More Related Content Similar to โครงงานคอมพิวเตอร์
Similar to โครงงานคอมพิวเตอร์ (20) More from Thanyalux Kanthong
More from Thanyalux Kanthong (20) โครงงานคอมพิวเตอร์5. การหายใจของมนุษย์
ประกอบด้วย 2 ขั้นตอนใหญ่ ๆ คือ
1. การหายใจภายนอก (external respiration) เป็นการนา
อากาศเข้าสู่ปอด การแลกเปลี่ยนแก๊สระหว่างปอดกับเลือด
2. การหายใจภายใน (internal respiration) การขนส่งแก๊สจาก
เลือดไปยังเซลล์และเนื้อเยื่อ ซึ่งจะทาให้ได้พลังงานในรูปของความร้อนทา
ให้ร่างกายอบอุ่นและ ATP ที่นาไปใช้ในกิจกรรมต่างๆของเซลล์ซึ่งเป็น
จุดประสงค์สาคัญที่สุดของการหายใจ
MENU
6. ระบบหายใจของมนุษย์ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้คือ
1. ส่วนนาอากาศเข้าสู่ร่างกาย (conducting division) ส่วนนี้
ประกอบด้ ว ยอวั ย วะที่ ท าหน้ า ที่ เ ป็ น ทางผ่ า นของอากาศเข้ า สู่ ส่ ว นที่ มี ก าร
แลกเปลี่ยนแก๊ส โดยเริ่มตั้งแต่
รูจมูก (nostril)
โพรงจมูก (nasal cavity)
คอหอย (pharynx)
กล่องเสียง (larynx)
หลอดลมคอ (trachea)
หลอดลมหรือขั้วปอด (bronchus)
หลอดลมฝอย (bronchiole) ซึ่งยังแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
- หลอดลมฝอยเทอร์มินอล (terminal bronchiole)
- หลอดลมฝอยแลกเปลี่ยนแก๊ส (respiratory bronchiole)
MENU
7. 2. ส่วนแลกเปลี่ยนแก๊ส (respiratory division) เป็นส่วนของ
หลอดลมฝอยที่ ต่ อ จากหลอดลมฝอยเทอร์ มิ น อล คื อ หลอดลมฝอย
แลกเปลี่ ย นแก๊ ส ซึ่ ง จะมี ก ารโป่ ง พองเป็ น ถุ ง ลมย่ อ ย (pulmonaryalveoli)ท าให้ แ ลกเปลี่ ย นแก๊ ส ได้ ส าหรั บ ส่ ว นที่ ต่ อ จากท่ อ ลมฝอย
แลกเปลี่ยนแก๊สจะเป็น
ท่อลม (alveolar duct)
ถุงลม (alveolar sac)
ถุงลมย่อย (pulmonary alveoli)
MENU
9. รูจมูก (nostril) และ โพรงจมูก (nasal cavity)
อากาศเมื่อผ่านเข้าสู่รูจมูกแล้วก็จะเข้าสู่โพรงจมูก ที่โพรงจมูกจะมีขน
เส้นเล็ก ๆ และต่อมน้ามันช่วยในการกรองและจับฝุ่นละอองไม่ให้ผ่านลงสู่
ปอด นอกจากนี้ที่โพรงจมูกยังมีเยื่อบุจมูกหนาช่วยให้อากาศที่เข้ามามีความ
ชุ่มชื้นเพิ่มขึ้นและมีอุณหภูมิสูงขึ้น ในจมูกจะมีบริเวณที่เรียกว่า ออลแฟกเทอรี
แอเรีย (olfactory area) หรือบริเวณที่ทาหน้าที่รับกลิ่น
MENU
11. กล่องเสียง (larynx)
ลักษณะเป็นแผ่น 2 แผ่น เชื่อมประกบทามุมกันเป็นชั้นเดียวในผู้ชาย
มีลักษณะแหลมยื่นออกมาเรียกว่า ลูกกระเดือก(Adam's apple) ใน
ผู้หญิงมีลักษณะป้านเรียบมองเห็นไม่ชัดเรียกว่า epiglottis เป็นกระดูก
อ่อนรูปร่างคล้ายใบไม้ ด้านหน้าเป็นช่องเปิดเข้าสู่กล่องเสียง ในขณะกลืน
อาหาร กล่ อ งเสี ย งจะเลื่ อ นขึ้ น ข้ า งบนและข้ า งหน้ า ส่ ว นปลาย
ของ epiglottis จะเลื่อนลงมาปิดกล่องเสียงไม่ให้อากาศเข้าสู่กล่องเสียง
ได้ หน้าที่ของกล่องเสียง (larynx) คือ เป็นทางผ่านเข้าออกของอากาศ
และทาให้เกิดเสียง
14. หลอดลมฝอย (bronchiole)
แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
1. หลอดลมฝอยเทอร์มินอล (terminal bronchiole) เป็นท่อที่
แยกออกจากหลอดลมแขนง พบกล้ามเนื้อเรียบและเยื่ออิลาสติกไฟเบอร์
(elastic fiber)เป็นองค์ประกอบของผนังหลอดลมฝอยเทอร์มินอล แต่ไม่
พบโครงสร้างที่เป็นกระดูกอ่อน
2. หลอดลมฝอยแลกเปลี่ยนแก๊ส(respiratory bronchiole) เป็น
ส่วนแรกที่มีการแลกเปลี่ยนแก๊ส เนื่องจากมีถุงลมย่อยมาเปิดเข้าที่ผนัง ซึ่ง
จะพบในส่วนที่อยู่ท้าย ๆ ซึ่งจะมีมากกว่าส่วนที่อยู่ติดกับหลอดลมฝอย
เทอร์มินอล
MENU
16. ถุงลมและถุงลมย่อย (alveolus หรือ alveolar sac และ
pulmonary alveoli)
ถุงลมเป็นช่องว่างที่มีถุงลมย่อยหลาย ๆ ถุงมาเปิดเข้าที่ช่องว่างอันนี้
ส่วนถุงลมย่อยมีลักษณะเป็นถุงหกเหลี่ยม เมื่อปอดแฟบเวลาหายใจออก
ผนังของถุงลมย่อยที่อยู่ติดกันจะรวมกันเป็น อินเตอร์อัล วีโอลาร์เซปทัม
(interalveolar septum) ซึ่งมีเส้นเลือดฝอยอยู่ภายใน นอกจากนี้ยังมีรู
ซึ่งเป็นช่องติดต่อระหว่างถุงลมย่อยทาให้อากาศภายในถุงลมย่อยมีแรงดัน
เท่ากันทั้งปอด ทั้งถุงลมและถุงลมย่อยจะรวมเรียกว่า ถุงลมปอด
MENU
17. ปอดแต่ละข้างจะมีถุงลมปอดประมาณ 300 ล้านถุง คิดเป็นพื้นที่
ทั้งหมดของการแลกเปลี่ยนแก๊สของถุงลมปอดทั้งสองข้างประมาณ 90
ตารางเมตรหรื อ คิ ด เป็ น 40 เท่ า ของพื้ น ที่ ผิ ว ของร่ า งกาย การที่ ป อด
ยืดหยุ่นได้ดีและขยายตัวได้มากและการมีพื้นที่ของถุงลมปอดมากมาย
ขนาดนั้นจะทาให้ร่างกายได้รับแก๊สออกซิเจนอย่างเพียงพอและคายแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วยปอดของคนมีเส้นเลือดฝอยมา
เลี้ยงอย่างมากมายจึงทาให้เกิดการแลกเปลี่ยนแก๊สได้มากและรวดเร็วจน
เป็นที่เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย
MENU
