More Related Content
Similar to กลุ่มจิตวิเคราะห์
Similar to กลุ่มจิตวิเคราะห์ (20)
More from Sarid Tojaroon (20)
กลุ่มจิตวิเคราะห์
- 1. กลุ่มจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis)
ผูนา คนสําคัญคื อ ซิ กมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) จิ ต แพทย์ชาวเวียนนา ได้ศึกษา
้ ํ
วิเ คราะห์จิต ของมนุ ษ ย์ และอธิ บายว่า พลังงานจิ ต ทํา หน้า ที ควบคุ ม พฤติ กรรมของมนุ ษย์ มี 3
ลักษณะ คือ
ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud)
1. จิตสํานึกหรื อจิตรู ้สานึ ก (Conscious mind) หมายถึงภาวะจิตทีรู ้ตวอยู่ได้แก่ การแสดง
ํ ั
พฤติกรรม เพือให้ สอดคล้องกับหลักแห่งความเป็ นจริ ง
2. จิตกึงสํานึก (Subconscious mind) หมายถึงภาวะจิตทีระลึกถึงได้ รองศาสตราจารย์ กลม
รัตน์ หล้าสุ วงษ์ (2528 : 35)ได้กล่าวถึง Subconscious mind ว่าหมายถึงส่ วนของจิตใจ ทีมิได้แสดง
ออกเป็ นพฤติกรรม ในขณะนัน แต่ เป็ นส่ วนทีรู ้ตว สามารถดึ งออกมใช้ได้ทุกเมือทีต้องการ เช่ น
ั
นางสาว ก. มีนองสาวคือนางสาว ข. ซึ งกําลังตกหลุมรัก นาย ค. แต่นางสาว ข. เกรงว่ามารดาจะ
้
ทราบความจริ งจึงบอกพีสาว มิให้เล่าให้มารดาฟัง นางสาว ก. เก็บเรื องนีไว้เป็ น ความลับ มิได้แพร่ ง
่
พรายให้ผใดทราบโดยเฉพาะมารดาแต่ ในขณะเดียวกันก็ทราบอยูตลอดเวลาว่า นางสาว ข. รักนาย
ู้
ค. ถ้าเขาต้องการเปิ ดเผย เขาก็จะบอกได้ทนที ลักขณา สริ วฒน์ (2530 : 9) กล่าวถึง Subconscious
ั ั
mind ว่าผลมันเกิด จากการขัดแย้งกันระหว่าง พฤติกรรมภายใต้อิทธิ พลจิตรู ้สํานึกกับอิทธิ พลของ
จิตใต้สานึกย่อมก่อให้เกิดการหลอกลวงตัวเองขึน ภายในบุคคล
ํ
ํ ํ ่
3. จิตไร้สานึกหรื อจิตใต้สานึก (Unconscious mind) หมายถึงภาวะจิตทีไม่อยูในภาวะทีรู ้ตว ั
่
ระลึกถึงไม่ได้ กมลรัตน์ หล้าสุ วงษ์ (2524 : 121) กล่าวว่า จิตไร้สานึกเป็ นสิ งทีฝังลึกอยูภายในจิตใจ
ํ
มีการเก็บกด (Repression) เอาไว้อาจเป็ นเพราะ ถูกบังคับ หรื อไม่สามารถแสดงอาการโต้ตอบได้ใน
ขณะนันในทีสุ ดก็จะฝังแน่นเข้าไป จนเจ้าตัวลืมไปชัว ขณะจะแสดงออกมาในลักษณะการพลังเผลอ
เช่น พลังปากเอ่ยชือ คนรักเก่าต่อหน้า คนรักใหม่ เป็ นต้น
คณาจารย์ภาควิชาจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง (2530 : 16) กล่าวว่า
สิ งทีมีอิทธิ พล จูงใจพฤติกรรมและการดําเนิ นชี วิตของคนเรามากทีสุ ดก็คือ ส่ วนทีเป็ นจิตใต้สํานึ ก
- 2. และสิ งทีคนเรามัก จะเก็บกดลงไปทีจิตใต้ สํานึ ก ก็คือความต้องการก้าวร้าว กับความต้องการทาง
