เรียนรู้เหนือกระแส
การเรียนรู้เหนือกระแส (Hyper-learning) แสดงให้เห็นว่า ผู้คนและบริษัทสามารถปรับตัวเข้ากับโลกที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ผู้ประพันธ์อธิบายกรอบความคิดการเติบโต ในการทำงานร่วมกัน และการลดอัตตาของคุณ ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นว่า คุณสามารถคงความเกี่ยวข้องและแข่งขันได้ ในขณะที่โลกรอบตัวคุณมีการเร่งความเร็ว
Hyper-Learning: How to Adapt to the Speed of Change
by Edward D. Hess
Publisher : Berrett-Koehler Publishers (September 1, 2020)
Hyper-Learning is continual learning, unlearning, and relearning.”
กำไรสนองทั้งชีวิต
มีผู้คนมากขึ้น ตระหนักถึงระบบทุนนิยมว่า ประสบความสำเร็จในด้านความมั่งคั่งทางการเงิน โดยไม่คำนึงถึงการทำอันตรายต่อระบบที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ
Joseph H. Bragdon อธิบายรูปแบบใหม่ของ การดูแลสินทรัพย์ที่มีชีวิต (Living Asset Stewardship: LAS) และเสนอทางเลือกที่ดีกว่าระบบทุนนิยม ที่คุกคามโลกของเราอยู่ในทุกวันนี้
การดูแลสินทรัพย์ที่มีชีวิต (LAS) คือ การดูแลเกี่ยวกับผู้คนและสิ่งที่พวกเขาเอาใจใส่ (คน, สังคม, การตลาด และชีวมณฑล Society, Markets, and the Biosphere)
สินทรัพย์ที่มีชีวิต (Living Asset) หมายถึง ผู้คนและธรรมชาติ
สินทรัพย์ที่ไม่มีชีวิต (Nonliving Asset) หมายถึง เงินทุน
สินทรัพย์ที่มีชีวิตมีความสำคัญกว่าสินทรัพย์ที่ไม่มีชีวิต และเป็นสิ่งที่ทำให้องค์กรเกิดความยั่งยืน เพราะสินทรัพย์ที่ไม่มีชีวิต ต้องอาศัยสินทรัพย์ที่มีชีวิต เป็นแหล่งในการทำให้เกิดขึ้นมาได้
การดูแลสินทรัพย์ที่มีชีวิต (Living Asset Stewardship: LAS) คือการดูแลเอาใจใส่ สิ่งที่เราให้คุณค่ามากที่สุด (ผู้คนและธรรมชาติ)
การดูแลเอาใจใส่ หมายถึง การมีวินัย อย่างเป็นระบบในการดูแลสุขภาวะของโลกที่เราอาศัยอยู่ ด้วยมุมมองที่กว้างขึ้น (ทางสังคม, การตลาด และชีวมณฑล)
LAS คือกระบวนการการบริหารจัดการอย่างมีคุณธรรม ในการดูแลเอาใจใส่บุคลากร ทั้งด้านสุขภาพ สวัสดิการ เคารพในศักดิ์ศรี และสร้างเสริมความสามารถด้านอาชีพการงาน
การดูแลเอาใจใส่บุคลากรให้ดี ผลตอบแทนจะกลับมาเป็นหลายเท่าของการลงทุน
Joseph H. Bragdon describes the new model of Living Asset Stewardship (LAS), and offers a better alternative to the destructive capitalism that threatens our world today.
By seeing living assets as more important, the Living Assets Stewardship (LAS) model prioritizes "caring about people and the things they care about".
