SlideShare a Scribd company logo
1
เสนกชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๗. เสนกชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๔๐๒)
ว่าด้วยเสนกบัณฑิต
(เสนกบัณฑิตกล่าวว่า)
[๔๖] ท่านมีจิตฟุ้ งซ่าน มีดวงตาบอบช้า
หยาดน้าตาก็ไหลออกมาจากนัยน์ตาทั้ง ๒ ของท่าน อะไรของท่านหาย
หรือท่านต้องการอะไรจึงมาที่นี้ พ่อพราหมณ์ เชิญพูดมาเถิด
(พราหมณ์กล่าวว่า)
[๔๗] วันนี้ เมื่อข้าพเจ้าไปถึงบ้าน ภรรยาต้องตาย เมื่อไปไม่ถึงบ้าน
ข้าพเจ้าต้องตาย เทวดาบอกไว้ เพราะทุกข์นี้ ข้าพเจ้าจึงหวาดกลัว
ท่านเสนกบัณฑิต โปรดบอกเหตุนี้แก่ข้าพเจ้า
(เสนกบัณฑิตกล่าวว่า)
[๔๘] ข้าพเจ้าพิจารณาเหตุหลายประการแล้ว กล่าวเหตุใดในเหตุนี้
เหตุนั้นแน่นอนจักเป็นเรื่องจริง พ่อพราหมณ์ ข้าพเจ้าเข้าใจว่า
งูเห่าได้เลื้อยเข้าไปในถุงย่ามข้าวสัตตุของท่าน โดยท่านไม่รู้ตัว
[๔๙] ท่านจงเอาท่อนไม้เคาะถุงย่ามดูเถิด จะเห็นงูมีลิ้นสองแฉก
มีน้าลายฟูมปาก ท่านจะตัดความเคลือบแคลงสงสัยเสียได้วันนี้ ท่านจะได้เห็นงู
จงแก้ถุงย่ามเถิด
(พระศาสดาตรัสว่า)
[๕๐] พราหมณ์นั้นมีท่าทางสยดสยอง
ได้แก้ถุงย่ามข้าวสัตตุออกท่ามกลางชุมชน ขณะนั้น
งูร้ายมีพิษร้ายแรงเลื้อยออกมาแผ่พังพาน
(พราหมณ์กล่าวสดุดีพระราชาว่า)
[๕๑] พระเจ้าชนกทรงได้ลาภดีแล้วที่ได้ทรงพบเสนกะผู้มีปัญญาดี
พราหมณ์ ท่านเปิดเผยข้อที่ปกปิดได้หนอ เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง
ญาณของท่านมีกาลังยิ่งนัก
(พราหมณ์ต้องการจะสดุดีเสนกบัณฑิต จึงกล่าวว่า)
[๕๒] ข้าพเจ้ามีทรัพย์อยู่ ๗๐๐ กหาปณะนี้ เชิญรับไปทั้งหมดเถิด
ข้าพเจ้าให้ท่าน เพราะข้าพเจ้าได้ชีวิตในวันนี้ก็เพราะท่าน
ซ้าท่านยังได้ทาความสวัสดีแก่ภรรยาของข้าพเจ้าด้วย
(เสนกบัณฑิตกล่าวว่า)
2
[๕๓] บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่รับค่าจ้างเพราะคาถาอันวิจิตรที่กล่าวดีแล้ว
พ่อพราหมณ์ แต่นี้ไป ขอให้คนทั้งหลายจงช่วยกันให้ทรัพย์แก่ท่าน
ท่านจงนาไปยังที่อยู่ของตนเถิด
เสนกชาดกที่ ๗ จบ
--------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
เสนกชาดก
ว่าด้วย ผู้มีปัญญาช่วยคนอื่นได้
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
ทรงปรารภพระปัญญาบารมีของพระองค์ จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้.
เรื่องปัจจุบันจักมีแจ่มแจ้งใน อุมมังคชาดก.
ในอดีตกาล
พระราชาทรงพระนามว่า ชนก ครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี.
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์.
เหล่าญาติได้ขนานนามท่านว่า เสนกะ. ท่านเติบโต
แล้วเรียนศิลปะทุกอย่างที่เมืองตักกสิลา แล้วกลับมาเฝ้ าพระราชาที่นครพาราณสี.
พระราชาทรงสถาปนาท่านไว้ในตาแหน่งอามาตย์
และทรงเพิ่มยศยิ่งใหญ่ให้ท่าน. ท่านได้ถวายอรรถธรรมแก่พระราชาเนืองๆ.
ท่านเป็นผู้สอนธรรมที่มีถ้อยคาไพเราะ ให้พระราชาทรงดารงอยู่ในเบญจศีล
แล้วให้ทรงดารงอยู่ในปฏิปทาที่ดีงามนี้ คือในทาน
ในอุโบสถกรรมและในกุศลกรรมบถ ๑๐ ข้อ.
สมัยนั้น ได้เป็นเสมือนเวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในสากลรัฐ.
พระมหาสัตว์ไปที่ท่ามกลางแท่นที่อบอวลไปด้วยของหอม
ในธรรมสภาที่เขาเตรียมไว้แล้ว ก็แสดงธรรมด้วยพุทธลีลา.
ธรรมกถาของท่านเป็ นเช่นกับธรรมกถาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ปานกัน.
ลาดับนั้น พราหมณ์ชราคนหนึ่งเที่ยวหาขอเงินได้เงินพันกหาปณะ
เก็บฝากไว้ที่ตระกูลพราหมณ์ตระกูลหนึ่ง แล้วคิดว่า เราจะเที่ยวขออีก ดังนี้
แล้วก็ไป. ในเวลาพราหมณ์นั้นไปแล้วตระกูลนั้นใช้กหาปณะหมด.
พราหมณ์นั้นกลับมา แล้วขอกหาปณะคืน. พราหมณ์ไม่อาจจะให้กหาปณะคืนได้
จึงได้ให้ธิดาของตนให้เป็นนางบาเรอบาท คือเมียของพราหมณ์นั้น.
พราหมณ์พานางไปอยู่กินกันที่หมู่บ้านตาบลหนึ่ง ไม่ไกลจากนครพาราณสี.
คราที่นั้น ภรรยาของเขาผู้ไม่อิ่มในกาม เพราะยังสาว
จึงประพฤติมิจฉาจาร คือเป็ นชู้กับพราหมณ์หนุ่มคนหนึ่ง เพราะว่า
ขึ้นชื่อว่าของที่ไม่รู้จักอิ่มมี ๑๖ อย่างคือ:-
3
๑. มหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้าที่ไหลมาทุกทิศทุกทาง
๒. ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ
๓. พระราชาไม่ทรงอิ่มด้วยราชสมบัติ.
๔. คนพาลไม่อิ่มด้วยบาป.
๕. หญิงไม่อิ่มด้วยของ ๓ อย่างเหล่านี้ คือ
เมถุนธรรม ๑
เครื่องประดับ ๑
การคลอดบุตร ๑.
๖. พราหมณ์ไม่อิ่มด้วยมนต์.
๗. ผู้ได้ฌานไม่อิ่มด้วยวิหารสมาบัติ คือการเข้าฌาน.
๘. พระเสขบุคคลไม่อิ่มด้วยการหมดเปลืองในการให้ทาน.
๙. ผู้มักน้อยไม่อิ่มด้วยธุดงค์คุณ.
๑๐. ผู้เริ่มความเพียรแล้วไม่อิ่มด้วยการปรารภความเพียร.
๑๑. ผู้แสดงธรรม คือนักเทศน์ไม่อิ่มด้วยการสนทนาธรรม.
๑๒. ผู้กล้าหาญไม่อิ่มด้วยบริษัท.
๑๓. ผู้มีศรัทธาไม่อิ่มด้วยการอุปัฏฐากพระสงฆ์.
๑๔. ทายกไม่อิ่มด้วยการบริจาค.
๑๕. บัณฑิตไม่อิ่มด้วยการฟังธรรม.
๑๖. บริษัท ๔ ไม่อิ่มในการเฝ้ าพระพุทธเจ้า.
ถึงนางพราหมณีนั้นก็ไม่อิ่มด้วยเมถุนธรรม
ต้องการจะสลัดพราหมณ์นั้นให้ออกไป แล้วทาบาปกรรม วันหนึ่ง นอนกลุ้มใจอยู่
เมื่อพราหมณ์ถามว่า แม่มหาจาเริญ มีเรื่องอะไรหรือ? จึงพูดว่า พราหมณ์เจ้าขา
ฉันไม่อาจจะทางานในบ้านของท่าน คือทาไม่ไหว ขอท่านจงไปนาเอาทาสหญิง
ทาสชายมา.
พราหมณ์ แม่มหาจาเริญ ทรัพย์ของเราไม่มี ฉันจะให้อะไรเขา
แล้วจึงจะนาทาสหญิงทาสชายมาได้.
พราหมณี เที่ยวขอเสาะหาทรัพย์ แล้วนามาสิ.
พราหมณ์ แม่มหาจาเริญ ถ้าอย่างนั้น เธอจงเตรียมเสบียงให้ฉัน.
นางจึงเตรียมข้าวตูก้อนข้าวตูผง บรรจุเต็มไถ้หนังแล้ว
ได้มอบให้พราหมณ์ไป.