18. ปอดเป็นอวัยวะที่ทาหน้าที่ในการหายใจ ปอดตั้งอยู่ภายในทรวงอกมี
ปริมาตรประมาณ 2 ใน 3 ของทรวงอก ปอดขวาจะสั้นกว่าปอดซ้าย
เนื่องจากตับซึ่งอยู่ทางด้านล่างดันขึ้นมา ส่วนปอดซ้ายจะแคบกว่าปอด
ขวาเพราะว่ามีหัวใจแทรกอยู่ ปอดมีเยื่อหุ้มปอด (pleura) 2 ชั้น ชั้นนอก
ติดกับผนังช่องอก ส่วนชั้นในติดกับผนังของปอด ระหว่างเยื่อทั้งสองชั้นมี
ของเหลวเคลื อ บอยู่ การหุ บ และการขยายของปอดจะเป็ น ตั ว ก าหนด
ปริม าณของอากาศที่เข้าสู่ ร่างกาย ซึ่ งจะท าให้ร่างกายได้รับออกซิ เจน
ถ่ายเทคาร์บอนไดออกไซด์ออกตามที่ร่างกายต้องการ
MENU
20. เ มื่ อ ก ล้ า ม เ นื้ อ ก ร ะ บั ง ล ม แ ล ะ
กล้ ามเนื้อยึดซี่ โครงด้านนอกคลายตัวลง
ท าให้ ป อดและทรวงอกมี ข นาดเล็ ก ลง
ปริม าตรของอากาศในปอดจึงลดไปด้วย
ท า ใ ห้ ค ว า ม ดั น ภ า ย ใ น ป อ ด สู ง ก ว่ า
บรรยากาศภายนอก อากาศจึงเคลื่อนที่
ออกจากปอดจนความดั น ในปอดลดลง
เท่ากับความดันภายนอก อากาศก็จะหยุด
การเคลื่ อ นที่ซึ่ ง เรี ย กว่ า การหายใจออก
(expiration)
MENU
21. ปริมาตรอากาศที่หายใจเข้าปกติ แต่ละครั้งมีประมาณ 500 ลูกบาศก์
เซนติเมตร ถ้าบังคับให้มีการหายใจเข้าเต็มที่มากที่สุด จะมีอากาศเข้าไป
ยังปอดเพิ่มมากขึ้นจนอาจถึง 6,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร ซึ่งเป็นระดับที่
ปอดจะจุ อ ากาศได้ เ ต็ ม ที่ เ ช่ น เดี ย วกั บ การบั ง คั บ การหายใจออกเต็ ม ที่
อากาศจะออกจากปอดมากที่สุดเท่าที่ความสามารถของกล้ามเนื้อกะบัง
ลมและกล้ามเนื้อซี่โครงจะทาได้ ซึ่งจะเห็นว่าเมื่อหายใจออกเต็มที่แล้ว
ยังคงมีอากาศตกค้างในปอด ประมาณ 1,100 ลูกบาศก์เซนติเมตร
MENU
23. การแลกเปลี่ยนแก๊สในร่างกายของคนเกิดขึ้น 2
แห่งคือที่ปอดและที่เนื้อเยื่อ
1. ที่ปอด เป็นการแลกเปลี่ยนแก๊สระหว่างใน
ถุงลมปอดกับเส้นเลือดฝอย โดยออกซิเจนจากถุงลม
ปอดจะแพร่เข้าสู่เส้นเลือดฝอยรอบ ๆ ถุงลมปอดและ
รวมตัวกับฮีโมโกลบิน (haemoglobin; Hb) ที่ผิวของ
เ ม็ ด เ ลื อ ด แ ด ง ก ล า ย เ ป็ น อ อ ก ซี ฮี โ ม โ ก ล บิ ล
(oxyhemoglobin; HbO2) ซึ่งมีสีแดงสด เลือดที่มี
ออกซีฮีโมโกลบินนี้จะถูกส่งเข้าสู่หัวใจและสูบฉีดไปยัง
เนื้อเยื่อต่าง ๆ ทั่วร่างกาย
MENU
25. ศูนย์ควบคุมการหายใจ (the respiratory
centers) อยู่ที่สมองส่วนเมดัลลาออบลองกาตา
(medulla oblongata) โดยเป็นเซลล์ประสาท
กระจายอยู่ทางด้านข้างทั้งสองข้าง ศูนย์นี้จะมี
ความไวต่อปริมาณของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
หรือไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออนและไฮโดรเจน
ไอออน ซึ่งสารต่างๆเหล่านี้จะกระตุ้นทาให้เกิด
การหายใจเข้าเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นถ้าหากมีแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดเพิ่มขึ้นก็จะทาให้
เกิดการการกระตุ้นเพิ่มขึ้นด้วย
MENU
27. ระบบไหลเวียนเลือด
หัวใจ (Heart)
การหมุนเวียนเลือดของมนุษย์
จังหวะการเต้นของหัวใจ (heart rhythm)
ความดันเลือด (blood pressure)
หลอดเลือด (blood vessel)
เลือด (blood)
การแข็งตัวของเลือด (blood clotting)
หมูเ่ ลือด( Blood group ) และการให้เลือด ( Blood transfusion )
หลักในการถ่ายเลือด
ระบบไหลเวียนเลือด
MENU
28. หัวใจมีตาแหน่งอยู่ภายในช่องอกระหว่างปอดทั้ง 2 ข้าง ค่อนไป
ทางซ้ายเล็กน้อย หัวใจอยู่ภายในถุงเยื่อหุ้มหัวใจ (pericardium) ซึ่งจะมี
ของเหลวที่สร้างจากเยื่อหุ้มหัวใจทาหน้าที่หล่อลื่น และป้องกันการเสียดสี
ระหว่างหัวใจกับปอดขณะหัวใจบีบตัว หัวใจมีหลอดเลือดนาเลือดมาเลี้ยง
กล้ามเนื้อหัวใจ เรียกว่า โคโรนารีอาร์เตอรี (coronary artery) ส่วนเลือด
ที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจแล้วจะเข้าสู่หลอดเลือดโคโรนารีเวน (coronary
vein) และไหลเข้าสู่หัวใจห้องบนขวา (right atrium)
ระบบไหลเวียนเลือด
MENU
31. หัวใจห้องบนขวาหรือเอเตรียมขวาจะรับเลือดจากหลอดเลือดเวน
ใหญ่ 2 เส้น คือ ซุพเรียเวนาคาวาที่นาเลือดมาจากส่วนหัวและแขน และ
ี
อินฟีเรียเวนาคาวา ซึ่งนาเลือดมาจากส่วนลาตัวและขาเข้าสู่หัวใจ เมื่อ
หัวใจห้องบนขวาบีบตัว เลือดจะไหลเข้าสู่ห้องล่างขวา (right ventricle)
โดยผ่านลิ้นไตรคัสปิด (tricuspid valve) ที่กั้นระหว่างห้องบนขวาและ
ห้องล่างขวา เมื่อห้องล่างขวาบีบตัวเลือดจะไหลผ่าน ลิ้น พัลโมนารีเซมิลู
นาร์ (pulmonary semilunar valve) ซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นครึ่งวงกลม
3 แผ่น
ระบบไหลเวียนเลือด
MENU
32. เลือดเข้าสู่หลอดเลือดพัลโมนารีอาร์เตอรี (pulmonary artery)
หลอดเลือดนาเลือดไปยังปอดเพื่อแลกเปลี่ยนแก๊ส ทาให้เลือดมีปริมาณ
ออกซิเจนสูง เลือดจึงไหลกลับเข้าสู่หัวใจทางพัลโมนารีเวน (pulmonary
