SlideShare a Scribd company logo
1 of 16
Download to read offline
1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6
ปีการศึกษา 2560
ชื่อโครงงาน โรคซึมเศร้า
ชื่อผู้ทาโครงงาน
1 นางสาว หทัยพร บุญชู เลขที่ 28 ชั้น ม.6 ห้อง 6
2 นางสาว กรกนก สิทธิ์ดิสัยรักษ์ เลขที่ 39 ชั้น ม.6 ห้อง 6
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม
1 นางส่าว หทัยพร บุญชู เลขที่ 28
2 นางส่าว กรกนก สิทธิ์ดิสัยรักษ์ เลขที่ 39
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
โรคซึมเศร้า
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
Depressive disorder
ประเภทโครงงาน โครงงานประเภททฤษฎี
ชื่อผู้ทาโครงงาน 1.นางสาว หทัยพร บุญชู
2.นางสาวกรกนก สิทธิ์ดิสัยรักษ์
ชื่อที่ปรึกษา คุณครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ประจาปีการศึกษา 2560
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน)
โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางอารมณ์ที่พบบ่อย โดยมีความชุกตลอดช่วงชีวิตถึง 12% พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
และพบได้ในทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์เลวร้ายที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึก เช่น การสูญเสีย
ความผิดหวังหรือการหย่าร้าง การเป็นโรคนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่เป็นนั้นจะเป็นคนอ่อนแอ ล้มเหลวหรือไม่มี
ความสามารถ เพราะมีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่าโรคซึมเศร้ามีสาเหตุส่วนหนึ่งจากการทางานของระบบสมองที่
ผิดปกติ ในปัจจุบันโรคซึมเศร้าสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาและการรักษาทางจิตใจ หากไม่ได้รับการรักษาอาจเกิด
ผลกระทบต่อการดาเนินชีวิตประจาวัน การทางานและความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง นาไปสู่ภาวะซึมเศร้าที่รุนแรงมาก
ขึ้น เช่น มีอาการหลงผิด หูแว่ว มีความคิดทาร้ายตนเองหรือฆ่าตัวตาย
3
ปัจจุบันนี้สภาพสังคมที่วุ่นวาย ทาให้เราสามารถพบปัญหาทางอารมณ์มากขึ้น อย่างไรก็ตามปัญหานี้ใกล้ตัว
ทุกคนอย่างคาดไม่ถึง เราจึงจาเป็นต้องรู้จักและพยายามจัดการอารมณ์ให้ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาด้านอื่นๆ
ต่อไป
ดังนั้นผู้จัดทาจึงมีความคิดที่จะนาข้อมูลเกี่ยวกับโรคซึมเศร้ามาให้ผู้อ่านได้ศึกษาเกี่ยวกับรายละเอียดของโรค
ซึมเศร้า เพราะเรื่องนี้มีความสาคัญอย่างมากต่อตัวผู้อ่านและคนรอบข้างเอง
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
1. เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุของการเกิดโรคซึมเศร้า
2.เพื่อให้ทราบถึงชนิดของโรคซึมเศร้า
3.เพื่อให้ทราบอาการของโรคซึมเศ้รา
3.เพื่อให้ทราบความแตกต่างระหว่างโรคซึมเศร้ากับโรคเครียด
4.เพื่อให้ทราบถึงวิธีการรักษาเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า
5.เพื่อให้รู้เกี่ยวกับการปฏิบัติเมื่อเป็นโรคซึมเศร้า
6.เพื่อรู้วิธีการการป้องกันโรคซึมเศร้า
7.เพื่อเป็นแนวทางลดการฆ่าตัวตายของผู้ป่วยโรคซึมเศ้รา
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
1.การทาความเข้าใจและการศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า
2.พฤติกรรมและอาการของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าขึ้นอยู่แต่ละบุคคล
หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน)
 โรคซึมเศร้าคืออะไร
สาหรับคนส่วนใหญ่แล้วคาว่าโรคซึมเศร้าฟังดูไม่คุ้นหู ถ้าพูดถึงเรื่องซึมเศร้าเรามักจะนึกกันว่าเป็นเรื่องของ
อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดจากความผิดหวัง หรือการสูญเสียมากกว่าที่จะเป็นโรค ซึ่งตามจริงแล้ว ที่เราพบกันใน
ชีวิตประจาวันส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกธะรรมดาๆ ที่มีกันในชีวิตประจาวัน มากบ้างน้อยบ้าง
อย่างไรก็ตามในบางครั้ง ถ้าอารมณ์เศร้าที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอยู่นานโดยไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น หรือเป็นรุนแรง มีอาการต่างๆ
ติดตามมา เช่น นอนหลับๆ ตื่นๆ เบื่ออาหาร น้าหนักลดลงมาก หมดความสนใจต่อโลกภายนอก ไม่คิดอยากมีชีวิตอยู่
อีกต่อไป ก็อาจจะเข้าข่ายของโรคซึมเศร้าแล้ว
คาว่า “โรค” บ่งว่าเป็นความผิดปกติทางการแพทย์ ซึ่งจาเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาเพื่อให้อาการทุเลา ต่าง
จากภาวะอารมณ์เศร้าตามปกติธรรมดาที่ถ้าเหตุการณ์ต่างๆ รอบตัวคลี่คลายลง หรือมีคนเข้าใจเห็นใจ อารมณ์เศร้านี้
ก็อาจหายได้ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้านอกจากมีอารมณ์ซึมเศร้าร่วมกับอาการต่างๆ แล้ว การทางานหรือการประกอบ
กิจวัตรประจาวันก็แย่ลงด้วย คนที่เป็นแม่บ้านก็ทางานบ้านน้อยลงหรือมีงานบ้านคั่งค้าง คนที่ทางานนอกบ้านก็อาจ
ขาดงานบ่อยๆ จนถูกเพ่งเล็ง เรียกว่าตัวโรคทาให้การประกอบกิจวัตรประจาวันต่างๆ บกพร่องลง หากจะเปรียบกับ
4
โรคทางร่างกายก็คงคล้ายๆ กัน เช่น ในโรคหัวใจ ผู้ที่เป็นก็จะมีอาการต่างๆ ร่วมกับการทาอะไรต่างๆ ได้น้อยหรือไม่ดี
เท่าเดิม
ดังนั้น การเป็นโรคซึมเศร้าไม่ได้หมายความว่า ผู้ที่เป็นเป็นคนอ่อนแอ คิดมาก หรือเป็นคนไม่สู้ปัญหา เอาแต่
ท้อแท้ ซึมเซา แต่ที่เขาเป็นนั้นเป็นเพราะตัวโรค กล่าวได้ว่าถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม โรคก็จะทุเลาลง เขา
ก็จะกลับมาเป็นผู้ทีจิตใจแจ่มใส พร้อมจะทากิจวัตรต่างๆ ดังเดิม
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมค่อนข้างมาก การเปลี่ยนแปลงหลักๆ จะเป็นในด้าน
อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด พฤติกรรม ร่วมกับอาการทางร่างกายต่างๆ ดังจะได้กล่าวต่อไป
กลับไปต้นฉบับ
 การเปลี่ยนแปลงในผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้า
การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าดังที่จะกล่าวต่อไปนี้ อาจเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปเป็น
เดือนๆ หรือเป็นเร็วภายใน 1-2 สัปดาห์เลยก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย เช่น มีเหตุการณ์มากระทบรุนแรงมาก
น้อยเพียงได บุคลิกเดิมของเจ้าตัวเป็นอย่างไร มีการช่วยเหลือจากคนรอบข้างมากน้อยเพียงได เป็นต้น และผู้ที่เป็น
อาจไม่มีอาการตามนี้ไปทั้งหมด แต่อย่างน้อยอาการหลักๆ จะมีคล้ายๆ กัน เช่น รู้สึกเบื่อเศร้า ท้อแท้ รู้สึกตนเองไร้ค่า
นอนหลับไม่ดี เป็นต้น
ลักษณะการเปลี่ยนแปลงที่สาคัญ
1. อารมณ์เปลี่ยนแปลงไป ที่พบบ่อยคือจะกลายเป็นคนเศร้าสร้อย หดหู่ สะเทือนใจง่าย ร้องไห้บ่อย เรื่อง
เล็กๆน้อยๆ ก็ดูเหมือนจะอ่อนไหวไปหมด บางคนอาจไม่มีอารมณ์เศร้าชัดเจนแต่จะบอกว่าจิตใจหม่นหมอง ไม่แจ่มใส
ไม่สดชื่นเหมือนเดิม บางคนอาจมีความรู้สึกเบื่อหน่ายไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งที่เดิมตนเคยทาแล้วเพลินใจหรือสบาย
ใจ เช่น ฟังเพลง พบปะเพื่อนฝูง เข้าวัด ก็ไม่อยากทาหรือทาแล้วก็ไม่ทาให้สบายใจขึ้น บ้างก็รู้สึกเบื่อไปหมดตั้งแต่ตื่น
เช้ามา บางคนอาจมีอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย อะไรก็ดูขวางหูขวางตาไปหมด กลายเป็นคนอารมณ์ร้าย ไม่ใจเย็น
เหมือนก่อน
2. ความคิดเปลี่ยนไป มองอะไรก็รู้สึกว่าแย่ไปหมด มองชีวิตที่ผ่านมาในอดีตก็เห็นแต่ความผิดพลาดความ
ล้มเหลวของตนเอง ชีวิตตอนนี้ก็รู้สึกว่าอะไรๆ ก็ดูแย่ไปหมด ไม่มีใครช่วยอะไรได้ ไม่เห็นทางออก มองอนาคตไม่เห็น
รู้สึกท้อแท้หมดหวังกับชีวิต บางคนกลายเป็นคนไม่มั่นใจตนเองไป จะตัดสินใจอะไรก็ลังเลไปหมด รู้สึกว่าตนเองไร้
ความสามารถ ไร้คุณค่า เป็นภาระแก่คนอื่น ทั้งๆ ที่ญาติหรือเพื่อนๆ ก็ยืนยันว่ายินดีช่วยเหลือ เขาไม่เป็นภาระอะไร
แต่ก็ยังคงคิดเช่นนั้นอยู่ ความรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า ความคับข้องใจ ทรมานจิตใจ เหล่านี้อาจทาให้เจ้าตัวคิดถึงเรื่องการ
ตายอยู่บ่อยๆ แรกๆ ก็อาจคิดเพียงแค่อยากไปให้พ้นๆ จากสภาพตอนนี้ ต่อมาเริ่มคิดอยากตายแต่ก็ไม่ได้คิดถึง
แผนการณ์อะไรที่แน่นอน เมื่ออารมณ์เศร้าหรือความรู้สึกหมดหวังมีมากขึ้น ก็จะเริ่มคิดเป็นเรื่องเป็นราวว่าจะทา
อย่างไร ในช่วงนี้หากมีเหตุการณ์มากระทบกระเทือนจิตใจก็อาจเกิดการทาร้ายตนเองขึ้นได้จากอารมณ์ชั่ววูบ
3. สมาธิความจาแย่ลง จะหลงลืมง่าย โดยเฉพาะกับเรื่องใหม่ๆ วางของไว้ที่ไหนก็นึกไม่ออก ญาติเพิ่งพูดด้วย
เมื่อเช้าก็นึกไม่ออกว่าเขาสั่งว่าอะไร จิตใจเหม่อลอยบ่อย ทาอะไรไม่ได้นานเนื่องจากสมาธิไม่มี ดูโทรทัศน์นานๆ จะไม่
