ความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์
อ.อธิศ ปทุมวรรณ
มหาวิทยาลัยนเรศวร
เนื้อหา
 เซ็ต ฟังก์ชัน และ กราฟ

 ตัวอักษร สตริง และภาษา
 เทคนิคการพิสูจน์

 ไวยากรณ์และออโตมาตา

2

ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
ความหมายของเซ็ต
เซ็ต (Set) คือ กลุ่มของวัตถุโดยไม่คานึงถึงการจัดเรียง
เรียกสิ่งที่อยู่ในเซตว่า สมาชิก
a เป็นสมาชิกของเซ็ต S จะเขียนอยู่ในรูป 𝑎 ∈ 𝑆
a ไม่เป็นสมาชิกของเซ็ต S จะเขียนอยู่ในรูป 𝑎 ∌ 𝑆
เซ็ต S ประกอบด้วยสมาชิกคือ a, b c จะเขียนในรูป 𝑆 = { 𝑎, 𝑏, 𝑐}

3

ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
ลักษณะของเซ็ต
 เซ็ตจากัด (Finite Set ) ทราบจานวนสมาชิกที่แน่นอน

𝑆 = { 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9}
𝑆 = { 𝑎, 𝑏, 𝑐, … , 𝑧}
 เซ็ตไม่จากัด (Infinite Set) ไม่ทราบจานวนสมาชิกแน่นอน

𝑆 = { 1, 2, 3, … }
𝑆 = { 𝑛 | 𝑛 𝑚𝑜𝑑 3 = 0}
 เซ็ตว่าง (Empty Set) ไม่มีจานวนสมาชิกเลย

𝑆 = { } หรือ 𝑆 = 𝜙
4

ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
เซตทีเท่ากัน (Equal Sets)
่
 เซตสองเซตจะเท่ากันก็ต่อเมื่อเซตทั้งสองมีสมาชิกเหมือนกัน

 เซต A เท่ากับ เซต B แทนด้วย

𝐴= 𝐵
 เซต A ไม่เท่ากับ เซต B แทนด้วย 𝐴 ≠ 𝐵
𝐴 = 𝑎, 𝑏, 𝑐
𝐵 = 𝑎, 𝑏, 𝑐, 𝑑
𝐶 = {𝑐, 𝑏, 𝑎}
𝐴= 𝐵
𝐴= 𝐶
5

𝑋 = 0, 1, 3, 5
𝑌 = {𝑥|𝑥 ∈ 𝐼 + , 𝑥 < 6}
𝑍 = {1, 3, 5, 7}
𝑋≠ 𝑌
𝑋≠ 𝑍
ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
เซตที่เทียบเท่ากัน (Equivalent Sets)
 เซตที่มีจานวนสมาชิกเท่ากัน และ สมาชิกของเซตจับคู่กันได้พอดี

แบบหนึ่งต่อหนึ่ง
 เซต A เทียบเท่ากับ เซต B แทนด้วย 𝐴 ↔ 𝐵
𝐴 = 𝑎, 𝑏, 𝑐, 𝑑
𝐵 = 1, 2, 3, 4
𝐴↔ 𝐵

6

𝑋 = 𝑥 𝑥 ∈ 𝐼+
𝑌 = {𝑥|𝑥 = 2𝑛, 𝑛 = 1, 2, 3, … }
𝑋↔ 𝑌

ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
เซตที่เทียบเท่ากัน (Equivalent Sets)
 ถ้า

𝐴 = 𝐵 แล้ว 𝐴 ↔ 𝐵
 ถ้า 𝐴 ↔ 𝐵 ไม่อาจสรุปได้ว่า 𝐴 = 𝐵

7

ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
สับเซ็ต (Subset)
 การที่เซต A จะเป็นสับเซตของเซต B ได้นั้นสมาชิกทุกตัวของเซต

A จะต้องเป็นสมาชิกของเซต B
 เซต A เป็นสับเซตของเซต B แทนด้วย 𝐴 ⊂ 𝐵
 เซต B ไม่เป็นสับเซตของเซต C แทนด้วย 𝐵 ⊄ 𝐶
A

