More Related Content
Similar to ธัมมะฐิตะกะถา (เทศน์ทำบุญอุทิศให้ยายยาน มาลีหวล)
Similar to ธัมมะฐิตะกะถา (เทศน์ทำบุญอุทิศให้ยายยาน มาลีหวล) (20)
More from Kiat Chaloemkiat
More from Kiat Chaloemkiat (14)
ธัมมะฐิตะกะถา (เทศน์ทำบุญอุทิศให้ยายยาน มาลีหวล)
- 1. ห น้ า | ๑
ธัมมะฐิตะกะถา๑
เรื่อง ผู้ดารงอยู่ในธรรม
พหุนฺนปาน ฆรมาวสนฺโต
สทฺโธ มุทู สวิภาคี วทญฺญู
เอเตสุ ธมฺเมสุ ฐิโต จตูสุ
ธมฺเม ฐิโต ปรโลก น ภาเยติฯ
สํ.ส. ๑๕/๒๐๘/๕๙
ณ บัดนี้จักได้แสดงพระธรรมเทศนาในธัมมะฐิตะกะถา ว่าด้วยเรื่องการดารงตนอยู่ในธรรม
โดยอนุรูปแก่ทักษิณานุปทานกิจ ที่คณะเจ้าภาพประกอบด้วยลูกๆ หลานๆ ผู้มีจิตอันประกอบด้วยหิต
สุข มุ่ง ให้สาเร็ จประโยชน์ และเป็ นอปจายนมัย ให้เป็ นไป ในวารดิถีส ตมวารคารบ ๑๐๐ วัน ได้มี
สามัคคีสมานฉันท์พร้อมกันบาเพ็ญ อุทิศวิปากสมบัติปัตติทานมัย เพื่อเป็นธรรมพลีปัจโจปการ แด่คุณ
แม่ย าน มาลี หวล ด้วยกุศลจิต กอปรด้ว ยกตั ญญูกตเวทิต าธรรม ตามเชิงชั้นแห่งสัป ปุริส ชนผู้เป็ น
บัณฑิต ณ ธรรมสภาแห่งนี้ ตามสมควรแก่เวลาสืบไป
การบาเพ็ญกุศลแด่บุพการีชนตามคราวสมัยที่นิ ยมกันนี้ ได้ชื่อว่า ทาแบบอย่าง อันดีงามให้
ปรากฏ ที่ว่าได้ทาแบบไว้นี้ คือได้ทาแบบแผนไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ดูเป็นตัวอย่าง เป็นการนาทางให้
สามารถปฏิบัติถูกในโอกาสหน้าโดยไม่ขาดสาย การทาแบบนี้มีศาสนโวหารว่า นิทัสสะนะ ดังพระบาลี
ว่า โส ญาติธมฺโม จ อย นิทสฺสิโต แปลว่า “ญาติธรรมนี้ อันท่านทั้งหลายได้ทาเป็นตัวอย่างไว้แล้ว ”
ดังนี้ ส่วนการทาอย่างนั้น หมายถึงได้ทาตามแบบตามอย่างที่บุรพชนได้เคยทากันมาแล้ว เป็นการ
รักษาแบบปฏิบัติไว้เป็นตัวอย่างในอนาคต การทาแบบนี้เรียกตามภาษานิยมว่า ทิฏฐานุคติ คือการ
ดาเนินตามแบบอย่าง ดังนี้ จึงการที่คณะเจ้าภาพได้บาเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานอุทิศแด่คุณแม่ยาน
มาลีหวล และญาติๆ ผู้ล่วงลับไปแล้วนี้ นับว่าได้ทาแบบอย่างครบทั้ง ๒ ประการในโอกาสเดียวกัน
คุณแม่ยาน มาลีหวล หรือคุณยายยานตามที่อาตมภาพเคยเรียกขานท่านเมื่อครั้งท่านมาพัก
อยู่ที่วัด ยามบ่าย ยามเย็น เวลาที่มองจากกุฎีของอาตมาไปยังกุฏิหลวงตาอัมพร ฐิตธมฺโม ซึ่งเป็นพระ
ลูกชายของท่าน มักจะเห็นภาพผู้หญิงแก่ๆ คนหนึ่ง นั่งพูดคุยกับลูกชาย หรือไม่ก็นั่งตาหมาก พระเณร
รูปไหนผ่านไปท่านก็มักจะสนทนาถามไถ่อยู่เสมอๆ สิ่งหนึ่งที่อาตมาอดที่จะนามากล่าวไม่ได้ในที่นี้ คือ
๑
พระมหาเฉลิมเกียรติ จิรวฑฺฒโน. เทศน์งานทาบุญ ๑๐๐ วัน คุณยายยาน มาลีหวล ณ วัดป่าโยธาประสิทธิ์ เมื่อวันที่
๕ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๐.๐๐ น.
