Submit Search
Upload
508 ปัญจปัณฑิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
•
Download as DOCX, PDF
•
0 likes
•
8 views
maruay songtanin
Follow
ว่าด้วย ความลับไม่ควรเปิดเผย ปัญจบัณฑิตชาดก จักมีพิสดารใน มหาอุมมังคชาดก.
Read less
Read more
Spiritual
Report
Share
Report
Share
1 of 14
Download now
Recommended
500 สิรีมันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
500 สิรีมันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
ว่าด้วย ปัญญาประเสริฐ สิริเมณฑกปัญหานี้ จักมีแจ้งใน มหาอุมมังคชาดก
๑๕ โมฆราชปัญหา.pdf
๑๕ โมฆราชปัญหา.pdf
maruay songtanin
ปัญหาเรื่อง บุคคลพิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชจึงไม่เห็น
483 สรภมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
483 สรภมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
ว่าด้วย ละมั่งทำคุณแก่พระราชา พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภการพยากรณ์ปัญหาที่พระองค์ตรัสถามโดยย่อได้อย่างพิสดารของพระธรรมเสนาบดี จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. ก็แลในครั้งนั้น พระศาสดาตรัสถามปัญหากะพระเถรเจ้าโดยย่อ ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวในคราวเสด็จจากเทวโลกนั้นโดยสังเขป. กล่าวความจำเดิมแต่ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะถือเอาบาตรไม้จันทน์แดง ในสำนักของราชคหเศรษฐี ได้ด้วยฤทธิ์แล้ว พระศาสดาตรัสห้ามการกระทำอิทธิปาฏิหาริย์แก่ภิกษุทั้งหลาย. ครั้งนั้น เหล่าเดียรถีย์คิดกันว่า พระสมณโคดมทรงห้ามการกระทำอิทธิปาฏิหาริย์เสียแล้ว ที่นี้แม้ตนเองก็คงจักกระทำไม่ได้ ครั้นถูกพวกสาวกของตนซึ่งขายหน้าไปตามกันพูดว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านทั้งหลายถือเอาบาตรด้วยฤทธิ์ไม่ได้แล้วหรือ ก็พากันแถลงว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย นั่นมิใช่เป็นการที่พวกเราจะกระทำได้ยากเลย แต่ที่พวกเราไม่ถือเอาเพราะคิดกันว่า ใครเล่าจักประกาศคุณที่ละเอียดสุขุมของตนแก่พวกคฤหัสถ์ เพื่อต้องการบาตรไม้อันเป็นประหนึ่งศพ ฝ่ายพวกสมณศากยบุตรพากันสำแดง ถือเอาไปเพราะเป็นคนโง่ ใจโลเล พวกเธออย่าคิดเลยว่า การกระทำฤทธิ์เป็นเรื่องหนักของพวกเรา เพราะพวกเราน่ะ พวกสาวกของสมณโคดมจงยกไว้เถิด แต่จำนงจะแสดงฤทธิ์กับพระสมณโคดม แม้นว่าพระสมณโคดมจักกระทำปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง ฝ่ายพวกเราจักกระทำให้ได้สองเท่า. พวกภิกษุฟังเรื่องนั้นแล้วพากันกราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข่าวว่าพวกเดียรถีย์จักพากันกระทำปาฏิหาริย์. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จงพากันกระทำเถิด แม้เราก็จักกระทำบ้าง. พระเจ้าพิมพิสารทรงสดับเรื่องนั้น เสด็จมากราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข่าวว่าจักทรงกระทำปาฏิหาริย์. ตรัสว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร. ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้วมิใช่หรือ. ตรัสว่า มหาบพิตร นั่นอาตมภาพบัญญัติแก่หมู่สาวก แต่สิกขาบทของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มี มหาบพิตร เหมือนอย่างว่า ดอกไม้และผลไม้ในพระอุทยานของมหาบพิตร ทรงห้ามไว้แก่ชนเหล่าอื่น มิได้ทรงห้ามแก่มหาบพิตรฉันใด ข้อนี้ ก็พึงเห็นเทียบเคียงฉันนั้น.
๐๕ โธตกปัญหา.pdf
๐๕ โธตกปัญหา.pdf
maruay songtanin
ปัญหาเรื่อง ทรงพระกรุณาตรัสสอนวิเวกธรรมที่ข้าพระองค์จะพึงรู้แจ้งได้
041 โลสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
041 โลสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
ว่าด้วยคนที่ต้องเศร้าโศก พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระโลสกติสสเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. ก็พระเถระผู้มีชื่อว่า โลสกะ นี้คือใคร (มีประวัติเป็นมาอย่างไร)? ท่านเป็นบุตรของชาวประมงคนหนึ่ง ในแคว้นโกศล เป็นผู้ทำลายตระกูลวงศ์ของตน ไม่มีลาภ มาบวชในหมู่ภิกษุ. ได้ยินมาว่า ท่านจุติจากที่ที่ท่านเกิดแล้ว ถือปฏิสนธิในท้องของหญิงชาวประมงนางหนึ่ง ณ หมู่บ้านชาวประมงตำบลหนึ่ง ซึ่งอยู่ร่วมกันถึงพันครอบครัว ในแคว้นโกศล. ในวันที่ท่านถือปฏิสนธิ ชาวประมงทั้งพันครอบครัวนั้นพากันถือข่ายเที่ยวหาปลา ในลำน้ำและบ่อบึง ไม่ได้แม้แต่ปลาตัวเล็กๆ สักตัวหนึ่ง. และนับแต่วันนั้นมา พวกชาวประมงเหล่านั้นก็พากันเสื่อมโทรมทีเดียว. เมื่ออยู่ในท้องมารดานั้นเล่า บ้านชาวประมงเหล่านั้นก็ถูกไฟไหม้ถึง ๗ ครั้ง ถูกพระราชาปรับสินไหมเจ็ดครั้ง. โดยนัยนี้ ชาวประมงเหล่านั้นจึงถึงความลำบากโดยลำดับ. พวกเขาคิดกันว่า เมื่อก่อนเรื่องทำนองนี้ ไม่เคยมีแก่พวกเราเลย แต่บัดนี้ พวกเราพากันย่ำแย่ ในระหว่างพวกเราต้องมีตัวกาลกรรณีคนหนึ่ง พวกเราจงแบ่งเป็นสองพวกเถิด. ดังนี้แล้ว แยกกันอยู่ฝ่ายละ ๕๐๐ ครอบครัว. แต่นั้น มารดาบิดาของเขาอยู่กลุ่มใด กลุ่มนั้นก็แย่ กลุ่มนอกนี้เจริญ. พวกที่แย่นั้น ก็แยกกลุ่มกันอีก โดยแยกกันออกเป็น ๒ กลุ่มอีก แยกกันไปโดยทำนองนี้ กระทั่งตระกูล (ของเขา) นั่นแหละ เหลือโดดเดี่ยว (เพียงตระกูลเดียว). เขาทั้งหลายจึงรู้ว่า คนเหล่านั้นเป็นกาลกรรณี ก็รุมกันโบยตีไล่ออกไป. ครั้งนั้น มารดาบิดาของเขาเลี้ยงชีพมาโดยแร้นแค้น พอท้องแก่ก็คลอด ณ ที่แห่งหนึ่ง. ธรรมดา ท่านผู้เป็นสัตว์เกิดมาในภพสุดท้าย ใครไม่อาจทำลายได้ เพราะมีอุปนิสัยแห่งอรหัตผลรุ่งเรืองอยู่ในหทัยของท่าน เหมือนดวงประทีปภายในหม้อ ฉะนั้น. มารดาเลี้ยงเขามาจนถึง ในเวลาที่เขาวิ่งเที่ยวไปมาได้ ก็เอากะโล่ดินเผาใบหนึ่งใส่มือให้ พลางเสือกไส ด้วยคำว่า ลูกเอ๋ย เจ้าจงไปสู่เรือนหลังนั้นเถิด ดังนี้แล้วหลบหนีไป. จำเดิมแต่นั้นมา เขาก็อยู่อย่างเดียวดาย เที่ยวหากินไปตามประสา หลับนอน ณ ที่แห่งหนึ่ง ไม่ได้อาบน้ำ ไม่ได้ปรนนิบัติร่างกาย ดูเหมือนปีศาจคลุกฝุ่นเลี้ยงชีวิตมาได้โดยลำเค็ญ. เขามีอายุครบ ๗ ขวบ โดยลำดับ เลือกเม็ดข้าวกินทีละเม็ด เหมือนกาในที่สำหรับเทน้ำล้างหม้อ ใกล้ประตูเรือนแห่งหนึ่ง. ครั้งนั้น พระธรรมเสนาบดีเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในเมืองสาวัตถี เห็นแล้วรำพึงว่า เด็กคนนี้น่าสงสารนัก เป็นชาวบ้านไหนหนอ แผ่เมตตาจิตไปในเขาเพิ่มยิ่งขึ้น จึงเรียกว่า มานี่เถิด เด็กน้อย. เขามาไหว้พระเถระแล้วยืนอยู่. ลำดับนั้น พระเถระถามเขาว่า เจ้าเป็นชาวบ้านไหน พ่อแม่ของเจ้าอยู่ที่ไหน? เขาตอบว่า ท่านขอรับ กระผมไร้ที่พึ่ง พ่อแม่ของกระผม พูดว่า เพราะกระผมทำให้ท่านต้องลำบาก จึงทิ้งกระผมหนีไป. พระเถระถามว่า เออ ก็เจ้าจักบวชไหมละ? เขาตอบว่า ท่านขอรับ กระผมอยากบวชนัก แต่คนกำพร้าอย่างกระผม ใครจักบวชให้. พระเถระกล่าวว่า เราจักบวชให้. เขากล่าวว่า สาธุ ท่านขอรับ โปรดอนุเคราะห์ให้กระผมบวชเถิด. พระเถระจึงให้ของเคี้ยว ของบริโภคแก่เขา แล้วพาไปวิหาร อาบน้ำให้เอง ให้บรรพชา จนอายุครบ จึงให้อุปสมบท. ในตอนแก่ท่านมีชื่อว่า "โลสกติสสเถระ" เป็นพระไม่มีบุญ มีลาภน้อย.
๐๓ ปุณณกปัญหา.pdf
๐๓ ปุณณกปัญหา.pdf
maruay songtanin
ปัญหาเรื่อง ฤๅษี มนุชะ กษัตริย์ และพราหมณ์จำนวนมากในโลกนี้ อาศัยอะไร จึงพากันบูชายัญแก่เทวดาทั้งหลาย
๐๘ เหมกปัญหา.pdf
๐๘ เหมกปัญหา.pdf
maruay songtanin
ปัญหาเรื่อง ขอพระองค์โปรดตรัสบอกธรรมที่เป็นเครื่องกำจัดตัณหา
435 หลิททราคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
435 หลิททราคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
ว่าด้วย ลักษณะของผู้ที่จะคบ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภความประเล้าประโลมของนางถูลกุมารี จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้. เรื่องที่เป็นปัจจุบันจักมีแจ้งในจุลลนารทกัสสปชาดก ในเตรสนิบาต. ส่วนเรื่องที่เป็นอดีต มีความดังต่อไปนี้
Recommended
500 สิรีมันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
500 สิรีมันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
ว่าด้วย ปัญญาประเสริฐ สิริเมณฑกปัญหานี้ จักมีแจ้งใน มหาอุมมังคชาดก
๑๕ โมฆราชปัญหา.pdf
๑๕ โมฆราชปัญหา.pdf
maruay songtanin
ปัญหาเรื่อง บุคคลพิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชจึงไม่เห็น
483 สรภมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
483 สรภมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
ว่าด้วย ละมั่งทำคุณแก่พระราชา พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภการพยากรณ์ปัญหาที่พระองค์ตรัสถามโดยย่อได้อย่างพิสดารของพระธรรมเสนาบดี จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. ก็แลในครั้งนั้น พระศาสดาตรัสถามปัญหากะพระเถรเจ้าโดยย่อ ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวในคราวเสด็จจากเทวโลกนั้นโดยสังเขป. กล่าวความจำเดิมแต่ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะถือเอาบาตรไม้จันทน์แดง ในสำนักของราชคหเศรษฐี ได้ด้วยฤทธิ์แล้ว พระศาสดาตรัสห้ามการกระทำอิทธิปาฏิหาริย์แก่ภิกษุทั้งหลาย. ครั้งนั้น เหล่าเดียรถีย์คิดกันว่า พระสมณโคดมทรงห้ามการกระทำอิทธิปาฏิหาริย์เสียแล้ว ที่นี้แม้ตนเองก็คงจักกระทำไม่ได้ ครั้นถูกพวกสาวกของตนซึ่งขายหน้าไปตามกันพูดว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านทั้งหลายถือเอาบาตรด้วยฤทธิ์ไม่ได้แล้วหรือ ก็พากันแถลงว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย นั่นมิใช่เป็นการที่พวกเราจะกระทำได้ยากเลย แต่ที่พวกเราไม่ถือเอาเพราะคิดกันว่า ใครเล่าจักประกาศคุณที่ละเอียดสุขุมของตนแก่พวกคฤหัสถ์ เพื่อต้องการบาตรไม้อันเป็นประหนึ่งศพ ฝ่ายพวกสมณศากยบุตรพากันสำแดง ถือเอาไปเพราะเป็นคนโง่ ใจโลเล พวกเธออย่าคิดเลยว่า การกระทำฤทธิ์เป็นเรื่องหนักของพวกเรา เพราะพวกเราน่ะ พวกสาวกของสมณโคดมจงยกไว้เถิด แต่จำนงจะแสดงฤทธิ์กับพระสมณโคดม แม้นว่าพระสมณโคดมจักกระทำปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง ฝ่ายพวกเราจักกระทำให้ได้สองเท่า. พวกภิกษุฟังเรื่องนั้นแล้วพากันกราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข่าวว่าพวกเดียรถีย์จักพากันกระทำปาฏิหาริย์. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จงพากันกระทำเถิด แม้เราก็จักกระทำบ้าง. พระเจ้าพิมพิสารทรงสดับเรื่องนั้น เสด็จมากราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข่าวว่าจักทรงกระทำปาฏิหาริย์. ตรัสว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร. ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้วมิใช่หรือ. ตรัสว่า มหาบพิตร นั่นอาตมภาพบัญญัติแก่หมู่สาวก แต่สิกขาบทของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มี มหาบพิตร เหมือนอย่างว่า ดอกไม้และผลไม้ในพระอุทยานของมหาบพิตร ทรงห้ามไว้แก่ชนเหล่าอื่น มิได้ทรงห้ามแก่มหาบพิตรฉันใด ข้อนี้ ก็พึงเห็นเทียบเคียงฉันนั้น.
๐๕ โธตกปัญหา.pdf
๐๕ โธตกปัญหา.pdf
maruay songtanin
ปัญหาเรื่อง ทรงพระกรุณาตรัสสอนวิเวกธรรมที่ข้าพระองค์จะพึงรู้แจ้งได้
041 โลสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
041 โลสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
ว่าด้วยคนที่ต้องเศร้าโศก พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระโลสกติสสเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. ก็พระเถระผู้มีชื่อว่า โลสกะ นี้คือใคร (มีประวัติเป็นมาอย่างไร)? ท่านเป็นบุตรของชาวประมงคนหนึ่ง ในแคว้นโกศล เป็นผู้ทำลายตระกูลวงศ์ของตน ไม่มีลาภ มาบวชในหมู่ภิกษุ. ได้ยินมาว่า ท่านจุติจากที่ที่ท่านเกิดแล้ว ถือปฏิสนธิในท้องของหญิงชาวประมงนางหนึ่ง ณ หมู่บ้านชาวประมงตำบลหนึ่ง ซึ่งอยู่ร่วมกันถึงพันครอบครัว ในแคว้นโกศล. ในวันที่ท่านถือปฏิสนธิ ชาวประมงทั้งพันครอบครัวนั้นพากันถือข่ายเที่ยวหาปลา ในลำน้ำและบ่อบึง ไม่ได้แม้แต่ปลาตัวเล็กๆ สักตัวหนึ่ง. และนับแต่วันนั้นมา พวกชาวประมงเหล่านั้นก็พากันเสื่อมโทรมทีเดียว. เมื่ออยู่ในท้องมารดานั้นเล่า บ้านชาวประมงเหล่านั้นก็ถูกไฟไหม้ถึง ๗ ครั้ง ถูกพระราชาปรับสินไหมเจ็ดครั้ง. โดยนัยนี้ ชาวประมงเหล่านั้นจึงถึงความลำบากโดยลำดับ. พวกเขาคิดกันว่า เมื่อก่อนเรื่องทำนองนี้ ไม่เคยมีแก่พวกเราเลย แต่บัดนี้ พวกเราพากันย่ำแย่ ในระหว่างพวกเราต้องมีตัวกาลกรรณีคนหนึ่ง พวกเราจงแบ่งเป็นสองพวกเถิด. ดังนี้แล้ว แยกกันอยู่ฝ่ายละ ๕๐๐ ครอบครัว. แต่นั้น มารดาบิดาของเขาอยู่กลุ่มใด กลุ่มนั้นก็แย่ กลุ่มนอกนี้เจริญ. พวกที่แย่นั้น ก็แยกกลุ่มกันอีก โดยแยกกันออกเป็น ๒ กลุ่มอีก แยกกันไปโดยทำนองนี้ กระทั่งตระกูล (ของเขา) นั่นแหละ เหลือโดดเดี่ยว (เพียงตระกูลเดียว). เขาทั้งหลายจึงรู้ว่า คนเหล่านั้นเป็นกาลกรรณี ก็รุมกันโบยตีไล่ออกไป. ครั้งนั้น มารดาบิดาของเขาเลี้ยงชีพมาโดยแร้นแค้น พอท้องแก่ก็คลอด ณ ที่แห่งหนึ่ง. ธรรมดา ท่านผู้เป็นสัตว์เกิดมาในภพสุดท้าย ใครไม่อาจทำลายได้ เพราะมีอุปนิสัยแห่งอรหัตผลรุ่งเรืองอยู่ในหทัยของท่าน เหมือนดวงประทีปภายในหม้อ ฉะนั้น. มารดาเลี้ยงเขามาจนถึง ในเวลาที่เขาวิ่งเที่ยวไปมาได้ ก็เอากะโล่ดินเผาใบหนึ่งใส่มือให้ พลางเสือกไส ด้วยคำว่า ลูกเอ๋ย เจ้าจงไปสู่เรือนหลังนั้นเถิด ดังนี้แล้วหลบหนีไป. จำเดิมแต่นั้นมา เขาก็อยู่อย่างเดียวดาย เที่ยวหากินไปตามประสา หลับนอน ณ ที่แห่งหนึ่ง ไม่ได้อาบน้ำ ไม่ได้ปรนนิบัติร่างกาย ดูเหมือนปีศาจคลุกฝุ่นเลี้ยงชีวิตมาได้โดยลำเค็ญ. เขามีอายุครบ ๗ ขวบ โดยลำดับ เลือกเม็ดข้าวกินทีละเม็ด เหมือนกาในที่สำหรับเทน้ำล้างหม้อ ใกล้ประตูเรือนแห่งหนึ่ง. ครั้งนั้น พระธรรมเสนาบดีเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในเมืองสาวัตถี เห็นแล้วรำพึงว่า เด็กคนนี้น่าสงสารนัก เป็นชาวบ้านไหนหนอ แผ่เมตตาจิตไปในเขาเพิ่มยิ่งขึ้น จึงเรียกว่า มานี่เถิด เด็กน้อย. เขามาไหว้พระเถระแล้วยืนอยู่. ลำดับนั้น พระเถระถามเขาว่า เจ้าเป็นชาวบ้านไหน พ่อแม่ของเจ้าอยู่ที่ไหน? เขาตอบว่า ท่านขอรับ กระผมไร้ที่พึ่ง พ่อแม่ของกระผม พูดว่า เพราะกระผมทำให้ท่านต้องลำบาก จึงทิ้งกระผมหนีไป. พระเถระถามว่า เออ ก็เจ้าจักบวชไหมละ? เขาตอบว่า ท่านขอรับ กระผมอยากบวชนัก แต่คนกำพร้าอย่างกระผม ใครจักบวชให้. พระเถระกล่าวว่า เราจักบวชให้. เขากล่าวว่า สาธุ ท่านขอรับ โปรดอนุเคราะห์ให้กระผมบวชเถิด. พระเถระจึงให้ของเคี้ยว ของบริโภคแก่เขา แล้วพาไปวิหาร อาบน้ำให้เอง ให้บรรพชา จนอายุครบ จึงให้อุปสมบท. ในตอนแก่ท่านมีชื่อว่า "โลสกติสสเถระ" เป็นพระไม่มีบุญ มีลาภน้อย.
