More Related Content Similar to แนวคิด ทฤษฎีการเรียนรู้ร่วมสมัย
Similar to แนวคิด ทฤษฎีการเรียนรู้ร่วมสมัย (20) More from khanidthakpt (20) แนวคิด ทฤษฎีการเรียนรู้ร่วมสมัย2. แนวคิด ทฤษฎีการเรียนรู้ร่วมสมัย
แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้จากอดีตตั้งแต่ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 จนถึงปัจจุบัน
ผู้นาเสนอจะนาเสนอทฤษฎีร่วมสมัยที่มีความสาคัญและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางมา
นาเสนอจานวน 6 ทฤษฎี โดยจะนาเสนอสาระของแต่ละทฤษฎีแยกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่
เป็นแนวคิดสาคัญของทฤษฎี และส่วนที่เป็นการประยุกต์ใช้ทฤษฎีเหล่านั้นในการจัดการ
เรียนรู้ ทฤษฎีการเรียนรู้ร่วมสมัยที่นาเสนอในบทนี้มีดังนี้
1. ทฤษฎีประมวลสารสนเทศ (Information Processing Theory)
2. ทฤษฎีพหุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences)
3. ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism)
4. ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน (Constructionism)
5. ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Theory of Cooperative or
Collaborative Learning)
6. ทฤษฎีการเรียนรู้ด้วยสมอง (Brain-Based Learning Theory)
3. ทฤษฎีประมวลสารสนเทศ
เป็นทฤษฎีที่จัดอยู่ในกลุ่มพุทธินิยม (Cognitivism) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความสนใจกับ
กระบวนการคิด และการให้เหตุผลของผู้เรียน เป็นทฤษฎีที่เกิดขึ้นประมาณช่วงกลางของปี ค.ศ.
1950 ทฤษฎีนี้เกิดขึ้นเนื่องจากนักจิตวิทยารู้สึกไม่พอใจกับแนวคิด ทฤษฎีการเรียนรู้ของกลุ่ม
พฤติกรรมนิยมที่ไม่ได้พูดถึงกระบวนการคิดของคน ทฤษฎีประมวลสารสนเทศ จึงเป็นทฤษฎีที่
สนใจศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาสติปัญญา โดยให้ความสนใจเกี่ยวกับการทางานของ
สมองของมนุษย์
นอกจากนี้การประมวลผลการทางานของคอมพิวเตอร์ได้ให้ข้อคิดกับ
นักจิตวิทยาในการมองมนุษย์ว่า มนุษย์เป็นสัญลักษณ์ของระบบควบคุม
ระบบนี้คือ การสะสมความจา ซึ่งจะผ่านขั้นตอนการทางานเช่นเดียวกับการ
ทางานของคอมพิวเตอร์ มีทั้งการใส่รหัสข้อมูลการสะสมข้อมูล และการเรียก
ข้อมูลออกมาใช้
4. แนวคิด ทฤษฎีการเรียนรู้ คลอสเมียร์
กระบวนการประมวลข้อมูล เริ่มต้นจากการที่มนุษย์รับสิ่งเร้าเข้ามาทาง
ประสาทสัมผัสทั้ง 5 (การมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรับ
สัมผัส) สิ่งเร้าที่เข้ามาจะได้รับการบันทึกไว้ในความจาระยะสั้น ซึ่งการบันทึก
นี้จะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 2 ประการ คือการรู้จัก (recognition)
และความใส่ใจ (attention) ของบุคคลขณะที่รับสิ่งเร้า เมื่อบุคคล
เลือกรับสิ่งเร้าที่ตนรู้จักหรือสนใจ สิ่งเร้านั้นจะได้รับการบันทึกลงใน
ความจาระยะสั้น (short-term memory (STM)
6. แนวคิดสาคัญของทฤษฎีประมวล
