอาการเป็นพิษจากการรับประทานไบ โอตินเกินขนาดติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ประโยชน์ของไบโอติน 1. ช่วยป้องกันผมหงอกได้ดี 2. ช่วยป้องกันและรักษาโรคเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะล้าน 3. ช่วยป้องกันและบารุงรักษาเล็บที่แห้งเปราะ 4. ช่วยในการเผาผลาญไขมันและโปรตีน 5. บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ 6. ช่วยบรรเทาอาการผื่นผิวหนังอักเสบ ผดผื่นคันต่าง ๆ วิตามินบี 9 (กรดโฟลิก) วิตามินบี 9 หรือ กรดโฟลิก (โฟเลต,โฟลาซิน) หรือรู้จักกันในชื่อ วิตามินเอ็มหรือวิตามินบีซี (BC) แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ไข่แดง ตับ ผักใบเขียวเข้ม แคร์รอต แคนตาลูป ฟักทอง เอพริคอต อะโวคาโด อาร์ ทิโชก ถั่ว แป้งไรย์แบบสีเข้มที่ไม่ผ่านการขัดสี ทอร์ทูลายีสต์ ขนาดที่แนะนาให้รับประทานคือประมาณ 180 – 200 mcg. ต่อวัน ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด ปัจจุบันยังไม่พบว่ามีอาการที่เป็นพิษต่อร่างกายหากรับประทานใน ปริมาณมากติดต่อกัน แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการผื่นแพ้ได้บ้าง และหากร่างกายมีกรดโฟลิกมากเกินไป อาจทาให้เป็นโรคโลหิตจางจากการขาดวิตามินบี 12 แต่ไม่แสดงออกมา โรคจากการขาดวิตามินบี 9 โรคโลหิตจางแบบแมโครไซติกหรือเม็ดเลือดแดงมีขนาดใหญ่ผิดปกติ ประโยชน์ของวิตามินบี 9 1. ช่วยบารุงผิวพรรณและสุขภาพ 2. ช่วยแก้ปัญหาสีผิวไม่สม่าเสมอได้ 3. ช่วยชะลอให้ผมขาวช้าลง หากรับประทานร่วมกับพาบา และวิตามินบี5 4. ช่วยให้เจริญอาหาร หากร่างกายอ่อนเพลีย 5. ช่วยป้องกันแผลร้อนในได้ 6. ช่วยรักษาภาวะซีดหรือโลหิตจาง 7. ทางานออกฤทธิ์คล้ายยาแก้ปวด 8. ช่วยป้องกันพยาธิในลาไส้และอาการแพ้จากอาหารเป็นพิษ 9. ช่วยป้องกันการพิการของเด็กทารกแรกเกิด
  • 7. 7 10. ช่วยในการสร้างน้านมของมารดาหลังคลอดบุตร 11. ช่วยลดระดับของกรดอะมิโนโฮโมซิสเทอีนในเลือด 12. ชวยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ วิตามินบี 12 (โคบาลามิน) วิตามินบี 12 หรือ โคบาลามิน (Cobalamin) มีอีกชื่อที่รู้กันดีคือ วิตามินแดงหรือไซยาโนโคบาลามิน (Cyanocobalamin) แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ เนื้อสัตว์เป็นหลัก ตับ ไต นม ไข่แดง ชีส ปลา เนื้อหมู เนื้อวัว อาหารหมักดอง เป็น ต้น ขนาดที่แนะนาให้รับประทานต่อวันสาหรับผู้ใหญ่คือ 2 ไมโครกรัม หากร่างกายขาดวิตามินบี 12 อาจทาให้เกิด โรคโลหิตจางและโรคเกี่ยวกับระบบประสาทได้ ประโยชน์ของวิตามินบี12 1. ช่วยบารุงประสาททาให้ระบบประสาทแข็งแรงขึ้น 2. ช่วยเพิ่มสมาธิ ความจา และการทรงตัว 3. ช่วยบรรเทาอาการหงุดหงิด ลดความเครียด 4. ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตและเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย 5. ช่วยทาให้เด็กเจริญอาหาร 6. ทาให้ร่างกายสามารถใช้ไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตได้อย่างเหมาะสม 7. มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ 8. ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง 9. ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งจากการสูบบุหรี่ 10. ปริมาณ 80 ไมโครกรัมต่อวันจะช่วยเสริมสร้างความแข็งของกระดูกและช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูก พรุนได้ วิตามินบี 15 (กรดแพงเกมิก) แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ข้าวกล้อง เมล็ดฟักทอง เมล็ดงา เมล็ดธัญพืชไม่ขัดสี บริเวอร์ยีสต์ ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด ยังไม่พบว่าหากรับประทานในปริมาณมากจะมีอาการเป็นพิษต่ร่างกาย แต่อาจมีอาการคลื่นไส้ในช่วงแรก ๆ ที่เริ่มรับประทานวิตามินบี 15 แต่อาการมักจะหายไปได้เองภายในไม่กี่ วัน และอาจจะบรรเทาอาการโดยเริ่มต้นรับประทานวิตามินบี 15 หลังมื้ออาหารที่หนักที่สุดของวัน โรคที่พบจากการขาดวิตามินบี15 เนื่องจากวิตามินตัวนี้ยังมีงานวิจัยค่อนข้างน้อยและจากัด แต่มีความเป็นไป ได้ว่าการขาดวิตามินบี 15 จะทาให้เกิดความผิดปกติของต่อมและเส้นประสาท โรคหัวใจ สภาวะที่ออกซิเจน ไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่าง ๆได้น้อยลง ประโยชน์ของวิตามินบี15 1. ช่วยเพิ่มการตอบสนองภูมิคุ้มกันของร่างกาย 2. ช่วยในการสังเคราะห์โปรตีน 3. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด 4. ช่วยบรรเทาอาการอยากดื่มสุรา 5. ช่วยรักษาอาการเมาค้าง 6. ช่วยปกป้องตับจากภาวะตับแข็ง 7. เร่งการฟื้นตัวจากความอ่อนเพลีย 8. ช่วยป้องกันอันตรายจากมลพิษต่าง ๆ
  • 8. 8 9. สามารถยืดอายุของเซลล์ในหลอดทดลองได้ 10. ช่วยบรรเทาอาการเจ็บหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและโรคหืด วิตามินบี 17 (อะมิกดาลิน) วิตามินบี 17 หรือ อะมิกดาลิน (Amygdalin) หรือ เลไทรล์ (Laetrile) แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ เมล็ดพืชโดยเฉพาะเมล็ดเอพริคอต และยังมีเมล็ดอื่น ๆ อีก เช่น เมล็ดแตงโม เมล็ด พลับ เมล็ดถั่วอัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน ข้าว ถั่ว รวมไปถึงถั่วแมคาเดเมีย การได้รับวิตามินชนิดนี้ในปริมาณที่มากเกินไปอาจจะทาให้ตัวเย็น เหงื่อออก ปวดศีรษะ คลื่นไส้ มีอาการง่วง ซึม หายใจติดขัด ริมฝีปากเขียว ความดันต่า เชื่อกันว่าวิตามินชนิดนี้สามารถช่วยรักษาโรคมะเร็งได้ (แต่ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่มากและยังไม่เป็นที่ยอมรับ) วิตามินชนิดนี้สามารถช่วยป้องกันความเสื่อมทางสมองได้ และสามารถช่วยทาให้ผู้ที่ร่างกายอ่อนแอกลับมามี สุขภาพร่างกายแข็งแรงเหมือนเดิมและสุขภาพจิตก็ดีขึ้น วิตามินซีหรือ กรดแอสคอร์บิก จัดเป็นวิตามินที่ละลายในน้า และจะสลายตัวได้อย่างรวดเร็วเมื่อถูกแสง หรือ ความร้อน ซึ่งวิตามินซีจัดเป็นวิตามินที่สาคัญต่อร่างกายอย่างยิ่งเพราะเรียกได้ว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มี ประสิทธิภาพสูงมากๆ โดยในสัตว์ส่วนใหญ่นั้นจะสามารถสังเคราะห์วิตามินซีขึ้นได้เอง แต่ในมนุษย์ หนูตะเภา และลิง จาเป็นต้องได้รับจากการรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีเข้าไป