More Related Content
Similar to แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
Similar to แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน (20)
More from Tongsamut vorasan
More from Tongsamut vorasan (20)
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
- 1. 1
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
***************************
ศาสนาเชนเป็ นศาสนาประเภทอเทวนิยมเหมือนพระพุทธศาสนา คือไม่
เชือว่ามีพระเจ้ าสร้ างโลกและกําหนดชะตากรรมของสัตว์ ศาสนาเชนถึงแม้
จะเป็ นอเทวนิยมเหมือนพระพุทธศาสนาทีถือว่าทุกอย่างเป็ นไปตามกรรมของ
ตน แต่ก็แตกต่างจากพระพุทธศาสนาตรงทีศาสนาเชนเน้ นทีอดีตกรรมและ
กายกรรม แต่พระพุทธศาสนาเน้ นทีปั จจุบนกรรมและมโนกรรม
ั
นอกจากนีก็แตกต่างตรงทีศาสนาเชนเชือเรืองอาตมันแบบยืนโรงคงที
เป็ นอมตะอย่างศาสนาพราหมณ์ แต่ศาสนาพุทธถือว่าอาตมันไม่ยืนโรงคงทน
เป็ นอมตะ แต่เป็ นแบบสันตติ คือรับช่วงสืบต่อกันไป ส่วนวิธีปฏิบติเพือั
ดําเนินไปสูโมกษะ ศาสนาเชนเน้ นเรื องอัตตกิลมถานุโยคซึงเป็ นทางสุดโต่งแต่
่
พระพุทธศาสนาเป็ นทางสายกลาง หรื อมัชฌิมาปฏิปทา
เชน มาจากคําว่า ชินะ โดยวิการอิเป็ นเอ แปลว่า ชนะ แต่ชนะใน
ทีนีไม่ได้ หมายถึงการชนะภายนอก คือเอาชนะคนอืนหรื อข้ าศึก หากแต่
หมายถึงเอาชนะภายในคือกิเลสของตน พวกเชนถือว่ากิเลสเป็ นศัตรูทีร้ าย
กาจทีสุดของตนและมนุษยชาติ กิเลสนีแหละทีจะทําลายตนเอง ทําลายผู้อืน
ทําลายสังคม ตลอดถึงทําลายโลก ความชัวร้ ายทังหลายและความพินาศ
ทังหลายทีเกิดขึนในโลกล้ วนแต่มาจากรากเหง้ าคือกิเลสทังสิน ดังนันแต่ละคน
จึงควรเห็นกิเลสเป็ นศัตรู พยายามกําจัดให้ หมดไปจากจิตใจ ใครก็สามารถ
กําจัดกิเลสได้ อย่างเด็ดขาดสินเชิงขึนชือว่าพระชินะ ผู้ทีสามารถเอาชนะ
กิเลสได้ กลายเป็ นบุคคลผู้ประสบความสําเร็ จสูงสุดของชีวิต พวกเชนถือว่า
พระศาสดาทัง ๒๔ องค์ของศาสนาเชน ล้ วนแต่เป็ นพระชินะทังสิน และยังมี
อีกชือหนึงว่า ตีรถังกร หรื อ ติตถังกร แปลว่า ผู้กระทําซึงท่า คือสร้ างท่า
พาคนข้ ามฟากไปสูนิพพานอีกด้ วย
่
- 2. 2
ปรัชญาเชนมีอยูมาก หากแบ่งออกเป็ นหัวข้ อใหญ่ ๆ ๓ อย่าง คือ
่
ญาณวิทยา ภววิทยา และคุณวิทยา
ศาสนาแห่ งอเทวนิยม
ศาสนาเชนเป็ นศาสนาอเทวนิยมเหมือนศาสนาพุทธ ทุกอย่างเกิดมา
จากเหตุปัจจัยเป็ นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เกิดมาจากพระเจ้ า พวกเชนได้ ให้
เหตุผลถึงการไม่มีพระเจ้ าว่า การเชือพระเจ้ ามีแต่ความขัดแย้ งกันในตัว
กล่าวคือพระเจ้ าไม่เคยมีใครเห็น แล้ วจะเชือได้ อย่างไรว่ามีพระเจ้ า ถ้ าจะว่า
พระเจ้ ารู้ได้ ด้วยการอนุมาน อย่างสิงต่าง ๆ เช่น โต๊ ะ เก้ าอี บ้ านเรื อน เป็ น
ต้ น เกิดขึนมาได้ ก็เพราะมีคนสร้ าง โลกก็เช่นกัน จะต้ องมีผ้ สร้ างขึนมานันก็
ู
คือพระเจ้ า แต่ข้ออ้ างนียังไม่สมเหตุสมผล จะเชือมันได้ อย่างไรว่าข้ ออ้ างนีถูก
ในเมือไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้ า แล้ วจะมันใจได้ อย่างไรว่า พระเจ้ าสร้ างโลก
ผิดกับโต๊ ะ เก้ าอี บ้ านเรื อน เป็ นต้ น ซึงใครก็เห็นว่าช่างสร้ างขึนมา อนึง
พระเจ้ ามีองค์หรื อหลายองค์ ถ้ ามีองค์เดียวกัน แล้ วทําไมศาสนิกของศาสนา
ต่าง ๆ จะต้ องมาทะเลาะกันในเรื องพระเจ้ า หรื อศาสนสถานของบางศาสนา
ทําไมจึงห้ ามคนต่างศาสนาเข้ า ในเมือคนต่างศาสนาก็นบถือพระเจ้ าองค์
ั
เดียวกัน ถ้ าพระเจ้ ามีหลายองค์ ดังทีนับถือกันตามศาสนาต่าง ๆ ก็เป็ น
ธรรมดาว่าแต่ละองค์ก็ต่างจิตต่างใจกัน และทุกศาสนาต่างก็วา พระเจ้ าของ่
ตนสร้ างโลกนีขึนมา ก็ในเมือโลกมนุษย์มีโลกเดียว และถูกสร้ างขึนมาโดย
พระเจ้ าองค์เดียว ก็แสดงว่ามีพระเจ้ าจริ งและพระเจ้ าเก๊ กนบ้ าง หรื อว่าทุก
ั
องค์ร่วมมือกันสร้ าง ก็คงจะประสบความขัดแย้ งกันไม่น้อยในเมือต่างองค์ต่าง