สารสนเทศ ประกอบด้วย
1. ความจา ประกอบด้วย ความจา 3 รูปแบบ อันได้แก่
1) การบันทึกสัมผัส (Sensory Memory หรือ SM)
2) ความจาระยะสั้น (Short-Term Memory หรือ
STM)
3) ความจาระยะยาว (Long Term Memory หรือ
LTM)
2. กระบวนการควบคุม จะเป็นตัวกาหนดสารสนเทศจากความจาหนึ่งไปสู่
ความจาหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยการระลึกได้ (recognition) ความใส่ใจ
(attention) การพูดปากเปล่า หรือการท่องจา (rehearsal)
การท่องจาด้วยความเข้าใจ (elaborative rehearsal)
8. กระบวนการรู้คิด เริ่มตั้งแต่ความใส่ใจ (attention) ในการรับรู้การรู้คิด
ประการต่อไปคือ การรับรู้ (perception) ตัวอย่างเช่น ผู้เรียนที่
ตระหนักรู ้ว่าการรับรู ้ของตนอาจจะผิดพลาดได้จะยัง
ไม่ตัดสินใจจนกว่าจะได้ข้อมูลที่พอเพียง แสดงให้เห็นว่า
การรู้คิดสามารถควบคุมการกระทาได้ การรู้คิดอีกประการหนึ่งได้แก่กลวิธีต่าง ๆ
(strategies) ที่จะมาช่วยให้ผู้เรียนจดจาสิ่งที่เรียนได้ดี เช่น การท่องการ
9. ดังนั้น การรู้ในเชิงอภิปัญญาหรือการรู้คิด (metacognitive
knowledge) จึงมักประกอบไปด้วยความรู้เกี่ยวกับบุคคล
(person) งาน (task) และกลวิธี (strategy) ประกอบด้วย
ความรู้ย่อย ๆ ที่สาคัญดังนี้
1. ความรู้เกี่ยวกับบุคคล (person) ความแตกต่างระหว่าง
differences)
2. ความรู้เกี่ยวกับงาน (task)
3. ความรู้เกี่ยวกับกลวิธี (strategy)
ความรู้เกี่ยวกับความรู้คิดของตนเอง หรืออภิปัญญา รวมถึงสิ่ง
สาคัญอื่นๆที่มีผลต่อความคิดนั้น จอห์น ลลาเวลล์ (John
Flavel) ได้ให้ความหมายของ
metacognition และ Cognition ลลาเวลล์ 7 ได้
อธิบายไว้ว่า
Cognition หมายถึง การรู้คิดหรือปัญญาที่เกิดจากการเรียนรู้ด้วย
ความเข้าใจ Metacognition หมายถึง ความรู้ส่วนตัวของแต่ละ
บุคคลต่อสิ่งที่ได้เรียน หรือผู้เรียนคิดอย่างไรต่อสิ่งที่ได้เรียนรู้ไป
10. แนวคิด ทฤษฎีประมวลสารสนเทศ เป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอน
หลายประเภท ดังนี้
1. การรู้จัก (recognition)
2. ความใส่ใจ (attention)
3. วิธีการเข้ารหัส เช่น การท่องจาซ้า ๆ การทบทวนหรือการใช้กระบวนการ
ขยายความคิด (elaborative operations process)
ซึ่งได้แก่ การเรียบเรียง ผสมผสาน ขยายความ การสอนให้จาคาที่ยากๆเช่นคา
ว่า“ Arithmetic” โดยใช้ตัวหนังสือตัวแรกของประโยค A Rat
in the House May Eat the Ice Cream การสอน
ให้จาอักษรกลางในไวยากรณ์ภาษาไทย (กจฎฏดตบปอ) ด้วยการผูกคา “ไก่
จิกเด็กตายเด็กตายบนปากโอ่ง” เป็นต้น
4. ข้อมูลที่ถูกนาไปเก็บไว้ในหน่วยความจาระยะยาวแล้วสามารถเรียก
ออกมาใช้งาน เช่น ร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับการตั้งคาถามด้วยตนเอง ให้
นักเรียนได้ดูตัวอย่างคาถามที่ระดับความเข้าใจหลายๆตัวอย่าง
การประยุกต์ใช้ทฤษฎีในการจัดการเรียนร
11. ผู้บุกเบิกแนวคิดทฤษฎีพหุปัญญา คือ การ์ดเนอร์ (Gardner) จากมน