Adviser : Asst. Prof. Dr.Charuni Samat
Member : Miss Thita Kakhummat 563050424-2
Miss Tiwawan Racho 563050425-0
Miss Pimchanok Matawong 563050431-5
Miss Rapeepan Siriwongkhan 563050434-9
Mr.Poramin Attane 563050175-7
Mr.Supakorn Sangiamsak 563050439-9
Miss Chayanit Panpa 563050170-7
COMPUTER EDUCATION
KHONKAEN UNIVERSITY
กำไรสนองทั้งชีวิต
มีผู้คนมากขึ้น ตระหนักถึงระบบทุนนิยมว่า ประสบความสำเร็จในด้านความมั่งคั่งทางการเงิน โดยไม่คำนึงถึงการทำอันตรายต่อระบบที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ
Joseph H. Bragdon อธิบายรูปแบบใหม่ของ การดูแลสินทรัพย์ที่มีชีวิต (Living Asset Stewardship: LAS) และเสนอทางเลือกที่ดีกว่าระบบทุนนิยม ที่คุกคามโลกของเราอยู่ในทุกวันนี้
การดูแลสินทรัพย์ที่มีชีวิต (LAS) คือ การดูแลเกี่ยวกับผู้คนและสิ่งที่พวกเขาเอาใจใส่ (คน, สังคม, การตลาด และชีวมณฑล Society, Markets, and the Biosphere)
สินทรัพย์ที่มีชีวิต (Living Asset) หมายถึง ผู้คนและธรรมชาติ
สินทรัพย์ที่ไม่มีชีวิต (Nonliving Asset) หมายถึง เงินทุน
สินทรัพย์ที่มีชีวิตมีความสำคัญกว่าสินทรัพย์ที่ไม่มีชีวิต และเป็นสิ่งที่ทำให้องค์กรเกิดความยั่งยืน เพราะสินทรัพย์ที่ไม่มีชีวิต ต้องอาศัยสินทรัพย์ที่มีชีวิต เป็นแหล่งในการทำให้เกิดขึ้นมาได้
การดูแลสินทรัพย์ที่มีชีวิต (Living Asset Stewardship: LAS) คือการดูแลเอาใจใส่ สิ่งที่เราให้คุณค่ามากที่สุด (ผู้คนและธรรมชาติ)
การดูแลเอาใจใส่ หมายถึง การมีวินัย อย่างเป็นระบบในการดูแลสุขภาวะของโลกที่เราอาศัยอยู่ ด้วยมุมมองที่กว้างขึ้น (ทางสังคม, การตลาด และชีวมณฑล)
LAS คือกระบวนการการบริหารจัดการอย่างมีคุณธรรม ในการดูแลเอาใจใส่บุคลากร ทั้งด้านสุขภาพ สวัสดิการ เคารพในศักดิ์ศรี และสร้างเสริมความสามารถด้านอาชีพการงาน
การดูแลเอาใจใส่บุคลากรให้ดี ผลตอบแทนจะกลับมาเป็นหลายเท่าของการลงทุน
Joseph H. Bragdon describes the new model of Living Asset Stewardship (LAS), and offers a better alternative to the destructive capitalism that threatens our world today.
By seeing living assets as more important, the Living Assets Stewardship (LAS) model prioritizes "caring about people and the things they care about".