รู้เรื่อง อ่านหนังสือก็ได้ไม่ถึงหน้า ประสิทธิภาพในการทางานลดลง ทางานผิดๆ ถูกๆ
5
4. มีอาการทางร่างกายต่างๆ ร่วม ที่พบบ่อยคือจะรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ซึ่งเมื่อพบร่วมกับอารมณ์รู้สึก
เบื่อหน่ายไม่อยากทาอะไร ก็จะทาให้คนอื่นดูว่าเป็นคนขี้เกียจ ปัญหาด้านการนอนก็พบบ่อยเช่นกัน มักจะหลับยาก
นอนไม่เต็มอิ่ม หลับๆตื่นๆ บางคนตื่นแต่เช้ามืดแล้วนอนต่อไม่ได้ ส่วนใหญ่จะรู้สึกเบื่ออาหาร ไม่เจริญอาหาร
เหมือนเดิม น้าหนักลดลงมาก บางคนลดลงหลายกิโลกรัมภายใน 1 เดือน นอกจากนี้ยังอาจมีอาการท้องผูก อืดแน่น
ท้อง ปากคอแห้ง บางคนอาจมีอาการปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว
5. ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างเปลี่ยนไป ดังกล่าวบ้างแล้วข้างต้น ผู้ที่เป็นโรคนี้มักจะดูซึมลง ไม่ร่าเริง แจ่มใส
เหมือนก่อน จะเก็บตัวมากขึ้น ไม่ค่อยพูดจากับใคร บางคนอาจกลายเป็นคนใจน้อย อ่อนไหวง่าย ซึ่งคนรอบข้างก็
มักจะไม่เข้าใจว่าทาไมเขาถึงเปลี่ยนไป บางคนอาจหงุดหงิดบ่อยกว่าเดิม แม่บ้านอาจทนที่ลูกๆ ซนไม่ได้ หรือมีปาก
เสียงระหว่างคู่ครองบ่อยๆ
6. การงานแย่ลง ความรับผิดชอบต่อการงานก็ลดลง ถ้าเป็นแม่บ้านงานบ้านก็ไม่ได้ทา หรือทาลวกๆ เพียงให้
ผ่านๆ ไป คนที่ทางานสานักงานก็จะทางานที่ละเอียดไม่ได้เพราะสมาธิไม่มี ในช่วงแรกๆ ผู้ที่เป็นอาจจะพอฝืนใจ
ตัวเองให้ทาได้ แต่พอเป็นมากๆ ขึ้นก็จะหมดพลังที่จะต่อสู้ เริ่มลางานขาดงานบ่อยๆ ซึ่งหากไม่มีผู้เข้าใจหรือให้การ
ช่วยเหลือก็มักจะถูกให้ออกจากงาน
7. อาการโรคจิต จะพบในรายที่เป็นรุนแรงซึ่งนอกจากผู้ที่เป็นจะมีอาการซึมเศร้ามากแล้ว จะยังพบว่ามี
อาการของโรคจิตได้แก่ อาการหลงผิดหรือประสาทหลอนร่วมด้วย ที่พบบ่อยคือ จะเชื่อว่ามีคนคอยกลั่นแกล้ง หรือ
ประสงค์ร้ายต่อตนเอง อาจมีหูแว่วเสียงคนมาพูดคุยด้วย อย่างไรก็ตามอาการเหล่านี้มักจะเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น
เมื่อได้รับการรักษา อารมณ์เศร้าดีขึ้น อาการโรคจิตก็มักทุเลาตาม
 จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคนี้หรือเปล่า
บางคนที่อ่านถึงตอนนี้อาจรู้สึกว่าตนเองก็มีอะไรหลายๆ อย่างเข้ากันได้กับโรคซึมเศร้าที่ว่า แต่ก็มีหลายๆ อย่างที่
ไม่เหมือนทีเดียวนัก ทาให้อาจสงสัยว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าตนเองเป็นหรือเปล่า
อาการซึมเศร้านั้นมีด้วยกันหลายระดับตั้งแต่น้อยๆ ที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจาวัน ไปจนเริ่มมีผลกระทบต่อการ
ดารงชีวิตประจาวัน และบางคนอาจเป็นถึงระดับของโรคซึมเศร้า อาการที่พบร่วมอาจเริ่มตั้งแต่รู้สึกเบื่อหน่าย ไปจน
พบอาการต่างๆ มากมาย ดังได้กล่าวในบทต้นๆ
แบบสอบถามภาวะอารมณ์เศร้า (Patient Health Questionnaire; PHQ9) เป็นแบบสอบถามทีใช้เพื่อช่วย
ในการประเมินว่าผู้ตอบมีมีภาวะซึมเศร้าหรือไม่ รุนแรงมากน้อยเพียงใด เป็นมากจนถึงระดับที่ไม่ควรจะปล่อยทิ้งไว้
หรือไม่ แบบสอบถามนี้ไม่ได้บอกว่าเป็นโรคอะไร เพียงแต่ช่วยบอกว่าภาวะซึมเศร้าที่มีอยู่ในระดับไหนเท่านั้น ในการ
วินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่นั้น ผู้ที่มีอารมณ์ซึมเศร้ายังต้องมีอาการที่เข้าตามเกณฑ์การวินิจฉัยตามตารางที่ 3.2
ข้อดีอย่างหนึ่งของแบบสอบถามนี้คือสามารถใช้ช่วยในการประเมินระดับความรุนแรงของอาการได้ ว่าแต่ละ
ขณะเป็นอย่างไร อาการดีขึ้นหรือเลวลง การรักษาได้ผลหรือไม่ ผู้ป่วยอาจทาและจดบันทึกไว้ทุก 1-2 สัปดาห์ โดยถ้า
การรักษาได้ผลดีก็จะมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นโดยมีค่าคะแนนลดลงตามลาดับ
ชนิดของโรคซึมเศร้า
 โรคซึมเศร้าแบ่งออกเป็น 3 ชนิดด้วยกัน
ซึ่งแต่ละชนิดมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปดังนี้
6
1. Major depression (โรคซึมเศร้าแบบรุนแรง) โรคซึมเศร้าชนิดนี้จะรบกวนการทางาน การรับประทาน
อาหาร การนอนหลับ การเรียน รวมทั้งอารมณ์สุนทรีย์ ซึ่งอาการของโรคซึมเศร้าชนิดนี้จะเกิดเป็นครั้งๆ แล้ว
หายไป แต่ทั้งนี้ก็สามารถเกิดได้บ่อยครั้ง
2. Dysthymia (โรคซึมเศร้าเรื้อรัง) เป็นโรคซึมเศร้าชนิดที่อยู่ในภาวะที่รุนแรง และสามารถเป็นแบบเรื้อรัง ทั้งนี้
มันสามารถทาให้ผู้ป่วยเกิดการสูญเสียความสามารถในการทางานและความรู้สึกที่ดีได้
3. Bipolar หรือ Manic-depressive illness (โรคซึมเศร้าอารมณ์ตก) เป็นโรคซึมเศร้าชนิดที่ผู้ป่วยมีการ
เปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ ซึ่งสาหรับบางคนอาจจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยส่วนมากจะค่อยเป็น
ค่อยไป เมื่อซึมเศร้าก็จะมีอาการมากบ้างน้อยบ้าง แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นช่วงอารมณ์สนุกคึกคักเกิน
เหตุ จะทาให้ผู้ป่วยมีอาการพูดมากกว่าที่เคยเป็น มีความกระฉับกระเฉงมากเกินกว่าเหตุ มีพลังงานใน
ร่างกายที่เหลือเฟือ ในช่วงอารมณ์สนุกคึกคักเกินเหตุนั้น จะมีผลกระทบต่อความคิดและการตัดสินใจของ
ผู้ป่วย รวมทั้งพฤติกรรมของผู้ป่วยอาจจะหลงผิด หากผู้ป่วยในภาวะนี้ไม่ได้รับการรักษาจะทาให้ผู้ป่วย
กลายเป็นโรคจิต
 เกณฑ์การวินิจฉัย
มีอาการดังต่อไปนี้ 5 อาการหรือมากกว่า
1. มีอารมณ์ซึมเศร้า (ในเด็กและวัยรุ่นอาจเป็นอารมณ์หงุดหงิดก็ได้)
2. ความสนใจหรือความเพลินใจในกิจกรรมต่างๆ แทบทั้งหมดลดลงอย่างมาก
3. น้าหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นมาก (น้าหนักเปลี่ยนแปลงมากกว่าร้อยละ 5 ต่อเดือน) หรือมีการเบื่ออาหารหรือ
เจริญอาหารมาก
4. นอนไม่หลับ หรือหลับมากไป
5. กระวนกระวาย อยู่ไม่สุข หรือเชื่องช้าลง
6. อ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง
7. รู้สึกตนเองไร้ค่า
8. สมาธิลดลง ใจลอย หรือลังเลใจไปหมด
9. คิดเรื่องการตาย คิดอยากตาย
* ต้องมีอาการในข้อ 1 หรือ 2 อย่างน้อย 1 ข้อ
* ต้องมีอาการเป็นอยู่นาน 2 สัปดาห์ขึ้นไป และต้องมีอาการเหล่านี้อยู่เกือบตลอดเวลา แทบทุกวัน ไม่ใช่เป็นๆ หายๆ
เป็นเพียงแค่วันสองวันหายไปแล้วกลับมาเป็นใหม่
 แพทย์วินิจฉัยอย่างไร
เหตุที่เราจาเป็นต้องพบแพทย์เพื่อให้การวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่เนื่องจาก มีโรคทางจิตเวชอื่นหลายโรค
ที่มีอาการคล้ายคลึงกับโรคซึมเศร้า โรคทางร่างกายหลายโรคและยาบางตัวก็สามารถก่อให้เกิดอาการซึมเศร้าได้ ดัง
ตัวอย่างในตารางที่ * แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการป่วยเป็นโรคหรือกาลังได้ยาเหล่านี้ จะต้องเป็นสาเหตุของโรค
ซึมเศร้าเสมอไป ผู้ป่วยบางคนอาจป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจากสาเหตุอื่นๆ ก็ได้ การวินิจฉัยจึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และ
7
อาศัยทักษะในการตรวจพอสมควร มีพบบ้างเหมือนกันว่าผู้ป่วยมาด้วยอาการของโรคซึมเศร้า แต่พอรักษาไปได้ระยะ
หนึ่งเริ่มมีอาการของโรคทางกายให้เห็น พอส่งตรวจเพิ่มเติมก็พบเป็นโรคทางกายต่างๆ
ตารางที่ 1 โรคหรือยาที่อาจทาให้เกิดอาการคล้ายคลึงกับโรคซึมเศร้า
โรค ยา
1. โรคสมองอักเสบ โรคตับอักเสบ
1. ยาลดความดันเลือด (เช่น alphamethyldopa, clonidine,
propanolol)
2. โรคระบบประสาท เนื้องอกในสมอง 2. ยารักษาโรคพาร์กินสัน (เช่น levodopa, amantadine)
3. โรคเอส แอล อี (SLE) วัณโรค โรคเอดส์ 3. ยากลุ่มสเตียรอยด์และฮอร์โมน (เช่น ยาคุม, เพรดนิโซโลน)
4. โรคไทรอยด์ฮอร์โมนต่า โรคคุชชิ่ง 4. ยารักษามะเร็ง (vincristine, vinblastine)
5. โรคขาดไวตามิน (เช่น เพเลกรา เบอริเบอรี่) 5. ยาอื่นๆ เช่น ไซเมทิดีน, cyproheptadine
ในการวินิจฉัย โดยทั่วไปแพทย์จะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. ถามอาการหรือการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่เริ่มมีอาการครั้งแรกไล่มาตามลาดับจนปัจจุบัน
ยิ่งผู้ป่วยเล่าอาการต่างๆ ที่มีได้ละเอียด เล่าปัญหาทางจิตใจที่เกิดขึ้นได้มากเท่าไร แพทย์ก็จะยิ่งเข้าใจผู้ป่วย
มากขึ้นเท่านั้น
2. การซักถามในขั้นตอนนี้นอกจากเพื่อดูว่าผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้หรือไม่แล้ว ยังเพื่อพิจารณาว่าผู้ป่วยอาจ
เป็นโรคทางจิตเวชอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับอาการเหล่านี้หรือไม่ ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัย
ประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วย โดยเฉพาะในรายที่อาการไม่ชัดเจน เป็นประสบการณ์และทักษะที่ต้องผ่าน
การฝึกฝนและการดูแลผู้ป่วยมาจานวนหนึ่ง
