เรื่อง กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
รายวิชาชีววิทยาเพิ่มเติม 3
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559
คุณครูฐิตารีย์ สาเภา
โรงเรียนท่ามะกาวิทยาคม
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 8 (กาญจนบุรี-ราชบุรี)
สืบค้นข้อมูล อธิบายและสรุปขั้นตอนที่สาคัญของกระบวนการสังเคราะห์
ด้วยแสง
ทดลองและสรุปความสามารถในการดูดกลืนแสงของสารสีชนิดต่างๆ
จุดประสงค์การเรียนรู้
เซลล์สาหร่ายหางกระรอก เซลล์เยื่อหอม
คาถาม : เราสามารถพบคลอโรพลาสต์ได้ที่ไหน และคลอโรพลาสต์มีหน้าที่อะไร
โครงสร้างภายในของใบ
 ภายในเซลล์พืชสีเขียวมีคลอโรพลาสต์
แหล่งที่เกิดการสังเคราะห์ด้วยแสง
โครงสร้างของ CHLOROPLAST
Stroma lamella
 เยื่อหุ้มชั้นนอก (outer membrane): เรียบ ประกอบด้วย Phospholipid และ
Protein หน้าที่ควบคุมการผ่านของสารใน cytoplasm กับ Chloroplast
 เยื่อหุ้มชั้นใน (inner membrane): เยื่อหุ้มชั้นถัดเข้ามาจากเยื่อหุ้มชั้นนอก
 ไทลาคอยด์ (Thylakoid): เนื้อเยื่อส่วนที่พับเหมือนเป็นถุงที่มีลักษณะแบนซ้อนทับ
กันเป็นชั้น ภายในมีช่องที่เรียกว่า lumen ซึ่งมีของเหลวและรงควัตถุต่างๆ บรรจุ
อยู่
 กรานุม (Granum): ส่วนของไทลาคอยด์ที่มีลักษณะคล้ายเหรียญซ้อนทับกันเป็น
ชั้นๆ
 สโตรมา (Stroma): ของเหลวภายในคลอโรพลาสต์ ประกอบด้วยเอนไซม์ต่างๆ ที่
จาเป็นสาหรับการสังเคราะห์ด้วยแสง
 สโตรมาลาเมนลา (Stroma lamella): เนื้อเยื่อไทลาคอยด์ส่วนที่ไม่ได้ทับซ้อนกันซึ่ง
อยู่ระหว่างกรานุม
โครงสร้างของ CHLOROPLAST
มีคลอโรฟิลล์ และสารสีอื่นๆ ติด
อยู่
กลุ่มของสารสีระบบแสง I (P700)
และระบบแสง II (P680)
แกรนูล : รับพลังงานแสงทาให้
อิเล็กตรอนมีพลังงานสูงขึ้น เป็นที่
อยู่ของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการ
ถ่ายทอด e- ในปฏิกิริยาใช้แสง
ไทลาคอยด์ (THYLAKOID):
มีเอนไซม์ที่จาเป็นสาหรับการสังเคราะห์ด้วยแสง
มี DNA RNA และไรโบโซมทาให้คลอโรพลาสต์จาลองตัวเอง และผลิต
โปรตีนที่เป็นเอนไซม์ที่ใช้การสังเคราะห์ด้วยแสง
สโตรมา (STROMA):
 ทดลองสกัดคลอโรฟิลล์และแคโทนอยด์จากใบพืชแล้วผ่านแสงแต่ละสีเข้าไป จากนั้น
วัดปริมาณแสงที่คลอโรฟิลล์ และแคโรทีนอยด์ดูดกลืนไว้
สารสีในปฏิกิริยาแสง
 คลอโรฟิลล์เอ คลอโรฟิลล์บี และแคโรที
นอยด์ พบในใบพืชและสามารถดูดกลืน
แสงในช่วงความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน
 คลอโรฟิลล์เอ ดูดกลืนแสงได้ 2 ช่วง คือ
ช่วงความยาวคลื่น 450 และ 680 nm แต่
ไม่ดูดกลืนแสงในช่วงความยาวคลื่น 500-
600 nm
 คลอโรฟิลล์บี และแคโรทีนอยด์ ดูดกลืน
แสงได้ในช่วงความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน
การทดลองวัดอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
ช่วงความยาวคลื่น 500-600 nm สารสี 3 ชนิดไม่มีการดูดกลืน
แสง แต่พบว่ามีการสังเคราะห์ด้วยแสง แสดงให้เห็นว่าในพืชอาจ
มีสารสีชนิดอื่นที่สามารถดูดกลืนแสงและเกิดการสังเคราะห์ด้วย
แสงได้
เปรียบเทียบกราฟ
 อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงเกิดขึ้นได้มากในช่วงที่สารสีชนิดต่างๆ ดูดกลืนแสงได้มาก
แสดงว่าการดูดกลืนแสงของสารสีชนิดต่างๆ น่าจะเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ด้วยแสง
สารสีที่พบในสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ
 Chlorophyll
 Carotenoid