- 2. ห น้ า | ๒
คุณยายดูเป็นคนใจเย็น พูดจากสุภาพ มีความอ่อนโยน แม้ลูกๆ ของท่านก็ดูมีบุคลิกภาพเหมือนกัน
ทั้งลูกหญิงลูกชาย ถ้าภาษาโลกเขาเรียกว่าเป็นกรรมพันธุ์ คือมีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ท่านเป็นผู้
เจริญด้วยชาติ คือถึงแม้จะเกิดมาในตระกูลที่เป็นชาวไร่ชาวนา แต่ก็ไม่เคยดูถูกชาติตระกูลของตน หมั่น
ประพฤติ ตนเข้า วั ดปฏิ บัติ ธรรมอยู่ เ สมอ ถือว่า มีชาติ ที่เ จริญ ปัจจุบันไม่ส าคัญโยม แต่ ชาติ ที่จะไป
ข้างหน้าสาคัญมากนะ เป็นผู้เจริญด้วยวัย ท่านเป็นหญิงรัตตัญญู ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ลาบาก
ตรากตราเลี้ยงลูกๆ จนเติบโตได้ดีมีความมั่นคงในชีวิต จนในที่สุดเห็นการทาความดีเพื่อหนีสงสาร
สาคัญเป็นอันดับหนึ่ง และเป็นผู้เจริญด้วยคุณ คือคุณงามความดีทั้งหลาย ดังคากล่าวว่า “แนะให้ทา
นาให้ดู อยู่ให้เห็น เป็นตัวอย่าง” ซึ่งสามารถดูได้จากลูกๆ ของคุณยายแต่ละคน ต่างก็ซึมซับวิถี
ธรรมต่างมา อาจกล่าวได้ว่าลูกๆ จะไม่รู้สึกว่าบุพการีชนของตนได้จากไป เพราะคุณธรรมทั้งหลายที่
ท่านเหล่านั้นเคยพาปฏิบัติยังประทับอยู่ในจิตใจของตน คุณงามความดีของคุณยายยังคงสถิตอยู่ใน
โลกไปตราบนานเท่านาน ไม่เสื่อมสิ้นสูญไปตามสังขารที่เปื่อยเน่าไปตามสภาวะ ดังพระพุทธองค์ตรัสไว้
ว่า รูปํ ชีรติ มจฺจาน นามโคตฺต น ชีรติฯ (ส.ส.๑๕/๒๑๐/๕๙) มีใจความว่า
ตัวตาย กายดับ ลับสูญ
ปฏิกูล เป็นเหยื่อ หมู่หนอน
มีแต่ จมสิ้น ดินดอน
สะท้อน อยู่ทั่ว ชั่วดี
เหลือไว้ ในหล้า ปรากฏ
นอกนั้น พลันลด หมดศรี
ร่างกาย ไม่เที่ยง เยี่ยงนี้
ความดี ทาไว้ เถิดเอย ฯ
การที่คุณยายได้วางตัวปฏิบัติตนจนเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกหลานได้ ก็ด้วยอานาจแห่งใจที่
มุ่งมั่นดารงอยู่ในความไม่ประมาท ดังโบราณว่า “เกิดเป็นคนต้องรู้จักการเตรียมตัวให้พร้อม” เตรียม
ตอนไหน คือเตรียมตัวก่อนตาย ก่อนที่คุณยายจะถูกพญามัจจุราชนาไปนั้น ท่านได้ถือศีลเป็นแม่ชีอยู่
ตลอดเวลา อบรมตนเองให้อยู่ในศีล แถมยังคอยเป็นกาลังใจให้กับลูกๆ ทุกคนในการดิ้นรนต่อสู้ชีวิต
ปฏิปทาในการครองตนของคุณยายได้แสดงให้เห็นว่าท่านเป็นผู้ไม่กลัวต่อการไปสู่ปรโลก คือโลกภาย
ภาคหน้าที่เราทุกคนจะต้องไปกัน โดยไม่รู้ว่าการไปของท่านเหล่านั้นจะได้ไปพบเจอกันอีกหรือเปล่า
สาหรับบุคคลผู้มีการเตรียมตัวไว้พร้อมแล้วย่อมมั่นใจได้ว่าการไปของตนนั้นย่อมมีสภาพที่อยู่ดีมีสุข
