More Related Content
More from pop Jaturong (20)
3
- 5. การคัดเลือกโครงการ
แนวทางการคัดเลือกโครงการ
➢ เลือกโครงการที่สามารถแก้ปัญหาหน่วยงานในองค์กรได้จริง
➢ เลือกโครงการที่มีความสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ หรือนโยบายขององค์กร
➢เลือกโครงการที่มีความเป็นไปได้ในการดาเนินการให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กาหนด
➢ เลือกโครงการที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าที่สุด โดยอาจพิจารณาจากการวิเคราะห์ความคุ้มค่าในการลงทุน
➢เลือกโครงการที่ไม่ส่งผลกระทบกับสภาพแวดล้อม สังคม การเมือง
➢ในกรณีที่เป็นโครงการซอฟต์แวร์ การพิจารณาเลือกโครงการที่สามารถเข้ากันได้กับระบบงานเดิม เช่น สามารถใช้งานฮาร์ดแวร์ และ
ซอฟต์แวร์ ร่วมกับระบบเดิมที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้
ในการคัดเลือกโครงการ ผู้บริหารองค์กรควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการหรือทีมงานคัดเลือกโครงการ มีการประชุมเพื่อสรุปแนวทางหรือ
เกณฑ์ที่จะใช้ในการคัดเลือกโครงการให้ชัดเจน ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมความเหมาะสมและความต้องการขององค์กร ก่อนที่จะทาการ
พิจารณาคัดเลือก
5
- 21. การหามูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net present value :
NPV)
จะช่วยให้ผู้บริหารองค์กรสามารถตัดสินใจได้ว่าจะยอมรับการลงทุนในโครงการที่พิจารณาหรือไม่ การหา
มูลค่าปัจจุบันสุทธิสามารถหาได้จากสูตร
NPV = PV - I
PV = มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสุทธิตลอดอายุโครงการลงทุน (ดูได้จากตาราง PVIFA)
I = เงินลงทุนเริ่มแรก
21
- 22. การหามูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net present value :
NPV)
➢การพิจารณาค่า NPV
➢หากค่า NPV มีค่าเป็นบวก ควรยอมรับการลงทุนในโครงการนั้นเนื่องจากผลตอบแทนจากการลงทุนมี
มากกว่า
➢แต่หากค่า NPV มีค่าเป็นลบควรปฏิเสธการลงทุนเนื่องจากผลตอบแทนจากการลงทุนมีน้อยกว่า แต่
ถ้า NPV มีค่าเท่ากับศูนย์ แสดงว่า คุ้มทุนพอดี ควรพิจารณาจากปัจจัยอื่นนอกเหนือจากเรื่องเงิน
22
- 24. อัตราผลตอบแทนจากโครงการลงทุน(Internal rate of
return : IRR)
➢เป็นอัตราผลตอบแทนของโครงการลงทุนที่ทาให้ค่า PV ของกระแสเงินสดรับสุทธิมีค่าเท่ากับเงินลงทุน
หรืออาจกล่าวได้ว่า NPV มีค่าเท่ากับ 0
➢การพิจารณาโครงการจากค่า IRR หากค่า IRR ที่คานวณได้มีค่าเกินกว่าอัตราผลตอบแทน ควร
ยอมรับโครงการลงทุน
24
- 28. อัตราผลตอบแทนเงินทุน(return on capital method : ROC)
อัตราผลตอบแทนเงินทุนสุทธิ
Net ROC = กาไรเฉลี่ยหลังหักภาษีและดอกเบี้ยต่อปี x100%
เงินลงทุนทั้งหมด
อัตราผลตอบแทนเงินทุนรวม
Gross ROC = กาไรเฉลี่ยก่อนหักภาษีและดอกเบี้ยต่อปี x100%
เงินลงทุนทั้งหมด
- 32. การพัฒนาโปรเจ็คชาร์เตอร์
➢ โปรเจ็คชาร์เตอร์ (Project charter) เป็นเอกสารหลักที่ผ่านการตรวจสอบอย่างเป็นทางการโดยผู้ให้การ
