จิตรกรรม หมายถึง การวาดภาพระบายสีบนพื้นราบ โดยมี
สีและเส้นเป็นองค์ประกอบที่สําคัญในการแสดงออกซึ่งความงาม
มีช่างหรือจิตรกรเป็นผู้กําหนดเนื้อหา เรื่องราว รวมไปถึงการจัดวาง
องค์ประกอบของภาพ จิตรกรรมไทยประเพณี คือ การวาดภาพ
ระบายสี สะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์และภูมิปัญญาของช่างไทย
โบราณที่มีการคิดค้นวัสดุ เทคนิค รูปแบบ ฯลฯ จนเกิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง เป็นที่ยอมรับ และสืบทอดจนกลาย
เป็นประเพณี
จิตรกรรมไทยประเพณีส่วนใหญ่เกิดจากความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็น “พุทธบูชา” มักเขียน
บนฝาผนังเพื่อประดับงานสถาปัตยกรรม เช่น เขียนในพระปรางค์
พระอุโบสถ วิหาร ศาลาการเปรียญ พระบรมมหาราชวัง ฯลฯ รวม
เรียกว่า “จิตรกรรมฝาผนัง” หากเขียนในสมุดที่ทําจากกระดาษ
เรียกว่า “ใบสมุด” หรือ “สมุดไทย” (ภาพที่ ๑) หากเขียนบนผืนผ้า
เรียกว่า “พระบฏ” นอกจากนี้ยังมีการเขียนบนตู้พระธรรม
บานแผละ หรืออื่น ๆ โดยเขียนด้วยเทคนิคสีฝุ่นตามวิธีการของช่าง
ไทยแต่โบราณ เรื่องราวที่เขียนมักเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ได้แก่ พุทธประวัติ ไตรภูมิ ชาดก เป็นต้น
จุดประสงค์ในการเขียนภาพจิตรกรรมไทยประเพณีนอกจาก
ใช้ประดับงานสถาปัตยกรรมให้เกิดความงามแล้ว ยังเป็นช่องทาง
ในการบอกเล่าหรือสั่งสอนเรื่องราวทางศาสนา ในขณะที่คน
ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถอ่านหนังสือได้การสั่งสอนผ่านภาพจะทําให้
คนเข้าใจได้ง่ายขึ้น ที่น่าสนใจคือจิตรกรรมไทยประเพณีทําให้ผู้ดูสามารถจินตนาการถึงสิ่งที่เป็นนามธรรมซึ่งเข้าใจได้ยากให้
ปรากฏเป็นรูปธรรมผ่านงานจิตรกรรม เช่น สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เขาพระสุเมรุ หรือนรกขุมต่าง ๆ ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีจริงบนโลกใบนี้
นอกจากนี้จิตรกรรมไทยประเพณียังมีวัตถุประสงค์เขียนขึ้นเพื่อ
บันทึกศิลปวิทยาการต่าง ๆ ให้คนรุ่นหลังได้รับรู้อีกด้วย
มีผลงานศิลปกรรมอีกประเภทหนึ่งที่นับว่าเป็นจิตรกรรมไทยได้เช่นกัน คือ จิตรกรรมลายเส้นที่เกิดจากการใช้วัสดุปลายแหลม
ขูดขีดให้เกิดเป็นภาพโดยเน้นความงามของเส้นและรูปร่างมากกว่าการใช้สี เช่น
ภาพลายเส้นจารบนหินชนวนที่เพดานทางเดินระหว่างผนังทางขึ้นมณฑปวัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย หรือภาพจารลายเส้น
รูปเทวดารอบรอยพระพุทธบาทในมณฑปที่วัดตระพังทอง จังหวัดสุโขทัย เป็นต้น (ภาพที่ ๒)