๐๓ ปุณณกปัญหา.pdf
๐๓ ปุณณกปัญหา.pdf
maruay songtanin
ปัญหาเรื่อง ฤๅษี มนุชะ กษัตริย์ และพราหมณ์จำนวนมากในโลกนี้ อาศัยอะไร จึงพากันบูชายัญแก่เทวดาทั้งหลาย
๐๘ เหมกปัญหา.pdf
๐๘ เหมกปัญหา.pdf
maruay songtanin
ปัญหาเรื่อง ขอพระองค์โปรดตรัสบอกธรรมที่เป็นเครื่องกำจัดตัณหา
435 หลิททราคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
435 หลิททราคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
ว่าด้วย ลักษณะของผู้ที่จะคบ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภความประเล้าประโลมของนางถูลกุมารี จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้. เรื่องที่เป็นปัจจุบันจักมีแจ้งในจุลลนารทกัสสปชาดก ในเตรสนิบาต. ส่วนเรื่องที่เป็นอดีต มีความดังต่อไปนี้
487 อุททาลกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
487 อุททาลกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
ว่าด้วย จรณธรรม พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระมหาวิหารเชตวัน ทรงพระปรารภภิกษุผู้หลอกลวงรูปหนึ่ง ตรัสเรื่องนี้ ดังนี้. เรื่องย่อมีว่า ภิกษุนั้น แม้บวชในพระศาสนาอันมีธรรม เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ได้แล้ว ก็ยังชอบประพฤติเรื่องหลอกลวง ๓ สถาน เพื่อต้องการปัจจัยทั้งสี่. ครั้งนั้น พวกภิกษุเมื่อจะประกาศโทษของเธอ ตั้งเรื่องสนทนากันในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุที่ชื่อโน้นบวชในพระศาสนา อันประกอบด้วยธรรมเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์เห็นปานนี้แล้ว ยังจะอาศัยการหลอกลวงเลี้ยงชีวิตอยู่เล่า. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อกี้ พวกเธอสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อพวกภิกษุกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อน เธอก็หลอกลวงเหมือนกัน ทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้.
200 สาธุสีลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
200 สาธุสีลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
ว่าด้วย เลือกเอาผู้มีศีล พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพราหมณ์คนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. ได้ยินว่า พราหมณ์นั้นมีลูกสาวสี่คน. มีชายสี่คนต้องการลูกสาวเหล่านั้น. ในชายสี่คนนั้น คนหนึ่งรูปงามร่างกายสมบูรณ์ คนหนึ่งอายุมากเป็นผู้ใหญ่ คนหนึ่งสมบูรณ์ด้วยชาติ คนหนึ่งมีศีล. พราหมณ์คิดว่า เมื่อจะปลูกฝังลูกสาว ควรจะให้แก่ใครหนอ ควรให้แก่คนรูปงามหรือ คนมีอายุ คนสมบูรณ์ด้วยชาติ และคนมีศีล คนใดคนหนึ่งดี แม้เขาจะพยายามคิด ก็ไม่รู้แน่ จึงคิดว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจักทรงทราบเหตุนี้ เราจักทูลถามพระองค์ แล้วยกลูกสาวให้แก่ผู้ที่สมควร ในระหว่างคนเหล่านั้น จึงได้ถือของหอมดอกไม้เป็นต้น ไปวิหาร ถวายบังคมพระศาสดา นั่ง ณ ส่วนหนึ่ง กราบทูลความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าตั้งแต่ต้น แล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ ควรจะให้แก่ใครในชายทั้งสี่เหล่านี้. พระศาสดาตรัสว่า แต่ปางก่อน บัณฑิตทั้งหลายก็ยังถามปัญหานี้แก่พระองค์ แต่เพราะยังอยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อของภพ จึงไม่อาจจดจำได้ เมื่อพราหมณ์ทูลอาราธนา จึงทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
220 ธัมมัทธชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
220 ธัมมัทธชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
ว่าด้วย ผู้ถึงธรรมของสัตบุรุษ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระเทวทัตพยายามปลงพระชนม์พระองค์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. ความย่อว่า พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวทัตพยายามฆ่าเรา ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้เมื่อก่อนก็พยายามฆ่าเราเหมือนกัน แต่ไม่อาจทำแม้เพียงความสะดุ้งสะเทือน จึงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
468 ชนสันธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
468 ชนสันธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
ว่าด้วย เหตุที่ทำจิตให้เดือดร้อน พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร มีพระพุทธประสงค์จะประทานโอวาทแก่พระเจ้าโกศล ตรัสพระธรรมเทศนานี้. ดังนี้. ความพิสดารว่า ในกาลครั้งหนึ่ง พระเจ้าโกศลทรงมัวเมาด้วยอิสริยยศหมกมุ่นอยู่ในความสุขที่เกิดแต่กิเลส ไม่ปรารถนาจะตัดสินคดี แม้การบำรุงพระพุทธเจ้า ก็ทรงลืมเสีย. วันหนึ่ง พระองค์ทรงระลึกถึงพระทศพล ทรงดำริว่าจักถวายบังคมพระศาสดา พอเสวยกระยาหารเช้าแล้ว เสด็จขึ้นพระราชยานไปพระวิหาร ถวายบังคมพระศาสดาแล้วประทับนั่ง ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะพระราชาว่า มหาบพิตร นานมาแล้ว พระองค์มิได้เสด็จมา เพราะเหตุไร. พระเจ้าโกศลทูลว่า เพราะข้าพระองค์มีราชกิจมากพระเจ้าข้า ไม่มีโอกาสที่จะมาเฝ้าพระองค์. ตรัสว่า มหาบพิตร เมื่อพระพุทธเจ้าผู้สัพพัญญูผู้ให้โอวาทเช่นเรา อยู่ในวิหารที่ใกล้ ไม่ควรที่พระองค์จะประมาท วิสัยพระราชาต้องไม่ประมาทในราชกิจทั้งหลาย ดำรงพระองค์เสมอด้วยมารดาบิดาของชาวแว่นแคว้น ละอคติเสียครองราชสมบัติโดยทศพิธราชธรรมจึงจะควร เพราะเมื่อพระราชาประพฤติธรรม แม้บริษัทของพระองค์ก็ประพฤติธรรม ข้อที่เมื่อเราตถาคตสั่งสอนอยู่ พระองค์ครองราชสมบัติโดยธรรมนั้นไม่น่าอัศจรรย์ โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย แม้ไม่มีอาจารย์สั่งสอนก็ยังตั้งอยู่ในสุจริตธรรมสามประการ แสดงธรรมแก่มหาชนตามความรู้ของตน พาบริษัทไปสวรรค์ได้. พระเจ้าโกศลทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องราว. พระพุทธองค์ทรงนำอดีตนิทานมาตรัสเล่า ดังต่อไปนี้.
๐๐๖.๐๔. สุดยอด วัตร ๑๔ หน้าแรกมีตาราง มี ๓๔ หน้า
๐๐๖.๐๔. สุดยอด วัตร ๑๔ หน้าแรกมีตาราง มี ๓๔ หน้า
watpadongyai
016 ติปัลลัตถมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
016 ติปัลลัตถมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
ว่าด้วยเล่ห์กลลวงพราน พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพทริการาม นครโกสัมพี ทรงปรารภพระราหุลเถระผู้ใคร่ต่อการศึกษา จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. ความพิศดารว่า กาลครั้งหนึ่ง เมื่อพระศาสดาเสด็จเข้าไปอาศัยเมืองอาฬวี ประทับอยู่ในอัคคาฬวเจดีย์ อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุและภิกษุณีจำนวนมากไปวิหารเพื่อฟังธรรม ตอนกลางวันมีการฟังธรรม. ก็แล เมื่อกาลเวลาล่วงไป อุบาสิกาและภิกษุณีทั้งหลายไม่ไป. มีแต่พวกภิกษุและอุบาสกทั้งหลาย ตั้งแต่นั้น จึงเกิดมีการฟังธรรมตอนกลางคืน ในเวลาเสร็จสิ้นการฟังธรรม ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพระเถระพากันไปยังที่อยู่ของตนๆ ภิกษุหนุ่มกับพวกอุบาสก นอนที่อุปัฏฐานศาลา คือโรงฉัน เมื่อพวกภิกษุหนุ่มและพวกอุบาสกเหล่านั้น เข้าถึงความหลับ บางคนนอนกรนเสียงครืดๆ นอนกัดฟัน บางคนนอนครู่เดียวแล้วลุกขึ้น พวกอุบาสกเห็นประการอันแปลกของภิกษุหนุ่ม จึงกราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ก็ภิกษุใดนอนร่วมกับอนุปสัมบัน ภิกษุนั้นต้องอาบัติปาจิตตีย์ ดังนี้แล้ว ได้เสด็จไปยังนครโกสัมพี ในข้อที่ทรงบัญญัติสิกขาบทนั้น ภิกษุทั้งหลายจึงกล่าวกะท่านราหุลว่า อาวุโสราหุล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว บัดนี้ ท่านจงรู้ที่อยู่ของตน. ก็เมื่อก่อน ภิกษุทั้งหลายได้สงเคราะห์ท่านราหุลนั้นผู้มายังที่อยู่ของตนๆ เป็นอย่างดี เพราะอาศัยความเคารพในพระผู้มีพระภาคเจ้า และความที่ท่านราหุลนั้นเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา ได้ลาดเตียงเล็ก ให้จีวรเพื่อหนุนศีรษะ แต่วันนั้น แม้ที่อยู่ก็ไม่ได้ให้แล้ว เพราะกลัวต่อสิกขาบท. ฝ่ายพระภัทรราหุลก็ไม่ไปยังสำนักของพระทศพล ด้วยคิดว่าเป็นพระบิดาของเรา หรือของพระธรรมเสนาบดี ด้วยคิดว่าเป็นอุปัชฌาย์ของเรา หรือของพระมหาโมคคัลลานะ ด้วยคิดว่าเป็นอาจารย์ของเรา หรือของท่านพระอานนท์ ด้วยคิดว่าเป็นอาของเรา ได้เข้าไปยังเวจกุฏีสำหรับถ่ายของพระทศพล ประดุจเข้าไปยังวิมานของพรหม สำเร็จการอยู่แล้ว. ก็ประตูกุฏีสำหรับใช้ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ปิดสนิทนั้น กระทำการประพรมด้วยธูปหอม มีพวงของหอมและพวงดอกไม้ห้อย ตามประทีปตลอดคืนยังรุ่ง. ก็พระภัทรราหุลอาศัยสมบัตินี้ของกุฏีนั้น จึงเข้าไปอยู่ในกุฏีนั้น อนึ่ง เพราะภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ท่านจงรู้ที่อยู่ และเพราะความเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา โดยเคารพในโอวาท จึงเข้าไปอยู่ในกุฏีนั้น ก็ในระหว่างๆ ภิกษุทั้งหลายเห็นท่านผู้มีอายุนั้นมาแต่ไกล เพื่อต้องการจะทดลองท่านผู้มีอายุนั้น จึงทิ้งกำไม้กวาดหรือภาชนะสำหรับทิ้งหยากเยื่อไว้ข้างใน. เมื่อท่านผู้มีอายุนั้นมาถึง จึงกล่าวว่า อาวุโส ใครทิ้งสิ่งนี้ ในการกระทำนั้น เมื่อภิกษุบางพวกกล่าวว่า ท่านราหุลมาทางนี้. แต่ท่านราหุลนั้นไม่กล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ผมไม่รู้เรื่องนี้ กลับเก็บงำสิ่งนั้น แล้วขอขมาว่า ท่านผู้เจริญ ขอท่านทั้งหลายจงอดโทษแก่กระผม แล้วจึงไป. ท่านราหุลนี้เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษาอย่างนี้ ท่านราหุลนั้นอาศัยความเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษานั้นนั่นเอง จึงเข้าไปอยู่ในกุฏีนั้น. ครั้นเวลาก่อนอรุณทีเดียว พระศาสดาประทับยืนที่ประตูเวจกุฏี แล้วทรงพระกาสะ(ไอ) ขึ้น ส่วนท่านผู้มีอายุนั้น ก็ไอขึ้น. พระศาสดาตรัสถามว่า ใครนั่น? ท่านพระราหุลกราบทูลว่า ข้าพระองค์ราหุล แล้วออกมาถวายบังคม.
ปกิณณะวินัยที่ภิกษุควรรู้
ปกิณณะวินัยที่ภิกษุควรรู้
Kiat Chaloemkiat
285 มณิสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
285 มณิสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
ว่าด้วย ของดีใครทำลายไม่ได้ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภการสมาคมแห่งนางสุนทรี จึงตรัสเรื่องนี้ มี ดังนี้. ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ทรงได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขารเป็นปกติ. แม้ภิกษุสงฆ์ก็เป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรงและเป็นผู้ได้จีวรบิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขารเป็นปกติ. ฝ่ายพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก ใครๆ ไม่สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ไม่ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร. ได้ยินว่า เมื่อลาภสักการะประดุจห้วงน้ำใหญ่แห่งแม่น้ำใหญ่ ๕ สาย เกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ พวกอัญญเดียรถีย์เสื่อมลาภสักการะเป็นผู้อับรัศมี ประดุจหิ่งห้อยในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น จึงมาร่วมประชุมหารือกันว่า จำเดิมแต่พระสมณโคดมเกิดขึ้นแล้ว พวกเราเป็นผู้เสื่อมลาภสักการะ ใครๆ ย่อมไม่รู้แม้ความที่พวกเรามีอยู่ พระสมณโคดมถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภ พวกเราจะร่วมกับใครดีหนอ จึงจะยังโทษมิใช่คุณให้เกิดขึ้นแก่พระสมณโคดม ทำลาภสักการะของพระสมณโคดมนั้นให้อันตรธานไป. ลำดับนั้น พวกเดียรถีย์เหล่านั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า พวกเราร่วมกับนางสุนทรีจักสามารถทำได้. วันหนึ่ง พวกเดียรถีย์เหล่านั้นไม่พูดจากะนางสุนทรีผู้เข้าไปยังอารามของเดียรถีย์ ไหว้แล้วยืนอยู่. นางสุนทรีนั้นถึงจะพูดจาบ่อยๆ ก็ไม่ได้คำตอบ จึงถามว่า เออก็พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายถูกใครๆ เบียดเบียนหรือ? พวกอัญญเดียรถีย์กล่าวว่า น้องหญิง เธอไม่เห็นหรือ พระสมณโคดมเที่ยวเบียดเบียนพวกเรา กระทำให้เสื่อมลาภสักการะ. นางสุนทรีนั้นจึงกล่าวอย่างนี้ว่า ในเรื่องนี้ ดิฉันควรจะทำอย่างไร. อัญญเดียรถีย์ทั้งหลายกล่าวว่า น้องหญิง เจ้าแลเป็นผู้มีรูปร่างงดงาม ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยความงาม จงยกโทษมิใช่ยศขึ้นแก่พระสมณโคดม ให้มหาชนเชื่อถือคำของเจ้า แล้วกระทำให้เสื่อมลาภสักการะ. นางสุนทรีนั้นรับคำว่าได้ จึงไหว้แล้วหลีกไป.