สนับสนุน จะใช้เพื่อเป็นเอกสารยืนยันโครงการกับผู้จัดการโครงการให้มีสิทธิ์ใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ในการดาเนิน
โครงการ โปรเจ็คชาร์เตอร์ส่วนใหญ่จะพัฒนามาจากเอกสารสัญญา ข้อตกลง ปัจจัยภายในองค์กร ทรัพยากร
ของบริษัท
➢ วัตถุประสงค์ในการพัฒนาโปรเจ็คชาร์เตอร์
➢ การจัดทามูลค่าการวัดของโครงการให้เป็นเอกสาร,
➢ การกาหนดโครงสร้างพื้นฐานของโครงการ,
➢ การสรุปรายละเอียดแผนโครงการ,
➢ การกาหนดความรับผิดชอบของผู้ที่เกี่ยวข้อง,
➢ การกาหนดทรัพยากรโครงการที่จาเป็นต้องใช้
➢ และการกาหนดวิธีการควบคุมโครงการ
32
- 36. การกาหนดขอบเขตงานโครงการ
➢ขอบเขตงานโครงการ (Project scope) หมายถึง กรอบงานหรือกิจกรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง
กับการดาเนินงานโครงการ
➢ขอบเขตงานจะเป็นตัวกาหนดปัจจัยอื่น ๆ ที่จะตามมา เช่น ระยะเวลา การใช้ทรัพยากร และ
ปัจจัยด้านคุณภาพ
➢หากกาหนดขอบเขตงานโครงการไม่ดีจะส่งผลให้การวางแผนและการดาเนินงานอาจเกิด
ความผิดพลาด ซึ่งอาจทาให้โครงการไม่บรรลุตามเป้าหมาย หรือไม่ตอบสนองความต้องการของ
ผู้ใช้งาน
➢ดังนั้นจึงควรกาหนดขอบเขตงานให้ชัดเจน
36
- 38. 1.การวางแผนขอบเขต
➢การวางแผนขอบเขตงาน (scope planning) เป็นการรวบรวมข้อมูลจากโปรเจ็คชาร์เตอร์
ข้อกาหนดขอบเขตงานเบื้องต้น เพื่อที่จะสร้างแผนการบริหารขอบเขตงานโครงการ ซึ่งเป็น
ผลลัพธ์ที่ต้องการในขั้นตอนนี้
➢แผนการบริหารขอบเขตงานโครงการจะอธิบายว่าเราควรเตรียมข้อกาหนดขอบเขตโครงการ
อย่างไร จะสร้างโครงสร้างจาแนกงานได้อย่างไร มีการตรวจสอบขอบเขตงาน และการควบคุม
การเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร
38
- 40. 2.การกาหนดขอบเขตงาน
➢การกาหนดขอบเขตงาน (Scope definition) การนิยามขอบเขตงานเป็นกิจกรรมที่ต้องดาเนินการหลังจากที่ได้
วางแผนขอบเขตเรียบร้อย
➢การนิยามขอบเขตงาน เป็นการแบ่งงานหลัก ๆ ในโครงการให้ย่อยลงจนสามารถมองเห็นรายละเอียดได้ว่าจะต้อง
ทาอะไรบ้าง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ทีมงานโครงการมักจะจัดทารายละเอียดเหล่านี้ให้อยู่ในรูปของโครงสร้างกิจกรรมย่อย
การกาหนดขอบเขตงานโครงการที่ชัดเจนจะทาให้สามารถจัดสรรทรัพยากรในการดาเนินงานโครงการได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ
➢ผลลัพธ์ของการกาหนดขอบเขตโครงการ คือ ข้อกาหนดขอบเขตโครงการ
40
- 43. 3. โครงสร้างจาแนกงาน
➢โครงสร้างจาแนกงาน (Work breakdown structure : WBS) เป็นการจัดกลุ่มกิจกรรมที่อยู่
ในโครงการทั้งหมดเพื่อแสดงให้เห็นขอบเขตงานโครงการ โดยกิจกรรมต่าง ๆ ที่กาหนดสามารถ
แตกกระจายเป็นกิจกรรมย่อย ๆ ในระดับต่าง ๆ ที่ลึกลงไปได้ ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงรายละเอียด
ของงานหรือกิจกรรมที่ต้องทาทั้งหมด
➢โครงสร้างจาแนกงาน จัดเป็นเอกสารเบื้องต้นชิ้นหนึ่งในการบริหารจัดการโครงการ เนื่องจาก