3. ถามประวัติการเจ็บป่วยต่างๆ ในอดีต โรคประจาตัว และยาที่ใช้ประจา เพื่อดูว่าอาจเป็นสาเหตุของโรค
ซึมเศร้าได้หรือไม่
4. ถามประวัติความเจ็บป่วยในญาติสายเลือดเดียวกัน เพราะโรคซึมเศร้าเกี่ยวข้องกับเรื่องกรรมพันธุ์เหมือนกัน
5. ตรวจร่างกาย และส่งตรวจพิเศษที่จาเป็น ในกรณีที่สงสัยว่าผู้ป่วยอาจมีโรคทางร่างกายอื่นๆ ที่อาจเป็น
สาเหตุของอาการต่างๆ ที่พบ
6. แพทย์อาจซักประวัติเพิ่มเติมจากญาติหรือผู้ใกล้ชิด เพื่อที่จะได้ทราบเรื่องราวหรือาการต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น
เพราะบางครั้งคนรอบข้างอาจสังเกตเห็นอะไรได้ชัดเจนกว่าตัวผู้ที่มีอาการเอง
จะเห็นว่า เกณฑ์การวินิจฉัยดังกล่าวจึงเป็นเพียงแนวทางในเบื้องต้นเท่านั้น เป็นองค์ประกอบหนึ่งในหลายๆ ขั้นตอนที่
แพทย์ใช้ในการวินิจฉัย
การวินิจฉัยที่แน่นอนจึงต้องพบแพทย์เท่านั้น
 โรคอื่นที่มีอาการคล้ายคลึงกับโรคซึมเศร้า
8
ภาวะอารมณ์ซึมเศร้าจากการปรับตัวไม่ได้กับปัญหาที่มากระทบ เป็นภาวะที่เกิดจากการปรับตัวไม่ได้กับปัญหา
ต่างๆ ที่เข้ามากระทบ เช่น ย้ายบ้าน ตกงาน เกษียน เป็นต้น โดยจะพบอาการซึมเศร้าร่วมด้วยได้ แต่มักจะไม่รุนแรง
ถ้ามีคนมาพูดคุย ปลอบใจก็จะดีขึ้นบ้าง อาจมีเบื่ออาหารแต่เป็นไม่มาก ยังพอนอนได้ เมื่อเวลาผ่านไป ค่อยๆ ปรับตัว
ได้กับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ภาวะอารมณ์ซึมเศร้าที่มีก็จะทุเลาลง
โรคอารมณ์แปรปรวน ในโรคอารมณ์แปรปรวน ผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนกับโรคซึมเศร้าอยู่ช่วงหนึ่ง และมีอยู่บาง
ช่วงที่มีอาการออกมาในลักษณะตรงกันข้ามกับอาการซึมเศร้า เช่น อารมณ์ดีเบิกบานมากผิดปกติ พูดมาก ขยันมาก
เชื่อมั่นตัวเองมากกว่าปกติ ใช้เงินเปลือง เป็นต้น ซึ่งทางการแพทย์เรียกระยะนี้ว่า ระยะแมเนีย ผู้ที่เป็นโรคอารมณ์
แปรปรวนบางครั้งจะมีอาการของโรคซึมเศร้า บางครั้งก็มีอาการของภาวะแมเนีย
โรควิตกกังวล พบบ่อยว่าผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้ามักจะมีอาการวิตกกังวล ห่วงโน่นห่วงนี่ ซึ่งเป็นอาการหลักของ
โรควิตกกังวล ที่ต่างกันคือในโรควิตกกังวลนั้น จะมีอาการหายใจไม่อิ่ม ใจสั่น สะดุ้ง ตกใจง่าย ร่วมด้วย อาการเบื่อ
อาหารถึงมีก็เป็นไม่มาก น้าหนักไม่ลดลงมากเหมือนผู้ป่วยโรคซึมเศร้า และโรคซึมเศร้านั้นนอกจากอาการวิตกกังวล
แล้วก็จะพบอาการซึมเศร้า ท้อแท้ เบื่อหน่ายชีวิต ร่วมด้วยโดยที่อาการอารมณ์เศร้านี้จะเห็นเด่นชัดกว่าอาการวิตก
กังวล
 สาเหตุ
ปัจจุบันแนวคิดเกี่ยวกับสาเหตุของโรคซึมเศร้านั้น เชื่อกันว่าสัมพันธ์กับหลายๆ ปัจจัย ทั้งจากด้านกรรมพันธุ์
การพลัดพรากจากพ่อแม่ในวัยเด็ก พัฒนาการของจิตใจ รวมถึงปัจจัยทางชีวภาพ เช่น การเปลี่ยนแปลงของระดับ
สารเคมีในสมองบางตัวเป็นต้น
ปัจจัยสาคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคซึมเศร้าได้แก่
1. กรรมพันธุ์ พบว่ากรรมพันธุ์มีส่วนเกี่ยวข้องสูงในโรคซึมเศร้าโดยเฉพาะในกรณีของผู้ที่มีอาการเป็นซ้าหลายๆ
ครั้ง
2. สารเคมีในสมอง พบว่าระบบสารเคมีในสมองของผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากปกติอย่าง
ชัดเจน โดยมีสารที่สาคัญได้แก่ ซีโรโทนิน (serotonin) และนอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine) ลดต่าลง
รวมทั้งอาจมีความผิดปกติของเซลล์รับสื่อเคมีเหล่านี้ ปัจจุบันเชื่อว่าเป็นความบกพร่องในการควบคุม
ประสานงานร่วมกัน มากกว่าเป็นความผิดปกติที่ระบบใดระบบหนึ่ง ยาแก้เศร้าที่ใช้กันนั้นก็ออกฤทธิ์โดยการ
ไปปรับสมดุลย์ของระบบสารเคมีเหล่านี้
3. ลักษณะนิสัย บางคนมีแนวคิดที่ทาให้ตนเองซึมเศร้า เช่น มองตนเองในแง่ลบ มองอดีตเห็นแต่ความบกพร่อง
ของตนเอง หรือ มองโลกในแง่ร้าย เป็นต้น บุคคลเหล่านี้เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่กดดัน เช่น ตกงาน หย่า
ร้าง ถูกทอดทิ้งก็มีแนวโน้มที่จะเกิดอาการซึมเศร้าได้ง่าย ซึ่งหากไม่ได้รับการช่วยเหลือที่เหมาะสมอาการอาจ
มากจนกลายเป็นโรคซึมเศร้าได้
โรคซึมเศร้านั้นไม่ได้มีสาเหตุจากแต่เพียงปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเท่านั้น เหมือนกับการป่วยเป็นไข้หวัด ก็มักเป็นจาก
ร่างกายอ่อนแอ จากพักผ่อนน้อย ไม่ได้ออกกาลังกาย ขาดสารอาหาร ถูกฝน อากาศเย็น ร่วมกับการได้รับเชื้อไวรัสที่
ทาให้เกิดไข้หวัด ถ้าเราแข็งแรงดี แม้จะได้รับเชื้อหวัดก็ไม่เป็นอะไร ในทานองเดียวกัน ถ้าร่างกายเราอ่อนแอ แต่ไม่ได้
รับเชื้อหวัดก็ไม่เกิดอาการ การเริ่มเกิดอาการของโรคซึมเศร้านั้นมักมีปัจจัยกระตุ้น มากบ้างน้อยบ้าง บางครั้งอาจไม่มี
9
ก็ได้ซึ่งพบได้น้อย อย่างไรก็ตาม การมีสาเหตุที่เห็นชัดว่าเป็นมาจากความกดดันด้านจิตใจนี้ มิได้หมายความว่าสิ่งที่
เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนเราไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน การพิจารณาว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นผิดปกติ
หรือไม่ เราดูจากการมีอาการต่าง ๆ และความรุนแรงของอาการเป็นหลัก ผู้ที่มีอาการเข้ากับเกณฑ์การวินิจฉัยโรค
ซึมเศร้านั้น บ่งถึงภาวะของความผิดปกติที่จาต้องได้รับการช่วยเหลือ
 การรักษา
โรคซึมเศร้านี้หากได้รับการรักษาผู้ที่เป็นจะอาการดีขึ้นมาก อาการซึมเศร้า ร้องไห้บ่อยๆ หรือรู้สึกท้อแท้หมด
กาลังใจ จะกลับมาดีขึ้นจนผู้ที่เป็นบางคนบอกว่าไม่เข้าใจว่าตอนนั้นทาใมจึงรู้สึกเศร้าไปได้ถึงขนาดนั้น ข้อแตกต่าง
ระหว่างโรคนี้กับโรคจิตที่สาคัญประการหนึ่งคือ ในโรคซึมเศร้าถ้าได้รับการรักษาจนดีแล้วก็จะกลับมาเป็นปกติ
เหมือนเดิม ขณะที่ในโรคจิตนั้นแม้จะรักษาได้ผลดีผู้ที่เป็นก็มักจะยังคงมีอาการหลงเหลืออยู่บ้าง ไม่สามารถทาอะไรได้
เต็มที่เหมือนแต่ก่อน ยิ่งหากมารับการรักษาเร็วเท่าไรก็ยิ่งจะอาการดีขึ้นเร็วเท่านั้น ยิ่งป่วยมานานก็ยิ่งจะรักษายาก
การรักษาที่สาคัญในโรคนี้คือการรักษาด้วยยาแก้เศร้า โดยเฉพาะในรายที่อาการมาก ส่วนในรายที่มีอาการไม่
มาก แพทย์อาจรักษาด้วยการช่วยเหลือชี้แนะการมองปัญหาต่างๆ ในมุมมองใหม่ แนวทางในการปรับตัว หรือการหา
สิ่งที่ช่วยทาให้จิตใจผ่อนคลายความทุกข์ใจลง ร่วมกับการให้ยาแก้เศร้าหรือยาคลายกังวลเสริมในช่วงที่เห็นว่าจาเป็น
การรักษาด้วยยาแก้เศร้า
ยาแก้เศร้ามีส่วนช่วยในการรักษาโรคนี้ แม้ผู้ที่ป่วยบางคนอาจรู้สึกว่าความทุกข์ใจหรือปัญหาต่างๆ ที่เกิด
ขึ้นกับตนเองนั้นเป็นเรื่องของจิตใจ แต่ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ถ้าเป็นโรคซึมเศร้าแล้วแสดงว่าได้มีการเปลี่ยนแปลง
เกิดขึ้นในร่างกายของคนเราจนทาให้เกิดมีอาการต่างๆ เช่น น้าหนักลด อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ ร่วมอีกหลายๆ
อาการ ไม่ใช่มีแต่เพียงอารมณ์เศร้าอย่างเดียว ซึ่งยาจะมีส่วนช่วยในการบาบัดอาการต่างๆ เหล่านี้ อีกทั้งยังสามารถ
ทาให้อารมณ์ซึมเศร้า ความวิตกกังวลใจทุเลาลงได้ด้วย จากการศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้า 10 คนหากได้รับ
การรักษาด้วยยาแก้เศร้าอาการจะดีขึ้นจนหายถึง 8-9 คน ในขณะที่หากไม่รับการรักษานั้นอาการจะดีเองขึ้นเพียง 2-
3 คนเท่านั้น (เฉพาะในรายที่อาการไม่รุนแรง หากอาการรุนแรงอาจจะกล่าวได้ว่ายากที่จะหายเอง)
ข้อควรทราบเกี่ยวกับการรักษาด้วยยาแก้ซึมเศร้า
1. อาการของโรคไม่ได้หายทันทีที่กินยา โดยเฉพาะอาการซึมเศร้า โดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้เวลาประมาณ 1-2
สัปดาห์ขึ้นไปอาการจึงจะดีขึ้นอย่างเห็นชัด แต่ยาก็ยังมีส่วนช่วยในระยะแรกๆ โดยทาให้ผู้ป่วยหลับได้ดีขึ้น
เจริญอาหารขึ้น เริ่มรู้สึกมีเรี่ยวแรงจะทาอะไรมากขึ้น ความรู้สึกกลัดกลุ้มหรือกระสับกระส่ายจะเริ่มลดลง
2. ยาทุกชนิดสามารถทาให้เกิดอาการข้างเคียงได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นยาแก้ปวด ยาแก้แพ้ หรือยาระบาย ก็ตาม
แม้ว่าโอกาสที่เกิดอาการข้างเคียงจะมากน้อย และมีความรุนแรงต่างกันไป การใช้ยาจึงควรใช้ในขนาดและ
กินตามเวลาที่แพทย์สั่งเท่านั้น หากมีความจาเป็นที่ทาให้กินยาตามสั่งไม่ได้ และควรแจ้งแพทย์ทุกครั้งหาก
เกิดอาการใดๆ ที่ไม่แน่ใจว่าเป็นอาการข้างเคียงหรือไม่
3. ผู้ป่วยจานวนไม่น้อยที่ไม่กล้ากินยามากตามที่แพทย์สั่ง แพทย์สั่งกิน 4 เม็ดก็กินแค่ 2 เม็ด หรือกินบ้างหยุด
กินบ้าง เพราะกลัวว่าจะติดยา หรือกลัวว่ายาจะไปสะสมอยู่ในร่างกาย แต่ตามจริงแล้วยาแก้เศร้าไม่มีการติด
10
ยา ถ้าขาดยาแล้วมีอาการไม่สบาย นั่นเป็นเพราะว่ายังไม่หายจากอาการของโรค การกินๆ หยุดๆ หรือกินไม่
ครบขนาดกลับจะยิ่งทาให้การรักษาไม่ได้ผลดี และรักษายากมากขึ้น