จิตต่างใจกัน พระเจ้ าสร้ างมนุษย์แต่ละคนให้ เป็ นไปตามความดีหรื อชัว
ของแต่ละคนใช่ไหม ถ้ าใช่ก็แสดงว่าพระเจ้ าไม่ได้ ยิงใหญ่จริ ง ยังต้ องอาศัย
บุญหรื อบาปของแต่ละคนเป็ นเครื องมือในการสร้ าง เมือเป็ นอย่างนัน จะใช้
กฎแห่งกรรมแทนพระเจ้ าก็ได้ กฎแห่งกรรมนีแหละทีสร้ างความเป็ นไปของ
มนุษย์ หรื อถ้ าพระเจ้ าไม่ได้ สร้ างมนุษย์แต่ละคนไปตามความดีและความชัว
- 3. 3
ของเขา ก็แล้ วทําไม่พระองค์สร้ างบางคนให้ มีความสุขและบางคนให้ มีความ
ทุกข์ หรื อมีความกรุณาต่อบางคน แต่โหดร้ ายต่ออีกบางคน ไม่ยติธรรมใน
ุ
เมือเชือกันว่า พระเจ้ าทรงมีเมตตามากทีสุดเหล่านีเป็ นต้ น พวกเชนถึงแม้ จะ
ไม่เชือพระเจ้ า แต่พวกเขาก็เชือเรื องเทวดาทีไปจากคนเมือตายไปแล้ ว คนที
ทําบุญกุศลไว้ จะไปเป็ นเทวดา ก็ทํานองเดียวกับในพระพุทธศาสนา พวกเชน
เคารพบูชาพระชินะ หรื อตีรถังกร ซึงเป็ นศาสดาทังหลายของศาสนาเชนแล้ ว
ยังเคารพบูชาพระสิทธะ อาจารยะ อุปธยายะ (อุปัชฌาย์) และสาธุอีกด้ วย
ซึงพระทัง ๕ ประเภทนีเรี ยกว่า ปั ญจปรเมษฎิ ว่าเป็ นบุคคลตัวอย่างที
พัฒนาจิตใจไปจนถึงให้ สงขึนไปตามลําดับจนถึงโมกษะ
ู
คําสอนและนิกายของปรั ชญาเชน
หลักคําสอนของปรัชญาเชนหรื อไชนะในระยะเริ มแรก ไม่สอนให้ ทําการ
ทรมานกายเหมือนในสมัยพระมหาวีระ แต่สอนให้ มีการรักษาศีลเพียง ๔ ข้ อ
คือ
๑. ไม่เบียดเบียนคิดร้ ายต่อผู้อืน
๒. ละเว้ นการลักขโมย
๓. ยึดมันอยูในสัจจะ
่
๔. ละเว้ นการผูกพันทังปวง (ไม่สะสมทรัพย์สมบัติทางโลก)
ในกาลต่อมา สาวกของศาสนาเชนแบ่งลัทธิออกมาเป็ น ๒ นิกายใหญ่ ๆ คือ
นิกายเสวตามพร และนิกายทิคมพร อันเป็ นทีรู้จกกันโดยทัว ๆ ไปในปั จจุบน
ั ั ั
การยอมรับและนับถือในศาสดาของเชนนัน ทังสองนิกายจะมีอยูเ่ หมือน ๆ กัน
หากจะแตกต่างในเรื องของหลักและกฎปฏิบติทีมีความเคร่งครัดต่างกัน
ั
นิกายทิคมพร
ั จะเป็ นผู้ทีมีความเคร่งครัดในกฎระเบียบและจะ
ทรมานตนเองเพือต้ องการทีจะปราบปรามความเพลิดเพลินในกามารมณ์
และถือว่าพวกสาธุหรื อพระทังหลายนันควรจะเลิกในความเป็ นเจ้ าของทรัพย์
- 4. 4
สมบัติ ควรจะละความเป็ นเจ้ าของในสิงใดสิงหนึงเสียโดยสินเชิง แม้ แต่ผ้านุ่ง
และผ้ าห่มก็ไม่ควรจะมี และนิกายนียังถือว่า สตรี นนไม่สามารถทีจะบรรลุถึง
ั
โมกษะได้
นิกายเสวตามพร การประพฤติปฏิบติให้ สามารถร่วมอยูใน
ั ่
สังคมได้ เป็ นสิงสําคัญ โดยการนุ่งผ้ าขาวสะอาด การทีจะให้ สละแม้ แต่ผ้า
คลุมกายนัน จะทําให้ ไม่สามารถอยูได้ ในสังคมของมนุษย์ และยังถือว่าสตรี ก็
่
สามารถบรรลุถึงโมกษะได้ เช่นเดียวกับบุรุษทัวไป เพือไม่เป็ นการตัดสิทธิและ
เสรี ภาพของสตรี
แนวคิดเรืองกรรม
เนืองจากกิริยวาทะของเชนมีนยกว้ างขวางครอบคลุมทังในด้ าน
ั
อภิปรัชญา จริ ยศาสตร์ และญาณวิทยา เช่นเดียวกับเรื องกรรมของ
พระพุทธศาสนา ในการกล่าวถึงหลักปรัชญาของหองมหาวีระ ต่อไปนี จะให้
ความสนใจอยูใน ๓ ประเด็นนี
่
๑) กิริยวาทะในแง่อภิปรัชญา
มหาวีระยอมรับความมีอยูของชีวะเช่นเดียวกับมักขลิโคสาละ เชนแบ่ง
่
มูลของสรรพสิงออกเป็ น ๒ คือ ชีวะและอชีวะ และในแต่ละอย่างยังมีการ
แบ่งย่อยออกไปอีก ถ้ าหากยอมรับข้ อเท็จจริ งว่า มักขลิโคสาละ กับมหาวีระ
เคยมีชีวิตอยูร่วมกันและมักขลิโคสาละเป็ นผู้นําทางความคิดของมหาวีระ
่
ความคิดเรื องการแบ่งประเภทต่าง ๆ ของสรรพสิงของมักขลิโคสาละก็น่าจะมี
อิทธิพลต่อมหาวีระอยูไม่น้อย
่ มหาวีระไม่ได้ มองสรรพสิงมีมลจาก
ู
องค์ประกอบอะไร แต่มองไปว่าชีวะมีอยูเ่ ป็ นจํานวนมากเช่นเดียวกับสิงมีชีวิต
ทังหลาย ทีไหนมีชีวตทีนันก็มีชีวะ ชีวะมีอยูทกหนแห่ง ไม่เพียงแต่ในสัตว์
ิ ่ ุ
เท่านัน มีอยูแม้ ในพืชและผงธุลี
่
- 5. 5
นักวิทยาศาสตร์ สมัยปั จจุบนก็ให้ การรับรองในเรื องนีว่า ทุกอย่างมีชีวิต
ั
เช่นตัวเบิมและอมีบา ชีวตมีอยูในธุลีและสิงทีไร้ ชีวิต ทุกชีวะมิได้ มีความรู้สก
ิ ่ ึ