Adviser : Asst. Prof. Dr.Charuni Samat
Member : Miss Thita Kakhummat 563050424-2
Miss Tiwawan Racho 563050425-0
Miss Pimchanok Matawong 563050431-5
Miss Rapeepan Siriwongkhan 563050434-9
Mr.Poramin Attane 563050175-7
Mr.Supakorn Sangiamsak 563050439-9
Miss Chayanit Panpa 563050170-7
COMPUTER EDUCATION
KHONKAEN UNIVERSITY
ผู้นำส่วนใหญ่ถูกบังคับให้เดินบนเส้นทางที่ยากลำบากนั่นคือ สร้างนวัตกรรมอย่างล้นหลาม แต่ให้มีกำไรด้วย สร้างแรงบันดาลใจให้บุคลากรทำงานที่ดี แต่ให้พวกเขารับผิดชอบต่อผลงานของพวกเขาเอง ส่งเสริมวัฒนธรรมที่ดึงดูดคนเก่ง แต่ไม่สนใจช่วยเหลือในเรื่องการสร้างผลผลิต
แม้แต่ผู้นำที่มีเจตนาที่ดีที่สุด ก็มักจะเจอปัญหาการสร้างสมดุลระหว่างสิ่งที่ดีสำหรับธุรกิจและสิ่งที่ดีสำหรับพนักงาน การแบ่งขั้วนี้ ทำให้การเป็นทั้งผู้นำที่มีประสิทธิภาพและเป็นผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจเป็นเรื่องยาก
ไม่ใช่ว่าอำนาจทำให้ความเห็นอกเห็นใจน้อยลง แต่การที่ต้องมีความรับผิดชอบและความกดดันมากขึ้น อาจทำให้สมองของเรากลับมาทำงานอีกครั้ง และบังคับให้เราเลิกใส่ใจคนอื่น แต่เหตุการณ์ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้
เพราะผู้นำที่ทุ่มเทให้กับงาน โดยให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของทีมและด้วยความเห็นอกเห็นใจ จะได้รับรางวัลที่มีความสำคัญคือ ความพึงพอใจในงานที่ดีขึ้น ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับเพื่อนร่วมทีม และผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีขึ้น
Most leaders are forced to walk a thin line: innovate abundantly, but keep us in the black. Inspire your people to do good work, but hold them accountable for their performance. Foster a culture that attracts talent, but don’t give an inch when it comes to productivity.
Even those who lead with the best of intentions often struggle to strike a balance between what’s good for the business and what’s good for their people. This dichotomy makes it difficult to be both an effective leader and a compassionate leader.
It’s not that power makes people want to be less empathetic; it’s that taking on greater responsibilities and pressure can rewire our brains and, through no fault of our own, force us to stop caring about other people as much as we used to. But it does not have to be this way.
But leaders who put in the work to prioritize the well-being of their teams and lead with compassion will be rewarded where it matters: with better job satisfaction, better relationships with their teammates, and better business outcomes.
ผู้นำส่วนใหญ่ถูกบังคับให้เดินบนเส้นทางที่ยากลำบากนั่นคือ สร้างนวัตกรรมอย่างล้นหลาม แต่ให้มีกำไรด้วย สร้างแรงบันดาลใจให้บุคลากรทำงานที่ดี แต่ให้พวกเขารับผิดชอบต่อผลงานของพวกเขาเอง ส่งเสริมวัฒนธรรมที่ดึงดูดคนเก่ง แต่ไม่สนใจช่วยเหลือในเรื่องการสร้างผลผลิต
แม้แต่ผู้นำที่มีเจตนาที่ดีที่สุด ก็มักจะเจอปัญหาการสร้างสมดุลระหว่างสิ่งที่ดีสำหรับธุรกิจและสิ่งที่ดีสำหรับพนักงาน การแบ่งขั้วนี้ ทำให้การเป็นทั้งผู้นำที่มีประสิทธิภาพและเป็นผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจเป็นเรื่องยาก
ไม่ใช่ว่าอำนาจทำให้ความเห็นอกเห็นใจน้อยลง แต่การที่ต้องมีความรับผิดชอบและความกดดันมากขึ้น อาจทำให้สมองของเรากลับมาทำงานอีกครั้ง และบังคับให้เราเลิกใส่ใจคนอื่น แต่เหตุการณ์ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้
เพราะผู้นำที่ทุ่มเทให้กับงาน โดยให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของทีมและด้วยความเห็นอกเห็นใจ จะได้รับรางวัลที่มีความสำคัญคือ ความพึงพอใจในงานที่ดีขึ้น ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับเพื่อนร่วมทีม และผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีขึ้น
Most leaders are forced to walk a thin line: innovate abundantly, but keep us in the black. Inspire your people to do good work, but hold them accountable for their performance. Foster a culture that attracts talent, but don’t give an inch when it comes to productivity.
Even those who lead with the best of intentions often struggle to strike a balance between what’s good for the business and what’s good for their people. This dichotomy makes it difficult to be both an effective leader and a compassionate leader.
