More Related Content
Similar to บทบาทของมหาวิทยาลัยสงฆ์ในการสร้างชุมชนเข้มแข็ง
Similar to บทบาทของมหาวิทยาลัยสงฆ์ในการสร้างชุมชนเข้มแข็ง (20)
บทบาทของมหาวิทยาลัยสงฆ์ในการสร้างชุมชนเข้มแข็ง
- 1. บทบาทของมหาวิทยาลัยสงฆ์ในการสร้างชุมชนเข้มแข็ง
.............................
พระไพรเวศน์ จิตฺตทนฺ โต/รัตนพันธ์ *
มหาวิ ทยาลัยสงฆ์ เป็ นการจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษา และระดับสูงกว่า
ั ั
อุดมศึกษาสําหรับพระภิก ษุสงฆ์แ ละสามเณร (ปจจุบน รับประชาชนทัวไปเข้า ศึก ษาด้วย)
การศึกษาวิชาการพระพุทธศาสนาและวิชาการขันสูงอืนๆ แบ่งเป็ นคณะต่างๆ ได้แก่ คณะ
พุทธศาสตร์ คณะครุศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ คณะมนุ ษยศาสตร์ เป็ น ต้น ปจจุบน ั ั
มหาวิทยาลัยสงฆ์ มี ๒ แห่ง คือ
๑. มหาวิท ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิท ยาลัย (ฝ่า ยมหานิ ก าย) ตังอยู่ที
ั ั
วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพมหานคร ปจจุบนย้ายไปอยู่ทีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง
กรณราชวิทยาลัย อํา เภอวังน้อย จังหวัดอยุธยา นอกจากนันยังมีวท ยาเขต วิท ยาลัยสงฆ์
ิ
ห้องเรียน และศูนย์วทยบริการ ตังกระจายอยูตามภูมภาคต่างๆ ของประเทศ เพือให้บริการ
ิ ่ ิ
การศึกษาและยกระดับบุคลากรของพระศาสนาและบุคลากรทางสังคม ปจจุบนมหาวิทยาลัย ั ั
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีพระราชบัญญัตรบรองสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ ใน
ิั
กํ า กับของรัฐบาล และเป็ น นิ ติบุค คลทีไม่เป็ น ส่วนราชการและไม่เป็ น รัฐวิสาหกิจ เน้ น จัด
การศึกษาวิชาการด้านพระพุทธศาสนา
๒. มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย(ธรรมยุตนิกาย) ตังอยูทวัดบวรนิเวศวิหาร
ิ ่ ี
บางลําพู กรุงเทพมหานคร นอกจากนันยังมีวทยาเขตตังกระจายอยู่ในภูมภาคต่างๆ ของ
ิ ิ
ประเทศ
พันธกิ จของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีดงนีั
๑. ผลิ ตบัณฑิ ต ผลิตและพัฒนาบัณฑิตให้มคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๙
ี
่ ู้ ่ ิ ั
ประการ คือ มีปฏิปทาน่าเลือมใส ใฝรใฝคด เป็นผูนําด้านจิตใจและปญญา มีความสามารถใน
้
ั
การแก้ปญหา มีศรัทธาอุทศตนเพือพระพุทธศาสนา รูจกเสียสละเพือส่วนรวม รูเท่าทันความ
ิ ้ั ้
เปลียนแปลงของสังคม มีโลกทัศน์ กว้างไกล มีศกยภาพทีจะพัฒนาตนเอง ให้เพียบพร้อมด้วย
ั
คุณธรรมและจริยธรรม
*
พธ.บ.(ปรัชญา), รป.ม.(นโยบายสาธารณะ) หัวหน้าสาขาวิชาศาสนาและปรัชญา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาลัยสงฆ์เลย
1
- 2. ๒. วิ จยและพัฒนา การวิจยและค้นคว้า เพือสร้างองค์ความรูควบคู่ไปกับ
ั ั ้
กระบวนการเรียนการสอน เน้นการพัฒนาองค์ความรูในพระไตรปิฎก โดยวิธสหวิทยาการแล้ว
้ ี
ั
นํ า องค์ค วามรู้ทีค้นพบมาประยุก ต์ใ ช้แ ก้ปญหา ศีล ธรรม และจริยธรรมของสังคม รวมทัง
พัฒนา คุณภาพงานวิชาการด้านพระพุทธศาสนา
๓. ส่ ง เสริ ม พระพุท ธศาสนาและบริ ก ารวิ ช าการแก่ ส ัง คม ส่ง เสริม
พระพุทธศาสนาและบริการวิชาการแก่สงคม ตามปณิธานการจัดตังมหาวิทยาลัย ด้วยการ
ั
ปรับปรุงกิจกรรมต่างๆ ให้ประสานสอดคล้อง เอือต่อการส่งเสริม สนับสนุ นกิจการคณะสงฆ์