4. ยาแก้เศร้ามีอยู่เป็นสิบขนาน จากการศึกษาไม่พบว่าตัวไหนดีกว่าตัวไหนอย่างชัดเจน เรียกว่าผู้ป่วยคนไหนจะ
ถูกกับยาตัวไหนเป็นเรื่องเฉพาะตัว หรือ ลางเนื้อชอบลางยา ซึ่งโดยรวมแล้วก็มักจะรักษาได้ผลทุกตัว การใช้
ยาขึ้นอยู่กับว่าแพทย์มีความชานาญ คุ้นเคยกับการใช้ยาขนานไหน และผู้ป่วยมีโรคทางกายหรือกาลังกินยา
อื่นๆ ที่ทาให้ใช้ยาบางตัวไม่ได้หรือไม่ ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยจะตอบสนองต่อยาแก้เศร้าตัวแรกที่ให้ หากอาการ
ยังไม่ดีในระยะแรกๆ อาจเป็นเพราะยังปรับยาไม่ได้ขนาด หรือยังไม่ได้ระยะเวลาที่ยาออกฤทธิ์ได้เต็มที่เสีย
มากกว่า ถ้าแพทย์รักษาไประยะหนึ่งแล้ว และเห็นว่าให้ยาในขนาดที่พอเพียงแล้วผู้ป่วยยังอาการดีขึ้นไม่มาก
ก็อาจเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่นต่อไป
 ยาที่ใช้ในการรักษา
สมัยหลายสิบปีก่อนยาแก้เศร้ามีอยู่เพียง 4-5 ขนาน แม้ว่ายารุ่นก่อนจะมีประสิทธิภาพในการรักษาที่ดี (ยาที่มีใช้
ในช่วงหลังๆ มีแต่ดีเท่าหรือด้อยกว่ายารุ่นเก่า) การใช้ยามักจะมีข้อจากัดด้วยเหตุว่าผู้ป่วยเกิดอาการข้างเคียงจากยา
บ่อย แม้ว่าส่วนใหญ่จะไม่ใช่อาการที่รุนแรง แต่ผู้ป่วยบางคนก็ไวต่ออาการข้างเคียงมาก ทาให้การปรับเพิ่มขนาดยาทา
ได้ลาบาก ปัจจุบันมียาใหม่มากขึ้นซึ่งมีอาการข้างเคียงน้อยกว่ายาเก่า ทาให้การใช้สะดวกขึ้น ปัญหาคือยาเหล่านี้ราคา
ค่อนข้างแพง แพทย์จึงจะเลือกใช้ในกรณีที่เห็นว่าผู้ป่วยมีความจาเป็นที่ทาให้ใช้ยารุ่นเก่าไม่ได้
ยากลุ่มที่ใช้ปัจจุบันกันมากคือยากลุ่ม SSRI ซึ่งกลไกสาคัญคือจะไปยับยั้งการดูดซึมซีโรโตนินกลับเข้า
เซลล์ (serotonin reuptake inhibitor: SSRI) ทาให้ซีโรโตนินเพิ่มขึ้นบริเวณ ส่วนต่อระหว่างเซลล์
ประสาท ปัจจุบันมีหลายขนานผลิตได้โดยองค์การเภสัชกรรมและบริษัทยาในประเทศ เนื่องจากหมดสิทธิบัตรยาแล้ว
ทาให้ราคายาถูกลงมาก ยายขนานที่ปัจจุบันใช้เป็นยาขนานแรกในการรักษาผู้ป่วยโรคซึมเศร้าได้แก่ยา fluoxetine,
ตามมาด้วยยา sertraline
ในผู้ป่วยสูงอายุ และผู้ป่วยที่มีโรคประจาตัวบางโรค ยาที่ใช้มักจะมีขนาดต่ากว่าขนาดที่ใช้กับคนปกติทั่วไป ยา
บางตัวอาจมีปฏิกิริยากับยาแก้เศร้าที่กิน ดังนั้นผู้ป่วยที่กินยาอื่นๆ จึงควรแจ้งแพทย์ทุกครั้ง
ยาที่เราใช้กันจะมีชื่ออยู่ 2 แบบ ได้แก่ชื่อสามัญ และชื่อการค้า ชื่อสามัญคือชื่อที่บอกองค์ประกอบหรือลักษณะ
ยา ส่วนชื่อการค้าคือชื่อที่แต่ละบริษัทตั้งขึ้นเพื่อให้รู้ว่าผลิตจากบริษัทของตน ยาชื่อสามัญตัวเดียวอาจมีชื่อการค้าได้
หลายๆ ชื่อถ้ามีผู้ผลิตหลายบริษัท เช่น ยาแก้ปวดชนิดหนึ่งมีชื่อสามัญว่า พาราเซตามอล และมีชื่อการค้าหลายชื่อเช่น
คาปอล เซตามอล เป็นต้น ซึ่งทุกยาทุกชื่อก็ได้ผลเช่นเดียวกันเพราะเป็นยาตัวเดียวกัน
 อาการข้างเคียงที่พบได้ในยาแก้เศร้ากลุ่มเก่า
1. ง่วง เพลีย ซึมๆ ยาแต่ละตัวมีฤทธิ์ทาให้ง่วงมากน้อยแตกต่างกัน ยาที่พบบ่อยได้แก่ อะมิทริปไทลีน และด็อก
เซปิน แพทย์จึงมักให้ยาเหล่านี้กินตอนเย็นหรือก่อนนอน ซึ่งก็เหมาะกับโรค เพราะโรคนี้ผู้ที่เป็นมักจะนอน
11
หลับไม่ดีอยู่แล้ว ยาจึงช่วยให้หลับได้โดยไม่ต้องใช้ยานอนหลับ ในช่วงแรกของการรักษาห้ามขับรถและควร
หลีกเลี่ยงการทางานกับเครื่องจักร เนื่องจากการง่วงซึมแม้จะมีเพียงเล็กน้อยก็อาจทาให้การตัดสินใจ หรือ
การเคลื่อนไหวที่ต้องการความรวดเร็วนั้น เชื่องช้าลงได้มาก หากสังเกตว่ากินยาแล้วง่วงมาก ซึมแทบทั้งวัน
ควรแจ้งแพทย์เพื่อจะได้พิจารณาปรับยา แต่พบว่าบางครั้งพอกินยาไปนานๆ เข้ากลับไม่มีง่วงเหมือนเดิมอีกก็
มี
2. อาการปากคอแห้ง เป็นอาการข้างเคียงที่พบได้บ่อย แก้โดยให้จิบน้าบ่อยๆ
3. ตามัว มองเห็นไม่ชัด อาการพวกนี้จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง ไม่ต้องตัดแว่นใหม่
4. ท้องผูก กินอาหารจาพวกผัก ผลไม้ที่มีกากมากๆ หรืออาจกินมะขามเปียกช่วยในการระบาย
5. เวียนศีรษะ หน้ามืด จากยาไปทาให้หลอดเลือดขยายตัว เลือดจึงค้างอยู่ในร่างกายมาก ไปเลี้ยงสมองน้อย
อาการนี้มักเป็นเวลาเปลี่ยนอิริยาบท เช่น นอนนานๆ นั่งนานๆ แล้วลุกกระทันหัน หากมีอาการบ่อยๆ อาจ
แก้โดยรับประทานของเค็มๆ บ่อยขึ้น เพื่อทาให้ความดันเลือดเพิ่มมากขึ้น (ผู้ที่เป็นโรคความดันสูงอยู่ไม่ควร
ใช้วิธีนี้) การเปลี่ยนท่าทางต้องค่อยๆ ทา หากจะลุกจากตื่นนอน ให้ลุกนั่งสักพักหนึ่ง ขยับแขนขาไปมา ให้
เลือดไหลเวียนดี แล้วจึงค่อยๆ ลุกขึ้น หากมีอาการเวียนศีรษะขณะยืนอยู่ให้รีบนั่งพิงพนักหรือนอนทันที ถ้า
ยิ่งนอนในท่าที่ส่วนศีรษะต่ากว่าส่วนลาตัวและยกขาสูงได้ก็ยิ่งดี หากมีอาการเช่นนี้บ่อยๆ แก้ไขแล้วยังไม่ดีขึ้น
ควรแจ้งแพทย์ ซึ่งแพทย์อาจปรับลดยาลงหรือเปลี่ยนยา
 อาการข้างเคียงที่พบได้ในยาแก้เศร้ากลุ่มใหม่
ยาแก้เศร้ากลุ่มใหม่นี้ กล่าวโดยรวมแล้วมีอาการข้างเคียงน้อยกว่ายากลุ่มเก่า โดยเฉพาะอาการปากคอแห้ง
ท้องผูก หรืออาการหน้ามืด เวียนศีรษะ ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะยากลุ่มใหม่ที่ออกฤทธิ์เฉพาะระบบซีโรโตนิน (กลุ่มที่มี
เครื่องหมาย * ในตาราง) เนื่องจากมียาหลายขนาน ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ในการรักษาโดยไปปรับสารเคมีในสมองเฉพาะ
ระบบซีโรโตนิน ยาแต่ละขนานจะมีอาการข้างเคียงต่อไปนี้มากน้อยต่างกัน
1. กระวนกระวาย บางคนกินยาแล้วมีอาการกระวนกระวาย ซึ่งพบได้กับยาแก้เศร้ากลุ่มใหม่ขนานอื่นบางตัว
เหมือนกัน (ดูในตาราง) ถ้ากินยาแล้วรู้สึกว่าตนเองหงุดหงิดง่ายขึ้น กระวนกระวาย รู้สึกเหมือนอยู่ไม่สุข ต้อง
ทาโน่นทานี่ ให้บอกแพทย์ ซึ่งแพทย์อาจให้ยาคลายกังวลร่วม ลดขนาดยาลง หรือเปลี่ยนไปใช้ยาขนานอื่น
2. นอนไม่หลับ ข้อดีของยาเหล่านี้คือไม่ทาให้ง่วงนอน แพทย์จึงมักนิยมให้ตอนเช้า หากกินก่อนนอนแล้วอาจจะ
ทาให้หลับไม่ดีได้
3. คลื่นไส้ บางคนกินยาแล้วมีอาการพะอืดพะอม คลื่นไส้ จุก แน่นท้อง ส่วนใหญ่มักจะเป็นช่วงสั้นๆ หลังกินยา
ถ้ามีอาการให้ลองเปลี่ยนมากินยาตอนท้องว่าง (ก่อนกินอาหาร) ถ้าเป็นมื้อเช้าก็คือ ตื่นมาสักครู่ก็กินยาเลย
ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้แจ้งแพทย์
4. ปวดหัว มักเป็นไม่นาน ดีขึ้นเอง
 แพทย์รักษาอย่างไร
12
หลังจากแพทย์ประเมินอาการจนค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าโดยไม่มีสาเหตุมาจากโรคทางร่างกาย
อื่นๆ ก็จะเริ่มให้การรักษาโดยให้ยาขนาดต่าก่อน นัดติดตามการรักษาอีกประมาณ 1-2 สัปดาห์ต่อมา ถ้าผู้ป่วยไม่มี
อาการข้างเคียงอะไรก็จะค่อยๆ ปรับยาขึ้นไปทุกๆ 1-2 สัปดาห์จนได้ขนาดในการรักษา
 แพทย์จะรับไว้ในโรงพยาบาลเมื่อ
1. ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด เช่น ไม่กินอาหารเลย อยู่นิ่งๆ ตลอดวัน คิดอยากตายหรือ
พยายามฆ่าตัวตาย
2. แพทย์ต้องการตรวจเพิ่มเติมอย่างละเอียด เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง
3. แพทย์เห็นว่าการรักษาด้วยยาต้องดูแลใกล้ชิด เช่น ผู้ป่วยที่มีโรคทางกาย ผู้ป่วยสูงอายุ เป็นต้น
 ระยะเวลาในการรักษา
หลังจากที่รักษาจนผู้ป่วยอาการดีขึ้นแล้ว แพทย์จะให้ยาในขนาดใกล้เคียงกับขนาดเดิมต่อไปอีกนาน 4-6 เดือน
เนื่องจากพบว่าในช่วงนี้ผู้ป่วยที่หยุดยาไปกลับเกิดอาการกาเริบขึ้นมาอีกสูง เมื่อให้ยาไปจนครบ 6 เดือนโดยที่ผู้ป่วยไม่
มีอาการเลยในระหว่างนี้ แพทย์จึงจะค่อยๆ ลดยาลงโดยใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนจนหยุดยาในที่สุด
แม้ว่าจะหายจากการป่วยในครั้งนี้แล้ว ยังพบว่ามีผู้ป่วยจานวนหนึ่งที่มีโอกาสเกิดกลับมาป่วยซ้าอีก โดยพบว่า
เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยที่ป่วยครั้งแรกมีโอกาสที่จะเกิดป่วยซ้าอีกได้ บางคนหายปี 2-3 ปีแล้วกลับเป็นใหม่ ในขณะที่
บางคนหายไปเป็น 5-7 ปีก็มี ซึ่งบอกยากว่าใครจะกลับมาเป็นอีกและจะเป็นเมื่อไร หลักการโดยทั่วๆ ไปคือ ถ้าเป็น
ครั้งที่สอง โอกาสเกิดเป็นครั้งที่สามก็สูงขึ้นและถ้าเป็นครั้งที่สาม โอกาสเป็นครั้งที่สี่ก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก และการกาเริบใน
ครั้งต่อๆ ไปจะกระชั้นเข้า ดังนั้นถ้าป่วย 3 ครั้งแล้วจาเป็นต้องกินยากันไม่ให้กลับเป็นซ้าไปนานเป็นปีๆ แต่ถ้าเป็น 2
ครั้งและมีลักษณะต่างๆ ที่แพทย์เห็นว่ามีความเสี่ยงก็อาจให้ยาป้องกันเช่นกัน
 ข้อบ่งชี้ในการป้องกันระยะยาว
1. มีอาการมาแล้ว 3 ครั้ง
2. มีอาการมาแล้ว 2 ครั้ง ร่วมกับมีภาวะต่อไปนี
3. ญาติใกล้ชิดสายเลือดเดียวกันมีประวัติป่วยเป็นโรคนี้ซ้าๆ หลายครั้ง หรือป่วยเป็นโรคอารมณ์แปรปรวน
4. มีประวัติกลับมาป่วยซ้าอีกภายใน 1 ปี หลังจากหยุดการรักษา
5. เริ่มมีอาการครั้งแรกขณะอายุยังน้อย (ต่ากว่า 20 ปี)