382 สิริกาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
382 สิริกาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
ว่าด้วย สิริกับกาฬกรรณี พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภอนาถปิณฑิกเศรษฐี จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้ ความย่อว่า ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐีนั้น จำเดิมแต่เวลาได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว รักษาศีล ๕ ไม่มีขาด ทั้งภรรยา ทั้งบุตรธิดา ทั้งทาส ทั้งกรรมกรผู้ทำงานรับจ้างของท่านก็พากันรักษาศีลเหมือนกันหมดทุกคน. อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายตั้งเป็นเรื่องขึ้นในธรรมสภาว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อนาถปิณฑิกเศรษฐีทั้งตนเองก็สะอาด ทั้งบริวารก็สะอาดประพฤติธรรมอยู่. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลายนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ? เมื่อภิกษุกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่เพียงเดี๋ยวนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน โบราณกบัณฑิตทั้งหลายก็ได้เป็นผู้สะอาดเอง ทั้งเป็นผู้มีบริวารสะอาดด้วย ดังนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นพากันทูลขอ จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้
01 สโมธานกถา.pdf
01 สโมธานกถา.pdf
maruay songtanin
ทศบารมี พระโพธิสัตว์
๕๐. สัฏฐิกูฏเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๕๐. สัฏฐิกูฏเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภเปรตตนหนึ่ง ดังนี้. ได้ยินว่า ในอดีตกาล ในกรุงพาราณสี ยังมีบุรุษเปลี้ยคนหนึ่งเป็นผู้ฉลาดในการประกอบการดีดกรวด เขาถึงความสำเร็จในศิลปการดีดกรวดนั้น นั่งอยู่ที่โคนต้นไทรใกล้ประตูพระนคร แสดงรูปช้าง ม้า มนุษย์ รถ เรือนยอด ธงและหม้อน้ำเต็มเป็นต้นที่ใบไทรด้วยการดีดกรวด. พวกเด็กในพระนครให้ทรัพย์หนึ่งมาสกและกึ่งมาสก เพื่อประโยชน์แก่การเล่นของตน ให้เขาแสดงศิลปเหล่านั้นตามความชอบใจ ภายหลังวันหนึ่ง พระเจ้าพาราณสีเสด็จออกจากพระนครเข้าไปยังโคนต้นไทรนั้น เห็นการจำแนกรูปต่างๆ โดยเป็นรูปช้างเป็นต้นที่แนบสนิทอยู่ที่ใบไทร จึงตรัสถามพวกมนุษย์ว่า ใครหนอกระทำการจำแนกรูปต่างๆ อย่างนี้ที่ใบไทรเหล่านี้. พวกมนุษย์ชี้ให้ทอดพระเนตรบุรุษเปลี้ยนั้นแล้วทูลว่า บุรุษเปลี้ยนี้กระทำพระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งให้เรียกบุรุษเปลี้ยนั้นมาแล้วตรัสอย่างนี้ว่า แน่ะพนาย เธออาจเพื่อจะเอามูลแพะใส่ให้เต็มท้องของบุรุษคนหนึ่งผู้ที่เราชี้ให้ ผู้กล่าวอยู่กะพระราชานั้นนั่นแหละ ได้ไหมหนอ. บุรุษเปลี้ยทูลว่า ได้พระเจ้าข้า.
๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
เรื่องเปรตผู้เป็นบุตรเศรษฐีนี้ มีดังนี้. เรื่องนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร? พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระเชตวันกรุงสาวัตถี. ก็โดยสมัยนั้นแล พระเจ้าปัสเสนทิโกศลทรงประดับตกแต่งแล้วเสด็จขึ้นคอช้างเผือกประเสริฐ เสด็จเลียบพระนครด้วยราชฤทธิ์อันใหญ่ ด้วยราชานุภาพอันใหญ่ ทรงทอดพระเนตรเห็นแล้ว หญิงคนหนึ่งมีส่วนเปรียบด้วยนางเทพอัปสรเพราะสมบูรณ์ด้วยรูป เปิดหน้าต่างชั้นบนปราสาท ในเรือนหลังหนึ่งแลดูการตบแต่งองค์พระราชานั้น มีจิตกลุ้มรุมด้วยความฟุ้งแห่งกิเลสที่เกิดขึ้นโดยฉับพลันในอารมณ์ที่ไม่เคยเห็น แม้จะมีชนในพระราชวังผู้สมบูรณ์ด้วยคุณวิเศษมีตระกูล รูปและอาจาระเป็นต้น ก็มีจิตปฏิพัทธ์ในหญิงนั้น ด้วยอำนาจจิตที่ข่มได้ยาก เกิดเร็วดับเร็วเป็นสภาวะ จึงได้ให้สัญญาแก่บุรุษผู้นั่งอยู่หลังพระอาศน์ว่า เธอจงตรวจดูปราสาทนี้และหญิงนี้ แล้วเสด็จเข้าไปยังพระราชนิเวศน์.
๔๘. โภคสังหรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๘. โภคสังหรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
เรื่องนางโภคสังหรณเปรตนี้ มีดังนี้. เรื่องนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร? ได้ยินว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระเวฬุวันมหาวิหาร หญิง ๔ คนในกรุงราชคฤห์ ทำการค้าขายด้วยเนยใส น้ำผึ้ง น้ำมันและข้าวเปลือกเป็นต้นด้วยเครื่องนับโกงเป็นต้น รวบรวมโภคะเลี้ยงชีพโดยไม่แยบคาย. เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก หญิงเหล่านั้นไปบังเกิดเป็นนางเปรต อยู่ที่หลังคูนอกเมือง. ในเวลากลางคืน นางเปรตเหล่านั้นถูกความทุกข์เข้าครอบงำ ร้องบ่นเพ้อด้วยเสียงขรมน่าสะพึงกลัว ด้วยคาถาว่า
๔๗. อักขรุกขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๗. อักขรุกขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
เรื่องอักขทายกเปรตนี้ มีดังนี้. เรื่องนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร? เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี มีอุบาสกชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่งเอาเกวียนหลายเล่มบรรทุกสินค้าไปขายต่างประเทศ ขายสินค้าของตนในประเทศนั้นแล้ว ก็ซื้อเอาสินค้าต่างประเทศกลับมา เดินทางมุ่งไปกรุงสาวัตถี. เมื่ออุบาสกนั้นกำลังเดินทางเพลาเกวียนเล่มหนึ่งหักในดง. ลำดับนั้น บุรุษคนหนึ่งได้เอาผึ่งและขวานเพื่อจะตัดไม้ออกจากบ้านตน เที่ยวไปในป่าถึงที่นั้น พบอุบาสกนั้นผู้ถึงความโทมนัส เพราะเพลาเกวียนหัก จึงคิดว่า พ่อค้านี้มาลำบากในดง เพราะเพลาเกวียนหัก อาศัยความอนุเคราะห์ จึงตัดท่อนไม้มาดามเพลาเกวียนให้มั่นคงแล้วประกอบเกวียนให้ไป. สมัยต่อมา บุรุษนั้นทำกาละแล้ว บังเกิดเป็นภุมมเทวดาอยู่ในดงนั้นนั่นแหละ พิจารณาถึงกรรมของตน ในเวลาราตรีจึงไปเรือนของอุบาสกนั้น ยืนอยู่ที่ประตูเรือนกล่าวคาถาว่า
๔๖. อัมพวนเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๔๖. อัมพวนเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภอัมพเปรต ดังนี้. ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี มีคฤหบดีคนหนึ่งผู้เสื่อมสิ้นจากโภคสมบัติ. ภริยาของเขาก็ตาย ยังมีธิดาคนเดียวเท่านั้น. เขาได้ให้ธิดานั้นไปอยู่เรือนมิตรของตน เอาเงินที่ยืมมา ๑๐๐ กหาปณะไปซื้อสิ่งของ บรรทุกเกวียนไปค้าขาย ไม่นานนักก็ได้เงิน ๕๐๐ กหาปณะอันเป็นกำไรพร้อมทั้งต้นทุนแล้วกลับมาพร้อมด้วยเกวียน. ในระหว่างทาง พวกโจรดักซุ่มปล้นหมู่เกวียน. พวกหมู่เกวียนแตกกระจายหนีไป. ฝ่ายคฤหบดีนั้นซ่อนกหาปณะไว้ที่กอไม้แห่งหนึ่งแล้ว แอบอยู่ในที่ไม่ไกล. พวกโจรจับคฤหบดีนั้นฆ่าทิ้งเสีย. เพราะความโลภในทรัพย์ เขาจึงบังเกิดเป็นเปรตในที่นั้นนั่นเอง. พวกพ่อค้าไปยังกรุงสาวัตถี เล่าเรื่องนั้นให้ธิดาของเขาทราบ. ธิดานั้นเกิดโทมนัสอย่างยิ่ง ร่ำไรอย่างหนัก เพราะความตายของบิดา และเพราะภัยแห่งเลี้ยงชีพ.
๔๕. ปาฏลิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๕. ปาฏลิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภวิมานเปรตตนหนึ่ง ดังนี้ ได้ยินว่า พ่อค้าชาวกรุงสาวัตถีและชาวกรุงปาฏลีบุตรเป็นอันมาก แล่นเรือไปยังสุวรรณภูมิ. บรรดาพ่อค้าเหล่านั้น พ่อค้าคนหนึ่งเป็นอุบาสก เกิดป่วยไข้ มีจิตปฏิพัทธ์ในมาตุคาม ได้ทำกาละแล้ว. เขาแม้ได้ทำกุศลไว้ก็ไม่เข้าถึงเทวโลก เกิดเป็นวิมานเปรตในท่ามกลางมหาสมุทร เพราะเป็นผู้มีจิตปฏิพัทธ์ในหญิง. ก็หญิงที่เขามีจิตปฏิพัทธ์นั้น ขึ้นเรือไปยังสุวรรณภูมิ. ลำดับนั้น เปรตนั้นประสงค์จะจับหญิงนั้น จึงปิดกั้นไม่ให้เรือไป.
๔๔. คณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๔๔. คณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภเปรตเป็นอันมาก ดังนี้. ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี มนุษย์เป็นอันมาก เป็นคณะ ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส มีจิตถูกมลทินคือความตระหนี่กลุ้มรุม เป็นผู้เบือนหน้าต่อสุจริตมีทานเป็นต้น มีชีวิตอยู่นาน เพราะกายแตกตายไป จึงบังเกิดในกำเนิดเปรต ใกล้พระนคร. ภายหลังวันหนึ่ง ท่านพระมหาโมคคัลลานะกำลังเดินบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี เห็นพวกเปรตในระหว่างทาง จึงถามด้วยคาถาว่า
๔๓. คูถขาทกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๓. คูถขาทกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภนางเปรตผู้กินคูถตนหนึ่ง ดังนี้. เรื่องของนางเปรตนั้นเช่นกับเรื่องที่ติดต่อกันนั้น. ในเรื่องนั้นมาโดยอำนาจอุบาสกว่า อุบาสกได้สร้างวิหาร แต่ในเรื่องนี้มีความแปลกกันเท่านี้ว่า อุบาสิกาได้สร้างวิหาร.
๔๒. คูถขาทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๒. คูถขาทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดา ประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภคูถขาทกเปรตตนหนึ่ง ดังนี้. ได้ยินว่า ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ไกลแต่กรุงสาวัตถีนัก ยังมีกฎุมพีผู้หนึ่งสร้างวิหารอุทิศถวายภิกษุผู้เป็นชีต้นของตน, ภิกษุทั้งหลายมาจากชนบทต่างๆ อยู่อาศัยในวิหารหลังนั้น. มนุษย์ทั้งหลายเห็นภิกษุเหล่านั้นแล้ว มีจิตเลื่อมใส อุปัฏฐากด้วยปัจจัยอันประณีต. ภิกษุชีต้นอดทนปัจจัยนั้นไม่ได้ เป็นผู้ถูกความริษยาครอบงำ เมื่อจะกล่าวโทษของภิกษุเหล่านั้น จึงยกโทษกะกฎุมพี. กฎุมพีข่มขี่บริภาษภิกษุเหล่านั้น และภิกษุผู้เป็นชีต้น. ลำดับนั้น ภิกษุผู้เป็นชีต้นทำกาละแล้ว บังเกิดเป็นเปรตในเวจจกุฏี ในวัดนั่นเอง.
๔๑. ราชปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๑. ราชปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
maruay songtanin
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภเปรตราชบุตร ดังนี้ ในเรื่องนั้น ในอดีตกาล โอรสของพระเจ้ากิตวะ ผิดในพระปัจเจกพุทธเจ้าในอดีตไหม้ในนรกหลายพันปี ด้วยเศษแห่งวิบากของกรรมนั้นนั่นแหละ เขาจึงเกิดในหมู่เปรต ท่านประสงค์เอาว่า เปรตราชบุตร ในที่นี้. เรื่องของเปรตราชบุตรนั้นมาโดยพิสดารในเรื่องสานุวาสิเปรต ในหนหลังนั่นแล เพราะฉะนั้น ควรถือเอาโดยนัยที่กล่าวแล้วในเรื่องสานุวาสิเปรตนั่นเอง. จริงอยู่ ในกาลนั้น เมื่อพระเถระกล่าวประวัติของเปรตผู้เป็นญาติของตน พระศาสดาจึงตรัสว่า ไม่ใช่เปรตผู้เป็นญาติของท่านอย่างเดียวเท่านั้น โดยที่แท้ แม้ท่านก็จากโลกนี้ ไปเป็นเปรต เสวยทุกข์อย่างใหญ่ในอัตภาพ อันเป็นอดีตโดยลำดับ ดังนี้ อันพระเถระนั้นทูลอาราธนาแล้ว จึงตรัสเปตวัตถุนี้ว่า
๔๐. กุมารเปตวัต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ถ...
๔๐. กุมารเปตวัต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ถ...
maruay songtanin
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภเปรต ๒ ตน ดังนี้ ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี พระเจ้าโกศลมีพระโอรส ๒ พระองค์น่าเลื่อมใส กำลังอยู่ในปฐมวัย มัวเมาในความเป็นหนุ่ม กระทำกรรมคือคบหาภรรยาของคนอื่น ทำกาละแล้ว บังเกิดเป็นเปรตที่หลังคู. ในเวลากลางคืน เปรตเหล่านั้นพากันรำพันด้วยเสียงอันน่าสะพรึงกลัว. พวกมนุษย์ได้ฟังเสียงนั้น พากันสะดุ้งกลัว คิดว่า เมื่อพวกเราทำอย่างนี้ อวมงคลนี้ย่อมสงบ จึงพากันถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
๓๙. เรวตีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๓๙. เรวตีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
เรื่องนางเรวดีเปรตนี้ มีดังนี้. เพราะเหตุที่เรื่องนั้นไม่มีพิเศษไปกว่า เรวตีวิมานวัตถุ เพราะฉะนั้น คำใดที่ควรกล่าวในอัตถุปปัตติเหตุ และในคาถานั้น คำนั้นพึงทราบโดยนัยดังกล่าวในอรรถกถาวิมานวัตถุ ชื่อปรมัตถทีปนีนั่นแหละ. ก็เรื่องนี้ แม้พระสังคีติกาจารย์จะยกขึ้นสู่สังคายนาในบาลีวิมานวัตถุด้วยอำนาจนันทิยเทพบุตร ก็พึงทราบว่ายกขึ้นสู่สังคายนา แม้ในบาลีเปตวัตถุว่า เรวตีเปติวัตถุ ด้วยอำนาจคาถาที่เนื่องด้วยนางเรวดี
More Related Content
Similar to 508 ปัญจปัณฑิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
487 อุททาลกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
487 อุททาลกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
ว่าด้วย จรณธรรม พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระมหาวิหารเชตวัน ทรงพระปรารภภิกษุผู้หลอกลวงรูปหนึ่ง ตรัสเรื่องนี้ ดังนี้. เรื่องย่อมีว่า ภิกษุนั้น แม้บวชในพระศาสนาอันมีธรรม เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ได้แล้ว ก็ยังชอบประพฤติเรื่องหลอกลวง ๓ สถาน เพื่อต้องการปัจจัยทั้งสี่. ครั้งนั้น พวกภิกษุเมื่อจะประกาศโทษของเธอ ตั้งเรื่องสนทนากันในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุที่ชื่อโน้นบวชในพระศาสนา อันประกอบด้วยธรรมเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์เห็นปานนี้แล้ว ยังจะอาศัยการหลอกลวงเลี้ยงชีวิตอยู่เล่า. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อกี้ พวกเธอสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อพวกภิกษุกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อน เธอก็หลอกลวงเหมือนกัน ทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้.
200 สาธุสีลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
200 สาธุสีลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
ว่าด้วย เลือกเอาผู้มีศีล พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพราหมณ์คนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. ได้ยินว่า พราหมณ์นั้นมีลูกสาวสี่คน. มีชายสี่คนต้องการลูกสาวเหล่านั้น. ในชายสี่คนนั้น คนหนึ่งรูปงามร่างกายสมบูรณ์ คนหนึ่งอายุมากเป็นผู้ใหญ่ คนหนึ่งสมบูรณ์ด้วยชาติ คนหนึ่งมีศีล. พราหมณ์คิดว่า เมื่อจะปลูกฝังลูกสาว ควรจะให้แก่ใครหนอ ควรให้แก่คนรูปงามหรือ คนมีอายุ คนสมบูรณ์ด้วยชาติ และคนมีศีล คนใดคนหนึ่งดี แม้เขาจะพยายามคิด ก็ไม่รู้แน่ จึงคิดว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจักทรงทราบเหตุนี้ เราจักทูลถามพระองค์ แล้วยกลูกสาวให้แก่ผู้ที่สมควร ในระหว่างคนเหล่านั้น จึงได้ถือของหอมดอกไม้เป็นต้น ไปวิหาร ถวายบังคมพระศาสดา นั่ง ณ ส่วนหนึ่ง กราบทูลความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าตั้งแต่ต้น แล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ ควรจะให้แก่ใครในชายทั้งสี่เหล่านี้. พระศาสดาตรัสว่า แต่ปางก่อน บัณฑิตทั้งหลายก็ยังถามปัญหานี้แก่พระองค์ แต่เพราะยังอยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อของภพ จึงไม่อาจจดจำได้ เมื่อพราหมณ์ทูลอาราธนา จึงทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
220 ธัมมัทธชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
220 ธัมมัทธชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
ว่าด้วย ผู้ถึงธรรมของสัตบุรุษ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระเทวทัตพยายามปลงพระชนม์พระองค์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. ความย่อว่า พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวทัตพยายามฆ่าเรา ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้เมื่อก่อนก็พยายามฆ่าเราเหมือนกัน แต่ไม่อาจทำแม้เพียงความสะดุ้งสะเทือน จึงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
468 ชนสันธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
468 ชนสันธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
ว่าด้วย เหตุที่ทำจิตให้เดือดร้อน พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร มีพระพุทธประสงค์จะประทานโอวาทแก่พระเจ้าโกศล ตรัสพระธรรมเทศนานี้. ดังนี้. ความพิสดารว่า ในกาลครั้งหนึ่ง พระเจ้าโกศลทรงมัวเมาด้วยอิสริยยศหมกมุ่นอยู่ในความสุขที่เกิดแต่กิเลส ไม่ปรารถนาจะตัดสินคดี แม้การบำรุงพระพุทธเจ้า ก็ทรงลืมเสีย. วันหนึ่ง พระองค์ทรงระลึกถึงพระทศพล ทรงดำริว่าจักถวายบังคมพระศาสดา พอเสวยกระยาหารเช้าแล้ว เสด็จขึ้นพระราชยานไปพระวิหาร ถวายบังคมพระศาสดาแล้วประทับนั่ง ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะพระราชาว่า มหาบพิตร นานมาแล้ว พระองค์มิได้เสด็จมา เพราะเหตุไร. พระเจ้าโกศลทูลว่า เพราะข้าพระองค์มีราชกิจมากพระเจ้าข้า ไม่มีโอกาสที่จะมาเฝ้าพระองค์. ตรัสว่า มหาบพิตร เมื่อพระพุทธเจ้าผู้สัพพัญญูผู้ให้โอวาทเช่นเรา อยู่ในวิหารที่ใกล้ ไม่ควรที่พระองค์จะประมาท วิสัยพระราชาต้องไม่ประมาทในราชกิจทั้งหลาย ดำรงพระองค์เสมอด้วยมารดาบิดาของชาวแว่นแคว้น ละอคติเสียครองราชสมบัติโดยทศพิธราชธรรมจึงจะควร เพราะเมื่อพระราชาประพฤติธรรม แม้บริษัทของพระองค์ก็ประพฤติธรรม ข้อที่เมื่อเราตถาคตสั่งสอนอยู่ พระองค์ครองราชสมบัติโดยธรรมนั้นไม่น่าอัศจรรย์ โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย แม้ไม่มีอาจารย์สั่งสอนก็ยังตั้งอยู่ในสุจริตธรรมสามประการ แสดงธรรมแก่มหาชนตามความรู้ของตน พาบริษัทไปสวรรค์ได้. พระเจ้าโกศลทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องราว. พระพุทธองค์ทรงนำอดีตนิทานมาตรัสเล่า ดังต่อไปนี้.