สร้า งความรู้ ความเข้า ใจหลัก คํา สอนทางพระพุท ธศาสนา สร้า งจิตสํา นึ ก ด้า นคุ ณธรรม
จริยธรรมแก่ ประชาชน จัดประชุม สัม มนา และฝึ ก อบรม เพือพัฒนาพระภิก ษุ สงฆ์แ ละ
บุคลากรทางศาสนา ให้มศกยภาพในการธํารงรักษา เผยแผ่หลักคําสอน และเป็ นแกนหลักใน
ี ั
การพัฒนาจิตใจในวงกว้าง
๔. ทํานุบารุงศิ ลปวัฒนธรรม เสริมสร้างและพัฒนาแหล่งการเรียนรูดานการ
ํ ้ ้
ทํานุ บารุงศิลปวัฒนธรรม ให้เอือต่อการศึกษา เพือสร้างจิตสํานึกและความภาคภูมใจในความ
ํ ิ
ิ ั
เป็นไทย สนับสนุ นให้มการนํ าภูมปญญาท้องถิน มาเป็ นรากฐานของการพัฒนาอย่างมีดุลย
ี
ภาพ
บทบาทสํา คัญของมหาวิ ท ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิ ทยาลัย ในการจัด
การศึกษาของพระภิกษุสงฆ์และสามเณรก็เพือผลิตพระบัณฑิตออกไปรับใช้พระศาสนา และ
ช่วยเหลือสังคม เมือเรียนกันจบหลักสูตรแล้วหากยังบวชอยู่ไปก็รบใช้ พระศาสนา หากลา
ั
สิกขาออกไปก็ไปรับใช้สงคม เป็ นประโยชน์ ต่อสังคม ในการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัย
ั
สงฆ์ทผ่านมาในอดีตไม่ได้รบการสนับสนุ นจากภาครัฐ งบประมาณไม่เพียงพอต้องช่วยเหลือ
ี ั
ั ั
ตัวเอง แต่ปจจุบนพระราชบัญญัตการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ ซึงกําหนดไว้ว่ารัฐต้อง
ิ
สนับสนุ นงบประมาณ บทบาททีสําคัญของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ใน
บทความนีผูเ้ ขียน จะยกเอาบทบาทการจัดการศึกษาแก่พระภิกษุสามเณรทีโดดเด่นแตกต่าง
จากมหาวิทยาลัยทัวไป ดังนี
บทบาทในการผลิ ตและพัฒนาบัณฑิ ต เพือยกระดับการศึกษาแก่พระสังฆาธิ
้ ้ ั
การ(พระภิกษุสงฆ์ระดับผูปกครอง) เป็ นผูนําด้านจิตใจและปญญา มีความสามารถในการ
ั
แก้ปญหา มีศรัทธาอุทิศตนเพือพระพุทธศาสนา รูจกเสียสละเพือส่วนรวม รูเท่า ทันความ
้ั ้
เปลียนแปลงของสังคม มีโลกทัศน์กว้างไกล การศึกษาของพระภิกษุสงฆ์จงเป็ นเรืองทีสําคัญ
ึ
มาก ซึงมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้เล็งเห็นความสําคัญและความจําเป็ นที
2
- 3. จะต้อ งพัฒ นาการศึก ษาของคณะสงฆ์ และเพือสนองนโยบายของรัฐ บาลทีเน้ น คนคือ
เป้าหมายในการพัฒนา เพือสนับสนุ นให้พระภิกษุสงฆ์สามเณรได้รบการศึกษาในด้านต่างๆ
ั
เพือสร้างเสริมความเข้มแข็งในชุมชน ในด้านต่างๆ ได้แก่
๑. การบริ หารจัด การวัด พระภิก ษุ สงฆ์จะต้องบริห ารจัดการวัด โดยให้ก่ อ
ประโยชน์ สูงสุดแก่สงคมตามอุดมการณ์ทางพระพุทธศาสนา โดยความร่วมมือกัน ระหว่า ง
ั
พระภิกษุสงฆ์ก ับชุม ชน เป็ น ต้น โดยความตระหนักในการเป็ นผูนํ าในชุมชนทังผูนํา ทีเป็ น
้ ้
ทางการและไม่เป็นทางการ การจัดกิจกรรมการเรียนรูขนในชุมชน รวมทังความสามารถใน
้ ึ
การประสานและเชือมโยงกับองค์กรหรือชุมชนภายนอก และการทําความเข้าใจในปญหาของ ั
ชุมชน การขอรับความร่วมมือ และการสนับสนุ นจากองค์กรภายนอก
๒ . การทํา วัด ให้ เ ป็ นส่ ว นหนึ งของชุมชนและส่ งเสริ ม ความเข้ ม แข็งของ
ชุมชน ความสําคัญสูงสุดของวัด คือ การเป็ นส่วนหนึงของชุมชนและส่งเสริมความเข้มแข็ง
ของชุม ชน เพราะถ้า เป็ น ดังนี ก็เท่ า กับวัดเป็ น ส่วนหนึ งของโครงสร้า งสังคมทีเข้ม แข็ง ซึง
ความสําคัญทีสุดต่อการบังเกิดขึนของศีลธรรมในสังคมดังกล่าวแล้ว พระภิกษุสงฆ์จะต้องเป็ น
ผูนําชุมชนด้วยการปรึกษาหารือ การสังสอนและทีสําคัญก็คอสังสอนให้ประชาชนเรียนรูจาก