6. มีอาการที่เป็นเร็ว รุนแรง หรืออันตรายมา 2 ครั้ง ภายในช่วงเวลา 3 ปี
ผู้ป่วยที่กินยาป้องกันมักจะกินไปนานประมาณ 3-5 ปี ผู้ป่วยที่ได้รับยาป้องกันมิได้หมายความว่าจะไม่เกิดอาการอีก
เลย พบว่าผู้ป่วยส่วนน้อยอาจเกิดอาการเหมือนเดิมอีก ผู้ป่วยบางคนเกิดอาการอีกแต่เป็นน้อยและเป็นแค่ช่วงสั้นๆ
เมื่อเพิ่มยาขึ้นอาการก็หายไป ในขณะที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการอีก
13
การที่การกินยาป้องกันระยะยาวมีความสาคัญเพราะจากการศึกษาในระยะหลังๆ นี้ทราบค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่าหาก
ผู้ป่วยมีอาการกาเริบขึ้นบ่อยๆ การรักษาจะยุ่งยากมาขึ้นในระยะหลังๆ และอาการอาจเป็นถี่มากขึ้น
 คาแนะนาสาหรับผู้ป่วย
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้มักรู้สึกว่าตนเองไม่มีค่า ไม่มีใครสนใจ ต้องรับความกดดันต่างๆ แต่ผู้เดียว รู้สึกสิ้นหวัง ไม่
อยากจะสู้ปัญหาอะไรๆ อีกแล้ว
แต่ขอให้ความมั่นใจว่าความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้เป็นอยู่ตลอดไป โรคนี้รักษาให้หายขาดได้ เมื่ออาการของโรคดีขึ้น
มุมมองต่อสิ่งต่างๆ ในแง่ลบจะเปลี่ยนไป ความมั่นใจในตนเองจะมีเพิ่มขึ้น มองเห็นปัญหาต่างๆ ในมุมมองอื่นๆ ที่
แตกต่างออกไปจากเดิมมากขึ้น
ในขณะที่คุณกาลังซึมเศร้าอยู่นั้น มีข้อแนะนาดังต่อไปนี้
1. การออกกาลังกาย การออกกาลังกายนอกจากจะช่วยทางร่างกายแล้ว จิตใจก็ยังจะดีขึ้นด้วย โดยในผู้ที่มี
อาการซึมเศร้าไม่มาก จะรู้สึกว่าจิตใจคลายความเศร้า และแจ่มใสขึ้นได้ การออกกาลังกายที่ดีจะเป็นการ
ออกกาลังแบบแอโรบิก เช่น วิ่ง เดิน ว่ายน้า ซึ่งจะช่วยให้หลับได้ดีขึ้น การกินอาหารดีขึ้น การขับถ่ายดีขึ้น
ถ้าได้ออกกาลังกายร่วมกับผู้อื่นด้วยก็จะยิ่งช่วยเพิ่มการเข้าสังคม ไม่รู้สึกว่าตนเองโดดเดี่ยว
2. อย่าตั้งเป้าหมายในการทางานและการปฏิบัติตัวที่ยากเกินไป ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เรายังต้องการการพักผ่อน
ทั้งทางร่างกายและจิตใจ การกระตุ้นตนเองมากไปกลับยิ่งจะทาให้ตัวเองรู้สึกแย่ที่ทาไม่ได้อย่างที่หวัง
3. เลือกกิจกรรมที่ทาให้เกิดความรู้สึกที่ดีๆ โดยมักจะเป็นสิ่งที่เราเคยชอบ เช่น ไปเที่ยวสวนสาธารณะ ไปเที่ยว
ชายทะเล ชวนเพื่อนมาที่บ้าน พยายามทากิจกรรมที่ทาร่วมกับคนอื่นมากกว่าที่จะอยู่คนเดียว หลักการ
เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกอย่างหนึ่งก็คือ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้จะไม่คงอยู่ตลอดไป แต่จะขึ้นๆ ลงๆ ในแต่ละ
ช่วง คนที่มีความโศกเศร้ามักจะรู้สึกหมดหวัง คิดว่าความรู้สึกนี้จะคงอยู่กับตนเองตลอดเวลา ในความเป็น
จริงแล้วจะมีอยู่บางช่วงที่อารมณ์เศร้านี้เบาบางลง ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ให้เราเริ่มกิจกรรมที่สร้างสรรค์ เพื่อให้มี
ความรู้สึกที่ดีขึ้น
4. อย่าตัดสินใจเรื่องที่สาคัญต่อชีวิต เช่นการหย่า การลาออกจากงาน ณ ขณะที่เรากาลังอยู่ในภาวะซึมเศร้านี้
การมองสิ่งต่างๆ ในแง่ลบอาจทาให้การตัดสินใจผิดพลาดไปได้ ควรเลื่อนการตัดสินใจไปก่อน หากจาเป็น
หรือเห็นว่าปัญหานั้นๆ เป็นสิ่งที่กดดันเราทาให้อะไรๆ แย่ลวงจริงๆ ก็ควรปรึกษาผู้ใกล้ชิดหลายๆ คนให้ช่วย
คิด
5. การมองปัญหาโดยไม่แยกแยะจะทาให้เกิดความรู้สึกท้อแท้ ไม่รู้จะทาอย่างไร การแก้ปัญหาให้แยกแยะ
ปัญหาให้เป็นส่วนย่อยๆ จัดเรียงลาดับความสาคัญว่าเรื่องไหนควรทาก่อนหลังแล้วลงมือทาไปตามลาดับโดย
ทิ้งปัญหาย่อยอื่นๆ ไว้ก่อน วิธีนี้จะพอช่วยให้รู้สึกว่าตนเองยังทาอะไรได้อยู่
 คาแนะนาสาหรับญาติ
14
ญาติมักจะรู้สึกห่วงผู้ที่เป็น ไม่เข้าใจว่าทาไมเขาถึงได้ซึมเศร้ามากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เรื่องที่มากระทบก็ดูไม่หนักหนา
นก ทาให้บางคนพาลรู้สึกโกรธ ขุ่นเคือง เห็นว่าผู้ป่วยเป็นคนอ่อนแอ เป็นคน “ไม่สู้” ทาไมเรื่องแค่นี้ถึงต้องเศร้าเสียใจ
ขนาดนี้ ท่าทีเช่นนี้กลับยิ่งทาให้ผู้ที่เป็นรู้สึกว่าตัวเองยิ่งแย่ขึ้นไปอีก เกิดความรู้สึกว่าตนเองเป็นภาระแก่ผู้อื่น ทาให้
จิตใจยิ่งตกอยู่ในความทุกข์
แต่ทั้งนี้ ภาวะที่เขาเป็นนี้ไม่ใช่อารมณ์เศร้าธรรมดา หรือเป็นจากจิตใจอ่อนแอ หากแต่เป็นภาวะของความผิดปกติ
เขากาลัง “เจ็บป่วย” อยู่ หากจะเปรียบกับโรคทางกายเช่น โรคปอดบวม อาจจะทาให้พอเห็นภาพชัดขึ้น คนเป็นโรค
ปอดบวมจะมีการอักเสบของปอด เสมหะเหนียวอุดตันตามหลอดลม ทาให้มีอาการหอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก มีไข้ สิ่งที่
เขาเป็นนั้นเขาไม่ได้แกล้งทา หากแต่เป็นเพราะมีความผิดปกติอยู่ภายในร่างกาย เขากาลังเจ็บป่วยอยู่ กับโรคซึมเศร้า
ก็เป็นเช่นเดียวกัน ความกดดันภายนอกที่รุมเร้าร่วมกับปัจจัยเสี่ยงหลายๆ อย่างในตัวเองทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทา
ให้มีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีและระบบฮอร์โมนต่างๆ ในสมอง เกิดมีอาการต่างๆ ตามมาทั้งทางกายและใจ
นอกเหนือไปจากความเศร้าโศก ณ ขณะนั้น นอกจากอารมณ์ที่เปลี่ยนไปแล้ว ยังพบมีอาการทางร่างกาย ต่างๆ นาๆ
รวมด้วย ความคิดเห็น มุมมองต่อสิ่งต่างๆ ก็เปลี่ยนไปด้วย การมองสิ่งต่างๆ ในแง่ลบ ก็กลับจะยิ่งไปส่งเสริมให้จิตใจ
เศร้าหมอง กลัดกลุ้มมากขึ้นไปอีก เขาห้ามให้ตัวเองไม่เศร้าไม่ได้ ทั้งหมดนี้เป็นปรากฏการณ์ของความเจ็บป่วย ซึ่งเมื่อ
ได้รับการรักษาหายแล้ว อารมณ์เศร้าหมองก็จะดีขึ้น จิตใจแจ่มใสขึ้น การมองสิ่งรอบตัวก็จะเปลี่ยนไป อาการต่างๆ
จะค่อยๆ หายไป
หากญาติมีความเข้าใจผู้ที่เป็น โรคซึมเศร้า มองว่าเขากาลังไม่สบาย ความคาดหวังในตัวเขาก็จะลดลง ความหงุดหงิด
คับข้องใจก็ลดลง เรามักจะให้อภัยคนที่กาลังไม่สบาย มีข้อยกเว้นให้บางอย่าง เพราะเราทราบดีว่าเขาไม่ได้แกล้งทา
ไม่มีใครอยากป่วย
 ข้อควรทราบ
1. โรคนี้ไม่ได้อาการดีขึ้นทันทีที่กินยา การรักษาต้องใช้เวลาบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นสัปดาห์ อาการจึงจะดีขึ้นอย่าง
เห็นชัด จึงไม่ควรคาดหวังจากผู้ป่วยมากเกินไป
2. การรักษาด้วยยามีความสาคัญ ควรช่วยดูแลเรื่องการกินยา โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ผู้ป่วยยังซึมเศร้ามาก หรือ
อาจมีความคิดอยากตาย
3. การตัดสินใจในช่วงนี้จะยังไม่ดี ควรให้ผู้ป่วยเลี่ยงการตัดสินใจในเรื่องสาคัญๆ ไปก่อนจนกว่าจะเห็นว่าอาการ
เขาดีขึ้นมากแล้ว
วิธีดาเนินงาน
แนวทางการดาเนินงาน
1. คัดเลือกหัวข้อของโครงงานที่สนใจศึกษา
2. ศึกษาค้นคว้าและวางแผนการทางาน
3. จัดทาเค้าโครงของโครงงานที่ทา
4. ปฏิบัติการสร้างโครงงาน
15
5. ปรับปรุงทดสอบ
6. การทาเอกสารรายงาน
7. ประเมินผลงาน
8. นาเสนอโครงงาน
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
1. อินเทอร์เน็ต
2. คอมพิวเตอร์
3. เครื่องปริ้น
4. โปรแกรม Microsoft Office PowerPoint2007
งบประมาณ
- ไม่มีงบประมาณในการจัดทา
ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลาดับ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9
1
0
1
1
12
1
3
1
4
1
5
16 17
1 คิดหัวข้อโครงงาน / กรกนก
2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล / / หทัยพร
กรกนก
3 จัดทาโครงร่างงาน / / / / หทัยพร
4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน / หทัยพร
กรกนก
5 ปรับปรุงทดสอบ / / / / หทัยพร
กรกนก
6 การทาเอกสารรายงาน / / / หทัยพร
7 ประเมินผลงาน / หทัยพร
กรกนก
8 นาเสนอโครงงาน / หทัยพร
กรกนก
ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน)
16
1. สามารถทาให้ผู้คนตระถึงความสาคัญเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า
2. ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ายอมรับเข้าการรักษามากขึ้นและลดโอกาสการฆ่าตัวตาย
3. สามารถทาให้ผู้ป่วยและผู้อื่นคิดว่าโรคซึมเศร้าไม่ใช่โรคเกี่ยวกับอาการทางจิตและไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย
4. สามารถเข้าใจรายละเอียดเกี่ยวกับโรคซึมเศร้ามากขึ้น
สถานที่ดาเนินการ
- โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย
- บ้าน
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
- กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์
- กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาสุขศึกษาและพลศึกษา
แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน)
- https://med.mahidol.ac.th/ramamental/generalknowledge/general/09042014-1017
- https://www.honestdocs.co/most-common-psychiatric-disorders