เพศ ซึงจะมีแรงผลักดัน
นอกจากนี ฟรอยด์ ยังได้ศึกษาถึงโครงสร้างทางจิตพบว่าโครงสร้างทางจิตประกอบด้วย
1. อิด (Id)
2. อีโก้ (Ego)
3. ซุปเปอร์อีโก้ (Superrgo)
1. อิด (Id) หมายถึงตัณหาหรื อความต้องการพืนฐานของมนุษย์เป็ นสิ งทียังไม่ได้ขดเกลา
ั
ซึงทําให้ มนุษย์ทาทุกอย่างเพือความพึงพอใจของตนเองหรื อทําตามหลักของความพอใจ (Pleasure
ํ
principle)
เปรี ยบเหมือนสันดานดิ บของ มนุ ษย์ ซึ งแบ่งออกเป็ น สัญชาติญาณ แห่ งการมี ชีวิต (Life
instinct) เช่ น ความต้องการอาหาร ความต้องการทางเพศ ความต้องการหลีกหนีจากอันตราย กับ
สัญชาติญาณแห่ ง ความตาย (Death instinct) เช่น ความก้าวร้าว หรื อการทําอันตรายต่อตนเองและ
ผูอืน เป็ นต้น บุคคล จะแสดงพฤติกรรมตามความพอใจ ของเขาเป็ นใหญ่ ไม่คานึ งถึงค่านิ ยมของ
้ ํ
สังคม และ ความพอใจของ บุคคลอืนจึงมักเป็ นพฤติกรรมทีไม่เป็ นไปตามครรลองของมาตรฐานใน
สังคม บุคคลทีมีบุคลิกภาพเช่นนี มักได้รับการประนามว่ามีบุคลิกภาพไม่ดี หรื อไม่เหมาะสม
2. อีโก้ (Ego) หมายถึง ส่ วนทีควบคุมพฤติกรรมทีเกิดจากความต้องการของ Id โดยอาศัย
กฏเกณฑ์ ทางสังคม และหลักแห่ งความจริ ง (Reality principle) มาช่ วยในการตัดสิ นใจ ไม่ใช่
แสดงออกตามความพอใจของตนแต่เพียงอย่างเดียว แต่ตองคิดแสดงออกอย่างมีเหตุผลด้วยนันคือ
้
บุคคลจะแสดงพฤติกรรม โดยมีเหตุและผล ทีเหมาะสมกับกาละเทศะใน สังคม จึงเป็ นบุคลิกภาพที
่
ได้รับการยอมรับมากในสังคม ในคนปรกติทีสามารถปรับตัวอยูได้ในสังคมอย่างมีความสุ ข ฟรอยด์
เชือว่าเป็ นเพราะมีโครงสร้าง ส่ วนนีแข็งแรง
3. ซุ ปเปอร์ อีโก้ (Superego) หมายถึ งมโนธรรมหรื อ จิ ตส่ วนที ได้รับการพัฒ นาจาก
ประสบการณ์ การอบรมสังสอน โดยอาศัยหลักของศีลธรรมจรรยา ขนบธรรมเนี ยมประเพณี และ
ค่า นิ ยมต่า ง ๆ ใน สังคมนัน Superego จะเป็ นตัวบังคับ และควบคุ มความคิ ดให้แสดงออกใน
- 3. ลักษณะทีเป็ นสมาชิกทีดีของ สังคม โดยยึดหลักค่านิยมของสังคม (Value principle)ทีตัดสิ นว่าสิ ง
ใดเป็ นสิ งทีดีในสังคมกล่าวคือบุคคล จะแสดงพฤติกรรมตาม ขอบเขตทีสังคมวางไว้ แต่บางครังอาจ
ไม่เหมาะ สม เช่น เมือถูกยุงกัดเต็มแขน - ขา ก็ไม่ยอมตบยุง เพราะกลัวบาป หรื อสงสารคนขอทาน
ให้เงินเขาไปจนหมด ในขณะที ตนเองหิวข้าวไม่มีเงินจะ ซืออาหารกินก็ยอมทนหิว เป็ นต้น
กมลรัตน์ หล้าสุ วงษ์ (2524 : 122 - 123) กล่าวว่าใครก็ตามทีมีบุคลิกภาพ เช่นนีมักได้รับการ