การลงรักปิดทอง หรือที่เรียกว่า การเขียนลายรดนํ้า ควรนับเป็นงานจิตรกรรมไทยประเพณีได้เช่นกัน โดยการใช้ทองคําเปลว
ติดประดับให้เป็นภาพหรือลวดลายบนพื้นสีดําหรือสีแดงสีใดสีหนึ่งด้วยกรรมวิธีทางลายรดนํ้า ตัวอย่างลายรดนํ้าบนตู้พระธรรมสมัยธนบุรี
ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร (ภาพที่ ๓)
จิตรกรรมไทยประเพณีจึงถือเป็นวิจิตรศิลป์ สาขาหนึ่ง ซึ่ง
สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมอันดีงามของไทย มีคุณค่าทางศิลปะ สุนทรียะ และเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวในอดีต
ที่เกี่ยวกับความเชื่อ ศาสนา รวมทั้งประวัติศาสตร์และชีวิตความ
เป็นอยู่ของผู้คนในแต่ละยุคสมัย
อย่างไรก็ตาม ในการศึกษางานจิตรกรรมไทยประเพณีมีข้อจํากัดอยู่หลายประการ ได้แก่
การกําหนดอายุของงานจิตรกรรมและการระบุตัวผู้สร้างงานโดยเฉพาะผลงานก่อนหน้าพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ขึ้นไป
เนื่องจากจิตรกรรมไทยประเพณีส่วนใหญ่เขียนขึ้นเพื่อเป็น
พุทธบูชาโดยไม่ระบุตัวผู้วาด ทําให้การศึกษาลักษณะร่วมบางประการเพื่อใช้เป็นมาตรฐานในการกําหนดอายุของผลงานนั้น ๆ ทําได้ยาก
ยิ่งงานจิตรกรรมที่ปรากฏในอาคารที่มีการใช้สอยต่อเนื่องและผ่านการซ่อมแซมโดยช่างในชั้นหลัง ๆ
จนบดบังรูปแบบดั้งเดิมทําให้ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการศึกษารูปแบบและการกําหนดอายุ
รูปแบบและเอกลักษณ์ของจิตรกรรมไทยประเพณี
จิตรกรรมไทยประเพณีรับรูปแบบและเทคนิคมาจากหลายแหล่ง ได้แก่ ศิลปะอินเดีย ศิลปะพุกาม และศิลปะจีน
นํามาปรับปรุงจนเกิดเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง รูปแบบและเอกลักษณ์ของจิตรกรรมไทยประเพณีที่เด่นชัด ได้แก่
๑. มีลักษณะเป็นอุดมคติ (Idealistic) อันเกิดจากการประดิษฐ์ของช่างให้มีลักษณะเหนือจริง ตัวพระและตัวนางซึ่งเป็น
ตัวละครสําคัญตามท้องเรื่องจะได้รับการออกแบบด้วยลีลาที่งามสง่า อ่อนช้อยแบบนาฏลักษณ์ (Dramatic) มีการแสดงอารมณ์ความรู้สึก
ด้วยอากัปกิริยาท่วงท่ามากกว่าการแสดงออกทางสีหน้าแบบ
เหมือนจริงดังที่ปรากฏในจิตรกรรมตะวันตก ตัวอย่างเช่น จิตรกรรม
สุวรรณสามชาดก จากพระอุโบสถวัดเครือวัลย์วรวิหาร กรุงเทพฯ
ตอนพระบิดาของสุวรรณสามกําลังเศร้าโศกเมื่อทราบว่าสุวรรณสาม
ต้องศรพระราชากปิลยักข์ (ภาพที่ ๔) ในขณะที่ตัวละครซึ่งเป็น
ตัวร้ายมักใช้ยักษ์หรือมารเป็นสัญลักษณ์ และแสดงออกด้วยใบหน้าท่าทางที่ขึงขัง บึกบึน
การวาดภาพสัตว์มีทั้งการวาดเลียนแบบของจริงโดยจับ
ลักษณะเด่นและอากัปกิริยาท่าทางมาถ่ายทอด และประดิษฐ์ขึ้นใหม่