vein) เข้าสู่หัวใจห้องบนซ้าย (left atrium) เมื่อห้องบนซ้ายบีบตัว เลือดก็
จะไหลผ่านลิ้นไบคัสปิด (bicuspid valve) ไปยังหัวใจห้องล่างซ้าย (left
ventricle) เมื่อห้องล่างซ้ายบีบตัว เลือดก็จะไหลเข้าสู่เอออร์ตา ซึ่งมีลิ้นเอ
ออร์ติกเซมิลูนาร์ (aortic semilunar valve) ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับ
ลิ้นพัลโมนารีเซมิลูนาร์ ทาหน้าที่กั้นไม่ให้เลือดไหลกลับ จากหลอดเลือดเอ
ออร์ตาก็จะไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ระบบไหลเวียนเลือด
MENU
34. กล้ามเนื้อหัวใจสามารถบีบตัวได้ เนื่องจากภายในหัวใจมีบริเวณที่ทา
หน้าที่เป็นตัวควบคุมให้กล้ามเนื้อหัวใจหดตัว บริเวณดังกล่าว คือ เอสเอ
โนด (SA node) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อพิเศษเนื่องจากสามารถส่งกระแส
ความรู้สึกได้เช่นเดียวกับเซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อหัวใจเองก็สามารถ
ส่ ง กระแสความรู้ สึ ก จากเซลล์ ห นึ่ ง ไปยั ง เซลล์ ห นึ่ ง ได้ เ นื่ อ งจากมี
intercalated disk จึงทาให้กระแสความรู้สึกจากเอสเอ โนด กระจายไป
ทั่ ว กล้ า มเนื้ อ หั ว ใจห้ อ งบนอย่ า งรวดเร็ ว ท าให้ บี บ ตั ว ได้ ขณะเดี ย วกั น
กระแสความรู้สึกจะส่งไปยัง เอวี โนด (AV node) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อพิเศษ
เช่ น เดี ย วกั บ เอสเอ โนด เมื่ อ กระแสความรู้ สึ ก มาถึ ง เอวี โนด จะพั ก
ประมาณ 0.1 วินาที
ระบบไหลเวียนเลือด
MENU
36. กระแสความรู้สึกที่เคลื่อนไปในกล้ามเนื้อหัวใจในระหว่างที่หัวใจบีบตัว ทา
ให้เกิดกระแสไฟฟ้าแพร่ไปตามของเหลวในร่างกายไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
รวมทั้ ง ผิ ว หนั ง ซึ่ ง สามารถวั ด กระแสไฟฟ้ า ที่ เ กิ ด นี้ ไ ด้ ที่ บ ริ เ วณผิ ว หนั ง โดย
แสดงผลเป็ น กราฟ เรี ย กว่ า คลื่ น ไฟฟ้ า ของหั ว ใจ (Electrocardiogram,
ECG) ประกอบด้วย คลื่น 3 ชนิด คือ
- คลื่น พี (P wave) ซึ่งจะแทนการแผ่ของกระแสประสาทจาก SA node
ไปยังหัวใจห้องบนทั้งสองก่อนที่หัวใจห้องบนทั้งสองจะหดตัว
- คลื่น คิว อาร์ เอส (QRS wave) ซึ่งแสดงการแผ่ของกระแสประสาท
จาก SA node, AV bundle และ Purkinje fiber ในหัวใจห้องล่างก่อนที่หัวใจ
ห้องล่างจะหดตัว
- คลื่น ที (T wave) จะแสดงถึงการคลายตัวของหัวใจห้องล่าง
ระบบไหลเวียนเลือด
MENU
39. แรงดั น ของเลื อ ดที่ ไ ปดั น ผนั ง หลอดเลื อ ดมาจากหั ว ใจบี บ ตั ว ดั น
เลือดออกไปและความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือดทาให้เกิดแรงดันขึ้น
ความดันเลือดมัก วัดจากหลอดเลือดอาร์ เตอรีที่มีความดันมากที่สุดตอน
หัวใจหดตัว และน้อยที่สุดตอนหัวใจคลายตัว ความดันเลือดจะสูงต่าตาม
จัง หวะการบี บ ของหั ว ใจ ความดั น สู ง สุ ด เกิ ด ขณะหั ว ใจบี บ ตั ว เรี ย กว่ า
ความดันซิสโทลิก (systolic pressure) ความดันต่าสุดเกิดขณะหัวใจ
คลายตัว เรียกว่า ความดันไดแอสโทลิก (diastolic pressure)
ระบบไหลเวียนเลือด
MENU
40. เครื่องมือที่ใช้วัดความดันโลหิต คือ Sphygmomanometer มีหน่วย
เป็นมิลลิเมตรของปรอท โดยวัดจากหลอดเลือดแดงตรงแขนด้านบนซึ่ ง
ความดันเลือดในหลอดเลือดขนาดต่าง ๆ จะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับระยะที่
ห่างจากหัวใจในคนหนุ่มสาวปกติ จะมีความดันเลือด 120/80 มิลลิเมตร
ปรอท
ตั ว เลขแรก หมายถึ ง ค่ า ความดั น เลื อ ดสู ง สุ ด ขณะหั ว ใจบี บ ตั ว
(systolic pressure)
ตั ว เลขหลั ง หมายถึ ง ค่ า ความดั น เลื อ ดต่ าสุ ด ขณะหั ว ใจคลายตั ว
(diastolic pressure) ปัจจัยที่มีผลต่อความดันโลหิตของคน ได้แก่
ระบบไหลเวียนเลือด
MENU
41. อายุ อายุยิ่งมากความดันโลหิตจะมากขึ้น
เพศ ความดันโลหิตในผู้หญิงจะต่ากว่าชายเล็กน้อย (แต่ถ้าอายุ เกิน 40 ปี
ความดันโลหิตของชาย จะต่ากว่าหญิง)
ขนาดของร่างกาย คนอ้วนจะมีความดันมากกว่าคนผอม
อารมณ์ โกรธ และ กลัว ความดันโลหิตจะสูง
การออกกาลังกาย ทาให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
แรงดึงดูดของโลก อยู่ในที่สูงจะมีความดันโลหิตสูงกว่าในที่ต่า
ระบบไหลเวียนเลือด
MENU
45. ชนิดของหลอดเลือด แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
1. หลอดเลือดอาร์เตอรี(artery)
เป็นหลอดเลือดที่มีทิศทางออกจากหัวใจไปยังปอดและส่วนต่าง ๆ
ของร่างกาย หลอดเลือด อาร์เตอรี เมื่อเรียงลาดับจากหัวใจต่อเนื่องกันไป
จากขนาดใหญ่ไปเล็กตามลาดับ จะประกอบด้วย
- เอออร์ตา (aorta) มีขนาดใหญ่ที่สุด เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว
หรือ 2.5 เซนติเมตร มีความหนาของชั้นที่หุ้มหลอดเลือด 2 มิลลิเมตร
- อาร์เทอรี (artery) มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.4 เซนติเมตร มีชั้น