ยกย่อ ง ทังนี เพราะบางครั งพฤติ กรรมที แสดงออกนันอาจเกิ ด ความไม่ พ อใจในตนเอง แต่ เ พื อ
ต้องการให้เป็ นที ยอมรับในสังคม ดังนันแม้เขาแสดงพฤติกรรมบาง อย่างทีขัดต่อ ค่านิยมของสังคม
เขาจะเกิดความรู้สึกผิด (Guilt feeling or Guilty) ทันทีถาไม่มีการ ระบายออกเก็บกดไว้ มาก ๆ อาจ
้
ระเบิดออกมากลายเป็ นโรค ผิดปรกติทางจิตได้
ฟรอยด์ กล่าวว่าในบุคคลทัวไปมักมีโครงสร้างทัง 3 ส่ วนนีแต่ส่วนทีแข็งแรงทีสุ ด มักเป็ นอี
โก้ ซึ งทําหน้าทีคอย ประนีประนอมระหว่างอิดและซุปเปอร์อีโก้ให้แสดงออกตามความ เหมาะสม
ของสถานการณ์ ในขณะนัน เช่น คอยกดอิดมิ ให้แสดงพฤติกรรมทีไม่เหมาะสมออกมา เมือยังไม่
ถึงเวลาหรื อคอยดึงซุปเปอร์ อีโก้ไว้มิให้แสดงพฤติกรรมทีดีงามจนเกินไป จนตนเอง เดือดร้อน ถ้า
คนทีมีจิตผิดปรกติ เช่นเป็ นโรคจิต โรคประสาท คือคนทีอีโก้แตก (Break down) ไม่สามารถคุม อิด
และซุปเปอร์ อีโก้ไว้ได้ มักจะมีพฤติกรรมทีไม่เหมาะสมกับกาละเทศะกับเหตุผล เช่ น เกิดอาการ
คุมดีคุมร้าย คุมดีคือส่ วนของซุปเปอร์ อีโก้แสดงออกมา คุมร้ายคือส่ วนของอิดแสดงออกมา ฯลฯ
้ ้ ้ ้
ดร. อารี รังสิ นนท์ (2530 : 15 - 16) กล่าวว่าโครงสร้างจิต 3 ระบบนีมีส่วนสัมพันธ์กน ถ้า
ั ั
ั
ทํางาน สัมพันธ์กนดีการแสดงออกหรื อบุคลิกภาพก็เหมาะสมกับตน แต่ถาโครงสร้างทัง 3 ระบบ
้
ทํา หน้า ที ขัดแย้งกัน บุ คคลก็จะมี พฤติ กรรมหรื อ บุ คลิ กภาพที ไม่ ราบรื นปกติ หรื อไม่ เหมาะสม
แนวความคิดกลุ่มนีเน้น จิตไร้สานึก (Unconscious mind) จิตไร้สานึกนีจะ รวบรวมความคิด ความ
ํ ํ
ต้องการ และประสบการณ์ทีผูเ้ ป็ นเจ้าของ จิตไม่ตองการจะจดจํา จึงเก็บกดความรู ้สึกต่าง ๆ เหล่านี
้
่
ไว้อยูในจิตส่ วนนี และหากความคิด ความต้องการหรื อ เกิดพฤติกรรมบางอย่างโดยไม่รู้ตว ั
อนึง ประสบการณ์ในชีวตวัยเด็ก โดยเฉพาะช่วงแรกเกิดถึง 5 ขวบทีเกียวกับการอบรม เลียง
ิ
่
ดู ทีได้รับ จะฝังแน่น อยูในจิตไร้สานึก และอาจจะแสดงออกเมือถูกกระตุน โดยเฉพาะในวัยผูใหญ่
ํ ้ ้
- 4. ฟรอยด์ บอกว่า จิตไร้สานึกเป็ นสาเหตุให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมและพฤติกรรม ทีฝังแน่นใน
ํ
อดีต เป็ นเหตุให้แสดง พฤติกรรมออกมาในปั จจุบนและอนาคต อนึ ง พฤติกรรม ทังหลายทีแสดง
ั
ออกมานัน ท้ายทีสุ ดก็เพือตอบสนองความต้อง การทางเพศ (Sexual need) นันเอง
ฟรอยด์ เน้นประสบการณ์ชีวิตในวัยเด็กมาก โดยเฉพาะในช่ วงชีวิตตังแต่แรกเกิดจนถึง 5
ขวบ ประสบการณ์ต่างๆทีเด็กได้รับในช่ วงนี โดยเฉพาะสิ งทีประทับใจ วิธีการอบรม เลียงดู มักจะ