้ ื ้
ั ั
การวิเคราะห์ปญหา วินิจฉัยปญหา วิเคราะห์ทางเลือกและตัดสินใจเลือกทางเลือกทีถูกต้อง
ซึงการส่งเสริมให้ชุมชนเข้มแข็งนันจะต้องอาศัยสมาชิกในชุมชน เช่น พระ ครู ผูนําชาวบ้าน
้
หมออนามัย เกษตรตําบล พัฒนาการตําบล เป็นต้น ร่วมมือกันสร้างความเข้มแข็งของชุมชน
ั
ซึงเมือชุม ชนเข้ม แข็งก็ย่อมแก้ปญหาเศรษฐกิจ จิตใจ สังคม วัฒนธรรม สิงแวดล้อม และ
การเมืองพร้อมกันไป
๓. วัดกับการจัดการศึกษา การศึกษาโดยทัวไปของไทยยังไม่เป็ นการศึกษาที
ั
ผลิตคนทีมีความเข้มแข็งทางปญญาและทางศีลธรรม โดยมีกระบวนการเรียนรูทีให้ความสุข
้
กับผูเ้ รียน การศึกษากําลังรอการปฏิรปให้เกิดการะบวนการเรียนรูทพัฒนาคนให้เต็มศักยภาพ
ู ้ ี
ของความเป็นมนุ ษย์ วัดบางวัดทีมีความพร้อมโดยมีพระภิกษุสงฆ์ทสนใจและมีความสามารถ
ี
ควรจะจัดให้มโรงเรียน โดยพยายามคิดหลักสูตรทีดีทสุดควรเป็ นอย่างไร แสวงหาคําตอบต่อ
ี ี
คําถามนี ปรับปรุงให้ดขนๆ อย่างต่อเนือง วัดก็สามารถทําประโยชน์ทสําคัญต่อสังคมอย่างยิง
ี ึ ี
๔. พระภิ กษุสงฆ์กบการแก้ไขความขัดแย้งด้ วยสันติ วิธี ขณะนีความรุนแรง
ั
ั
กําลังเป็นปญหาใหญ่ทวโลก พระภิกษุสงฆ์ควรศึกษาให้เข้าใจถึงความหมายของความรุนแรง
ั
ขอบเขต ประเภท สาเหตุ วิธการป้องกันและแก้ไข จะแก้ไขด้วยวิธใดทีได้ผลและจะพัฒนาวิธี
ี ี
3
- 4. ป้องกันและแก้ไขปญหาให้ดขนได้อย่างไร เป็ นต้น ดังนันพระภิกษุสงฆ์จะต้อง “การจัดการ
ั ี ึ
การแก้ความขัดแย้ง” ทีจะเป็นผูเ้ ข้าไปช่วยไกล่เกลียเข้าใจสถานการณ์ตามทีเป็นจริง เข้าไปอยู่
ในใจและเข้า ใจความรู้สึก และความคิดของแต่ล ะฝ่า ย สามารถชัก จูงให้ม ีก ารเจรจากัน ได้
เหล่า นี ต้องการความรู้และต้องการการฝึ ก อบรมให้มค วามชํานาญ จึงจะสามารถแก้ความ
ี
ขัดแย้งด้วนสันติวธได้
ิี
ั ิ ั
๕. วัดกับการอนุรกษ์สิงแวดล้อม วิกฤติการณ์สงแวดล้อมกําลังเป็นปญหาใหญ่
ทีสุดต่อความอยูรอดของมนุ ษยชาติ กระแสอนุ รกษ์สงแวดล้อมเป็นกระแสใหญ่ของโลกและจะ
่ ั ิ
ใหญ่มากขึน จะใหญ่จนดึงปรัชญา ศาสนา วิท ยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุ ษยศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเข้ามาเชือมโยง จึง
หลีกเลียงไม่พนทีศาสนาจะต้องเกียวข้องกับเรืองนี ทีดีทีสุดคือพระภิกษุสงฆ์พยายามศึกษา
้
ั
ให้เข้าใจเรืองสิงแวดล้อม ปญหาสิงแวดล้อมและวิธแก้ไข และในด้านปฏิบตทีใกล้ตวทีสุดคือ
ี ั ิ ั
ภายในบริเวณวัดต้องมีสงแวดล้อมทีสงบ สะอาด ร่มเย็น เป็นต้น นอกจากนีพระภิกษุสงฆ์และ
ิ
วัดยังอาจหนุ นช่วยขบวนการอนุ รกษ์สงแวดล้อม ทีกําลังมีกิจกรรมต่างๆ ในทางทีเหมาะสม
ั ิ
แก่สมณสารูป
๖. การบริ หารจัด การวัด พระภิก ษุสงฆ์จะต้องบริห ารจัดการวัด โดยให้ก่ อ
ประโยชน์ สูงสุดแก่สงคมตามอุดมการณ์ ท างพระพุท ธศาสนาโดยความร่วมมือกัน ระหว่า ง
ั
พระภิกษุสงฆ์กบชุมชน เป็นต้น
ั
ในการจัดการศึกษาคณะสงฆ์จาเป็ นต้องปฏิรูป ๒ ด้าน คือ (๒) ด้านศาสนธรรม
ํ
และ (๒) โครงสร้างการบริหารกิจการของคณะสงฆ์ ทัง ๒ ส่วนนีเกียวเนืองสัมพันธ์กนและ ั
แยกกันไม่ได้
การประกาศธรรมของพระพุทธเจ้ามีจุดมุ่งหมายเพือดับทุกข์ พระภิกษุสงฆ์อาจ
ขยายความหมายของคําว่า “ทุกข์” นี ให้ครอบคลุมความทุกข์ระดับสังคม ความทุกข์ของ
ั
ปจเจกบุคคลก็รวมอยูในทุกข์ของสังคมทีว่านี พระภิกษุสงฆ์มหน้าทีประกาศธรรม และธรรม
่ ี