ฝ่ายพราหมณ์ เมื่อเที่ยวไปในหมู่บ้านนิคมและราชธานีทั้งหลาย
ได้เงิน ๗๐๐ กหาปณะ เห็นว่าพอแล้ว
เงินเท่านี้สาหรับเราเพื่อเป็นค่าทาสชายและทาสหญิง แล้วก็กลับมาบ้านของตน
มาถึงที่แห่งหนึ่ง เป็ นสถานที่มีน้าสะดวกสบาย จึงแก้ไถ้ออกกินข้าวตู
แล้วไม่ได้ผูกปากไถ้เลย ลงไปดื่มน้า. งูเห่าหม้อตัวหนึ่งได้กลิ่นข้าวตู
4
จึงเลื้อยเข้าขดตัวนอนกินข้าวตูอยู่ พราหมณ์มาแล้วไม่ได้มองดูภายในไถ้
ผูกไถ้แล้วแบกขึ้นบ่าไป.
เทวดาผู้เกิดบนต้นไม้ต้นหนึ่งในระหว่างทางยืนอยู่ที่ค่าคบต้นไม้
พูดว่า ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าท่านพักระหว่างทาง ท่านจักตายเอง แต่ถ้าวันนี้
ท่านไปถึงบ้าน ภรรยาของท่านจักตาย แล้วก็หายไป. เขามองดูอยู่ไม่เห็นเทวดา
กลัวถูกภัยคือความตายคุกคาม
จึงร้องไห้คร่าครวญไปถึงประตูพระนครพาราณสี.
ก็วันนั้นเป็นวันอุโบสถ ๑๕ ค่า
เป็นวันที่พระโพธิสัตว์นั่งแสดงธรรมบนธรรมาสน์ที่เขาตกแต่งแล้ว
มหาชนพากันถือของหอมและดอกไม้เดินไปฟังธรรมกถากันเป็นพวกๆ.
พราหมณ์เห็นเขา จึงถามว่า ท่านทั้งหลายไปไหนกัน พ่อคุณ? เมื่อเขาบอกว่า
ดูก่อนพราหมณ์ วันนี้เสนกบัณฑิตจะแสดงธรรมด้วยเสียงไพเราะตามพุทธลีลา
ท่านไม่รู้หรือ? จึงคิดว่า ได้ทราบว่า ท่านผู้แสดงธรรม ธรรมกถึกเป็นบัณฑิต
ส่วนเราถูกมรณภัยคุกคาม
ก็แหละผู้เป็นบัณฑิตอาจจะบรรเทาความโศกตั้งมากมายได้.
แม้เราก็ควรไปฟังธรรม ณ ที่นั้น.
เขาจึงไปที่นั้นกับมหาชนนั้น กลัวความตาย
ได้ยืนร้องไห้อยู่ท้ายบริษัทที่มีพระราชา
นั่งห้อมล้อมพระมหาสัตว์อยู่แล้วไม่ไกลจากธรรมาสน์ ทั้งๆ
ที่ไถ้ข้าวตูยังพาดอยู่ที่ต้นคอ.
พระมหาสัตว์แสดงธรรมเหมือนกับให้ข้ามอากาศคงคาและเหมือนกับ
หลั่งฝนอมฤตลง. มหาชนเกิดความโสมนัสให้สาธุการได้ฟังธรรมกันแล้ว.
ก็ธรรมดาบัณฑิตทั้งหลายเป็นผู้มองดูทิศทาง ในขณะนั้น
พระมหาสัตว์ลืมตาที่มีประสาท ๕ ผ่องใสขึ้นดูบริษัทโดยรอบ เห็นพราหมณ์นั้น
จึงคิดว่า บริษัทจานวนเท่านี้ เกิดความโสมนัสให้สาธุการฟังธรรมกัน
แต่พราหมณ์คนนี้คนเดียวถึงความโทมนัสร้องไห้
พราหมณ์นั้นต้องมีความเศร้าโศกอยู่ในภายในที่สามารถให้น้าตาเกิดขึ้นแน่ๆ
เราจักพลิกใจพราหมณ์ผู้มืดมน
แสดงธรรมให้เขาไม่มีความโศกให้พอใจในเรื่องนี้ทีเดียว
เหมือนสนิมทองแดงหลุดออกไปเพราะขัดด้วยของเปรี้ยว
และเหมือนหยดน้ากลิ้งออกไปจากใบบัวฉะนั้น.
ท่านได้เรียกพราหมณ์นั้นมาหา เมื่อเจรจากับพราหมณ์นั้นว่า
ดูก่อนพราหมณ์ เราชื่อว่าเสนกบัณฑิต เราจักทาให้ท่านไม่มีความเศร้าโศก
ขอท่านจงวางใจ แล้วบอกมาเถิด.
จึงกล่าวคาถาแรกว่า
5
ท่านหัวเสีย มีอินทรีย์ คือนัยน์ตาโรยแล้ว น้าตาไหลจากตาของท่านทั้ง
๒ ข้าง. ท่านสูญเสียอะไรไป ก็ท่านต้องการอะไร จึงมาที่นี้ เชิญเถิด
เชิญบอกให้เราทราบเถิด
จริงอยู่ พระมหาสัตว์ เมื่อจะตักเตือนพราหมณ์นั้น จึงกล่าวอย่างนี้ว่า
ดูก่อนพราหมณ์ ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายเศร้าโศกคร่าครวญกัน เพราะเหตุ ๒
ประการ คือเมื่อสูญเสียญาติที่รักบางคน ในบรรดาสัตว์และสังขารทั้งหลายนั่นเอง
หรือปรารถนาญาติที่รักบางคนนั่นเอง แต่ไม่ได้ดังต้องการ ในจานวน ๒ อย่างนั้น
ท่านสูญเสียอิฏฐผลข้อไหน ก็ท่านปรารถนาอะไร จึงมาที่นี้?
ขอจงบอกเรื่องนี้แก่เราโดยเร็วเถิด.
ลาดับนั้น พราหมณ์
เมื่อจะบอกเหตุแห่งความโศกของตนแก่พระมหาสัตว์
จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า
ยักษ์รุกขเทวดาบอกว่า วันนี้
เมื่อข้าพเจ้าไปถึงบ้านเมียของข้าพเจ้าจะตาย
แต่ถ้าข้าพเจ้าไปไม่ถึงก็จะมีความตายเอง ข้าพเจ้าหวาดหวั่นเพราะทุกข์นั้น
ข้าแต่ท่านเสนกะ ขอท่านจงบอกเหตุนั้นแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด.
พราหมณ์กล่าวว่า รุกขเทวดาตนหนึ่งในระหว่างทางกล่าวอย่างนี้.
ได้ทราบว่า เทวดานั้นควรจะบอกว่า พราหมณ์ในไถ้ของท่านมีงูเห่าหม้อ
แต่ไม่บอก เพื่อจะประกาศอานุภาพญาณของพระโพธิสัตว์.
ข้าพเจ้าหวาดหวั่น ดิ้นรน หวั่นไหว เพราะเหตุนั้น
คือเพราะทุกข์เกิดจากความตายของภรรยา เมื่อไปถึงบ้าน และทุกข์
คือความตายของตน เมื่อไปไม่ถึงบ้าน.
ขอท่านจงบอกข้าพเจ้าถึงเหตุนั้น
คือเหตุที่เป็นเหตุให้ภรรยาของข้าพเจ้ามีความตาย เมื่อข้าพเจ้าไปถึงบ้าน
และที่เป็นเหตุทาให้ตนมีความตาย เมื่อไปไม่ถึงบ้าน.
พระมหาสัตว์ได้ฟังคาของพราหมณ์ แล้วจึงแผ่ข่ายญาณไป
เหมือนเหวี่ยงแหลงในน่านน้าทะเล คิดแล้วว่า
เหตุแห่งการตายของสัตว์เหล่านี้มีมาก คือจมทะเลไปบ้าง
ถูกปลาร้ายในทะเลนั้นคาบไปบ้าง ตกลงไปในน้าบ้าง
ถูกจระเข้ในแม่น้านั้นคาบไปบ้าง ตกต้นไม้บ้าง ถูกหนามแทงบ้าง
ถูกประหารด้วยอาวุธนานาประการบ้าง กินยาพิษเข้าไปบ้าง
ปีนขึ้นภูเขาแล้วตกลงไปในเหวบ้าง หรือถูกโรคนานาประการมีหนาวจัดเป็ นต้น
เบียดเบียนบ้าง ตายเหมือนกันทั้งนั้น.
เมื่อเหตุแห่งการตายมีมากอย่างนี้ ด้วยเหตุอะไรหนอแล
วันนี้พราหมณ์นั้น เมื่ออยู่ระหว่างทางจึงจักตายเอง
6
แต่เมื่อไปถึงบ้านภรรยาของเขาจักตาย.
และเมื่อกาลังคิดอยู่ได้มองเห็นไถ้อยู่บนคอของพราหมณ์ ก็รู้ได้ด้วยญาณ
คือความฉลาดในอุบายว่า ในไถ้นี้คงมีงูตัวหนึ่งเลื้อยเข้าไปอยู่ข้างใน.
ก็แหละเมื่อจะเลื้อยเข้าไป มันคงจะเลื้อยเข้าไปเพราะกลิ่นข้าวตู
ในเมื่อพราหมณ์คนนี้กินข้าวตู ในเวลาอาหารเช้าไม่ได้ผูกปากไถ้ไว้เลย
แล้วไปดื่มน้า. พราหมณ์ดื่มน้าแล้วมา ไม่ทราบว่างูเข้าไปอยู่ในไถ้แล้ว
คงจักผูกปากไถ้แล้วก็แบกเอาไป.