เหมือนกันหมด ชีวะบางพวก เช่น พวกทีอยู่ในพืชหรื ออยูในผงธุลีมีความรู้สก
่ ึ
โดยอาศัยผัสสะหรื อประสาทสัมผัสอย่างเดียว สัตว์ชนตําบางจําพวกมี
ั
ความรู้สกสองทางคือ ทางผัสสะและทางรส เช่น หนอน บางจําพวกมี
ึ
ความรู้สกได้ ๔ ทางคือ ทางผัสสะ ทางรส ทางกลินและทางตา เช่น ผึง
ึ
สัตว์ชนสูงมีความรู้สก ๕ ทาง คือทางผัสสะ ทางรส ทางกลิน ทางตา
ั ึ
และทางหู เช่น มนุษย์ มนุษย์มีความรู้สกได้ ๕ ทาง จึงทําให้ มนุษย์มี
ึ
ความรู้ได้ มากกว่าสัตว์และ แม้ วาความรู้สกเหล่านีจะมีการพัฒนาขึนด้ วย
่ ึ
ประการใด ๆ ก็ตาม ชีวะทีอาศัยอยูในร่างกาย ย่อมมีภาวะจํากัดทังในด้ าน
่
ความรู้และพลังงานต้ องตกอยูในความทุกข์ จนกว่าจะหลุดพ้ นและทุก ๆ ชีวะ
่
สามารถบรรลุความเป็ นสัพพัญ ู คุณสมบัติทงสามนีเป็ นคุณสมบัติทีแท้ จริ ง
ั
ของชีวะ แต่กรรมได้ เข้ ามาบันทอนและกําจัดคุณสมบัติทีแท้ จริ งของชีวะ
ออกไป ดุจอาทิตย์ถกเมฆบดบัง กรรมหรื อพลังงานของตัณหาในชีวะได้
ู
ดึงดูดเอาชินของวัตถุเข้ ามาใส่ตวเอง วัตถุแทรกซึมอยูในชีวะดุจดังชินของผง
ั ่
ธุลีแทรกซึมอยูในแสงไฟหรื อดวงอาทิตย์ กรรมใดนําชีวะไปผูกพันกับวัตถุ
่
การกําจัดกรรมออกไปให้ สินเชิงนัน ชีวะจะต้ องกําจัดบ่วงทีผูกพันตนเองให้
หมดสินไปโดยสินเชิง ต่อจากนันชีวะจะลุถึงความสมบูรณ์อนเป็ นธรรมชาติ ั
แท้ จริ งของตนเอง
อภิปรัชญาเชนนีได้ ทําให้ เกิดอหิงสธรรมทีสอนให้ ระมัดระวังไม่
ประทุษร้ ายชีวิต แม้ จะไม่อาจเห็นได้ ด้วยตาเปล่า ซึงแตกต่างจากอหิงสธรรม
ของศาสนาต่าง ๆ ในโลก
ชีวะในทรรศนะของมหาวีระก็คือ จิตในทรรศนะของพระพุทธเจ้ า แต่
พระพุทธเจ้ ามิได้ ทรงถือว่า จิตเป็ นนิรันดร์ มีธรรมชาติดงเดิมบริ สทธิ แม้ จะมี
ั ุ
คําว่า ปภัสสรใช้ กบจิตก็หมายถึงภวังคจิต ซึงยังมีกิเลสตัณหาประกอบอยู่
ั
- 6. 6
แต่ไม่มีประเภทอุปกิเลสจรเข้ ามาสูจิต จึงเรี ยกว่าปภัสสร จิตมิได้ เป็ นนิรันดร์
่
เกิดขึนเพราะมีเหตุปัจจัยและจะดับไปเพราะเหตุปัจจัยดับ ข้ ออธิบายเรื องของ
พระพุทธเจ้ ามีหลักปฏิจจสมุปบาทหลักฐาน
เรื องกรรมในทรรศนะของพระพุทธเจ้ าเป็ นปฏิกิริยาของจิตกับ
สิงแวดล้ อม ซึงแสดงออกได้ เปน ๓ ทาง คือกายกรรม วจีกรรมและ
้
มโนกรรม มโนกรรมเป็ นตัวทีสําคัญทีสุดของจริ ยธรรมทังหลาย กรรมของ
พระพุทธเจ้ ามีลกษณะคล้ ายพลังงาน การกระทํากรรมทุกครัง จิตเป็ นผู้เก็บ
ั
สังสมพลังงานนันไว้ ดีบ้าง ชัวบ้ าง และจะส่งผลทีเรี ยกว่าวิบาก ทําให้ ไปเกิด
ในสุคติบ้าง ทุคติบ้าง ตามสมควรแก่กรรมของตน มิได้ มีลกษณะเป็ นดังยาง
ั
เหนียวดึงดูดชินของวัตถุเข้ ามาอยูในจิตอย่างทีมหาวีระกล่าวไว้ แต่ประการใด
่
เกียวกับเรื องตัณหา พระพุทธเจ้ ามิได้ ทรงถือว่าเป็ นตัวกรรม แต่ถือว่า
เป็ นเหตุให้ ทํากรรมเป็ นองค์ประกอบของชีวิตปุถชน ตามหลักปฏิจจสมุปบาท
ุ
อันได้ แก่วงจรแห่งชีวิตของปุถชน ๓ คือ กิเลส กรรม วิบาก กิเลสเป็ นเหตุให้
ุ
ทํากรรม กรรมส่งผลเป็ นวิบาก วิบากก็สร้ างสมกิเลสต่อไป นีคือความทุกข์
ความหลุดพ้ นจากทุกข์ก็คือ กําจัดกิเลสไม่ให้ เกิดอีกต่อไป นีคือความหลุด
พ้ น ไม่ต้องมาเกิดอีก มิใช่เป็ นการทําให้ ชีวะบริ สทธิ ดังทีมหาวีระได้ กล่าวไว้
ุ
ความเชือเรืองวิญญาณและการเวียนว่ ายตายเกิด (วิญญาณนิยม)
ทุกสรรพสิงในพืนพิภพล้ วนแต่มีวิญญาณ ดวงวิญญาณทุก ๆ ดวง
สามารถบรรลุถึงโมกษะสูความเป็ นสัพพัญ ู
่ และหลุดพ้ นได้ หากสามารถ
สลัดได้ ซงพันธนาการทีเหนียวรังดวงวิญญาณให้ ชีวิตพบกับการเกิด
ึ การ
เจริ ญเติบโต การแก่ชรา จนจบกระบวนการภพนันคือตาย และเริ มต้ นสูการ ่
เวียนมาเกิดใหม่ หรื อเรี ยกว่า การเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีทีสินสุดอยูภายใต้
่
อํานาจแห่งกฎของจักรวาล หรือกฎแห่งกรรม หากยึดติดอยูกบสิงทีเป็ น ่ั
รูปธรรมซึงเป็ นศัตรูกบจิตอ้ นถือเป็ นนามธรรม
ั
- 7. 7
กรรมและกิเลสเป็ นตัวเหนียวรังให้ วิญญาณถูกคุมขังและจํากัด ไร้