(Harvard University) ในปี ค.ศ. 1983
ทฤษฎีพหุปัญญา
การ์ดเนอร์ ได้นิยาม “เชาวน์ปัญญา” ไว้ว่า หมายถึง ความสามารถในการ
แก้ปัญหาในสภาพแวดล้อมต่างๆ หรือการสร้างสรรค์ผลงานต่างๆ ซึ่งจะมี
ความสัมพันธ์กับบริบททางวัฒนธรรมในแต่ละแห่ง รวมความสามารถในการ
ตั้งปัญหาเพื่อจะหาคาตอบและเพิ่มพูนความรู้
13. เชาวน์ปัญญา 8 ด้านตามแนวคิดของการ์ดเนอร์ มีดังนี้
1. เชาวน์ปัญญาด้านภาษา (Linguistic intelligence) เชาวน์
ปัญญาด้านนี้ถูกควบคุมสมองส่วนที่เรียกว่า “broca 's area”
สติปัญญาด้านนี้แสดงออกทางความสามารถใน การอ่าน การเขียน การพูดอภิปราย
การสื่อสารกับผู้อื่น การแสดงออกของความคิด การประพันธ์ การแต่งเรื่อง การเล่าเรื่อง
เป็นต้น
เชาวน์ปัญญาด้านนี้เป็นศักยภาพของ นักพูด นักเล่านิทาน กวี นักการเมือง บรรณาธิการ
นักเขียน ทนายความ นักโต้วาที เป็นต้น
14. เชาวน์ปัญญา 8 ด้านตามแนวคิดของการ์ดเนอร์ มีดังนี้
2. เชาวน์ปัญญาด้านคณิตศาสตร์หรือการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ (logical-
mathermatical intelligence)
เชาวน์ปัญญาด้านนี้เป็นความสามารถระดับสูงของบุคคลใน การเข้าใจหลักการของเหตุและ
ผลรวมทั้งการใช้ตัวเลขปริมาณและการปฏิบัติการทางคณิตศาสตร์ รวมถึงความไวในการเห็น
ความสัมพันธ์แบบแผนตรรกวิทยา การคิดเชิงนามธรรม และการคิดที่เป็นเหตุเป็นผล (cause
effect) และคิดคาดการณ์ (if-then)
เชาวน์ปัญญาด้านนี้เป็นศักยภาพของ นักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ นักจัดทาโปรแกรม
15. เชาวน์ปัญญา 8 ด้านตามแนวคิดของการ์ดเนอร์ มีดังนี้
3. เชาวน์ปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ (spatial intelligence) เชาวน์ปัญญาด้าน
นี้ถูกควบคุมโดย สมองซีกขวา
เชาวน์ปัญญาด้านนี้ความสามารถระดับสูงในการสร้างภาพ 3 มิติของโลกภายนอกขึ้นใน
จิตใจของตนเอง ไวต่อสีเส้นรูปร่าง เนื้อที่
เชาวน์ปัญญาด้านนี้เป็นศักยภาพของ ผู้นาทาง นักเดินเรือ นักบิน นายพราน นักเล่นหมากรุก
ซ่างแกะสลัก สถาปนิก ศิลปิน มัณฑนากร และนักประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์
16. เชาวน์ปัญญา 8 ด้านตามแนวคิดของการ์ดเนอร์ มีดังนี้
4. เชาวน์ปัญญาด้านดนตรี (musical intelligence) เชาวน์ปัญญาด้วย
สมองซีกขวาแต่ยังไม่สามารถระบุตาแหน่งที่แน่นอนได้
เชาวน์ปัญญาด้านนี้ด้านจังหวะการร้องเพลง การลังเพลงและดนตรี การแต่งเพลง การเต้น
และมีความไวต่อการรับรู้เสียง และจังหวะต่าง ๆ
เชาวน์ปัญญาด้านนี้เป็นศักยภาพของ นักดนตรี นักแต่งเพลง นักวิจารณ์ดนตรีและเพลง
17. เชาวน์ปัญญา 8 ด้านตามแนวคิดของการ์ดเนอร์ มีดังนี้
5. เชาวน์ปัญญาด้านการเคลื่อนไหวร่างกายและกล้ามเนื้อ (bodily-kinesthetic
intelligence) เชาวน์ปัญญาด้านนี้ถูกควบคุมโดยสมองส่วนที่ เรียกว่า คอร์เท็กซ์ โดย
ด้านซ้ายควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายซีกขวาและด้านขวาควบคุมการเคลื่อนไหวของร่าย