พราหมณ์นี้นั้น เมื่อพักอยู่ระหว่างทาง
ก็จักแก้ไถ้สอดมือเข้าไปด้วยตั้งใจว่า เราจักกินข้าวตู ณ สถานที่พักในเวลาเย็น
เมื่อเป็นเช่นนั้นงูก็จะกัดมือเขาให้ถึงความสิ้นชีวิต
นี้คือเหตุแห่งการตายของพราหมณ์ผู้พักอยู่ระหว่างทาง.
แต่ถ้าพราหมณ์ไปถึงบ้านไซร้ ไถ้จักตกถึงมือของภรรยา
นางก็จักแก้ไถ้เอามือล้วงด้วยตั้งใจว่า จักดูของอยู่ข้างใน. เมื่อเป็นเช่นนั้น
งูก็จักกัดนางให้ถึงความสิ้นชีพ
นี้คือเหตุแห่งการตายของภรรยาของเขาผู้ไปถึงเรือนในวันนี้.
ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ได้มีความดารินี้ว่า
งูเห่าหม้อตัวนี้กล้าหาญควรปลอดภัย เพราะว่างูตัวนี้
แม้จะกระทบสีข้างใหญ่ของพราหมณ์
ก็ไม่แสดงความหวั่นไหวหรือความดิ้นรนของตน ถึงในท่ามกลางบริษัทชนิดนี้
ก็ไม่แสดงความมีอยู่ของตน เพราะฉะนั้น งูเห่าหม้อตัวนี้ที่กล้าหาญ
จึงควรปลอดภัย. แม้เหตุการณ์ดังที่ว่ามานี้ พระมหาสัตว์ก็ได้รู้ด้วยญาณ
คือความเป็นผู้ฉลาดในอุบายนั่นเอง เหมือนเห็นด้วยทิพพจักขุ. เมื่อเป็นเช่นนี้
พระมหาสัตว์กาหนดด้วยญาณ คือความเป็นผู้ฉลาดในอุบายนั่นเอง
เหมือนคนยืนดูงูที่กาลังเลื้อยเข้าไปในไถ้ ท่ามกลางบริษัทที่มีพระราชา.
เมื่อจะแก้ปัญหาของพราหมณ์ จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า
เราคิดค้นหาเหตุหลายอย่าง บรรดาเหตุเหล่านี้
เหตุที่เราจะบอกนั่นแหละเป็นของจริง พราหมณ์ เราเข้าใจว่า
งูเห่าหม้อตัวหนึ่งได้เลื้อยเข้าไปอยู่ในไถ้ข้าวตูของท่านผู้ไม่รู้สึก.
เราเข้าใจว่า เมื่อท่านไม่รู้อยู่นั่นแหละ งูเห่าหม้อตัวหนึ่งเข้าไปแล้ว.
ก็แหละพระมหาสัตว์ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงถามว่า พราหมณ์
มีไหมข้าวตูในไถ้ของท่านนั้น?
พ. มี ท่านบัณฑิต
ม. วันนี้ เวลาอาหารเช้า ท่านนั่งกินข้าวตูละสิ?
พ. ใช่ ท่านบัณฑิต
ม. นั่ง ที่ไหนล่ะ?
7
พ. ที่ควงไม้ ในป่า
ม. ท่านกินข้าวตูแล้ว เมื่อไปดื่มน้า ไม่ได้ผูกปากไถ้ล่ะสิ?
พ. ไม่ได้ผูก ท่านบัณฑิต
ม. ท่านดื่มน้าแล้วมา ไม่ได้ตรวจดูไถ้ผูกเลยสิ?
พ. ไม่ได้ดู ผูกเลย ท่านบัณฑิต
ม. พราหมณ์ เราเข้าใจว่า ในเวลาท่านไปดื่มน้า งูเข้าไปในไถ้แล้ว
เพราะได้กลิ่นข้าวตูของท่านผู้ไม่รู้ตัวเลย ท่านได้มาที่นี้อย่างนี้แล้ว เพราะฉะนั้น
ให้ยกไถ้ลงวางไว้ท่ามกลางบริษัท แก้ปากไถ้ออก แล้วเลี่ยงไปยืนอยู่ห่างพอควร
ถือไม้ท่อนหนึ่งเคาะไถ้ก่อน ต่อจากนั้น ก็จักเห็นงูเห่าหม้อ แผ่แม่เบี้ย เห่าฟ่อๆ
เลื้อยออกมา แล้วหายสงสัย ดังนี้
แล้วจึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า
ท่านจงเอาท่อนไม้เคาะไถ้ดูเถิด จะเห็นงูมีลิ้น ๒ แฉก
พ่นพิษเลื้อยออกมา ท่านจะสิ้นความเคลือบแคลงสงสัย ในวันนี้แหละ
ท่านจงแก้ไถ้เถิด ท่านจะเห็นงู.
วันนี้ท่านจะตัดความเคลือบแคลงและความสงสัยที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ว่า
ในไถ้มีงูหรือไม่มีหนอ เชื่อเราเถิด เพราะคาพยากรณ์ของเราไม่ผิดพลาด
ท่านจะเห็นงูเลื้อยออกมาเดี๋ยวนี้แหละ จงแก้ไถ้เถิด.
พราหมณ์ได้ฟังคาของพระมหาสัตว์
แล้วสลดใจถึงความกลัวได้ทาตามนั้น.
ฝ่ายงูพอถูกไม้เคาะขนดก็เลื้อยออกจากปากไถ้ เห็นผู้คนมากมาย จึงได้หยุดอยู่.
พระศาสดา เมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๕ ว่า
พราหมณ์นั้นสลดใจ ทิ้งไถ้ข้าวตูลงท่ามกลางบริษัท ลาดับนั้น
งูพิษที่มีพิษร้ายได้แผ่แม่เบี้ย เลื้อยออกมา.
ในเวลางูแผ่แม่เบี้ยออกมา
คาพยากรณ์ของพระมหาสัตว์ได้เป็นเสมือนคาพยากรณ์ของพระสัพพัญญูพุทธเจ้
า. มหาชนพากันชูผ้าขึ้นเป็ นจานวนพัน ยกนิ้วขึ้นดิดหมุนไปรอบๆ เป็ นพันๆ ครั้ง
ฝนแก้ว ๗ ประการตกลงมา เหมือนลูกเห็บตก สาธุการก็เป็นไปเป็นจานวนพันๆ
เสียงดังปานประหนึ่งมหาปฐพีจะถล่มทะลาย.
ก็ธรรมดาการแก้ปัญหาแบบนี้ด้วยพุทธลีลานี้ ไม่ใช่เป็นพลังของชาติ
ไม่ใช่เป็นพลังของโคตร ของตระกูล ของประเทศ ของยศและของทรัพย์ทั้งหลาย
แต่เป็นพลังของอะไรหรือ เป็นพลังของปัญญา.
ด้วยว่า บุคคลผู้มีปัญญาเจริญวิปัสสนา
แล้วจะเปิดประตูอริยมรรคเข้าอมตมหานิพพานได้ ทะลุทะลวงสาวกบารมีบ้าง
ปัจเจกโพธิญาณบ้าง สัมมาสัมโพธิญาณบ้าง. เพราะว่า
บรรดาธรรมทั้งหลายที่จะให้บรรลุอมตมหานิพพาน ปัญญาเท่านั้นประเสริฐที่สุด
8
ธรรมทั้งหลายที่เหลือเป็นเพียงบริวารของปัญญา.
เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสไว้ว่า
ผู้ฉลาดทั้งหลายกล่าวว่า ปัญญาแลประเสริฐที่สุด
เหมือนดวงจันทร์ประเสริฐกว่าดวงดาวทั้งหลาย ฉะนั้น ศีลก็ดี แม้สิริก็ดี
ธรรมของสัตบุรุษทั้งหลายก็ดี เป็นสิ่งคล้อยตามผู้มีปัญญา.
ก็แล เมื่อพระมหาสัตว์กล่าวแก้ปัญหาอย่างนี้แล้ว
หมองูคนหนึ่งก็ใส่กุญแจปากงู แล้วก็จับงูไปปล่อยในป่า.
พราหมณ์เข้าไปเฝ้ าพระราชาให้พระองค์ทรงมีชัย แล้วประคองอัญชลี
เมื่อจะสดุดีพระราชา จึงกล่าวคาถากึ่งคาถาว่า
เป็นการได้ลาภที่ดีของพระเจ้าชนก
ที่ทรงเห็นเสนกบัณฑิตผู้มีปัญญาดี.
คาถานั้นมีอรรถาธิบายว่า
พระชนกพระองค์ใดทรงลืมพระเนตรแล้ว
ได้ทรงเห็นเสนกบัณฑิตผู้มีปัญญาดี คือมีปัญญาสูงสุด
ด้วยพระเนตรที่น่ารักทุกขณะที่ทรงปรารถนาจะเห็น
การได้ทอดพระเนตรเห็นทุกขณะที่ทรงพระประสงค์เหล่านั้นของพระเจ้าชนกนั้น
เป็นลาภที่พระองค์ทรงได้แล้วดีจริงๆ
คือบรรดาลาภทั้งหมดที่พระเจ้าชนกนั้นทรงได้แล้ว ลาภเหล่านั้นเท่านั้น
ชื่อว่าเป็นลาภที่ทรงได้มาดีแล้ว.