ทีประกาศก็จะต้องสามารถตอบสนองต่อความทุกข์ยากของสังคม การปฏิรูปศาสนธรรมจึง
เป็นสิงทีหลีกเลียงไม่ได้เมือพระภิกษุสงฆ์จําเป็ นต้องเชือมโยงตัวเองกับสังคมสมัยใหม่ พุทธ
ธรรมจึงมีสถานะเป็นเพียง “เครืองมือ” ขณะเดียวกัน เมือมองในแง่ทีเป็ นสิงจะต้อง “ค้นหา”
พุทธธรรมหรือศาสนธรรม ก็มสถานะเป็นเป้าหมายของการดําเนินชีวตของพระภิกษุสงฆ์ผูซึง
ี ิ ้
จะทํ า ให้พุ ท ธธรรมเป็ น ส่ ว นหนึ งของประสบการณ์ ทีบรรลุ ไ ด้ใ นโลกของความเป็ น จริง
4
- 5. พระภิกษุสงฆ์จงมีหน้าทีอยูสองประการ คือ “ค้นหาความจริง” และ “การนํ าความจริงนันไป
ึ ่
ตอบสนองความต้องการของคนจํานวนมาก”
ในแง่ทว่าพระภิกษุสงฆ์จาต้องดํารงอยูเพือการบรรลุความจริงทางศาสนา ก็จดว่า
ี ํ ่ ั
พระภิกษุสงฆ์ดารงอยูเพือตัวเอง มองในแง่ทมีภารกิจเพือผูทุกข์ยากในสังสารวัฏ พระภิกษุ
ํ ่ ี ้
สงฆ์กเป็น “มรรควิธ”ี หรือ means เพือสิงอืนทีไม่ใช่ตวพระภิกษุสงฆ์เอง การทีพระภิกษุสงฆ์
็ ั
ต้อ งค้น หา “สัจธรรม” และนํ า “ศาสนธรรม” ไปเผยแผ่แ ก่ ค นอืนๆ นี เอง การปฏิรูป
พระพุทธศาสนาจึงเกียวเนืองกับสองเรืองคือ
ั
๑. การสร้างระบบความรูทสามารถนําไปแก้ปญหาได้จริงในสังคม
้ ี
๒. การสร้างระบบทีเอือต่อการค้นคว้าหาความรู้ และการเผยแผ่ศาสนธรรม
๑. การสร้างระบบความรู้ทีสามารถนําไปแก้ปัญหาได้จริงในสังคม
การสร้า งระบบความรู้เป็ น สิงจํา เป็ น เพราะความรู้ท างศาสนาของชาวพุท ธที
เกิดขึนตามลําดับกาลเวลานันมีมาก นับแต่สมัยพระพุทธเจ้าเป็ นต้นมาระบบความรูก็แตก ้
หน่อขยายออกไปเป็ นจํานวนมาก เมือคณะสงฆ์ตองเกียวข้องกับสังคมหนึง ๆ ณ เวลาใด
้
เวลาหนึงจึงจําเป็นต้องรูวาความรูใดบ้าง เป็นสิงจําเป็นสําหรับสังคมนัน ๆ ในขณะนัน ๆ การ
้่ ้
ทําความเข้าใจระบบความรูเ้ ดิม การค้นคว้าแสวงหาในระดับประสบการณ์จริง หรือการค้นคว้า
เพิมเติมด้วยวิธการใด ๆ การจัดระบบความรูทีมีอยู่ให้เหมาะแก่กาลสมัยจึงเป็ นสิงทีต้องทํา
ี ้
พระพุทธเจ้าเคยตรัสแก่ภกษุว่า ความรูทีพระองค์ตรัสรูนันมีมากดุจใบไม้ในป่า ส่วนความรู้
ิ ้ ้
หรือสัจจธรรมทีพระองค์เผยแสดงแก่ ภิก ษุ แ ละคนทัวไปนั นดุจใบไม้ใ นกํ า มือ แม้ค วามรู้ม ี
มากมายแต่ม ีบางส่วนเท่ า นั นทีจํา เป็ น สํา หรับการดับทุ ก ข์ ข้อนี นอกจากสะท้อนท่ า ทีของ
พระพุทธศาสนาต่อความรูตาง ๆ ทีมีอยูในโลกนีแล้วยังแสดง “จารีต” บางประการทีน่ าจะทํา
้ ่ ่
ั ั
ให้ชาวพุทธปจจุบนได้ตระหนักว่า ในการเผยแพร่ความรูนันนอกจากต้องมีความรูกว้างขวาง
้ ้
แล้วยังต้องรูอกว่าอะไรคือความรูทจําเป็นหรือเหมาะสมสําหรับยุคสมัย
้ี ้ ี
การสร้างระบบความรูนันน่าจะประกอบด้วยสองส่วนหลัก ๆ คือ ความรูระดับสัจ
้ ้
ธรรมหรืออภิปรัชญา กับความรูระดับจริยธรรม หรือจริยศาสตร์ ความรูสองส่วนนีอิงอาศัยกัน
้ ้
อย่างไม่สามารถจะแยกออกจากกันได้ ความรูระดับสัจธรรมหรืออภิปรัชญาจะสูญเปล่าหากไม่
้
สามารถชีแสดงให้เห็นว่ามันเกียวข้องกับชีวตมนุ ษย์อย่างไร ความรูทางจริยธรรมหรือจริย
ิ ้
ศาสตร์จะมีไ ม่ม ีนํ าหนั ก หากไม่ม ีฐานทางอภิปรัชญาทีมันคง ชาวพุท ธมัก รังเกียจปรัชญา
ั
โดยเฉพาะอภิปรัชญา ด้วยเข้า ใจว่า พระพุท ธเจ้า ทรงไม่สนพระทัยปญหาอภิปรัชญา ใน
ความคิดของผูเขียน ทุกศาสนามีหลักอภิปรัชญารองรับหลักจริยศาสตร์ดวยกันทังนัน และ
้ ้
5
- 6. พระพุทธศาสนาก็จํา เป็ น ต้องมีอภิปรัชญาเพือว่า ระบบศีล ธรรมหรือจริยศาสตร์จะได้มฐาน ี