 Phycobilin
 Bacteriochlorophyll
สารสีในปฏิกิริยาแสง
 สารสีเขียว
 พบในพืช สาหร่าย และไซยาโนแบคทีเรีย
 ทาให้พืชสามารถนาพลังงานแสงมาใช้ในกระบวนการ
สังเคราะห์แสงได้
 ดูดกลืนแสงสีน้าเงินและแสงสีแดงได้ดี
 Chlorophyll a : สีเขียวแกมน้าเงิน พบในพืช และ
สาหร่ายทุกชนิด ดูดกลืนแสงสีม่วงและน้าเงินได้ดีที่สุด
รองลงมาคือสีแดง และดูดกลืนแสงสีเขียวได้น้อยที่สุด
 Chlorophyll b : สีเขียวแกมเหลือง พบในพืช
สาหร่าย ยูกลีนา ดูดกลืนแสงสีน้าเงินได้ดีที่สุด รองลงมา
คือ แสงสีส้ม ดูดกลืนแสงสีเขียวได้น้อยที่สุด พบอยู่
รวมกัน Chlorophyll a
 Chlorophyll c : มีสีเขียว พบในสาหร่ายสีน้าตาล ได
อะตอม
 Chlorophyll d : มีสีเขียว พบในสาหร่ายสีแดง และ
กรีนแบคทีเรีย
CHLOROPHYLL
 สารประกอบพวกไขมัน
 พบในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่สังเคราะห์แสงได้
 ประกอบด้วย 2 ชนิด
 Carotene : สีแดง/สีส้ม พบในพืชและ
สาหร่ายทุกชนิด ถูกสังเคราะห์ต่อเป็นวิตามิน
A ในร่างกายสัตว์
 Xanthophyll : สารสีเหลือง/สีน้าตาล
พบในพืช และสาหร่ายทุกชนิด
CAROTENOID
 มีเฉพาะสาหร่ายสีแดงและไซยาโน
แบคทีเรีย
 Phycoerythrin : สีแดงแกมน้าตาล พบ
ในสาหร่ายสีแดง ดูดกลืนแสงสีเขียวได้มาก
ที่สุด
 Phycocyanin : สีเขียวแกมน้าเงิน พบใน
สาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงิน ดูดกลืนแสงสีเขียว
และสีแดงได้มากที่สุด
PHYCOBILIN
 สารสีเขียว คล้ายคลอโรฟิลล์เอ มีแคโรทีนอยด์หุ้ม เห็นเป็นสีแดง สีม่วง หรือสีเหลือง
ส่วนใหญ่พบใน green bacteria
BACTERIOCHLOROPHYLL
สารสีในปฏิกิริยาแสง
 กลุ่มของสารสีที่ฝังตัวบนเยื่อไทลาคอยด์ในคลอโรพลาสต์ มีหน้าที่รับพลังงานแสง และส่ง
ต่อจนถึงคลอโรฟิลล์เอโมเลกุลพิเศษที่ศูนย์กลางปฏิกิริยา
 กลุ่มสารสีที่รับและส่งพลังงานแสง เรียกว่า antenna
สารสีในปฏิกิริยาแสง
 สารสีมีโครงสร้างโมเลกุลที่ประกอบด้วยอะตอมที่มีอิเล็กตรอนเคลื่อนที่อยู่รอบ
นิวเคลียส การเคลื่อนที่ของ e- มีหลายระดับพลังงาน และสามารถเปลี่ยนระดับ
พลังงานได้เมื่อได้รับพลังงานที่เหมาะสม
 e- ที่เคลื่อนที่อยู่ในระดับพลังงานปกติจะเป็น e- ที่อยู่ในสถานะพื้น (ground state)
 เมื่อโมเลกุลของสารสีดูดกลืนพลังงานแสง e- จะถูกกระตุ้นให้มีพลังงานสูงขึ้น จนเกิด
การเคลื่อนที่สู่ระดับพลังงานที่สูงขึ้นเรียก e- นี้ว่า e-ในสถานะถูกกระตุ้น (excited
state)
 e-ในสถานะถูกกระตุ้น ไม่คงตัว จึงปล่อยพลังงานออกเพื่อกลับสู่สภาวะปกติ
 พลังงานที่ปล่อยออกมาจะถ่ายทอดจากสารสีโมเลกุลหนึ่งไปสู่สารสีโมเลกุลอื่น และจะ
ถูกส่งต่อไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่คลอโรฟิลล์เอโมเลกุลพิเศษซึ่งเป็นศูนย์กลางของปฏิกิริยา
ซึ่งเมื่อได้รับพลังงานที่เหมาะสมจะทาให้ e- หลุดออกจากโมเลกุลและมีตัวรับ e- มารับ
แล้วถ่ายทอดพลังงานไปยังตัวรับ e- อื่นๆ อีกหลายตัวจนกระทั่งถึงตัวรับ e- ตัวสุดท้าย
สารสีในปฏิกิริยาแสง
 antenna และ ศูนย์กลางปฏิกิริยาฝังตัวอยู่ในกลุ่มของโปรตีนที่ thylakoid
membrane ซึ่งมีตัวรับ e- รวมอยู่ด้วย
 กลุ่มของโปรตีน สารสี ตัวรับ e- รวมเรียกว่า ระบบแสง (Photosystem ; PS)
 พืชชั้นสูงมีระบบแสง 2 ชนิด คือ ระบบแสง I และระบบแสง II
 ระบบแสง I : รับพลังงานแสงที่มีความยาวคลื่น 700 nm เรียกว่า p700
 ระบบแสง II : รับพลังงานแสงที่มีความยาวคลื่น 680 nm เรียกว่า P680
สารสีในปฏิกิริยาแสง