ความสุขและอิสรภาพ มีความมัวหมองและอวิชชา ดุจแสงอาทิตย์ทีมีผงธุลี
บดบังไม่สามารถส่องแสงสว่างได้ อย่างเต็มที ความรู้เป็ นปั จจัยอันสําคัญของ
วิญญาณทุก ๆ ดวง ดังนัน ความรู้กบวิญญาณจึงไม่สามารถแยกออกจากกัน
ั
ได้ คือ ความรู้เป็ นปั จจัยหรื อธาตุแท้ ของวิญญาณ ไม่ใช่เป็ นเพียงคุณสมบัติที
บังเกิดขึนโดยบังเอิญ และไม่ใช่ผลพลอยได้ หากเกิดขึนมาโดยอาศัยปั จจัย
หลาย ๆ อย่างผสมกัน ถือว่าความรู้เป็ นดุจดังแสงอาทิตย์ ซึงสามารถทําให้
ตนเองสว่าง และผู้อืนยังพลอยได้ รับแสงสว่างนันด้ วย นอกจากจะมีอปสรรค ุ
บางอย่างกันแสงนันไว้ ไม่ให้ สองเข้ าไปถึงวัตถุได้ เท่านัน เช่นเดียวกับวิญญาณ
่
ถ้ าหากไม่มีสิงใดมาปิ ดบังหรื อมีอปสรรคใด ๆ แล้ ว วิญญาณก็จะกลาย
ุ
มาเป็ นสัพพัญ รู้ ูทกสิงทุกอย่าง เพราะสัพพัญ ู เป็ นธรรมชาติแฝงอันหนึงที
ุ
แฝงอยูในวิญญาณทุก ๆ ดวง เช่นเดียวกับความร้ อนทีแฝงอยูในนําฉะนัน สิง
่ ่
หนึงทีมีอยูในวิญญาณทุก ๆ ดวงนัน คือ ความรู้แจ้ งแทงตลอด
่
ฐานะแห่ งความเชือในเชน (อเทวนิยม)
เชน ได้ ปฏิเสธพระเจ้ าผู้สร้ าง ไม่มีความเชือพระเจ้ าผู้สร้ างแต่อย่างใด
ทุกคนสามารถบรรลุสไกลวัล หรื อโมกษะได้ จะต้ องใช้ ความอดทนและวิริยะ
ู่
ด้ วยตัวของตัวเอง มีความเพียรอันสูงส่งในการปฏิบติศีลโดยเคร่งครัด จนรู้
ั
แจ้ งด้ วยตนเอง หรื อตรัสรู้
ปรัชญาเชน มีหลักการยึดถือความประพฤติแบบอหิงสา คือการงดเว้ น
จากการเบียดเบียนชีวิตสัตว์ทงมวล ด้ วยความคิดคือ อเนกันตะ (anekanta)
ั
และด้ วยการพูดคือ อปริ ครหะ (aparigraha) ส่วนทังสามนีเป็ น
หลักการทีสําคัญเหมือนส่วนยอดสุดของลัทธิเชน
ปรัชญาเชน สามารถแบ่งย่อยออกเป็ น ๗ กลุม คือ ชีวะ อชีวะ
่
อสารวะ พัทธะ
- 8. 8
สัมวระ นิรชรา โมกษะ แต่ในบางครังได้ รวมเอาบาปและปั ญญาเพิมเข้ าไป
ด้ วยอีก ๒ อย่าง การแบ่งกลุมต่าง ๆ เหล่านี ผู้ทีปรารถนาความหลุดพ้ น
่
ควรจะรู้ตามทรรศนะของเชน โดยเหตุทีเนือสารซึงมีจํานวนมากมาย มีการ
เกิดขึน ดํารงอยู่ และสลายไปในเอกภพทังปวงขึนอยูกบชีวะกับอชีวะ
่ั
ชีวะในลัทธิเชน เป็ นวิญญาณทีมีความรู้ ซึงตรงกับปุรุษะ ในปรัชญา
สางขยะและอาตมันของไวเศษิกะ เวทานตะ ลักษณะสําคัญของชีวะคือมี
จํานวนไม่จํากัด เพราะว่าถึงชีวะมีจํานวนจํากัดแล้ ว เมือชีวะบรรลุโมกษะ
แล้ ว โลกของเราก็จะว่างเปล่า หรื อมิฉะนันชีวะทีหลุดพ้ นไปแล้ วจะต้ อง
กลับมาสูโลกมนุษย์อีกซึงเป็ นไปไม่ได้ ฉะนันชีวะจึงมีจํานวนนับไม่ถ้วน
่
ชีวะจึงมีลกษณะเหมือนกับร่างกาย เป็ นส่วนเดียวกับร่างกาย เมือใดที
ั
ร่างกายเจ็บปวด ชีวะก็จะเจ็บปวดด้ วย แต่จะแตกต่างในแง่ทีว่า ชีวะไม่ได้ ถกู
ทําลายไปด้ วย แม้ ร่างกายจะแตกสลายไป นอกจากนันการรับรู้ยงเป็ น ั
ลักษณะสําคัญของชีวะ ส่วนคุณสมบัติอืนของชีวะก็จะมีความรู้เป็ นสารัตถะ
(substance) โดยความรู้นีจะมีอยูภายในชีวะเสมอ แม้ วาลักษณะและ
่ ่
ขอบเขตของความรู้จะแตกต่างกันออกไป ชีวะเป็ นกระแสสืบต่อกันไปอย่างไม่
หยุดยัง ชีวะเป็ นทังผู้ร้ ู ผู้เสวยอารมณ์
ลักษณะของชีวะแบ่งออกเป็ น ๒ ลักษณะคือ ประเภททีมีจิต และ
ประเภทไม่มีจิต หรื อประเภททีเคลือนไหวได้ กับประเภททีเคลือนไหวไม่ได้
ชีวะเคลือนไหวได้ หมายถึงชีวะทีสามารถเลือนไหวจากทีหนึงไปสูอีก ่
ทีหนึง เช่น โลก นํา พืช ถือว่าเป็ นสิงทีเคลือนไหวไม่ได้ ส่วนไฟและอากาศ
เป็ นสิงทีเคลือนไหวได้ เหตุทีความรู้เป็ นสาระสําคัญของชีวะทุกชีวะ ตังแต่
ระดับตําสุดถึงระดับสูงสุด ดังนัน ความรู้ในชีวะต่าง ๆ จึงมีระดับต่าง ๆ กัน
ด้ วย ความรู้มีระดับต่างกันก็เนืองมาจากกรรม
สําหรับกรรมตามทรรศนะของเชนถือเป็ นเนือปรมาณู
- 9. 9
ถึงแม้ วาชีวะในระดับตําสุดจนถึงชีวะระดับสูงสุดมีความรู้ในระดับ
่
ต่างกัน แต่มีข้อสังเกตประการหนึง คือ ชีวะในระดับตําสุดในเนือปรมาณูหรื อ
วัตถุ มีสภาพเหมือนกับไร้ ชีวะและปราศจากความรู้ แต่ความจริ งแล้ วชีวะและ