มันคงชัดเจน
การสร้างระบบความรูทครอบคลุมกระบวนทัศน์หลัก ๆ จําเป็ นสําหรับการดํารงอยู่ใน
้ ี
โลกสมัยใหม่ ถ้ายังไม่สามารถหา “ระบบความรู”้ หรือ “สร้างระบบความหมายทีเหมาะสม” กับ
ยุคสมัยได้แล้ว การหลุดออกไปจากศาสนธรรมของชาวพุทธทีมีการศึกษาสูง ๆ จะมีมากขึน
ความสํ า คัญ ของสถาบัน สงฆ์ ก็ นั บ วัน จะด้ อ ยความสํ า คัญ ดัง นั น ภาระหน้ า ที ของ
พุทธศาสนิกชนโดยเฉพาะคณะสงฆ์ผูซึงจะมีพลังมากทีสุดในการขับเคลือนขบวนการปฏิรูป
้
ทุก ๆ ด้าน คือการทบทวนระบบความรูทมีอยูทงหมด การตระหนักถึงความสําคัญในการสร้าง
้ ี ่ ั
ระบบความรู้ทีเหมาะสมขึนมาใหม่ พร้อม กัน นัน พระภิก ษุ สงฆ์ตองสร้า งระบบทีจะทํ า ให้
้
ความรูโดยรวมมีเอกภาพ ไม่ขดแย้งกันเองภายในระบบ อันจะเป็นประโยชน์ตอยุคสมัย
้ ั ่
ในการสร้างระบบความรูด้านศาสนธรรมจํา เป็ น จะต้องมีเป้าหมายหรือยุท ธศาสตร์
้
ชัดเจน หลังการปฏิรปของพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสมา จนถึงสมัยปจจุบน
ู ั ั
พระพุทธศาสนาในประเทศไทยดําเนินไปอย่างตามมีตามเกิดไม่มยุทธศาสตร์ทชัดเจนเป็นของ
ี ี
ตนเอง ยกเว้นยุทธศาสตร์ทกําหนดโดยรัฐบาล เช่นในสมัยภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ เป็นต้น
ี
การขาดเป้า หมายและยุท ธศาสตร์ทํ า ให้พระพุท ธศาสนาในประเทศไทยต่า งเป็ น ต่า งไป
ตัวอย่า งทีเห็น ได้ชดเจนเช่น วัดต่า ง ๆ ในชนบทขาดแคลนพระภิก ษุ ทีจะตอบสนองความ
ั
ต้องการทางจิตวิญญาณหรือความต้องการด้านศาสนธรรมของพุทธศาสนิ กชน บางแห่งมี
พระภิกษุเพียง ๖ พรรษาก็ได้รบแต่งตังเป็นเจ้าอาวาสแล้วและอยูประจําวัดนันเพียงเพราะไม่ม ี
ั ่
ใครจะอยู่ วัดหลายแห่งกลายเป็ นวัดร้า งและจะมากขึนเรือย ๆ โดยเฉพาะช่วงออกพรรษา
ขณะทีพระภิกษุสงฆ์ทีอายุพรรษามาก มีความรูความสามารถทีจะตอบสนองความต้องการ
้
ด้านศาสนธรรมของชาวบ้านได้นัน กระจุกตัวอยูในเมืองใหญ่ ๆ
่
พระพุทธศาสนาในประเทศไทยยังต้องการความชัดเจนทังในแง่เป้าหมายและการ
กําหนดยุทธศาสตร์ของตนเอง การสร้างระบบความรูกเป็ นส่วนหนึงในยุทธศาสตร์ เพราะ
้ ็
ด้วยความรู้เท่านันจึงจะสามารถฝ่าความมืดมนและกิเลสตัณหาทีดาษดืนอยู่ในสังคมนันได้
ั ั
ความรู้ทีประกอบกันเป็ น ศาสนธรรมในปจจุบนจึงต้องมีทงส่วนทีเป็ นแก่ นและทีเป็ น เปลือก
ั
กระพี ส่วนหลังนีเองจะเป็ น เครืองมือให้สามารถนํ า ศาสนธรรมไปตอบสนองต่อปญหา ั
สังคมยุคใหม่ได้ กล่าวอย่างหยาบๆ แก่นของศาสนธรรมในทีนีได้แก่ คําสอนทีบรรจุอยู่ใน
พระไตรปิฎก แต่แก่นทีว่านีจะต้องได้รบการตีความ อธิบายความ ขยายความให้ครอบคลุม
ั
ั
ปญหาของยุคสมัย มีการตรวจสอบอย่างถีถ้วน ก่อนจะเลือกสรรส่วนทีจําเป็ นนํ าเสนอต่อ
สังคม ดังนั น การค้น คว้าหาความรูแ ละการสร้า งระบบความรู้ในทีนี จึงเป็ น งานสํา คัญของ
้
นักวิชาการชาวพุทธ
6
- 7. ๒. การสร้างระบบการบริหารกิ จการภายในคณะสงฆ์
ถ้าเป้าหมายการดํารงอยู่ของพระภิกษุสงฆ์คอ การแสวงหาสัจธรรม การปฏิบติ
ื ั
เพือความหลุดพ้น และการนําศาสนธรรมไปเผยแผ่เพือประโยชน์สุขแก่ผอน ระบบการบริหาร
ู้ ื
กิจการการปกครองภายในคณะสงฆ์กไม่ได้มอยูเพือทีจะดํารง “ความศักดิสิทธิ” ของ “สถาบัน”
็ ี ่
หากดํารงอยูเพือสิงอืน กล่าวคือ เพือเอือต่อการศึกษาค้นคว้าศาสนธรรม เพือสร้างสมาชิกที
่