ส าหรั บ เรื่ องนี้มี ป รากฏให้ ภี ต สู ต ร เทวตาสั ง ยุ ต ว่ า ในสมั ย พุ ทธกาลมีเ ทวดาตนหนึ่ง กราบทูล ถาม
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
“ข้าแต่พระโคดมผู้มีปัญญาดุจแผ่นดิน ข้าพระองค์ขอถามถึงเหตุนั้นว่า บุคคล
ตั้งอยู่ในอะไรแล้วไม่พึงกลัวปรโลก” ดังนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบตามพระบาลีที่ได้ยกขึ้นเป็นอุทเทศเบื้องต้ นนั้นว่า พหุนฺนปาน
ฆรมาวสนฺโต ดังนี้เป็นต้น ซึ่งมีใจความว่า
- 3. ห น้ า | ๓
“ผู้อยู่ครองเรือนที่มีข้าวและน้ามากตั้งอยู่ในธรรม ๔ ประการเหล่านี้ คือเป็นผู้มี
ศรัทธา เป็นผู้อ่อนโยน เป็นผู้เอื้อเฟ้อเผื่อแผ่ เป็นผู้รู้ใจคนอื่น ชื่อว่าดารงตนอยู่
ในธรรมแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวปรโลก” ดังนี้
จากบาลี พุ ท ธพจน์ ก ล่ า วอ้ า งในเบื้ อ งต้ น ชี้ ใ ห้ เ ห็ น ว่ า บุ ค คลผู้ เ ป็ น ฆราวาสอยู่ ค รองเรื อ น
ท่ามกลางภรรยา สามี บุตร ธิดา และสัมพันธชนทั้งหลาย ประกอบอาชีพต่างๆ จนสามารถตั้งตัวได้ มี
ทรัพย์สินมากพอจับจ่ายไม่ฝืดเคือง ที่เรียกว่ามีข้าวและน้ามาก ไม่ลาบากขัดสนด้วยความเป็นอยู่ เป็น
คนประมาทไม่รู้หรือไม่ยอมรับความเป็นจริงว่า สักวันตนและคนเป็นที่รักจะต้องมีการพลัดพรากจากกัน
ไป ปล่อยให้วันคืนล่วงไปๆ ท่ามกลางความสุขจากการทรัพย์สมบัติ และความสุขจากครอบครัว นั่น
มิใช่จะผ่านพ้นล่วงไปเฉพาะวันเวลานาทีเท่านั้น หากแต่ได้พาเอาอายุให้ล่วงเลยไปด้วย ผู้ไม่รู้หรือไม่
ยอมรับความจริงเช่นนี้ย่อมกลัวต่อความตาย และกลัวต่อปรโลกอย่างแน่นอน หากแต่ผู้อยู่ครองเรือน
ที่มีข้าวและน้ามากเช่นนั้น เป็นคนฉลาดมีปัญญารักษาตนและมีสติรั บรู้ยอมรับสภาพความเป็นจริงว่า
ชีวิตนี้มีความตายเป็นที่สุดรอบ ไม่มีใครสามารถหลีกหนีจากอานาจความตายไปได้ ผู้ครองเรือนเมื่อ
ได้รู้อย่างนี้แล้วย่อมหาทางป้องกัน เป็นการเตรียมตัวก่อนไปสู่ปรโลก เปรียบเสมือนคนฉลาดเวลาจะ
ออกเดินทางไกล ย่อมต้องตระเตรียมเสบียงและสิ่งของที่จาเป็นต้องใช้ให้พร้อมสรรพก่อนออกเดินทาง
สิ่งที่เตรียมนั้นย่อมอานวยความสะดวกเวลาเดินทาง ไม่รู้สึกกลัว วิตก ว่าตนจะประสบพบเจออะไรใน
ระหว่างทาง ซึ่งเป็นการตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความไม่ประมาท
หลักธรรมที่เปรียบเสมือนเสบียงของคนจะออกเดินทางไปสู่ปรโลก มีนัยตามพระบาลีที่ได้ยกมา
กล่าวในเบื้องต้น ได้แก่ธรรม ๔ ประการ คือ ศรัทธา ความอ่อนโยน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการ
รู้ใจผู้อื่น ซึ่งมีอรรถาธิบายโดยสังเขปดังนี้
ศรัทธา หมายถึง ความเชื่อ มี ๒ นัยสาคัญ คือเชื่ออย่างมีเหตุผล กับเชื่อแบบไม่มีเหตุผล
เชื่ออย่างมีเหตุผลนั้น จาแนกไว้ ๔ อย่าง คือ เชื่อกรรม เชื่อผลแห่งกรรม เชื่อความที่ทุกคนมีกรรมเป็น
ของตน และเชื่อว่าพระพุ ทธเจ้า ตรัสรู้จริง กล่าวโดยสรุป แล้วก็คือเชื่อตามคาสอนของพระพุทธเจ้า
นั่นเอง ศรัทธานั้นเมื่อเกิดขึ้นภายในใจแล้ว ย่อมทาให้ใจมีความกล้ าหาญ เชื่อมั่นตนเอง สามารถ
กระทากิจที่สุจริตธรรมให้สาเร็จได้ นามาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองและความผาสุก ตลอดทั้งเป็นบ่อเกิด
แห่งคุณธรรด้านอื่นด้วย ดังนั้น ศรัทธานักปราชญ์ท่านเปรียบเสมือนเพื่อนสนิทของทุกคน ดังพระบาลี
ว่า สทฺธา ทุติยา ปุริสสฺส โหติ. ศรัทธาเป็นเพื่อนของคน (ส.ส.๑๕/๑๑๓/๓๕)ดังนี้
ความอ่อนโยน หมายถึง เป็นผู้มีอัธยาศัยอ่อนโยน ปราศจากถัมภะคือความดื้อถือรั้นด้วย
ความทรนงตัว เมื่อมีคนมาแนะนาตักเตือนหรือให้สติรู้สึกตัวด้วยความปรารถนาดี และด้วยเหตุด้วยผล
ก็เอื้อเฟื้อรับฟังตั้งแต่ต้นจนจบความ ผู้มีความอ่อนโยนนั้นย่อมประพฤติตัววางตนมีสัมมาคารวะต่อ
ผู้ใหญ่ มีนิสัยไม่กระด้างต่อผู้น้อย หรือคนเสมอกัน วางตนสม่าเสมอ ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่นด้วย
- 4. ห น้ า | ๔
มานะ ความถือตัวถือตนว่าเด่นกว่าเขาสูงกว่าเขาทั้งโดยชาติกาเนิด ตระกูล ตาแหน่งหน้าที่ การศึกษา
ผู้มีความอ่อนโยน มีจิตใจอ่อนโยน ไม่กระด้างด้วยทิฏฐิมานะหรือขุ่นมัวฟั่นเฟือนฟุ้งซ่านด้วยนิวรณ์ จิต
ย่อมเป็นสมาธิเร็ว หากใช้ช่องโอกาสนี้ในการบาเพ็ญความเพียรทางจิต
ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หมายถึง เป็นผู้มีน้าใจแบ่งปันสิ่งของและความสุขที่ตนมีให้แก่ผู้อื่นตาม
สมควรด้วยอัธยาศัยงดงาม ปราศจากความเห็นแก่ตัวและเห็นแก่ได้ มุ่งให้ผู้รับมีความสุข พ้นจาก
ความเดือดร้อนเป็นสาคัญ หลักธรรมข้อนี้เป็นธรรมสาหรับคนที่มีอัธยาศัยกว้างใหญ่ มีน้าใจต่อผู้อื่น
เท่านั้นจึงจะปฏิบัติได้ คนที่มีความตระหนี่ถี่เหนียว เห็นแก่ตัว แม้จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหนก็ไม่สามารถ
ประพฤติธรรมข้อนี้ได้เลย ธรรมข้อนี้จัดเป็นสังคหวัตถุธรรม เปรียบเสมือนลิ้มสลักรถที่ยึดชิ้นส่วนของ
รถไว้ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติได้ทาบุญ เพราะการให้ที่การเจือจานผู้อื่นด้วยน้าใจเช่นนี้ จัดเป็นทาน คือบุญที่