ตามความคิดสร้างสรรค์ของช่าง เช่น คชสีห์ ซึ่งเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ เป็นสัตว์ที่เกิดจากการผสมลักษณะของช้างและราชสีห์ เป็นต้น
ตัวอย่างภาพคชสีห์ในฉากมารผจญ จิตรกรรมฝาผนัง
วัดช่องนนทรี กรุงเทพฯ (ภาพที่ ๕)
หรือการเขียนนํ้า ก่อนหน้าที่จะมีการรับเอารูปแบบ
การไล่นํ้าหนักแสงเงาแบบตะวันตก ช่างไทยวาดคลื่นนํ้าด้วยลายเส้นคล้ายเกล็ดปลาซ้อนกันไปมาได้อย่างน่าชม
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความคิดสร้างสรรค์ของช่างที่ดัดแปลงความเป็นจริงผนวกกับความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการจนเกิดเป็นรูปแบบควา
มงามเฉพาะตัว
๒. มักแสดงภาพคล้ายกับการมองจากที่สูงลงสู่ที่ตํ่า หรือที่เรียกว่า Aerial Perspective หรือที่เรามักคุ้นว่า ทัศนียภาพแบบ
ตานกมอง (Bird’s Eye View) ซึ่งเป็นการวาดให้ผู้ชมเห็นได้
หลายมุมมอง๑
กล่าวคือ ในงานจิตรกรรมไทยประเพณีมักนําเสนอมุมมองในลักษณะมองจากที่สูงสู่ที่ตํ่าเพื่อให้ผู้ดูสามารถมองเห็น
รายละเอียดให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้เช่น ในฉากเดียวกันผู้ดู
สามารถมองเห็นบ้านเรือนได้ทุกหลังโดยมองเข้าไปทางประตูและหน้าต่าง แลเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่อยู่ในภาพได้อย่าง
ทั่วถึงโดยไม่ทับซ้อนกันเหมือนจิตรกรรมแบบตะวันตก ตัวอย่างเช่น ภาพเวสสันดรชาดก จิตรกรรมในพระอุโบสถวัดหน่อพุทธางกูร
จังหวัดสุพรรณบุรี (ภาพที่ ๖)
๓. มักแสดงภาพ ๒ มิติ คือ กว้างและยาว โดยไม่แสดง
แสงเงาตามธรรมชาติ ไม่แสดงเวลาว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน และ
ไม่สนใจการเขียนให้ถูกตามสัดส่วนใหญ่-เล็กเพื่อแสดงระยะใกล้-
ไกลของภาพตามหลักทัศนียวิทยา (Perspective) แบบตะวันตก
การระบายสีตัวภาพใช้สีแบนเรียบ๒
มีการใช้สีอ่อน-เข้มในการ
ระบายสีตัวบุคคลเพื่อแสดงความสําคัญของตัวละครนั้น ๆ ถ้าเป็น
ตัวละครเอก ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ฯลฯ มักปิดด้วย
ทองคําเปลวและตัดเส้นลวดลายไปตลอดทั้งภาพ โดยเส้นที่ใช้วาด
มีการสลับนํ้าหนักของสีและขนาดของเส้นไปมาเพื่อให้เกิดความ
กลมกลืนกัน ความอ่อนช้อยงดงามและความฉับไวของเส้นแสดงถึง
ความเจนจัดชํานิชํานาญของช่างที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
๔. จิตรกรรมไทยประเพณีเป็นภาพเขียนแบบเล่าเรื่อง
ต่อกันไปทั้งผนังโดยใช้เส้นสินเทา พุ่มไม้ท้องฟ้า ภูเขา โขดหิน
หรือสัญลักษณ์อื่น ๆ เป็นตัวแบ่งฉากหรือเรื่องราวโดยไม่มีการขีด