กายซีกซ้าย
เชาวน์ปัญญาด้านนี้ความสามารถระดับสูงในการใช้ร่างกายทั้งหมดหรือบางส่วนของตน แสดง
ความคิดความรู้สึกทักษะทางกาย เช่น ความคล่องแคล่ว ความแข็งแรง ความรวดเร็ว ความ
ยืดหยุ่น ความประณีต และความไวทางประสาทสัมผัส
เชาวน์ปัญญาด้านนี้เป็นศักยภาพของ นักกีฬา นักแสดงท่าใบ้ นาฏกร นักล้อนรา ช่างปั้น ช่างแก้
รถยนต์และศัลยแพทย์
18. เชาวน์ปัญญา 8 ด้านตามแนวคิดของการ์ดเนอร์ มีดังนี้
6. เชาวน์ปัญญาด้านมนุษยสัมพันธ์ (interpersonal intelligence)
เชาวน์ปัญญาด้านนี้ถูกควบคุมโดยสมองส่วนหน้า
เชาวน์ปัญญาด้านนี้การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การทางานกับผู้อื่น การเข้าใจและเคารพผู้อื่น การ
แก้ปัญหาความขัดแย้ง และการจัดระเบียบ
เชาวน์ปัญญาด้านนี้เป็นศักยภาพของ นักประชาสัมพันธ์ โฆษก พิธีกร นักสื่อสารมวลชน
ผู้สอนแพทย์พยาบาล นักการตลาด
19. เชาวน์ปัญญา 8 ด้านตามแนวคิดของการ์ดเนอร์ มีดังนี้
7. เชาวน์ปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง (intrapersonal
intelligence)
เชาวน์ปัญญาด้านนี้รู้จักตนเอง เข้าใจในอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของ
ความเป็นจริงเกี่ยวกับจุดอ่อนจุดแข็งในเรื่องใด ๆ มีความรู้เท่าทัน
อารมณ์ความคิดของตน สามารถฝึกฝนตนเองได้
เชาวน์ปัญญาด้านนี้เป็นศักยภาพของ ผู้นาทางศาสนา นักจิตวิทยา
20. เชาวน์ปัญญา 8 ด้านตามแนวคิดของการ์ดเนอร์ มีดังนี้
8. เชาวน์ปัญญาด้านความเข้าใจสภาพธรรมชาติ (naturalist
intelligence)
เชาวน์ปัญญาด้านนี้รู้จักธรรมชาติของพืชและสัตว์ สามารถแยกแยะจัดจาแนก
และสัตว์ มีความไวในการเข้าใจลักษณะอื่นๆ ของธรรมชาติ รักธรรมชาติ
เชาวน์ปัญญาด้านนี้เป็นศักยภาพของ นักพฤกษศาสตร์ นักสิ่งแวดล้อมทางสังคม
22. 1. การจัดการเรียนการสอนควรมีกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายที่สามารถส่งเสริมเชาวน์
ปัญญาหลาย ๆด้าน จะช่วยให้ผู้เรียนทุกคนมีโอกาสที่จะพัฒนาตนเองอย่างรอบด้านพร้อมทั้ง
ช่วยส่งเสริมความสามารถเฉพาะตนของผู้เรียนไปในตัว
2. การสอนควรเน้นการส่งเสริมความเป็นเอกลักษณ์ของผู้เรียน ผู้สอนควรสอนโดยเน้นให้
ผู้เรียนค้นหาเอกลักษณ์ของตนเอง ส่งเสริมให้ผู้เรียนภูมิใจในตนเอง
การประยุกต์ใช้ทฤษฎีในการจัดการเรียนรู ้
ตัวอย่างขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู ้ ดังนี้
2.1 กลวิธีการสอนที่สัมพันธ์กับปัญญาด้านภาษา เช่น การเล่านิทาน การระดมสมอง
การอัดเสียงเทป การเขียนบันทึกประจาวัน การตีพิมพ์หนังสือ
2.2 กลวิธีการสอนที่สัมพันธ์กับปัญญาด้านเหตุผล-คณิตศาสตร์ เช่น การจัด
หมวดหมู่และแยกประเภท การสอนให้คิดวิเคราะห์วิจารณ์
2.3 กลวิธีการสอนที่สัมพันธ์กับปัญญาด้านมิติ เช่น การให้เห็นภาพ การใช้สีระบายสี
ระบายเรื่องที่ชอบ การใช้แผนภาพแทนข้อมูลต่าง ๆ
23. 2.4 กลวิธีการสอนที่สัมพันธ์กับปัญญาด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น ใช้ภาษาร่างกาย