เอกสารดังกล่าวจะแสดงหลักเกณฑ์ในการวางแผนและการบริหารจัดการตารางเวลา ต้นทุน
ทรัพยากร และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของโครงการ โครงสร้างจาแนกงานที่ดีควรจะแสดง
กิจกรรมที่จาเป็นต้องทาทั้งหมดของโครงการ กิจกรรมใดที่ไม่จาเป็นต่อการดาเนินโครงการไม่
ควรถูกแสดงไว้ในโครงสร้างจาแนกงานนี้
43
- 48. ➢ การใช้แนวทาง (Using guidelines) เป็นวิธีการสร้างโครงสร้างการจาแนกงานตามแนวทางในการดาเนินงาน
โครงการหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้ว
➢ วิธีการเปรียบเทียบ (The analogy approach) เป็นการศึกษาข้อมูลโครงสร้างการจาแนกงานจากโครงการเก่า
ที่เคยทามาแล้วและมีลักษณะใกล้เคียงกันกับโครงการที่กาลังพิจารณาอยู่ นามาเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้าง
โครงสร้างการจาแนกงาน
➢ วิธีการจากระดับบนลงล่าง (The top-down approach) มองภาพกิจกรรมกว้าง ๆ หรือกิจกรรมที่มีขนาดใหญ่
ที่สุดก่อน แล้วจึงแตกงานหรือกิจกรรมใหญ่นั้นให้เป็นงานหรือกิจกรรมย่อย ๆ วิธีการนี้จะเหมาะกับการสร้าง
โครงสร้างการจาแนกงานสาหรับโครงการที่มีผู้จัดการโครงการที่มีประสบการณ์ซึ่งสามารถมองเห็นภาพโดยรวมของ
โครงการทั้งหมดได้อย่างชัดเจน
วิธีการในการสร้างโครงสร้างการจาแนกงาน
48
- 49. ➢ วิธีการจากระดับล่างขึ้นบน (The bottom-up approach) เริ่มมองจากงานที่มีขนาดเล็ก หลาย ๆ
งานก่อน แล้วมีการจัดรวมเป็นกลุ่มงานใหญ่ที่ประกอบด้วยงานเล็ก ๆ วิธีการนี้จะใช้เวลานาน
➢ วิธีการวางแผนความคิด (The mind-mapping approach) วิธีนี้จะใช้เทคนิคการแตกความคิดหลัก
ออกเป็นกิ่งก้านสาขาหรือความคิดย่อยๆ ที่มีความสัมพันธ์กัน เป็นการระดมสมองของสมาชิกในทีมงาน
เน้นการมีส่วนร่วม สนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ของสมาชิกในทีมงาน
วิธีการในการสร้างโครงสร้างการจาแนกงาน
49
- 51. 4. การตรวจสอบขอบเขตงาน
➢การตรวจสอบขอบเขตงาน (Scope verification) ตรวจสอบขอบเขตผลงานหรือสิ่งที่จะส่งมอบ และให้การ
ยอมรับขอบเขตของผลงานนั้นอย่างเป็นทางการ
➢ในกรณีที่ขอบเขตผลงานที่ตรวจสอบยังไม่สมบูรณ์หรือยังไม่เป็นไปตามความต้องการ อาจมีการร้องขอให้ทาการ
ปรับเปลี่ยนบางส่วนเพื่อให้สามารถยอมรับได้
➢ข้อมูลที่ใช้ในการตรวจสอบขอบเขตงาน คือ ข้อกาหนดขอบเขตงาน โครงสร้างจาแนกงาน แผนการบริหารขอบเขต
โครงการ และสิ่งที่ส่งมอบ
➢เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจสอบขอบเขตงานคือการวัด การตรวจสอบของผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ลูกค้า ผู้ให้การ
สนับสนุน ผู้ใช้ และการทดสอบผลผลิตของโครงการเพื่อให้แน่ใจว่า ผลผลิตเหล่านั้นถูกต้องเป็นไปตามความต้องการ
ที่ระบุไว้ ทั้งด้านคุณสมบัติเฉพาะและปริมาณ โดยผลลัพธ์หลักของการตรวจสอบขอบเขตงาน คือ สิ่งที่ส่งมอบได้รับ
การยอมรับ คาขอเปลี่ยนแปลง และวิธีการแก้ไขที่ได้รับการแนะนา
51
- 53. 5. การควบคุมการเปลี่ยนแปลงขอบเขตงาน