เส้นกรอบของภาพแบบจิตรกรรมตะวันตก เนื่องจากงานจิตรกรรม
ไทยประเพณีส่วนใหญ่เขียนเรื่องราวที่เกี่ยวกับพุทธประวัติ
ชาดก ฯลฯ ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องเป็นตอน ๆ ช่างผู้วาดจึงต้อง
ออกแบบจัดวางภาพให้เหมาะสมกับพื้นที่ว่างบนผนังและใช้
ทิวทัศน์ธรรมชาติ เช่น ต้นไม้โขดหิน ปราสาท ราชวัง ฯลฯ
รวมทั้งประดิษฐ์ “เส้นสินเทา” เป็นตัวแบ่งฉากและเชื่อมประสาน
ให้เกิดเอกภาพเพื่อให้ผู้ชมเข้าใจเรื่องราวและรับรู้ถึงความงามได้
ในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างการใช้เส้นสินเทาเป็นตัวแบ่งฉากในมหาชนกชาดก จิตรกรรมฝาผนังวัดช่องนนทรี กรุงเทพฯ (ภาพที่ ๗)
๕. ในการวาดภาพจิตรกรรมไทยประเพณีมักใช้สัญลักษณ์
ซํ้า ๆ เพื่อสื่อความหมายแทนตอนใดตอนหนึ่ง เช่น พุทธประวัติ
ตอนมหาภิเนษกรมณ์ (การออกบรรพชาของพระพุทธเจ้า) ช่าง
มักวาดรูปเจ้าชายสิทธัตถะทรงม้ากัณฐกะโดยมีท้าวจตุโลกบาล
																																																								
1
๑Ringis Rita, Thai Temples and Temple murals (New York: Oxford University press), 1990, p. 90.
2
๒ Ibid., p. 90.
รองรับเท้าม้า และพญามารมาขวางอยู่ด้านหน้าเพื่อห้ามมิให้ออก
ผนวช หรือ ทศชาติชาดก ตอน เตมียชาดก มักทําเป็นรูปพระเตมีย์
ยกราชรถด้วยพระหัตถ์ข้างเดียวขึ้นกวัดแกว่ง เป็นต้น ลักษณะ
ดังกล่าวจะได้รับการเขียนขึ้นซํ้า ๆ โดยมีองค์ประกอบคล้ายคลึงกันในแต่ละวัด ทําให้ผู้ชมเข้าใจเนื้อหาของภาพได้โดยง่าย

9789740331292

  • 1.
    จิตรกรรม หมายถึง การวาดภาพระบายสีบนพื้นราบโดยมี สีและเส้นเป็นองค์ประกอบที่สําคัญในการแสดงออกซึ่งความงาม มีช่างหรือจิตรกรเป็นผู้กําหนดเนื้อหา เรื่องราว รวมไปถึงการจัดวาง องค์ประกอบของภาพ จิตรกรรมไทยประเพณี คือ การวาดภาพ ระบายสี สะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์และภูมิปัญญาของช่างไทย โบราณที่มีการคิดค้นวัสดุ เทคนิค รูปแบบ ฯลฯ จนเกิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง เป็นที่ยอมรับ และสืบทอดจนกลาย เป็นประเพณี จิตรกรรมไทยประเพณีส่วนใหญ่เกิดจากความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็น “พุทธบูชา” มักเขียน บนฝาผนังเพื่อประดับงานสถาปัตยกรรม เช่น เขียนในพระปรางค์ พระอุโบสถ วิหาร ศาลาการเปรียญ พระบรมมหาราชวัง ฯลฯ รวม เรียกว่า “จิตรกรรมฝาผนัง” หากเขียนในสมุดที่ทําจากกระดาษ เรียกว่า “ใบสมุด” หรือ “สมุดไทย” (ภาพที่ ๑) หากเขียนบนผืนผ้า เรียกว่า “พระบฏ” นอกจากนี้ยังมีการเขียนบนตู้พระธรรม