๐๐๖.๐๔. สุดยอด วัตร ๑๔ หน้าแรกมีตาราง มี ๓๔ หน้า
๐๐๖.๐๔. สุดยอด วัตร ๑๔ หน้าแรกมีตาราง มี ๓๔ หน้า
watpadongyai
016 ติปัลลัตถมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
016 ติปัลลัตถมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
ว่าด้วยเล่ห์กลลวงพราน พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพทริการาม นครโกสัมพี ทรงปรารภพระราหุลเถระผู้ใคร่ต่อการศึกษา จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. ความพิศดารว่า กาลครั้งหนึ่ง เมื่อพระศาสดาเสด็จเข้าไปอาศัยเมืองอาฬวี ประทับอยู่ในอัคคาฬวเจดีย์ อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุและภิกษุณีจำนวนมากไปวิหารเพื่อฟังธรรม ตอนกลางวันมีการฟังธรรม. ก็แล เมื่อกาลเวลาล่วงไป อุบาสิกาและภิกษุณีทั้งหลายไม่ไป. มีแต่พวกภิกษุและอุบาสกทั้งหลาย ตั้งแต่นั้น จึงเกิดมีการฟังธรรมตอนกลางคืน ในเวลาเสร็จสิ้นการฟังธรรม ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพระเถระพากันไปยังที่อยู่ของตนๆ ภิกษุหนุ่มกับพวกอุบาสก นอนที่อุปัฏฐานศาลา คือโรงฉัน เมื่อพวกภิกษุหนุ่มและพวกอุบาสกเหล่านั้น เข้าถึงความหลับ บางคนนอนกรนเสียงครืดๆ นอนกัดฟัน บางคนนอนครู่เดียวแล้วลุกขึ้น พวกอุบาสกเห็นประการอันแปลกของภิกษุหนุ่ม จึงกราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ก็ภิกษุใดนอนร่วมกับอนุปสัมบัน ภิกษุนั้นต้องอาบัติปาจิตตีย์ ดังนี้แล้ว ได้เสด็จไปยังนครโกสัมพี ในข้อที่ทรงบัญญัติสิกขาบทนั้น ภิกษุทั้งหลายจึงกล่าวกะท่านราหุลว่า อาวุโสราหุล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว บัดนี้ ท่านจงรู้ที่อยู่ของตน. ก็เมื่อก่อน ภิกษุทั้งหลายได้สงเคราะห์ท่านราหุลนั้นผู้มายังที่อยู่ของตนๆ เป็นอย่างดี เพราะอาศัยความเคารพในพระผู้มีพระภาคเจ้า และความที่ท่านราหุลนั้นเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา ได้ลาดเตียงเล็ก ให้จีวรเพื่อหนุนศีรษะ แต่วันนั้น แม้ที่อยู่ก็ไม่ได้ให้แล้ว เพราะกลัวต่อสิกขาบท. ฝ่ายพระภัทรราหุลก็ไม่ไปยังสำนักของพระทศพล ด้วยคิดว่าเป็นพระบิดาของเรา หรือของพระธรรมเสนาบดี ด้วยคิดว่าเป็นอุปัชฌาย์ของเรา หรือของพระมหาโมคคัลลานะ ด้วยคิดว่าเป็นอาจารย์ของเรา หรือของท่านพระอานนท์ ด้วยคิดว่าเป็นอาของเรา ได้เข้าไปยังเวจกุฏีสำหรับถ่ายของพระทศพล ประดุจเข้าไปยังวิมานของพรหม สำเร็จการอยู่แล้ว. ก็ประตูกุฏีสำหรับใช้ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ปิดสนิทนั้น กระทำการประพรมด้วยธูปหอม มีพวงของหอมและพวงดอกไม้ห้อย ตามประทีปตลอดคืนยังรุ่ง. ก็พระภัทรราหุลอาศัยสมบัตินี้ของกุฏีนั้น จึงเข้าไปอยู่ในกุฏีนั้น อนึ่ง เพราะภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ท่านจงรู้ที่อยู่ และเพราะความเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา โดยเคารพในโอวาท จึงเข้าไปอยู่ในกุฏีนั้น ก็ในระหว่างๆ ภิกษุทั้งหลายเห็นท่านผู้มีอายุนั้นมาแต่ไกล เพื่อต้องการจะทดลองท่านผู้มีอายุนั้น จึงทิ้งกำไม้กวาดหรือภาชนะสำหรับทิ้งหยากเยื่อไว้ข้างใน. เมื่อท่านผู้มีอายุนั้นมาถึง จึงกล่าวว่า อาวุโส ใครทิ้งสิ่งนี้ ในการกระทำนั้น เมื่อภิกษุบางพวกกล่าวว่า ท่านราหุลมาทางนี้. แต่ท่านราหุลนั้นไม่กล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ผมไม่รู้เรื่องนี้ กลับเก็บงำสิ่งนั้น แล้วขอขมาว่า ท่านผู้เจริญ ขอท่านทั้งหลายจงอดโทษแก่กระผม แล้วจึงไป. ท่านราหุลนี้เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษาอย่างนี้ ท่านราหุลนั้นอาศัยความเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษานั้นนั่นเอง จึงเข้าไปอยู่ในกุฏีนั้น. ครั้นเวลาก่อนอรุณทีเดียว พระศาสดาประทับยืนที่ประตูเวจกุฏี แล้วทรงพระกาสะ(ไอ) ขึ้น ส่วนท่านผู้มีอายุนั้น ก็ไอขึ้น. พระศาสดาตรัสถามว่า ใครนั่น? ท่านพระราหุลกราบทูลว่า ข้าพระองค์ราหุล แล้วออกมาถวายบังคม.
ปกิณณะวินัยที่ภิกษุควรรู้
ปกิณณะวินัยที่ภิกษุควรรู้
Kiat Chaloemkiat
285 มณิสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
285 มณิสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
ว่าด้วย ของดีใครทำลายไม่ได้ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภการสมาคมแห่งนางสุนทรี จึงตรัสเรื่องนี้ มี ดังนี้. ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ทรงได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขารเป็นปกติ. แม้ภิกษุสงฆ์ก็เป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรงและเป็นผู้ได้จีวรบิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขารเป็นปกติ. ฝ่ายพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก ใครๆ ไม่สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ไม่ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร. ได้ยินว่า เมื่อลาภสักการะประดุจห้วงน้ำใหญ่แห่งแม่น้ำใหญ่ ๕ สาย เกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ พวกอัญญเดียรถีย์เสื่อมลาภสักการะเป็นผู้อับรัศมี ประดุจหิ่งห้อยในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น จึงมาร่วมประชุมหารือกันว่า จำเดิมแต่พระสมณโคดมเกิดขึ้นแล้ว พวกเราเป็นผู้เสื่อมลาภสักการะ ใครๆ ย่อมไม่รู้แม้ความที่พวกเรามีอยู่ พระสมณโคดมถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภ พวกเราจะร่วมกับใครดีหนอ จึงจะยังโทษมิใช่คุณให้เกิดขึ้นแก่พระสมณโคดม ทำลาภสักการะของพระสมณโคดมนั้นให้อันตรธานไป. ลำดับนั้น พวกเดียรถีย์เหล่านั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า พวกเราร่วมกับนางสุนทรีจักสามารถทำได้. วันหนึ่ง พวกเดียรถีย์เหล่านั้นไม่พูดจากะนางสุนทรีผู้เข้าไปยังอารามของเดียรถีย์ ไหว้แล้วยืนอยู่. นางสุนทรีนั้นถึงจะพูดจาบ่อยๆ ก็ไม่ได้คำตอบ จึงถามว่า เออก็พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายถูกใครๆ เบียดเบียนหรือ? พวกอัญญเดียรถีย์กล่าวว่า น้องหญิง เธอไม่เห็นหรือ พระสมณโคดมเที่ยวเบียดเบียนพวกเรา กระทำให้เสื่อมลาภสักการะ. นางสุนทรีนั้นจึงกล่าวอย่างนี้ว่า ในเรื่องนี้ ดิฉันควรจะทำอย่างไร. อัญญเดียรถีย์ทั้งหลายกล่าวว่า น้องหญิง เจ้าแลเป็นผู้มีรูปร่างงดงาม ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยความงาม จงยกโทษมิใช่ยศขึ้นแก่พระสมณโคดม ให้มหาชนเชื่อถือคำของเจ้า แล้วกระทำให้เสื่อมลาภสักการะ. นางสุนทรีนั้นรับคำว่าได้ จึงไหว้แล้วหลีกไป.
382 สิริกาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
382 สิริกาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
ว่าด้วย สิริกับกาฬกรรณี พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภอนาถปิณฑิกเศรษฐี จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้ ความย่อว่า ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐีนั้น จำเดิมแต่เวลาได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว รักษาศีล ๕ ไม่มีขาด ทั้งภรรยา ทั้งบุตรธิดา ทั้งทาส ทั้งกรรมกรผู้ทำงานรับจ้างของท่านก็พากันรักษาศีลเหมือนกันหมดทุกคน. อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายตั้งเป็นเรื่องขึ้นในธรรมสภาว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อนาถปิณฑิกเศรษฐีทั้งตนเองก็สะอาด ทั้งบริวารก็สะอาดประพฤติธรรมอยู่. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลายนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ? เมื่อภิกษุกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่เพียงเดี๋ยวนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน โบราณกบัณฑิตทั้งหลายก็ได้เป็นผู้สะอาดเอง ทั้งเป็นผู้มีบริวารสะอาดด้วย ดังนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นพากันทูลขอ จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้
01 สโมธานกถา.pdf
01 สโมธานกถา.pdf
maruay songtanin
ทศบารมี พระโพธิสัตว์
Similar to 508 ปัญจปัณฑิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
(10)
487 อุททาลกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
487 อุททาลกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
200 สาธุสีลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
200 สาธุสีลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
220 ธัมมัทธชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
220 ธัมมัทธชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
468 ชนสันธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
468 ชนสันธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๐๐๖.๐๔. สุดยอด วัตร ๑๔ หน้าแรกมีตาราง มี ๓๔ หน้า
๐๐๖.๐๔. สุดยอด วัตร ๑๔ หน้าแรกมีตาราง มี ๓๔ หน้า
016 ติปัลลัตถมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
016 ติปัลลัตถมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
ปกิณณะวินัยที่ภิกษุควรรู้
ปกิณณะวินัยที่ภิกษุควรรู้
285 มณิสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
285 มณิสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
382 สิริกาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
382 สิริกาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
01 สโมธานกถา.pdf
01 สโมธานกถา.pdf
More from maruay songtanin
๕๐. สัฏฐิกูฏเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๕๐. สัฏฐิกูฏเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภเปรตตนหนึ่ง ดังนี้. ได้ยินว่า ในอดีตกาล ในกรุงพาราณสี ยังมีบุรุษเปลี้ยคนหนึ่งเป็นผู้ฉลาดในการประกอบการดีดกรวด เขาถึงความสำเร็จในศิลปการดีดกรวดนั้น นั่งอยู่ที่โคนต้นไทรใกล้ประตูพระนคร แสดงรูปช้าง ม้า มนุษย์ รถ เรือนยอด ธงและหม้อน้ำเต็มเป็นต้นที่ใบไทรด้วยการดีดกรวด. พวกเด็กในพระนครให้ทรัพย์หนึ่งมาสกและกึ่งมาสก เพื่อประโยชน์แก่การเล่นของตน ให้เขาแสดงศิลปเหล่านั้นตามความชอบใจ ภายหลังวันหนึ่ง พระเจ้าพาราณสีเสด็จออกจากพระนครเข้าไปยังโคนต้นไทรนั้น เห็นการจำแนกรูปต่างๆ โดยเป็นรูปช้างเป็นต้นที่แนบสนิทอยู่ที่ใบไทร จึงตรัสถามพวกมนุษย์ว่า ใครหนอกระทำการจำแนกรูปต่างๆ อย่างนี้ที่ใบไทรเหล่านี้. พวกมนุษย์ชี้ให้ทอดพระเนตรบุรุษเปลี้ยนั้นแล้วทูลว่า บุรุษเปลี้ยนี้กระทำพระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งให้เรียกบุรุษเปลี้ยนั้นมาแล้วตรัสอย่างนี้ว่า แน่ะพนาย เธออาจเพื่อจะเอามูลแพะใส่ให้เต็มท้องของบุรุษคนหนึ่งผู้ที่เราชี้ให้ ผู้กล่าวอยู่กะพระราชานั้นนั่นแหละ ได้ไหมหนอ. บุรุษเปลี้ยทูลว่า ได้พระเจ้าข้า.
๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
เรื่องเปรตผู้เป็นบุตรเศรษฐีนี้ มีดังนี้. เรื่องนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร? พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระเชตวันกรุงสาวัตถี. ก็โดยสมัยนั้นแล พระเจ้าปัสเสนทิโกศลทรงประดับตกแต่งแล้วเสด็จขึ้นคอช้างเผือกประเสริฐ เสด็จเลียบพระนครด้วยราชฤทธิ์อันใหญ่ ด้วยราชานุภาพอันใหญ่ ทรงทอดพระเนตรเห็นแล้ว หญิงคนหนึ่งมีส่วนเปรียบด้วยนางเทพอัปสรเพราะสมบูรณ์ด้วยรูป เปิดหน้าต่างชั้นบนปราสาท ในเรือนหลังหนึ่งแลดูการตบแต่งองค์พระราชานั้น มีจิตกลุ้มรุมด้วยความฟุ้งแห่งกิเลสที่เกิดขึ้นโดยฉับพลันในอารมณ์ที่ไม่เคยเห็น แม้จะมีชนในพระราชวังผู้สมบูรณ์ด้วยคุณวิเศษมีตระกูล รูปและอาจาระเป็นต้น ก็มีจิตปฏิพัทธ์ในหญิงนั้น ด้วยอำนาจจิตที่ข่มได้ยาก เกิดเร็วดับเร็วเป็นสภาวะ จึงได้ให้สัญญาแก่บุรุษผู้นั่งอยู่หลังพระอาศน์ว่า เธอจงตรวจดูปราสาทนี้และหญิงนี้ แล้วเสด็จเข้าไปยังพระราชนิเวศน์.
๔๘. โภคสังหรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๘. โภคสังหรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
เรื่องนางโภคสังหรณเปรตนี้ มีดังนี้. เรื่องนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร? ได้ยินว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระเวฬุวันมหาวิหาร หญิง ๔ คนในกรุงราชคฤห์ ทำการค้าขายด้วยเนยใส น้ำผึ้ง น้ำมันและข้าวเปลือกเป็นต้นด้วยเครื่องนับโกงเป็นต้น รวบรวมโภคะเลี้ยงชีพโดยไม่แยบคาย. เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก หญิงเหล่านั้นไปบังเกิดเป็นนางเปรต อยู่ที่หลังคูนอกเมือง. ในเวลากลางคืน นางเปรตเหล่านั้นถูกความทุกข์เข้าครอบงำ ร้องบ่นเพ้อด้วยเสียงขรมน่าสะพึงกลัว ด้วยคาถาว่า
๔๗. อักขรุกขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๗. อักขรุกขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
เรื่องอักขทายกเปรตนี้ มีดังนี้. เรื่องนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร? เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี มีอุบาสกชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่งเอาเกวียนหลายเล่มบรรทุกสินค้าไปขายต่างประเทศ ขายสินค้าของตนในประเทศนั้นแล้ว ก็ซื้อเอาสินค้าต่างประเทศกลับมา เดินทางมุ่งไปกรุงสาวัตถี. เมื่ออุบาสกนั้นกำลังเดินทางเพลาเกวียนเล่มหนึ่งหักในดง. ลำดับนั้น บุรุษคนหนึ่งได้เอาผึ่งและขวานเพื่อจะตัดไม้ออกจากบ้านตน เที่ยวไปในป่าถึงที่นั้น พบอุบาสกนั้นผู้ถึงความโทมนัส เพราะเพลาเกวียนหัก จึงคิดว่า พ่อค้านี้มาลำบากในดง เพราะเพลาเกวียนหัก อาศัยความอนุเคราะห์ จึงตัดท่อนไม้มาดามเพลาเกวียนให้มั่นคงแล้วประกอบเกวียนให้ไป. สมัยต่อมา บุรุษนั้นทำกาละแล้ว บังเกิดเป็นภุมมเทวดาอยู่ในดงนั้นนั่นแหละ พิจารณาถึงกรรมของตน ในเวลาราตรีจึงไปเรือนของอุบาสกนั้น ยืนอยู่ที่ประตูเรือนกล่าวคาถาว่า
๔๖. อัมพวนเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๔๖. อัมพวนเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภอัมพเปรต ดังนี้. ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี มีคฤหบดีคนหนึ่งผู้เสื่อมสิ้นจากโภคสมบัติ. ภริยาของเขาก็ตาย ยังมีธิดาคนเดียวเท่านั้น. เขาได้ให้ธิดานั้นไปอยู่เรือนมิตรของตน เอาเงินที่ยืมมา ๑๐๐ กหาปณะไปซื้อสิ่งของ บรรทุกเกวียนไปค้าขาย ไม่นานนักก็ได้เงิน ๕๐๐ กหาปณะอันเป็นกำไรพร้อมทั้งต้นทุนแล้วกลับมาพร้อมด้วยเกวียน. ในระหว่างทาง พวกโจรดักซุ่มปล้นหมู่เกวียน. พวกหมู่เกวียนแตกกระจายหนีไป. ฝ่ายคฤหบดีนั้นซ่อนกหาปณะไว้ที่กอไม้แห่งหนึ่งแล้ว แอบอยู่ในที่ไม่ไกล. พวกโจรจับคฤหบดีนั้นฆ่าทิ้งเสีย. เพราะความโลภในทรัพย์ เขาจึงบังเกิดเป็นเปรตในที่นั้นนั่นเอง. พวกพ่อค้าไปยังกรุงสาวัตถี เล่าเรื่องนั้นให้ธิดาของเขาทราบ. ธิดานั้นเกิดโทมนัสอย่างยิ่ง ร่ำไรอย่างหนัก เพราะความตายของบิดา และเพราะภัยแห่งเลี้ยงชีพ.