ที่หุ้มหนาราว 1 มิลลิเมตร
- อาร์เทอรีโอล (arteriole) มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 ไมครอนและชั้นที่บุ
หนา 20 ไมครอน
ระบบไหลเวียนเลือด
MENU
46. 2. หลอดเลือดเวน (vein)
ทาหน้าที่นาเลือดจากปอดและส่วนต่างๆของร่างกายกลับเข้าสู่หัวใจ ซึ่ง
เมื่อเรียงลาดับจากขนาดเล็กไปขนาดใหญ่สุด จะประกอบด้วยกลุ่มของหลอด
เลือด เวนูล (venule) ซึ่งเป็นหลอดเลือดที่มีขนาดเล็กที่สุด หลอดเลือดเวน
(veins)เป็นหลอดเลือดขนาดกลาง และ เวนาคาวา (venacava) ซึ่งเป็น
หลอดเลือดที่มีขนาดใหญ่ โดยหลอดเลือดเวนจะมีลิ้นกั้นอยู่ภายใน ระหว่าง
หลอดเลือดนี้มีมัดกล้ามเนื้ออยู่ เมื่อมัดกล้ามเนื้อนี้หดตัวมีผลให้หลอดเลือดเวน
ถูกบีบแคบลง ความดันในหลอดเลือดเวนจะเพิ่มขึ้นดันลิ้นในหลอดเลือดเวน
ด้ า นบนให้ เ ปิ ด ออกท าให้ เ ลื อ ดไหลสู่ ห ลอดเลื อ ดเวนด้ า นบนต่ อ ไป แต่ ลิ้ น
ส่วนล่างของหลอดเลือดเวนเมื่อได้รับความดันของเลือดจะไม่เปิดเนื่องจากกัน
ไม่ให้เลือดไหลกลับสู่ด้านล่าง
ระบบไหลเวียนเลือด
MENU
47. 3. หลอดเลือดฝอย (capillary)
เป็นระบบที่อยู่ระหว่างระบบอาร์ เทอรีและเวน ซึ่งจะแทรกอยู่ตาม
เนื้ อ เยื่ อ ส่ ว นต่ า งๆของร่ า งกาย หลอดเลื อ ดฝอยมี ข นาดเล็ ก เส้ น ผ่ า น
ศูนย์กลางประมาณ 7 ไมโครเมตร ผนังบางมากซึ่งหนาเพียง 1เชื่อมต่อ
ระหว่างหลอดเลือดอาร์เทอริ โอล และ เวนูล ทาหน้าที่แลกเปลี่ยนแก๊ส
สารต่ า ง ๆ และของเสี ย ระหว่ า งเลื อ ดกั บ เซลล์ ข องร่ า งกาย โดยแก๊ ส
ออกซิเจนและอาหารจะแพร่ผ่านผนังของหลอดเลือดฝอยเข้าสู่เซลล์และ
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์กับของเสียต่าง ๆ จากเซลล์จะแพร่ผ่านผนังของ
หลอดเลือดฝอยเพื่อส่งไปกาจัดออกยังปอดและแหล่งขับถ่ายต่าง ๆ ใน
ร่างกาย
ระบบไหลเวียนเลือด
MENU
50. 1.น้าเลือดหรือพลาสมา (plasma)
เป็นส่วนที่เป็นของเหลวค่อนข้างใส มีสีเหลืองอ่อน ค่อนข้างใส มี
ปริมาณ 55 % ของปริมาตรเลือด ประกอบด้วยน้าประมาณ 90-93%
และโปรตีน 7-10% ที่สาคัญ คือ อัลบูมิน (albumin) และโกลบูลิน
(globulin)
องค์ประกอบอื่น ๆ เช่น แร่ธาตุ หรืออิออน สารอาหาร
เอนไซม์ ฮอร์โมน เป็นต้น นอกจากน้าเลือดทาหน้าที่ลาเลียงสารอาหาร
แร่ธาตุ ฮอร์โมน แอนติบอดี ยังช่วยรักษาสมดุลความเป็นกรด – เบส
สมดุลน้า และรักษาอุณหภูมิของร่างกาย
MENU
51. 2. เซลล์และชิ้นส่วนของเซลล์ (formed elements)
มีปริมาณ 45 % ของปริมาตรเลือดทั้งหมด ประกอบด้วย
เม็ดเลือดแดง (erythrocyte)
เม็ดเลือดขาว (leukocyte)
เกล็ดเลือด (blood platelet)
หากเติ ม สารป้ อ งกั น ป้ อ งกั น การแข็ ง ตั ว ของ
เลื อดลงในเลือ ด แล้ว น าไปหมุ นเหวี่ ย งให้เ ม็ ด
เลื อ ดทั้ ง สามชนิ ด แยกตั ว ตกลงมานอนก้ น
ส่วนบนที่มีสีเหลืองอ่อนใสจะเรียกว่า พลาสมา
MENU
52. เม็ดเลือดแดง (erythrocyte)
เม็ดเลือดแดงของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้านม มีลักษณะกลมแบน เส้น
ผ่ า นศู น ย์ ก ลางประมาณ 7 - 8 ไมครอนตรงกลางเว้ า เข้ า หากั น
(biconcave) เนื่องจากไม่มีนิวเคลียสและไมโตคอนเดรีย เม็ดเลือดแดงแต่
ละเม็ดจะบรรจุฮีโมโกลบิน (haemoglobin) เม็ดเลือดแดงของคนเราจะ
อยู่ในระบบหมุนเวียนสารเป็นเวลา 120 วัน หลังจากนั้นจะถูกทาลายที่ตับ
และม้าม หรือที่ต่อมน้าเหลืองโดยวิธีฟาโกไซโตซิส
MENU
53. ฮีโมโกลบิน
ฮี โ มโกลบิ น 1 โมเลกุ ล ประกอบด้ ว ยโปรตี น
โกลบิน (globin) 1 โมเลกุลซึ่งประกอบด้วยสายโพลี
เพปไทด์ 4 สายจับกับฮีม (heme) 4 โมเลกุล แต่ละ
ฮีมจะมี Fe2+ 1 อะตอม สามารถจับออกซิเจนได้ 1
โมเลกุล ดังนั้นฮีโมโกลบิน 1 โมเลกุล จะมี Fe2+ 4
อะตอม และสามารถจับออกซิเจนได้ 4 โมเลกุล จะเกิด
สภาพออกซีฮีโมโกลบิน (oxyhaemoglobin) ซึ่งมี สี
แดง เมื่อออกซีฮีโมโกลบินปล่อยออกซิเจนให้แก่เซลล์
แล้ว จะอยู่ในรูปฮีโมโกลบินปกติ ซึ่งมีสีน้าเงิน
MENU
54. เม็ดเลือดขาว (leucocyte หรือ white blood corpuscle)
เม็ ด เลื อ ดขาวสร้ า งจากไขกระดู ก มี นิ ว เคลี ย ส มี ห น้ า ที่ ส าคั ญ คื อ
ต่อต้านและทาลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย โดยเม็ดเลือดขาว
ของสัตว์เลือดลูกด้วยน้านม แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
-กลุ่มที่ไม่มีแกรนูลพิเศษ (agranulocyte)
-กลุ่มที่มีแกรนูลพิเศษ (granulocyte)
MENU
55. กลุ่มที่ไม่มีแกรนูลพิเศษ (agranulocyte)
มีลักษณะที่สาคัญคือ มีนิวเคลียส 1 พู มีแกรนูลของไลโซโซมในไซ
โทพลาสซึ ม จั ด เป็ น แกรนู ล ปกติ และไม่ มี แ กรนู ล พิ เ ศษขนาดใหญ่
(specific granule) ที่ติดสามารถติดสีย้อมไรต์ สเตน (Wright’s stain)
1) ลิมโฟไซต์ (lymphocyte) มีประมาณ 20 - 25 % มีอายุ 2 - 3