พูดโต้ตอบโดยการให้ผู้เรียนสื่อสารด้วยภาษาท่าทาง
2.5 กลวิธีการสอนที่สัมพันธ์กับปัญญาด้านดนตรี เช่น ใช้ดนตรีช่วยความจา การใช้ดนตรี
ตามอารมณ์
2.6 กลวิธีการสอนที่สัมพันธ์กับปัญญาด้านมนุษยสัมพันธ์ เช่น การสอนด้วยกิจกรรมการ
เรียนรู้แบบร่วมมือ สถานการณ์จาลอง
2.7 กลวิธีการสอนที่สัมพันธ์กับปัญญาด้านเข้าใจตนเอง เช่น การให้ผู้เรียนคิดตรึกตรองเป็น
เวลา 1 นาที เกี่ยวกับเรื่องที่เรียน
2.8 กลวิธีการสอนที่สัมพันธ์กับปัญญาด้านธรรมชาติ เช่น การปลูกต้นไม้ เยี่ยมชมแหล่ง
การเรียนรู้ ศึกษาธรรมชาติจากการเข้าร่วมกิจกรรมอนุรักษ์ธรรมชาติ
ตัวอย่างขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู ้ ดังนี้
3. ระบบการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ควรมีการประเมินหลาย ๆ ด้าน และในแต่ละด้านควร
ประเมินในสภาพการณ์ของปัญหาที่สามารถแก้ปัญหาด้วยอุปกรณ์ที่สัมพันธ์กับเชาวน์ปัญญาด้าน
นั้น ๆ
24. วีก็อทสกี (Vygotsky) เป็นนักจิตวิทยาชาวรัสเซียที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการทาง
เชาวน์ปัญญา เป็นที่ยอมรับกันในประเทศรัสเซีย และเริ่มเผยแพร่สู่ประเทศสหรัฐอเมริกาและ
ประเทศต่าง ๆในยุโรป
ในปี ค.ศ. 1986 โคซูลิน (Kozulin) ได้แปลและปรับปรุงหนังสือของวีก็อทสกีอีกครั้ง
หนึ่ง เป็นผลทาให้มีผู้นิยมนามาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนอย่างแพร่หลาย
ทฤษฎีการสร้างความรู ้ด้วยตนเอง
แนวคิดทฤษฎีการเรียนรู ้
วีก็อทสกี้ ให้ความสาคัญกับวัฒนธรรมและสังคม โดยมีแนวคิดว่ามนุษย์ได้รับ
อิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมตั้งแต่แรกเกิด ได้แก่ สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมทาง
สังคม
ดังนั้น สถาบันสังคมต่าง ๆเริ่มตั้งแต่สถาบันครอบครัวจะมีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางเชาวน์
ปัญญาของแต่ละบุคคล
วีก็อทสกี้ มีความเชื่อว่าการให้ความช่วยเหลือ ด้วยการชี้แนะให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
ในลักษณะของการให้ความช่วยเหลือทางการเรียนรู้ “assisted Learning”
หรือ “scaffolding” เป็นสิ่งสาคัญมากเพราะสามารถช่วยพัฒนาผู้เรียนถึงระดับ
ศักยภาพที่แท้จริงของผู้เรียนได้
25. การประยุกต์ใช้ทฤษฎีในการจัดการเรียนรู ้
1. เป้าหมายการเรียนรู้จะต้องมาจากการปฏิบัติงานจริง (authentic tasks)
ผู้สอนจึงควรกาหนดการเรียนการสอนให้เห็นเรื่องหรือปัญหาที่มีขอบเขตกว้าง
2. ในการเรียนการสอนแบบสร้างความรู้ผู้สอนจะมีบทบาทในการอานวยความสะดวกและ
ช่วยเหลือผู้เรียนในการเรียนรู้ เปลี่ยนจาก “instruction” ไปเป็น
“construction” คือเปลี่ยนจาก “การให้ความรู ้” ไปเป็ น “การให้
ผู้เรียนสร้างความรู ้” สร้างแรงจูงใจภายในให้เกิดแก่ผู้เรียน
3. ออกแบบการเรียนรู้ที่มีลักษณะสมจริง จัดสถานการณ์
4. ผู้สอนอาจเสนอแนะให้ผู้เรียนใช้ข้อมูลเดิมหรือข้อมูลจากแหล่งปฐมภูมิ