97897403355971. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกีฬาเซปักตะกร้อ
กีฬาเซปักตะกร้อได้มีวิวัฒนาการมาจากการเล่นกีฬาตะกร้อของประเทศต่าง ๆ ในทวีปเอเชีย
แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) ซึ่งได้คิดดัดแปลงวิธีการเล่นผสมผสานกันระหว่าง
กีฬาตะกร้อข้ามตาข่ายของประเทศไทยกับกีฬาเซปัก รากา จาริง (Sepak Raga Jaring) ของประเทศ
มาเลเซีย โดยสหพันธ์เซปักตะกร้อแห่งอาเซียน (Asian Sepaktakraw Federation or ASTAF) เป็น
ผู้ก�ำหนดชื่อกีฬาเซปักตะกร้อขึ้นและประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2508
โดยได้มีการจัดการแข่งขันตั้งแต่ระดับโรงเรียนไปจนถึงการแข่งขันในระดับกีฬาเอเชียนเกมส์ (Asian
Games) และปัจจุบันได้พยายามผลักดันให้เป็นกีฬาสาธิตในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก (Olympic
Games) เพื่อบรรจุให้เป็นกีฬาอีกประเภทหนึ่งของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในอนาคตต่อไป ประโยชน์
ที่ได้รับจากการเล่นกีฬาเซปักตะกร้อมีหลายด้านด้วยกัน เช่น ทางด้านร่างกาย สติปัญญา จิตใจ
อารมณ์และสังคม
เนื้อหา
1. ความหมายของกีฬาเซปักตะกร้อ
2. ความส�ำคัญของกีฬาเซปักตะกร้อ
3. ประวัติความเป็นมาของกีฬาเซปักตะกร้อ
4. กีฬาเซปักตะกร้อในกีฬาซีเกมส์
5. กีฬาเซปักตะกร้อในกีฬาเอเชียนเกมส์
6. ประโยชน์ของการเล่นกีฬาเซปักตะกร้อ
7. อุปกรณ์และสิ่งอ�ำนวยความสะดวก
8. การดูแลและการรักษาอุปกรณ์กีฬาเซปักตะกร้อ
9. มารยาทและความปลอดภัยในการเล่น
บ ท ที่
1
2. 2
1. ความหมายของกีฬาเซปักตะกร้อ
ค�ำว่า“ตะกร้อ” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2546 : 437) ได้ให้ความหมายไว้ว่า
“ลูกกลมสานด้วยหวายเป็นตา ๆ ส�ำหรับเตะ”
ฟอง เกิดแก้ว (2521 : 333) กล่าวว่า “กีฬาตะกร้อ” หมายถึง การเล่นชนิดหนึ่งสานด้วยหวาย
ส�ำหรับเตะเล่นบ้าง บางอย่างท�ำด้วยหนังปักพู่ขนไก่”
สุพจน์ ปราณี (2549 : 1) กล่าวไว้ว่า “กีฬาเซปักตะกร้อ หมายถึง การแข่งขันที่ประกอบด้วย
ผู้เล่นฝ่ายละ ๓ คน แต่ละฝ่ายพยายามให้ลูกตะกร้อตกลงในแดนของฝ่ายตรงข้ามจึงจะได้คะแนน”
วิทเวช วงศ์เพม (2543 : 2) กล่าวไว้ว่า “กีฬาเซปักตะกร้อ หมายถึง การแข่งขันที่ประกอบด้วย
ผู้เล่นฝ่ายละ 3 คน ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งส่งลูกเข้าเล่นก่อนและอีกฝ่ายหนึ่งตั้งรับ แต่ละฝ่ายพยายามเล่น
ไม่เกิน 3 ครั้งเพื่อให้ลูกตะกร้อตกลงในแดนของฝ่ายตรงข้ามจึงจะได้คะแนน”
สรุปได้ว่า “กีฬาเซปักตะกร้อ หมายถึง การแข่งขันที่ประกอบด้วยผู้เล่นฝ่ายละ 3 คน เริ่มเล่น
โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งส่งลูกเข้าเล่นก่อนโดยการโยนและเสิร์ฟจ�ำนวน 3 ครั้งและอีกฝ่ายหนึ่งเปิดตั้งชงลูก
และรุกหรือท�ำบริเวณหน้าตาข่ายจ�ำนวน 3 ครั้งสลับกัน แต่ละฝ่ายพยายามเล่นไม่เกิน 3 ครั้งเพื่อให้
ลูกตะกร้อตกลงในแดนของฝ่ายตรงข้ามจึงจะได้คะแนน”
2. ความส�ำคัญของกีฬาเซปักตะกร้อ
สถาพร เกษแก้ว (2543 : 5) กล่าวถึงความส�ำคัญของกีฬาเซปักตะกร้อไว้ว่า กีฬาทุกชนิดถ้า
ผู้เล่นน�ำไปใช้ให้ถูกต้องแล้วย่อมกลายเป็นเครื่องมือที่จะก่อให้เกิดสังคมมิตรภาพ ความสามัคคี
กลมเกลียว ปลูกฝังความมีน�้ำใจ นักกีฬาถ้าหากมีทักษะหรือความสามารถสูงย่อมมีโอกาสเป็นตัวแทน
ของสถาบันการศึกษา สโมสร เขตและตัวแทนของประเทศชาติ ซึ่งจะเป็นการประกาศเกียรติคุณและ