More Related Content

What's hot

หนังสืออ่าเพิ่มเติม ชุด ครอบครัวสุขสันต์ เล่มที่ 3สุขอยู่ที่ ใจ
หนังสืออ่าเพิ่มเติม ชุด ครอบครัวสุขสันต์ เล่มที่ 3สุขอยู่ที่ ใจ หนังสืออ่าเพิ่มเติม ชุด ครอบครัวสุขสันต์ เล่มที่ 3สุขอยู่ที่ ใจ
หนังสืออ่าเพิ่มเติม ชุด ครอบครัวสุขสันต์ เล่มที่ 3สุขอยู่ที่ ใจ สุธารักษ์ พันธ์วงศ์รัตน์
 
หนังสืออ่านเพิ่มเติมชุด ครอบครัวสุขสันต์ เรื่องที่ 2ครอบครัวสุขสันต์
หนังสืออ่านเพิ่มเติมชุด ครอบครัวสุขสันต์ เรื่องที่ 2ครอบครัวสุขสันต์ หนังสืออ่านเพิ่มเติมชุด ครอบครัวสุขสันต์ เรื่องที่ 2ครอบครัวสุขสันต์
หนังสืออ่านเพิ่มเติมชุด ครอบครัวสุขสันต์ เรื่องที่ 2ครอบครัวสุขสันต์ สุธารักษ์ พันธ์วงศ์รัตน์
 
สมุนไพรไทยน่ารู้
สมุนไพรไทยน่ารู้สมุนไพรไทยน่ารู้
สมุนไพรไทยน่ารู้Thanyalak Chanmai
 
นิทานหนังสืออ่านเพิ่มเติม สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ส่งเสริมหลักปรัชญาเศษฐ...
นิทานหนังสืออ่านเพิ่มเติม สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ส่งเสริมหลักปรัชญาเศษฐ...นิทานหนังสืออ่านเพิ่มเติม สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ส่งเสริมหลักปรัชญาเศษฐ...
นิทานหนังสืออ่านเพิ่มเติม สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ส่งเสริมหลักปรัชญาเศษฐ...ครูแชมป์ ฟักอ่อน
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ploypoll
 
หนังสืออ่านเพิ่มเติม ชุดครอบครัวสุขสันต์ เรื่องสัมพันธภาพออันล้ำค่า
หนังสืออ่านเพิ่มเติม ชุดครอบครัวสุขสันต์ เรื่องสัมพันธภาพออันล้ำค่าหนังสืออ่านเพิ่มเติม ชุดครอบครัวสุขสันต์ เรื่องสัมพันธภาพออันล้ำค่า
หนังสืออ่านเพิ่มเติม ชุดครอบครัวสุขสันต์ เรื่องสัมพันธภาพออันล้ำค่าสุธารักษ์ พันธ์วงศ์รัตน์
 
2562 final-project 605-10
2562 final-project 605-102562 final-project 605-10
2562 final-project 605-10buakhamlungkham
 
โครางงานสมุนไพรเพื่อสุขภาพ
โครางงานสมุนไพรเพื่อสุขภาพโครางงานสมุนไพรเพื่อสุขภาพ
โครางงานสมุนไพรเพื่อสุขภาพCheeses 'Zee
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ สื่อออนไลน์พืชสมุนไพรเพื่อสุขภาพ
โครงงานคอมพิวเตอร์ สื่อออนไลน์พืชสมุนไพรเพื่อสุขภาพโครงงานคอมพิวเตอร์ สื่อออนไลน์พืชสมุนไพรเพื่อสุขภาพ
โครงงานคอมพิวเตอร์ สื่อออนไลน์พืชสมุนไพรเพื่อสุขภาพศิริวรรณ นามสวัสดิ์
 
วันออกพรรษา
วันออกพรรษาวันออกพรรษา
วันออกพรรษาsuchinmam
 
แบบร่างโครงงาน (งานคู่)
แบบร่างโครงงาน (งานคู่)แบบร่างโครงงาน (งานคู่)
แบบร่างโครงงาน (งานคู่)sirinya55555
 
โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์Thanwarath Khemthong
 

What's hot (20)

หนังสืออ่าเพิ่มเติม ชุด ครอบครัวสุขสันต์ เล่มที่ 3สุขอยู่ที่ ใจ
หนังสืออ่าเพิ่มเติม ชุด ครอบครัวสุขสันต์ เล่มที่ 3สุขอยู่ที่ ใจ หนังสืออ่าเพิ่มเติม ชุด ครอบครัวสุขสันต์ เล่มที่ 3สุขอยู่ที่ ใจ
หนังสืออ่าเพิ่มเติม ชุด ครอบครัวสุขสันต์ เล่มที่ 3สุขอยู่ที่ ใจ
 
หนังสืออ่านเพิ่มเติมชุด ครอบครัวสุขสันต์ เรื่องที่ 2ครอบครัวสุขสันต์
หนังสืออ่านเพิ่มเติมชุด ครอบครัวสุขสันต์ เรื่องที่ 2ครอบครัวสุขสันต์ หนังสืออ่านเพิ่มเติมชุด ครอบครัวสุขสันต์ เรื่องที่ 2ครอบครัวสุขสันต์
หนังสืออ่านเพิ่มเติมชุด ครอบครัวสุขสันต์ เรื่องที่ 2ครอบครัวสุขสันต์
 
Project com no.38 (1)
Project com no.38 (1)Project com no.38 (1)
Project com no.38 (1)
 
W.11
W.11W.11
W.11
 
สมุนไพรไทยน่ารู้
สมุนไพรไทยน่ารู้สมุนไพรไทยน่ารู้
สมุนไพรไทยน่ารู้
 
นิทานหนังสืออ่านเพิ่มเติม สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ส่งเสริมหลักปรัชญาเศษฐ...
นิทานหนังสืออ่านเพิ่มเติม สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ส่งเสริมหลักปรัชญาเศษฐ...นิทานหนังสืออ่านเพิ่มเติม สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ส่งเสริมหลักปรัชญาเศษฐ...
นิทานหนังสืออ่านเพิ่มเติม สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ส่งเสริมหลักปรัชญาเศษฐ...
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
 
คอม
คอมคอม
คอม
 
หนังสืออ่านเพิ่มเติม ชุดครอบครัวสุขสันต์ เรื่องสัมพันธภาพออันล้ำค่า
หนังสืออ่านเพิ่มเติม ชุดครอบครัวสุขสันต์ เรื่องสัมพันธภาพออันล้ำค่าหนังสืออ่านเพิ่มเติม ชุดครอบครัวสุขสันต์ เรื่องสัมพันธภาพออันล้ำค่า
หนังสืออ่านเพิ่มเติม ชุดครอบครัวสุขสันต์ เรื่องสัมพันธภาพออันล้ำค่า
 
W.111
W.111W.111
W.111
 
2562 final-project 605-10
2562 final-project 605-102562 final-project 605-10
2562 final-project 605-10
 
8กีฬาสัมพันธภาพ
8กีฬาสัมพันธภาพ8กีฬาสัมพันธภาพ
8กีฬาสัมพันธภาพ
 
W.1
W.1W.1
W.1
 
2562 final-project 23-40
2562 final-project 23-402562 final-project 23-40
2562 final-project 23-40
 
โครางงานสมุนไพรเพื่อสุขภาพ
โครางงานสมุนไพรเพื่อสุขภาพโครางงานสมุนไพรเพื่อสุขภาพ
โครางงานสมุนไพรเพื่อสุขภาพ
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ สื่อออนไลน์พืชสมุนไพรเพื่อสุขภาพ
โครงงานคอมพิวเตอร์ สื่อออนไลน์พืชสมุนไพรเพื่อสุขภาพโครงงานคอมพิวเตอร์ สื่อออนไลน์พืชสมุนไพรเพื่อสุขภาพ
โครงงานคอมพิวเตอร์ สื่อออนไลน์พืชสมุนไพรเพื่อสุขภาพ
 
2560 project
2560 project 2560 project
2560 project
 
วันออกพรรษา
วันออกพรรษาวันออกพรรษา
วันออกพรรษา
 
แบบร่างโครงงาน (งานคู่)
แบบร่างโครงงาน (งานคู่)แบบร่างโครงงาน (งานคู่)
แบบร่างโครงงาน (งานคู่)
 
โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
 

Similar to 2560 project -4

แบบเสนอ
แบบเสนอแบบเสนอ
แบบเสนอChapa Paha
 
2562 final-project 26-sathaporn
2562 final-project 26-sathaporn 2562 final-project 26-sathaporn
2562 final-project 26-sathaporn SathapornTaboo
 
โครงร่างบีม
โครงร่างบีมโครงร่างบีม
โครงร่างบีมeyecosmomo
 
ความขี้เกียจจงออกไปเอาความขยันกลับคืนมา
ความขี้เกียจจงออกไปเอาความขยันกลับคืนมาความขี้เกียจจงออกไปเอาความขยันกลับคืนมา
ความขี้เกียจจงออกไปเอาความขยันกลับคืนมาThanakorn Intrarat
 
(Bipolar disorder)
(Bipolar disorder)(Bipolar disorder)
(Bipolar disorder)sunsumm
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์natsun2424
 
ใบงานที่5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงานที่5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ใบงานที่5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงานที่5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์Thansuda07
 
2557 โครงงาน คอม
2557 โครงงาน คอม2557 โครงงาน คอม
2557 โครงงาน คอมJaturaphun
 
Music and Human
Music and HumanMusic and Human
Music and Humanspirite01
 
โรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าMai Natthida
 

Similar to 2560 project -4 (20)

2560 project
2560 project 2560 project
2560 project
 
2560 project
2560 project 2560 project
2560 project
 
2560 project
2560 project 2560 project
2560 project
 
AT1
AT1AT1
AT1
 
แบบเสนอ
แบบเสนอแบบเสนอ
แบบเสนอ
 
Computer project
Computer projectComputer project
Computer project
 
2562 final-project 26-sathaporn
2562 final-project 26-sathaporn 2562 final-project 26-sathaporn
2562 final-project 26-sathaporn
 
Activity 1
Activity 1Activity 1
Activity 1
 
โครงร่างบีม
โครงร่างบีมโครงร่างบีม
โครงร่างบีม
 
ความขี้เกียจจงออกไปเอาความขยันกลับคืนมา
ความขี้เกียจจงออกไปเอาความขยันกลับคืนมาความขี้เกียจจงออกไปเอาความขยันกลับคืนมา
ความขี้เกียจจงออกไปเอาความขยันกลับคืนมา
 
(Bipolar disorder)
(Bipolar disorder)(Bipolar disorder)
(Bipolar disorder)
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
 
ใบงานที่5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงานที่5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ใบงานที่5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงานที่5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
 