ฝังแน่นอยู่ ในจิตไร้สานึก และจะแสดงออกมาเป็ น พฤติกรรมในช่วงชีวต ทีเป็ นผูใหญ่ต่อมาซึ งค้าน
ํ ิ ้
กับความเห็ นของนัก จิ ตวิทยากลุ่มอืนหรื อนักการศึกษา ที เชื อว่าไม่มีผูใด จดจําเหตุ การณ์ ทีเกิ ด
้
ขึนกับตัวเองได้ในช่วงชีวตตังแต่ 5 ขวบลงไปจนถึงแรกเกิดได้ แต่ฟรอยด์บอกว่า สิ งเหล่านีมิได้หาย
ิ
ไปไหนแต่กลับฝังลึกลงไป ในส่ วนของจิด ทีเรี ยกว่า จิตไร้สานึก (กมลรัตน์ หล้าสุ วงษ์. 2528 : 36)
ํ
พัฒนาการของมนุษย์ 5 ขัน ของฟรอยด์
ผ.ศ. ดร. อารี รังสิ นนท์ (2530 : 15 - 16)
ั ได้กล่าวถึงการแบ่งขันพัฒนาการของมนุษย์
่
ของฟรอยด์วาแบ่งเป็ น 5 ขัน คือ
1. ขันปาก (Oral Stage) อายุตงแต่แรกเกิด - 2 ขวบ
ั
2. ขันทวารหนัก (Anal Stage) อายุ 2 - 3 ขวบ
3. ขันอวัยวะเพศ (Phallic Stage) อายุ 3 - 5 ขวบ
4. ขันแฝง (Latent Stage) อายุ 6 - 12 ขวบ
5. ขันวัยรุ่ น (Genital Stage) อายุ 13 - 18 ขวบ
รองศาสตราจารย์ กมลรัตน์ หล้าสุ วงษ์ (2528 : 37 - 39) ได้กล่าวถึงการแบ่งพัฒนาการของ
มนุษย์ของฟรอยด์ว่า ฟรอยด์ได้แบ่งพัฒนาการของมนุษย์ แตกต่างจากนักจิตวิทยาท่านอืนกล่าวคือ
ฟรอยด์ เชือว่า มนุษย์มีอวัยวะทีไวต่อ ความรู้สึกในแต่ละช่วงชีวตแตกต่างกัน ซึ งฟรอยด์เรี ยกว่าอีโร
ิ
จีนสโซน (Erogenus zone) จึงได้แบ่งขันพัฒนาการตามอวัยวะทีไวต่อความรู ้สึกออกเป็ น 5 ขัน และ
ั
ได้กล่าวถึงแต่ละขันไว้ ดังนี
- 5. 1. ขันปาก (Oral Stage) ขันนีเด็กต้องการการตอบสนองทางปากมากทีสุ ดเนืองจากปากเป็ น
อวัยวะทีไวต่ อความรู ้สึกมากทีสุ ดในช่ วงชี วิตนี ความสุ ข ความพอใจของเด็กอยู่ทีการได้รับการ
ตอบสนองทางปาก เช่ น การดู ด นม การสั ม ผัส สิ งแปลกใหม่ ด ้ว ยปาก ฯลฯ ถ้า เด็ ก ได้รั บ การ
ตอบสนองเต็มที เมือโตขึนจะมีบุคลิกภาพทีเหมาะสมไม่พยายามใช้ปากมากเกิน ไป รู้จกพูดหรื อใช้
ั
ปากได้เหมาะกับกาละเทศะ หากเด็กได้รับการขัดขวางต่อการตอบสนองทางปากในวัยนี เช่ น การ
หย่านมเร็วเกินไป ถูกตีเมือนําของเข้าปากทําให้เด็กรู ้สึกกระวนกระวายและเรี ยกร้องทีจะชดเชยการ
ตอบสนองทางปากนัน เมือ มีโอกาส เรี ยกว่าเกิดการหยุดยังพัฒนาการทางปาก (Oral Fixation) เมือ
มีโอกาสหรื อโตเป็ นผูใหญ่มกมีบุคลิกภาพทีชอบใช้ ปาก เช่ น ชอบนิ นทาว่าร้าย ชอบสู บบุหรี รับ
้ ั
ประทางอาหารบ่อย ๆ เกินความจําเป็ น เป็ นต้น
2. ขันทวารหนัก (Anal Stage) ขันนี เด็กต้องการตอบสนองทางทวารหนักมากทีสุ ดมากกว่า
ทางปาก เช่ น พัฒนาการขันแรกเด็กวัยนี จึงไม่ชอบรับประทานมากเท่ากับการเล่น โดยเฉพาะการ