๔๕. ปาฏลิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๕. ปาฏลิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภวิมานเปรตตนหนึ่ง ดังนี้ ได้ยินว่า พ่อค้าชาวกรุงสาวัตถีและชาวกรุงปาฏลีบุตรเป็นอันมาก แล่นเรือไปยังสุวรรณภูมิ. บรรดาพ่อค้าเหล่านั้น พ่อค้าคนหนึ่งเป็นอุบาสก เกิดป่วยไข้ มีจิตปฏิพัทธ์ในมาตุคาม ได้ทำกาละแล้ว. เขาแม้ได้ทำกุศลไว้ก็ไม่เข้าถึงเทวโลก เกิดเป็นวิมานเปรตในท่ามกลางมหาสมุทร เพราะเป็นผู้มีจิตปฏิพัทธ์ในหญิง. ก็หญิงที่เขามีจิตปฏิพัทธ์นั้น ขึ้นเรือไปยังสุวรรณภูมิ. ลำดับนั้น เปรตนั้นประสงค์จะจับหญิงนั้น จึงปิดกั้นไม่ให้เรือไป.
๔๔. คณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๔๔. คณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภเปรตเป็นอันมาก ดังนี้. ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี มนุษย์เป็นอันมาก เป็นคณะ ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส มีจิตถูกมลทินคือความตระหนี่กลุ้มรุม เป็นผู้เบือนหน้าต่อสุจริตมีทานเป็นต้น มีชีวิตอยู่นาน เพราะกายแตกตายไป จึงบังเกิดในกำเนิดเปรต ใกล้พระนคร. ภายหลังวันหนึ่ง ท่านพระมหาโมคคัลลานะกำลังเดินบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี เห็นพวกเปรตในระหว่างทาง จึงถามด้วยคาถาว่า
๔๓. คูถขาทกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๓. คูถขาทกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภนางเปรตผู้กินคูถตนหนึ่ง ดังนี้. เรื่องของนางเปรตนั้นเช่นกับเรื่องที่ติดต่อกันนั้น. ในเรื่องนั้นมาโดยอำนาจอุบาสกว่า อุบาสกได้สร้างวิหาร แต่ในเรื่องนี้มีความแปลกกันเท่านี้ว่า อุบาสิกาได้สร้างวิหาร.
๔๒. คูถขาทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๒. คูถขาทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดา ประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภคูถขาทกเปรตตนหนึ่ง ดังนี้. ได้ยินว่า ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ไกลแต่กรุงสาวัตถีนัก ยังมีกฎุมพีผู้หนึ่งสร้างวิหารอุทิศถวายภิกษุผู้เป็นชีต้นของตน, ภิกษุทั้งหลายมาจากชนบทต่างๆ อยู่อาศัยในวิหารหลังนั้น. มนุษย์ทั้งหลายเห็นภิกษุเหล่านั้นแล้ว มีจิตเลื่อมใส อุปัฏฐากด้วยปัจจัยอันประณีต. ภิกษุชีต้นอดทนปัจจัยนั้นไม่ได้ เป็นผู้ถูกความริษยาครอบงำ เมื่อจะกล่าวโทษของภิกษุเหล่านั้น จึงยกโทษกะกฎุมพี. กฎุมพีข่มขี่บริภาษภิกษุเหล่านั้น และภิกษุผู้เป็นชีต้น. ลำดับนั้น ภิกษุผู้เป็นชีต้นทำกาละแล้ว บังเกิดเป็นเปรตในเวจจกุฏี ในวัดนั่นเอง.
๔๑. ราชปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๑. ราชปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
maruay songtanin
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภเปรตราชบุตร ดังนี้ ในเรื่องนั้น ในอดีตกาล โอรสของพระเจ้ากิตวะ ผิดในพระปัจเจกพุทธเจ้าในอดีตไหม้ในนรกหลายพันปี ด้วยเศษแห่งวิบากของกรรมนั้นนั่นแหละ เขาจึงเกิดในหมู่เปรต ท่านประสงค์เอาว่า เปรตราชบุตร ในที่นี้. เรื่องของเปรตราชบุตรนั้นมาโดยพิสดารในเรื่องสานุวาสิเปรต ในหนหลังนั่นแล เพราะฉะนั้น ควรถือเอาโดยนัยที่กล่าวแล้วในเรื่องสานุวาสิเปรตนั่นเอง. จริงอยู่ ในกาลนั้น เมื่อพระเถระกล่าวประวัติของเปรตผู้เป็นญาติของตน พระศาสดาจึงตรัสว่า ไม่ใช่เปรตผู้เป็นญาติของท่านอย่างเดียวเท่านั้น โดยที่แท้ แม้ท่านก็จากโลกนี้ ไปเป็นเปรต เสวยทุกข์อย่างใหญ่ในอัตภาพ อันเป็นอดีตโดยลำดับ ดังนี้ อันพระเถระนั้นทูลอาราธนาแล้ว จึงตรัสเปตวัตถุนี้ว่า
๔๐. กุมารเปตวัต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ถ...
๔๐. กุมารเปตวัต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ถ...
maruay songtanin
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภเปรต ๒ ตน ดังนี้ ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี พระเจ้าโกศลมีพระโอรส ๒ พระองค์น่าเลื่อมใส กำลังอยู่ในปฐมวัย มัวเมาในความเป็นหนุ่ม กระทำกรรมคือคบหาภรรยาของคนอื่น ทำกาละแล้ว บังเกิดเป็นเปรตที่หลังคู. ในเวลากลางคืน เปรตเหล่านั้นพากันรำพันด้วยเสียงอันน่าสะพรึงกลัว. พวกมนุษย์ได้ฟังเสียงนั้น พากันสะดุ้งกลัว คิดว่า เมื่อพวกเราทำอย่างนี้ อวมงคลนี้ย่อมสงบ จึงพากันถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
๓๙. เรวตีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๓๙. เรวตีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
เรื่องนางเรวดีเปรตนี้ มีดังนี้. เพราะเหตุที่เรื่องนั้นไม่มีพิเศษไปกว่า เรวตีวิมานวัตถุ เพราะฉะนั้น คำใดที่ควรกล่าวในอัตถุปปัตติเหตุ และในคาถานั้น คำนั้นพึงทราบโดยนัยดังกล่าวในอรรถกถาวิมานวัตถุ ชื่อปรมัตถทีปนีนั่นแหละ. ก็เรื่องนี้ แม้พระสังคีติกาจารย์จะยกขึ้นสู่สังคายนาในบาลีวิมานวัตถุด้วยอำนาจนันทิยเทพบุตร ก็พึงทราบว่ายกขึ้นสู่สังคายนา แม้ในบาลีเปตวัตถุว่า เรวตีเปติวัตถุ ด้วยอำนาจคาถาที่เนื่องด้วยนางเรวดี
๓๘. นันทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๓๘. นันทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
เรื่องนันทกเปรตนี้ มีดังนี้. การอุบัติขึ้นของเรื่องนั้นเป็นอย่างไร? นับแต่พระศาสดาปรินิพพานล่วงไปได้ ๒๐๐ ปี ในสุรัฐวิสัย ได้มีพระราชาพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า ปิงคละ. เสนาบดีของพระราชานั้น ชื่อว่านันทกะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความผิดแปลก เที่ยวยกย่องการถือผิดๆ โดยนัยมีอาทิว่า ทานที่ทายกถวายแล้ว ไม่มีผล ดังนี้. ธิดาของนายนันทกะนั้นเป็นอุบาสิกาชื่อว่าอุตตรา เขาได้ยกให้แต่งงานในตระกูลที่เสมอกัน. ฝ่ายนันทกเสนาบดีทำกาละแล้ว บังเกิดเป็นเวมานิกเปรตที่ต้นไทรใหญ่ ในดงไฟไหม้. เมื่อนันทกเสนาบดีนั้นทำกาละแล้ว นางอุตตราได้ถวายหม้อน้ำดื่มเต็มด้วยน้ำหอมสะอาดและเยือกเย็น และขันอันเต็มด้วยขนม เพียบพร้อมด้วยสีกลิ่นและรสที่ปรุงด้วยขนมกุมมาส แด่พระขีณาสพเถระรูปหนึ่ง แล้วอุทิศว่า ขอทักษิณานี้จงสำเร็จแก่บิดาของเราเถิด. น้ำดื่มอันเป็นทิพย์ และขนมอันหาประมาณมิได้ ปรากฏแก่เปรตนั้น เพราะทานนั้น.
๓๗. เสรีสกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๓๗. เสรีสกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
เรื่องเสรีสกเปรตนี้ มีดังนี้. เพราะเหตุที่เรื่องนั้นไม่พิเศษไปกว่าเรื่องเสรีสกวิมาน ฉะนั้น คำที่ควรจะกล่าวในอัตถุปปัตติเหตุและในคาถานั้น พระอรรถกถาจารย์ได้กล่าวไว้แล้วในอรรถกถาวิมานวัตถุ ชื่อปรมัตถทีปนี ฉะนั้น พึงทราบโดยนัยที่ได้กล่าวไว้แล้ว ในอรรถกถาวิมานวัตถุนั้น ฉะนี้แล
๓๖. อัมพสักขรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๓๖. อัมพสักขรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
เรื่องอัมพสักขรเปรตนี้ มีดังนี้. เรื่องนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร เจ้าลิจฉวีนามว่าอัมพสักขระ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นนัตถิกวาทะ ครองราชย์ในเมืองเวสาลี. ก็สมัยนั้น ในพระนครเวสาลี มีเปือกตมอยู่ในที่ใกล้ร้านตลาดของพ่อค้าคนหนึ่ง. ชนเป็นอันมากในที่นั้นโดดข้ามไปลำบาก บางคนเปื้อนโคลน. พ่อค้านั้นเห็นดังนั้นจึงคิดว่า คนเหล่านี้อย่าเหยียบเปือกตม จึงให้นำกระดูกศีรษะโคอันมีส่วนเปรียบด้วยสีสังข์ปราศจากกลิ่นเหม็น มาวางทอดไว้. ก็ตามปกติ เขาเป็นคนมีศีล ไม่มักโกรธ มีวาจาอ่อนหวาน และระบุถึงคุณตามความเป็นจริงของคนเหล่าอื่น. วันนั้น เมื่อสหายของตนอาบน้ำ ไม่แลดูด้วยความเลินเล่อ เขาจึงซ่อนผ้านุ่งไว้ด้วยความประสงค์จะล้อเล่น ทำให้เขาลำบากเสียก่อนจึงได้ให้ไป. ก็หลานของเขาขโมยภัณฑะมาจากเรือนของคนอื่น แล้วทิ้งไว้ที่ร้านของเขานั่นเอง. เจ้าของภัณฑะเมื่อตรวจดู จึงแสดงหลานของเขาและตัวเขาพร้อมทั้งภัณฑะแก่พระราชา. พระราชาสั่งบังคับว่า พวกท่านจงตัดศีรษะผู้นี้ ส่วนหลานของเขาจงเสียบหลาวไว้. พวกราชบุรุษได้กระทำดังนั้น. เขาทำกาละแล้วเกิดในภุมเทพ ได้เฉพาะม้าอาชาไนยทิพ มีสีขาว มีความเร็วทันใจ เพราะเอาศีรษะโคทำสะพาน และเพราะการกล่าวสรรเสริญคุณของผู้มีคุณ กลิ่นทิพจึงฟุ้งออกจากกายของเขา แต่เขาได้เป็นผู้เปลือยกาย เพราะเก็บผ้าสาฎกซ่อนไว้.
๓๕. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๓๕. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
maruay songtanin
เรื่องแห่งเปรตผู้ติเตียนพระธาตุนี้ มีดังนี้. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพาน ในระหว่างนางรังทั้งคู่ ณ สาลวโนทยานแห่งมัลลกษัตริย์อันเป็นที่แวะเวียน ในกรุงกุสินารา และทำการจำแนกพระธาตุ พระเจ้าอชาตสัตตุทรงถือเอาการส่วนพระธาตุที่พระองค์ได้ ทรงระลึกถึงพระพุทธคุณ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วันแล้วให้การบูชาอันโอฬารเป็นไป. พวกมนุษย์ในที่นั้นนับไม่ได้ประมาณไม่ได้ พากันทำจิตให้เลื่อมใส ได้เข้าถึงสวรรค์. ก็บุรุษประมาณ ๘๖,๐๐๐ คนในที่นั้นมีจิตวิปปลาส เพราะความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา และเพราะความเห็นผิดที่ตนให้เกิดตลอดกาลนาน ประทุษร้ายจิตของตนแม้ในฐานะอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส แล้วเกิดในหมู่เปรต. ภรรยา ธิดา ลูกสะใภ้ของกุฏมพีผู้เพียบพร้อมด้วยสมบัติคนหนึ่ง ในกรุงราชคฤห์นั้นนั่นเอง มีจิตเลื่อมใส พากันคิดว่าจักถวายบูชาพระธาตุ จึงถือเอาสักการะมีของหอมและดอกไม้เป็นต้น เริ่มไปยังที่บรรจุพระธาตุ. กฎุมพีนั้นคิดว่าจะประโยชน์อะไรด้วยการบูชากระดูก จึงดูหมิ่นพระธาตุเหล่านั้น ติเตียนการบูชาพระธาตุ. หญิงเหล่านั้นก็ไม่เชื่อคำของกฎุมพีนั้น พากันไปในที่นั้นกระทำการบูชาพระธาตุ. มายังเรือนถูกโรคเช่นนั้นครอบงำ ไม่นานนักก็ทำกาละไปบังเกิดในเทวโลก. ส่วนกฎุมพีนั้นถูกความโกรธครอบงำ ไม่นานนักทำกาละแล้ว ไปบังเกิดในหมู่เปรตเพราะบาปกรรมนั้น.
๓๔. กูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับม...
๓๔. กูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับม...
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภเปรตผู้วินิจฉัยโกง ดังนี้. ในกาลนั้น พระเจ้าพิมพิสารเข้าจำอุโบสถเดือนละ ๖ วัน มนุษย์เป็นอันมากคล้อยตามท้าวเธอ จึงพากันเข้าจำอุโบสถ. พระราชาตรัสถามพวกมนุษย์ผู้มายังสำนักของพระองค์ว่า พวกเธอเข้าจำอุโบสถหรือ หรือว่าไม่เข้าจำ. ในบรรดามนุษย์เหล่านั้นผู้พิพากษาตัดสินความคนหนึ่ง เป็นผู้มีวาจาส่อเสียด เป็นผู้หลอกลวง ผู้รับเอาสินบน ไม่อดกลั้นเพื่อจะกล่าวว่า หม่อมฉันไม่ได้เข้าจำอุโบสถ แต่กราบทูลว่า หม่อมฉันเข้าจำอุโบสถพระเจ้าข้า. ลำดับนั้น สหายจึงกล่าวกะเธอผู้ออกจากที่ใกล้พระราชา สหายวันนี้ ท่านเข้าจำอุโบสถหรือ? เขาตอบว่า สหายเอ๋ย เพราะความกลัว ผมจึงกราบทูลอย่างนั้นต่อพระพักตร์พระราชา แต่ผมไม่ได้เข้าจำอุโบสถ. ลำดับนั้น สหายจึงกล่าวกะเธอว่า ถ้าเมื่อเป็นเช่นนั้น อันดับแรกเธอจงรักษาอุโบสถกึ่งวัน ในวันนี้ เธอจงสมาทานองค์อุโบสถเถิด. เธอรับคำของสหายนั้นแล้วไปยังเรือน ไม่บริโภคเลย บ้วนปากอธิษฐานอุโบสถ เข้าจำอยู่ในกลางคืน ถูกความเสียดแทงอันมีพลังลมเป็นต้นเหตุซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากท้องว่าง เข้าตัดอายุสังขาร ถัดจากจุติก็ไปบังเกิดเป็นเวมานิกเปรตในท้องภูเขา.
๓๓. ทุติยมิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๓๓. ทุติยมิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
maruay songtanin
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภมิคลุททกเปรตอีกตนหนึ่ง ดังนี้. ได้ยินว่า ในกรุงราชคฤห์ มาณพชื่อว่ามาควิกะคนหนึ่ง แม้เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยสมบัติ ก็ละโภคสุข ออกเที่ยวล่าเนื้อตลอดทั้งคืนและวัน. อุบาสกคนหนึ่งผู้เป็นสหายของเธอ อาศัยความเอ็นดูจึงให้โอวาทว่า ดีละสหาย เธอจงงดเว้นจากปาณาติบาต เธออย่าได้มี เพื่อสิ่งอันมิใช่ประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนานเลย. เธอหาได้เอื้อเฟื้อโอวาทนั้นไม่. ลำดับนั้น อุบาสกนั้นจึงขอร้องพระขีณาสพเถระซึ่งเป็นที่เจริญใจแห่งตนรูปหนึ่งว่า ดีละ พระผู้เป็นเจ้า ขอท่านจงแสดงธรรมแก่บุรุษชื่อโน้น โดยประการที่เธอจะพึงงดเว้นจากปาณาติบาต. ภายหลังวันหนึ่ง พระเถระนั้นเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ได้หยุดยืนที่ประตูเรือนของเธอ. มาควิกะนั้นเห็นท่านแล้ว เกิดมีความนับถือมาก ต้อนรับให้เข้าไปสู่เรือน ได้ตกแต่งอาสนะถวาย. พระเถระนั่งบนอาสนะที่ตกแต่งไว้แล้ว. ฝ่ายมาณพนั้นก็เข้าไปหาพระเถระนั่งแล้ว. พระเถระประกาศโทษในปาณาติบาต และอานิสงส์ในการงดเว้นจากปาณาติบาตนั้นแก่เธอ. เธอแม้ฟังดังนั้นแล้ว ก็ไม่ปรารถนาจะงดเว้นจากปาณาติบาตนั้น. ลำดับนั้น พระเถระจึงกล่าวกะเธอว่า คุณ ถ้าคุณไม่สามารถจะงดเว้นโดยประการทั้งปวงได้ไซร้ อันดับแรก เธอก็จงงดเว้นแม้ในกลางคืนเถอะ. เธอรับคำแล้วว่าจะงดเว้นในเวลากลางคืน แล้วจึงงดเว้นจากปาณาติบาตนั้น.