W.1
W.1W.1
W.1
 
2557 โครงงาน คอม
2557 โครงงาน คอม2557 โครงงาน คอม
2557 โครงงาน คอม
 
2560 project
2560 project 2560 project
2560 project
 
Comm 1-final
Comm 1-finalComm 1-final
Comm 1-final
 
Music and Human
Music and HumanMusic and Human
Music and Human
 
2560 project
2560 project 2560 project
2560 project
 
โรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้า
 

2560 project -4

  • 1. 1 แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6 ปีการศึกษา 2560 ชื่อโครงงาน โรคซึมเศร้า ชื่อผู้ทาโครงงาน 1 นางสาว หทัยพร บุญชู เลขที่ 28 ชั้น ม.6 ห้อง 6 2 นางสาว กรกนก สิทธิ์ดิสัยรักษ์ เลขที่ 39 ชั้น ม.6 ห้อง 6 ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์ ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
  • 2. 2 ใบงาน การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์ สมาชิกในกลุ่ม 1 นางส่าว หทัยพร บุญชู เลขที่ 28 2 นางส่าว กรกนก สิทธิ์ดิสัยรักษ์ เลขที่ 39 คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้ ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย) โรคซึมเศร้า ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ) Depressive disorder ประเภทโครงงาน โครงงานประเภททฤษฎี ชื่อผู้ทาโครงงาน 1.นางสาว หทัยพร บุญชู 2.นางสาวกรกนก สิทธิ์ดิสัยรักษ์ ชื่อที่ปรึกษา คุณครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์ ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ประจาปีการศึกษา 2560 ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน) โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางอารมณ์ที่พบบ่อย โดยมีความชุกตลอดช่วงชีวิตถึง 12% พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และพบได้ในทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์เลวร้ายที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึก เช่น การสูญเสีย ความผิดหวังหรือการหย่าร้าง การเป็นโรคนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่เป็นนั้นจะเป็นคนอ่อนแอ ล้มเหลวหรือไม่มี ความสามารถ เพราะมีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่าโรคซึมเศร้ามีสาเหตุส่วนหนึ่งจากการทางานของระบบสมองที่ ผิดปกติ ในปัจจุบันโรคซึมเศร้าสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาและการรักษาทางจิตใจ หากไม่ได้รับการรักษาอาจเกิด ผลกระทบต่อการดาเนินชีวิตประจาวัน การทางานและความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง นาไปสู่ภาวะซึมเศร้าที่รุนแรงมาก ขึ้น เช่น มีอาการหลงผิด หูแว่ว มีความคิดทาร้ายตนเองหรือฆ่าตัวตาย
  • 3. 3 ปัจจุบันนี้สภาพสังคมที่วุ่นวาย ทาให้เราสามารถพบปัญหาทางอารมณ์มากขึ้น อย่างไรก็ตามปัญหานี้ใกล้ตัว ทุกคนอย่างคาดไม่ถึง เราจึงจาเป็นต้องรู้จักและพยายามจัดการอารมณ์ให้ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาด้านอื่นๆ ต่อไป ดังนั้นผู้จัดทาจึงมีความคิดที่จะนาข้อมูลเกี่ยวกับโรคซึมเศร้ามาให้ผู้อ่านได้ศึกษาเกี่ยวกับรายละเอียดของโรค ซึมเศร้า เพราะเรื่องนี้มีความสาคัญอย่างมากต่อตัวผู้อ่านและคนรอบข้างเอง วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ) 1. เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุของการเกิดโรคซึมเศร้า 2.เพื่อให้ทราบถึงชนิดของโรคซึมเศร้า 3.เพื่อให้ทราบอาการของโรคซึมเศ้รา 3.เพื่อให้ทราบความแตกต่างระหว่างโรคซึมเศร้ากับโรคเครียด 4.เพื่อให้ทราบถึงวิธีการรักษาเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า 5.เพื่อให้รู้เกี่ยวกับการปฏิบัติเมื่อเป็นโรคซึมเศร้า 6.เพื่อรู้วิธีการการป้องกันโรคซึมเศร้า 7.เพื่อเป็นแนวทางลดการฆ่าตัวตายของผู้ป่วยโรคซึมเศ้รา ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน) 1.การทาความเข้าใจและการศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า 2.พฤติกรรมและอาการของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าขึ้นอยู่แต่ละบุคคล หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน)  โรคซึมเศร้าคืออะไร สาหรับคนส่วนใหญ่แล้วคาว่าโรคซึมเศร้าฟังดูไม่คุ้นหู ถ้าพูดถึงเรื่องซึมเศร้าเรามักจะนึกกันว่าเป็นเรื่องของ อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดจากความผิดหวัง หรือการสูญเสียมากกว่าที่จะเป็นโรค ซึ่งตามจริงแล้ว ที่เราพบกันใน ชีวิตประจาวันส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกธะรรมดาๆ ที่มีกันในชีวิตประจาวัน มากบ้างน้อยบ้าง อย่างไรก็ตามในบางครั้ง ถ้าอารมณ์เศร้าที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอยู่นานโดยไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น หรือเป็นรุนแรง มีอาการต่างๆ ติดตามมา เช่น นอนหลับๆ ตื่นๆ เบื่ออาหาร น้าหนักลดลงมาก หมดความสนใจต่อโลกภายนอก ไม่คิดอยากมีชีวิตอยู่ อีกต่อไป ก็อาจจะเข้าข่ายของโรคซึมเศร้าแล้ว คาว่า “โรค” บ่งว่าเป็นความผิดปกติทางการแพทย์ ซึ่งจาเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาเพื่อให้อาการทุเลา ต่าง จากภาวะอารมณ์เศร้าตามปกติธรรมดาที่ถ้าเหตุการณ์ต่างๆ รอบตัวคลี่คลายลง หรือมีคนเข้าใจเห็นใจ อารมณ์เศร้านี้ ก็อาจหายได้ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้านอกจากมีอารมณ์ซึมเศร้าร่วมกับอาการต่างๆ แล้ว การทางานหรือการประกอบ กิจวัตรประจาวันก็แย่ลงด้วย คนที่เป็นแม่บ้านก็ทางานบ้านน้อยลงหรือมีงานบ้านคั่งค้าง คนที่ทางานนอกบ้านก็อาจ ขาดงานบ่อยๆ จนถูกเพ่งเล็ง เรียกว่าตัวโรคทาให้การประกอบกิจวัตรประจาวันต่างๆ บกพร่องลง หากจะเปรียบกับ
  • 4. 4 โรคทางร่างกายก็คงคล้ายๆ กัน เช่น ในโรคหัวใจ ผู้ที่เป็นก็จะมีอาการต่างๆ ร่วมกับการทาอะไรต่างๆ ได้น้อยหรือไม่ดี เท่าเดิม ดังนั้น การเป็นโรคซึมเศร้าไม่ได้หมายความว่า ผู้ที่เป็นเป็นคนอ่อนแอ คิดมาก หรือเป็นคนไม่สู้ปัญหา เอาแต่ ท้อแท้ ซึมเซา แต่ที่เขาเป็นนั้นเป็นเพราะตัวโรค กล่าวได้ว่าถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม โรคก็จะทุเลาลง เขา ก็จะกลับมาเป็นผู้ทีจิตใจแจ่มใส พร้อมจะทากิจวัตรต่างๆ ดังเดิม ผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมค่อนข้างมาก การเปลี่ยนแปลงหลักๆ จะเป็นในด้าน อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด พฤติกรรม ร่วมกับอาการทางร่างกายต่างๆ ดังจะได้กล่าวต่อไป กลับไปต้นฉบับ  การเปลี่ยนแปลงในผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้า การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าดังที่จะกล่าวต่อไปนี้ อาจเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปเป็น เดือนๆ หรือเป็นเร็วภายใน 1-2 สัปดาห์เลยก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย เช่น มีเหตุการณ์มากระทบรุนแรงมาก น้อยเพียงได บุคลิกเดิมของเจ้าตัวเป็นอย่างไร มีการช่วยเหลือจากคนรอบข้างมากน้อยเพียงได เป็นต้น และผู้ที่เป็น อาจไม่มีอาการตามนี้ไปทั้งหมด แต่อย่างน้อยอาการหลักๆ จะมีคล้ายๆ กัน เช่น รู้สึกเบื่อเศร้า ท้อแท้ รู้สึกตนเองไร้ค่า นอนหลับไม่ดี เป็นต้น ลักษณะการเปลี่ยนแปลงที่สาคัญ 1. อารมณ์เปลี่ยนแปลงไป ที่พบบ่อยคือจะกลายเป็นคนเศร้าสร้อย หดหู่ สะเทือนใจง่าย ร้องไห้บ่อย เรื่อง เล็กๆน้อยๆ ก็ดูเหมือนจะอ่อนไหวไปหมด บางคนอาจไม่มีอารมณ์เศร้าชัดเจนแต่จะบอกว่าจิตใจหม่นหมอง ไม่แจ่มใส ไม่สดชื่นเหมือนเดิม บางคนอาจมีความรู้สึกเบื่อหน่ายไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งที่เดิมตนเคยทาแล้วเพลินใจหรือสบาย ใจ เช่น ฟังเพลง พบปะเพื่อนฝูง เข้าวัด ก็ไม่อยากทาหรือทาแล้วก็ไม่ทาให้สบายใจขึ้น บ้างก็รู้สึกเบื่อไปหมดตั้งแต่ตื่น เช้ามา บางคนอาจมีอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย อะไรก็ดูขวางหูขวางตาไปหมด กลายเป็นคนอารมณ์ร้าย ไม่ใจเย็น เหมือนก่อน 2. ความคิดเปลี่ยนไป มองอะไรก็รู้สึกว่าแย่ไปหมด มองชีวิตที่ผ่านมาในอดีตก็เห็นแต่ความผิดพลาดความ ล้มเหลวของตนเอง ชีวิตตอนนี้ก็รู้สึกว่าอะไรๆ ก็ดูแย่ไปหมด ไม่มีใครช่วยอะไรได้ ไม่เห็นทางออก มองอนาคตไม่เห็น รู้สึกท้อแท้หมดหวังกับชีวิต บางคนกลายเป็นคนไม่มั่นใจตนเองไป จะตัดสินใจอะไรก็ลังเลไปหมด รู้สึกว่าตนเองไร้ ความสามารถ ไร้คุณค่า เป็นภาระแก่คนอื่น ทั้งๆ ที่ญาติหรือเพื่อนๆ ก็ยืนยันว่ายินดีช่วยเหลือ เขาไม่เป็นภาระอะไร แต่ก็ยังคงคิดเช่นนั้นอยู่ ความรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า ความคับข้องใจ ทรมานจิตใจ เหล่านี้อาจทาให้เจ้าตัวคิดถึงเรื่องการ ตายอยู่บ่อยๆ แรกๆ ก็อาจคิดเพียงแค่อยากไปให้พ้นๆ จากสภาพตอนนี้ ต่อมาเริ่มคิดอยากตายแต่ก็ไม่ได้คิดถึง แผนการณ์อะไรที่แน่นอน เมื่ออารมณ์เศร้าหรือความรู้สึกหมดหวังมีมากขึ้น ก็จะเริ่มคิดเป็นเรื่องเป็นราวว่าจะทา อย่างไร ในช่วงนี้หากมีเหตุการณ์มากระทบกระเทือนจิตใจก็อาจเกิดการทาร้ายตนเองขึ้นได้จากอารมณ์ชั่ววูบ 3. สมาธิความจาแย่ลง จะหลงลืมง่าย โดยเฉพาะกับเรื่องใหม่ๆ วางของไว้ที่ไหนก็นึกไม่ออก ญาติเพิ่งพูดด้วย เมื่อเช้าก็นึกไม่ออกว่าเขาสั่งว่าอะไร จิตใจเหม่อลอยบ่อย ทาอะไรไม่ได้นานเนื่องจากสมาธิไม่มี ดูโทรทัศน์นานๆ จะไม่ รู้เรื่อง อ่านหนังสือก็ได้ไม่ถึงหน้า ประสิทธิภาพในการทางานลดลง ทางานผิดๆ ถูกๆ