 ปัจจัยสาคัญในการสังเคราะห์ด้วย
แสง คือ แสง CO2 และ H2O
 พืชมี organelle ที่สาคัญใน
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงคือ
คลอโรพลาสต์ ซึ่งพบในทุกเซลล์
ของอวัยวะพืชที่มีสีเขียว
 แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน คือ ปฏิกิริยา
แสง (light reaction) เกิดที่เยื่อ
Thylakoid กับ การตรึง CO2
(carbondioxide fixation) เกิด
ที่ stroma
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
 การทดลองของอาร์นอน ทาให้ทราบว่า พืชดูดกลืนพลังงานแสงไว้ในคลอโรพลาสต์
และเปลี่ยนพลังงานแสงให้เป็นพลังงานเคมีในรูปของ ATP และ NADPH ที่พืชเอาไป
ใช้ต่อได้ เรียกปฏิกิริยานี้ว่า ปฏิกิริยาแสง (light reaction)
ปฏิกิริยาแสง (LIGHT REACTION)
 บน Thylakoid membrane มี ระบบแสง I ระบบแสง II และโปรตีนหลายชนิดทา
หน้าที่รับและถ่ายทอด e-
ปฏิกิริยาแสง (LIGHT REACTION)
การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักร (non-cyclic electron transfer)
การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบเป็นวัฏจักร (cyclic electron transfer)
ถ่ายทอดอิเล็กตรอน
 พืชได้รับพลังงานแสง ปฏิกิริยาเริ่มจาก antenna complex ถ่ายทอด e- ต่อให้กับ
reaction center ทั้งใน PSI และ PSII (เกิดพร้อมกัน)
 PSII เมื่อถูกกระตุ้นโดยพลังงานแสง และ e- ถูกถ่ายทอดไปแล้ว ส่งผลให้มีการดึง e- จาก
โมเลกุลน้า โดยปฏิกิริยาแยกโมเลกุลของน้าจากพลังงานแสง หรือ photolysis
 PSII ส่งต่อ e- ให้ตัวรับเช่น Plastoquinone (Pq), Cytochrome b6f (Cytochrome
complex), Plastocyanin (Pc) ในที่สุดก็จะส่งทอด e- ถึง PSI
 e- จะถูกลาเลียงต่อไปยัง Ferredoxin (Fd) ซึ่งจะให้ e- กับ NADP+ ซึ่งถือเป็นตัวรับ e-
ตัวสุดท้าย โดยการเร่งปฏิกิริยาของ เอนไซม์ Ferredoxin-NADP reductase (FNR)
 NADP+ จะได้รับ 2e- และ 1H+ ทาให้ได้ผลิตภัณฑ์เป็น NADPH เกิดขึ้นใน stroma ของ
chloroplast
 การถ่ายทอด e- ทาให้มีการสะสมโปรตอน (H+) ใน lumen จึงมีการปลดปล่อย H+ จาก
lumen สู่ stroma เกิดการ pump H+ เรียกว่า Chemiosmotic gradient ซึ่งจะถูก
นาไปใช้สร้าง ATP โดยการเร่งปฏิกิริยาของเอนไซม์ ATP synthase
การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักร
การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักร
 Photophosphorylation : การสร้าง ATP จากการเติมหมู่ ฟอสเฟตให้กับ ADP
ควบคู่ไปกับการถ่ายทอด อิเล็กตรอน ซึ่งพลังงานแสงทาให้น้าแตกตัว ให้ O2, H+,
และ e- โดย e- ถูกส่งไปตามลูกโซ่ในคลอโรพลาสต์ ทาให้เกิดพลังงงาน
 PSII : ได้รับ e- ทดแทนมาจากน้า
 PSI : ได้รับ e- ทดแทนมาจาก PSII เนื่องจากสูญเสีย e- ไปให้ NADP+ ได้ผลิตภัณฑ์
เป็น NADPH
 ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการถ่ายทอด e- แบบไม่เป็นวัฏจักร : ATP, NADPH, และได้ O2
และ H+ จากการแตกตัวของน้า
การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักร
 บางสภาวะ แสงกระตุ้นให้มีการถ่ายทอด e- ออกจาก reaction center และเคลื่อนย้าย
ไปยัง ตัวรับ e-
 Ferrydoxin ไม่สามารถส่ง e- ไปยัง NADP+ ได้ แต่กลับส่ง e- ให้กับ Cytochrome
b6f complex แทน ทาให้เกิดการเคลื่อนย้าย H+ เข้าสู่ lumen และในที่สุดก็จะส่งทอด
e- กลับมาที่ reaction center ของ PSI อีก วนเป็นวัฏจักร
 การสร้าง ATP เกิดจากความต่างศักย์ไฟฟ้าที่ thylakoid membrane
 ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการถ่ายทอด e- แบบเป็นวัฏจักร คือ ATP
การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบเป็นวัฏจักร
การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบเป็นวัฏจักร
การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบเป็นวัฏจักร
รายละเอียด แบบไม่เป็นวัฏจักร แบบเป็นวัฏจักร
ระบบที่เกี่ยวข้อง ทั้ง PS I และ PS II PS I เท่านั้น
ความยาวคลื่นแสงที่
เกี่ยวข้อง
ตั้ง 680 nm ขึ้นไป
(680,700 nm)
700 nm
จานวน ATP ต่อ e- 1 คู่ 2 ATP 2 ATP
Photolysis เกิด ไม่เกิด
O2 เกิด ไม่เกิด
NADPH+H+ เกิด ไม่เกิด
ผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้น ATP, NADPH, O2, H+ ATP
ตารางสรุปความแตกต่างของการถ่ายทอดอิเล็กตรอน
 เกิดขึ้นหลังจากปฏิกิริยาแสง
 เพื่อนา CO2 จากสิ่งแวดล้อมมาใช้ในการสร้าง
สารประกอบประเภทคาร์โบไฮเดรต
 อาศัยพลังงาน ATP และ NADPH ที่ได้จาก
ปฏิกิริยาแสง และเกิดขึ้นเป็นวัฏจักร
 ค้นพบโดย เมลวิน คัลวิน (Melvin Calvin)
และ แอนดรู เอ เบนสัน (Andrew A.
Benson)
 ตาแหน่งที่เกิด : Stroma ของ Chloroplast
 ประกอบด้วยปฏิกิริยา 3 ขั้นตอน คือ
(1) carboxylation (2) reduction
(3) regeneration
การตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 FIXATION)
 ปฏิกิริยาการตรึง CO2 : เริ่มจาก CO2 ทาปฏิกิริยากับ ribulose 1,5-bisphosphate
หรือ RuBP ซึ่งเป็นน้าตาลที่มี C 5 อะตอม โดยมีเอนไซม์ ribulose 1,5-
bisphosphate carboxylase oxygenase หรือ Rubisco เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
 ผลิตภัณฑ์เป็นสารที่คาร์บอน 6 อะตอม แต่เป็นสารที่ไม่เสถียรจะสลายตัวเป็น
phosphoglycerate หรือ PGA ที่มีคาร์บอน 3 อะตอม จานวน 2 โมเลกุล
 ถ้า CO2 3 โมเลกุล รวมตัวกับ RuBP 3 โมเลกุล ได้เป็น PGA 6 โมเลกุล
(1) CARBOXYLATION
 PGA จานวน 6 โมเลกุล จะถูกรีดิวซ์โดยรับหมู่
ฟอสเฟตจาก ATP กลายเป็น 1,3-
bisphosphoglycerate (1,3 BPG)
 จากนั้น 1,3-bisphosphoglycerate (1,3
BPG) ถูกรีดิวซ์โดยรับอิเล็กตรอนจาก NADPH
ได้เป็นน้าตาลที่มีคาร์บอน 3 อะตอมคือ
glyceraldehyde 3-phosphate หรือ G3P
หรือ phosphoglyceraldehyde หรือ PGAL
 หลังจากสิ้นสุดขั้นตอนนี้จะเกิด G3P/PGAL ขึ้น
6 โมเลกุล ซึ่งน้าตาลที่มี C 3 อะตอมนี้ถือเป็น
น้าตาลตัวแรกที่เกิดขึ้นในวัฏจักรคัลวิน
(2) REDUCTION
 เป็นขั้นตอนที่สร้าง RuBP ขึ้นมาใหม่ เพื่อ
กลับไปรับ CO2 เข้าสู่วัฏจักรคัลวินใหม่ โดย
G3P ที่เกิดขึ้น 5 โมเลกุล จะถูกนาไปสร้าง
RuBP ได้ 3 โมเลกุล ซึ่งจะต้องอาศัย ATP ที่ได้
จากปฏิกิยาแสง
 น้าตาล G3P ที่เหลือ 1 โมเลกุลจะถูกนาไป
สร้างเป็นน้าตาลกลูโคสและน้าตาลไดแซกคาร์
ไรด์ เช่น น้าตาลซูโครส เพื่อลาเลียงไปยังส่วน
ต่างๆของพืช หรือสะสมในรูปเม็ดแป้ง ใน
Chloroplast หรือนาไปสร้างสารประกอบ
อินทรีย์ เช่น กรดไขมัน กรดอะมิโน
(3) REGENERATION
CO2 FIXATION
 สรุป Calvin Cycle
จานวน 1 รอบ
 ใช้
 CO2 3 โมเลกุล
 RuBP 3 โมเลกุล
 ATP 9 โมเลกุล
 NADPH 6 โมเลกุล
 ได้
 ADP+Pi 9 โมเลกุล
 NADP+ 6 โมเลกุล
 G3P/PGAL 1 โมเลกุล
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (T)
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (T)

กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (T)

  • 1.