บานแผละ หรืออื่น ๆ โดยเขียนด้วยเทคนิคสีฝุ่นตามวิธีการของช่าง ไทยแต่โบราณ เรื่องราวที่เขียนมักเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ได้แก่ พุทธประวัติ ไตรภูมิ ชาดก เป็นต้น จุดประสงค์ในการเขียนภาพจิตรกรรมไทยประเพณีนอกจาก ใช้ประดับงานสถาปัตยกรรมให้เกิดความงามแล้ว ยังเป็นช่องทาง ในการบอกเล่าหรือสั่งสอนเรื่องราวทางศาสนา ในขณะที่คน ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถอ่านหนังสือได้การสั่งสอนผ่านภาพจะทําให้ คนเข้าใจได้ง่ายขึ้น ที่น่าสนใจคือจิตรกรรมไทยประเพณีทําให้ผู้ดูสามารถจินตนาการถึงสิ่งที่เป็นนามธรรมซึ่งเข้าใจได้ยากให้ ปรากฏเป็นรูปธรรมผ่านงานจิตรกรรม เช่น สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เขาพระสุเมรุ หรือนรกขุมต่าง ๆ ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีจริงบนโลกใบนี้ นอกจากนี้จิตรกรรมไทยประเพณียังมีวัตถุประสงค์เขียนขึ้นเพื่อ บันทึกศิลปวิทยาการต่าง ๆ ให้คนรุ่นหลังได้รับรู้อีกด้วย มีผลงานศิลปกรรมอีกประเภทหนึ่งที่นับว่าเป็นจิตรกรรมไทยได้เช่นกัน คือ จิตรกรรมลายเส้นที่เกิดจากการใช้วัสดุปลายแหลม ขูดขีดให้เกิดเป็นภาพโดยเน้นความงามของเส้นและรูปร่างมากกว่าการใช้สี เช่น ภาพลายเส้นจารบนหินชนวนที่เพดานทางเดินระหว่างผนังทางขึ้นมณฑปวัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย หรือภาพจารลายเส้น รูปเทวดารอบรอยพระพุทธบาทในมณฑปที่วัดตระพังทอง จังหวัดสุโขทัย เป็นต้น (ภาพที่ ๒) การลงรักปิดทอง หรือที่เรียกว่า การเขียนลายรดนํ้า ควรนับเป็นงานจิตรกรรมไทยประเพณีได้เช่นกัน โดยการใช้ทองคําเปลว
  • 2.
    ติดประดับให้เป็นภาพหรือลวดลายบนพื้นสีดําหรือสีแดงสีใดสีหนึ่งด้วยกรรมวิธีทางลายรดนํ้า ตัวอย่างลายรดนํ้าบนตู้พระธรรมสมัยธนบุรี ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร(ภาพที่ ๓) จิตรกรรมไทยประเพณีจึงถือเป็นวิจิตรศิลป์ สาขาหนึ่ง ซึ่ง สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมอันดีงามของไทย มีคุณค่าทางศิลปะ สุนทรียะ และเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวในอดีต ที่เกี่ยวกับความเชื่อ ศาสนา รวมทั้งประวัติศาสตร์และชีวิตความ เป็นอยู่ของผู้คนในแต่ละยุคสมัย อย่างไรก็ตาม ในการศึกษางานจิตรกรรมไทยประเพณีมีข้อจํากัดอยู่หลายประการ ได้แก่ การกําหนดอายุของงานจิตรกรรมและการระบุตัวผู้สร้างงานโดยเฉพาะผลงานก่อนหน้าพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ขึ้นไป