ความรู้ในระดับนีจะมีอยูในฐานะทีไม่มีกมมันตภาพ ส่วนชีวะทีมนุษย์จะหลุด
่ ั
พ้ นจากกรรมทังปวง มีความรู้ทีบริ สทธิ และได้ บรรลุโมกษะเป็ นสัพพัญ ู
ุ
สาเหตุทีมีกรรมติดข้ องอยูเ่ พราะว่าทุก ๆ ขณะเราจะทํากรรมอยู่
ตลอดเวลา โดยกิจกรรมทังกาย วาจา ใจ โดยมีความทะยานอยากเป็ น
ตัวกระตุ้น ทุกสิงทุกอย่างทีเราทําจะเกิดเป็ นการกระทําของเราทังดีและชัว
และสิงนันก็จะติดอยูกบชีวะ สิงนีเรี ยกว่า อาสรวะ ส่วนกระแสกรรม
่ั
ทีผูกพันกับชีวะ เรี ยกว่า พันธะ เป็ นสภาพทีกรรมไหลเข้ ามาสูชีวะจาก่
ผลิตผลของการกระทําทังกาย วาจา ใจ ซึงเรี ยกการะกระทําเหล่านีว่า โยคะ
พันธะซึงทําให้ เกิดการติดข้ องนีมี ๒ อย่าง คือ ภาวพันธะ เริ มอุบติขน
ั ึ
ทังทีวิญญาณมีอารมณ์ไม่ดี อีกอย่างหนึงเรี ยกว่า ทรัพยพันธะ เริ มต้ นด้ วย
การเข้ าไปในชีวะ พันธะหรื อการติดข้ องนี วัตถุกรรมจะรวมกับชีวะ
โดยเหตุทีชีวะนันมีลกษณะตามธรรมชาติดงเดิม
ั ั คือความบริ สทธิ
ุ
ปั ญหาก็คือชีวะนันติดข้ องได้ อย่างไร จะเห็นวาในปรัชญาอินเดียเกือบทุก
ระบบ ทฤษฎีเรื องการติดข้ องของปรัชญาเชนมีลกษณะแตกต่างจากระบบอืน
ั
ปรัชญาเชนมีทรรศนะว่า ชีวะนันติดข้ องอยูกบกรรมทีตนเองกระทําขึน
่ั
การกระทําทุกอย่างไม่วาด้ านสมองหรื อร่างกายก็ดี
่ กรรมจะเข้ าครอบคลุม
ชีวะและเป็ นผลให้ ชีวะติดข้ องอยู่ ดังนันสาเหตุของการติดข้ องของชีวะก็คือ
กรรม เป็ นสิงทีเกิดจากกิเลสของตนเอง
ตามทรรศนะของเชน ถือว่าการเปลียนแปลงทีเกิดขึนกับสภาพ
ของร่างกายของชีวะจะมีผลโดยตรง ซึงจะเกิดการเปลียนแปลงไปพร้ อมกับใน
ด้ านสมองด้ วย การเปลียนแปลงทีเกิดขึนในแต่ละคนจะอยูในโลกของกรรม ่
ซึงเป็ นปรมาณูของสิงของหรื อวัตถุ เช่น เมือเกิดความคิดชัวร้ ายเกิดขึน
- 10. 10
กระแสกรรมก็เข้ าไปติดพันกับชีวะและปกคลุมชีวะไว้ และเมือเกิดความคิดที
ดีขน มีการกระทําทีดี กระแสกรรมก็จะหลุดจากชีวะ จึงกล่าวได้ วาตาม
ึ ่
ทรรศนะของเชนนัน การเปลียนแปลงไม่ได้ เกิดขึนเฉพาะตัวชีวะแต่ละดวง
เท่านัน แต่ยงมีการเปลียนแปลงทีเกิดขึนเป็ นปรนัยพร้ อมกันด้ วย ในรูปของ
ั
ปรมาณูจะเข้ าไปแทรกอยูในชีวะ
่
ความหมายของกรรมตามทรรศนะของเชน จึงมีลกษณะเป็ นเนือสาร ั
กรรมนันไม่ใช่เป็ นเรื องอัตนัย เช่นเดียวกับทรรศนะของพุทธศาสนาเพียงอย่าง
เดียว แต่ยงมีลกษณะเป็ นปรนัยอีกด้ วย
ั ั ความคิดเรื องกรรมทีเป็ นทัง
อัตนัยและปรนัย จึงเป็ นลักษณะพิเศษในปรัชญาเชน ในทุกขณะเราทํากรรม
โดยกิจกรรมของจิต คําพูดและร่างกายทีถูกกระตุ้นด้ วยความปรารถนา
ความเกลียด ความหลง และความผูกพัน จะเป็ นกรรมและเข้ าไปติดทีชีวะ
ดังนัน ตลอดเวลาทีกระทําสิงทีดีหรือชัวก็ตาม กระแสกรรมจะเข้ าไปติดชีวะ
เหมือนกับนํามาจากลําคลองฉันใด กรรมจะมาสูชีวะด้ วยคลองคือโยคะหรื อ
่
การกระทําได้ ฉันนัน ฉะนันชีวะกับกรรมจึงมีความสัมพันธ์ใกล้ ชิด โดยทีโยคะ
เป็ นสาเหตุของอาสรวะ และอาสรวะเป็ นสาเหตุของความติดข้ อง
สําหรับอาสรวะนัน ยังแบ่งออกเป็ น ๒ ประเภท คือ ภาวาสรวะ และ
ทรัพยาสรวะหรื อกรรมาสรวะ กล่าวคือกิจกรรมทางความคิดของชีวะเปน ้
สาเหตุทีเกียวข้ องของกรรมกับชีวะ เรี ยกว่า ภาวาสรวะ หรื อการติดข้ อง
ภายใน การแสดงออกของชีวะนันผ่านทางประสาทสัมผัสทังห้ า ส่วนกรรม
ซึงประสานกับชีวะโดยตรง เรี ยกว่า ทรัพยาสรวะ เป็ นการติดข้ องภายนอก
ฉะนัน พอจะสรุปขบวนการทังหมดคือ ภาวาสรวะ เกียวข้ องกับ
กิจกรรมทางความคิด ในขณะทีทรัพยาสรวะเกียวกับกรรมทีเป็ นเนือสาร โดย
ทีทรัพยาสรวะเป็ นสาเหตุของการเคลือนทีกระแสของกรรมทีเป็ นเนือสารเข้ าไป
ทีชีวะ ซึงเรี ยกว่าทรัพยาสรวะ ประการทีสําคัญทีสุด คือขบวนการทังสองจะ
เกิดขึนในขณะเดียวกัน แต่กล่าวได้ ในแง่ของตรรกวิทยาว่า การติดข้ อง
- 11. 11
ภายใน เกิดขึนก่อน และเป็ นสาเหตุของการติดข้ องภายนอก ซึงยังแบ่ง
ออกเป็ น ๔ ประเภทด้ วยกันตามลักษณะธรรมชาติของกรรม กล่าวคือชนิด