๓๒. มิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๓๒. มิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภมิคลุททกเปรต ดังนี้. ได้ยินว่า ในกรุงราชคฤห์ ยังมีพรานคนหนึ่งเที่ยวล่าเนื้อเลี้ยงชีพตลอดคืนและวัน. พรานนั้นได้มีอุบาสกคนหนึ่งเป็นมิตร. อุบาสกนั้น เมื่อไม่อาจจะให้นายพรานนั้นกลับจากความชั่วตลอดกาลได้ จึงชักชวนในการบุญตอนราตรีว่า มาเถอะสหาย ท่านจงงดเว้นจากปาณาติบาตในตอนกลางคืน. เขางดเว้นในตอนกลางคืน กระทำปาณาติบาตในตอนกลางวันเท่านั้น. สมัยต่อมา เขาทำกาละแล้ว บังเกิดเป็นเวมานิกเปรต ใกล้กรุงราชคฤห์ เสวยทุกข์อย่างใหญ่ตลอดส่วนกลางวัน เพียบพร้อม พรั่งพร้อมบำเรอด้วยกามคุณ ๕ ในกลางคืน.
๓๑. เสริณีเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๓๑. เสริณีเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
maruay songtanin
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภนางเสรินีเปรต ดังนี้. ได้ยินว่า ในหัตถินีบุรี ในแคว้นกุรุรัฐ มีหญิงคนหนึ่งชื่อว่าเสรินี ได้เป็นผู้อาศัยรูปเลี้ยงชีวิต. ก็ภิกษุทั้งหลายจากที่นั้นๆ ได้มาประชุมกันในหัตถินีบุรีนั้น เพื่อต้องการทำอุโบสถ. ได้มีภิกษุจำนวนมากมาประชุมกันอีก. มนุษย์ทั้งหลายเห็นดังนั้นจึงจัดเตรียมเครื่องอุปกรณ์ในการบำเพ็ญทานเป็นอันมาก มีเมล็ดงาและข้าวสารเป็นต้น และมีเนยใส เนยข้นและน้ำผึ้งเป็นต้น บำเพ็ญมหาทาน. ก็สมัยนั้น นางคณิกาคนนั้นไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส จิตถูกกลุ้มรุมด้วยมลทินคือความตระหนี่ แม้จะถูกพวกมนุษย์เหล่านั้นให้กำลังใจว่า มาซิเธอ ก่อนอื่นจงอนุโมทนาทานนี้ ก็ประกาศยืนยันความไม่เลื่อมใสแก่มนุษย์เหล่านั้นว่า จะประโยชน์อะไรด้วยทานที่ให้แก่พวกสมณะโล้น การบริจาคสิ่งของมีประมาณเล็กน้อยจักมีแต่ไหน. สมัยต่อมา นางทำกาละแล้ว บังเกิดเป็นเปรตที่หลังคูแห่งปัจจันตนครแห่งหนึ่ง.
More from maruay songtanin
(20)
๕๐. สัฏฐิกูฏเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๕๐. สัฏฐิกูฏเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๘. โภคสังหรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๘. โภคสังหรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๗. อักขรุกขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๗. อักขรุกขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๖. อัมพวนเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๔๖. อัมพวนเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๔๕. ปาฏลิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๕. ปาฏลิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๔. คณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๔๔. คณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๔๓. คูถขาทกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๓. คูถขาทกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๒. คูถขาทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๒. คูถขาทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๑. ราชปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๑. ราชปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๐. กุมารเปตวัต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ถ...
๔๐. กุมารเปตวัต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ถ...
๓๙. เรวตีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๓๙. เรวตีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๓๘. นันทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๓๘. นันทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๓๗. เสรีสกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๓๗. เสรีสกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๓๖. อัมพสักขรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๓๖. อัมพสักขรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๓๕. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๓๕. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๓๔. กูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับม...
๓๔. กูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับม...
๓๓. ทุติยมิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๓๓. ทุติยมิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๓๒. มิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๓๒. มิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๓๑. เสริณีเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๓๑. เสริณีเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
508 ปัญจปัณฑิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
1.
1 ปัญจปัณฑิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่
๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ ๑๒. ปัญจปัณฑิตชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๕๐๘) ว่าด้วยบัณฑิต ๕ คน (พระราชาทรงรับที่จะทดลองมโหสธบัณฑิต จึงตรัสสั่งว่า) [๓๑๕] ท่านบัณฑิตทั้ง ๕ มากันพร้อมแล้ว ปัญหาแจ่มแจ้งแก่เรา ขอพวกท่านจงสดับ เรื่องที่ควรติเตียนก็ดี เรื่องที่ควรสรรเสริญก็ดี ซึ่งเป็ นความลับของเรา ควรเปิดเผยแก่ใครดี (เสนกบัณฑิตกราบทูลว่า) [๓๑๖] ขอเดชะพระภูมิบาล ขอพระองค์ทรงเปิดเผยก่อน พระองค์ทรงชุบเลี้ยงข้าพระพุทธเจ้า ทรงอดกลั้นต่อภาระอันหนัก โปรดแถลงเนื้อความก่อน ขอเดชะพระองค์ผู้จอมชน นักปราชญ์ทั้ง ๕ พิจารณา สิ่งที่พอพระทัยและสิ่งที่ถูกพระอัธยาศัยของพระองค์แล้ว จะกราบทูลต่อภายหลัง (ลาดับนั้น พระราชาตรัสคาถานี้ด้วยความที่พระองค์ทรงตกอยู่ในอานาจกิเลสว่า) [๓๑๗] บุคคลควรเปิดเผยเรื่องที่ควรติเตียนก็ดี เรื่องที่ควรสรรเสริญก็ดี ซึ่งเป็ นความลับ แก่ภรรยาผู้มีศีล ไม่นอกใจสามี คล้อยตามอานาจความพอใจของสามี เป็นที่รักที่โปรดปรานของสามี (แต่นั้น เสนกบัณฑิตยินดีแล้วเมื่อจะแสดงเหตุที่ตนทาไว้เอง จึงกราบทูลว่า) [๓๑๘] บุคคลควรเปิดเผยเรื่องที่ควรติเตียนก็ดี เรื่องที่ควรสรรเสริญก็ดี ซึ่งเป็ นความลับ แก่เพื่อนผู้เป็ นที่พึ่งที่พานัก และผู้เป็นทางดาเนินของเพื่อนผู้ตกยากทุรนทุรายได้ (ปุกกุสบัณฑิตถูกพระราชาตรัสถาม จึงกราบทูลว่า) [๓๑๙] บุคคลพึงเปิดเผยเรื่องที่ควรติเตียนก็ดี เรื่องที่ควรสรรเสริญก็ดี ซึ่งเป็ นความลับ แก่พี่ชายคนโต คนกลาง หรือแก่น้องชาย ผู้มีศีลตั้งมั่น มีตนมั่นคง (กามินทบัณฑิตถูกพระราชาตรัสถาม จึงกราบทูลว่า) [๓๒๐] บุคคลพึงเปิดเผยเรื่องที่ควรติเตียนก็ดี เรื่องที่ควรสรรเสริญก็ดี ซึ่งเป็ นความลับ แก่บุตรผู้ปรนนิบัติรับใช้บิดา ผู้เป็นอนุชาตบุตรคล้อยตามบิดา มีปัญญาไม่ต่าทราม (เทวินทบัณฑิตถูกพระราชาตรัสถาม จึงกราบทูลว่า)
2.
2 [๓๒๑] ขอเดชะพระองค์ผู้จอมชน ประเสริฐกว่ามนุษย์ทั้งหลาย บุคคลพึงเปิดเผยเรื่องที่ควรติเตียนก็ดี
เรื่องที่ควรสรรเสริญก็ดี ซึ่งเป็ นความลับ แก่มารดาผู้เลี้ยงดูบุตรด้วยความรักความพอใจ (มโหสธบัณฑิตกราบทูลเหตุแห่งความลับว่า) [๓๒๒] ธรรมดาความลับปกปิดไว้เท่านั้นเป็นการดี การเปิดเผยความลับบัณฑิตไม่สรรเสริญ เพราะเมื่อความปรารถนายังไม่สาเร็จ นักปราชญ์พึงอดกลั้นไว้ก่อน ความปรารถนาสาเร็จแล้ว พึงพูดได้ตามสบาย (ฝ่ายพระนางอุทุมพรเทวีทูลถามถึงเหตุแห่งความโศกของพระราชาว่า) [๓๒๓] ขอเดชะพระราชาผู้ประเสริฐ เพราะเหตุไร พระองค์ทรงมีพระทัยวิปริตไป ขอเดชะพระองค์ผู้จอมมนุษย์ หม่อมฉันขอฟังพระดารัสของพระองค์ พระองค์ทรงดาริอย่างไรหรือ จึงทรงโทมนัส ขอเดชะพระองค์ผู้สมมติเทพ หม่อมฉันไม่มีความผิดเลยหรือเพคะ (ลาดับนั้น พระราชาตรัสตอบพระนางว่า) [๓๒๔] ในเพราะปัญหาว่า มโหสธบัณฑิตจะถูกฆ่า มโหสธผู้มีปัญญาเพียงดังแผ่นดิน ถูกพี่สั่งฆ่า พี่คิดถึงเรื่องนั้นจึงเสียใจ พระเทวี น้องไม่มีความผิดหรอก (พระราชาทรงทาเหมือนไม่ทรงทราบอะไร ตรัสถามมโหสธบัณฑิตว่า) [๓๒๕] เจ้าไปตั้งแต่พลบค่า เพิ่งจะมาเดี๋ยวนี้ เพราะได้ฟังเรื่องอะไรหรือ ใจของเจ้าจึงหวาดระแวง เชิญเถิด เจ้าผู้มีปัญญาเพียงดังแผ่นดิน ใครได้เรียนอะไรให้เจ้าฟัง เราขอฟังคานั้น เจ้าจงเล่าเรื่องนั้นให้เราฟัง (พระโพธิสัตว์มโหสธบัณฑิตทูลเตือนพระราชาว่า) [๓๒๖] ในปัญหาว่า มโหสธจะถูกฆ่า ขอเดชะพระองค์ผู้จอมชน ก็เพราะพระองค์เสด็จอยู่ในที่ลับ ได้ตรัสบอกเรื่องที่พระองค์ทรงปรึกษาแล้วแก่พระเทวีตอนกลางคืน ความลับนั้นพระเทวีทรงเปิดเผยแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังมา (พระโพธิสัตว์มโหสธบัณฑิตกราบทูลความลับของเสนกบัณฑิตก่อนว่า) [๓๒๗] ท่านเสนกบัณฑิตได้ทากรรมชั่ว เยี่ยงอสัตบุรุษอันใดไว้ที่ป่าไม้รัง เขาอยู่ในที่ลับแล้วได้บอกแก่เพื่อนคนหนึ่ง ความลับนั้นท่านเสนกบัณฑิตได้เปิดเผยแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังมา (พระโพธิสัตว์มโหสธบัณฑิตกราบทูลความลับของปุกกุสบัณฑิตว่า) [๓๒๘] ขอเดชะพระองค์ผู้จอมชน โรคอันไม่คู่ควรแก่พระราชา เกิดขึ้นแล้วแก่ปุกกุสะบุรุษของพระองค์ เขาอยู่ในที่ลับได้บอกแก่พี่น้องชายคนหนึ่ง ความลับนั้นท่านปุกกุสบุรุษได้เปิดเผยแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังมา (พระโพธิสัตว์มโหสธบัณฑิตกราบทูลความลับของกามินทบัณฑิตว่า)
3.
3 [๓๒๙] กามินทบัณฑิตผู้นี้มีอาพาธเยี่ยงอสัตบุรุษ ถูกนรเทพเข้าสิง เขาอยู่ในที่ลับได้บอกแก่บุตรชาย
ความลับนั้นกามินทบัณฑิตได้เปิดเผยแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังมา (พระโพธิสัตว์มโหสธบัณฑิตเมื่อจะกราบทูลความลับของเทวินทบัณฑิต จึงกล่าวคาถานี้ว่า) [๓๓๐] ท้าวสักกเทวราชได้ทรงประทานแก้วมณี ๘ เหลี่ยม อันรุ่งเรืองยิ่งนักแด่พระอัยยกาของพระองค์ บัดนี้ แก้วมณีนั้นตกอยู่ในมือของเทวินทบัณฑิต เขาอยู่ในที่ลับได้บอกแก่มารดา ความลับนั้นท่านเทวินทบัณฑิตได้เปิดเผยแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังมา (พระโพธิสัตว์กราบทูลพระราชาแล้วแสดงธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไปว่า) [๓๓๑] ธรรมดาความลับปกปิดไว้เท่านั้นเป็นการดี การเปิดเผยความลับบัณฑิตไม่สรรเสริญ เพราะเมื่อความปรารถนายังไม่สาเร็จ นักปราชญ์พึงอดกลั้นไว้ก่อน ความปรารถนาสาเร็จแล้ว พึงพูดได้ตามสบาย [๓๓๒] บัณฑิตไม่พึงเปิดเผยความลับ พึงรักษาความลับนั้นไว้เหมือนรักษาขุมทรัพย์ เพราะว่าความลับบุคคลรู้อยู่ ไม่เปิดเผยได้เป็นการดี [๓๓๓] บัณฑิตไม่ควรบอกความลับแก่สตรี ๑ ศัตรู ๑ คนที่ใช้อามิสล่อ ๑ คนผู้ล้วงความลับ ๑ [๓๓๔] คนผู้รู้ความลับที่ผู้อื่นไม่รู้ เพราะกลัวความลับที่ปรึกษาหารือกันไว้จะแตก ย่อมอดกลั้นไว้ดุจบุคคลผู้เป็นทาสเขา [๓๓๕] คนมีประมาณเท่าใดล่วงรู้ความลับที่เขาปรึกษากัน คนมีประมาณเท่านั้นเป็นบุคคลที่น่าหวาดกลัวของเขา เพราะฉะนั้น บุคคลไม่ควรเปิดเผยความลับ [๓๓๖] ในเวลากลางวันควรพูดความลับในที่สงัด เวลากลางคืนไม่ควรพูดดังเกินไป เพราะเหตุว่าคนแอบฟังได้ยินความลับที่ปรึกษากันเข้า ความลับนั้นจะถึงการแพร่งพรายโดยเร็วพลัน ปัญจปัณฑิตชาดกที่ ๑๒ จบ ----------------------------- คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา ปัญจปัณฑิตชาดก ว่าด้วย ความลับไม่ควรเปิดเผย
4.
4 ปัญจบัณฑิตชาดก จักมีพิสดารใน มหาอุมมังคชาดก. จบอรรถกถาปัญจบัณฑิตชาดกที่
๑๒ ว่าด้วย ปัญหาแห่งบัณฑิต ๕ คน บัณฑิตทั้ง ๔ เหล่านั้นปรึกษากันอีกว่า บัดนี้ มโหสถบุตรคฤหบดีมียศใหญ่นัก เราจักทาอย่างไรดี. ลาดับนั้น เสนกะจึงกล่าวกะบัณฑิตทั้งสามว่า การที่เขามียศใหญ่นั้นยกไว้เถิด เราเห็นอุบายแล้ว. เราทั้ง ๔ จักไปหามโหสถถามว่า ควรบอกความลับแก่ใคร. ถ้าเขาจักบอกว่า ไม่ควรบอกแก่ใครไซร้. เราทั้งหลายจักทูลยุยงพระราชาว่า คฤหบดีบุตรผู้มีนามว่ามโหสถ เป็นข้าศึกของพระองค์. บัณฑิตทั้ง ๓ เห็นชอบด้วย. บัณฑิตทั้ง ๔ เหล่านั้น จึงไปเรือนมโหสถทาปฎิสันถารแล้วกล่าวว่า แน่ะบัณฑิต เราทั้ง ๔ ใคร่จะถามปัญหาท่าน. ครั้นมโหสถให้ถาม เสนกะจึงถามว่า บุคคลผู้เป็นบัณฑิต ควรตั้งอยู่ในธรรมอะไร. มโหสถตอบว่า ควรตั้งอยู่ในความจริง. เสนกะถามว่า ผู้ตั้งอยู่ในความจริงแล้วควรทาอะไร. มโหสถตอบว่า ควรให้ทรัพย์สมบัติเกิดขึ้น. เสนกะถามว่า ให้ทรัพย์สมบัติเกิดแล้ว ควรทาอะไร. มโหสถตอบว่า ควรคบมิตร. เสนกะถามว่า คบมิตรแล้วควรทาอะไรต่อไป. มโหสถตอบว่า ควรเรียนความคิดอ่านจากมิตร. เสนกะถามว่า เรียนความคิดอ่านจากมิตรแล้วควรทาอะไรอีก. มโหสถตอบว่า การได้ความคิดอ่านจากมิตรนั้น. ถ้าเป็ นความลับ ไม่ควรบอกความลับของตนแก่ใคร. บัณฑิตทั้ง ๔ ก็รับว่าดีแล้ว. แล้วลากลับ เป็นผู้มีจิตยินดี คิดว่า บัดนี้เราทั้ง ๔ เห็นหลังมโหสถละ. แล้วไปเฝ้ าพระราชากราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า มโหสถเป็นกบฏต่อพระองค์. พระเจ้าวิเทหราชตรัสห้ามว่า เราไม่เชื่อท่านทั้งหลาย มโหสถจักไม่เป็นกบฎต่อเรา. บัณฑิตทั้ง ๔ จึงกราบทูลว่า จริงนะ พระเจ้าข้า. ขอได้ทรงเชื่อ ก็ถ้าไม่ทรงเชื่อ จงตรัสถามเขาดูว่า ความลับของเขา เขาไม่ควรบอกแก่ใคร. ถ้าเขาจักไม่เป็นกบฏต่อพระองค์ เขาจักทูลว่า ควรบอกแก่คนชื่อนั้น. ถ้าเขาจักเป็นกบฏต่อพระองค์ เขาจักทูลว่า ไม่ควรบอกแก่ใครๆ ในเมื่อความปรารถนาสาเร็จจึงควรบอก. ในกาลนั้น พระองค์จักทรงเชื่อข้าพระองค์หมดสงสัย. พระราชาทรงรับจะทดลอง. วันหนึ่ง เมื่อบัณฑิตทั้ง ๕ มาพร้อมกันจึงตรัสคาถานี้ใน ปัญจปัณฑิตปัญหา ในวีสตินิบาตว่า ท่านทั้งหลายผู้เป็นบัณฑิตทั้ง ๕ มาพร้อมกันแล้ว
5.