➢สาเหตุการเปลี่ยนแปลง
◦ การคลาหาขอบเขต (Scope grope) มักจะเกิดขึ้นในช่วงแรกของโครงการ โดยทีมงานขาดความเข้าใจและไม่
สามารถกาหนดขอบเขตของโครงงานได้อย่างชัดเจน ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาในภายหลังได้
◦ การขยายขอบเขต (Scope creep) การขยายขอบเขตงานหลังจากที่โครงการได้ดาเนินไปแล้ว โดยทีมงานอาจสนใจ
หรือมีแนวคิดใหม่ ทาให้เกิดความกระตือรือร้นในการเพิ่มคุณลักษณะใหม่ ๆ เข้าไปโดยที่ผู้สนับสนุนไม่ได้ขอ การ
ดาเนินการนี้อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ทรัพยากรโครงการ
◦ การก้าวกระโดดของขอบเขต (Scope leap) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสาคัญในขอบเขตโครงการ การ
ก้าวกระโดดของขอบเขตเกิดจากการเปลี่ยนสภาพแวดล้อม ธุรกิจ การแข่งขัน ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกซึ่งอาจส่งผลต่อ
เป้าหมายของโครงการ ทาให้ต้องมีการพิจารณาปรับเปลี่ยนขอบเขต บางครั้งอาจต้องยุติโครงการก่อน แล้วจึงเริ่ม
โครงการใหม่
53
- 54. การกาหนดวัตถุประสงค์โครงการ
➢วัตถุประสงค์โครงการ (Project objective) จะเป็นเกณฑ์ที่ใช้ในการชี้วัดความสาเร็จของ
โครงการ
➢โดยเป็นคาตอบของคาถามที่ว่า “โครงการจะประสบความสาเร็จ ถ้า...”
➢วัตถุประสงค์ของโครงการควรเน้นไปที่ผลสาเร็จ (Outcome) ของโครงการมากกว่าตัวงาน
(Task) ที่ถูกสร้างขึ้นมาตามเงื่อนไขของโครงการ
➢เช่น การกาหนดวัตถุประสงค์ว่า “ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ได้” ดีกว่าการที่จะ
กาหนดว่า “สามารถสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซได้”
➢การกาหนดวัตถุประสงค์ควรให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการได้ร่วมกันพิจารณากาหนด
54
- 55. การกาหนดวัตถุประสงค์โครงการ
เทคนิค SMART
➢S (Specific) คือ ความชัดเจน เฉพาะเจาะจง การเขียนวัตถุประสงค์จะต้องมีความชัดเจน มองเห็นเป็นรูปธรรมว่าคืออะไร ทา
อย่างไร การกาหนดวัตถุประสงค์ที่คลุมเครือ เช่น “เพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์กับลูกค้า” จะทาให้ยากในการตรวจสอบความสาเร็จ
ของโครงการ
➢M (Measurable) คือ การวัดผลได้ การกาหนดวัตถุประสงค์ควรกาหนดเกณฑ์หรือมาตรวัดที่สามารถวัดได้ว่าโครงการนี้
ประสบความสาเร็จ เช่น กาหนดว่า “เพื่อลดการบ่นหรือการร้องทุกข์ของลูกค้า” ดีกว่า กาหนดว่า “เพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์กับ
ลูกค้า” การวัดสามารถทาได้ทั้งการวัดเชิงปริมาณ เช่น การระบุจานวน และการวัดเชิงคุณภาพ ซึ่งจะใช้วิธีการวัดแบบเทียบเคียง
(Benchmarking)
➢A (Achievable) คือ ความสามารถทาได้ สามารถบรรลุ หรือไปถึงได้ การกาหนดวัตถุประสงค์ควรคานึงถึงความสามารถของ
บุคลากร หรือทีมงานที่จะสามารถดาเนินการให้บรรลุผลตามที่ตั้งไว้ได้
➢R (Relevant) คือ ความสอดคล้องกับเป้าหมายและงานที่รับผิดชอบ และต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง
➢T (Time constrained) มีการกาหนดระยะเวลา การตั้งวัตถุประสงค์ควรมีการกาหนดระยะเวลาที่จะสามารถบรรลุผลได้
55
- 56. การประมาณการต้นทุนเบื้องต้น
➢การประมาณการต้นทุนเบื้องต้น (Initial cost estimates) เป็นการประมาณการต้นทุนหรือค่าใช้จ่าย
โครงการซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นงานที่จาเป็นในระยะเริ่มต้นโครงการ เพื่อประเมินราคาซอฟต์แวร์ โดยเฉพาะ
สาหรับโครงการที่ต้องเข้าร่วมประมูล หากต้องการชนะการประมูลจะต้องเสนอราคาที่ค่อนข้างต่ากว่าคู่แข่ง
แต่จะต้องไม่ขาดทุนเมื่อเทียบกับต้นทุนที่ต้องจ่ายจริง การประเมินราคาที่ต่าเกินไปจะทาให้บริษัทขาดทุน
หากประเมินราคาสูงเกินไปก็อาจจะไม่ถูกเลือก
➢สิ่งสาคัญในการประเมินราคาซอฟต์แวร์ คือ ต้นทุนของโครงการซอฟต์แวร์
56
- 60. การนับจานวนบรรทัดของซอร์สโค้ด
➢การนับจานวนบรรทัดของซอร์สโค้ด (Line of code) เป็นวิธีการวัดขนาดซอฟต์แวร์ในยุคแรก
เป็นวิธีการวัดที่ง่ายและชัดเจน
➢การนับจานวนบรรทัดของซอร์สโค้ดเพื่อให้ได้ขนาดของซอฟต์แวร์จึงมีวิธีการนับหลายวิธี
➢วิธีการวัดขนาดซอฟต์แวร์แบบนี้มีข้อเสียคือ จานวนบรรทัดที่นับได้ขึ้นอยู่กับภาษาคอมพิวเตอร์ที่
ใช้และคุณภาพในการออกแบบโปรแกรม หากใช้ภาษาต่างกันจะไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้
60
- 61. การนับจานวนฟังก์ชัน
➢การนับจานวนฟังก์ชัน (Function point : FP) เป็นวิธีการวัดขนาดของซอฟต์แวร์ด้วยการนับ
จานวนฟังก์ชันการทางานของโปรแกรมจากข้อกาหนดความต้องการซอฟต์แวร์
➢วิธีการนี้จะแก้ไขข้อเสียจากวิธีการแรก จะลดปัญหาความแตกต่างกันของภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้
การนับจานวนฟังก์ชันมีสูตรที่ใช้ในการคานวณซึ่งรายละเอียดจะได้กล่าวถึงต่อไป
61
- 63. เทคนิคการประมาณต้นทุนและแรงงาน
➢เทคนิค Algorithmic cost modeling ใช้แบบจาลองทางคณิตศาสตร์ในการประมาณการ
➢เทคนิค Expert judgement อาศัยความรู้ ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญในการประมาณการ
➢เทคนิค Estimation by analogy ใช้วิธีการเทียบเคียงและวิเคราะห์ โดยประมาณการบน
พื้นฐานของข้อมูลจากโครงการเก่าที่มีลักษณะคล้ายกันที่เคยทามาแล้ว
➢เทคนิค Pakinson’s law เป็นเทคนิคการกระจายงานให้ทีมงานตามระยะเวลาที่มีอยู่ เช่น ถ้ามี
ทีมงาน 5 คน และต้องส่งมอบซอฟต์แวร์ภายใน 12 เดือน ดังนั้นต้องจัดให้ทีมงานทั้ง 5 คนทางาน
ให้ได้ 60 man-month
63
- 64. เทคนิคการประมาณต้นทุนและแรงงาน
➢เทคนิค Price to win เป็นเทคนิคการประมาณการต้นทุนให้ต่าที่สุด เพื่อให้ชนะการประมูล
➢เทคนิค Top-down เป็นเทคนิคการประมาณการต้นทุนจากบนลงล่าง หมายถึง การ
ประมาณการต้นทุนจากการกาหนดต้นทุนของงานหลักก่อนแล้วค่อยแบ่งกระจายเป็นเป็นต้นทุน
ของงานย่อย ๆ
➢เทคนิค Bottom-up เป็นเทคนิคการประมาณการต้นทุนโดยประมาณการจากล่างขึ้นบน
เป็นการประมาณการจากการรวมต้นทุนของงานย่อย ๆ ทั้งหมด รวมเป็นต้นทุนของโครงการ
64