ของกรรมทีไปผูกพันกับชีวะ ระยะเวลาของการติดข้ องนันถือว่า เป็ นช่วงเวลา
ทีกรรมนันติดแน่นอยูกบชีวะ ความเข้ มข้ นของกรรมทีติดแน่นอยูกบชีวะ เป็ น
่ั ่ั
ความเข้ มข้ นของกรรมทีติดอยูกบชีวะ และขอบเขตของชีวะทีกรรมติดอยู่
่ั
ตามทรรศนะของเชนนัน มีสาเหตุของการติดข้ องอยู่ ๓ ประการ คือ
(๑) ทรรศนะทีไม่ถกต้ อง
ู
(๒) ความรู้ทีไม่ถกต้ อง
ู
(๓) ความประพฤติทียังไม่ถกต้ อง
ู
ด้ วยเหตุนี การปรับทัศนคติให้ ถกต้ องนัน เป็ นขันแรกของความหลุดพ้ น
ู
ต่อมาความรู้ทีถูกต้ องและความประพฤติทีถูกต้ องจะตามมา ทรรศนะที
ถูกต้ องจะเป็ นเงือนไขทีจําเป็ นประการแรกของการทําลายการติดข้ อง
เนืองจากสาเหตุของการติดข้ อง คือการรวมกันของเนือสารของกรรม
กับชีวะ ดังนัน การหลุดพ้ นจึงมีองค์ประกอบคือการแยกหรื อทําลายเนือสาร
ของกรรมเหล่านี ดังนันสิงทีจําเป็ น ผู้แสวงหาความหลุดพ้ น คือการ
ตรวจสอบดูวา เนือสารของกรรมทีติดอยูกบชีวะ ขบวนการเช่นนีเรี ยกว่าสัมว
่ ่ั
ระ หมายถึงการควบคุมหรื อการหยุดยังอนุภาคของกรรม เป็ นการปฏิบติ ั
เพือทีจะหาทางหยุดกระแสกรรมทีแปลกปลอมไม่ให้ เข้ ามาเป็ นองค์ประกอบ
ของชีวะ
สําหรับสัมวระ แบ่งออกเป็ น ๒ ประเภท คือ
(๑) การหยุด การคิดสําหรับกิจกรรมทางความคิดทีไม่ถกต้ อง
ู
(๒) การหยุดทีแท้ จริ งของอาสรวะ คือหยุดและทําลายเนือสารของกรรม
วิถีทางทีจะนําไปสูสมวระ มี ๖ ประการ คือ
่ ั
(๑) การควบคุมโยคะ ซึงหมายถึงควบคุมกิจกรรมของจิต คําพูด และ
ร่างกาย
- 12. 12
(๒) สมิติ เป็ นทรรศนะทีระมัดระวังในกิจกรรมทุกอย่าง
(๓) ยึดถือกฎความประพฤติ ๑๐ ประการ
(๔) ต้ องเจริ ญวิปัสสนาเพือตรวจสอบกระแสกรรม
(๕) การอดทนต่อความลําบากทีต้ องได้ รับ เพือไม่ให้ กระแสกรรมเข้ ามา
ติดข้ องกับชีวะ เช่น ความหิว ความกระหาย
(๖) ความประพฤติทีถูกต้ อง ๔ ประการ
นอกจากวิธีการทัง ๖ ซึงหยุดการเคลือนทีของอนุภาคแห่งกรรมสูชีวะแล้ ว ่
ต้ องมีการทรมานตนเอง เพือล้ างความผิดอีกด้ วย ซึงมีประโยชน์ ๒ ประการ
ได้ แก่ การหยุดอนุภาคของกรรมไม่ให้ มาสูชีวะ และการทําลายอนุภาคของ
่
กรรมทีมีอยูแล้ ว
่
หลังจากขบวนการดังกล่าวสินสุดลง ก็จะมาถึงขบวนการทีเรี ยกว่า นิร
ชรา ซึงเป็ นขันสุดท้ ายทีจะไปถึงการบรรลุโมกษะ หลังจากทีหลุดพ้ น
จากกรรม ชีวะจะหลุดพ้ น ปั ญหาสําคัญคือ เมือสินสุดขบวนการของนิรชรา
เป็ นเพียงขันก่อนการบรรลุโมกษะในแง่ตรรกวิทยาเท่านัน แต่ความจริ งแล้ วก็
จะเกิดขึนพร้ อมกันและจะเกิดสิงอีก ๓ สิงขึนพร้ อมกัน คือ
(๑) การแยกตัวของชีวะจากร่างกาย
(๒) ชีวะออกจากร่างไป
(๓) ชีวะกลับไปสูอวกาศยอดสุดของจักรวาล
่
วิธีเข้ าสู่โมกษะอันเป็ นสภาวะความจริงสูงสุดในศาสนาเชน
เชนถือวา โมกษะเปนจุดหมายสูงสุดของชีวิต เปนโลกุตตรภาวะ
สภาวะที่พนไปจากโลกไมตองมาเวียนวายตายเกิดในสังสารวัฏไมระทม
ทุกขอีกตอไป สวนการปฏิบัติเพื่อที่จะใหบรรลุโมกษะไดก็ดวยการ
กําจัดอวิชชาใหหมดไปดวยวิชชา เมื่อไมมีอวิชชา ก็จะไมมกิเลส เละ
ี
- 13. 13
เมื่อไมมกิเลสก็จะไมมีกรรม ชีวะก็จะหมดจดผองใสตามเดิม เพราะไม
ี
ถูกกิเลสและกรรมหอหุมปกปด
การหลุดพ้ นจากกรรม เริ มจากการปฏิบติตนเพือตัดบ่อเกิดแห่ง
ั
กรรมหรื อทําลายอวิชชาอันเป็ นทีมาของกิเลสและตัณหาทีจะนํามนุษย์สความ ู่
มืดบอดไม่ร้ ูแจ้ ง การทรมานตนหรื อการบําเพ็ญตบะนําพาให้ สภาวะทาง
วิญญาณมีระดับของความบริ สทธิ สูงขึน ๆ จนถึงจุดสมบูรณ์แห่งวิญญาณ
ุ
ไม่แปดเปื อนและหม่นหมองจากกรรมและกิเลส ส่วนตัณหาเกิดจากอวิชชา
คือ ความไม่ร้ ู เนืองจากความรู้ เป็ นหนึงในสามทีจะทําให้ มนุษย์หลุดพ้ น
เรี ยกว่า “รัตนตรัย” สูอิสรภาพจากพันธนาการ ส่องสว่างดุจแสงอาทิตย์ ด้ วย
่
หลักแห่งมรรค ๓ ประการ (ติรัตนะ) คือ
๑. สัมมาทัสสนะ หรื อ สัมมาสัทธา คือ ความเห็นชอบมีความเชือมัน
ในศาสดาและศาสนา
๒. สัมมาญาณ คือ รู้ชอบแห่งทีมาของทุกข์และกรรมด้ วยหลักอหิงสา