สามารถนําศาสนธรรมไปประกาศแก่ชาวโลก หากเป็ นเช่นนี ระบบการปกครองใด ๆ หรือ
ระบบการบริหารกิจการใด ๆ ทีไม่เอือต่อเป้าหมายดังกล่าวก็จะต้องได้รบการจัดรูปใหม่ใ ห้
ั
เหมาะสมสอดคล้องกับเป้าหมายของการมีอยูขององค์กรสงฆ์ เพราะรูปแบบการปกครอง การ
่
บริหารกิจการภายในคณะสงฆ์ทีเกิดขึนในแต่ละยุคสมัย เป็ นเพียง “สมมติสจจะ” ทีสามารถ
ั
ปรับเปลียนได้เมือเห็นว่าไม่เอือต่อการค้นคว้า การปฏิบตธรรมและการเผยแผ่ศาสนธรรม อัน
ั ิ
เป็นพันธกิจหลักของศาสนา
ระบบบริห ารคณะสงฆ์ ป จ จุ บ ัน สอดคล้ อ งต่อ เป้ า หมายการดํ า รงอยู่ ข องของ
ั
พระภิกษุสงฆ์ในฐานะพุทธสาวกหรือไม่ ผูเ้ ขียนคิดว่า พระภิกษุสงฆ์สามารถจะค้นคิดเองได้
ด้วยศักยภาพและเวลาทีมีอยู่ ส่วนการจะปรับกิจการบริหารภายในคณะสงฆ์อย่างไรนันน่ าจะ
เป็นการค้นคว้าวิจยของคณะสงฆ์นันเอง บุคคลภายนอกเช่นรัฐไม่พงเข้ามาเกียวข้องกับการ
ั ึ
จัดรูปแบบการบริหารภายในของคณะสงฆ์ คณะสงฆ์ก็จะต้องสร้างคนของตนเองทีมีความรู้
ด้านการจัดการองค์กรสมัยใหม่เพือนํามาปรับใช้กบองค์กรสงฆ์ซงวางอยูบนฐานแห่งพระธรรม
ั ึ ่
วินัย ภารกิจสําคัญของคณะสงฆ์คอภารกิจต่อพระพุทธศาสนา หากไม่นับภารกิจเพือความสุข
ื
ของมหาชนทีกล่าวไปแล้วเป็นอันดับหนึง เมือเรียงลําดับความสําคัญแล้ว ภารกิจด้านการจัด
การศึกษาถือว่า เป็ นสิงแรกทีคณะสงฆ์จะต้องจัดการให้เหมาะสม ในฐานะทีการศึกษาส่วน
หนึงนันเป็น “รูปแบบ” ทีจะใช้เพือถ่ายทอดความรูจากรุ่นหนึงไปสู่รุ่นหนึง ในเรืองนี สมเด็จ
้
พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เคยได้ท รงดําเนิ นการอย่า งมีประสิท ธิภาพ
วิธการทีพระองค์ทรงใช้น่าจะได้รบการศึกษาค้นคว้าในฐานะกรณีศกษาทีเคยประสบผลสําเร็จ
ี ั ึ
มาแล้วในอดีต แต่ก ารเรียนรู้ในเรืองนี ก็จะต้องพิจารณาทังด้านบวกและด้า นลบ เพือเป็ น
ั ั
บทเรียนสํา หรับปจจุ บน ไม่ใ ช่เพือยึดมันถือมัน เพราะว่า ระบบการศึก ษาทีพระองค์ทํ า ให้
ประสบผลสํา เร็จไว้นั น บัดนี เป็ น เพียง “อุดมคติ” ทีน่ า จดจํา เท่ า นั น เนื องจากการศึก ษา
ดังกล่าวไม่ได้ทําให้พระภิกษุสงฆ์ในภูมภาคต่าง ๆ สามารถสร้างสรรค์ภูมปญญาด้านศาสน
ิ ิ ั
ธรรมได้เลย
7
- 8. ขณะทีพระภิกษุสงฆ์ในชนบทสามารถสร้างสรรค์ถาวรวัตถุทางศาสนาได้อย่างใหญ่โต
มโหฬารแทบไม่น่าเชือ การครุนคิดไตร่ตรองศาสนธรรมกลับไม่งอกเงย (ผูเขียนเข้าใจว่าอาจ
่ ้
เป็นเพราะตัวชีวัดทีชุมชนต้องการคือผลงานทีเป็นรูปธรรม) การค้นคว้าทางศาสนธรรมด้าน
ปริยตตองอาศัยหนังสือทีเขียนไว้เมือหนึงร้อยปีทผ่านมา สํานักเรียนของพระภิกษุสงฆ์มอยูทว
ั ิ ้ ี ี ่ ั
ประเทศ แต่สานักเหล่านันเพียงแต่ถายทอดเรืองราวเก่าๆ แก่คนรุนใหม่ แต่ไม่ได้เปิ ดโอกาส
ํ ่ ่
ให้ความคิดใหม่ได้งอกขยาย ระบบการศึกษาดังแทนทีจะทําให้ผศกษาสามารถสร้างสรรค์ภูม ิ
ู้ ึ
ั ิ ั
ปญญาได้เองในระดับหนึง แต่กลับกลายเป็นระบบการศึกษาทีแช่แข็งภูมปญญา (ข้อนีน่ าจะ
ั ั
ถือเป็นความล้มเหลวอย่างยิงของระบบการศึกษาดังกล่าวเมือสืบทอดกันมาถึงปจจุบน) การ
จัดการศึกษาของคณะสงฆ์ทควรจะเป็ นนันนอกจากเป็ นการศึกษาเพือการถ่ายทอดความรูที
ี ้
เหมาะสมแล้ว ก็ค วรจะเป็ นการศึก ษาทีเปิ ดโอกาสให้บุค ลากรสงฆ์ได้ม ีก ารค้น คว้า มีก าร
ู ิ ั
ถกเถียง (ธัมมัจฉากัจฉา) และการสร้างสรรค์ภมปญญาใหม่ ๆ ทีเป็นประโยชน์ ต่อพระศาสนา
เองด้วย
ภารกิจอัน ดับต่อมาของคณะสงฆ์ค ือ ภารกิจด้านการจัดการปกครองคณะสงฆ์