    เรื่อง กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง รายวิชาชีววิทยาเพิ่มเติม 3 ภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา 2559 คุณครูฐิตารีย์ สาเภา โรงเรียนท่ามะกาวิทยาคม สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 8 (กาญจนบุรี-ราชบุรี)
  • 2.
  • 3.
    เซลล์สาหร่ายหางกระรอก เซลล์เยื่อหอม คาถาม :เราสามารถพบคลอโรพลาสต์ได้ที่ไหน และคลอโรพลาสต์มีหน้าที่อะไร
  • 4.
  • 5.
  • 6.
  • 7.
     เยื่อหุ้มชั้นนอก (outermembrane): เรียบ ประกอบด้วย Phospholipid และ Protein หน้าที่ควบคุมการผ่านของสารใน cytoplasm กับ Chloroplast  เยื่อหุ้มชั้นใน (inner membrane): เยื่อหุ้มชั้นถัดเข้ามาจากเยื่อหุ้มชั้นนอก  ไทลาคอยด์ (Thylakoid): เนื้อเยื่อส่วนที่พับเหมือนเป็นถุงที่มีลักษณะแบนซ้อนทับ กันเป็นชั้น ภายในมีช่องที่เรียกว่า lumen ซึ่งมีของเหลวและรงควัตถุต่างๆ บรรจุ อยู่  กรานุม (Granum): ส่วนของไทลาคอยด์ที่มีลักษณะคล้ายเหรียญซ้อนทับกันเป็น ชั้นๆ  สโตรมา (Stroma): ของเหลวภายในคลอโรพลาสต์ ประกอบด้วยเอนไซม์ต่างๆ ที่ จาเป็นสาหรับการสังเคราะห์ด้วยแสง  สโตรมาลาเมนลา (Stroma lamella): เนื้อเยื่อไทลาคอยด์ส่วนที่ไม่ได้ทับซ้อนกันซึ่ง อยู่ระหว่างกรานุม โครงสร้างของ CHLOROPLAST
  • 8.
    มีคลอโรฟิลล์ และสารสีอื่นๆ ติด อยู่ กลุ่มของสารสีระบบแสงI (P700) และระบบแสง II (P680) แกรนูล : รับพลังงานแสงทาให้ อิเล็กตรอนมีพลังงานสูงขึ้น เป็นที่ อยู่ของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการ ถ่ายทอด e- ในปฏิกิริยาใช้แสง ไทลาคอยด์ (THYLAKOID):
  • 9.
    มีเอนไซม์ที่จาเป็นสาหรับการสังเคราะห์ด้วยแสง มี DNA RNAและไรโบโซมทาให้คลอโรพลาสต์จาลองตัวเอง และผลิต โปรตีนที่เป็นเอนไซม์ที่ใช้การสังเคราะห์ด้วยแสง สโตรมา (STROMA):
  • 10.
     ทดลองสกัดคลอโรฟิลล์และแคโทนอยด์จากใบพืชแล้วผ่านแสงแต่ละสีเข้าไป จากนั้น วัดปริมาณแสงที่คลอโรฟิลล์และแคโรทีนอยด์ดูดกลืนไว้ สารสีในปฏิกิริยาแสง  คลอโรฟิลล์เอ คลอโรฟิลล์บี และแคโรที นอยด์ พบในใบพืชและสามารถดูดกลืน แสงในช่วงความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน  คลอโรฟิลล์เอ ดูดกลืนแสงได้ 2 ช่วง คือ ช่วงความยาวคลื่น 450 และ 680 nm แต่ ไม่ดูดกลืนแสงในช่วงความยาวคลื่น 500- 600 nm  คลอโรฟิลล์บี และแคโรทีนอยด์ ดูดกลืน แสงได้ในช่วงความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน
  • 11.
    การทดลองวัดอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช ช่วงความยาวคลื่น 500-600 nmสารสี 3 ชนิดไม่มีการดูดกลืน แสง แต่พบว่ามีการสังเคราะห์ด้วยแสง แสดงให้เห็นว่าในพืชอาจ มีสารสีชนิดอื่นที่สามารถดูดกลืนแสงและเกิดการสังเคราะห์ด้วย แสงได้
  • 12.
  • 13.
  • 14.
     Chlorophyll  Carotenoid Phycobilin  Bacteriochlorophyll สารสีในปฏิกิริยาแสง
  • 15.