ก็แหละ ครั้นถวายสดุดีพระราชา แล้วพราหมณ์ได้หยิบเอาเงิน ๗๐๐
กหาปณะออกมาจากไถ้ ประสงค์จะสดุดีพระมหาสัตว์ให้ความชื่นชม
จึงกล่าวคาถา ๑ กับครึ่งคาถาว่า
ท่านเป็นผู้เปิดเครื่องปิดบังออกได้หรืออย่างไร จึงเห็นของทุกอย่าง
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ญาณของท่านเป็ นญาณที่น่าพิศวงนัก
ทรัพย์เหล่านี้ของข้าพเจ้ามีอยู่ ๗๐๐ กหาปณะ ขอท่านจงรับเอาทั้งหมดเถิด
ข้าพเจ้าขอมอบให้ท่าน
เพราะว่า วันนี้ข้าพเจ้าได้ชีวิตไว้ เพราะท่าน อีกโสดหนึ่ง
ท่านก็ได้ทาความสวัสดีให้แก่ภรรยาของข้าพเจ้าด้วย.
พราหมณ์ถามด้วยอานาจการสดุดีว่า
ท่านเป็นสัพพัญญูพุทธเจ้าผู้ทรงเปิดเครื่องปกปิดในอาการของธรรมทุกอย่าง
คือทรงเป็นผู้มีธรรมที่ควรรู้ อันเปิดเผยแล้วหรืออย่างไร.
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ เมื่อท่านเป็นผู้รู้ทุกสิ่ง
ญาณของท่านเป็ นญาณที่พิลึกเหลือเกิน คือมีกาลังเหมือนสัพพัญญุตญาณ.
วันนี้ข้าพเจ้าได้ชีวิตมา เพราะท่านให้.
อีกโสดหนึ่ง ท่านเองก็ได้ทาความสวัสดีแก่ภรรยาของผม.
9
พราหมณ์นั้น ครั้นพูดอย่างนี้แล้ว
ก็อ้อนวอนพระโพธิสัตว์แล้วอ้อนวอนอีกว่า ถ้าหากมีทรัพย์แสนหนึ่งไซร้
ข้าพเจ้าก็ต้องให้ทีเดียว แต่ทรัพย์ของข้าพเจ้ามีเพียงเท่านี้เท่านั้น
ขอท่านจงรับทรัพย์ ๗๐๐ กหาปณะเหล่านี้เถิด.
พระโพธิสัตว์ ครั้นได้ยินคานั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๘ ว่า
บัณฑิตทั้งหลายจะไม่รับค่าจ้าง
เพราะคาถาทั้งหลายที่ไพเราะที่ตนกล่าวดีแล้ว ดูก่อนพราหมณ์
ท่านจงให้ทรัพย์ของท่านได้แต่เพียงนี้ วางใกล้เท้า
แล้วจงรับเอาไปยังที่อยู่ของตนเถิด.
ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงให้ทรัพย์ของท่านแต่แทบเท้าของเรา.
ท่านจงถือเอาทรัพย์จานวนอื่นอีก ๓๐๐ กหาปณะจากทรัพย์จานวน ๗๐๐ นี้
รวมเป็ น ๑,๐๐๐ กหาปณะ แล้วไปที่อยู่ของตนเถิด.
ก็แหละ พระมหาสัตว์ครั้นพูดอย่างนี้
แล้วก็ให้กหาปณะแก่พราหมณ์เต็มพัน แล้วถามว่า พราหมณ์
ใครส่งท่านมาหาขอทรัพย์?
พ. ภรรยาของผม ท่านบัณฑิต.
ม. ก็ภรรยาของท่าน แก่หรือสาว?
พ. สาว ท่านบัณฑิต.
ม. ถ้าอย่างนั้น เขาคงประพฤติอนาจารกับชายอื่น จึงส่งท่านไป
ด้วยหมายใจว่า จักได้ประพฤติอนาจารปลอดภัย พระมหาสัตว์บอกว่า
ถ้าหากท่านนากหาปณะเหล่านี้ไปถึงเรือนแล้วไซร้
นางจักให้กหาปณะที่ท่านได้มาด้วยความลาบากแก่ชู้ของตน เพราะฉะนั้น
ท่านอย่าตรงไปบ้านทีเดียว ควรเก็บกหาปณะไว้ที่ควงไม้หรือที่ใดที่หนึ่งนอกบ้าน
แล้วจึงเข้าไป ดังนี้ แล้วจึงส่งเขาไป.
พราหมณ์นั้นไปใกล้บ้านแล้ว เก็บกหาปณะไว้ใต้ควงไม้ต้นหนึ่ง
แล้วจึงได้ไปบ้านในเวลาเย็น. ขณะนั้น ภรรยาของเขาได้นั่งอยู่กับชายชู้
พราหมณ์ยืนที่ประตู แล้วกล่าวว่า น้องนาง. นางจาเสียงเขาได้ จึงดับไฟปิดประตู
เมื่อพราหมณ์เข้าข้างใน แล้วจึงนาชู้ออกไป ให้ยืนอยู่ริมประตู แล้วก็เข้าบ้าน
ไม่เห็นอะไรในไถ้ จึงถามว่า ท่านพราหมณ์ ท่านไปเที่ยวขอได้อะไรมา.
พ. ได้กหาปณะพันหนึ่ง.
ภ. เก็บไว้ที่ไหน?
พ. เก็บไว้ที่โน้น พรุ่งนี้เช้าจึงจักเอามา อย่าคิดเลย.
นางไปบอกชายชู้ เขาจึงออกไปหยิบเอาเหมือนของที่ตนเก็บไว้เอง.
ในวันรุ่งขึ้น พราหมณ์ไปแล้วไม่เห็นกหาปณะ จึงไปหาพระโพธิสัตว์
เมื่อถูกถามว่า เรื่องอะไร พราหมณ์? จึงบอกว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นกหาปณะ
10
ท่านบัณฑิต.
ม. ก็ท่านบอกภรรยาของท่านละสิ.
พ. ถูกแล้ว ท่านบัณฑิต.
พระมหาสัตว์ก็รู้ว่า นางนั้นบอกชายชู้ จึงถามว่า ดูก่อนพราหมณ์
ก็ภรรยาของท่าน มีพราหมณ์ประจาตระกูลไหม?
พ. มี ท่านบัณฑิต.
ม. ฝ่ายท่านล่ะ มีไหม.
พ. มี ท่านบัณฑิต.
จึงพระมหาสัตว์ได้ให้พราหมณ์ถวายเสบียงอาหารแก่พราหมณ์ประจา
ตระกูลนั้น เป็นเวลา ๗ วัน แล้วบอกว่า ไปเถิดท่าน
วันแรกจงเชื้อเชิญพราหมณ์มารับประทาน ๑๔ คน คือฝ่ายท่าน ๗ คน ฝ่ายภรรยา
๗ คน ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นเป็ นต้นไปให้ลดลงวันละ ๑ คน ในวันที่ ๗ จึงเชื้อเชิญ ๒ คน
คือฝ่ายท่าน ๑ คน ฝ่ายภรรยาของท่าน ๑ คน จงรู้ไว้ จาไว้ว่า
พราหมณ์คนที่ภรรยาของท่าน เชื้อเชิญมาตลอด ๗ วัน มาเป็นประจา
แล้วบอกข้าพเจ้า.
พราหมณ์ทาตามนั้นแล้วจึงบอกแก่พระมหาสัตว์ว่า ข้าแต่ท่านบัณฑิต
ข้าพเจ้ากาหนดพราหมณ์ผู้มารับประทานเป็นนิจไว้แล้ว.
พระโพธิสัตว์ส่งบุรุษไปกับพราหมณ์นั้น ให้นาพราหมณ์คนนั้นมา แล้วถามว่า
ท่านเอากหาปณะพันหนึ่งที่เป็ นของพราหมณ์คนนี้ไปจากควงไม้ต้นโน้นหรือ?
พราหมณ์คนนั้นปฏิเสธว่า ผมไม่ได้เอาไป ท่านบัณฑิต. พระโพธิสัตว์บอกว่า
ท่านไม่รู้จักว่าเราเป็ นเสนกบัณฑิต เราจักให้ท่านนากหาปณะมาคืน. เขากลัว
จึงรับว่า ผมเอาไป.
ม. ท่านเอาไปเก็บไว้ที่ไหน.
พ. เก็บไว้ ณ ที่นั้นนั่นเอง ท่านบัณฑิต.
พระโพธิสัตว์จึงถามพราหมณ์ผู้เป็นสามีว่า พราหมณ์
หญิงคนนั้นนั่นเอง เป็นภรรยาของท่านหรือ? หรือจักรับเอาคนอื่น
พ. เขานั่นแหละเป็ นของผม ท่านบัณฑิต
พระโพธิสัตว์ส่งคนไป
ให้นากหาปณะของพราหมณ์และนางพราหมณีมา
แล้วบังคับให้รับกหาปณะจากมือของพราหมณ์ผู้เป็นโจรแก่พราหมณ์
ให้ลงพระราชอาชญาแก่พราหมณ์ผู้เป็นโจร เนรเทศออกจากพระนครไป
และให้ลงพระราชอาชญาแก่พราหมณี ให้ยศใหญ่แก่พราหมณ์
แล้วให้อยู่ในสานักของตนนั่นเอง.
พระศาสดา
ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มา ทรงประกาศสัจธรรมทั้งหลาย แล้วทรงประชุม
11
ชาดกไว้ ในที่สุดแห่งสัจธรรม คนจานวนมากได้ทาให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล.