เล่นทีสัมผัสทางทวารหนัก ตลอดจนความสุ ขในการขับถ่ ายซึ งตรงกับการฝึ กหัดขับถ่าย (Toilet
Training) ของเด็กวัยนี ถ้าผูใหญ่ทีเข้าใจจะรู ้จกผ่อนปรน ค่อย ๆ ฝึ กเด็กให้รู้จกขับถ่ายได้ดวยวิธีที
้ ั ั ้
นุ่มนวล การพัฒนาการขันนีก็ไม่มีปัญหาเด็กโตขึนจะมีบุคลิกภาพทีเหมาะสม แต่ถาเกิดการหยุดยัง
้
พัฒนาการขันนี (Anal Fixation) เนืองจากผูใหญ่บงคับเด็กในการฝึ กหัดขับถ่ายมากเกินไป เช่น ต้อง
้ ั
ขับถ่ายเป็ นเวลา ถ้าไม่ทาตามจะถูกลงโทษจะทําให้เกิดความไม่พอใจฝั งแน่ นเข้าไปสู่ จิตไร้สํานึ ก
ํ
โดยไม่รู้ตวและแสดงพฤติกรรมออกมาให้เห็นชัด 2 ลักษณะทีตรงกันข้าม คือ อาจจะมีลกษณะใด
ั ั
ลักษณะหนึงแล้วแต่ความเข้มทางบุคลิกภาพของเด็ก นันๆ คือ
ก. บุคลิกภาพแบบสมบูรณ์ (Perfectionist) คือเป็ นคนเจ้าระเบียบ จูจี ยําคิดยําทํา กังวลมาก
้
เกินไป โดยเฉพาะเรื องความสะอาด ลักษณะนีมักเกิดกับเด็กทีมีบุคลิกภาพอ่อนแอ
ข. บุคลิกภาพแบบอันธพาล (Anti social) คือเป็ นคนไม่ยอมคนชอบคัดค้านค่านิ ยมหรื อ
ระเบียบแบบแผนทีวางไว้ ลักษณะนีมักเกิดกับเด็กทีมีบุคลิกภาพเข้มแข็งนอกจากนียังพบว่า คนทีมี
Anal Fixation นียังเป็ นนักสะสมสิ งของต่าง ๆ ตลอดจนมีพฤติกรรมอ่านหนังสื อพิมพ์บนโถส้วม
นานๆ ชอบนังทีใดทีหนึงนาน ๆ ด้วย
3. ขันอวัยวะเพศ หรื อขันความรู ้สึกทางเพศแบบแฝง (Phallic Stage)ขันนี เด็กเริ มเกิด
ความรู ้สึกทางเพศแต่เป็ นแบบแฝง กล่าวคือมิได้หมายความว่าเด็กวัยนีเกิดความรู ้สึกทางเพศโดยตรง
- 6. ได้แก่ อยากมีคู่ครองแต่หมายถึงความรู้สึก ผูกพัน ทีเกิดขึนต่อบิดามารดาทีมีเพศตรงข้ามกับเด็ก
เช่นเด็กหญิงรักและติดพ่อ หวงแหนพ่อแทนแม่ ฟรอยด์อธิ บายว่าในขณะเดียวกัน เด็กจะรู้สึกอิจฉา
แม่ เพราะเรี ยนรู ้ว่า พ่อรักแม่ เกิดปมอิจฉา (Oedipus Complex) ขึนเห็นแม่เป็ นคู่แข่งและพยายาม
เลียนแบบพฤติกรรมของแม่ ซึงเป็ นแบบฉบับของสตรี เพศ ทําให้เด็กหญิง มีลกษณะเป็ นหญิงเมือโต
ั
ขึน ในทํานองเดียวกัน เด็กชายก็จะรักและติดแม่หวงแหนและเป็ นห่ วงแม่ ฟรอยด์อธิ บายว่าเด็กชาย
จะรู ้สึกอิจฉาพ่อ เพราะเรี ยนรู ้ว่าแม่รักพ่อ เกิดปมอิจฉา (Oedipus Complax) พ่อ เห็นพ่อเป็ นคู่แข่ง
พยายามเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อ ซึงเป็ นแบบฉบับของบุรุษเพศ ทําให้เด็กชายมีลกษณะเป็ นชาย ั
อย่างสมบูรณ์เมือโตเป็ นผูใหญ่ ดังนัน Oedipus Complax จึงเป็ นสิ งทีดีเพราะจะส่ งเสริ มให้เด็กมี
้
พัฒนาการได้เหมาะสมกับเพศของเขา ตามที กล่ า วมาแล้ว ข้า งต้นนี เป็ นการพัฒนาการเป็ นไป