ชั่วโมง เป็นเซลล์รูปร่างกลมมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7-9 ไมโครเมตร
มีนิวเคลียสกลม ในขณะที่อยู่ในต่อมน้าเหลือง จะมีหน้าที่สร้าง antibody
และทาลายสิ่งแปลกปลอมโดยวิธีฟาโกไซโตซิส ซึ่งแบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ
MENU
56. 1.1) ลิมโฟไซต์ชนิดบี (B - lymphocyte) หรือ B – cell จะเจริญที่ไขกระดูก
มีคุณสมบัติในการสร้างแอนติบอดีจาเพาะ โดยถ้าเซลล์บีถูกกระตุ้นโดยเชื้อโรคหรือสิ่ง
แปลกปลอม เซลล์บีจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์พลาสมา (plasma cell) ทาหน้าที่สร้าง
แอนติบอดี และบางเซลล์เปลี่ยนไปเป็นเซลล์เมมมอรี (memory cell) ทาหน้าที่จา
แอนติ เ จนนั้ น ไว้ ถ้ า แอนติ เ จนนั้ น เข้ า สู่ เ ซลล์ ใ นภายหลั ง เซลล์ เ มมเมอรี จ ะสร้ า ง
แอนติบอดีจาเพาะอย่างรวดเร็วไปทาลายแอนติเจนนั้น ๆ ให้หมดไป
1.2) ลิมโฟไซต์ชนิดที (T - lymphocyte) หรือ T – cell เกิดจากเซลล์
บริเวณไขกระดูก ซึ่งมีการเจริญพัฒนาที่ต่อมไทมัส เซลล์ทีบางชนิดจะกระตุ้นให้เซลล์บี
สร้างสารแอนติบอดี และกระตุ้น ฟาโกไซต์ให้มีการทาลายสิ่งแปลกปลอมให้รวดเร็วขึ้น
เซลล์ทีบางชนิดควบคุมการทางานของเซลล์บี และฟาโกไซต์ให้อยู่ในสภาพสมดุล และ
เซลล์ทีบางชนิดจะทาหน้าที่เป็นเซลล์เมมมอรีด้วย
MENU
57. 2) โมโนไซต์ (monocyte) มีประมาณ 3 - 8 % มีอายุ 2-3 วัน แต่
ถ้าอยู่ในเนื้อเยื่อกระดูกมีอายุยาวนาน 72 วัน เป็นเซลล์รูปกลมขนาดใหญ่
เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 12-20 ไมโครเมตร มีนิวเคลียสเป็นรูปไตหรือ
เกือกม้าจานวน 1 พู ทาหน้าที่กาจัดสิ่งแปลกปลอมด้วยวิธีฟาโกไซโตซิส
MENU
58. กลุ่มที่มีแกรนูลพิเศษ (granulocyte)
มี ลั ก ษณะที่ ส าคั ญ คื อ มี นิ ว เคลี ย สรู ป ร่ า งหลายแบบ มี จ านวนพู
มากกว่า 1พู มีแกรนูลของไลโซโซมและมีแกรนูลพิเศษขนาดใหญ่ในไซ
โทพลาสซึม
1) นิวโทรฟิล (neutrophil) เป็นเซลล์รูปร่างกลมขนาดใหญ่มีเส้น
ผ่านศูนย์กลางประมาณ 12-15 ไมโครเมตร มีอายุ 6-9 วัน พบประมาณ
60-70 % มีนิวเคลียสหลายพู ทาหน้าที่เป็นด่านแรกที่ร่างกายใช้กาจัดสิ่ง
แปลกปลอมโดยวิ ธี ฟ าโกไซโทซิ ส หลั ง จากนั้ น จะตายพร้ อ มกั บ สิ่ ง
แปลกปลอมที่ถูกกาจัด กลายเป็นหนอง
MENU
59. 2) อีโอซิโนฟิล (eosinophil) เป็นเซลล์ขนาดกลางมีเส้นผ่าน
ศูนย์กลางประมาณ 10-15 ไมโครเมตร มีอายุ 8-12 วัน พบประมาณ 2-5
% มี นิ ว เคลี ย ส 2 พู และไม่ เ ห็ น นิ ว คลี โ อลั ส ท าหน้ า ที่ ก าจั ด สิ่ ง
แปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้ามาในร่างกายแต่เลือกกินเฉพาะองค์ประกอบรวม
ของแอนติเจน - แอนติบอดี (antigen - antibody complex) เท่านั้น
และทาลายสารที่เป็นพิษที่ทาให้เกิดการแพ้สารของร่างกาย เช่นโปรตีนใน
อาหาร ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้
MENU
60. 3) เบโซฟิล (basophil) เป็นเซลล์รูปร่างกลมขนาดใหญ่มีเส้นผ่าน
ศูนย์กลางประมาณ 12-15 ไมโครเมตร มีอายุ 3-7 วัน พบประมาณ 0.51% มีนิวเคลียสรูปร่างเป็นตัวเอส(S) หรือบางครั้งเป็นแถบยาว มีแกรนูล
พิเศษขนาดใหญ่จ านวนมากกระจายบดบังบริเวณนิวเคลียส ท าหน้าที่จับ
สิ่งแปลกปลอมโดยวิธีฟาโกไซโตซิส แต่ความสามารถจะด้อยกว่าชนิดนิว
โทรฟิล และอีโอซิโนฟิลมาก ท าหน้าที่หลั่งสาร เฮพาริน (heparin) เป็น
สารที่ป้องกันการแข็งตัวของเลือด และสารฮีสตามีน (histamine) ซึ่ง
ก่อให้เกิดอาการบวมหรือแพ้
MENU
63. การแข็งตัวของเลือด (blood clotting) มีขั้นตอน ดังนี้
1) เกิดสารทรอมโบพลาสตินจากเพลตเลตและเนื้อเยื่อที่ได้รับอันตราย
2) สารทรอมโบพลาสตินที่เกิดขึ้นจะไปเปลี่ยนโปรทรอมบิน (prothrombin) ให้
กลายเป็นทรอมบิน(thrombin) โดยอาศัยแคลเซียมอิออน และปัจจัยในการ
แข็งตัวของเลือดบางตัวในพลาสมาเข้าช่วย โดย โปรทรอมบินสร้างมาจากตับ
โดยอาศัยวิตามินเค
3) ทรอมบินจะไปเปลี่ยนไฟบริโนเจน (fibrinogen) ในเลือดให้เป็นไฟบริน (fibrin)
4) ไฟบรินเส้นเล็กๆที่เกิดขึ้นจะรวมตัวกันเป็นเส้นใยไฟบริน โดยการช่วยเหลือจาก
Ca2+และปัจจัยที่ทาให้ไฟบรินอยู่ตัว และไปประสานกันเป็นร่างแห ต่อมาจะมี
เพลตเลตและเม็ดเลือดต่างๆมาเกาะบนร่างแห จึงทาให้เลือดหยุดไหล
MENU
65. หมู่เลือด( Blood group )
- ระบบหมู่เลือด ABO
จากผลงานการศึ ก ษาของนายแพทย์ ชื่ อ คาร์ ล แลนสไตเนอร์ (Karl
Lansteiner ) นักวิทยาศาสตร์ชาวเวียนนา ซึ่งค้นพบว่าเลือดของคนอาจแตกต่างกัน
ในคุณสมบัติทางเคมีบางอย่างและการจับกลุ่มตก ตะกอนของเม็ดเลือดแดงเกิดขึ้นได้
เมื่อเลือดของผู้ให้และผู้รับไม่สามารถเข้ากันได้ เพราะคนที่มีเลือดต่างกันนั้นมีสาร
พวกโปรตีนภายในพลาสมา ที่เรียกว่า แอนติบอดี ( antibody ) ที่หมุนเวียนไปทั่ว
ร่างกายแตกต่างกันและมีสารเคมีที่เรียกว่า แอนติเจน ( antigen ) อยู่ที่เยื่อหุ้มเซลล์