ทังกาย วาจา ใจ และรู้ชอบสัจธรรมอันไม่เทียง
๓. สัมมาจาริ ตตะ คือ ประพฤติชอบตามหลักปฏิบติ ๗ ขัน คือ
ั
ขันที ๑ หลักปฏิบติพืนฐานแห่งอนุพรตและมหาพรตทัง ๕ คือ
ั
๑. อหิงสา ยึดมันเป็ นอุดมการณ์แห่งชีวิตในเรื องความรักและ
เมตตาต่อสิงมีชีวตทังปวง ทังทางตรงและทางอ้ อม
ิ
๒. สัตยะ กล่าวแต่สตย์จริ ง อันสอดคล้ องกับอหิงสา
ั
๓. อัสเตยะ ยึดหลักศีลธรรม ยุติธรรมและไม่คตโกง
๔. พรหมจริ ยะ ไม่หลงมัวเมาในกามารมณ์
๕. อปริ ครหะ ละทิงความโลภไม่ยดติดในวัตถุ
ึ
ขันที ๒ มีความสํารวมทุกอิริยาบถ
ขันที ๓ ควบคุมกาย วาจา และใจให้ เรี ยบร้ อย
- 14. 14
ขันที ๔ ประพฤติปฏิบติธรรม ๑๐ ประการ คือ สุภาพ
ั
อ่อนโยน, เทียงตรง,ซือสัตย์, สะอาด, อดทน, บําเพ็ญตบะ, เสียสละ,
ไม่หลงในกิเลส, ไม่เสพเมถุน และให้ อภัย
ข้ นที ๕ ต้ องหมันเข้ าญาณสมาบัติ
ขันที ๖ อดทนต่อความหิวกระหาย และความร้ อนหนาว
ขันที ๗ มีความบริ สทธิ ปราศจากความโลภทังปวง
ุ
การบําเพ็ญญาณปฏิบติหรื อประพฤติพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัดมี
ั
กําหนดเวลา ๑๒ ปี จึงจะเข้ าเขตของการหลุดพ้ น หลังจากนัน หากไม่
ต้ องการจะมีชีวิตอยู่ นักบวชเชนจะอดอาหารจนจบชีวิตลง
บทสรุ ป
หลักปรัชญาการดําเนินชีวิตของเชน นับเป็ นปรัชญาทีเด่นชัดใน
เรื องของการช่วยตนเองให้ พ้นจากความอวิชชาโดยยึดหลักการทรมานตนเอง
ไม่พงสิงใด ๆ แม้ แต่พระเจ้ าผู้สมบูรณ์ชวการนิรันดร์ ด้ วยเหตุผลทีว่า
ึ ั ผู้
สมบูรณ์โดยไม่เคยเป็ นผู้ไม่สมบูรณ์มาก่อนนัน ย่อมไม่น่าเชือถือ แต่ก็ไม่
สามารถตัดสินได้ วา การไม่พงหรื อไม่ศรัทธาในพระเจ้ าเป็ นสิงทีผิดหรื อถูก แต่
่ ึ
เชนจะแสดงออกถึงความไม่งมงายในหลาย ๆ หลักธรรม เพราะถือเป็ น
หลักธรรมสากลทีลัทธิอืนก็รับรอง มีความเคร่งครัดในเรื องของกรรม ทําให้ หลัก
อหิงสาทีจะต้ องมีเมตตาธรรมต่อสรรพชีวิต ค่อนข้ างจะมีความหมายต่อ
มนุษยชาติในยุคโลกาภิวตน์ ั แต่จะขัดแย้ งกับการปฏิบติในการทรมาน
ั
ตนเอง ซึงเท่ากับไม่เมตตาต่อชีวิตตนเอง หากจะห้ ามทรมานชีวิตอืน ๆ
ก็ต้องห้ ามทรมานชีวิตเองตนด้ วยจึงจะถูก แม้ จะมีการกราบไหว้ วิญญาณ
ศาสดาเจ้ าลัทธิเทียบเท่าพระเจ้ า แต่ก็มิใช่เพือความกรุ ณาหรื อยกโทษใด ๆ
เพราะกรรมไม่มีการปราณี
- 15. 15
เส้ นทางของการต่อสู้กิเลสตามแนวของเชนมีความชัดเจน ทีจะตัดไฟ
แต่ต้นลม ตัดต้ นเหตุทีทําให้ เกิดกรรม หากแต่ไม่มีการยืดหยุนเป็ นหลักการทีดี
่
ต่อผู้ถือพรตทีตัดได้ ทกสิง ซึงค่อนข้ างจะรุนแรงและเคร่งครัด
ุ สําหรับ
ปุถชนธรรมดาผู้ทําหน้ าทีสืบเผ่าพันธุ์ตามธรรมชาติเพือการดํารงอยูของชีวิต
ุ ่
ใหม่ ไม่เหมาะสมทีจะประพฤติหลักธรรมพรหมจรรย์แบบสุดขัว แต่
เหมาะสมทีจะเดินทางสายกลาง เพราะความสุดโต่งของหลักการจะบันทอน
ความสอดประสานสูความเป็ นสากลของศาสนามวลมนุษยชาติ โดยรวม
่
แล้ วสัจธรรมคําสอนทีแทรกอยูในทุกศาสนาคือสิงเดียวกัน แม้ แต่หลักธรรม
่
ทังหลายของเชนทีสนับสนุนหลักพรตทังห้ า แตกต่างก็เฉพาะมุมมองและ
ความเคร่งครัด ทีมีกาลเวลาและยุคสมัยมาเกียวข้ อง ความเหมาะสมจึงอยูที ่
เหตุผลของผู้เดินตาม ฉะนัน จึงยังไม่มีสจธรรมในศาสนาใดทีมนุษย์เห็น
ั
ว่าสมบูรณ์ทีสุด ตราบเท่าทีมนุษย์มองกันคนละด้ าน หากแม้ จะยึดทางสาย
กลางระหว่างศาสนาไม่ได้ แต่ระหว่างนิกายทิคมพร และเศวตามพรนัน
ั
ควรต้ องปรับลดความสุดโต่งลงมาบ้ าง เพราะปั จจุบนมีผ้ นบถือเชนอยู่
ั ู ั
๑,๕๐๐,๐๐๐ คน โดยประมาณ การปรับตัวเป็ นคุณสมบัติสําคัญในการ
ดํารงอยูของศาสนา ความสอดประสานจะทําให้ มนุษย์อยูร่วมกันได้ อย่างสันติ
่ ่
และมีชยชนะต่อกรรมกิเลสทีสังสมเป็ นอคติภายในใจ
ั
ปรัชญาเชน สอนบุคคลให้ พิชิตหรือชนะต่อกิเลสและตัณหาให้ ได้ อย่าง
สินเชิง เพือหลุดพ้ นจากความยึดติดทังปวง ทําให้ เกิดความรู้แจ้ งในตนเอง
ขึนมา ตามทีองค์ศาสดาได้ ประพฤติปฏิบติ จึงต้ องเคารพและบูชาศาสดา แต่
ั
