More Related Content Similar to ประวัติการศึกษาไทย
Similar to ประวัติการศึกษาไทย (20) More from Suwanan Nonsrikham
More from Suwanan Nonsrikham (11) ประวัติการศึกษาไทย2. การศึกษา (Education) หมายถึง กระบวนการ
เรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม
โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การอบรม การสืบ
สานทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์จรรโลง
ความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อัน
เกิดจากการจัดสภาพแวดล้อมสังคม การเรียนรู้และ
ปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอด
ชีวิต
9. ฝ่ายอาณาจักร แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
ส่วนทหาร และ ส่วนพลเรือน
ฝ่ายศาสนาจักร เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ
พระพุทธศาสนา เน้นพระพุทธศาสนาและ
ศิลปศาสตร์
12. 3. วิชาจริยศึกษา สอนให้เคารพนับถือบรรพบุรุษ การ
รู้จักกตัญญูรู้คุณการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี
ดั้งเดิม และการรู้จักทาบุญให้ทาน ถือศีลในระหว่าง
เข้าพรรษา
4. วิชาศิลปะป้องกันตัว เป็นการสอนให้รู้จักการใช้
อาวุธ การบังคับสัตว์ที่ใช้เป็นพาหนะในการออกศึก
และตาราพิชัยยุทธ
15. 1. การศึกษาวิชาสามัญ เน้นการอ่าน เขียน เรียนเลข
พระโหราธิบดีได้แต่งแบบเรียนภาษาไทย ชื่อ จินดา
มณี ถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
2. การศึกษาทางด้านศาสนา ชายไทยต้องบวชเรียนเขียน
อ่านมาก่อน จึงมีโอกาสได้เป็นข้าราชการ มีนักสอน
ศาสนาหรือมิชชันนารีได้จัดตั้งโรงเรียนมิชชันนารี เพื่อ
ชักจูงให้ชาวไทยหันไปนับถือศาสนาคริสต์
18. 1.วิชาสามัญ มีการเรียนวิชาการอ่าน เขียน เลข ใช้แบบเรียน
ภาษาไทยจินดามณี
2.วิชาชีพ เรียนรู้กันในวงศ์ตระกูล สาหรับเด็กผู้ชายได้เรียนวิชา
วาดเขียน แกะสลัก และช่างฝีมือต่าง ๆ ที่พระสงฆ์เป็นผู้สอน
ให้ ส่วนเด็กผู้หญิงเรียนรู้การบ้านการเรือนจากพ่อแม่สมัย
ต่อมาหลังชาติตะวันตกเข้ามาแล้วมีการเรียนวิชาชีพชั้นสูง
ด้วย เช่น ดาราศาสตร์ การทาน้าประปา การทาปืน การ
พาณิชย์ แพทยศาสตร์ ตารายา การก่อสร้าง ตาราอาหาร
เป็นต้น
24. สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เริ่มมีชาว
ยุโรป เช่น ชาติโปรตุเกสเข้ามาติดต่อทางการค้ากับไทย
ใหม่ หลังจากเลิกราไปเมื่อประมาณปลายสมัยอยุธยา และ
ชาติอื่น ๆ ตามเข้ามาอีกมากมาย เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส
ฮอลันดา เป็นต้น เนื่องจากยุโรปมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ทาให้เปลี่ยนระบบการผลิตจากการใช้มือมาใช้เครื่องจักร
พลังงานจากไอน้าสามารถผลิตสินค้าได้มากขึ้นจึงต้องหา
แหล่งระบายสินค้า ในสมัยนี้ได้ส่งเสริมการศึกษาทั้งวิชา
สามัญ โหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ จริยศาสตร์ มีการตั้ง
โรงทานหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวังเป็นที่ให้การศึกษา
32. พระราชดารัส “ … วิชาหนังสือเป็นวิชาที่
น่านับถือและเป็นที่น่าสรรเสริญมาแต่โบราณว่า เป็น
วิชาอย่างประเสริฐซึ่งผู้ยิ่งใหญ่นับแต่ พระมหากษัตริย์
เป็นต้นมา ตลอดจนราษฎรพลเมืองสมควรและจาเป็น
จะต้องรู้เพราะเป็นวิชาที่อาจทาให้การทั้งปวงสาเร็จ
ในทุกสิ่งทุกอย่าง… ”
35. ปี พ.ศ. 2414 จัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง
เพื่อฝึกคนให้เข้ารับราชการ มีพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย
อาจารยางกูร) ในขณะนั้นเป็นหลวงสารประเสริฐเป็นอาจารย์
ใหญ่ โดยมีการสอนหนังสือไทย การคิดเลข และขนบธรรมเนียม
ราชการ นอกจากมีการจัดตั้งโรงเรียนหลวงสาหรับสอน
ภาษาอังกฤษในพระบรมมหาราชวัง เกิดจากแรงผลักดันทาง
การเมืองที่ส่งผลให้ไทยต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพื่อจะได้เจรจา
กับมหาอานาจตะวันตก และมีการส่งนักเรียนไทยไปศึกษาวิชา
ครูที่ประเทศอังกฤษ
36. ปี พ.ศ. 2414 จัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นใน
พระบรมมหาราชวัง เพื่อฝึกคนให้เข้ารับราชการ
มีพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)
ในขณะนั้นเป็นหลวงสารประเสริฐเป็นอาจารย์ใหญ่
โดยมีการสอนหนังสือไทย การคิดเลข และ
ขนบธรรมเนียมราชการ
38. ปี พ.ศ. 2423 จัดตั้งโรงเรียนสุนันทาลัยใน
พระบรมมหาราชวังเป็นโรงเรียนสตรี
ปี พ.ศ. 2424 ปรับปรุงโรงเรียนพระตาหนักสวน
กุหลาบให้เป็นโรงเรียนนายทหารมหาดเล็ก ต่อมาได้
กลายเป็นโรงเรียนข้าราชการพลเรือนในปี พ.ศ.
2453 และปี พ.ศ. 2459 ได้ตั้งเป็นจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย
39. ปี พ.ศ. 2425 จัดตั้งโรงเรียนแผนที่และในปี พ.ศ.2427
จัดตั้งโรงเรียนหลวงสาหรับราษฎรขึ้นตามวัดใน
กรุงเทพมหานครหลายแห่ง และแห่งแรก คือ
โรงเรียนมหรรณพาราม
ปี พ.ศ. 2432 ตั้งโรงเรียนแพทย์ขึ้น เรียกว่า โรงเรียน
แพทยากร ตั้งอยู่ที่ริมแม่น้าหน้าโรงพยาบาลศิริราช ใช้