ตามลําดับขันอย่างดียงแต่ถาเกิดการหยุดยังพัฒนาการของ ขันนี (Phallic Fixation) จะเกิดพฤติกรรม
ิ ้
ดังนี เด็กหญิงขณะทีเลียนแบบแม่ ซึ งเป็ นแบบฉบับถ้าแม่เป็ นแบบฉบับไม่ดี เด็กไม่ศรัทธาในทีสุ ด
เด็กก็จะหันไปเลียน แบบพ่อ เนื องจากมีความนิ ยมศรัทธาอยูเ่ ป็ นทุนเดิมแล้วพฤติกรรมทีปรากฏก็
คือ เด็กผูหญิงเป็ นลักเพศ (Lesbian) คือมี พฤติกรรมและความรู ้ สึกเยียงชายในทํานองเดี ยวกัน
้
เด็กชายขณะทีเลียนแบบพ่อซึ งเป็ นแบบฉบับ ถ้าพ่อเป็ นแบบฉบับไม่ดี เด็กไม่ศรัทธาในทีสุ ดเด็กก็
่
จะหันไปเลียนแบบแม่โดยตรง เพราะรักและศรัทธาแม่เป็ นทุนเดิมอยูแล้วพฤติกรรมทีปรากฏก็คือ
เด็กชายเป็ นลักเพศ (Homosexual)
4. ขันแฝง (Latent Stage) เป็ นระยะก่อนทีเด็กจะเปลียนแปลงเข้าสู่ วยรุ่ น กิติกร มีทรัพย์
ั
(2530 : 70 - 71) กล่าวถึงเด็กวัยรุ่ นซ่อนเร้นหรื อลาเทนซี (Latency) ว่า การเติบโตทางกาย ค่อย ๆ ช้า
ลง แต่การเติบโตทางจิตใจ (Memtal awarenss) ไปเร็ วมาก เด็ก ๆ มักถูกมองว่า "แสนรู ้" หรื อ "แก่
แดด" เด็กจะรู ้จกพิพากษ์วิจารณ์สนใจไปในทางค้นหา ค้น คว้าต่าง ๆ สนใจสิ งนันสิ งนีอยูมิได้ขาด
ั ่
เด็กบางคนอาจพูดในสิ งทีแหลมคมทีทําให้ผใหญ่คิดและน่าทึง หรื อพูดอะไรเชยๆ นักจิตวิทยาชาว
ู้
สวีเ ดนผูห นึ ง ชื อ เดวิด บี ยอร์ กลุน ด์ เป็ นศาสตราจารย์ วิช าจิ ต วิทยามหาวิทยาลัย ฟลอริ ดา ใน
้
อเมริ กากล่าวว่า เมือเด็กวัย Latency มีความคิดใคร่ ครวญ ผูใหญ่ ไม่ควรละเลย ดูดวยทีจะให้เด็กได้
้ ้
คิดเรื องหนัก ๆ บ้างตามความสนใจของเขาตังแต่การวางแผนงานบ้าน การบ้าน หรื อสร้างวินยใน ั
บ้า นให้เขาได้มี โอกาส รั บรู ้ ห รื อ มี ส่ ว นร่ ว มกับ ปั ญ หารายรั บ - รายจ่ า ยในครั วเรื อน ปั ญ หา
- 7. คณิ ตศาสตร์ ง่าย ๆ หรื อปั ญหาประสบการณ์ ชี วิตบางประการซึ งผูใหญ่เคยคิดว่าเขาไม่รู้ หรื อไม่
้
ควรรู ้
5. ขันวัยรุ่ น (Genital Stage) เด็กหญิงจะเริ มสนใจเด็กชายและเด็กชายจะเริ มสนใจเด็กหญิง
เป็ นระยะทีเด็ก จะมีความสัมพันธ์ระหว่างเพศอย่างแท้จริ งพฤติกรรมทางเพศของบุคคลในวัยนี จึงมี
ลักษณะทีบ่งถึงวุฒิภาวะทาง อารมณ์หรื อความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสิ งแวดล้อมได้อย่าง
เต็มทีพัฒนาการทางเพศทีเกิดขึนในระยะนี เรี ยกว่า ขันวุฒิภาวะทางเพศอันมิได้หมายถึงอวัยวะเพศ
อย่างเดียวรวมถึงพฤติกรรมทีแสดงถึงวุฒิภาวะทางด้าน อารมณ์และสติปัญญาเด็กชายจะเปลียนจาก
การหลงรักแม่ตนเองไปและเด็กหญิงก็จะหันจากหลงรักพ่อไปรักเพศ ชายทัวไป