เนื่องจากจิตรกรรมไทยประเพณีส่วนใหญ่เขียนขึ้นเพื่อเป็น พุทธบูชาโดยไม่ระบุตัวผู้วาด ทําให้การศึกษาลักษณะร่วมบางประการเพื่อใช้เป็นมาตรฐานในการกําหนดอายุของผลงานนั้น ๆ ทําได้ยาก ยิ่งงานจิตรกรรมที่ปรากฏในอาคารที่มีการใช้สอยต่อเนื่องและผ่านการซ่อมแซมโดยช่างในชั้นหลัง ๆ จนบดบังรูปแบบดั้งเดิมทําให้ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการศึกษารูปแบบและการกําหนดอายุ รูปแบบและเอกลักษณ์ของจิตรกรรมไทยประเพณี จิตรกรรมไทยประเพณีรับรูปแบบและเทคนิคมาจากหลายแหล่ง ได้แก่ ศิลปะอินเดีย ศิลปะพุกาม และศิลปะจีน นํามาปรับปรุงจนเกิดเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง รูปแบบและเอกลักษณ์ของจิตรกรรมไทยประเพณีที่เด่นชัด ได้แก่ ๑. มีลักษณะเป็นอุดมคติ (Idealistic) อันเกิดจากการประดิษฐ์ของช่างให้มีลักษณะเหนือจริง ตัวพระและตัวนางซึ่งเป็น ตัวละครสําคัญตามท้องเรื่องจะได้รับการออกแบบด้วยลีลาที่งามสง่า อ่อนช้อยแบบนาฏลักษณ์ (Dramatic) มีการแสดงอารมณ์ความรู้สึก ด้วยอากัปกิริยาท่วงท่ามากกว่าการแสดงออกทางสีหน้าแบบ เหมือนจริงดังที่ปรากฏในจิตรกรรมตะวันตก ตัวอย่างเช่น จิตรกรรม สุวรรณสามชาดก จากพระอุโบสถวัดเครือวัลย์วรวิหาร กรุงเทพฯ ตอนพระบิดาของสุวรรณสามกําลังเศร้าโศกเมื่อทราบว่าสุวรรณสาม ต้องศรพระราชากปิลยักข์ (ภาพที่ ๔) ในขณะที่ตัวละครซึ่งเป็น ตัวร้ายมักใช้ยักษ์หรือมารเป็นสัญลักษณ์ และแสดงออกด้วยใบหน้าท่าทางที่ขึงขัง บึกบึน การวาดภาพสัตว์มีทั้งการวาดเลียนแบบของจริงโดยจับ ลักษณะเด่นและอากัปกิริยาท่าทางมาถ่ายทอด และประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ตามความคิดสร้างสรรค์ของช่าง เช่น คชสีห์ ซึ่งเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ เป็นสัตว์ที่เกิดจากการผสมลักษณะของช้างและราชสีห์ เป็นต้น ตัวอย่างภาพคชสีห์ในฉากมารผจญ จิตรกรรมฝาผนัง วัดช่องนนทรี กรุงเทพฯ (ภาพที่ ๕) หรือการเขียนนํ้า ก่อนหน้าที่จะมีการรับเอารูปแบบ การไล่นํ้าหนักแสงเงาแบบตะวันตก ช่างไทยวาดคลื่นนํ้าด้วยลายเส้นคล้ายเกล็ดปลาซ้อนกันไปมาได้อย่างน่าชม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความคิดสร้างสรรค์ของช่างที่ดัดแปลงความเป็นจริงผนวกกับความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการจนเกิดเป็นรูปแบบควา มงามเฉพาะตัว ๒. มักแสดงภาพคล้ายกับการมองจากที่สูงลงสู่ที่ตํ่า หรือที่เรียกว่า Aerial Perspective หรือที่เรามักคุ้นว่า ทัศนียภาพแบบ ตานกมอง (Bird’s Eye View) ซึ่งเป็นการวาดให้ผู้ชมเห็นได้
  • 3.