ของเม็ ด เลื อ ดแดงแตกต่ า งกั น ไปด้ ว ย แลนสไตเนอร์ ได้ แ บ่ ง ชนิ ด เลื อ ดของคน
ออกเป็น 4 หมู่ ตามระบบการจ าแนกแบบ ABO ตามสมบัติของแอนติบอดี และ
แอนติเจนในเลือดของแต่ละคน คือ หมู่ A B AB และO
ระบบไหลเวียนเลือด
MENU
67. - ระบบหมู่เลือด Rh
องค์ประกอบ Rh ในเลือด ( Rh factor )นอกเหนือจากหมู่เลือด ABO ที่กล่าว
มาแล้ว จากการศึกษาต่อ ๆ มาพบว่าในเลือดของแต่ละคนยังมีแอนติเจนชนิดอื่นอีก
หลายระบบ ระบบที่รู้จักกันดีคือ ระบบหมู่เลือด Rh ซึ่งคาว่า Rh มาจากคาว่า Rhesus
monkey ซึ่งเป็นชื่อลิงชนิดหนึ่งที่แอนติเจนนี้ถูกค้นพบครั้งแรกระบบหมู่เลือด Rh แบ่ง
ออกเป็น 2 กลุ่ม ตามผลการตรวจสอบคือ
1) Rh+ คือ เลือดที่มีแอนติเจน Rh อยู่บนผิวเซลล์เม็ดเลือดแดงแต่ไม่มีแอนติบอดี
(Antibody ) Rh ในน้าเลือด ซึ่งคนไทยประมาณร้อยละ 90 จะเป็น Rh +
2) Rh - คือ เลือดที่ไม่มีแอนติเจน Rh อยู่บนผิวเซลล์เม็ดเลือดแดง และน้าเลือดก็
ไม่มีแอนติบอดี Rh แต่สามารถสร้างแอนติบอดี Rh ได้ เมื่อได้รับแอนติเจน Rh (Rh+ )
ดังนั้นในการให้เลือดแก่ดันนั้น จะต้องคานึงถึงปัจจัย Rh ด้วยเพราะถ้าผู้รับเลือดเป็น
Rh - ได้รับเลือด Rh+เข้าไปในร่างกายของผู้รับก็จะถูกกระตุ้นให้ผู้รับสร้างแอนติบอดี Rh
ขึ้นได้ ดังนั้นในการให้เลือด Rh+ ครั้งต่อไปแอนติบอดี Rh ในร่างกายของผู้รับจะต่อต้าน
กับแอนติเจนจากเลือดของผู้ให้ทาให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
ระบบไหลเวียนเลือด
MENU
68. - ระบบหมู่เลือด ABO
ให้เลือดหมู่เดียวกันกับเลือดของผู้รับ เลือดของผู้ให้ต้องไม่มีแอนติเจนที่ในผู้รับมี
แอนติบอดีสาหรับแอนติเจนนั้นอยู่ ( แอนติเจนของผู้ให้ต้องไม่ตรงกับแอนติบอดีของ
ผู้รับ ) เช่น คนที่หมู่เลือด A จะมีแอนติเจน A และมีแอนติบอดี B ดังนั้นคนหมู่เลือด A
ไม่สามารถให้เลือดแก่คนที่หมู่เลือด B ได้เพราะหมู่เลือด B มีแอนติเจน B และ
แอนติบอดี A ( แอนติเจนตรงกับแอนติบอดีของผู้รับ ) เลือดจะตกตะกอน ส่วนหมู่เลือด
O ไม่มีแอนติเจน ดังนั้นจึงสามารถถ่ายเลือดให้ผู้รับได้ทุกหมู่ จึงเรียกหมู่เลือด O ว่า
ผู้ให้สากล ( Universal donor ) แต่จะรับเลือดจากหมู่เลือดอื่นไม่ได้เลย เพราะมี
แอนติบอดีทั้ง A และ B ส่วนหมู่เลือด AB มีแอนติเจน A และ B ดังนั้นจึงไม่สามารถ
ถ่ายเลือดให้หมู่เลือดอื่นได้เลย เป็นผู้รับอย่างเดียวเท่านั้น เรียกหมู่เลือด AB ว่าเป็น
ผู้รับสากล ( Universal recipient )
ระบบไหลเวียนเลือด
MENU
70. - ระบบหมู่เลือด Rh
1) คนที่มีเลือด Rh+ สามารถรับได้ทั้ง Rh+ และ Rh - เพราะคนที่มีเลือด Rh+ ไม่
สามารถสร้าง แอนติบอดีได้
2) คนที่มีเลือด Rh - รับเลือด Rh+ ครั้งแรกไม่เกิดอันตรายเพราะว่าแอนติบอดียัง
น้อย แต่จะเกิดอันตรายรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในครั้งต่อไป
3) ถ้าแม่มีเลือด Rh+ รับเลือด Rh - เมื่อมีลูก ลูกจะปลอดภัยไม่ว่าลูกจะมีเลือด
เป็น Rh+ หรือ Rh 4) ถ้าแม่มีเลือด Rh - พ่อ Rh+ ถ้าลูกมีเลือด Rh - ลูกจะปลอดภัยแต่ถ้าลูกมีเลือด
Rh+ ลูกจะไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะลูกคนต่อ ๆ ไป เพราะแอนติบอดี Rh ที่อยู่ใน
เลือดจากการตั้งครรภ์ครั้งแรกจะเข้าสู่เลือดของเด็กและเกิดปฏิกิริยาขึ้นได้ ถ้า
หากให้ ก ารรั ก ษาไม่ ทั น เด็ ก จะตายได้ อาการที่ เ กิ ด ขึ้ น นี้ เรี ย กว่ า Rh(Rh
disease ) หรือ Erythroblastosis fetalis ซึ่งเป็นโรคโลหิตจางทาให้เด็กแรก
เกิดตาย
ระบบไหลเวียนเลือด
MENU
74. น้าเหลือง ( Lymph )
ส่วนประกอบของน้าเหลืองคล้ายกับในเลือดแต่ไม่มีเม็ดเลือดแดง เป็น
ของเหลวที่ซึมผ่านผนังหลอดเลือดฝอยออกมาอยู่ระหว่างเซลล์หรือรอบ ๆ
เซลล์ เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ ในน้าเหลืองจะมีโปรตีนโมเลกุลเล็ก เช่น อัลบูมิน
และสารที่มีโมเลกุลเล็ก ๆ เช่น แก๊ส น้า น้าตาลกลูโคส น้าเหลืองไหลไปตามท่อ
น้าเหลือง โดยอาศัยปัจจัย 3 ประการ คือ
- การหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อที่จะไปกดหรือคลายท่อน้าเหลือง
- ความแตกต่ า งระหว่ า งความดั น ไฮโดรสเตติ ก ซึ่ ง ท่ อ น้ าเหลือ งขนาดเล็ก มี
มากกว่าท่อน้าเหลือง ขนาดใหญ่
- การหายใจเข้า ซึ่งไปมีผลขยายทรวงอกและลดความดันทาให้ท่อน้าเหลือง
ขยายตัว
ระบบน้้าเหลือง
MENU
75. ท่อน้าเหลือง ( Lymph vessel )
เป็นท่อตันมีอยู่ทั่วร่างกายมีขนาดต่าง ๆ กัน มีลักษณะคล้ายหลอดเลือดเวน คือมี
ลิ้นกั้นป้องกัน
การไหลกลับของน้ อง ท่อ้าเหลืองขนาดใหญ่มี 2 ท่อที่ส้าคัญคือ
้าเหลื
น้
- ท่อน้าเหลืองทอราซิก (Thoracic duct ) เป็นท่อน้าเหลืองขนาดใหญ่ที่สุด ท้า
หน้าที่รับน้าเหลืองจากส่วนต่างๆของร่างกาย ยกเว้นทรวงอกขวาแขนขวาและส่วนขวา