ได้รับผลประโยชน์จากการเล่นกีฬาเซปักตะกร้อ ซึ่งมีความส�ำคัญดังนี้
1. เป็นกีฬาที่เล่นได้ง่ายและเล่นได้โดยไม่จ�ำกัดเวลาและสถานที่
2. เป็นกีฬาที่มีอุปกรณ์การเล่นราคาถูก ท�ำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย
3. เป็นกีฬาที่ส่งเสริมสมรรถภาพทางกาย ท�ำให้ว่องไวปราดเปรียว
4. เป็นกีฬาที่ส่งเสริมสมรรถภาพทางจิตใจ ให้รู้จักการตัดสินใจ รู้จักควบคุมอารมณ์ และ
มีปฏิภาณไหวพริบดี
5. เป็นกีฬาที่ส่งเสริมให้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีวงสังคมกว้างขวาง
6. เป็นกีฬาที่มีความปลอดภัยมากกว่าการเล่นกีฬาประเภทอื่น
7. เป็นกีฬาที่ได้ชื่อว่าช่วยรักษาอนุรักษ์กีฬาประจ�ำชาติไทย
3. 3
รังสฤษฏ์ บุญชลอ (2543 : 10) ได้สรุปความส�ำคัญของการเล่นกีฬาตะกร้อไว้กว้าง ๆ ดังนี้
1. เป็นกีฬาที่ก่อให้เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน เป็นการเสริมสร้างสมรรถภาพทางด้าน
ร่างกายและจิตใจ
2. เป็นกีฬาที่ประหยัดค่าใช้จ่าย เล่นง่าย กติกาและระเบียบการแข่งขันไม่เคร่งครัด
3. เป็นกีฬาที่ไม่จ�ำกัดเวลาและสถานที่
4. เป็นกีฬาที่กระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวในการเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว ว่องไว สร้างเสริม
บุคลิกภาพ
5. เป็นกีฬาที่สร้างเสริมอารมณ์ ความคิดและจิตใจให้มีความสุขุม รอบคอบ เยือกเย็น
6. เป็นกีฬาที่ช่วยให้ระบบประสาทท�ำงานประสานกับระบบอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. เป็นกีฬาที่สร้างเสริมความสามัคคีในหมู่คณะและสังคมรวมทั้งเป็นสื่อกลางในการเข้าสังคม
และพัฒนาชุมชนทางด้านสุขภาพและพลานามัย
8. เป็นกีฬาที่ใช้เป็นแนวทาง หรือทักษะพื้นฐานอันน�ำไปสู่การเล่นกีฬาชนิดอื่น ๆ ได้ เช่น
ฟุตบอล
9. เป็นกีฬาที่สามารถใช้เป็นแนวทางในการอนุรักษ์และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมประจ�ำชาติ
ที่ดีงามให้คงไว้
10. เป็นกีฬาที่ต้องใช้ความสามารถด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา รวมทั้ง
ทักษะที่สูงมากส�ำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นเลิศทางด้านกีฬาตะกร้อ ถ้าผู้เล่นมีความตั้งใจใช้ความ
เพียรพยายามที่ดีอย่างต่อเนื่อง ก็สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ สร้างชื่อเสียง เกียรติประวัติให้แก่ตนเอง
สังคม และประเทศชาติได้
จึงสรุปความส�ำคัญของกีฬาเซปักตะกร้อ ได้ดังต่อไปนี้
1. เป็นกีฬาที่ก่อให้เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน เป็นการสร้างเสริมสมรรถภาพทางด้าน
ร่างกายและจิตใจ
2. เป็นกีฬาที่มีอุปกรณ์การเล่นราคาถูก ท�ำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย
3. เป็นกีฬาที่เล่นได้ง่ายและเล่นได้โดยไม่จ�ำกัดเวลาและสถานที่
4. เป็นกีฬาที่ส่งเสริมให้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีวงสังคมกว้างขวาง
5. เป็นกีฬาที่มีความปลอดภัยมากกว่าการเล่นกีฬาประเภทอื่น
6. เป็นกีฬาที่ได้ชื่อว่าช่วยรักษาอนุรักษ์กีฬาประจ�ำชาติไทย
7. เป็นกีฬาที่สร้างเสริมความสามัคคีในหมู่คณะและสังคมรวมทั้งเป็นสื่อกลางในการเข้าสังคม
และพัฒนาชุมชนทางด้านสุขภาพและพลานามัย
8. เป็นกีฬาที่มีกติกาและระเบียบการแข่งขันไม่เคร่งครัดมากนัก
9. เป็นกีฬาที่ส่งเสริมสมรรถภาพทางจิตใจ ให้รู้จักการตัดสินใจ รู้จักควบคุมอารมณ์ และมี