    หลายมุมมอง๑ กล่าวคือ ในงานจิตรกรรมไทยประเพณีมักนําเสนอมุมมองในลักษณะมองจากที่สูงสู่ที่ตํ่าเพื่อให้ผู้ดูสามารถมองเห็น รายละเอียดให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้เช่น ในฉากเดียวกันผู้ดู สามารถมองเห็นบ้านเรือนได้ทุกหลังโดยมองเข้าไปทางประตูและหน้าต่างแลเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่อยู่ในภาพได้อย่าง ทั่วถึงโดยไม่ทับซ้อนกันเหมือนจิตรกรรมแบบตะวันตก ตัวอย่างเช่น ภาพเวสสันดรชาดก จิตรกรรมในพระอุโบสถวัดหน่อพุทธางกูร จังหวัดสุพรรณบุรี (ภาพที่ ๖) ๓. มักแสดงภาพ ๒ มิติ คือ กว้างและยาว โดยไม่แสดง แสงเงาตามธรรมชาติ ไม่แสดงเวลาว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน และ ไม่สนใจการเขียนให้ถูกตามสัดส่วนใหญ่-เล็กเพื่อแสดงระยะใกล้- ไกลของภาพตามหลักทัศนียวิทยา (Perspective) แบบตะวันตก การระบายสีตัวภาพใช้สีแบนเรียบ๒ มีการใช้สีอ่อน-เข้มในการ ระบายสีตัวบุคคลเพื่อแสดงความสําคัญของตัวละครนั้น ๆ ถ้าเป็น ตัวละครเอก ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ฯลฯ มักปิดด้วย ทองคําเปลวและตัดเส้นลวดลายไปตลอดทั้งภาพ โดยเส้นที่ใช้วาด มีการสลับนํ้าหนักของสีและขนาดของเส้นไปมาเพื่อให้เกิดความ กลมกลืนกัน ความอ่อนช้อยงดงามและความฉับไวของเส้นแสดงถึง ความเจนจัดชํานิชํานาญของช่างที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ๔. จิตรกรรมไทยประเพณีเป็นภาพเขียนแบบเล่าเรื่อง ต่อกันไปทั้งผนังโดยใช้เส้นสินเทา พุ่มไม้ท้องฟ้า ภูเขา โขดหิน หรือสัญลักษณ์อื่น ๆ เป็นตัวแบ่งฉากหรือเรื่องราวโดยไม่มีการขีด เส้นกรอบของภาพแบบจิตรกรรมตะวันตก เนื่องจากงานจิตรกรรม ไทยประเพณีส่วนใหญ่เขียนเรื่องราวที่เกี่ยวกับพุทธประวัติ ชาดก ฯลฯ ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องเป็นตอน ๆ ช่างผู้วาดจึงต้อง ออกแบบจัดวางภาพให้เหมาะสมกับพื้นที่ว่างบนผนังและใช้ ทิวทัศน์ธรรมชาติ เช่น ต้นไม้โขดหิน ปราสาท ราชวัง ฯลฯ รวมทั้งประดิษฐ์ “เส้นสินเทา” เป็นตัวแบ่งฉากและเชื่อมประสาน ให้เกิดเอกภาพเพื่อให้ผู้ชมเข้าใจเรื่องราวและรับรู้ถึงความงามได้ ในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างการใช้เส้นสินเทาเป็นตัวแบ่งฉากในมหาชนกชาดก จิตรกรรมฝาผนังวัดช่องนนทรี กรุงเทพฯ (ภาพที่ ๗) ๕. ในการวาดภาพจิตรกรรมไทยประเพณีมักใช้สัญลักษณ์ ซํ้า ๆ เพื่อสื่อความหมายแทนตอนใดตอนหนึ่ง เช่น พุทธประวัติ ตอนมหาภิเนษกรมณ์ (การออกบรรพชาของพระพุทธเจ้า) ช่าง มักวาดรูปเจ้าชายสิทธัตถะทรงม้ากัณฐกะโดยมีท้าวจตุโลกบาล 1 ๑Ringis Rita, Thai Temples and Temple murals (New York: Oxford University press), 1990, p. 90. 2 ๒ Ibid., p. 90.
  • 4.
    รองรับเท้าม้า และพญามารมาขวางอยู่ด้านหน้าเพื่อห้ามมิให้ออก ผนวช หรือทศชาติชาดก ตอน เตมียชาดก มักทําเป็นรูปพระเตมีย์ ยกราชรถด้วยพระหัตถ์ข้างเดียวขึ้นกวัดแกว่ง เป็นต้น ลักษณะ ดังกล่าวจะได้รับการเขียนขึ้นซํ้า ๆ โดยมีองค์ประกอบคล้ายคลึงกันในแต่ละวัด ทําให้ผู้ชมเข้าใจเนื้อหาของภาพได้โดยง่าย