8

B

C

ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
สับเซ็ต (Subset)
 เซ็ตทุกเซ็ตเป็นสับเซ็ตของตนเอง

𝐴⊂ 𝐴
 เซ็ตว่างเป็นสับเซตของทุกเซ็ต ∅ ⊂ 𝐴
 ถ้าเซ็ต 𝐴 ⊂ ∅ แล้ว 𝐴 = ∅
 ถ้า 𝐴 ⊂ 𝐵 และ B ⊂ 𝐶 แล้ว 𝐴 ⊂ 𝐶
 𝐴 = 𝐵 ก็ต่อเมื่อ 𝐴 ⊂ 𝐵 และ B ⊂ 𝐴

9

ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
เพาเวอร์เซ็ต (Power Set)
 ถ้า A เป็นเซตใด ๆ เพาเวอร์ของเซต A คือ เซตที่มีสมาชิกเป็นสับ

เซตทั้งหมดของ A เขียนแทนด้วย P(A)
𝐴=∅
𝑃(𝐴) = ∅
𝐵 = {𝑎}
𝑃(𝐵) = ∅, {𝑎}
C = {𝑎, 𝑏}
𝑃(𝐶) = ∅, {𝑎}, {𝑏}, {𝑎, 𝑏}
10

ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
การดาเนินการที่ทากับเซ็ต (Set Operation)


ปฏิบัติการระหว่างเซต คือ การนาเซตต่าง ๆ มากระทากันเพื่อให้เกิด
เป็นเซตใหม่ได้ ซึ่งทาได้ 4 วิธี คือ






11

ยูเนียน (Union) ยูเนียนของเซต A และ B คือเซตที่ประกอบด้วยสมาชิก
ของเซต A หรือ B
อินเตอร์เซคชัน (Intersection) อินเตอร์เซคชันของเซต A และ B คือเซตที่
ประกอบด้วยสมาชิกของเซต A และ B
คอมพลีเมนต์ (Complement) คอมพลีเมนต์ของเซต A คือเซตที่
ประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นสมาชิกของเอกภพสัมพัทธ์ แต่ไม่เป็นสมาชิกของ
A
ผลต่างของเซต (Difference) ผลต่างของเซต A และ B คือเซตที่
ประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นสมาชิกของเซต A แต่ไม่เป็นสมาชิกของเซต B
ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
ยูเนียน (Union)
𝑆1 ∪ 𝑆2 = {𝑎|𝑎 ∈ 𝑆1 𝑜𝑟 𝑎 ∈ 𝑆2 }

𝕌=
𝐴=
𝐵=
𝐴∪

12

1, 2, 3, … , 20
1, 2, 3, 4, 5, 6
2, 4, 6, 8, 10
𝐵 = {1, 2, 3, 4, 5, 6, 8, 10}

𝕌
A

B

ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
อินเตอร์เซกชัน (Intersection)
𝑆1 ∩ 𝑆2 = {𝑎|𝑎 ∈ 𝑆1 𝑎𝑛𝑑 𝑎 ∈ 𝑆2 }

𝕌=
𝐴=
𝐵=
𝐴∩

13

1, 2, 3, … , 20
1, 2, 3, 4, 5, 6
2, 4, 6, 8, 10
𝐵 = {2, 4, 6}

𝕌
A

B

ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
ฟังก์ชัน
 ฟังก์ชัน (Function) ทาหน้าที่ในการเชื่อมโยงระหว่างอินพุทไปยัง

เอาท์พุท โดยอินพุทหนึ่งค่าจะให้ค่าเอาท์พุทเพียงค่าเดียวเท่านั้น
 𝑓 𝑥 = 𝑦 โดยที่ 𝑥 เป็นอินพุท และ 𝑦 เป็นเอาท์พุท
input
𝑥

14

output
𝑓 𝑥

𝑦

ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
ความสัมพันธ์ (Relation)
 ความสัมพันธ์ (Relation) ทาหน้าที่ในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์