ปฏิภาณไหวพริบดี
4. 4
10. เป็นกีฬาที่ส่งเสริมสมรรถภาพทางกาย ท�ำให้ว่องไวปราดเปรียว
11. เป็นกีฬาที่ต้องใช้ความสามารถด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา รวมทั้ง
ทักษะที่สูงมากส�ำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นเลิศทางด้านกีฬาตะกร้อ ถ้าผู้เล่นมีความตั้งใจใช้ความ
เพียรพยายามที่ดีอย่างต่อเนื่อง ก็สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ สร้างชื่อเสียง เกียรติประวัติให้แก่ตนเอง
สังคม และประเทศชาติได้
3. ประวัติความเป็นมาของกีฬาเซปักตะกร้อ
กีฬาเซปักตะกร้อได้มีวิวัฒนาการมาจากการเล่นกีฬาตะกร้อของประเทศต่าง ๆ ในทวีปเอเชีย
แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) ซึ่งได้คิดดัดแปลงวิธีการเล่นผสมผสานกันระหว่าง
กีฬาตะกร้อข้ามตาข่ายของประเทศไทยกับกีฬาเซปัก รากา จาริง (Sepak-Raga Jaring) ของประเทศ
มาเลเชีย โดยสหพันธ์เซปักตะกร้อแห่งอาเซียน (Asian Sepaktakraw Federation, ASTAF) เป็น
ผู้ก�ำหนดชื่อกีฬาเซปักตะกร้อขึ้นและประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2508
ได้มีการจัดการแข่งขันตั้งแต่ระดับโรงเรียนไปจนถึงการแข่งขันในระดับกีฬาเอเชียนเกมส์ (Asian
Games) และปัจจุบันได้พยายามผลักดันให้เป็นกีฬาสาธิตในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก (Olympic
Games) เพื่อบรรจุให้เป็นกีฬาอีกประเภทหนึ่งของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในอนาคตต่อไป
กีฬาตะกร้อเป็นกีฬาของชนชาติเอเชีย ซึ่งมีหลายประเทศนิยมเล่นกัน แต่ละประเทศก็มีวิธี
การเล่นหรือกติกาที่แตกต่างกัน เช่น ประเทศพม่าเตะกันแบบล้อมเป็นวง (5-6 คน) พม่าเรียก
ตะกร้อว่า ชินลง (Chin Long) ประเทศมาเลเซียเล่นตะกร้อข้ามตาข่าย ซึ่งดัดแปลงการเล่นมาจาก
กีฬาวอลเลย์บอล แต่ได้ก�ำหนดให้สนามเล็กลงและมีผู้เล่นน้อยลง (จาก 6 คน เหลือ 3 คน) เรียกว่า
เซปัก รากา จาริง (Sepak-Raga Jaring) โดยแปลความหมายได้ว่า “เตะตะกร้อข้ามตาข่าย” มาเลเซีย
เรียกลูกตะกร้อว่า“รากา”
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย ประเทศไทยเดิมชื่อ “ประเทศสยาม” ในช่วง
พ.ศ.2133-2149เมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา
เป็นเมืองหลวง คนไทยหรือคนสยามมีการเริ่มเล่นตะกร้อที่ท�ำด้วยหวาย ซึ่งเป็นการเล่นตะกร้อวง
(ล้อมวงกันเตะ)
พ.ศ. 2199-2231 ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ในยุคสมัย
กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองหลวง มีคณะสอนศาสนาชาวฝรั่งเศสมาพ�ำนักในกรุงศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 22
สิงหาคม พ.ศ. 2205 มีการสร้างวัดนักบุญยอเซฟ นิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งมีบันทึกของบาทหลวงเดรียง
โลเนย์ ว่าชาวสยามชอบเล่นตะกร้อกันมาก
ต่อมา พ.ศ. 2315 เป็นช่วงหมดยุคกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นตอนต้นแห่งยุคสมัยกรุงธนบุรี
เป็นเมืองหลวง ได้มีชาวฝรั่งเศสชื่อนายฟรังซัว อังรี ตุระแปง ได้บันทึกในหนังสือชื่อ “Histoire
5. 5
DuRoyaume De Siam” พิมพ์ที่กรุงปารีส ระบุว่า ชาวสยามชอบเล่นตะกร้อในยามว่างเพื่อออก
ก�ำลังกาย(ปิยะศักดิ์มุทาลัย,2557:สืบค้นเมื่อ9เมษายน2557;Onlinefromhttp://www.takraw.