เกิดจากให้การเสียสละ สามารถฟอกจิตให้สะอาดหมดจด โดยเฉพาะโลภะ ทั้งนี้บุญยังเป็นที่พึ่งของผู้ทา
ได้ในโลกหน้า ดังพระบาลีว่า “ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมึ ปติฏฺฐา โหนฺติ ปาณิน แปลความว่า บุญเป็นที่
พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในโลกหน้า ” (ส.ส.๑๕/๘๘/๒๖) ดังนี้ แท้ที่จริงการให้การเสียสละทรัพย์พัสดุ
สิ่งของให้แก่ผู้อื่นจะเพื่อสงเคราะห์อนุเคราะห์ก็ดี เพื่อฟอกจิตของตนให้หมดจดจากกิเลสคือโลภะความ
โลภและมัจฉริยะคือความตระหนี่ก็ดี เป็นการถ่ายโอนทรัพย์พัสดุสิ่งของเหล่านั้นออกจากโลกนี้ไปฝาก
เก็บไว้ยังปรโลก เป็นการเตรียมการไว้ล่วงหน้า ก่อนที่ตนจะไปยังสถานที่นั้นๆ
เรื่องนี้มีนันทิยมาณพเป็นตัวอย่าง ซึ่งมีใจความโดยย่อปรากฏว่า นันทิยะมาณพเป็นบุตรของ
ตระกูลที่มีศรัทธา เมื่อบิดามารดาสิ้นไปแล้ว ได้นาทรัพย์สินออกมาจาแนกแจกทานแก่ผู้คนทั้งหลาย
ตั้งโรงทานไว้เพื่อคนกาพร้า คนอนาถา และคนสัญจรไปมา ภายหลังได้สร้างศาลาสี่ห้องไว้ที่ป่าอิสิปต
นะหลังหนึ่ง พร้อมจัดหาข้าวของเครื่องใช้ไว้พร้อม เมื่อสร้างเสร็จก็จัดให้มีการฉลองและน้อมถวาย
เป็นของสงฆ์แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่พระสงฆ์ทั้งมวลกาลังอนุโมทนาและนันทิยะมาณพกาลัง
กรวดน้าอยู่นั่นเอง ทันใดนั้นปราสาททิพย์อันประดับประดาด้วยรัตนชาติ มีเหล่านางเทพอัปสรอยู่กัน
พร้อมหน้าก็เกิดผุดขึ้นรอนันทิยะมาณพอยู่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรื่องนี้แม้นันทิยะมาณพเองก็ไม่ทราบ
จนกระทั้งพระมหาโมคคัลลานะท่องสวรรค์ไปพบเข้า จึงได้ทราบความเป็นมา แล้ วกลั บมาทูล ถาม
พระพุทธเจ้า ส่งข่าวให้นันทิยะมาณพทราบ ตัวอย่างนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้บริจาคเสียสละสิ่ง ใดไว้ สิ่งนั้นย่อม
รอท่าอยู่ในปรโลกแล้ว
การรู้ใจผู้อื่น หมายถึง ความเป็นผู้มีใจประกอบด้วยเมตตากรุณา รู้ความประสงค์ของผู้อื่น
ซึ่งตรงกับภาษาบาลีว่า วทัญญู คือเป็นผู้รู้ อ่านใจคนเป็น มองเห็นอัธยาศัยข้างในของผู้อยู่รอบข้างได้
ใครตกทุกข์ได้ยากก็ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ มีจิตใจหวั่นไหวเมื่อเห็นผู้อื่นลาบาก แม้ตัวจะลาบากยังไงก็
ต้องเข้าไปช่วย เข้าทานองว่า “มีอะไรอยู่ก็ให้ ได้อะไรมาก็แจก แบกเพื่อให้เขาสบาย ยอมตายเพื่อให้