ของหัวกับคอ เข้าหลอดเลือดเวนแล้วเข้าสู่เวนาคาวาก่อนเข้าสู่หัวใจ อยู่ทางซ้ายของ
ลาตัว
- ท่อน้าเหลืองทางด้านขวางของลาตัว ( Right lymphatic duct ) รับน้าเหลือง
จากทรวงอกขวาแขนขวา และส่วนขวาของหัวกับคอเข้าหลอดเลือดเวน แล้วเข้าสู่เว
นาคาวา เข้าสู่หัวใจ จากนั้นน้าเหลืองที่อยู่ในท่อน้าเหลือง จะเข้าหัวใจปนกับเลือดเพื่อ
ลาเลียงสารต่าง ๆ ต่อไป
ระบบน้้าเหลือง
MENU
76. อวัยวะน้าเหลือง ( Lymph organ )
อวัยวะน้าเหลืองเป็นศูนย์กลางในการผลิตเซลล์ที่ใช้ในการต่อต้านเชื้อโรค
หรือสิ่งแปลกปลอมประกอบด้วย
• ต่อมน้าเหลือง
• ต่อมทอนซิล
• ม้าม
• ต่อมไทมัส
• เนื้อเยื่อน้าเหลืองที่อยู่ที่ลาไส้
ระบบน้้าเหลือง
MENU
77. ต่อมน้าเหลือง ( Lymph node )
พบอยู่ ร ะหว่ า งทางเดิ น ของ
ท่ อ น้ าเหลื อ งทั่ ว ไปในร่ า งกาย
ลักษณะเป็นรูปไข่ กลม หรือรี เส้น
ผ่ า นศู น ย์ ก ลางประมาณ 1. 5
มิ ล ลิ เ มตร จะมี ท่ อ น้ าเหลื อ งเข้ า
และท่อน้าเหลืองออกภายในเต็มไป
ด้ ว ยเม็ ด เลื อ ดขาวชนิ ด ลิ ม โฟไซต์
ต่ อ มน้ าเหลื อ งจะท้ า หน้ า ที่ ก รอง
น้ า เ ห ลื อ ง ใ ห้ ส ะ อ า ด ท า ล า ย
แบคที เรี ย และท้ า ลาย เม็ ด เลื อ ด
ขาวที่อยู่ในวัยชรา
ระบบน้้าเหลือง
ต่อมทอนซิล ( Tonsil gland )
เป็นกลุ่มของต่อมน้าเหลือง
มี อ ยู่ 3 คู่ คู่ ที่ ส าคั ญ อยู่ ร อบ ๆ
ห ล อ ด อ า ห า ร ภ า ย ใ น ต่ อ ม
ทอนซิ ล จะมี ลิ ม โฟไซต์ ท้ า ลาย
จุลินทรีย์ที่ผ่านมาในอากาศไม่ให้
เข้าสู่หลอดอาหารและกล่องเสียง
ถ้ า ต่ อ มทอนซิ ล ติ ด เชื้ อ จ ะมี
อาการบวมขึ้ น เรี ย กว่ า ต่ อ ม
ทอนซิลอักเสบ
MENU
78. ม้าม ( spleen )
เป็นอวัยวะน้าเหลืองที่ใหญ่ที่สุด มีหลอดเลือดมาเลี้ยงมากมายไม่มี
ท่อน้าเหลืองเลย สามารถยืดหดได้ นุ่มมีสีม่วง อยู่ใกล้ ๆ กับกระเพาะ
อาหารใต้กระบังลมด้านซ้าย รูปร่างคล้ายเมล็ดถั่วภายในจะมี ลิมโฟไซต์
อยู่มากมาย ม้ามมีหน้าที่สร้างเม็ดเลือดในระยะเอ็มบริโอในคนที่คลอดแล้ว
ม้ามทาหน้าที่ ทาลายเม็ ดเลือดแดงที่หมดอายุแ ล้ว สร้างเม็ดเลือดขาว
พวกลิมโฟไซต์ และโมโนไซต์ซึ่งทาหน้าที่ป้องกันสิ่งแปลกปลอมและเชื้อ
โรคที่ เ ข้ า ไปในกระแสเลื อ ด สร้ า งแอนติ บ อดี และ ในสภาพผิ ด ปกติ
สามารถสร้างเม็ดเลือดแดงได้ เช่น มะเร็งเม็ดเลือด
ระบบน้้าเหลือง
MENU
79. อวัยวะน้าเหลือง
ต่อมไทมัส ( Thymus gland )
เป็ น ต่ อ มที่ มี ข นาดใหญ่ ต อน
อายุน้อย และถ้าอายุมากจะเล็กลง
และฝ่อในที่สุด เป็นต่อมไร้ท่ออยู่ตรง
ทรวงอกรอบหลอดเลื อ ดใหญ่ ข อง
หัวใจ ทาหน้าที่สร้างเซลล์เม็ดเลือด
ขาวชนิดลิมโฟไซต์ T
มีหน้าที่
ต่อต้านเชื้อโรคและสารแปลกปลอม
เข้าสู่ร่างกาย รวมทั้งการต้านอวัยวะ
ที่ปลูกถ่ายจากผู้อื่นด้วย
ระบบน้้าเหลือง
MENU
81. ในร่างกายของเราได้รับสิ่งแปลกปลอมมากมาย มีทั้งเชื้อโรคได้แก่
แบคทีเรีย เชื้อรา ไวรัส พยาธิต่างๆสารเคมีที่เจือปนอยู่ในอากาศที่จะเข้าสู่
ร่างกายทาง ผิวหนัง ทางระบบหายใจ ทางระบบย่อยอาหาร หรือทาง
ระบบหมุ น เวี ย นเลื อ ดโดยปกติ ร่ า งกายจะมี ก ารป้ อ งกั น และก าจั ด สิ่ ง
แปลกปลอมที่เป็นอันตรายต่อร่างกายโดยระบบภูมิคุ้มกัน ( immunity )
สิ่ ง แปลกปลอมหรื อ เชื้ อ โรคไม่ ส ามารถเข้ า สู่ ร่ า งกายได้ โ ดยง่ า ยเพราะ
ร่างกายมีกลไกต่อต้านหรือท้าลายสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้น ซึ่งแบ่งได้เป็น
• แบบไม่จาเพาะ (nonspecific defense)
• แบบจาเพาะ (specific defense)
ระบบภูมิคมกัน
ุ้
MENU
82. กลไกการต่อ ต้า นหรื อท าลายสิ่ ง แปลกปลอมแบบไม่จ าเพาะ มี
หลายด้านด้วยกัน
ผิวหนังมีเคราตินซึ่งเป็นโปรตีนที่ไม่ละลายน้าเป็นองค์ประกอบอัดแน่น
ภายในเซลล์และเรียงตัวกันหลายชั้น ช่วยป้องกันการเข้าออกของสิ่งต่าง ๆ ได้
ผิวหนังบางบริเวณยังมีต่อมเหงื่อและต่อมไขมันหลั่งสารบางชนิด เช่น กรด
ไขมัน กรดแลกติก ท้าให้ผิวหนังมีสภาพเป็นกรด ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่เอื้อต่อการ
เจริญเติบโตของจุลินทรีย์บางชนิด
นอกจากนี้ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ท่อปัสสาวะ ช่องคลอด ซึ่ง
ติดต่อกับภายนอกยังมีเยื่อบุที่ทาหน้าที่ควบคุมการเข้าออกของสาร มีการสร้าง
เมือกและมีซีเลียคอยดักจับ สิ่งแปลกปลอมและพัดออกนอกร่างกาย และพบว่า
ในน้าตาและน้าลายมีไลโซไซม์ที่ช่วยทาลายเชื้อโรค บางชนิดได้
ในกระเพาะอาหารมีสภาพเป็นกรดและมีเอนไซม์ช่วยย่อยและทาลาย
จุลินทรีย์บางชนิดได้
ระบบภูมิคมกัน
ุ้
MENU
84. กลไกการต่อต้านหรือทาลายสิ่งแปลกปลอมแบบจาเพาะ จะเกี่ยวข้อง
กับการท้างานของ
เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ ได้แก่ เซลล์บีและเซลล์ที
การทางานของเซลล์บี
เมื่อมีแอนติเจนถูกท้าลายด้วยวิธีฟาโกไซโทซิสชิ้นส่วนที่ถูกทาลายจะไป