or.th/th/index.php?action=background_takraw.htm)
การเล่นตะกร้อของคนไทยหรือคนสยามมีหลักฐานอ้างอิงค่อนข้างจะชัดเจนว่ามีการเล่นกัน
มานานแล้วตั้งแต่ยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองหลวง พยานหลักฐานส�ำคัญที่จะยืนยันหรืออ้างอิง
ได้ดีที่สุดน่าจะเป็นบทกวีในวรรณคดีต่าง ๆ ของแต่ละยุคสมัยที่เรียงร้อยถ้อยความเกี่ยวพันถึงค�ำว่า
ตะกร้อไว้ เช่น
พ.ศ. 2352-2366 เป็นยุคตอนต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ (กรุงเทพมหานคร) เป็นเมืองหลวง
สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย(รัชกาลที่2)ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ได้พระราชนิพนธ์
ร้อยกรองของวรรณคดีเรื่อง อิเหนา มีบทร้อยกรองถ้อยความเกี่ยวพันถึงค�ำว่า “ตะกร้อ” ดังนี้
บัดนั้น เสนากิดาหยันน้อยใหญ่
บรรดาที่ตามเสด็จไป อยู่ในหน้าวิหารลานวัด
บ้างตั้งวงลงเตะตะกร้อเล่น เพลาเย็นแดดร่มลมสงัด
ปะเตะโต้คู่กันสันทัด บ้างถนัดเข่าเคาะเป็นน่าดู
(กรมศิลปากร, 2514 : 102)
พ.ศ. 2366-2394 ในยุคสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นเมืองหลวง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า
เจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) “สุนทรภู่” กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้เขียนบทกวี นิราศเมืองสุพรรณ
มีบทร้อยกรองถ้อยความเกี่ยวพันถึงค�ำว่า ตะกร้อ ไว้ดังนี้
ตะวันเย็นเห็นพระพร้อม ล้อมวง
ตีปะเตะตะกร้อตรง คู่โต้
สมภารท่านก็ลง เล่นสนุก ขลุกแฮ
เข่าข้างต่างอวดอ้าง อกได้ ใจหาย
(กรมศิลปากร, 2514 : 187)
พ.ศ.2395ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์หรือกรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงยังมีข้ออ้างอิงในหนังสือ
ชื่อ “Narrative of a Residence in Siam” ของชาวอังกฤษชื่อ เฟรเดอริก อาร์เทอร์ นีล (Frederick
Arthur Niel) ระบุว่ามีการเล่นตะกร้อในประเทศสยาม)
เหตุผลหรือข้ออ้างที่กล่าวมาทั้งหลายทั้งปวง ย่อมถือเป็นพยานหลักฐานไว้ว่า คนสยามหรือ
คนไทยได้เล่นตะกร้อมาเป็นเวลาช้านานแล้ว
6. 6
กรมพลศึกษา (ม.ป.ป. : 1) ได้กล่าวถึงประวัติกีฬาตะกร้อไว้ว่า กีฬาตะกร้อเกิดขึ้นเมื่อไรสมัยใด
นั้น ไม่สามารถจะบอกได้แน่นอน เพราะสมัยก่อนนั้นไม่ได้มีการจดบันทึกไว้ เนื่องจากเรานิยมแต่
ด้านปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลต่าง ๆ ทั้งทางประวัติศาสตร์พงศาวดารและจากจดหมายเหตุ
ต่าง ๆ พอวิเคราะห์ได้ว่า ตะกร้อมีในประเทศไทยมาช้านานแล้ว ในขณะเดียวกันก็มีอีกหลายประเทศ
ต่างก็เข้าใจว่า ตะกร้อเกิดขึ้นในประเทศของตนและได้มีอิทธิพลเข้าไปในประเทศใกล้เคียง อย่างที่มี
ผู้รู้บางท่านกล่าวว่า ตะกร้อเริ่มมีมาในสมัยอยุธยาตอนปลาย คือ เมื่อตอนที่ไทยเสียกรุงศรีอยุธยา
แก่พม่าราวพ.ศ.2310ซึ่งครั้งนั้นพม่าตั้งค่ายรักษาพระนครอยู่ที่โพธิ์สามต้นเวลาว่างพม่าได้น�ำตะกร้อ
มาเตะเล่นกัน พม่าได้เรียกตะกร้อนี้ว่า “ชินลง” ซึ่งแปลว่า “ตะกร้อ” โดยปกติการลอกเลียนแบบหรือ
น�ำเอาของคนอื่นมาใช้ต้องคงรูปของสิ่งนั้นหรือค�ำนั้นไว้ ถ้าไทยเราน�ำเอาตะกร้อมาจากพม่าก็น่าจะ
เรียกตามพม่าให้มีส่วนใกล้เคียงบ้าง อาจจะเป็นชินลางหรือชินลอง ไม่น่าเรียกว่า “ตะกร้อ” เหตุผล
ที่ว่าพม่าน�ำตะกร้อเข้ามาในประเทศไทยประเด็นนี้น่าจะตกไป ทางประเทศมาเลเซียก็ได้ประกาศว่า
“ตะกร้อ” นั้นเป็นกีฬาของประเทศมลายูเดิมและถือว่าเป็นกีฬาประจ�ำชาติ เรียกว่า เซปัก รากา จาริง
(Sepak-raga jaring) ความหมายของค�ำว่า “Raga” หมายถึง “ตะกร้อ” ซึ่งค�ำก็ใกล้เคียงกับค�ำว่า
“ตะกร้อ”ของไทย แต่ถ้าใช้เหตุผลว่า ไทยจะเอากีฬาของมลายูมาเล่นนั้นไม่น่าเป็นไปได้ เพราะจาก