เป็นที่สอนวิชาแพทย์แผนปัจจุบัน
40. ปี พ.ศ. 2435 จัดตั้งโรงเรียนมูลศึกษาขึ้นในวัดทั่วไปทั้ง
ในกรุงเทพมหานครและหัวเมือง โดยประสงค์จะขยาย
การศึกษาเล่าเรียนหนังสือไทยให้แพร่หลายเป็นแบบแผน
ยิ่งขึ้น และตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูเป็นแห่งแรกที่ตาบล
โรงเลี้ยงเด็ก ต่อมาย้ายไปอยู่ที่วัดเทพศิรินทราวาส
ปี พ.ศ. 2437 นักเรียนฝึกหัดครูชุดแรก 3 คนสาเร็จ
การศึกษาได้รับประกาศนียบัตรเป็นครูสอนภาษาไทยและ
ภาษาอังกฤษ
41. ปี พ.ศ. 2449 ย้ายโรงเรียนฝึกหัดครู ซึ่งตั้งอยู่ที่วัด
เทพศิริทราวาส ไปรวมกับโรงเรียนฝึกหัดครูฝั่ง
ตะวันตก (บ้านสมเด็จเจ้าพระยา) ปรับปรุงหลักสูตร
ให้สูงขึ้นเป็น โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์สอนหลักสูตร 2
ปี รับนักเรียนที่สาเร็จมัธยมศึกษา
ปี พ.ศ. 2456 ตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูหญิงขึ้นเป็นครั้ง
แรกที่โรงเรียนเบญจมราชาลัย
43. ปี พ.ศ. 2414 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พระยาศรี
สุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เรียบเรียงแบบเรียน
หลวงขึ้น 1 เล่ม ชุดมูลบรรพกิจ เพื่อใช้เป็นบทหลักสูตร
วิชาชั้นต้น
44. ปี พ.ศ. 2427 กาหนดหลักสูตรชั้นประโยคหนึ่ง โดย
อนุโลมตามแบบเรียนหลวงหกเล่ม นับเป็นปีแรกที่จัดให้มี
การสอบไล่วิชาสามัญ และมีการกาหนดหลักสูตรชั้น
ประโยคสอง ซึ่งเป็นหลักสูตรที่เกี่ยวกับวิชาสามัญศึกษา
หมายถึง ความรู้ต่าง ๆ ที่ต้องการใช้สาหรับเสมียนใน
ราชการพลเรือนตามกระทรวงต่าง ๆ
45. ปี พ.ศ. 2431 กรมศึกษาธิการ จัดทาแบบเรียนเร็ว
ใช้แทนแบบเรียนหลวงชุดเดิม ผู้แต่งคือ พระองค์
เจ้าดิศวรกุมาร (กรมพระยาดารงราชานุภาพ) 1 ชุด
มี 3 เล่ม
46. ปี พ.ศ. 2433 ประกาศใช้พระราชบัญญัติวิชา
พ.ศ. 2433 มีผลทาให้หลักสูตรภาษาไทยแบ่ง
ออกเป็น 3 ประโยค หลักสูตรภาษาอังกฤษแบ่ง
ออกเป็น 6 ชั้น
47. ปี พ.ศ. 2434 ได้แก้ไขการสอบไล่จากเดิมปีละครั้ง
เป็นปีละ 2 ครั้งเพื่อไม่ให้นักเรียนเสียเวลานาน
เกินไป
53. ปี พ.ศ. 2453 ประกาศตั้งโรงเรียนข้าราชการพล
เรือนเพื่อฝึกคนเข้ารับราชการตามกระทรวง ทบวง
กรมต่าง ๆ และต่อมาปี พ.ศ. 2459 ได้ประกาศยก
ฐานะโรงเรียนข้าราชการพลเรือนนี้ ขึ้นเป็น
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นับเป็นมหาวิทยาลัยแห่ง
แรกของประเทศไทย
54. ปี พ.ศ. 2454 ตั้งกองลูกเสือหรือเสือป่าขึ้นเป็นครั้ง
แรกโครงการศึกษาพ.ศ. 2456 และฉบับแก้ไข พ.ศ.