กระตุ้นให้เซลล์บีเพิ่มจานวน เซลล์บีบางเซลล์จะขยายขนาดและเปลี่ยนแปลง
ไปท าหน้ า ที่ ส ร้ า งแอนติ บ อดี จ าเพาะต่ อ แอนติ เ จน เรี ย กว่ า เซลล์ พ ลาสมา
(plasma cell) เซลล์ที่ได้จากการที่เซลล์บีแบ่งตัวบางเซลล์จาทาหน้าที่เป็น
เซลล์ เมมเมอรี (memory cell) คือจดจาแอนติเจนนั้น ๆ ไว้ ถ้ามีแอนติเจนนี้
เข้าสู่ร่างกายอีก เซลล์ เมมเมอรีก็จะมีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว และเจริญเป็น
เซลล์พลาสมา สร้างแอนติบอดีออกมาท้าลายแอนติเจน
ระบบภูมิคมกัน
ุ้
MENU
86. การสร้างภูมิคุ้มกันโรคของร่างกาย สร้างขึ้นได้ 2 วิธีดังนี้
• ภู มิ คุ้ ม กั น ก่ อ เ อ ง ห รื อ ก า ร ก่ อ ภู มิ คุ้ ม กั น ด้ ว ย ต น เ อ ง ( Active
Immunization)
• ภูมิคุ้มกันที่รับมา (Passive Immunuization)
ระบบภูมิคมกัน
ุ้
MENU
88. 1. Killed vaccine หมายถึง วัคซีนที่ทาจากเชื้อโรคที่ถูกฆ่าตายแล้ว
หรือทาจากองค์ประกอบของไขมัน เช่น สารพิษ สารพิษก็ต้องทาลายให้หมด
พิ ษ เสี ย ก่ อ นโดยความร้ อ น หรื อ โดยสารเคมี ดั ง นั้ น จึ ง ไม่ ท าให้ เ กิ ด โรคกั บ
ร่างกาย แต่สามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สร้างแอนติบอดีได้ วัคซีนนี้ใช้กัน
มากเพราะเตรียมง่าย ราคาไม่แพงมีหลายชนิด มีประสิทธิภาพสูง
2. Lived vaccine หมายถึง วัคซีนที่ทาจากเชื้อโรคที่ท้าให้อ่อนฤทธิ์ลง
ซึ่งเชื้อเหล่านี้จะสามารถเจริญเติบโตและแบ่งตัวอยู่ในขอบเขตจากัดเมื่อเข้าสู่
ร่างกาย ไม่ทาให้เกิดโรครุนแรง แต่มีความสามารถในการกระตุ้นให้ร่างกาย
สร้างภูมิคุ้มกันได้
ระบบภูมิคมกัน
ุ้
MENU
89. ข้อควรคานึงถึงในการให้และรับวัคซีน
1. วั ค ซี น จะให้ ป ระสิ ท ธิ ภ าพที่ ดี ถ้ า การให้ โ ดยวิ ธี ธ รรมชาติ ที่ สุ ด เช่ น วั ค ซี น ที่ เ กี่ ย วกั บ ระบบ
ทางเดินอาหาร ควรเป็นวัคซีนเดียวกัน
2. ต้องรับวัคซีนให้ครบตามจ้านวนที่กาหนดไว้ล่วงหน้า เพราะวัคซีนส่วนใหญ่จะให้ผลเต็มที่เมื่อ
ได้รับการกระตุ้นหลายครั้ง
3. เด็กแรกเกิด จะสร้างภูมิคุ้มกันต่อวัคซีนไม่เต็มที่เพราะความต้านทานที่รับจากมารดาจะเป็นตัว
ทาให้วัคซีนทาหน้าที่กระตุ้นได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นต้องรอให้ความต้านทานจากมารดาลดลงเสียก่อน
ซึ่งอยู่ในช่วง 4 - 6 เดือน
4. ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดต่อเชื้อควรได้รับการแนะนาให้ฉีดวัคซีน เช่น หัดเยอรมันใน
สตรีที่อยู่ในระยะมีบุตร บุคคลที่อยู่ในบริเวณโรคนั้นๆระบาด
5. สตรีที่กาลังตั้งครรภ์ ไม่ควรได้รับวัคซีนประเภท Live vaccine เพราะเป็นอันตรายแก่เด็กได้
6. ผู้ที่มีความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันหรือใช้ยาบางประเภทไม่ควรใช้ Live vaccine ดังนั้นควร
ปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
ระบบภูมิคมกัน
ุ้
MENU
90. ภูมิคุ้มกันที่รับมา
เป็นการให้แอนติบอดีแก่ร่างกายโดยตรง โดยแอนติบอดีนี้ได้จากสัตว์
อื่นๆ ใช้สาหรับรักษาโรคบางชนิด ที่แสดงอาการรุนแรงเฉียบพลัน โดยการฉีด
เชื้อโรคที่อ่อนกาลังแล้วเข้าไปในสัตว์พวกม้า หรือกระต่ายเพื่อให้ร่างกายของ
สัตว์ดังกล่าวสร้างแอนติบอดีขึ้นมาต่อต้านเชื้อโรคนั้นๆ แล้วนาเลือดของม้าหรือ
กระต่ายเฉพาะส่วนที่เป็นน้าใส ๆ เรียกว่า เซรุ่ม (serum) ซึ่งในเซรุ่มมี
แอนติบอดีอยู่มาฉีดให้กับผู้ป่วยเป็นการท้าให้ร่างกายได้รับภูมิคุ้มกันโดยตรง
สามารถป้องกันโรคได้ทันท่วงที เช่น เซรุ่มสาหรับคอตีบ เซรุ่มแก้ งูพิษ เซรุ่ม
โรคกลัวน้า ภูมิคุ้มกันที่แม่ให้ลูกโดยผ่านทางรก หรืออาจได้รับโดยการกินนม
ระบบภูมิคมกัน
ุ้
MENU
94. โร ค ที่ ร่ า ง ก า ย ส ร้ า ง ภู มิ คุ้ ม กั นต้ า น ท าน เ นื้ อ เยื่ อ ข อ ง ต น เ อ ง
(Autoimmune diseases)
เช่น โรคเอส-แอลอี (SLE-Systemic Lupus Erythematosus) เป็นต้น
เป็นความผิดปกติที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้านเซลล์ของตนเอง ซึ่งโดย
ปกติแล้วภูมิคุ้มกันในร่างกายสามารถแยกความแตกต่างได้ ว่าแอนติเจนใดเป็น
แอนติเจนของตนเอง และแอนติเจนใดเป็นสิ่งแปลกปลอม จึงสร้างแอนติบอดี
จาเพาะมาทาลายแอนติเจนเท่านั้นจะไม่ท้าลายเซลล์ของตนเอง แต่ในบางกรณี
เกิดภาวะผิดปกติขึ้น กลไกการควบคุมเสียไปทาให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีมา
ต่อต้านแอนติเจนของตนเอง
ระบบภูมิคมกัน
ุ้
MENU
95. โรคเอดส์ (AIDS- Acquired Immune Deficiency Syndrome)
ซึ่ ง เป็ น กลุ่ ม อาการของภู มิ คุ้ ม กั น บกพร่ อ งอั น เกิ ด จากเชื้ อ HIV
(Human Immunodeficiency Virus) เข้าไปเจริญและเพิ่มจ้านวนใน
เซลล์ทีและท้าลายเซลล์ทีซึ่งท้าให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่อง
ระบบภูมิคมกัน
ุ้
MENU