พราหมณ์ในครั้งนั้น ได้แก่ พระอานนท์ ในบัดนี้
รุกขเทวดา ได้แก่ พระสารีบุตร
บริษัท ได้แก่ พุทธบริษัท
ส่วนเสนกบัณฑิต ได้แก่ เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาเสนกชาดกที่ ๗
-----------------------------------------------------

More Related Content

More from maruay songtanin

530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
 
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
 
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 

402 เสนกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

  • 1. 1 เสนกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ ๗. เสนกชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๔๐๒) ว่าด้วยเสนกบัณฑิต (เสนกบัณฑิตกล่าวว่า) [๔๖] ท่านมีจิตฟุ้ งซ่าน มีดวงตาบอบช้า หยาดน้าตาก็ไหลออกมาจากนัยน์ตาทั้ง ๒ ของท่าน อะไรของท่านหาย หรือท่านต้องการอะไรจึงมาที่นี้ พ่อพราหมณ์ เชิญพูดมาเถิด (พราหมณ์กล่าวว่า) [๔๗] วันนี้ เมื่อข้าพเจ้าไปถึงบ้าน ภรรยาต้องตาย เมื่อไปไม่ถึงบ้าน ข้าพเจ้าต้องตาย เทวดาบอกไว้ เพราะทุกข์นี้ ข้าพเจ้าจึงหวาดกลัว ท่านเสนกบัณฑิต โปรดบอกเหตุนี้แก่ข้าพเจ้า (เสนกบัณฑิตกล่าวว่า) [๔๘] ข้าพเจ้าพิจารณาเหตุหลายประการแล้ว กล่าวเหตุใดในเหตุนี้ เหตุนั้นแน่นอนจักเป็นเรื่องจริง พ่อพราหมณ์ ข้าพเจ้าเข้าใจว่า งูเห่าได้เลื้อยเข้าไปในถุงย่ามข้าวสัตตุของท่าน โดยท่านไม่รู้ตัว [๔๙] ท่านจงเอาท่อนไม้เคาะถุงย่ามดูเถิด จะเห็นงูมีลิ้นสองแฉก มีน้าลายฟูมปาก ท่านจะตัดความเคลือบแคลงสงสัยเสียได้วันนี้ ท่านจะได้เห็นงู จงแก้ถุงย่ามเถิด (พระศาสดาตรัสว่า) [๕๐] พราหมณ์นั้นมีท่าทางสยดสยอง ได้แก้ถุงย่ามข้าวสัตตุออกท่ามกลางชุมชน ขณะนั้น งูร้ายมีพิษร้ายแรงเลื้อยออกมาแผ่พังพาน (พราหมณ์กล่าวสดุดีพระราชาว่า) [๕๑] พระเจ้าชนกทรงได้ลาภดีแล้วที่ได้ทรงพบเสนกะผู้มีปัญญาดี พราหมณ์ ท่านเปิดเผยข้อที่ปกปิดได้หนอ เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ญาณของท่านมีกาลังยิ่งนัก (พราหมณ์ต้องการจะสดุดีเสนกบัณฑิต จึงกล่าวว่า) [๕๒] ข้าพเจ้ามีทรัพย์อยู่ ๗๐๐ กหาปณะนี้ เชิญรับไปทั้งหมดเถิด ข้าพเจ้าให้ท่าน เพราะข้าพเจ้าได้ชีวิตในวันนี้ก็เพราะท่าน ซ้าท่านยังได้ทาความสวัสดีแก่ภรรยาของข้าพเจ้าด้วย (เสนกบัณฑิตกล่าวว่า)
  • 2. 2 [๕๓] บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่รับค่าจ้างเพราะคาถาอันวิจิตรที่กล่าวดีแล้ว พ่อพราหมณ์ แต่นี้ไป ขอให้คนทั้งหลายจงช่วยกันให้ทรัพย์แก่ท่าน ท่านจงนาไปยังที่อยู่ของตนเถิด เสนกชาดกที่ ๗ จบ -------------------- คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา เสนกชาดก ว่าด้วย ผู้มีปัญญาช่วยคนอื่นได้ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภพระปัญญาบารมีของพระองค์ จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้. เรื่องปัจจุบันจักมีแจ่มแจ้งใน อุมมังคชาดก. ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามว่า ชนก ครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์. เหล่าญาติได้ขนานนามท่านว่า เสนกะ. ท่านเติบโต แล้วเรียนศิลปะทุกอย่างที่เมืองตักกสิลา แล้วกลับมาเฝ้ าพระราชาที่นครพาราณสี. พระราชาทรงสถาปนาท่านไว้ในตาแหน่งอามาตย์ และทรงเพิ่มยศยิ่งใหญ่ให้ท่าน. ท่านได้ถวายอรรถธรรมแก่พระราชาเนืองๆ. ท่านเป็นผู้สอนธรรมที่มีถ้อยคาไพเราะ ให้พระราชาทรงดารงอยู่ในเบญจศีล แล้วให้ทรงดารงอยู่ในปฏิปทาที่ดีงามนี้ คือในทาน ในอุโบสถกรรมและในกุศลกรรมบถ ๑๐ ข้อ. สมัยนั้น ได้เป็นเสมือนเวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในสากลรัฐ. พระมหาสัตว์ไปที่ท่ามกลางแท่นที่อบอวลไปด้วยของหอม ในธรรมสภาที่เขาเตรียมไว้แล้ว ก็แสดงธรรมด้วยพุทธลีลา. ธรรมกถาของท่านเป็ นเช่นกับธรรมกถาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ปานกัน. ลาดับนั้น พราหมณ์ชราคนหนึ่งเที่ยวหาขอเงินได้เงินพันกหาปณะ เก็บฝากไว้ที่ตระกูลพราหมณ์ตระกูลหนึ่ง แล้วคิดว่า เราจะเที่ยวขออีก ดังนี้ แล้วก็ไป. ในเวลาพราหมณ์นั้นไปแล้วตระกูลนั้นใช้กหาปณะหมด. พราหมณ์นั้นกลับมา แล้วขอกหาปณะคืน. พราหมณ์ไม่อาจจะให้กหาปณะคืนได้ จึงได้ให้ธิดาของตนให้เป็นนางบาเรอบาท คือเมียของพราหมณ์นั้น. พราหมณ์พานางไปอยู่กินกันที่หมู่บ้านตาบลหนึ่ง ไม่ไกลจากนครพาราณสี. คราที่นั้น ภรรยาของเขาผู้ไม่อิ่มในกาม เพราะยังสาว จึงประพฤติมิจฉาจาร คือเป็ นชู้กับพราหมณ์หนุ่มคนหนึ่ง เพราะว่า ขึ้นชื่อว่าของที่ไม่รู้จักอิ่มมี ๑๖ อย่างคือ:-
  • 3. 3 ๑. มหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้าที่ไหลมาทุกทิศทุกทาง ๒. ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ ๓. พระราชาไม่ทรงอิ่มด้วยราชสมบัติ. ๔. คนพาลไม่อิ่มด้วยบาป. ๕. หญิงไม่อิ่มด้วยของ ๓ อย่างเหล่านี้ คือ เมถุนธรรม ๑ เครื่องประดับ ๑ การคลอดบุตร ๑. ๖. พราหมณ์ไม่อิ่มด้วยมนต์. ๗. ผู้ได้ฌานไม่อิ่มด้วยวิหารสมาบัติ คือการเข้าฌาน. ๘. พระเสขบุคคลไม่อิ่มด้วยการหมดเปลืองในการให้ทาน. ๙. ผู้มักน้อยไม่อิ่มด้วยธุดงค์คุณ. ๑๐. ผู้เริ่มความเพียรแล้วไม่อิ่มด้วยการปรารภความเพียร. ๑๑. ผู้แสดงธรรม คือนักเทศน์ไม่อิ่มด้วยการสนทนาธรรม. ๑๒. ผู้กล้าหาญไม่อิ่มด้วยบริษัท. ๑๓. ผู้มีศรัทธาไม่อิ่มด้วยการอุปัฏฐากพระสงฆ์. ๑๔. ทายกไม่อิ่มด้วยการบริจาค. ๑๕. บัณฑิตไม่อิ่มด้วยการฟังธรรม. ๑๖. บริษัท ๔ ไม่อิ่มในการเฝ้ าพระพุทธเจ้า. ถึงนางพราหมณีนั้นก็ไม่อิ่มด้วยเมถุนธรรม ต้องการจะสลัดพราหมณ์นั้นให้ออกไป แล้วทาบาปกรรม วันหนึ่ง นอนกลุ้มใจอยู่ เมื่อพราหมณ์ถามว่า แม่มหาจาเริญ มีเรื่องอะไรหรือ? จึงพูดว่า พราหมณ์เจ้าขา ฉันไม่อาจจะทางานในบ้านของท่าน คือทาไม่ไหว ขอท่านจงไปนาเอาทาสหญิง ทาสชายมา. พราหมณ์ แม่มหาจาเริญ ทรัพย์ของเราไม่มี ฉันจะให้อะไรเขา แล้วจึงจะนาทาสหญิงทาสชายมาได้. พราหมณี เที่ยวขอเสาะหาทรัพย์ แล้วนามาสิ. พราหมณ์ แม่มหาจาเริญ ถ้าอย่างนั้น เธอจงเตรียมเสบียงให้ฉัน. นางจึงเตรียมข้าวตูก้อนข้าวตูผง บรรจุเต็มไถ้หนังแล้ว ได้มอบให้พราหมณ์ไป. ฝ่ายพราหมณ์ เมื่อเที่ยวไปในหมู่บ้านนิคมและราชธานีทั้งหลาย ได้เงิน ๗๐๐ กหาปณะ เห็นว่าพอแล้ว เงินเท่านี้สาหรับเราเพื่อเป็นค่าทาสชายและทาสหญิง แล้วก็กลับมาบ้านของตน มาถึงที่แห่งหนึ่ง เป็ นสถานที่มีน้าสะดวกสบาย จึงแก้ไถ้ออกกินข้าวตู แล้วไม่ได้ผูกปากไถ้เลย ลงไปดื่มน้า. งูเห่าหม้อตัวหนึ่งได้กลิ่นข้าวตู