2458 โดยมุ่งให้ประชาชนมีความรู้ทางด้านการทา
มาหาเลี้ยงชีพตามอัตภาพของตน พยายามที่จะ
เปลี่ยนค่านิยมของประชาชนไม่ให้มุ่งที่จะเข้ารับ
ราชการอย่างเดียว
55. ปี พ.ศ. 2459 จัดตั้งกองลูกเสือหญิงและอนุกาชาด
โรงเรียนกุลสตรีวังหลังและได้จัดตั้งกองลูกเสือหญิง
ขึ้น เรียกว่า เนตรนารี
ปี พ.ศ. 2461 มีการปรับปรุงและขยายฝึกหัดครูขึ้น
โดยโอนกลับมาขึ้นกับกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเดิม
เป็นแผนกหนึ่งของโรงเรียนข้าราชการพลเรือน
56. ปี พ.ศ. 2461 ประกาศใช้พระราชบัญญัติ
โรงเรียนราษฎร์ และ
ปี พ.ศ. 2464ปรับปรุงโครงการศึกษาชาติ โดย
วางโครงการศึกษาขึ้นใหม่เพื่อส่งเสริมให้ทามา
หาเลี้ยงชีพ นอกเหนือจากทาราชการ
57. ปี พ.ศ. 2464 ใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษา
บังคับให้เด็กทุกคนที่มีอายุ 7 ปี บริบูรณ์หรือ
ย่างเข้าปีที่ 8 ให้เรียนอยู่ในโรงเรียนจนถึงอายุ
14 ปีบริบูรณ์หรือย่างเข้าปีที่ 15 โดยไม่ต้องเสีย
ค่าเล่าเรียน และมีการเรียกเก็บเงินศึกษาพลี
จากประชาชนคนละ 1- 3 บาทเพื่อนาไปใช้จ่าย
ในการจัดดาเนินการประถมศึกษา
60. (1) ปี พ.ศ. 2473 ยกเลิกการเก็บเงินศึกษาพลีคนละ 1 – 3
บาท จากผู้ชายทุกคนที่มีอายุระหว่าง 16 - 60 ปี โดยใช้
เงินจากกระทรวงพระคลังมหาสมบัติอุดหนุนการศึกษา
แทน
(2) ปี พ.ศ. 2474 ปรับปรุงกระทรวงธรรมการเพื่อให้
สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจตกต่าของประเทศ โดยยุบ
กรมสามัญศึกษาในตอนนั้น กระทรวงธรรมการจึงมี
หน่วยงานเพียง 3 หน่วยคือ กองบัญชาการ กองตรวจ
การศึกษากรุงเทพ ฯ และกองสุขาภิบาลโรงเรียน
(3) ยกเลิกระเบียบว่าด้วยการควบคุมแบบเรียน
64. (2) การมอบให้ท้องถิ่นจัดการศึกษา พ.ศ. 2476 และ
ยกฐานะท้องถิ่นขึ้นเป็นเทศบาลตราพระราชบัญญัติ
เทศบาลขึ้น และเทศบาลได้จัดการศึกษาอย่าง
แท้จริงใน พ.ศ. 2478
(3) การปรับปรุงหน่วยงานที่มีส่วนรับผิดชอบในการ
จัดการศึกษา
68. มัธยมศึกษา แยกเป็น 3 สาย คือ
ก.มัธยมสามัญศึกษา มัธยมสามัญปีที่ 1-3
ข.มัธยมวิสามัญศึกษา มัธยมวิสามัญตอนต้นปีที่ 1-3
, ตอนปลายปีที่ 4-6
ค.มัธยมอาชีวศึกษา ตอนต้น ตอนปลาย ตอนละไม่
เกิน 3 ปี
81. มาตรา 15 – 20 ได้กล่าวถึงระบบการ
จัดการศึกษาของประเทศไทย
84. มี 2 ระดับ คือ
การศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วย การศึกษา
ซึ่งจัดไม่น้อยกว่าสิบสองปีก่อนระดับอุดมศึกษา
การศึกษาระดับอุดมศึกษาแบ่งเป็นสองระดับ
คือ ระดับต่ากว่าปริญญา และระดับปริญญา
85. (๑) สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย - ศูนย์เด็กเล็ก ศูนย์พัฒนา
เด็กเล็ก ศูนย์พัฒนาเด็ก ก่อนเกณฑ์ของสถาบันศาสนา
ศูนย์บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มของเด็กพิการและ
เด็กซึ่งมีความต้องการพิเศษ หรือสถานพัฒนาเด็ก
ปฐมวัย
(๒) โรงเรียน -โรงเรียนของรัฐ โรงเรียนเอกชน และ
โรงเรียนสังกัดสถาบันพุทธศาสนา หรือศาสนาอื่น