ระหว่างเซตของอินพุท ที่เรียกว่าโดเมน (Domain) ไปยังเซ็ตของ
เอาท์พุท ที่เรียกว่าเรนจ์ (Range)
𝑋 = 1, 2, 4
𝑌 = 4, 5, 6
ถ้ าให้ 𝑅 เป็ นความสัมพันธ์น้อยกว่า หรื อเรี ยกว่า
𝑅 เป็ นความสัมพันธ์ จาก 𝑋 ไปยัง 𝑌 โดยที่ 𝑥 < 𝑦 เมื่อ 𝑥 ∈ 𝑋 และ 𝑦 ∈ 𝑌
𝑥𝑅𝑦 = { 1,4 , 1,5 , 1,6 , 2,4 , 2,5 , 2,6 , 4,5 , (4,6)}
15

ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
ความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกัน (Equivalence Relation)
 ความสัมพันธ์แบบสะท้อน (Reflexive)

 ความสัมพันธ์แบบถ่ายทอด (Transitive)
 ความสัมพันธ์แบบสมมาตร (Symmetric)

16

ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
ความสัมพันธ์แบบสะท้อน (Reflexive)
𝑎𝑅𝑎 สาหรับทุก 𝑎 ที่อยูในเซต 𝑆 นันคือ 𝑎, 𝑎 เป็ นสมาชิกในเซ็ตของความสัมพันธ์
่
้
เช่น 𝑎𝑅𝑎 = 1,1 , 2,2 , (3,3)

17

ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
ความสัมพันธ์แบบถ่ายทอด (Transitive)
ถ้ า 𝑎𝑅𝑏 และ 𝑏𝑅𝑐 แล้ ว 𝑎𝑅𝑐 นันคือ ถ้ ามีความสัมพันธ์ 𝑎, 𝑏 และ 𝑏, 𝑐 แล้ ว
้
จะต้ องมี ความสัมพันธ์ 𝑎, 𝑐 เช่น 1,2 , 2,3 , (1,3)

18

ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
ความสัมพันธ์แบบสมมาตร (Symmetric)
ถ้ า 𝑎𝑅𝑏 แล้ ว 𝑏𝑅𝑎 นันคือ ถ้ ามีความสัมพันธ์ 𝑎, 𝑏 แล้ ว จะต้ องมี ความสัมพันธ์
้
𝑏, 𝑎 เช่น 1,2 , 2,1

19

ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
กลุ่มของความเท่าเทียมกัน (Equivalence Class)
สาหรับความสัมพันธ์ 𝑅 ที่ เท่าเทียมกัน (Equivalence Relation)
กลุมของความเท่าเทียมกัน (Equivalence Class) ถูกนิยามโดย
่
Equivalence Class of 𝑥 = 𝑦 𝑥𝑅𝑦
เช่น
𝑅 = 1,1 , 2,2 , 3,3 , 4,4 , 1,2 , 2,1 , (3,4 , (4,3)}
Equivalence Class of 1 = {1,2}
Equivalence Class of 2 = {1,2}
Equivalence Class of 3 = {3,4}
Equivalence Class of 4 = {3,4}
20

ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
กราฟ (Graph)
 กราฟ (Graph) คือโครงสร้างข้อมูลที่ประกอบด้วยสองส่วนคือ

โหนด (Nodes หรือ Vertices)
 กิ่ง (Edges)


B
D

A

 แบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่คือ

C

Undirected Graph

กราฟที่ไม่มีทิศทาง (Undirected Graph)
 กราฟที่มีทิศทาง (Directed Graph)


B

A

D

C

Directed Graph
21

ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
การอธิบายกราฟโดยไม่ใช้แผนภาพ
ใช้ สญลักษณ์กราฟ 𝐺 = (𝑉, 𝐸)
ั
โดยที่
𝑉 คือเซตของโหนดที่อยูในกราฟ
่
𝐸 คือคูลาดับของโหนดเพื่อใช้ อธิบายว่าโหนดไหนเชื่อมต่อกันบ้ าง
่
𝐺 = ( 𝐴, 𝐵, 𝐶, 𝐷 ,

𝐴, 𝐵 , 𝐵, 𝐷 , 𝐵, 𝐶 , 𝐶, 𝐷 )
B

D

A

C

22

ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
คาที่ต้องรู้จักเกี่ยวกับกราฟ
 ดีกรี (Degree) จานวนกิ่งของโหนดหนึ่งๆ