เหตุผลดังต่อไปนี้
เหตุผลประการแรก จากนักประวัติศาสตร์ได้ส�ำรวจแล้วว่า วิวัฒนาการความเจริญย่อมจะแผ่
อาณาเขตจากเหนือลงใต้ ไม่มีวิวัฒนาการที่จะแผ่จากใต้ขึ้นเหนือ สังเกตจากการอพยพของเผ่าพันธุ์
มนุษย์จะถอยร่นจากเหนือลงสู่ทางใต้เรื่อยมา ประเทศใหญ่ ๆ ที่เคยเจริญรุ่งเรืองในอดีตหรือก่อน
ศตวรรษก็มักจะเป็นประเทศอยู่ตอนเหนือแทบทั้งสิ้น ฉะนั้น “ตะกร้อ” จะก่อก�ำเนิดจากประเทศ
มาเลเซียแล้วมานิยมเล่นในประเทศไทยย่อมจะเป็นไปไม่ได้
เหตุผลประการที่ 2 ประเทศไทยและประเทศมาเลเซียนั้นตามหลักฐานประวัติศาสตร์
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ก�ำเนิดขึ้นก่อนและเก่าแก่กว่าประเทศมาเลเซีย ฉะนั้น ความเจริญก็ยิ่งจะ
เจริญมากกว่าและวิวัฒนาการด้านต่าง ๆ ก็ย่อมจะดีกว่า จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าตะกร้อจะเกิดจาก
ประเทศมาเลเซีย
เหตุผลประการที่ 3 “กีฬาเซปัก รากา จาริง” ของมาเลเซียที่เล่นอยู่ก็คือตะกร้อหวายเหมือน
ของไทยเช่นกัน จากข้อนี้ถ้าจะบอกว่า อิทธิพลจากทางใต้ได้แผ่ขึ้นไปตอนเหนือก็จะขัดกับความเป็น
จริง เพราะว่าทางใต้ของประเทศไทย คือ จังหวัดนราธิวาส ยะลา และปัตตานี ก็มีการเล่นตะกร้อ
เช่นกัน แต่ลักษณะของตะกร้อเป็นลักษณะเหมือนตะกร้อขนไก่ คือใช้หนังวัวหรือหนังควายขนาดกว้าง
4 นิ้ว ยาว 8 นิ้ว พับครึ่งให้ปลายต่อกันที่จุดกึ่งกลางพอดี แล้วตัดหนังขนาดพอที่จะผูกขนไก่ 10-12 ชิ้น
ซึ่งประเด็นนี้ไทยไม่เคยได้รับอิทธิพลจากประเทศมาเลเซีย
บุญยงค์ เกศเทศ (2547 : 13) ได้กล่าวถึงการเล่นตะกร้อว่า การเล่นตะกร้อในตอนแรก ๆ คง
เตะส่งให้กันเพื่อไม่ให้ตกพื้น หรือช่วยกันเตะเลี้ยงรับส่งประคองไม่ให้ตกถึงพื้น เมื่อมีอันต้องตกถึงพื้น
7. 7
ก็หยิบมาโยนเตะกันใหม่ โดยนิยมเตะกันเป็นวงซึ่งไม่จ�ำกัดจ�ำนวนผู้เล่น ต่อมาผู้เล่นคงเห็นว่าเป็น
ระยะเวลานานจึงจะได้เตะลูกสักครั้งหนึ่งจึงแยกออกเป็นหลาย ๆ วง วงละประมาณ 3-8 คน ต่อมา
ได้มีการเล่นพลิกแพลง เช่น เตะตะกร้อลอดห่วง เตะตะกร้อข้ามตาข่าย จึงตั้งชื่อเรียกกันว่า ตะกร้อ
ลอดห่วง และตะกร้อข้ามตาข่าย
กรมพลศึกษา (ม.ป.ป. : 6-7) ได้กล่าวถึงประวัติกีฬาตะกร้อข้ามตาข่ายไว้ว่าเริ่มจากนายผล
ผลาสินธุ์ ได้ทดลองเตะตะกร้อข้ามเชือกซึ่งขึงไว้ตึง เมื่อครั้งก�ำลังศึกษาอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ซึ่งความคิดของท่านคงดัดแปลงมาจากการเล่นกีฬาแบดมินตัน ในระยะแรกไม่มีกติกาอะไรมาก
เพียงแต่แบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ข้างแล้วผลัดกันเตะข้ามเชือกที่ขึงไว้ ถ้าฝ่ายไหนรับไม่ได้ก็เสียคะแนน
ต่อมาตะกร้อข้ามเชือกนิยมเล่นในหมู่นักศึกษาด้วยกัน จนกระทั่งเริ่มให้มีการจัดการแข่งขันกันภายใน
หมู่คณะ
พ.ศ. 2468-2477 ในยุคสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นเมืองหลวง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า
เจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ได้มีการปรับปรุงหรือดัดแปลงการเล่นตะกร้อขึ้น
หลายรูปแบบ คือ ตะกร้อลอดห่วง ตะกร้อข้ามตาข่าย ตะกร้อชิงธง ตะกร้อพลิกแพลง และการติด
ตะกร้อตามร่างกาย
พ.ศ. 2470 หลวงมงคลแมน ชื่อเดิมนายสังข์ บูรณะศิริ เป็นผู้ริเริ่มวิธีการเล่นตะกร้อลอดห่วง
และเป็นผู้คิดประดิษฐ์ห่วงชัยตะกร้อขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งเดิมห่วงชัยตะกร้อเรียงติดกันลงมา มี 3 ห่วง
แต่ละห่วงมีความกว้างไม่เท่ากัน กล่าวคือ ห่วงบนเป็นห่วงเล็ก ห่วงกลางจะกว้างกว่าห่วงบน และ
ห่วงล่างสุดมีความกว้างกว่าทุกห่วง เรียกว่า ห่วงใหญ่ ต่อมาได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรูปทรง
ของห่วงชัยเป็นสามเส้าติดกัน โดยทั้ง 3 ห่วง (สามด้าน) มีความกว้างเท่ากัน ดังที่ใช้ท�ำการแข่งขันใน
ปัจจุบัน ส่วนการติดตะกร้อตามร่างกายถือว่าเป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัว ซึ่งการติดลูกตะกร้อ
ไว้ตามร่างกายเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย ต้องได้รับการฝึกอย่างมากประกอบกับพรสวรรค์ เพราะการติดลูก
ตะกร้อต้องกระท�ำโดยลูกตะกร้อลอยมาในอากาศและผู้เล่นต้องใช้อวัยวะของร่างกาย เช่น หน้าผาก
ไหล่ คอ คาง ข้อพับแขน ข้อพับขาด้านหลังหรือขาหนีบ โดยไม่ให้ลูกตะกร้อตกพื้น ผู้ที่มีความสามารถ
ในการติดตะกร้อตามร่างกาย ได้แก่
1. พ.ศ. 2470 หม่องปาหยิน ชาวพม่าสามารถติดตะกร้อได้จ�ำนวน 5 ลูก การที่น�ำเอาชื่อ
หม่องปาหยินบันทึกไว้เป็นประวัติการติดลูกตะกร้อของไทย ก็เพราะว่าหม่องปาหยินอาศัยอยู่ใน
ประเทศไทยตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม มีภรรยาเป็นคนไทย ประกอบอาชีพอยู่ในประเทศไทยจนเสียชีวิต
2. นางชลอศรี ชมเฉวก เป็นชาวอ�ำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ สามารถติดลูกตะกร้อ
ไว้ตามร่างกายได้จ�ำนวน 9 ลูก
3. นายแปลง สังขวัลย์ เป็นชาวกรุงเทพมหานคร สามารถติดลูกตะกร้อไว้ตามร่างกายได้
จ�ำนวน 9 ลูก
8. 8
4. นายคล่อง ไตรสุวรรณ เป็นชาวอ�ำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช สามารถติด
ลูกตะกร้อไว้ตามร่างกายได้ 11 ลูก
5. นายประสงค์ แสงจันทร์ เป็นชาวจังหวัดสิงห์บุรี สามารถติดลูกตะกร้อไว้ตามร่างกายได้
จ�ำนวน 24 ลูก ซึ่งมีการดัดแปลงลูกตะกร้อบางลูกให้เล็กลง (ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่)
พ.ศ. 2470 คนสยามหรือคนไทยมีความชื่นชอบกีฬาตะกร้อกันอย่างแพร่หลายขึ้น เพราะตาม
เทศกาลงานวัดต่างๆในยุคกรุงรัตนโกสินทร์เช่นวัดสระเกศ(ภูเขาทอง)วัดโพธิ์ท่าเตียนวัดอินทรวิหาร
(บางขุนพรหม) ได้เชิญหม่องปาหยินไปแสดงโชว์การติดลูกตะกร้อตามร่างกาย ซึ่งมีการเก็บเงิน
ค่าชมด้วย หลังยุคหม่องปาหยิน ยังมีหม่อมราชวงศ์อภินพ นวรัตน์ (หม่อมป๋อง) เป็นอีกผู้หนึ่งที่มี
ความสามารถเล่นตะกร้อพลิกแพลง ซึ่งก็ได้รับเชิญไปเดาะตะกร้อโชว์ตามเทศกาลงานวัดโรงเรียนและ
มหาวิทยาลัยด้วยและในปีเดียวกันนี้ได้มีการจดทะเบียนก่อตั้ง“สมาคมกีฬาสยาม”อย่างเป็นทางการ
โดยมี “พระยาภิรมย์ภักดี” เป็นนายกสมาคมกีฬาสยามคนแรก ซึ่งได้จัดให้มีการแข่งขันตะกร้อข้าม
ตาข่ายที่ท้องสนามหลวงเป็นครั้งแรก
พ.ศ. 2472 นายยิ้ม ศรีหงษ์ หลวงส�ำเร็จวรรณกิจ ขุนจรรยาวิทิต และนายผล ผลาสินธุ์ ได้
ร่วมกันคิดวิธีเล่นและกติกากีฬาตะกร้อข้ามตาข่ายขึ้น โดยดัดแปลงมาจากกีฬาตะกร้อกับกีฬา
แบดมินตัน และใช้จัดการแข่งขันภายในสมาคมกีฬาสยามและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก
พ.ศ. 2475-2479 นายยิ้ม ศรีหงส์ ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการ “โรงพิมพ์ศรีหงส์” ได้รับการแต่งตั้งให้
เป็นนายกสมาคมกีฬาสยาม คนที่ 2 ได้ร่างกฎ กติกาและจัดการแข่งขันกีฬาไทยและกีฬาตะกร้อข้าม
ตาข่ายประเภทประชาชนขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งได้รับความสนใจและนิยมเล่นกันทั่วไป เช่น กีฬาว่าว
ตะกร้อลอดห่วง ตะกร้อข้ามตาข่าย ตะกร้อวงเล็ก ตะกร้อวงใหญ่ และตะกร้อชิงธง ที่ท้องสนามหลวง
ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศสยามหรือประเทศไทย
พ.ศ. 2476 กระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการ) ได้ก่อตั้งกรมพลศึกษาขึ้นและแต่งตั้ง
ให้นาวาเอก หลวงศุภชลาศัย ร.น. ด�ำรงต�ำแหน่งอธิบดีกรมพลศึกษาเป็นคนแรก ซึ่งท่านเป็นผู้มีความ
ส�ำคัญยิ่งในการปรับปรุงแก้ไขวิธีการเล่นตะกร้อ โดยมีผู้ให้ความช่วยเหลือที่ส�ำคัญจ�ำนวน 5 คน คือ