ไม่ยดถือในพระเจ้ า ศาสดาคือผู้มีดวงวิญญาณซึงบริ สทธิ เป็ นผู้ตงลัทธิและ
ึ ุ ั
นําพาให้ เกิดกําลังใจทีจะต่อสู้เอาชนะต่อกิเลสตัณหาทังปวง หลุดพ้ นจากบ่วง
มารทังปวง ซึงครังหนึงดวงวิญญาณเคยผูกมัดอยูในบ่วงมาร แต่กลับกลาย
่
มาเป็ นผู้หลุดพ้ น เป็ นสัพพัญ ู ทังนีก็โดยอาศัยความวิริยะด้ วยตนเอง โดย
มิได้ พงพาอาศัยพระเจ้ าแต่อย่างใด และถือว่า ชีวะหรื อวิญญาณทุก ๆ ดวง
ึ
- 16. 16
ซึงถูกผูกพันอยูกับปั จจุบนและกิเลสตัณหา ถ้ าได้ เดินตามทางทีพวกศาสดาได้
่ ั
สังสอน ก็จะกลับกลายเป็ นสัพพัญ ู มีพลังอํานาจและความสุข
เช่นเดียวกับทีศาสดาทังหลายได้ รับมา และนีคือปลายทางแห่งความหวังของ
เชน
การทีจะบรรลุโพธิญาณต้ องอาศัยกําลังใจทีมันคงจากภายในจิตใจของ
ตน โดยการพยายามบําเพ็ญตบะ ประพฤติพรหมจรรย์ มีเมตตาต่อสรรพ
สัตว์ ด้ วยอหิงสา สละทุกสิงแม้ แต่อาภรณ์ตามแนว “ติรัตนะ” แก้ วสามดวง
แห่งมรรคาทังสาม อันจะนําไปสูความสมบูรณ์แห่งวิญญาณ หลุดพ้ น
่
พันธนาการวัฏฏสงสาร หรื อการเวียนว่ายตายเกิด ด้ วยหลักธรรม ๗ ขัน ที
ถือว่า “เป็ นความดีสงสุด”
ู
นิรวาณ (นิพพาน)
นิรวาณ ในปรัชญาเชนไม่ได้ หมายถึง ความดับวิญญาณโดยสินเชิง
แต่เป็ นการนําวิญญาณให้ บรรลุสนติสขตลอดไป
ั ุ ภาวะหลุดพ้ นทีเรี ยกว่า
โมกษะก็คือ การหลีกเว้ นกรรม ไม่ห่วงใยในชิวิตหรื อวัตถุอืนใดทังสิน ภาวะ
สิทธิ คือผู้สําเร็ จแล้ วจะไม่เป็ นเหตุเป็ นปั จจัยแห่งสังสารวัฏอีก หมดสินเงือนไข
อย่างสมบูรณ์ จะรู้แต่เพียงว่าสัมยัคทัศนะ หรื อสัมยัคศรัทธา สัมยัคชญาณ
และสัมยัคจริ ต เป็ นหนทางแห่งความหลุดพ้ น จะไม่สามารถกล่าวได้ วา การ ่
ทีวิญญาณเป็ นอิสระจะมีอะไรปรากฏบ้ าง และก็ไม่สามารถกล่าวให้ แหน่ชด ั
ลงไปว่า มีผ้ ร้ ูวิญญาณเป็ นอิสระมากมาย สภาวะทีสมบูรณ์อาจจะอธิบายได้
ู
เพราะวิญญาณเป็ นอิสระจากกรมและกิเลสตัณหา เป็ นสภาวะทีมันคงสุขสันติ
อย่างแท้ จริ ง อดีตกรรมหมดพลังแล้ ว วิญญาณแม้ จะยังคงมีพฤติกรรมอยู่ก็
จะไม่สร้ างภพสร้ างชาติขนมาอีก
ึ จะเป็ นวิญญาณทีอิสระพ้ นพันธะใด ๆ
เป็ นอยูนิรันดร มีสมมาญาณ มีเสรี ภาพสมบูรณ์และอนันตสุข ซึงสามารถจะ
่ ั
รับอารมณ์และสิงใด ๆ ได้ แต่การรับรู้อารมณ์และความรู้ทีเกิดขึนเป็ นหน้ าที
- 17. 17
ของวิญญาณ ไม่ใช่อินทรี ย์ต่าง ๆ โมกษะ เคลือนทีขึนเบืองบนโดยไม่หยุดยัง
ในภาวะนิพพานวิญญาณจะพุงสูเ่ บืองบนเนืองจากกรรมในอดีตหมดพลัง
่
ให้ ผลแล้ ว เชือสืบต่อให้ เกิดอีกต่อไปสินสุดลง ความผูกพันต่าง ๆ ได้ พงทลาย
ั
ไปมีแต่จะมุงตรงไปสูเ่ บืองบนเท่านัน ทีเรี ยกว่า “สิทธวิญญาณจุดหมาย
่
ปลายทางสูงสุดของศาสนาเชน
จุดหมายปลายทางสูงสุดของศาสนาเชน
ศาสนาเชนมีจุดหมายปลายทางสูงสุดของชีวิต อันเปนความสุขที่แทจริงและ
นิรันดร คือ นิรวารณะ หรือ โมกษะ (ความหลุดพน) ผูหลุดพันจากเครื่องผูก คือ
กรรม ไดชื่อวา สิทธะ หรือ ผูสําเร็จ เปนผูไมมีชั้นวรรณะ ไมรูสึก
กระทบกระเทือนตอกลิ่น ปราศจากความรูสึกเรื่องรส ไมมีความรูสึกที่เรียกวา
เวทนา ไมมีความหิว ความเจ็บปวด ความเสียใจ ความดีใจ ไมเกิด แก ตาย ไม
มีรูป ไมมีรางกาย ไมมีกรรม เสวยความสงบอันหาที่สุดมิได วิธีที่จะบรรลุ
จุดหมายปลายทางนั้นจะตองปฏิบัติโดยเครงครัดตามขอปฏิบัติพื้นฐานที่
เรียกวา อนุพรต 5 จนถึงอยางสูงที่เปนขอปฏิบัติอันยิ่งใหญและสําคัญคือ มหา
พรต 3
เอกสารอ้ างอิง
นวนิต ประถมบูรณ์. ทรรศนะเรืองความหลุดพ้ นในปรัชญาอินเดีย. บัณฑิตวิทยาลัย.
จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. ๒๕๒๐
ฟื น ดอกบัว. รศ. ปวงปรัชญาอินเดีย. กรุงเทพฯ :สํานักพิมพ์สยาม.๒๕๔๕
สถิต วงศ์สวรรค์. รศ. ปรัชญาตะวันออก.กรุงเทพฯ : อมรการพิมพ์. ๒๕๔๗
สนัน ไชยานุกล. ปรัชญาอินเดีย. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๑๙
ู
เสถียร พันธรังษี . ศาสดามหาวีระ. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๔๙๕