เขาอยู่เป็นสุข” พฤติกรรมเหล่านี้เป็นลักษณะของมหาบุรุษผู้มุ่งทาประโยชน์เพื่อผู้อื่น หากพิจารณา
- 5. ห น้ า | ๕
เห็ น ว่ า เมื่ อ ท าไปแล้ ว จะท าให้ เ กิ ด ประโยชน์ แ ก่ ส่ ว นรวมมากกว่ า ก็ พ อใจที่ จ ะท าอย่ า งนั้ น ท่ า น
เปรียบเสมือนมารดาบิดาที่ปรารถนาจะให้บุตรธิดาของตนอยู่เย็นเป็นสุข
ธรรมทั้ง ๔ ประการ ดังพรรณนามาฉะนี้ เป็นสิ่งที่จะต้องเตรียมไว้ให้พร้อมก่อนไปสู่ปรโลก
หากมีสติระลึกได้และเตรียมตัวพร้อมด้วยธรรมทั้ง ๔ ข้อนี้ไว้ในตนก่อนที่จะพ้นจากโลกนี้ไป ได้ชื่อว่า
ดารงตนอยู่ในธรรม อันเป็นหลักประกันตนว่าเมื่ออยู่ในโลกก็ย่อมไม่ตกต่า ย่อมไพบูลย์ด้วยความสุข
กายสบายใจพรั่งพร้อมด้วยบริวารพวกพ้อง แม้ละจากโลกนี้ไปแล้วก็ย่อมได้สุข เป็นเหตุให้เกิดความ
แกล้วกล้า ทาให้มีหลักประกันว่าเมื่อไปสู่ปรโลกจะไม่เดือนร้อน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัส
รับรองปลุกใจไว้ว่า ผู้ตั้งอยู่ในธรรม ๔ ประการเหล่านี้ คือ เป็นผู้มีศรัทธา เป็นผู้อ่อนโยน เป็นผู้
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นผู้รู้ใจผู้อื่น ชื่อว่าดารงอยู่ในธรรมแล้วไม่ ต้องกลัวปรโลก คุณยายยาน มาลีหวล
ได้ปฏิบัติธรรมพระบาลีพุทธพจน์นี้ให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกๆ หลานๆ มาโดยลาดับ มิใช่สักแต่ว่า
แนะนาคนอื่นเท่านั้น ท่านยังได้เตรียมตัวไว้ก่อนตายนานแล้ว การเตรียมตัวนั้นมิใช่เตรียมเมื่อแก่
ชราภาพไม่ หากแต่ต้องเตรียมมาโดยตลอดด้วยความไม่ประมาท เพราะชีวิตเป็นของไม่แน่นอน ไม่มี
นิมิตหมายให้รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด แม้วันพรุ่งก็อาจสายเกินไปที่เตรียมตัว ดังนั้น คุณยายยาน มาลี
หวล ถือเป็ นตั ว อย่ า งในเรื่ องนี้ ได้เ ป็ นอย่ า งดี สมควรเป็ นทิ ฏ ฐานุคติ แ ก่อ นุชนรุ่นหลั ง มีนัย ดัง ได้
อรรถาธิบายมา
อิ มิ น า กตปุ ญฺ เ ญน ด้ ว ยอ านาจบุ ญ กิ ริ ย าปั ต ติ ท านมั ย กุ ศ ล ซึ่ ง คณะท่ า นเจ้ า ภาพ อั น
ประกอบด้วยลูกๆ หลานๆ ของคุณยาย ได้ร่วมกันบาเพ็ญให้เป็นไปในวันนี้ ขอจงเป็นพลปัจจัยบังเกิด
เป็นอิฏฐมนุญผลวิปากสมบัติอันเป็นทิพย์ แด่คุณยายยาน มาลีหวล ในสัมปรายภพให้ยิ่งขึ้นไป สม
ดังเจตนาปรารภของทุกท่านตลอดจิรัฐิติกาล
แสดงพระธรรมเทศนาในธัมมฐิตกถา สมสมัยได้เวลา ขอสมมุติยุติลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้.
เอว ก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