การจัดการปกครองคณะสงฆ์ควรเป็นอย่างไรนันพระภิกษุสงฆ์น่าจะต้องคํานึงถึงประเด็นทีว่า
การปกครองคณะสงฆ์เป็ น เพียงเครืองมือทีจะให้บุค คลได้ม ีโอกาสเข้าถึงศาสนธรรม การ
ปกครองจะต้องเอือให้เกิดการศึกษาพระธรรมวินัย การเผยแผ่ศาสนธรรมต่อผูทุกข์ยากทางจิต
้
วิญญาณ การนําแสงสว่างแห่งศาสนธรรมไปเพือปลดปล่อยผูคนออกจากความทุกข์ยากของ
้
ชีวต (ไม่ใช่เรืองของการได้มาซึงสมณศักดิ ความรุงเรืองด้านวัตถุสถาน หรือตอบสนองกิเลส
ิ ่
ตัณหา) หมายความว่า ระบบการปกครองมีขนก็เพือช่วยให้การถ่ายทอดความรูทางศาสนา
ึ ้
การศึกษาศาสนธรรม และการเผยแผ่ศาสนาดําเนินไปได้ดวยดี อาจจะมองว่า การจัดการด้าน
้
การปกครองเป็ น “การจัดสรรระบบอํานาจทีเหมาะสมภายในหมู่คณะ” และ “การจัดระบบ
ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนพระภิกษุสงฆ์กบฆราวาส” (อาณาจักรกับศาสนจักร) แต่ทงนีการ
ั ั
ปกครองก็ไม่น่าจะมีความหมายสําคัญในตัวเอง ภารกิจหลักด้านพระศาสนาของพระภิกษุสงฆ์
จะต้องดํารงอยูและได้รบการตระหนักอยูเสมอ
่ ั ่
ถ้าหากว่า การจัดการปกครองมีจุดมุ่งหมายเพือให้เอือต่อการศึกษาและปฏิบติ ั
ธรรม การปกครองทีว่า นี ย่อ มไม่ใ ช่เ พือตอบสนองอํา นาจรัฐ โดยนั ย นี ในกรณี ทีรัฐ อาจ
ั
ดําเนินการในลักษณะทีเป็ นปฏิปกษ์ต่อศาสนธรรม (กรณีพฤษภาทมิฬ หรือกรณีทีผูยากไร้ ้
ได้รบการปฏิบตอย่างไม่ยุตธรรมจากรัฐ เป็นต้น) คณะสงฆ์กตองกล้าหาญทีจะตําหนิ วิพากษ์
ั ั ิ ิ ็ ้
ชีนํ า (ไม่ใ ช่พอมีสถานการณ์ ม ากระทบสถานภาพของตนแล้วจึงออกมาเคลือนไหว) การ
8
- 9. บริหารกิจการคณะสงฆ์จงเป็ นไปเพือตอบสนองความสุขของมหาชน นันคือ ถือเป็ นภารกิจ
ึ
สําคัญทีคณะสงฆ์จะต้องนําแสงสว่างแห่งธรรมไปสู่จตวิญญาณของชาวบ้านเมือเขาทุกข์ยาก
ิ
และมีความกระหาย
การจัดรูปแบบการปกครองทีจะเอือต่อการเผยแผ่ศาสนธรรมนั นจําเป็ นจะต้อง
เรียนรูจากศาสนาอืนทีเขาได้พฒนาระบบการบริหารจัดการอย่างดีแล้ว การจัดการของชาว
้ ั
คริสต์โดยเฉพาะคาทอลิก คือ ตัวอย่างอันดีทีสร้างวัฒนธรรมอํานาจในการปกครองทีไม่ตอง ้
อาศัยอํานาจรัฐในการจัดการ และไม่ตองใช้กําลังบังคับเหมือนในอดีต (ยุคกลาง) หากแต่ได้
้
สร้างวัฒนธรรมแห่งอํานาจขึนมาบนฐานแห่ง “ความภักดี” และสํานึกในการอยู่ร่วมกันอย่าง
เป็ นปึ กแผ่น ชาวพุทธอาจเรียนรูได้ว่า วัฒนธรรมแห่งอํานาจ ทีไม่ต้องใช้กําลังบังคับ แต่ใ ช้
้
สํานึกแห่งการอยูรวมกันนันมีตวอย่างอยูแล้วในอดีตของชาวพุทธเอง
่่ ั ่
คณะสงฆ์อาจระลึกถึงได้ว่า ครังหนึง พระอานนท์ได้ยกเหตุผลอันชอบธรรมเพือ
ขออนุ ญาตให้สตรีได้บวชในพระพุทธศาสนา เมือทรงเห็นว่าพระอานนท์มหลักการทีถูกต้อง
ี
พระพุทธองค์กไม่ได้ขดข้องแต่ประการใด กรณีดงกล่าวนีอาจชีให้เห็นว่า อํานาจทีชอบธรรม
็ ั ั
นันย่อมอ่อนไหวต่อความถูกต้องเสมอ ไม่วาความถูกต้องจะมาจากเบืองล่างหรือเบืองบน และ
่
อีก ครังหนึ ง เมือการสังคายนาครังที ๑ เสร็จ สินลง พระอานนท์ ถูก คณะสงฆ์ใ นทีประชุ ม
กล่ าวโทษด้วยความผิด ๕ ประการ หนึ งในจํานวนนั นคือ การขวนขวายให้สตรีได้บวชใน
พระพุทธศาสนา พระอานนท์มองไม่เห็นว่าท่านมีความผิดใน ๕ กระทงนัน “แต่เพราะเชือฟง ั
ต่อสงฆ์” พระอานนท์ยอมรับการปรับอาบัติ นีก็เป็ นตัวอย่างหนึงทีชีให้เห็นวัฒนธรรมแห่ ง
อํานาจ พระอานนท์ซึงแม้จะเป็ นพระอรหันต์ แต่ความเป็ นอรหันต์ไม่ได้ทําให้ท่านสําคัญตน