 กราฟย่อย (Sub graph) A จะเป็นกราฟย่อยของ B ก็ต่อเมื่อ เซต

ของโหนดในกราฟ A เป็นเซ็ตย่อยของเซตของโหนดในกราฟ B
และเซตของกิ่งภายในกราฟ A ต้องเป็นเซตย่อยของกิ่งในกราฟ B
ด้วย
 การเดิน (Walk) ลาดับของกิ่งที่เชื่อมต่อกัน
 ทาง (Path) การเดินโดยไม่มีกิ่งใดถูกผ่านซ้า
 ทางแบบง่าย (Simple Path) การเดินโดยไม่มีโหนดใดถูกผ่านซ้า
23

ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
คาที่ต้องรู้จักเกี่ยวกับกราฟ
 ไซเคิล (Cycle) กราฟที่ทาง (Path) ใดๆ มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด

เป็นจุดเดียวกัน
 ออยเลอร์ทัวร์ (Euler Tour) ไซเคิลผ่านทุกกิ่ง โดยแต่ละกิ่งจะผ่าน
ครั้งเดียวเท่านั้น
 ฮามิลโทเนียนไซเคิล (Hamiltonian Cycle) ไซเคิลเกิดจากการ
ผ่านโหนดทุกโหนดของกราฟและจะผ่านแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

24

ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
ต้นไม้ (Tree)
 ต้นไม้ (Tree) กราฟที่ไม่มีทิศทาง และไม่มี ไซเคิล

 มีจุดที่ทาหน้าที่เป็นจุดเริ่มต้นบนสุดเรียกว่า ราก (Root)
A

C

B

โหนดพ่อแม่ (Parent)

โหนดลูก (Child)
25

E

G

D

F

ความลึก (Depth) = 3
โหนดใบ (Leaf) ={B, G, F, D}
ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ

Chapter 1 mathmatics tools

  • 1.
  • 2.
    เนื้อหา  เซ็ต ฟังก์ชันและ กราฟ  ตัวอักษร สตริง และภาษา  เทคนิคการพิสูจน์  ไวยากรณ์และออโตมาตา 2 ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
  • 3.
    ความหมายของเซ็ต เซ็ต (Set) คือกลุ่มของวัตถุโดยไม่คานึงถึงการจัดเรียง เรียกสิ่งที่อยู่ในเซตว่า สมาชิก a เป็นสมาชิกของเซ็ต S จะเขียนอยู่ในรูป 𝑎 ∈ 𝑆 a ไม่เป็นสมาชิกของเซ็ต S จะเขียนอยู่ในรูป 𝑎 ∌ 𝑆 เซ็ต S ประกอบด้วยสมาชิกคือ a, b c จะเขียนในรูป 𝑆 = { 𝑎, 𝑏, 𝑐} 3 ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
  • 4.
    ลักษณะของเซ็ต  เซ็ตจากัด (FiniteSet ) ทราบจานวนสมาชิกที่แน่นอน 𝑆 = { 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9} 𝑆 = { 𝑎, 𝑏, 𝑐, … , 𝑧}  เซ็ตไม่จากัด (Infinite Set) ไม่ทราบจานวนสมาชิกแน่นอน 𝑆 = { 1, 2, 3, … } 𝑆 = { 𝑛 | 𝑛 𝑚𝑜𝑑 3 = 0}  เซ็ตว่าง (Empty Set) ไม่มีจานวนสมาชิกเลย 𝑆 = { } หรือ 𝑆 = 𝜙 4 ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
  • 5.
    เซตทีเท่ากัน (Equal Sets) ่ เซตสองเซตจะเท่ากันก็ต่อเมื่อเซตทั้งสองมีสมาชิกเหมือนกัน  เซต A เท่ากับ เซต B แทนด้วย 𝐴= 𝐵  เซต A ไม่เท่ากับ เซต B แทนด้วย 𝐴 ≠ 𝐵 𝐴 = 𝑎, 𝑏, 𝑐 𝐵 = 𝑎, 𝑏, 𝑐, 𝑑 𝐶 = {𝑐, 𝑏, 𝑎} 𝐴= 𝐵 𝐴= 𝐶 5 𝑋 = 0, 1, 3, 5 𝑌 = {𝑥|𝑥 ∈ 𝐼 + , 𝑥 < 6} 𝑍 = {1, 3, 5, 7} 𝑋≠ 𝑌 𝑋≠ 𝑍 ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
  • 6.
    เซตที่เทียบเท่ากัน (Equivalent Sets) เซตที่มีจานวนสมาชิกเท่ากัน และ สมาชิกของเซตจับคู่กันได้พอดี แบบหนึ่งต่อหนึ่ง  เซต A เทียบเท่ากับ เซต B แทนด้วย 𝐴 ↔ 𝐵 𝐴 = 𝑎, 𝑏, 𝑐, 𝑑 𝐵 = 1, 2, 3, 4 𝐴↔ 𝐵 6 𝑋 = 𝑥 𝑥 ∈ 𝐼+ 𝑌 = {𝑥|𝑥 = 2𝑛, 𝑛 = 1, 2, 3, … } 𝑋↔ 𝑌 ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
  • 7.
    เซตที่เทียบเท่ากัน (Equivalent Sets) ถ้า 𝐴 = 𝐵 แล้ว 𝐴 ↔ 𝐵  ถ้า 𝐴 ↔ 𝐵 ไม่อาจสรุปได้ว่า 𝐴 = 𝐵 7 ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
  • 8.
    สับเซ็ต (Subset)  การที่เซตA จะเป็นสับเซตของเซต B ได้นั้นสมาชิกทุกตัวของเซต A จะต้องเป็นสมาชิกของเซต B  เซต A เป็นสับเซตของเซต B แทนด้วย 𝐴 ⊂ 𝐵  เซต B ไม่เป็นสับเซตของเซต C แทนด้วย 𝐵 ⊄ 𝐶 A 8 B C ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
  • 9.
    สับเซ็ต (Subset)  เซ็ตทุกเซ็ตเป็นสับเซ็ตของตนเอง 𝐴⊂𝐴  เซ็ตว่างเป็นสับเซตของทุกเซ็ต ∅ ⊂ 𝐴  ถ้าเซ็ต 𝐴 ⊂ ∅ แล้ว 𝐴 = ∅  ถ้า 𝐴 ⊂ 𝐵 และ B ⊂ 𝐶 แล้ว 𝐴 ⊂ 𝐶  𝐴 = 𝐵 ก็ต่อเมื่อ 𝐴 ⊂ 𝐵 และ B ⊂ 𝐴 9 ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
  • 10.
    เพาเวอร์เซ็ต (Power Set) ถ้า A เป็นเซตใด ๆ เพาเวอร์ของเซต A คือ เซตที่มีสมาชิกเป็นสับ เซตทั้งหมดของ A เขียนแทนด้วย P(A) 𝐴=∅ 𝑃(𝐴) = ∅ 𝐵 = {𝑎} 𝑃(𝐵) = ∅, {𝑎} C = {𝑎, 𝑏} 𝑃(𝐶) = ∅, {𝑎}, {𝑏}, {𝑎, 𝑏} 10 ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
  • 11.