  • 4. 4 จึงเลื้อยเข้าขดตัวนอนกินข้าวตูอยู่ พราหมณ์มาแล้วไม่ได้มองดูภายในไถ้ ผูกไถ้แล้วแบกขึ้นบ่าไป. เทวดาผู้เกิดบนต้นไม้ต้นหนึ่งในระหว่างทางยืนอยู่ที่ค่าคบต้นไม้ พูดว่า ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าท่านพักระหว่างทาง ท่านจักตายเอง แต่ถ้าวันนี้ ท่านไปถึงบ้าน ภรรยาของท่านจักตาย แล้วก็หายไป. เขามองดูอยู่ไม่เห็นเทวดา กลัวถูกภัยคือความตายคุกคาม จึงร้องไห้คร่าครวญไปถึงประตูพระนครพาราณสี. ก็วันนั้นเป็นวันอุโบสถ ๑๕ ค่า เป็นวันที่พระโพธิสัตว์นั่งแสดงธรรมบนธรรมาสน์ที่เขาตกแต่งแล้ว มหาชนพากันถือของหอมและดอกไม้เดินไปฟังธรรมกถากันเป็นพวกๆ. พราหมณ์เห็นเขา จึงถามว่า ท่านทั้งหลายไปไหนกัน พ่อคุณ? เมื่อเขาบอกว่า ดูก่อนพราหมณ์ วันนี้เสนกบัณฑิตจะแสดงธรรมด้วยเสียงไพเราะตามพุทธลีลา ท่านไม่รู้หรือ? จึงคิดว่า ได้ทราบว่า ท่านผู้แสดงธรรม ธรรมกถึกเป็นบัณฑิต ส่วนเราถูกมรณภัยคุกคาม ก็แหละผู้เป็นบัณฑิตอาจจะบรรเทาความโศกตั้งมากมายได้. แม้เราก็ควรไปฟังธรรม ณ ที่นั้น. เขาจึงไปที่นั้นกับมหาชนนั้น กลัวความตาย ได้ยืนร้องไห้อยู่ท้ายบริษัทที่มีพระราชา นั่งห้อมล้อมพระมหาสัตว์อยู่แล้วไม่ไกลจากธรรมาสน์ ทั้งๆ ที่ไถ้ข้าวตูยังพาดอยู่ที่ต้นคอ. พระมหาสัตว์แสดงธรรมเหมือนกับให้ข้ามอากาศคงคาและเหมือนกับ หลั่งฝนอมฤตลง. มหาชนเกิดความโสมนัสให้สาธุการได้ฟังธรรมกันแล้ว. ก็ธรรมดาบัณฑิตทั้งหลายเป็นผู้มองดูทิศทาง ในขณะนั้น พระมหาสัตว์ลืมตาที่มีประสาท ๕ ผ่องใสขึ้นดูบริษัทโดยรอบ เห็นพราหมณ์นั้น จึงคิดว่า บริษัทจานวนเท่านี้ เกิดความโสมนัสให้สาธุการฟังธรรมกัน แต่พราหมณ์คนนี้คนเดียวถึงความโทมนัสร้องไห้ พราหมณ์นั้นต้องมีความเศร้าโศกอยู่ในภายในที่สามารถให้น้าตาเกิดขึ้นแน่ๆ เราจักพลิกใจพราหมณ์ผู้มืดมน แสดงธรรมให้เขาไม่มีความโศกให้พอใจในเรื่องนี้ทีเดียว เหมือนสนิมทองแดงหลุดออกไปเพราะขัดด้วยของเปรี้ยว และเหมือนหยดน้ากลิ้งออกไปจากใบบัวฉะนั้น. ท่านได้เรียกพราหมณ์นั้นมาหา เมื่อเจรจากับพราหมณ์นั้นว่า ดูก่อนพราหมณ์ เราชื่อว่าเสนกบัณฑิต เราจักทาให้ท่านไม่มีความเศร้าโศก ขอท่านจงวางใจ แล้วบอกมาเถิด. จึงกล่าวคาถาแรกว่า
  • 5. 5 ท่านหัวเสีย มีอินทรีย์ คือนัยน์ตาโรยแล้ว น้าตาไหลจากตาของท่านทั้ง ๒ ข้าง. ท่านสูญเสียอะไรไป ก็ท่านต้องการอะไร จึงมาที่นี้ เชิญเถิด เชิญบอกให้เราทราบเถิด จริงอยู่ พระมหาสัตว์ เมื่อจะตักเตือนพราหมณ์นั้น จึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายเศร้าโศกคร่าครวญกัน เพราะเหตุ ๒ ประการ คือเมื่อสูญเสียญาติที่รักบางคน ในบรรดาสัตว์และสังขารทั้งหลายนั่นเอง หรือปรารถนาญาติที่รักบางคนนั่นเอง แต่ไม่ได้ดังต้องการ ในจานวน ๒ อย่างนั้น ท่านสูญเสียอิฏฐผลข้อไหน ก็ท่านปรารถนาอะไร จึงมาที่นี้? ขอจงบอกเรื่องนี้แก่เราโดยเร็วเถิด. ลาดับนั้น พราหมณ์ เมื่อจะบอกเหตุแห่งความโศกของตนแก่พระมหาสัตว์ จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า ยักษ์รุกขเทวดาบอกว่า วันนี้ เมื่อข้าพเจ้าไปถึงบ้านเมียของข้าพเจ้าจะตาย แต่ถ้าข้าพเจ้าไปไม่ถึงก็จะมีความตายเอง ข้าพเจ้าหวาดหวั่นเพราะทุกข์นั้น ข้าแต่ท่านเสนกะ ขอท่านจงบอกเหตุนั้นแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด. พราหมณ์กล่าวว่า รุกขเทวดาตนหนึ่งในระหว่างทางกล่าวอย่างนี้. ได้ทราบว่า เทวดานั้นควรจะบอกว่า พราหมณ์ในไถ้ของท่านมีงูเห่าหม้อ แต่ไม่บอก เพื่อจะประกาศอานุภาพญาณของพระโพธิสัตว์. ข้าพเจ้าหวาดหวั่น ดิ้นรน หวั่นไหว เพราะเหตุนั้น คือเพราะทุกข์เกิดจากความตายของภรรยา เมื่อไปถึงบ้าน และทุกข์ คือความตายของตน เมื่อไปไม่ถึงบ้าน. ขอท่านจงบอกข้าพเจ้าถึงเหตุนั้น คือเหตุที่เป็นเหตุให้ภรรยาของข้าพเจ้ามีความตาย เมื่อข้าพเจ้าไปถึงบ้าน และที่เป็นเหตุทาให้ตนมีความตาย เมื่อไปไม่ถึงบ้าน. พระมหาสัตว์ได้ฟังคาของพราหมณ์ แล้วจึงแผ่ข่ายญาณไป เหมือนเหวี่ยงแหลงในน่านน้าทะเล คิดแล้วว่า เหตุแห่งการตายของสัตว์เหล่านี้มีมาก คือจมทะเลไปบ้าง ถูกปลาร้ายในทะเลนั้นคาบไปบ้าง ตกลงไปในน้าบ้าง ถูกจระเข้ในแม่น้านั้นคาบไปบ้าง ตกต้นไม้บ้าง ถูกหนามแทงบ้าง ถูกประหารด้วยอาวุธนานาประการบ้าง กินยาพิษเข้าไปบ้าง ปีนขึ้นภูเขาแล้วตกลงไปในเหวบ้าง หรือถูกโรคนานาประการมีหนาวจัดเป็ นต้น เบียดเบียนบ้าง ตายเหมือนกันทั้งนั้น. เมื่อเหตุแห่งการตายมีมากอย่างนี้ ด้วยเหตุอะไรหนอแล วันนี้พราหมณ์นั้น เมื่ออยู่ระหว่างทางจึงจักตายเอง