คุณพระวิบูลย์ คุณหลวงมงคลแมน คุณหลวงประคูณ พระยาอุดมพงษ์เพ็ญสวัสดิ์ และพระยาภักดี
นรเศรษฐ (นายเลิด) ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการรถเมล์และโรงน�้ำแข็ง
พ.ศ. 2479 พระยาจินดารักษ์ได้รับการแต่งตั้งให้ด�ำรงต�ำแหน่งอธิบดีกรมพลศึกษา คนที่ 2
ท่านได้เป็นประธานคณะกรรมการปรับปรุงแก้ไขกติกากีฬาตะกร้อข้ามตาข่ายให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ซึ่งกรมพลศึกษาได้ประกาศใช้กติกากีฬาตะกร้อข้ามตาข่ายอย่างเป็นทางการ เมื่อ พ.ศ. 2480 และ
จัดให้มีการแข่งขันระหว่างโรงเรียนมัธยมชายขึ้นทั่วประเทศด้วย
พ.ศ. 2480-2484 นาวาเอก หลวงศุภชลาศัย ร.น. ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกสมาคมกีฬา
สยาม คนที่ 3
9. 9
พ.ศ. 2482 “ประเทศสยาม” ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ประเทศไทย” จึงท�ำให้นาวาเอก หลวง
ศุภชลาศัย ร.น. ด�ำรงต�ำแหน่ง 2 สถานภาพในคราวเดียวกัน กล่าวคือ ด�ำรงต�ำแหน่งนายกสมาคม
กีฬาสยาม คนที่ 3 และรักษาการต�ำแหน่งนายกสมาคมกีฬาไทยด้วย เพราะว่าสมาคมกีฬาสยามได้
เปลี่ยนชื่อเป็นสมาคมกีฬาไทยตามการเปลี่ยนชื่อของประเทศนั่นเอง
พ.ศ. 2484-2490 พระยาจินดารักษ์ได้รับการแต่งตั้งให้ด�ำรงต�ำแหน่งนายกสมาคมกีฬาไทย
คนที่ 1
พ.ศ. 2485 กีฬาตะกร้อได้ลดความนิยมลงเนื่องจากเกิดภาวะสงครามโลก ครั้งที่ 2 หลังจาก
สงครามได้สงบลง ได้มีการฟื้นฟูและส่งเสริมกีฬาตะกร้อขึ้นมาอีกครั้ง โดยเฉพาะกีฬาตะกร้อลอดห่วง
และกีฬาตะกร้อข้ามตาข่าย
พ.ศ. 2490-2498 พันเอก หลวงรณสิทธิ์ได้รับการแต่งตั้งให้ด�ำรงต�ำแหน่งเป็นนายกสมาคม
กีฬาไทย คนที่ 2 โดยท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี เป็นผู้อุปถัมภ์พิเศษ
พ.ศ. 2498-2500 จอมพลเรือ หลวงยุทธศาสตร์โกศล ร.น. ได้รับการแต่งตั้งให้ด�ำรงต�ำแหน่ง
เป็นนายกสมาคมกีฬาไทย คนที่ 3
พ.ศ. 2500-2503 พลเอก ประภาส จารุเสถียรได้รับการแต่งตั้งให้ด�ำรงต�ำแหน่งเป็นนายก
สมาคมกีฬาไทย คนที่ 4
พ.ศ. 2501 หลวงสุขุมนัยประดิษฐ ขณะนั้นด�ำรงต�ำแหน่งรองประธานคณะกรรมการ
โอลิมปิกแห่งประเทศไทย ได้เป็นผู้คิดริเริ่มจัดการแข่งขันกีฬาระหว่างชาติในกลุ่มประเทศแหลมทอง
ขึ้นในลักษณะคล้ายคลึงกับกีฬาเอเชียนเกมส์ (Asian Games) หรือกีฬาโอลิมปิกเกมส์ (Olympic
Games) เพื่อยกระดับมาตรฐานการกีฬาของประเทศกลุ่มแหลมทองให้สูงขึ้น และต่อมาในระหว่าง
การแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 3 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ประเทศไทยน�ำแนวความคิด
การจัดการแข่งขันกีฬาระหว่างชาติในกลุ่มประเทศอาเซียนไปปรึกษาหารือกับกลุ่มประเทศอาเซียน
ด้วยกัน ที่ประชุมเห็นชอบและมีมติให้จัดการแข่งขันโดยใช้ชื่อว่า การแข่งขันกีฬาเซียปเกมส์ (The
South East Asia Peninsular Games or Seap Games) และได้จัดการแข่งขันขึ้นครั้งแรกที่
ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 12-17 ธันวาคม พ.ศ. 2502 ในการจัดการแข่งขันครั้งนี้ได้มีการปรึกษา
หารือให้กีฬาตะกร้อเป็นกีฬาสาธิตไว้ด้วย
พ.ศ. 2502 ได้มีการแข่งขันกีฬาเซียปเกมส์ (Seap Games) ครั้งที่ 1 (ปัจจุบันเรียกว่า กีฬา
ซีเกมส์ (The South East Asian Games or Sea Games) ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน
ในครั้งนั้นยังไม่ได้บรรจุกีฬาตะกร้อเข้าในการแข่งขัน มีแต่คณะนักกีฬาตะกร้อชาวเมียนมา (พม่า)
มาเล่นตะกร้อพลิกแพลงให้ชาวไทยได้ชมและในโอกาสเดียวกันสมาคมกีฬาไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
ได้เชิญคณะนักกีฬาตะกร้อชาวเมียนมาไปชมการแข่งขันกีฬาตะกร้อลอดห่วงและตะกร้อข้ามตาข่าย