    การดาเนินการที่ทากับเซ็ต (Set Operation)  ปฏิบัติการระหว่างเซตคือ การนาเซตต่าง ๆ มากระทากันเพื่อให้เกิด เป็นเซตใหม่ได้ ซึ่งทาได้ 4 วิธี คือ     11 ยูเนียน (Union) ยูเนียนของเซต A และ B คือเซตที่ประกอบด้วยสมาชิก ของเซต A หรือ B อินเตอร์เซคชัน (Intersection) อินเตอร์เซคชันของเซต A และ B คือเซตที่ ประกอบด้วยสมาชิกของเซต A และ B คอมพลีเมนต์ (Complement) คอมพลีเมนต์ของเซต A คือเซตที่ ประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นสมาชิกของเอกภพสัมพัทธ์ แต่ไม่เป็นสมาชิกของ A ผลต่างของเซต (Difference) ผลต่างของเซต A และ B คือเซตที่ ประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นสมาชิกของเซต A แต่ไม่เป็นสมาชิกของเซต B ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
  • 12.
    ยูเนียน (Union) 𝑆1 ∪𝑆2 = {𝑎|𝑎 ∈ 𝑆1 𝑜𝑟 𝑎 ∈ 𝑆2 } 𝕌= 𝐴= 𝐵= 𝐴∪ 12 1, 2, 3, … , 20 1, 2, 3, 4, 5, 6 2, 4, 6, 8, 10 𝐵 = {1, 2, 3, 4, 5, 6, 8, 10} 𝕌 A B ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
  • 13.
    อินเตอร์เซกชัน (Intersection) 𝑆1 ∩𝑆2 = {𝑎|𝑎 ∈ 𝑆1 𝑎𝑛𝑑 𝑎 ∈ 𝑆2 } 𝕌= 𝐴= 𝐵= 𝐴∩ 13 1, 2, 3, … , 20 1, 2, 3, 4, 5, 6 2, 4, 6, 8, 10 𝐵 = {2, 4, 6} 𝕌 A B ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
  • 14.
    ฟังก์ชัน  ฟังก์ชัน (Function)ทาหน้าที่ในการเชื่อมโยงระหว่างอินพุทไปยัง เอาท์พุท โดยอินพุทหนึ่งค่าจะให้ค่าเอาท์พุทเพียงค่าเดียวเท่านั้น  𝑓 𝑥 = 𝑦 โดยที่ 𝑥 เป็นอินพุท และ 𝑦 เป็นเอาท์พุท input 𝑥 14 output 𝑓 𝑥 𝑦 ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
  • 15.
    ความสัมพันธ์ (Relation)  ความสัมพันธ์(Relation) ทาหน้าที่ในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ ระหว่างเซตของอินพุท ที่เรียกว่าโดเมน (Domain) ไปยังเซ็ตของ เอาท์พุท ที่เรียกว่าเรนจ์ (Range) 𝑋 = 1, 2, 4 𝑌 = 4, 5, 6 ถ้ าให้ 𝑅 เป็ นความสัมพันธ์น้อยกว่า หรื อเรี ยกว่า 𝑅 เป็ นความสัมพันธ์ จาก 𝑋 ไปยัง 𝑌 โดยที่ 𝑥 < 𝑦 เมื่อ 𝑥 ∈ 𝑋 และ 𝑦 ∈ 𝑌 𝑥𝑅𝑦 = { 1,4 , 1,5 , 1,6 , 2,4 , 2,5 , 2,6 , 4,5 , (4,6)} 15 ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
  • 16.
    ความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกัน (Equivalence Relation) ความสัมพันธ์แบบสะท้อน (Reflexive)  ความสัมพันธ์แบบถ่ายทอด (Transitive)  ความสัมพันธ์แบบสมมาตร (Symmetric) 16 ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
  • 17.
    ความสัมพันธ์แบบสะท้อน (Reflexive) 𝑎𝑅𝑎 สาหรับทุก𝑎 ที่อยูในเซต 𝑆 นันคือ 𝑎, 𝑎 เป็ นสมาชิกในเซ็ตของความสัมพันธ์ ่ ้ เช่น 𝑎𝑅𝑎 = 1,1 , 2,2 , (3,3) 17 ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
  • 18.
    ความสัมพันธ์แบบถ่ายทอด (Transitive) ถ้ า𝑎𝑅𝑏 และ 𝑏𝑅𝑐 แล้ ว 𝑎𝑅𝑐 นันคือ ถ้ ามีความสัมพันธ์ 𝑎, 𝑏 และ 𝑏, 𝑐 แล้ ว ้ จะต้ องมี ความสัมพันธ์ 𝑎, 𝑐 เช่น 1,2 , 2,3 , (1,3) 18 ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