  • 6. 6 แต่เมื่อไปถึงบ้านภรรยาของเขาจักตาย. และเมื่อกาลังคิดอยู่ได้มองเห็นไถ้อยู่บนคอของพราหมณ์ ก็รู้ได้ด้วยญาณ คือความฉลาดในอุบายว่า ในไถ้นี้คงมีงูตัวหนึ่งเลื้อยเข้าไปอยู่ข้างใน. ก็แหละเมื่อจะเลื้อยเข้าไป มันคงจะเลื้อยเข้าไปเพราะกลิ่นข้าวตู ในเมื่อพราหมณ์คนนี้กินข้าวตู ในเวลาอาหารเช้าไม่ได้ผูกปากไถ้ไว้เลย แล้วไปดื่มน้า. พราหมณ์ดื่มน้าแล้วมา ไม่ทราบว่างูเข้าไปอยู่ในไถ้แล้ว คงจักผูกปากไถ้แล้วก็แบกเอาไป. พราหมณ์นี้นั้น เมื่อพักอยู่ระหว่างทาง ก็จักแก้ไถ้สอดมือเข้าไปด้วยตั้งใจว่า เราจักกินข้าวตู ณ สถานที่พักในเวลาเย็น เมื่อเป็นเช่นนั้นงูก็จะกัดมือเขาให้ถึงความสิ้นชีวิต นี้คือเหตุแห่งการตายของพราหมณ์ผู้พักอยู่ระหว่างทาง. แต่ถ้าพราหมณ์ไปถึงบ้านไซร้ ไถ้จักตกถึงมือของภรรยา นางก็จักแก้ไถ้เอามือล้วงด้วยตั้งใจว่า จักดูของอยู่ข้างใน. เมื่อเป็นเช่นนั้น งูก็จักกัดนางให้ถึงความสิ้นชีพ นี้คือเหตุแห่งการตายของภรรยาของเขาผู้ไปถึงเรือนในวันนี้. ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ได้มีความดารินี้ว่า งูเห่าหม้อตัวนี้กล้าหาญควรปลอดภัย เพราะว่างูตัวนี้ แม้จะกระทบสีข้างใหญ่ของพราหมณ์ ก็ไม่แสดงความหวั่นไหวหรือความดิ้นรนของตน ถึงในท่ามกลางบริษัทชนิดนี้ ก็ไม่แสดงความมีอยู่ของตน เพราะฉะนั้น งูเห่าหม้อตัวนี้ที่กล้าหาญ จึงควรปลอดภัย. แม้เหตุการณ์ดังที่ว่ามานี้ พระมหาสัตว์ก็ได้รู้ด้วยญาณ คือความเป็นผู้ฉลาดในอุบายนั่นเอง เหมือนเห็นด้วยทิพพจักขุ. เมื่อเป็นเช่นนี้ พระมหาสัตว์กาหนดด้วยญาณ คือความเป็นผู้ฉลาดในอุบายนั่นเอง เหมือนคนยืนดูงูที่กาลังเลื้อยเข้าไปในไถ้ ท่ามกลางบริษัทที่มีพระราชา. เมื่อจะแก้ปัญหาของพราหมณ์ จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า เราคิดค้นหาเหตุหลายอย่าง บรรดาเหตุเหล่านี้ เหตุที่เราจะบอกนั่นแหละเป็นของจริง พราหมณ์ เราเข้าใจว่า งูเห่าหม้อตัวหนึ่งได้เลื้อยเข้าไปอยู่ในไถ้ข้าวตูของท่านผู้ไม่รู้สึก. เราเข้าใจว่า เมื่อท่านไม่รู้อยู่นั่นแหละ งูเห่าหม้อตัวหนึ่งเข้าไปแล้ว. ก็แหละพระมหาสัตว์ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงถามว่า พราหมณ์ มีไหมข้าวตูในไถ้ของท่านนั้น? พ. มี ท่านบัณฑิต ม. วันนี้ เวลาอาหารเช้า ท่านนั่งกินข้าวตูละสิ? พ. ใช่ ท่านบัณฑิต ม. นั่ง ที่ไหนล่ะ?
  • 7. 7 พ. ที่ควงไม้ ในป่า ม. ท่านกินข้าวตูแล้ว เมื่อไปดื่มน้า ไม่ได้ผูกปากไถ้ล่ะสิ? พ. ไม่ได้ผูก ท่านบัณฑิต ม. ท่านดื่มน้าแล้วมา ไม่ได้ตรวจดูไถ้ผูกเลยสิ? พ. ไม่ได้ดู ผูกเลย ท่านบัณฑิต ม. พราหมณ์ เราเข้าใจว่า ในเวลาท่านไปดื่มน้า งูเข้าไปในไถ้แล้ว เพราะได้กลิ่นข้าวตูของท่านผู้ไม่รู้ตัวเลย ท่านได้มาที่นี้อย่างนี้แล้ว เพราะฉะนั้น ให้ยกไถ้ลงวางไว้ท่ามกลางบริษัท แก้ปากไถ้ออก แล้วเลี่ยงไปยืนอยู่ห่างพอควร ถือไม้ท่อนหนึ่งเคาะไถ้ก่อน ต่อจากนั้น ก็จักเห็นงูเห่าหม้อ แผ่แม่เบี้ย เห่าฟ่อๆ เลื้อยออกมา แล้วหายสงสัย ดังนี้ แล้วจึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า ท่านจงเอาท่อนไม้เคาะไถ้ดูเถิด จะเห็นงูมีลิ้น ๒ แฉก พ่นพิษเลื้อยออกมา ท่านจะสิ้นความเคลือบแคลงสงสัย ในวันนี้แหละ ท่านจงแก้ไถ้เถิด ท่านจะเห็นงู. วันนี้ท่านจะตัดความเคลือบแคลงและความสงสัยที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ว่า ในไถ้มีงูหรือไม่มีหนอ เชื่อเราเถิด เพราะคาพยากรณ์ของเราไม่ผิดพลาด ท่านจะเห็นงูเลื้อยออกมาเดี๋ยวนี้แหละ จงแก้ไถ้เถิด. พราหมณ์ได้ฟังคาของพระมหาสัตว์ แล้วสลดใจถึงความกลัวได้ทาตามนั้น. ฝ่ายงูพอถูกไม้เคาะขนดก็เลื้อยออกจากปากไถ้ เห็นผู้คนมากมาย จึงได้หยุดอยู่. พระศาสดา เมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๕ ว่า พราหมณ์นั้นสลดใจ ทิ้งไถ้ข้าวตูลงท่ามกลางบริษัท ลาดับนั้น งูพิษที่มีพิษร้ายได้แผ่แม่เบี้ย เลื้อยออกมา. ในเวลางูแผ่แม่เบี้ยออกมา คาพยากรณ์ของพระมหาสัตว์ได้เป็นเสมือนคาพยากรณ์ของพระสัพพัญญูพุทธเจ้ า. มหาชนพากันชูผ้าขึ้นเป็ นจานวนพัน ยกนิ้วขึ้นดิดหมุนไปรอบๆ เป็ นพันๆ ครั้ง ฝนแก้ว ๗ ประการตกลงมา เหมือนลูกเห็บตก สาธุการก็เป็นไปเป็นจานวนพันๆ เสียงดังปานประหนึ่งมหาปฐพีจะถล่มทะลาย. ก็ธรรมดาการแก้ปัญหาแบบนี้ด้วยพุทธลีลานี้ ไม่ใช่เป็นพลังของชาติ ไม่ใช่เป็นพลังของโคตร ของตระกูล ของประเทศ ของยศและของทรัพย์ทั้งหลาย แต่เป็นพลังของอะไรหรือ เป็นพลังของปัญญา. ด้วยว่า บุคคลผู้มีปัญญาเจริญวิปัสสนา แล้วจะเปิดประตูอริยมรรคเข้าอมตมหานิพพานได้ ทะลุทะลวงสาวกบารมีบ้าง ปัจเจกโพธิญาณบ้าง สัมมาสัมโพธิญาณบ้าง. เพราะว่า บรรดาธรรมทั้งหลายที่จะให้บรรลุอมตมหานิพพาน ปัญญาเท่านั้นประเสริฐที่สุด
  • 8. 8 ธรรมทั้งหลายที่เหลือเป็นเพียงบริวารของปัญญา. เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสไว้ว่า ผู้ฉลาดทั้งหลายกล่าวว่า ปัญญาแลประเสริฐที่สุด เหมือนดวงจันทร์ประเสริฐกว่าดวงดาวทั้งหลาย ฉะนั้น ศีลก็ดี แม้สิริก็ดี ธรรมของสัตบุรุษทั้งหลายก็ดี เป็นสิ่งคล้อยตามผู้มีปัญญา. ก็แล เมื่อพระมหาสัตว์กล่าวแก้ปัญหาอย่างนี้แล้ว หมองูคนหนึ่งก็ใส่กุญแจปากงู แล้วก็จับงูไปปล่อยในป่า. พราหมณ์เข้าไปเฝ้ าพระราชาให้พระองค์ทรงมีชัย แล้วประคองอัญชลี เมื่อจะสดุดีพระราชา จึงกล่าวคาถากึ่งคาถาว่า เป็นการได้ลาภที่ดีของพระเจ้าชนก ที่ทรงเห็นเสนกบัณฑิตผู้มีปัญญาดี. คาถานั้นมีอรรถาธิบายว่า พระชนกพระองค์ใดทรงลืมพระเนตรแล้ว ได้ทรงเห็นเสนกบัณฑิตผู้มีปัญญาดี คือมีปัญญาสูงสุด ด้วยพระเนตรที่น่ารักทุกขณะที่ทรงปรารถนาจะเห็น การได้ทอดพระเนตรเห็นทุกขณะที่ทรงพระประสงค์เหล่านั้นของพระเจ้าชนกนั้น เป็นลาภที่พระองค์ทรงได้แล้วดีจริงๆ คือบรรดาลาภทั้งหมดที่พระเจ้าชนกนั้นทรงได้แล้ว ลาภเหล่านั้นเท่านั้น ชื่อว่าเป็นลาภที่ทรงได้มาดีแล้ว. ก็แหละ ครั้นถวายสดุดีพระราชา แล้วพราหมณ์ได้หยิบเอาเงิน ๗๐๐ กหาปณะออกมาจากไถ้ ประสงค์จะสดุดีพระมหาสัตว์ให้ความชื่นชม จึงกล่าวคาถา ๑ กับครึ่งคาถาว่า ท่านเป็นผู้เปิดเครื่องปิดบังออกได้หรืออย่างไร จึงเห็นของทุกอย่าง ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ญาณของท่านเป็ นญาณที่น่าพิศวงนัก ทรัพย์เหล่านี้ของข้าพเจ้ามีอยู่ ๗๐๐ กหาปณะ ขอท่านจงรับเอาทั้งหมดเถิด ข้าพเจ้าขอมอบให้ท่าน เพราะว่า วันนี้ข้าพเจ้าได้ชีวิตไว้ เพราะท่าน อีกโสดหนึ่ง ท่านก็ได้ทาความสวัสดีให้แก่ภรรยาของข้าพเจ้าด้วย. พราหมณ์ถามด้วยอานาจการสดุดีว่า ท่านเป็นสัพพัญญูพุทธเจ้าผู้ทรงเปิดเครื่องปกปิดในอาการของธรรมทุกอย่าง คือทรงเป็นผู้มีธรรมที่ควรรู้ อันเปิดเผยแล้วหรืออย่างไร. ข้าแต่ท่านพราหมณ์ เมื่อท่านเป็นผู้รู้ทุกสิ่ง ญาณของท่านเป็ นญาณที่พิลึกเหลือเกิน คือมีกาลังเหมือนสัพพัญญุตญาณ. วันนี้ข้าพเจ้าได้ชีวิตมา เพราะท่านให้. อีกโสดหนึ่ง ท่านเองก็ได้ทาความสวัสดีแก่ภรรยาของผม.