It’s not that power makes people want to be less empathetic; it’s that taking on greater responsibilities and pressure can rewire our brains and, through no fault of our own, force us to stop caring about other people as much as we used to. But it does not have to be this way.
But leaders who put in the work to prioritize the well-being of their teams and lead with compassion will be rewarded where it matters: with better job satisfaction, better relationships with their teammates, and better business outcomes.
2. Edward D. Hess
Publisher : Berrett-Koehler Publishers (September 1, 2020)
Hyper-Learning is continual learning, unlearning, and relearning.
–Edward D. Hess
3. เกี่ยวกับผู้ประพันธ์
Ed Hess เป็นศาสตราจารย์ด้านบริหารธุรกิจ, Batten Fellow และ Batten
Executive-in-Residence ที่ Darden Graduate School of Business แห่ง
มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย
เขาใช้เวลามากกว่า 20 ปีในโลกธุรกิจในฐานะผู้บริหารระดับสูงที่ Warburg
Paribas Becker, Boettcher & Company, Robert M. Bass Group และ Arthur
Andersen
เขาเป็นผู้เขียนหนังสือ 13 เล่มและบทความมากกว่า 150 บทความ ที่เกี่ยวข้อง
กับการเติบโต นวัตกรรมและวัฒนธรรมการเรียนรู้ ระบบและกระบวนการ
26. ความฉลาดใหม่ (NewSmart)
จุดประสงค์ของ ความฉลาดใหม่ (NewSmart) คือ "ฉันไม่ได้ถูกกาหนดโดยสิ่งที่ฉันรู้หรือ
รู้มากแค่ไหน แต่ด้วยคุณภาพของความคิด การฟัง ความสัมพันธ์และการทางานร่วมกัน
(I’m defined not by what I know or how much I know, but by the quality of my thinking,
listening, relating and collaborating)"
เป็นสิ่งที่มีประโยชน์สาหรับคุณ มันอาจทาให้คุณป้องกันตนน้อยลงเมื่อมีคนไม่เห็นด้วย
กับคุณ อาจทาให้คุณเปิดใจมากขึ้น อาจทาให้คุณต้องเป็นผู้ฟังที่ไตร่ตรอง มันช่วยให้คุณ
ยอมรับความจริงที่ว่า ขนาดของความเขลาของคุณมีมากกว่าขนาดของสิ่งที่คุณคิดว่าคุณ
รู้ ทั้งหมดนี้ ช่วยให้คุณเข้าถึงการเรียนรู้ได้ดีขึ้น
ความฉลาดใหม่ (NewSmart) ช่วยให้อัตตาของคุณเงียบ
32. สามบทเรียนจากหนังสือ (3 key lessons from the book)
1. หากต้องการเป็นผู้เรียนรู้เหนือกระแส คุณต้องเปลี่ยนความคิดก่อน (To become a
hyper-learner, you must first change your mindset)
2. การปรับปรุงพฤติกรรมของคุณ เป็นขั้นตอนต่อไปในการเป็นผู้ที่เรียนรู้เหนือกระแส
(Improving your behavior is the next step in becoming a hyper-learner)
3. มีสี่เสาหลักธุรกิจที่การเรียนรู้เหนือกระแสนาไปใช้ประโยชน์ได้ (There are four pillars
on which a hyper-learning business stands)
40. 4. สนับสนุนทัศนคติการกาหนดตนเอง (self-determination) หมายความว่า ช่วยให้ผู้คน
เรียนรู้ที่จะกระตือรือร้นในการแสวงหาความท้าทายและพัฒนาทักษะของตนเอง ให้ผู้คน
รู้สึกว่า พวกเขาเป็นผู้ควบคุมงานของพวกเขาและประสิทธิภาพการทางาน มีความสุข
แล้วการมีส่วนร่วมของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในระดับที่คุณไม่เคยคิดว่าจะ
เป็นไปได้
ถ้าคุณอยากจะสาเร็จ ต้องดีกับผู้คน (you need to be good to people if you want to
succeed!)