  • 19.
    ความสัมพันธ์แบบสมมาตร (Symmetric) ถ้ า𝑎𝑅𝑏 แล้ ว 𝑏𝑅𝑎 นันคือ ถ้ ามีความสัมพันธ์ 𝑎, 𝑏 แล้ ว จะต้ องมี ความสัมพันธ์ ้ 𝑏, 𝑎 เช่น 1,2 , 2,1 19 ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
  • 20.
    กลุ่มของความเท่าเทียมกัน (Equivalence Class) สาหรับความสัมพันธ์𝑅 ที่ เท่าเทียมกัน (Equivalence Relation) กลุมของความเท่าเทียมกัน (Equivalence Class) ถูกนิยามโดย ่ Equivalence Class of 𝑥 = 𝑦 𝑥𝑅𝑦 เช่น 𝑅 = 1,1 , 2,2 , 3,3 , 4,4 , 1,2 , 2,1 , (3,4 , (4,3)} Equivalence Class of 1 = {1,2} Equivalence Class of 2 = {1,2} Equivalence Class of 3 = {3,4} Equivalence Class of 4 = {3,4} 20 ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
  • 21.
    กราฟ (Graph)  กราฟ(Graph) คือโครงสร้างข้อมูลที่ประกอบด้วยสองส่วนคือ โหนด (Nodes หรือ Vertices)  กิ่ง (Edges)  B D A  แบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่คือ C Undirected Graph กราฟที่ไม่มีทิศทาง (Undirected Graph)  กราฟที่มีทิศทาง (Directed Graph)  B A D C Directed Graph 21 ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
  • 22.
    การอธิบายกราฟโดยไม่ใช้แผนภาพ ใช้ สญลักษณ์กราฟ 𝐺= (𝑉, 𝐸) ั โดยที่ 𝑉 คือเซตของโหนดที่อยูในกราฟ ่ 𝐸 คือคูลาดับของโหนดเพื่อใช้ อธิบายว่าโหนดไหนเชื่อมต่อกันบ้ าง ่ 𝐺 = ( 𝐴, 𝐵, 𝐶, 𝐷 , 𝐴, 𝐵 , 𝐵, 𝐷 , 𝐵, 𝐶 , 𝐶, 𝐷 ) B D A C 22 ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
  • 23.
    คาที่ต้องรู้จักเกี่ยวกับกราฟ  ดีกรี (Degree)จานวนกิ่งของโหนดหนึ่งๆ  กราฟย่อย (Sub graph) A จะเป็นกราฟย่อยของ B ก็ต่อเมื่อ เซต ของโหนดในกราฟ A เป็นเซ็ตย่อยของเซตของโหนดในกราฟ B และเซตของกิ่งภายในกราฟ A ต้องเป็นเซตย่อยของกิ่งในกราฟ B ด้วย  การเดิน (Walk) ลาดับของกิ่งที่เชื่อมต่อกัน  ทาง (Path) การเดินโดยไม่มีกิ่งใดถูกผ่านซ้า  ทางแบบง่าย (Simple Path) การเดินโดยไม่มีโหนดใดถูกผ่านซ้า 23 ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
  • 24.
    คาที่ต้องรู้จักเกี่ยวกับกราฟ  ไซเคิล (Cycle)กราฟที่ทาง (Path) ใดๆ มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด เป็นจุดเดียวกัน  ออยเลอร์ทัวร์ (Euler Tour) ไซเคิลผ่านทุกกิ่ง โดยแต่ละกิ่งจะผ่าน ครั้งเดียวเท่านั้น  ฮามิลโทเนียนไซเคิล (Hamiltonian Cycle) ไซเคิลเกิดจากการ ผ่านโหนดทุกโหนดของกราฟและจะผ่านแค่ครั้งเดียวเท่านั้น 24 ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ
  • 25.
    ต้นไม้ (Tree)  ต้นไม้(Tree) กราฟที่ไม่มีทิศทาง และไม่มี ไซเคิล  มีจุดที่ทาหน้าที่เป็นจุดเริ่มต้นบนสุดเรียกว่า ราก (Root) A C B โหนดพ่อแม่ (Parent) โหนดลูก (Child) 25 E G D F ความลึก (Depth) = 3 โหนดใบ (Leaf) ={B, G, F, D} ทฤษฎีการคานวณ: ทาความรู้จักกับทฤษฎีการคานวณ