5 บัดนี้ปัญหาแจ่มแจ้งแก่เรา ท่านทั้งหลายจงฟังปัญหานั้น บุคคลควรเปิดเผยข้อความที่ควรติเตียน หรือควรสรรเสริญอันเป็นข้อความลับแก่ใคร. ครั้นพระราชาตรัสอย่างนี้แล้ว เสนกะคิดว่า เราจักให้พระราชาเข้าอยู่ในพวกเราด้วย
จึงกล่าวคาถานี้ว่า ข้าแต่พระภูมิบาล พระองค์จงตรัสเปิดเผยแก่เหล่าข้าพระองค์ก่อน พระองค์เป็นผู้ชุบเลี้ยง เป็ นผู้ทรงอดทนต่อราชกรณียะอันหนัก จงตรัสก่อน. ข้าแต่พระจอมประชากร เหล่าข้าพระองค์ผู้เป็นนักปราชญ์ทั้ง ๕ จักพิจารณา สิ่งที่พระองค์พอพระราชหฤทัย และเหตุเป็นที่ชอบด้วยพระอัธยาศัย แล้วกราบทูลภายหลัง. ลาดับนั้น พระราชาจึงตรัสคาถานี้ ด้วยความเป็นผู้เป็ นไปในอานาจกิเลสของพระองค์ว่า ภรรยาใดมีศีลาจารวัตร ไม่ให้ผู้อื่นลักสัมผัส คล้อยตามอานาจความพอใจของภัสดา เป็นที่รักเป็นที่เจริญใจ. สามีควรเปิดเผยข้อความที่ควรติเตียน หรือควรสรรเสริญ อันเป็นความลับแก่ภรรยา. แต่นั้นเสนกะยินดีว่า บัดนี้ เราทั้งหลายยังพระราชาให้เข้าในพวกเราได้แล้ว. เมื่อจะแสดงเหตุการณ์ที่ตนทาไว้เอง จึงกล่าวคาถานี้ว่า สหายใดเป็ นที่ระลึก เป็ นที่ถึง เป็ นที่พึ่งของบุคคล ผู้ถึงความทุกข์เดือดร้อนอยู่. บุคคลควรเปิดเผยข้อความที่ควรติเตียน หรือควรสรรเสริญ อันเป็นความลับ แก่สหายนั้นเทียว. ลาดับนั้น พระราชาตรัสถามปุกกุสะว่า แน่ะอาจารย์ปุกกุสะ ท่านเห็นอย่างไร ความลับของตนควรบอกแก่ใคร. ปุกกุสะเมื่อจะกราบทูล จึงกล่าวคาถานี้ว่า พี่น้องชายใด ผู้เป็นพี่ใหญ่หรือพี่กลางหรือน้อง ถ้าว่าพี่น้องชายนั้นตั้งอยู่ในศีล เสพสิ่งที่ควรเสพ. บุคคลควรเปิดเผยข้อความที่ควรติเตียน หรือควรสรรเสริญ อันเป็นความลับแก่พี่น้องชายนั้น. แต่นั้น พระราชาตรัสถามกามินทะว่า แน่ะอาจารย์กามินทะ ท่านเห็น อย่างไร ความลับควรบอกแก่ใคร กามินทะเมื่อจะกราบทูลจึงกล่าวคาถานี้ว่า บุตรใดดาเนินตามใจบิดา เป็ นอนุชาตมีปัญญาไม่ทรามกว่าบิดา. บิดาควรเปิดเผยข้อความที่ควรติเตียน หรือควรสรรเสริญ
6.
6 อันเป็นความลับแก่บุตรนั้น. บุตรที่ทาตามใจของเรา คือเป็นไปในอานาจจิตของบิดา เป็นผู้อดทนต่อโอวาท. บทว่า
อนุชาโต ความว่า บุตรมี ๓ ประเภท คือ อภิชาต ๑ อนุชาต ๑ อวชาต ๑. บุตรผู้ยังยศที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ชื่อว่าอภิชาต. บุตรที่เป็นเชื้อสายของสกุล เป็ นผู้ตัดวงศ์สกุล ทาทรัพย์ให้พินาศ ชื่อว่าอวชาต. บุตรผู้รักษาแบบแผนของสกุล ประเพณีของสกุลไว้ได้ ชื่ออนุชาต. อาจารย์กามินทะกล่าวอย่างนี้ หมายถึงอนุชาตบุตรนั้น. แต่นั้น พระราชาตรัสถามเทวินทะว่า แน่ะอาจารย์เทวินทะ ท่านเห็นอย่างไร ความลับควรบอกแก่ใคร. เทวินทะเมื่อจะกราบทูล เหตุการณ์ที่ตนทาไว้. จึงกล่าวคาถานี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ประเสริฐที่สุดแห่งมนุษยนิกร มารดาใดเลี้ยงบุตรด้วยความพอใจรักใคร่. บุตรควรเปิดเผยข้อความที่ควรติเตียน หรือควรสรรเสริญ อันเป็นความลับแก่มารดานั้น. พระราชาครั้นตรัสถามอาจารย์ ๔ คนเหล่านั้น ซึ่งกล่าวตอบไปอย่างนี้แล้ว. จึงตรัสถามมโหสถบัณฑิตว่า เจ้าเห็นอย่างไร พ่อบัณฑิต ความลับควรบอกแก่ใคร. มโหสถบัณฑิตเมื่อจะกราบทูลเหตุแห่งความลับ จึงกล่าวคาถานี้ว่า การซ่อนความลับไว้ นั่นแลเป็ นการดี. การเปิดเผยความลับไม่ดีเลย. บุคคลผู้มีปรีชา เมื่อความปรารถนายังไม่สาเร็จก็พึงกลั้นไว้. เมื่อความปรารถนาสาเร็จแล้ว พึงกล่าวตามสบาย. เมื่อมโหสถบัณฑิตกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระราชาทรงเสียพระทัย. เสนกะแลดูพระพักตร์พระราชา. พระราชาก็ทอดพระเนตรหน้าเสนกะ. มโหสถบัณฑิตเห็น กิริยาแห่งเสนกะและพระราชา. ก็รู้ว่า อาจารย์ทั้ง ๔ นี้ได้ยุยง ในระหว่างเราและพระราชาไว้ก่อนแล้ว. พระราชาตรัสถามปัญญาเพื่อทดลองเรา. เมื่อพระราชาและราชบริษัทเจรจากันอยู่ ดวงอาทิตย์อัสดงคต เจ้าหน้าที่ตามประทีป. มโหสถดาริว่า ขึ้นชื่อว่าราชการเป็ นของหนักย่อมไม่ปรากฏ ใครจะรู้เรื่อง อะไรจักมี. เราควรรีบกลับเสียก่อน. ดาริฉะนี้ จึงลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมพระราชาออกไป. คิดว่า ผู้หนึ่งกล่าวว่า ควรบอกความลับแก่สหาย. ผู้หนึ่งกล่าวว่า ควรบอกความลับแก่พี่น้องชาย. ผู้หนึ่งกล่าวว่า ควรบอกควาบลับแก่บุตร. ผู้หนึ่งกล่าวว่า ควรบอกความลับแก่มารดา. เราสาคัญว่า กิจนี้จักเป็นของคนเหล่านี้ได้ทาแล้วแน่ คนเหล่านี้คงกล่าวถึงกิจที่ตนเห็นแล้ว
7.
7 จงยกไว้เถิด เราจักรู้เหตุนี้ ในวันนี้.
ฝ่ายราชบัณฑิตทั้ง ๔ ออกจากราชสานักแล้ว ในวันอื่นๆ เคยนั่งที่หลังถังข้าวถังหนึ่งใกล้ประตูพระราชนิเวศน์ ปรึกษากันถึงกรณียกิจ แล้วจึงกลับไปบ้าน. เพราะเหตุนั้น มโหสถจึงดาริว่า วันนี้ เรานอนอยู่ภายใต้ถังข้าว ก็สามารถจะรู้ความลับของอาจารย์ทั้ง ๔ นั้น จึงให้คนใช้ยกถังข้าวนั้นแล้วให้ลาดเครื่องลาด แล้วเข้าอยู่ภายใต้ถังข้าวนั้น แล้วให้สัญญาแก่คนใช้ว่า ในเมื่ออาจารย์ทั้ง ๔ มานั่งปรึกษากันลุกไปแล้ว พวกเจ้าจงมานาข้าวออก. คนใช้เหล่านั้นรับคาสั่ง แล้วหลีกไป. ฝ่ายอาจารย์เสนกะทูลพระเจ้าวิเทหราชว่า พระองค์ยังไม่ทรงเชื่อข้าพระบาทหรือ. บัดนี้ ข้อความนั้นเป็นอย่างไร พระเจ้าข้า. พระราชาทรงสดับคาของพวกอาจารย์ผู้ยุยง ก็หาได้ทรงพิจารณาไม่ เป็นผู้ทั้งกลัวทั้งตกพระหฤทัย. จึงตรัสถามว่า แน่ะท่านเสนกบัณฑิต บัดนี้ เราจักทาประการไร. เสนกะจึงทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ควรที่พระองค์จะไม่ชักช้า อย่าทันให้มโหสถรู้ตัว แล้วฆ่าเสีย. พระราชาตรัสว่า แน่ะอาจารย์เสนกะ ยกท่านเสียแล้ว คนอื่นชื่อว่า เป็นผู้ใคร่ความเจริญแก่เราย่อมไม่มี. ท่านจงชวนสหายของท่านคอยอยู่ที่ภายในประตู. เมื่อมโหสถบุตรคฤหบดีมาสู่ราชสานักแต่เช้า จงตัดศีรษะเสียด้วยพระแสงขรรค์. ดารัสสั่งฉะนี้แล้ว พระราชทานพระแสงขรรค์รัตนะที่ทรง. อาจารย์ทั้ง ๔ นั้นกราบทูลว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า. ขอพระองค์อย่าทรงเกรงกลัวเลย พวกข้าพระบาทจักฆ่ามโหสถนั้นเสียให้จงได้. ทูลฉะนี้ แล้วออกมานั่งที่หลังถังข้าว. ราพึงกันว่า พวกเราเห็นหลังปัจจามิตรแล้ว. แต่นั้น เสนกะจึงเอ่ยขึ้นว่า ใครจักฆ่ามโหสถ. อาจารย์ทั้ง ๓ จึงตอบว่า ท่านอาจารย์นั่นแลจักฆ่าได้. แล้วทากิจนั้นให้เป็นภาระของเสนกะนั้นผู้เดียว. ลาดับนั้น เสนกะจึงถามอาจารย์ทั้ง ๓ ว่า ท่านทั้ง ๓ กล่าวว่า ชื่อว่าความลับควรบอกแก่บุคคลชื่อโน้นๆ ดังนี้. กิจนั้นท่านทั้ง ๓ ได้ทาแล้ว หรือเห็นแล้ว หรือได้สดับแล้วอย่างไร. ลาดับนั้น อาจารย์ทั้ง ๓ กล่าวกะเสนกะว่า ข้าแต่อาจารย์ กิจที่ท่านกล่าวว่า ความลับควรบอกแก่สหายนั้นเป็นของปรากฏแล้ว. กิจนั้นท่านทาแล้ว หรือเห็นแล้ว หรือได้ฟังแล้วอย่างไรเล่า กิจนั้นเราได้ทาเอง. ข้าแต่อาจารย์ ถ้ากระนั้นท่านจงกล่าวให้ทราบ ความลับนี้พระราชาทรงทราบแล้ว ชีวิตของเราจะไม่มี. ข้าแต่อาจารย์ ท่านอย่ากลัวเลย บุคคลผู้ทาลายความลับของเราทั้งหลายในที่นี้ไม่มี. ขอจงกล่าวให้ทราบเถิด เสนกะเอาเล็บเคาะถังข้าวว่า มโหสถอยู่ใต้ถังข้าวนี้กระมัง อาจารย์ทั้ง ๓ ตอบว่า
8.
8 มโหสถเป็นคนเมาอิสริยยศ คงไม่เข้าไปอยู่ในที่เช่นนี้. บัดนี้จักเป็ นคนเมายิ่งด้วยยศ
ท่านเห็นซึ้งไปได้. ฝ่ายเสนกะ เมื่อจะบอกความลับของตน จึงกล่าวว่า ท่านทั้ง ๓ รู้จักหญิงแพศยาชื่อโน้น ในนครนี้หรือ. ข้าพเจ้าทั้ง ๓ ทราบ. บัดนี้ นางคนนั้นยังปรากฏอยู่ หรือหายไปไม่พบเลย ท่านอาจารย์. เสนกะจึงแจ้งว่า เราทากิจของบุรุษกับด้วยนางคนนั้นในสวนไม้รัง แล้วยังนางคนนั้นให้ตาย ด้วยโลภในเครื่องประดับ. แล้วนาเครื่องประดับของนางนั้นมาห่อด้วยผ้าสาฎก แล้วแขวนไว้บนไม้รูปเหมือนงาช้างในห้องเรือนของเรา. เรายังไม่อาจจะใช้เครื่องประดับนั้น เห็นความที่เครื่องประดับนั้นเป็ นของเก่า. เราทาความผิดพระราชกาหนดอย่างนี้ ได้บอกแก่สหายคนหนึ่ง สหายคนนั้นมิได้บอกแก่ใคร. ด้วยเหตุนี้ เราจึงกล่าวว่า เราได้บอกความลับแก่สหาย. มโหสถเริ่มตั้งใจ กาหนดความลับของเสนกะไว้เป็ นอย่างดี. ฝ่ายปุกกุสะ เมื่อจะบอกความลับของตน จึงกล่าวว่า โรคเรื้อนมีที่ขาของข้าพเจ้า. น้องชายน้อยของข้าพเจ้าเท่านั้นรู้ ข้าพเจ้าไม่ให้ใครๆ รู้. ชาระแผลนั้นทายา พันผ้าทับแผล. พระราชามีพระหฤทัยกรุณาในข้าพเจ้า ตรัสเรียกข้าพเจ้าว่า ปุกกุสะจงมา แล้วบรรทมที่ขาของข้าพเจ้าบ่อยๆ. ก็ถ้าราชาทรงทราบเรื่องนี้ พึงประหารชีวิตข้าพเจ้า. ยกน้องชายน้อยคนนั้นของข้าพเจ้าเสีย คนอื่นไม่รู้เลย. ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าบอกความลับแก่น้องชายน้อย. ฝ่ายกามินทะ เมื่อจะแสดงความลับของตน จึงกล่าวว่า ในวันอุโบสถข้างแรม ยักษ์ชื่อนรเทวะ มาสิงข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าก็ร้องดุจสุนัขบ้าร้อง ข้าพเจ้าได้แจ้งเนื้อความนี้แก่บุตร. บุตรของข้าพเจ้ารู้ว่า ยักษ์มาสิงข้าพเจ้า. ก็ให้ข้าพเจ้านอนในห้องข้างใน ปิดประตู ออกไปให้มีมหรสพที่ประตู เพื่อกลบเสียงของข้าพเจ้า. ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าบอกความลับแก่บุตร. แต่นั้นอาจารย์ทั้ง ๓ จึงถามเทวินทะ. เทวินทะ เมื่อจะกล่าวความลับของตน จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าทาการขัดสีแก้วมณี มีแก้วมณีเป็นมงคล เป็นที่เข้าอยู่แห่งสิริ เป็นของหลวง. ซึ่งท้าวสักกเทวราชประทานพระเจ้ากุสราชไว้. ข้าพเจ้าลักเอามงคลมณีรัตน์นั้นมาให้มารดา มารดานั้นไม่ให้ใครรู้. ถึงเวลาข้าพเจ้าจะเข้าเฝ้ าพระราชา ก็ให้มงคลมณีรัตน์แก่ข้าพเจ้า. ข้าพเจ้ายังสิริให้อยู่ในตัวข้าพเจ้า ด้วยอานาจแห่งมงคลมณีรัตน์นั้น
9.
9 จึงเข้าไปสู่ราชสานัก. พระราชาไม่ตรัสแก่ท่านทั้งหลาย ตรัสกับข้าพเจ้าก่อนกว่าใครๆ แล้วพระราชทานกหาปณะ
๘ กหาปณะบ้าง. ๑๖ กหาปณะบ้าง. ๓๒ กหาปณะบ้าง. ๖๔ กหาปณะบ้าง แก่ข้าพเจ้าเพื่อเป็นเสบียงได้เลี้ยงชีพทุกวัน. ถ้าพระราชาทรงทราบอานุภาพมณีรัตน์นั้นไซร้ ชีวิตของข้าพเจ้าก็จะไม่รอดอยู่. ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าบอกความลับแก่มารดา. พระมหาสัตว์ได้ทาความลับของอาจารย์ทั้ง ๔ ให้ประจักษ์ ก็อาจารย์ทั้ง ๔ นั้นแจ้งความลับแก่กันแลกัน ราวกะบุคคลผ่าอกของตน แผ่อวัยวะภายในออกมาภายนอก. แล้วเตือนกันว่า ท่านทั้งหลายอย่าประมาท มาช่วยกันฆ่ามโหสถ บุตรคฤหบดีแต่เช้า. กาชับกันดังนี้ แล้วต่างลุกขึ้นหลีกไป. ในกาลเมื่ออาจารย์ทั้ง ๔ ไปแล้ว คนใช้ของมโหสถที่นัดหมายกันไว้ ก็มายกถังข้าว พาพระมหาสัตว์ออกหลีกไป. พระโพธิสัตว์กลับถึงเคหสถาน อาบน้า แต่งกาย บริโภคโภชนาหารแล้วรู้ว่า วันนี้ พระนางอุทุมพรเทวีผู้เชษฐภคินีของเรา คงประทานข่าวมาแต่พระราชวัง. จึงวางบุรุษพิเศษไว้ที่ประตูสั่งว่า เจ้าจงให้คนมาแต่พระราชวังเข้ามา แล้วบอกแก่เราโดยเร็ว. ก็แลครั้นสั่งฉะนั้นแล้วก็นอน ณ ที่นอนมีสิริ. ขณะนั้น พระเจ้าวิเทหราชบรรทม ณ ที่บรรทมอันมีสิริ ทรงอนุสรณ์ถึงคุณของมโหสถว่า มโหสถบัณฑิตบารุงเรามาตั้งแต่เขามีอายุได้ ๗ ปี. ไม่ได้ทาความเสียหายหน่อยหนึ่งแก่เรา. เมื่อเทวดาถามปัญหา ถ้าจักไม่มีมโหสถไซร้ ชีวิตของเราก็จะไม่พึงมี. เรามาถือเอาคาของปัจจามิตรผู้มีเวร แล้วกล่าวสั่งว่า ท่านทั้งหลายจงฆ่ามโหสถผู้มีธุระหาผู้เสมอมิได้ ฉะนี้. แล้วให้พระขรรค์ เป็นอันว่าเราทาสิ่งที่ไม่ควรทา. บัดนี้แต่พรุ่งนี้ไป เราจักไม่ได้เห็นมโหสถอีก. ทรงราพึงฉะนี้ก็ยังความโศกให้เกิดขึ้น พระเสโทไหลโซมพระกาย. พระราชานั้นเต็มไปด้วยความโศก ก็ไม่ทรงได้ความผ่องใสแห่งพระมนัส. พระนางอุทุมพรเทวีเสด็จไปบรรทมร่วมกับพระราชสามี ทอดพระเนตรเห็นพระอาการของพระราชสามี. ทรงดาริว่า เป็ นไฉนหนอ ความผิดอย่างไรของเรามีอยู่ หรือเหตุการณ์แห่งความโศกอย่างไรอื่น เกิดขึ้นแก่พระองค์. เราจักทูลพระองค์ก่อน เมื่อจะทูลถาม จึงกล่าวคาถานี้ว่า ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐที่สุด พระองค์เป็นผู้มีพระมนัสวิปริตไปอย่างไรหรือ. ข้าแต่พระจอมประชากร ข้าพระบาทจะฟังพระดารัสข้อนั้นของพระองค์. พระองค์ทรงพระดาริอย่างไรหรือจึงทรงโทมนัส ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ
10.