โดยแหล่งอาหารที่มีวิตามินซีอยู่ ได้แก่ ผลไม้รสเปรี้ยวทั้งหลาย, มะเขือเทศ, ส้ม, มันฝรั่ง, ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ทั้งหลาย, แคนตาลูป, พริกไทย, ดอก กะหล่าเป็นต้น ประโยชน์ของวิตามินซี – ช่วยเสริมสร้างเส้นใยคอลลาเจนให้แก่เซลล์ต่างๆ ในร่างกาย – ช่วยป้องกันโรคหวัด – ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย – ช่วยให้ผิวพรรณดีสดใส เปล่งปลั่ง – ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่างๆ – ช่วยลดความดันโลหิต – ช่วยป้องกันอาการเลือดออกตามไรฟัน – ช่วยเพิ่มการดูดซึมของธาตุเหล็กภายในร่างกาย – ช่วยรักษาแผลสด หรือแผลจากไฟไหม้ได้ – ช่วยสมานแผลให้หายเร็วขึ้น – ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด – ช่วยยาที่ใช้ส าหรับการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะมีประสิทธิภาพมากขึ้น – ช่วยต้านทานอนุมูลอิสระได้ดีมาก – ช่วยป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อจากแบคทีเรียและไวรัสหลายชนิด – ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอภายในร่างกาย – ช่วยสร้างเม็ดเลือดขาว – ช่วยต้านทานอาการภูมิแพ้ – ช่วยป้องกันการเกิดโรคเกาต์ – ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
  • 9. 9 ในท้องตลาดทั่วไปเรียกได้ว่าเป็นวิตามินที่มีจาหน่ายแพร่หลายมากที่สุดชนิดหนึ่ง นิยมรับประทานกันมาก มีทั้งใน รูปแบบของแคปซูล อัดเม็ด ลูกอม แบบผง และน้าเชื่อม เป็นต้น โดยขนาดที่แนะนาให้รับประทานต่อวันจะอยู่ที่ 500 มิลลิกรัม ถึงประมาณ 4 กรัมต่อวัน และไม่ควรรับประทานขณะท้องว่างเนื่องจากมีกรด ควรรับประทานหลัง อาหารทันที หรือพร้อมอาหาร และห้ามอมไว้ในปากเพราะจะกัดกร่อนฟัน ทาให้เกิดแผลภายในช่องปากได้ อันตรายจากการได้รับวิตามินซีมากเกินขนาด การรับประทานวิตามินซีมากเกินขนาดอาจก่อให้เกิดโรคนิ่วจากกรมออกซาลิกและกรดยูริกได้และอาจมีอาการ ปัสสาวะบ่อย, ท้องร่วง, ปวดศีรษะ หรือเป็นผื่นตามผิวหนัง เป็นต้น ฉะนั้นควรรับประทานวิตามินซีในปริมาณที่ เพียงพอต่อร่างกาย วิตามินดีหรือ แคลซิเฟอรอล หรือ วิตามินแดด จัดเป็นวิตามินที่ละลายในน้ามัน โดยร่างกายของเราจะได้รับ วิตามินชนิดนี้จากการได้รับแสงแดด หรืออาหารที่รับประทานเข้าไป โดยแหล่งอาหารที่มีวิตามินดีอยู่ ได้แก่ นม, เนย, ปลา, เมล็ดธัญพืชต่างๆ, ไข่แดง, ตับ เป็นต้น ประโยชน์ของวิตามินดี – ช่วยในเรื่องการดูดซึมของวิตามินเอ – ช่วยเสริมสร้างฟอสฟอรัสและแคลเซียม ที่เป็นส่วนสาคัญต่อการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน – ช่วยแก้ภาวะเยื่อบุตาอักเสบ – ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลาไส้ – ช่วยแก้โรคหวัดได้หากรับประทานร่วมกับวิตามินเอและซี – ช่วยป้องกันภาวะการเกิดโรคกระดูกพรุน ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม สาหรับวิตามินดีที่เป็นอาหารเสริม มีขนาดที่แนะนาให้รับประทานคือ 5 – 10 ไมโครกรัม สาหรับในผู้ใหญ่ โดยใน ท้องตลาดทั่วไปมีวางจาหน่ายทั้งแบบแคปซูลและแบบเม็ด ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนซื้อมารับประทาน อันตรายจากการได้รับวิตามินดีมากเกินขนาด การรับประทานวิตามินดีมากเกินขนาดอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายขึ้น ได้ โดยมีอาการต่างๆ เช่น คันตามบริเวณผิวหนัง, มีอาการท้องร่วง, เจ็บบริเวณดวงตา, กลั้นปัสสาวะไม่อยู่, อาเจียน หรือมีหินปูนแคลเซียมสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือด ปอด กระเพาะอาหาร หรือตับ และไตได้ วิตามินอีหรือ ไทโคฟีรอล หรือ ไทโคไทรอีนอล จัดเป็นวิตามินที่ละลายในน้ามันหรือไขมัน เมื่อรับประทานเข้าไป จะถูกเก็บสะสมตามเนื้อเยื่อไขมัน, เลือด, ต่อมหมวกไต, ต่อมใต้สมอง, หัวใจ, มดลูก และกล้ามเนื้ออัณฑะ โดย แหล่งอาหารส าคัญที่มีวิตามินอีอยู่ ได้แก่ อะโวคาโด, พืชผักใบเขียว, เมล็ดธัญพืชต่างๆ, เนื้อสัตว์, ข้าวโพด, ไข่ แดง เป็นต้น ประโยชน์ของวิตามินอี – ช่วยคงความอ่อนเยาว์ให้แก่ใบหน้าและผิวพรรณ ดูอ่อนกว่าวัย – ช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์เนื้อเยื่อต่างๆ – ช่วยป้องกันและละลายลิ่มเลือดในร่างกาย – ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ ได้หลากหลายชนิด – ช่วยเพิ่มออกซิเจนให้แก่ร่างกาย – ช่วยให้ปอดแข็งแรง – ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งบริเวณเต้านม – ช่วยปกป้องร่างกาย ป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี – ช่วยป้องกันการเกิดโรคต้อกระจกตา – ช่วยให้ร่างกายสดชื่น ไม่อ่อนเพลีย
  • 10. 10 – ช่วยสมานแผลไหม้บริเวณผิวหนังให้หายได้เร็วขึ้น – ช่วยป้องกันการเกิดแผลเป็นที่หนาและนูนขึ้น – ช่วยบรรเทาอาการขาตึงหรือเกิดตะคริว – ช่วยลดความเสี่ยงหรือความรุนแรงของโรคสมองเสื่อม หรือภาวะอัลไซเมอร์ – ช่วยลดอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด – ช่วยป้องกันภาวการณ์เกิดโรคอัมพาต หรืออัมพฤกษ์ – ช่วยลดความดันโลหิต – ช่วยป้องกันภาวะการแท้ง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม สาหรับวิตามินอีนั้นในท้องตลาดทั่วไปมีจาหน่ายทั้งในรูปแบบของน้ามันชนิดแคปซูล และแบบอัดเม็ดที่ละลายน้า ตั้งแต่ 100 – 1,500 ไอยู โดยมีขนาดที่แนะนาให้รับประทานทั่วไปอยู่ที่ 200 – 1,200 ไอยูต่อวัน อันตรายจากการได้รับวิตามินอีมากเกินขนาด การรับประทานวิตามินอีมากเกินขนาดอาจทาให้เกิดอาการคลื่นไส้ ปวดท้องขึ้นได้ โดยเฉพาะผู้ที่รับประทานยา ต้านการแข็งตัวของเลือดไม่ควรรับประทานวิตามินนี้สูงเกินไป เนื่องจากจะทาให้เลือดหยุดไหลยาก และห้ามใช้ ในผู้ที่ขาดวิตามินเค เพราะจะส่งผลให้เลือดหยุดไหลได้ยากเช่นเดียวกัน วิตามินเค หรือ แอลฟาฟิลโลควิโนน จัดเป็นวิตามินที่ละลายในน้ามัน โดยวิตามินเคนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด คือ วิตามินเค 1 ที่พบได้มากในพืชผักใบเขียว, กีวี และอะโวคาโด วิตามินเค 2 เป็นประเภทที่สามารถสร้างขึ้นได้โดยแบคทีเรียกลุ่มโพรโบติกในลาไส้ใหญ่ของเรา และพบมากใน อาหารประเภทเนื้อ, นม, ไข่, ถั่วหมักญี่ปุ่น วิตามินเค 3 จัดเป็นวิตามินสังเคราะห์ อยู่ในรูปที่ละลายน้า เป็นวิตามินที่มีพิษ ซึ่งเป็นวิตามินที่ห้ามไม่ให้นามา ผลิตเป็นอาหารเสริม เพราะมีอันตรายและส่งผลให้เกิดอาการแพ้ ประโยชน์ของวิตามินเค – ช่วยบรรเทาภาวะอาการรอบเดือนที่มามากผิดปกติ – ช่วยป้องกันภาวะเลือดออกภายในร่างกาย หรือเลือดไหลไม่หยุด – ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ไม่เปราะบาง – ช่วยในการสร้างลิ่มเลือดภายในร่างกาย ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม สาหรับวิตามินเคในท้องตลาดทั่วไปมีจาหน่ายแบบเม็ด 100 ไมโครกรัม โดยอาจมีผสมอยู่ในวิตามินรวมทั่วๆ ไป โดยปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายในเด็กทารกคือ 10 – 20 ไมโคกรัม ส่วนในเด็กเล็กจะอยู่ที่ 15 – 100 ไมโคกรัม และในผู้หญิงจะอยู่ที่ 90 ไมโครกรัม ส่วนในผู้ชายจะอยู่ที่ 120 ไมโครกรัม อันตรายจากการได้รับวิตามินเคมากเกินขนาด การรับประทานวิตามินเคมากเกินขนาดจะส่งผลเสียต่อร่างกายโดยอาจมีอาการท้องร่วงอย่างหนัก ซึ่งก่อนซื้อมา รับประทานควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง เพราะแม้ว่าวิตามินเคนั้นจะมีความแตกต่างจากวิตามินที่ละลายในไขมัน ประเภทอื่นคือจะไม่สะสมในร่างกายเหมือนชนิดอื่นก็ตาม แต่วิตามินเคสังเคราะห์ก็จัดเป็นวิตามินที่อันตรายหาก รับประทานมากเกินขนาด หรือไม่ตรงกับความต้องการของร่างกายนั่นเอง วิธีดาเนินงาน แนวทางการดาเนินงาน 1.คิดหัวข้อโครงงาน 2.หาข้อมูล
  • 11. 11 3.จัดทาโครงร่างเพื่อนาเสนอ 4.ทาโครงงาน 5.นาเสนอโครงงานผ่าน powerpoint เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ 1.อินเทอร์เน็ต 2.โปรแกรม powerpoint งบประมาณ - ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน ลาดับ ที่ ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 1 0 1 1 12 1 3 1 4 1 5 16 17 1 คิดหัวข้อโครงงาน 2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล 3 จัดทาโครงร่างงาน 4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน 5 ปรับปรุงทดสอบ 6 การทาเอกสารรายงาน 7 ประเมินผลงาน 8 นาเสนอโครงงาน ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน) ได้เพิ่มความรู้ในเรื่องของประโยชน์ของวิตามินแต่ละตัวคุณสมบัติของวิตามินและได้ทราบถึงโทษที่เราสามารถได้รับ จากวิตามินหากรับประทานไม่ถูกวิถีหรือรับประทานโดยไม่ได้รับคาแนะนาและเป็นแนวทางในแก่ผู้ที่ต้องการศึกษา เกี่ยวกับเรื่องนี้ สถานที่ดาเนินการ บ้าน กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง กลุ่มสาระสุขศึกษา แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน) https://medthai.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E 0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1/ https://www.honestdocs.co/vitamin-c-essential-oils https://medthai.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99 %E0%B9%80%E0%B8%84/ http://www.laservisionthai.com/health- corner/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C