     สารสีเขียว  พบในพืชสาหร่าย และไซยาโนแบคทีเรีย  ทาให้พืชสามารถนาพลังงานแสงมาใช้ในกระบวนการ สังเคราะห์แสงได้  ดูดกลืนแสงสีน้าเงินและแสงสีแดงได้ดี  Chlorophyll a : สีเขียวแกมน้าเงิน พบในพืช และ สาหร่ายทุกชนิด ดูดกลืนแสงสีม่วงและน้าเงินได้ดีที่สุด รองลงมาคือสีแดง และดูดกลืนแสงสีเขียวได้น้อยที่สุด  Chlorophyll b : สีเขียวแกมเหลือง พบในพืช สาหร่าย ยูกลีนา ดูดกลืนแสงสีน้าเงินได้ดีที่สุด รองลงมา คือ แสงสีส้ม ดูดกลืนแสงสีเขียวได้น้อยที่สุด พบอยู่ รวมกัน Chlorophyll a  Chlorophyll c : มีสีเขียว พบในสาหร่ายสีน้าตาล ได อะตอม  Chlorophyll d : มีสีเขียว พบในสาหร่ายสีแดง และ กรีนแบคทีเรีย CHLOROPHYLL
  • 16.
     สารประกอบพวกไขมัน  พบในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่สังเคราะห์แสงได้ ประกอบด้วย 2 ชนิด  Carotene : สีแดง/สีส้ม พบในพืชและ สาหร่ายทุกชนิด ถูกสังเคราะห์ต่อเป็นวิตามิน A ในร่างกายสัตว์  Xanthophyll : สารสีเหลือง/สีน้าตาล พบในพืช และสาหร่ายทุกชนิด CAROTENOID
  • 17.
     มีเฉพาะสาหร่ายสีแดงและไซยาโน แบคทีเรีย  Phycoerythrin: สีแดงแกมน้าตาล พบ ในสาหร่ายสีแดง ดูดกลืนแสงสีเขียวได้มาก ที่สุด  Phycocyanin : สีเขียวแกมน้าเงิน พบใน สาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงิน ดูดกลืนแสงสีเขียว และสีแดงได้มากที่สุด PHYCOBILIN
  • 18.
     สารสีเขียว คล้ายคลอโรฟิลล์เอมีแคโรทีนอยด์หุ้ม เห็นเป็นสีแดง สีม่วง หรือสีเหลือง ส่วนใหญ่พบใน green bacteria BACTERIOCHLOROPHYLL
  • 19.
    สารสีในปฏิกิริยาแสง  กลุ่มของสารสีที่ฝังตัวบนเยื่อไทลาคอยด์ในคลอโรพลาสต์ มีหน้าที่รับพลังงานแสงและส่ง ต่อจนถึงคลอโรฟิลล์เอโมเลกุลพิเศษที่ศูนย์กลางปฏิกิริยา  กลุ่มสารสีที่รับและส่งพลังงานแสง เรียกว่า antenna
  • 20.
  • 21.
     สารสีมีโครงสร้างโมเลกุลที่ประกอบด้วยอะตอมที่มีอิเล็กตรอนเคลื่อนที่อยู่รอบ นิวเคลียส การเคลื่อนที่ของe- มีหลายระดับพลังงาน และสามารถเปลี่ยนระดับ พลังงานได้เมื่อได้รับพลังงานที่เหมาะสม  e- ที่เคลื่อนที่อยู่ในระดับพลังงานปกติจะเป็น e- ที่อยู่ในสถานะพื้น (ground state)  เมื่อโมเลกุลของสารสีดูดกลืนพลังงานแสง e- จะถูกกระตุ้นให้มีพลังงานสูงขึ้น จนเกิด การเคลื่อนที่สู่ระดับพลังงานที่สูงขึ้นเรียก e- นี้ว่า e-ในสถานะถูกกระตุ้น (excited state)  e-ในสถานะถูกกระตุ้น ไม่คงตัว จึงปล่อยพลังงานออกเพื่อกลับสู่สภาวะปกติ  พลังงานที่ปล่อยออกมาจะถ่ายทอดจากสารสีโมเลกุลหนึ่งไปสู่สารสีโมเลกุลอื่น และจะ ถูกส่งต่อไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่คลอโรฟิลล์เอโมเลกุลพิเศษซึ่งเป็นศูนย์กลางของปฏิกิริยา ซึ่งเมื่อได้รับพลังงานที่เหมาะสมจะทาให้ e- หลุดออกจากโมเลกุลและมีตัวรับ e- มารับ แล้วถ่ายทอดพลังงานไปยังตัวรับ e- อื่นๆ อีกหลายตัวจนกระทั่งถึงตัวรับ e- ตัวสุดท้าย สารสีในปฏิกิริยาแสง
  • 22.
     antenna และศูนย์กลางปฏิกิริยาฝังตัวอยู่ในกลุ่มของโปรตีนที่ thylakoid membrane ซึ่งมีตัวรับ e- รวมอยู่ด้วย  กลุ่มของโปรตีน สารสี ตัวรับ e- รวมเรียกว่า ระบบแสง (Photosystem ; PS)  พืชชั้นสูงมีระบบแสง 2 ชนิด คือ ระบบแสง I และระบบแสง II  ระบบแสง I : รับพลังงานแสงที่มีความยาวคลื่น 700 nm เรียกว่า p700  ระบบแสง II : รับพลังงานแสงที่มีความยาวคลื่น 680 nm เรียกว่า P680 สารสีในปฏิกิริยาแสง
  • 23.