เหนือคณะสงฆ์ เหมือนดังทีพระภิกษุสงฆ์บางรูปกระทําอยูในสังคมไทย
่
ั ั
การปฏิรูปพระพุท ธศาสนาทีดํา เนิ นไปในขณะปจจุบน ถกเถียงกัน มากในเรือง
“สมมุ ติ” แต่เรืองทีเป็ น “แก่ น สาร” ไม่ไ ด้ร ับการวิพ ากษ์ ถกเถียงแม้แ ต่น้ อ ย การดํา รง
พระพุทธศาสนาในสังคมไทยมีภารกิจใหญ่ยงกว่าการถกเถียงกันเรืองอํานาจ อํานาจและศา
ิ
สนธรรมอาจเป็ นสิงทีสามารถนํ ามาเชือมโยงกัน ได้ แต่ดูเหมือนในวงการคณะสงฆ์จะยังไม่
เข้า ใจชัดเจนนั ก ในเรืองของอํา นาจกับศาสนธรรม ดังนั น การถกเถียงในเชิงวิชาการเพือ
กําหนดอํานาจทีสอดคล้องกับศาสนธรรมในทีนีอาจมีนัยสําคัญอยูบางไม่มากก็น้อย
่ ้
9
- 10. บทสรุป
ในการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย นอกจากจะเน้น
การศึกษาในด้านวิชาพระพุทธศาสนาแล้ว ยังเน้นการให้การศึกษาแก่พระสังฆาธิการในด้าน
ต่างๆ ทีกล่าวมาในเบืองต้น ในบทบาทของพระภิกษุสงฆ์ และเป็นบทบาทจริงในทางปฏิบตที ั ิ
ถูกต้องตามพระธรรมวินัยพึงปฏิบตกน โดยเฉพาะใน ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านการปกครอง ต้อง
ั ิ ั
ปกครองโดยธรรม เป็ นธรรมาภิบาล ปกครองเพือเกือหนุ น ให้เกิดการศึกษา ทังทีพระภิก ษุ
สงฆ์กนเองสอน และสงเคราะห์กุลบุตร กุลธิดา เพือให้ได้รบการศึกษาทีถูกต้อง พร้อมทังวิชา
ั ั
ความรู้ จรณะ ความประพฤติ การศึกษาทีสร้างวิธคดทีเป็ นสัมมาทิฏฐิ การเรียนรูคู่ความสุข
ี ิ ้
(Learning And Happiness) บทบาทด้านการเผยแผ่ งานเผยแผ่เป็นงานทีนําคําสอนขององค์
สมเด็จ พระสัม มาสัม พุท ธเจ้า ออกเผยแผ่สู่ประชาชน เป็ น ภารกิจทีมีค วามสํา คัญ ในสมัย
พุทธกาลพระพุทธองค์ ใช้คาว่าไปประกาศพรหมจรรย์ ประกาศวิถชวตอย่างพรหม อันเป็ น
ํ ี ีิ
ชีวตทีประเสริฐ นันหมายถึงพระภิกษุ สงฆ์ตองเป็ นแบบอย่างทีดีของการดํา เนินชีวิต สังคม
ิ ้
สงฆ์ สังคมแบบอย่างหรือสังคมต้นแบบของสังคมชุมชนเพือสร้างชุมชนทีเข้มแข็ง
หนังสืออ้างอิ ง
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. (๒๕๓๕). วินัยมุข เล่ม ๒, (หลักสูตร
นักธรรมชันโท). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย.
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). (๒๕๓๙). การศึกษาเพืออารยธรรมทียังยืน. กรุงเทพ ฯ :
บริษทสหธรรมิก จํากัด.
ั
พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตฺโต). (๒๕๔๒). การศึกษาทางเลือก : สูววฒน์หรือวิบตในยุคโลกไร้
่ิั ั ิ
พรมแดน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา.
ชาญณรงค์ บุญหนุ น. (๒๕๔๓). "การสังคายนาในมุมมองใหม่ หนทางสูการแก้ปญหาคณะ
่ ั
ั ั
สงฆ์ไทยปจจุบน". มปท.
ชาย โพธิสตา. (๒๕๒๒). มหาวิทยาลัยสงฆ์ในสังคมไทย การศึกษาบทบาทของมหาจุฬาลง
ิ
กรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพฯ : สหประชาพาณิชย์.
ทวีวฒน์ ปุณฑริกวิวฒน์. (๒๕๔๑). "พุทธทาสภิกขุในบริบทของสังคมไทย" พุทธสาสนา ๖๖
ั ั
(พฤษภาคม-กรกฎาคม ๒๕๔๑) : หน้า ๑๐๕-๑๒๕.
นิธิ เอียวศรีวงศ์. (๒๕๓๖). "อนาคตขององค์กรสงฆ์"ใน นิธิ เอียวศรีวงศ์ และคณะ, มอง
ิ ู ิ ั
อนาคต. กรุงเทพฯ : มูลนิธภมปญญา, หน้า ๑๑๔-๑๕๑.
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). (๒๕๔๔). ปฏิรปการศึกษา พระพุทธศาสนาจะไปอยูไหน ?.
ู ่
กรุงเทพฯ : สหธรรมิก.
10