10 ความผิดของข้าพระบาทไม่มีเลยหรือ พระเจ้าข้า. ลาดับนั้น พระราชาตรัสคาถาตอบพระนางว่า มโหสถผู้มีปัญญาจะถูกฆ่า
เพราะมโหสถผู้มีปัญญาดังแผ่นดิน. เราบังคับสั่งเพื่อฆ่าแล้ว. เราคิดถึงเรื่องนั้นจึงเป็นผู้โทมนัส. แน่ะพระเทวี ความผิดของเธอไม่มีเลย. แน่ะนางผู้เจริญ บัณฑิตทั้ง ๔ บอกแก่เรา มโหสถบัณฑิตเป็นศัตรูของเรา. เราไม่ได้พิจารณาโดยถ่องแท้ สั่งฆ่ามโหสถผู้มีปัญญาดังแผ่นดินว่า พวกท่านจงฆ่าเขาเสีย. เมื่อเราคิดถึงการณ์นั้น จึงมีความโทมนัสว่า เราตายเสียดีกว่ามโหสถบัณฑิตตาย. ความโศกสักเท่าภูเขาเกิดขึ้นแก่พระนางอุทุมพร ด้วยความรักในพระมหาสัตว์ เพราะได้ทรงสดับพระราชาตรัสฉะนั้น. แต่นั้น พระนางจึงทรงคิดว่า เราจักยังพระราชาให้ทรงอุ่นพระหฤทัยด้วยอุบายหนึ่ง. ในกาลเมื่อพระราชาบรรทมหลับ เราจักส่งข่าวไปยังมโหสถผู้กนิษฐภาดาของเรา. ลาดับนั้น พระนางจึงกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์ผู้ยังมโหสถให้ดารงอยู่ในอิสริยยศใหญ่. ภายหลังมาทรงทาการดังนี้แก่เขาจะเป็ นไรไป แล้วทูลเล้าโลมพระราชาว่า พระองค์ทรงสถาปนามโหสถในตาแหน่งเสนาบดี. ได้ยินว่า บัดนี้ เธอคิดกบฏต่อพระองค์ ก็บุคคลผู้ปัจจามิตร มิใช่เป็นคนเล็กน้อยเลย. พระองค์ควรประหารชีวิตเขาเสียทีเดียว. ขอพระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย พระราชามีความโศกเบาบางก็หยั่งลงสู่นิทรารมณ์. ขณะนั้น พระราชเทวีเสด็จลุกขึ้นเข้าสู่ห้อง ทรงพระอักษรมีความว่า ดูก่อนมโหสถ บัณฑิตทั้ง ๔ ทาลายเธอให้แตกกับพระราชา. พระราชากริ้ว ตรัสสั่งบัณฑิตทั้ง ๔ ให้ฆ่าเธอที่ประตูพระราชวังเวลาพรุ่งนี้ พรุ่งนี้เธออย่ามาสู่ราชสานัก. ถ้าจะมาก็พึงเป็นผู้สามารถทาชาวพระนคร ให้อยู่ในเงื้อมมือเธอแล้วพึงมา. ทรงพระอักษรมีความฉะนี้ แล้วสอดเข้าในห่อ เอาด้ายพันห่อแล้ว วางในสุพรรณภาชน์ใหม่ปิดฝา ประทับพระลัญจกรประทานแก่นางข้าหลวง ผู้ประพฤติประโยชน์ตรัสสั่งว่า เจ้าจงนาห่อนี้ไปให้แก่ มโหสถบัณฑิตผู้น้องชายน้อยของเรา. นางข้าหลวงได้ทาตามคาสั่ง อันใครๆ ไม่ควรคิดว่า ทาไมนางข้าหลวงออกจากตาหนักข้างใน ในเวลากลางคืนได้. เพราะว่า พระราชาพระราชทานพรแก่พระนางไว้ก่อนแล้ว ให้พระนางใช้ใครนาของเสวยอันมีรสออกไปให้มโหสถ ได้ตามประสงค์. เพราะฉะนั้น ใครๆ จึงไม่ห้ามนางข้าหลวงนั้น. พระโพธิสัตว์รับพระสุพรรณภาชน์แล้วให้นางข้าหลวงนั้นกลับ.
11.
11 นางข้าหลวงก็ลากลับมา. ทูลความที่ตนให้พระสุพรรณภาชน์แก่มโหสถแล้วแด่พระนาง. ขณะนั้น พระนางจึงเสด็จมาบรรทมกับพระราชสามี. ฝ่ายพระโพธิสัตว์แก้ห่อหนังสือออก อ่านรู้ความนั้นแล้ว.
จัดกิจที่จะพึงทาแล้วเข้านอน. ฝ่ายอาจารย์ทั้ง ๔ ถือพระแสงขรรค์ ยืนอยู่ภายในประตูวัง แต่เช้า. เมื่อไม่เห็นมโหสถมาก็เสียใจ ไปเฝ้ าพระราชา. ครั้นตรัสถามว่า เป็นอย่างไร. ท่านทั้งหลายฆ่ามโหสถแล้วหรือ. จึงกราบทูลว่า ไม่เห็นมโหสถมา พระเจ้าข้า. ฝ่ายพระมหาสัตว์ พออรุณขึ้นก็สนานกายด้วยน้าหอม ประดับกายด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง บริโภคโภชนะอันเลิศ ชาระสรีรกิจแล้ว. ทาชาวพระนครให้อยู่ในเงื้อมมือแล้ว ตั้งการรักษาในที่นั้นๆ เป็ นผู้อันมหาชนห้อมล้อม ขึ้นรถไปสู่ประตูวังด้วยยศใหญ่. ฝ่ายพระเจ้าวิเทหราชให้เปิดพระแกล ประทับยืนทอดพระเนตรอยู่. ลาดับนั้น พระโพธิสัตว์ลงจากรถ ถวายบังคมบรมกษัตริย์ แล้วยืนอยู่. พระราชาทอดพระเนตรเห็นกิริยาของมโหสถทรงดาริว่า ถ้ามโหสถเป็นข้าศึกแก่เรา ที่ไหนเขาจะพึงไหว้เรา. ลาดับนั้น ก็ตรัสให้เรียกมโหสถมาเฝ้ า แล้วเสด็จประทับ ณ พระราชอาสน์. ฝ่ายมโหสถถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ส่วนหนึ่ง. บัณฑิตทั้ง ๔ ก็นั่งอยู่ที่นั่น. ลาดับนั้น พระราชาเป็นเหมือนไม่ทรงทราบอะไร. ตรัสถามมโหสถว่า แน่ะพ่อมโหสถ เมื่อวานนี้ เจ้ากลับบ้านแต่ยามแรก เจ้าพึ่งมาเดี๋ยวนี้ เจ้าสละเสียอย่างนี้ เพราะอะไร. ตรัสฉะนี้แล้ว ได้ตรัสคาถานี้ว่า เจ้าไปบ้านแต่หัวค่า มาเอาบัดนี้ ใจของเจ้ารังเกียจเพราะได้ฟังอะไรหรือ. ดูก่อนเจ้าผู้มีปัญญาดุจแผ่นดิน ใครได้พูดอะไรแก่เจ้า เราจะฟังเจ้าบอกเรื่องของเจ้า เจ้าจงบอกเรื่องนั้นแก่เรา. ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ทูลเตือนพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์ถือเอาคาบัณฑิตทั้ง ๔ แล้วมีพระราชาณัติให้ฆ่าข้าพระบาท. ด้วยเหตุนั้น ข้าพระบาทจึงยังไม่มา. ทูลฉะนี้ แล้วได้กล่าวคาถานี้ว่า มโหสถผู้มีปัญญาจะถูกฆ่า ข้าแต่พระปิ่นประชากร กาลใด พระองค์เสด็จอยู่ในที่ลับได้ตรัส ข้อความลับที่รับสั่งแก่อาจารย์ทั้ง ๔ กับพระนางอุทุมพร เมื่อหัวค่า. ข้อความลับอย่างนั้นของพระองค์ พระองค์ได้เปิดเผยแล้ว ก็ข้อความลับนั้นอันข้าพระบาทได้ฟังแล้ว ในกาลนั้น. พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับคาของมโหสถ ก็ทรงพระพิโรธด้วยทรงเห็นว่า นางอุทุมพรจักส่งข่าวไปขณะนั้นเอง. จึงทอดพระเนตรดูพระราชเทวี. มโหสถรู้กิริยานั้น จึงกราบทูลว่า
12.
12 ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ทรงพิโรธพระราชเทวีทาไม. ข้าพระองค์ทราบเหตุการณ์ อดีต
อนาคต และปัจจุบันทั้งสิ้น. พระนางตรัสความลับของพระองค์แก่ข้าพระองค์ จงยกไว้ก่อน. ความลับของเสนกะและปุกกุสะเป็นต้น ใครแจ้งแก่ข้าพระองค์เล่า. ปัญหาของกิ้งก่า ใครบอกแก่ข้าพระองค์. และปัญหาของเทวดาใครบอกแก่ข้าพระองค์เล่า. ข้าพระองค์ทราบ ความลับของชนเหล่านี้ก่อนแล้วทีเดียว. เมื่อจะทูลความลับของเสนกะก่อน จึงได้กล่าวคาถานี้ว่า เสนกะได้ทากรรมลามกไม่ใช่กรรมดีอันใด คือฆ่าหญิงแพศยานางหนึ่งในสวนไม้รัง ในนครนี้เอง. แล้วถือเอาเครื่องประดับ ห่อด้วยผ้าสาฎกเก็บไว้ในเรือนของตน. อยู่ในที่ลับได้แจ้งเรื่องนี้แก่สหายคนหนึ่ง. กรรมลามกอันเป็ นความลับของตนเห็นปานนี้ อันเสนกะทาให้ปรากฏแล้ว ความลับนี้ข้าพระองค์ได้ฟังแล้ว. พระราชาทอดพระเนตรดูเสนกะแล้วมีราชกระทู้ถามว่า จริงหรือ. เสนกะก็ได้ทรงรับกราบทูลตอบว่า จริง พระเจ้าข้า. จึงรับสั่งให้จาเสนกะในเรือนจา. ฝ่ายมโหสถ เมื่อจะกราบทูลข้อความลับของปุกกุสะ จึงกล่าวคาถานี้ว่า ข้าแต่พระจอมประชากร โรคเรื้อนเกิดขึ้นแก่ปุกกุสะ เป็นโรคที่ไม่สมควรจะใกล้ชิดพระราชา. ปุกกุสะอยู่ในที่ลับได้แจ้งแก่น้องชายน้อย. ความที่ปุกกุสะเป็นโรคเรื้อน เป็นข้อความลับเห็นปานนี้ อันปุกกุสะได้ทาให้ปรากฏแล้ว. ความลับนี้ข้าพระองค์ได้ฟังแล้ว. พระราชาทอดพระเนตรดูปุกกุสะแล้ว ตรัสถามว่า จริงหรือปุกกุสะ. ครั้นได้ทรงสดับรับสารภาพว่าจริง จึงรับสั่งให้เอาตัวเข้าเรือนจา. มโหสถบัณฑิต เมื่อจะกราบทูลความลับของกามินทะ จึงกล่าวคาถานี้ว่า กามินทะอันอาพาธซึ่งลามก กล่าวคือยักษ์ชื่อนรเทวะ สิงแล้วเป็ นเหมือนสุนัขบ้าร้องอยู่. กามินทะอยู่ในที่ลับ ได้แจ้งความลับนี้แก่บุตร. ความลับเห็นปานนี้ อันกามินทะทาให้ปรากฏแล้ว. ความลับนี้ข้าพระองค์ได้ฟังแล้ว. พระราชาทอดพระเนตรดูกามินทะแล้วตรัสถามว่า จริงหรือกามินทะ. กามินทะทูลรับสารภาพ จึงตรัสสั่งให้นากามินทะเข้าสู่เรือนจา. ฝ่ายมโหสถบัณฑิต เมื่อจะกราบทูลความลับของเทวินทะ จึงกล่าวคาถานี้ว่า ท้าวสักกเทวราชได้ประทานมณีรัตนะอันโอฬารมี ๘
13.
13 คดแด่พระเจ้ากุสราช ผู้เป็นพระอัยยกาของพระองค์. มณีรัตนะนั้นเดี๋ยวนี้ตกถึงมือเทวินทะ ก็เทวินทะอยู่ในที่ลับได้แจ้งแก่มารดา. ข้อความลับเห็นปานนี้
อันเทวินทะทาให้ปรากฏแล้ว. ความลับนี้ข้าพระองค์ได้ฟังแล้ว. พระราชาตรัสถามเทวินทะว่า จริงหรือเทวินทะ. ครั้นเทวินทะกราบทูลสารภาพว่าจริง จึงโปรดให้ส่งเทวินทะเข้าเรือนจา. อาจารย์ทั้ง ๔ ตั้งใจจะฆ่ามโหสถ กลับต้องเข้าเรือนจาเองทั้งหมด ด้วยประการฉะนี้. พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ข้าพระองค์กราบทูลว่า อันบุคคลไม่ควรบอกความลับของตนแก่บุคคลอื่น ด้วยเหตุนี้. อาจารย์ทั้ง ๔ กราบทูลว่า ควรบอก ก็ถึงความพินาศใหญ่. เมื่อจะแสดงธรรมให้ยิ่ง ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า การซ่อนความลับไว้นั่นแหละดี การเปิดเผยความลับไม่ประเสริฐเลย. บุคคลผู้มีปัญญา ในเมื่อข้อความลับยังไม่สาเร็จ พึงอดทนไว้. ข้อความลับสาเร็จแล้ว พึงกล่าวตามสบาย. บุคคลไม่ควรเปิดเผยข้อความลับเลย ควรรักษาข้อความลับนั้นไว้ ดุจบุคคลรักษาขุมทรัพย์ ฉะนั้น. ข้อความลับอันบุคคลผู้รู้แจ้ง ไม่ทาให้ปรากฏนั่นแลดี. บัณฑิตไม่ควรบอกความลับแก่สตรี และแก่คนไม่ใช่มิตร กับอย่าบอกความในใจแก่บุคคลที่อามิสลากไป และแก่คนไม่ใช่มิตร. ผู้มีปรีชาย่อมอดทนต่อคาด่าคาบริภาษ และการประหารแห่งบุคคลผู้รู้ข้อความลับซึ่งผู้อื่นไม่รู้ เพราะกลัวแต่แพร่ความลับที่คิดไว้. ประหนึ่งคนเป็ นทาส อดทนต่อคาด่าเป็นต้นแห่งนาย ฉะนั้น. ชนทั้งหลายรู้ความลับที่ปรึกษากันของบุคคลผู้หนึ่ง เพียงใด. ความหวาดสะดุ้งของบุคคลนั้นย่อมเกิดขึ้น เพียงนั้น. เพราะเหตุนั้น ผู้ฉลาดไม่ควรสละความลับ. บุคคลกล่าวความลับในเวลากลางวัน พึงหาโอกาสที่เงียบ. เมื่อจะพูดความลับในเวลาค่าคืน อย่าปล่อยเสียงให้เกินเขต. เพราะว่า คนแอบฟังความ ย่อมจะได้ยินความลับที่ปรึกษากัน. เพราะฉะนั้น ความลับที่ปรึกษากันจะถึงความแพร่งพรายทันที. พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับ ถ้อยคาแห่งมโหสถ ก็ทรงพิโรธว่า อาจารย์เหล่านี้ปองร้ายกันเอง มาลงเอามโหสถว่าเป็นผู้ปองร้ายเรา.
14.
14 จึงมีพระราชดารัสสั่งราชบุรุษว่า พวกเจ้าจงไป จงนาอาจารย์ทั้ง
๔ นั้น ออกจากพระนคร ให้นอนหงายบนหลาว แล้วตัดศีรษะเสีย. เมื่ออาจารย์ทั้ง ๔ อันราชบุรุษมัดมือไพล่หลัง เฆี่ยนด้วยไม้เรียวร้อยทีคราวละ ๔ คราวละ ๔ แล้วนาไปสู่ประหารชีวิต. มโหสถกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ อาจารย์เหล่านี้เป็นอมาตย์เก่าของพระองค์. ขอพระองค์ทรงงดโทษแก่อาจารย์เหล่านี้. พระราชาพระราชทานอนุญาต. แล้วให้เรียกอาจารย์ทั้ง ๔ มา ตรัสสั่งยกให้เป็ นทาสแห่งมโหสถ. ก็แต่มโหสถทูลยกให้เป็นไทในเวลานั้น นั่นเอง. พระราชาตรัสสั่งให้ขับไล่อาจารย์ทั้ง ๔ จากพระราชอาณาจักร. มโหสถทูลขอพระราชทานโทษว่า ขอได้โปรดอดโทษแก่คนอันธพาลเหล่านั้น ขอให้ทรงยกย่องอยู่ในฐานันดรนั้น. พระราชาทรงเลื่อมใสในมโหสถเกินเปรียบ ด้วยทรงดาริว่า มโหสถได้มีเมตตาเห็นปานนี้ ในเหล่าปัจจามิตร. มโหสถจักไม่มีเมตตาเห็นปานนี้ ในชนเหล่าอื่นอย่างไร. จาเดิมแต่นั้น นักปราชญ์ทั้ง ๔ เป็ นผู้หมดพยศ ดุจงูถูกถอนเขี้ยวเสียแล้ว ไม่อาจจะกล่าวอะไรอีก. จบ ปัญหาบัณฑิต ๕
Download now