  • 9. 9 พราหมณ์นั้น ครั้นพูดอย่างนี้แล้ว ก็อ้อนวอนพระโพธิสัตว์แล้วอ้อนวอนอีกว่า ถ้าหากมีทรัพย์แสนหนึ่งไซร้ ข้าพเจ้าก็ต้องให้ทีเดียว แต่ทรัพย์ของข้าพเจ้ามีเพียงเท่านี้เท่านั้น ขอท่านจงรับทรัพย์ ๗๐๐ กหาปณะเหล่านี้เถิด. พระโพธิสัตว์ ครั้นได้ยินคานั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๘ ว่า บัณฑิตทั้งหลายจะไม่รับค่าจ้าง เพราะคาถาทั้งหลายที่ไพเราะที่ตนกล่าวดีแล้ว ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงให้ทรัพย์ของท่านได้แต่เพียงนี้ วางใกล้เท้า แล้วจงรับเอาไปยังที่อยู่ของตนเถิด. ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงให้ทรัพย์ของท่านแต่แทบเท้าของเรา. ท่านจงถือเอาทรัพย์จานวนอื่นอีก ๓๐๐ กหาปณะจากทรัพย์จานวน ๗๐๐ นี้ รวมเป็ น ๑,๐๐๐ กหาปณะ แล้วไปที่อยู่ของตนเถิด. ก็แหละ พระมหาสัตว์ครั้นพูดอย่างนี้ แล้วก็ให้กหาปณะแก่พราหมณ์เต็มพัน แล้วถามว่า พราหมณ์ ใครส่งท่านมาหาขอทรัพย์? พ. ภรรยาของผม ท่านบัณฑิต. ม. ก็ภรรยาของท่าน แก่หรือสาว? พ. สาว ท่านบัณฑิต. ม. ถ้าอย่างนั้น เขาคงประพฤติอนาจารกับชายอื่น จึงส่งท่านไป ด้วยหมายใจว่า จักได้ประพฤติอนาจารปลอดภัย พระมหาสัตว์บอกว่า ถ้าหากท่านนากหาปณะเหล่านี้ไปถึงเรือนแล้วไซร้ นางจักให้กหาปณะที่ท่านได้มาด้วยความลาบากแก่ชู้ของตน เพราะฉะนั้น ท่านอย่าตรงไปบ้านทีเดียว ควรเก็บกหาปณะไว้ที่ควงไม้หรือที่ใดที่หนึ่งนอกบ้าน แล้วจึงเข้าไป ดังนี้ แล้วจึงส่งเขาไป. พราหมณ์นั้นไปใกล้บ้านแล้ว เก็บกหาปณะไว้ใต้ควงไม้ต้นหนึ่ง แล้วจึงได้ไปบ้านในเวลาเย็น. ขณะนั้น ภรรยาของเขาได้นั่งอยู่กับชายชู้ พราหมณ์ยืนที่ประตู แล้วกล่าวว่า น้องนาง. นางจาเสียงเขาได้ จึงดับไฟปิดประตู เมื่อพราหมณ์เข้าข้างใน แล้วจึงนาชู้ออกไป ให้ยืนอยู่ริมประตู แล้วก็เข้าบ้าน ไม่เห็นอะไรในไถ้ จึงถามว่า ท่านพราหมณ์ ท่านไปเที่ยวขอได้อะไรมา. พ. ได้กหาปณะพันหนึ่ง. ภ. เก็บไว้ที่ไหน? พ. เก็บไว้ที่โน้น พรุ่งนี้เช้าจึงจักเอามา อย่าคิดเลย. นางไปบอกชายชู้ เขาจึงออกไปหยิบเอาเหมือนของที่ตนเก็บไว้เอง. ในวันรุ่งขึ้น พราหมณ์ไปแล้วไม่เห็นกหาปณะ จึงไปหาพระโพธิสัตว์ เมื่อถูกถามว่า เรื่องอะไร พราหมณ์? จึงบอกว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นกหาปณะ
  • 10. 10 ท่านบัณฑิต. ม. ก็ท่านบอกภรรยาของท่านละสิ. พ. ถูกแล้ว ท่านบัณฑิต. พระมหาสัตว์ก็รู้ว่า นางนั้นบอกชายชู้ จึงถามว่า ดูก่อนพราหมณ์ ก็ภรรยาของท่าน มีพราหมณ์ประจาตระกูลไหม? พ. มี ท่านบัณฑิต. ม. ฝ่ายท่านล่ะ มีไหม. พ. มี ท่านบัณฑิต. จึงพระมหาสัตว์ได้ให้พราหมณ์ถวายเสบียงอาหารแก่พราหมณ์ประจา ตระกูลนั้น เป็นเวลา ๗ วัน แล้วบอกว่า ไปเถิดท่าน วันแรกจงเชื้อเชิญพราหมณ์มารับประทาน ๑๔ คน คือฝ่ายท่าน ๗ คน ฝ่ายภรรยา ๗ คน ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นเป็ นต้นไปให้ลดลงวันละ ๑ คน ในวันที่ ๗ จึงเชื้อเชิญ ๒ คน คือฝ่ายท่าน ๑ คน ฝ่ายภรรยาของท่าน ๑ คน จงรู้ไว้ จาไว้ว่า พราหมณ์คนที่ภรรยาของท่าน เชื้อเชิญมาตลอด ๗ วัน มาเป็นประจา แล้วบอกข้าพเจ้า. พราหมณ์ทาตามนั้นแล้วจึงบอกแก่พระมหาสัตว์ว่า ข้าแต่ท่านบัณฑิต ข้าพเจ้ากาหนดพราหมณ์ผู้มารับประทานเป็นนิจไว้แล้ว. พระโพธิสัตว์ส่งบุรุษไปกับพราหมณ์นั้น ให้นาพราหมณ์คนนั้นมา แล้วถามว่า ท่านเอากหาปณะพันหนึ่งที่เป็ นของพราหมณ์คนนี้ไปจากควงไม้ต้นโน้นหรือ? พราหมณ์คนนั้นปฏิเสธว่า ผมไม่ได้เอาไป ท่านบัณฑิต. พระโพธิสัตว์บอกว่า ท่านไม่รู้จักว่าเราเป็ นเสนกบัณฑิต เราจักให้ท่านนากหาปณะมาคืน. เขากลัว จึงรับว่า ผมเอาไป. ม. ท่านเอาไปเก็บไว้ที่ไหน. พ. เก็บไว้ ณ ที่นั้นนั่นเอง ท่านบัณฑิต. พระโพธิสัตว์จึงถามพราหมณ์ผู้เป็นสามีว่า พราหมณ์ หญิงคนนั้นนั่นเอง เป็นภรรยาของท่านหรือ? หรือจักรับเอาคนอื่น พ. เขานั่นแหละเป็ นของผม ท่านบัณฑิต พระโพธิสัตว์ส่งคนไป ให้นากหาปณะของพราหมณ์และนางพราหมณีมา แล้วบังคับให้รับกหาปณะจากมือของพราหมณ์ผู้เป็นโจรแก่พราหมณ์ ให้ลงพระราชอาชญาแก่พราหมณ์ผู้เป็นโจร เนรเทศออกจากพระนครไป และให้ลงพระราชอาชญาแก่พราหมณี ให้ยศใหญ่แก่พราหมณ์ แล้วให้อยู่ในสานักของตนนั่นเอง. พระศาสดา ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มา ทรงประกาศสัจธรรมทั้งหลาย แล้วทรงประชุม
  • 11. 11 ชาดกไว้ ในที่สุดแห่งสัจธรรม คนจานวนมากได้ทาให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล. พราหมณ์ในครั้งนั้น ได้แก่ พระอานนท์ ในบัดนี้ รุกขเทวดา ได้แก่ พระสารีบุตร บริษัท ได้แก่ พุทธบริษัท ส่วนเสนกบัณฑิต ได้แก่ เราตถาคต ฉะนี้แล. จบ อรรถกถาเสนกชาดกที่ ๗ -----------------------------------------------------