     ปัจจัยสาคัญในการสังเคราะห์ด้วย แสง คือแสง CO2 และ H2O  พืชมี organelle ที่สาคัญใน กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงคือ คลอโรพลาสต์ ซึ่งพบในทุกเซลล์ ของอวัยวะพืชที่มีสีเขียว  แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน คือ ปฏิกิริยา แสง (light reaction) เกิดที่เยื่อ Thylakoid กับ การตรึง CO2 (carbondioxide fixation) เกิด ที่ stroma กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
  • 24.
     การทดลองของอาร์นอน ทาให้ทราบว่าพืชดูดกลืนพลังงานแสงไว้ในคลอโรพลาสต์ และเปลี่ยนพลังงานแสงให้เป็นพลังงานเคมีในรูปของ ATP และ NADPH ที่พืชเอาไป ใช้ต่อได้ เรียกปฏิกิริยานี้ว่า ปฏิกิริยาแสง (light reaction) ปฏิกิริยาแสง (LIGHT REACTION)
  • 25.
     บน Thylakoidmembrane มี ระบบแสง I ระบบแสง II และโปรตีนหลายชนิดทา หน้าที่รับและถ่ายทอด e- ปฏิกิริยาแสง (LIGHT REACTION)
  • 26.
    การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักร (non-cyclic electrontransfer) การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบเป็นวัฏจักร (cyclic electron transfer) ถ่ายทอดอิเล็กตรอน
  • 27.
     พืชได้รับพลังงานแสง ปฏิกิริยาเริ่มจากantenna complex ถ่ายทอด e- ต่อให้กับ reaction center ทั้งใน PSI และ PSII (เกิดพร้อมกัน)  PSII เมื่อถูกกระตุ้นโดยพลังงานแสง และ e- ถูกถ่ายทอดไปแล้ว ส่งผลให้มีการดึง e- จาก โมเลกุลน้า โดยปฏิกิริยาแยกโมเลกุลของน้าจากพลังงานแสง หรือ photolysis  PSII ส่งต่อ e- ให้ตัวรับเช่น Plastoquinone (Pq), Cytochrome b6f (Cytochrome complex), Plastocyanin (Pc) ในที่สุดก็จะส่งทอด e- ถึง PSI  e- จะถูกลาเลียงต่อไปยัง Ferredoxin (Fd) ซึ่งจะให้ e- กับ NADP+ ซึ่งถือเป็นตัวรับ e- ตัวสุดท้าย โดยการเร่งปฏิกิริยาของ เอนไซม์ Ferredoxin-NADP reductase (FNR)  NADP+ จะได้รับ 2e- และ 1H+ ทาให้ได้ผลิตภัณฑ์เป็น NADPH เกิดขึ้นใน stroma ของ chloroplast  การถ่ายทอด e- ทาให้มีการสะสมโปรตอน (H+) ใน lumen จึงมีการปลดปล่อย H+ จาก lumen สู่ stroma เกิดการ pump H+ เรียกว่า Chemiosmotic gradient ซึ่งจะถูก นาไปใช้สร้าง ATP โดยการเร่งปฏิกิริยาของเอนไซม์ ATP synthase การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักร
  • 28.
  • 29.
     Photophosphorylation :การสร้าง ATP จากการเติมหมู่ ฟอสเฟตให้กับ ADP ควบคู่ไปกับการถ่ายทอด อิเล็กตรอน ซึ่งพลังงานแสงทาให้น้าแตกตัว ให้ O2, H+, และ e- โดย e- ถูกส่งไปตามลูกโซ่ในคลอโรพลาสต์ ทาให้เกิดพลังงงาน  PSII : ได้รับ e- ทดแทนมาจากน้า  PSI : ได้รับ e- ทดแทนมาจาก PSII เนื่องจากสูญเสีย e- ไปให้ NADP+ ได้ผลิตภัณฑ์ เป็น NADPH  ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการถ่ายทอด e- แบบไม่เป็นวัฏจักร : ATP, NADPH, และได้ O2 และ H+ จากการแตกตัวของน้า การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักร
  • 30.
     บางสภาวะ แสงกระตุ้นให้มีการถ่ายทอดe- ออกจาก reaction center และเคลื่อนย้าย ไปยัง ตัวรับ e-  Ferrydoxin ไม่สามารถส่ง e- ไปยัง NADP+ ได้ แต่กลับส่ง e- ให้กับ Cytochrome b6f complex แทน ทาให้เกิดการเคลื่อนย้าย H+ เข้าสู่ lumen และในที่สุดก็จะส่งทอด e- กลับมาที่ reaction center ของ PSI อีก วนเป็นวัฏจักร  การสร้าง ATP เกิดจากความต่างศักย์ไฟฟ้าที่ thylakoid membrane  ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการถ่ายทอด e- แบบเป็นวัฏจักร คือ ATP การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบเป็นวัฏจักร
  • 31.