แบบไทย จึงได้มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและความคิดเห็นซึ่งกันและกัน และจะพยายามผลักดัน
กีฬาตะกร้อให้บรรจุเข้าในการแข่งขันกีฬาเซียปเกมส์ (Seap Games) ครั้งต่อไป
10. 10
ต่อมาในช่วงต้น พ.ศ. 2503 พลเอก ประภาส จารุเสถียรได้น�ำความกราบบังคมทูล พระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) ขอให้ “สมาคมกีฬาไทย” อยู่ใน “พระบรม-
ราชูปถัมภ์”
วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2503 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้รับสมาคมกีฬาไทยไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมกีฬาไทยจึงได้เปลี่ยนสถานภาพเป็นสมาคม
กีฬาไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
พ.ศ. 2504 ประเทศเมียนมาเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเซียปเกมส์ ครั้งที่ 2 ได้เชิญนักกีฬา
ตะกร้อไทยไปร่วมแสดงโชว์ซึ่งประเทศไทยได้ส่งทีมตะกร้อลอดห่วงไปแสดงโชว์และได้รับความชื่นชอบ
จากชาวเมียนมาเป็นอย่างมาก
พ.ศ. 2504-2511 พลเอก ประภาส จารุเสถียรได้รับการแต่งตั้งให้ด�ำรงต�ำแหน่งเป็นนายก
สมาคมกีฬาไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ คนที่ 1
พ.ศ. 2512 ประเทศไทยมีการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารสมาคมกีฬาไทย ในพระบรม-
ราชูปถัมภ์ชุดใหม่ พลเอก ประภาส จารุเสถียรได้รับการเลือกตั้งให้ด�ำรงต�ำแหน่งเป็นนายกสมาคม
กีฬาไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ คนที่ 2 อีกวาระหนึ่ง
พ.ศ. 2517 หลวงสัมฤทธิ์วิศวกรรมได้รับการเลือกตั้งให้ด�ำรงต�ำแหน่งเป็นนายกสมาคม
กีฬาไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ คนที่ 3 แต่ก็ด�ำรงต�ำแหน่งได้เพียงปีเดียวก็ลาออก เนื่องจากสุขภาพ
ไม่ดี
พ.ศ. 2518-2526 พลโท เผชิญ นิมิบุตรได้รับการเลือกตั้งให้ด�ำรงต�ำแหน่งเป็นนายกสมาคม
กีฬาไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ คนที่ 4 ในช่วงที่พลโท เผชิญ นิมิบุตร ด�ำรงต�ำแหน่งนายกสมาคมกีฬา
ไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์นั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อน�ำไปสู่การพัฒนากีฬาเซปักตะกร้อภายใน
ประเทศไทยอย่างมากมายหลายประการ ซึ่งเหตุการณ์ที่ส�ำคัญได้แก่ การแยกแผนกกีฬาตะกร้อออก
จากสมาคมกีฬาไทยในพระบรมราชูปถัมภ์เมื่อกลางพ.ศ.2524เนื่องจากสมาคมกีฬาไทยในพระบรม-
ราชูปถัมภ์ มีภารกิจมากเกินไปท�ำให้กีฬาเซปักตะกร้อไทยไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควรและการจัด
กิจกรรมของสมาคมกีฬาไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ มีเพียงการแข่งขันที่สนามหลวงปีละ 1 ครั้ง
ดังนั้น พันเอก (พิเศษ) เดชา กาลบุตร เลขานุการสมาคมกีฬาไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ
นายนพชัย วุฒิกมลชัย หัวหน้าแผนกกีฬาตะกร้อ ได้ปรึกษาหารือกันเพื่อน�ำเรื่องขออนุมัติต่อที่ประชุม
คณะกรรมการบริหารสมาคมกีฬาไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ขอให้ที่ประชุมพิจารณาผลการแข่งขัน
เซปักตะกร้อไทยกับมาเลเซียในรอบ 15 ปีที่ผ่านมาพร้อมเสนอข้อมูลที่แท้จริงให้ที่ประชุมพิจารณา
ผลสุดท้ายที่ประชุมมีมติรับหลักการในการเสนอขอแยกไปจัดตั้งเป็นสมาคมตะกร้อขึ้นอีกสมาคมหนึ่ง
โดยได้มอบหมายให้พันเอก (พิเศษ) เดชา กาลบุตร กับคณะเป็นผู้ออกกฎ ข้อบังคับสมาคมตะกร้อ
จนถึงเวลาในการประชุมใหญ่สามัญประจ�ำปี ที่ประชุมใหญ่ได้มีมติให้แยกแผนกกีฬาตะกร้อออกจาก
สมาคมกีฬาไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อจดทะเบียนก่อตั้งสมาคมตะกร้อและให้สมาชิกที่มีกิจกรรม