  • 32.
  • 33.
    รายละเอียด แบบไม่เป็นวัฏจักร แบบเป็นวัฏจักร ระบบที่เกี่ยวข้องทั้ง PS I และ PS II PS I เท่านั้น ความยาวคลื่นแสงที่ เกี่ยวข้อง ตั้ง 680 nm ขึ้นไป (680,700 nm) 700 nm จานวน ATP ต่อ e- 1 คู่ 2 ATP 2 ATP Photolysis เกิด ไม่เกิด O2 เกิด ไม่เกิด NADPH+H+ เกิด ไม่เกิด ผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้น ATP, NADPH, O2, H+ ATP ตารางสรุปความแตกต่างของการถ่ายทอดอิเล็กตรอน
  • 34.
     เกิดขึ้นหลังจากปฏิกิริยาแสง  เพื่อนาCO2 จากสิ่งแวดล้อมมาใช้ในการสร้าง สารประกอบประเภทคาร์โบไฮเดรต  อาศัยพลังงาน ATP และ NADPH ที่ได้จาก ปฏิกิริยาแสง และเกิดขึ้นเป็นวัฏจักร  ค้นพบโดย เมลวิน คัลวิน (Melvin Calvin) และ แอนดรู เอ เบนสัน (Andrew A. Benson)  ตาแหน่งที่เกิด : Stroma ของ Chloroplast  ประกอบด้วยปฏิกิริยา 3 ขั้นตอน คือ (1) carboxylation (2) reduction (3) regeneration การตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 FIXATION)
  • 35.
     ปฏิกิริยาการตรึง CO2: เริ่มจาก CO2 ทาปฏิกิริยากับ ribulose 1,5-bisphosphate หรือ RuBP ซึ่งเป็นน้าตาลที่มี C 5 อะตอม โดยมีเอนไซม์ ribulose 1,5- bisphosphate carboxylase oxygenase หรือ Rubisco เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา  ผลิตภัณฑ์เป็นสารที่คาร์บอน 6 อะตอม แต่เป็นสารที่ไม่เสถียรจะสลายตัวเป็น phosphoglycerate หรือ PGA ที่มีคาร์บอน 3 อะตอม จานวน 2 โมเลกุล  ถ้า CO2 3 โมเลกุล รวมตัวกับ RuBP 3 โมเลกุล ได้เป็น PGA 6 โมเลกุล (1) CARBOXYLATION
  • 36.
     PGA จานวน6 โมเลกุล จะถูกรีดิวซ์โดยรับหมู่ ฟอสเฟตจาก ATP กลายเป็น 1,3- bisphosphoglycerate (1,3 BPG)  จากนั้น 1,3-bisphosphoglycerate (1,3 BPG) ถูกรีดิวซ์โดยรับอิเล็กตรอนจาก NADPH ได้เป็นน้าตาลที่มีคาร์บอน 3 อะตอมคือ glyceraldehyde 3-phosphate หรือ G3P หรือ phosphoglyceraldehyde หรือ PGAL  หลังจากสิ้นสุดขั้นตอนนี้จะเกิด G3P/PGAL ขึ้น 6 โมเลกุล ซึ่งน้าตาลที่มี C 3 อะตอมนี้ถือเป็น น้าตาลตัวแรกที่เกิดขึ้นในวัฏจักรคัลวิน (2) REDUCTION
  • 37.
     เป็นขั้นตอนที่สร้าง RuBPขึ้นมาใหม่ เพื่อ กลับไปรับ CO2 เข้าสู่วัฏจักรคัลวินใหม่ โดย G3P ที่เกิดขึ้น 5 โมเลกุล จะถูกนาไปสร้าง RuBP ได้ 3 โมเลกุล ซึ่งจะต้องอาศัย ATP ที่ได้ จากปฏิกิยาแสง  น้าตาล G3P ที่เหลือ 1 โมเลกุลจะถูกนาไป สร้างเป็นน้าตาลกลูโคสและน้าตาลไดแซกคาร์ ไรด์ เช่น น้าตาลซูโครส เพื่อลาเลียงไปยังส่วน ต่างๆของพืช หรือสะสมในรูปเม็ดแป้ง ใน Chloroplast หรือนาไปสร้างสารประกอบ อินทรีย์ เช่น กรดไขมัน กรดอะมิโน (3) REGENERATION
  • 38.
    CO2 FIXATION  สรุปCalvin Cycle จานวน 1 รอบ  ใช้  CO2 3 โมเลกุล  RuBP 3 โมเลกุล  ATP 9 โมเลกุล  NADPH 6 โมเลกุล  ได้  ADP+Pi 9 โมเลกุล  NADP+ 6 โมเลกุล  G3P/PGAL 1 โมเลกุล