  • 5. 5 4. มีอาการทางร่างกายต่างๆ ร่วม ที่พบบ่อยคือจะรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ซึ่งเมื่อพบร่วมกับอารมณ์รู้สึก เบื่อหน่ายไม่อยากทาอะไร ก็จะทาให้คนอื่นดูว่าเป็นคนขี้เกียจ ปัญหาด้านการนอนก็พบบ่อยเช่นกัน มักจะหลับยาก นอนไม่เต็มอิ่ม หลับๆตื่นๆ บางคนตื่นแต่เช้ามืดแล้วนอนต่อไม่ได้ ส่วนใหญ่จะรู้สึกเบื่ออาหาร ไม่เจริญอาหาร เหมือนเดิม น้าหนักลดลงมาก บางคนลดลงหลายกิโลกรัมภายใน 1 เดือน นอกจากนี้ยังอาจมีอาการท้องผูก อืดแน่น ท้อง ปากคอแห้ง บางคนอาจมีอาการปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว 5. ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างเปลี่ยนไป ดังกล่าวบ้างแล้วข้างต้น ผู้ที่เป็นโรคนี้มักจะดูซึมลง ไม่ร่าเริง แจ่มใส เหมือนก่อน จะเก็บตัวมากขึ้น ไม่ค่อยพูดจากับใคร บางคนอาจกลายเป็นคนใจน้อย อ่อนไหวง่าย ซึ่งคนรอบข้างก็ มักจะไม่เข้าใจว่าทาไมเขาถึงเปลี่ยนไป บางคนอาจหงุดหงิดบ่อยกว่าเดิม แม่บ้านอาจทนที่ลูกๆ ซนไม่ได้ หรือมีปาก เสียงระหว่างคู่ครองบ่อยๆ 6. การงานแย่ลง ความรับผิดชอบต่อการงานก็ลดลง ถ้าเป็นแม่บ้านงานบ้านก็ไม่ได้ทา หรือทาลวกๆ เพียงให้ ผ่านๆ ไป คนที่ทางานสานักงานก็จะทางานที่ละเอียดไม่ได้เพราะสมาธิไม่มี ในช่วงแรกๆ ผู้ที่เป็นอาจจะพอฝืนใจ ตัวเองให้ทาได้ แต่พอเป็นมากๆ ขึ้นก็จะหมดพลังที่จะต่อสู้ เริ่มลางานขาดงานบ่อยๆ ซึ่งหากไม่มีผู้เข้าใจหรือให้การ ช่วยเหลือก็มักจะถูกให้ออกจากงาน 7. อาการโรคจิต จะพบในรายที่เป็นรุนแรงซึ่งนอกจากผู้ที่เป็นจะมีอาการซึมเศร้ามากแล้ว จะยังพบว่ามี อาการของโรคจิตได้แก่ อาการหลงผิดหรือประสาทหลอนร่วมด้วย ที่พบบ่อยคือ จะเชื่อว่ามีคนคอยกลั่นแกล้ง หรือ ประสงค์ร้ายต่อตนเอง อาจมีหูแว่วเสียงคนมาพูดคุยด้วย อย่างไรก็ตามอาการเหล่านี้มักจะเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับการรักษา อารมณ์เศร้าดีขึ้น อาการโรคจิตก็มักทุเลาตาม  จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคนี้หรือเปล่า บางคนที่อ่านถึงตอนนี้อาจรู้สึกว่าตนเองก็มีอะไรหลายๆ อย่างเข้ากันได้กับโรคซึมเศร้าที่ว่า แต่ก็มีหลายๆ อย่างที่ ไม่เหมือนทีเดียวนัก ทาให้อาจสงสัยว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าตนเองเป็นหรือเปล่า อาการซึมเศร้านั้นมีด้วยกันหลายระดับตั้งแต่น้อยๆ ที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจาวัน ไปจนเริ่มมีผลกระทบต่อการ ดารงชีวิตประจาวัน และบางคนอาจเป็นถึงระดับของโรคซึมเศร้า อาการที่พบร่วมอาจเริ่มตั้งแต่รู้สึกเบื่อหน่าย ไปจน พบอาการต่างๆ มากมาย ดังได้กล่าวในบทต้นๆ แบบสอบถามภาวะอารมณ์เศร้า (Patient Health Questionnaire; PHQ9) เป็นแบบสอบถามทีใช้เพื่อช่วย ในการประเมินว่าผู้ตอบมีมีภาวะซึมเศร้าหรือไม่ รุนแรงมากน้อยเพียงใด เป็นมากจนถึงระดับที่ไม่ควรจะปล่อยทิ้งไว้ หรือไม่ แบบสอบถามนี้ไม่ได้บอกว่าเป็นโรคอะไร เพียงแต่ช่วยบอกว่าภาวะซึมเศร้าที่มีอยู่ในระดับไหนเท่านั้น ในการ วินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่นั้น ผู้ที่มีอารมณ์ซึมเศร้ายังต้องมีอาการที่เข้าตามเกณฑ์การวินิจฉัยตามตารางที่ 3.2 ข้อดีอย่างหนึ่งของแบบสอบถามนี้คือสามารถใช้ช่วยในการประเมินระดับความรุนแรงของอาการได้ ว่าแต่ละ ขณะเป็นอย่างไร อาการดีขึ้นหรือเลวลง การรักษาได้ผลหรือไม่ ผู้ป่วยอาจทาและจดบันทึกไว้ทุก 1-2 สัปดาห์ โดยถ้า การรักษาได้ผลดีก็จะมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นโดยมีค่าคะแนนลดลงตามลาดับ ชนิดของโรคซึมเศร้า  โรคซึมเศร้าแบ่งออกเป็น 3 ชนิดด้วยกัน ซึ่งแต่ละชนิดมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปดังนี้
  • 6. 6 1. Major depression (โรคซึมเศร้าแบบรุนแรง) โรคซึมเศร้าชนิดนี้จะรบกวนการทางาน การรับประทาน อาหาร การนอนหลับ การเรียน รวมทั้งอารมณ์สุนทรีย์ ซึ่งอาการของโรคซึมเศร้าชนิดนี้จะเกิดเป็นครั้งๆ แล้ว หายไป แต่ทั้งนี้ก็สามารถเกิดได้บ่อยครั้ง 2. Dysthymia (โรคซึมเศร้าเรื้อรัง) เป็นโรคซึมเศร้าชนิดที่อยู่ในภาวะที่รุนแรง และสามารถเป็นแบบเรื้อรัง ทั้งนี้ มันสามารถทาให้ผู้ป่วยเกิดการสูญเสียความสามารถในการทางานและความรู้สึกที่ดีได้ 3. Bipolar หรือ Manic-depressive illness (โรคซึมเศร้าอารมณ์ตก) เป็นโรคซึมเศร้าชนิดที่ผู้ป่วยมีการ เปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ ซึ่งสาหรับบางคนอาจจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยส่วนมากจะค่อยเป็น ค่อยไป เมื่อซึมเศร้าก็จะมีอาการมากบ้างน้อยบ้าง แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นช่วงอารมณ์สนุกคึกคักเกิน เหตุ จะทาให้ผู้ป่วยมีอาการพูดมากกว่าที่เคยเป็น มีความกระฉับกระเฉงมากเกินกว่าเหตุ มีพลังงานใน ร่างกายที่เหลือเฟือ ในช่วงอารมณ์สนุกคึกคักเกินเหตุนั้น จะมีผลกระทบต่อความคิดและการตัดสินใจของ ผู้ป่วย รวมทั้งพฤติกรรมของผู้ป่วยอาจจะหลงผิด หากผู้ป่วยในภาวะนี้ไม่ได้รับการรักษาจะทาให้ผู้ป่วย กลายเป็นโรคจิต  เกณฑ์การวินิจฉัย มีอาการดังต่อไปนี้ 5 อาการหรือมากกว่า 1. มีอารมณ์ซึมเศร้า (ในเด็กและวัยรุ่นอาจเป็นอารมณ์หงุดหงิดก็ได้) 2. ความสนใจหรือความเพลินใจในกิจกรรมต่างๆ แทบทั้งหมดลดลงอย่างมาก 3. น้าหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นมาก (น้าหนักเปลี่ยนแปลงมากกว่าร้อยละ 5 ต่อเดือน) หรือมีการเบื่ออาหารหรือ เจริญอาหารมาก 4. นอนไม่หลับ หรือหลับมากไป 5. กระวนกระวาย อยู่ไม่สุข หรือเชื่องช้าลง 6. อ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง 7. รู้สึกตนเองไร้ค่า 8. สมาธิลดลง ใจลอย หรือลังเลใจไปหมด 9. คิดเรื่องการตาย คิดอยากตาย * ต้องมีอาการในข้อ 1 หรือ 2 อย่างน้อย 1 ข้อ * ต้องมีอาการเป็นอยู่นาน 2 สัปดาห์ขึ้นไป และต้องมีอาการเหล่านี้อยู่เกือบตลอดเวลา แทบทุกวัน ไม่ใช่เป็นๆ หายๆ เป็นเพียงแค่วันสองวันหายไปแล้วกลับมาเป็นใหม่  แพทย์วินิจฉัยอย่างไร เหตุที่เราจาเป็นต้องพบแพทย์เพื่อให้การวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่เนื่องจาก มีโรคทางจิตเวชอื่นหลายโรค ที่มีอาการคล้ายคลึงกับโรคซึมเศร้า โรคทางร่างกายหลายโรคและยาบางตัวก็สามารถก่อให้เกิดอาการซึมเศร้าได้ ดัง ตัวอย่างในตารางที่ * แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการป่วยเป็นโรคหรือกาลังได้ยาเหล่านี้ จะต้องเป็นสาเหตุของโรค ซึมเศร้าเสมอไป ผู้ป่วยบางคนอาจป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจากสาเหตุอื่นๆ ก็ได้ การวินิจฉัยจึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และ
  • 7. 7 อาศัยทักษะในการตรวจพอสมควร มีพบบ้างเหมือนกันว่าผู้ป่วยมาด้วยอาการของโรคซึมเศร้า แต่พอรักษาไปได้ระยะ หนึ่งเริ่มมีอาการของโรคทางกายให้เห็น พอส่งตรวจเพิ่มเติมก็พบเป็นโรคทางกายต่างๆ ตารางที่ 1 โรคหรือยาที่อาจทาให้เกิดอาการคล้ายคลึงกับโรคซึมเศร้า โรค ยา 1. โรคสมองอักเสบ โรคตับอักเสบ 1. ยาลดความดันเลือด (เช่น alphamethyldopa, clonidine, propanolol) 2. โรคระบบประสาท เนื้องอกในสมอง 2. ยารักษาโรคพาร์กินสัน (เช่น levodopa, amantadine) 3. โรคเอส แอล อี (SLE) วัณโรค โรคเอดส์ 3. ยากลุ่มสเตียรอยด์และฮอร์โมน (เช่น ยาคุม, เพรดนิโซโลน) 4. โรคไทรอยด์ฮอร์โมนต่า โรคคุชชิ่ง 4. ยารักษามะเร็ง (vincristine, vinblastine) 5. โรคขาดไวตามิน (เช่น เพเลกรา เบอริเบอรี่) 5. ยาอื่นๆ เช่น ไซเมทิดีน, cyproheptadine ในการวินิจฉัย โดยทั่วไปแพทย์จะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. ถามอาการหรือการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่เริ่มมีอาการครั้งแรกไล่มาตามลาดับจนปัจจุบัน ยิ่งผู้ป่วยเล่าอาการต่างๆ ที่มีได้ละเอียด เล่าปัญหาทางจิตใจที่เกิดขึ้นได้มากเท่าไร แพทย์ก็จะยิ่งเข้าใจผู้ป่วย มากขึ้นเท่านั้น 2. การซักถามในขั้นตอนนี้นอกจากเพื่อดูว่าผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้หรือไม่แล้ว ยังเพื่อพิจารณาว่าผู้ป่วยอาจ เป็นโรคทางจิตเวชอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับอาการเหล่านี้หรือไม่ ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัย ประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วย โดยเฉพาะในรายที่อาการไม่ชัดเจน เป็นประสบการณ์และทักษะที่ต้องผ่าน การฝึกฝนและการดูแลผู้ป่วยมาจานวนหนึ่ง 3. ถามประวัติการเจ็บป่วยต่างๆ ในอดีต โรคประจาตัว และยาที่ใช้ประจา เพื่อดูว่าอาจเป็นสาเหตุของโรค ซึมเศร้าได้หรือไม่ 4. ถามประวัติความเจ็บป่วยในญาติสายเลือดเดียวกัน เพราะโรคซึมเศร้าเกี่ยวข้องกับเรื่องกรรมพันธุ์เหมือนกัน 5. ตรวจร่างกาย และส่งตรวจพิเศษที่จาเป็น ในกรณีที่สงสัยว่าผู้ป่วยอาจมีโรคทางร่างกายอื่นๆ ที่อาจเป็น สาเหตุของอาการต่างๆ ที่พบ 6. แพทย์อาจซักประวัติเพิ่มเติมจากญาติหรือผู้ใกล้ชิด เพื่อที่จะได้ทราบเรื่องราวหรือาการต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น เพราะบางครั้งคนรอบข้างอาจสังเกตเห็นอะไรได้ชัดเจนกว่าตัวผู้ที่มีอาการเอง จะเห็นว่า เกณฑ์การวินิจฉัยดังกล่าวจึงเป็นเพียงแนวทางในเบื้องต้นเท่านั้น เป็นองค์ประกอบหนึ่งในหลายๆ ขั้นตอนที่ แพทย์ใช้ในการวินิจฉัย การวินิจฉัยที่แน่นอนจึงต้องพบแพทย์เท่านั้น  โรคอื่นที่มีอาการคล้ายคลึงกับโรคซึมเศร้า
  • 8. 8 ภาวะอารมณ์ซึมเศร้าจากการปรับตัวไม่ได้กับปัญหาที่มากระทบ เป็นภาวะที่เกิดจากการปรับตัวไม่ได้กับปัญหา ต่างๆ ที่เข้ามากระทบ เช่น ย้ายบ้าน ตกงาน เกษียน เป็นต้น โดยจะพบอาการซึมเศร้าร่วมด้วยได้ แต่มักจะไม่รุนแรง ถ้ามีคนมาพูดคุย ปลอบใจก็จะดีขึ้นบ้าง อาจมีเบื่ออาหารแต่เป็นไม่มาก ยังพอนอนได้ เมื่อเวลาผ่านไป ค่อยๆ ปรับตัว ได้กับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ภาวะอารมณ์ซึมเศร้าที่มีก็จะทุเลาลง โรคอารมณ์แปรปรวน ในโรคอารมณ์แปรปรวน ผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนกับโรคซึมเศร้าอยู่ช่วงหนึ่ง และมีอยู่บาง ช่วงที่มีอาการออกมาในลักษณะตรงกันข้ามกับอาการซึมเศร้า เช่น อารมณ์ดีเบิกบานมากผิดปกติ พูดมาก ขยันมาก เชื่อมั่นตัวเองมากกว่าปกติ ใช้เงินเปลือง เป็นต้น ซึ่งทางการแพทย์เรียกระยะนี้ว่า ระยะแมเนีย ผู้ที่เป็นโรคอารมณ์ แปรปรวนบางครั้งจะมีอาการของโรคซึมเศร้า บางครั้งก็มีอาการของภาวะแมเนีย โรควิตกกังวล พบบ่อยว่าผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้ามักจะมีอาการวิตกกังวล ห่วงโน่นห่วงนี่ ซึ่งเป็นอาการหลักของ โรควิตกกังวล ที่ต่างกันคือในโรควิตกกังวลนั้น จะมีอาการหายใจไม่อิ่ม ใจสั่น สะดุ้ง ตกใจง่าย ร่วมด้วย อาการเบื่อ อาหารถึงมีก็เป็นไม่มาก น้าหนักไม่ลดลงมากเหมือนผู้ป่วยโรคซึมเศร้า และโรคซึมเศร้านั้นนอกจากอาการวิตกกังวล แล้วก็จะพบอาการซึมเศร้า ท้อแท้ เบื่อหน่ายชีวิต ร่วมด้วยโดยที่อาการอารมณ์เศร้านี้จะเห็นเด่นชัดกว่าอาการวิตก กังวล  สาเหตุ ปัจจุบันแนวคิดเกี่ยวกับสาเหตุของโรคซึมเศร้านั้น เชื่อกันว่าสัมพันธ์กับหลายๆ ปัจจัย ทั้งจากด้านกรรมพันธุ์ การพลัดพรากจากพ่อแม่ในวัยเด็ก พัฒนาการของจิตใจ รวมถึงปัจจัยทางชีวภาพ เช่น การเปลี่ยนแปลงของระดับ สารเคมีในสมองบางตัวเป็นต้น ปัจจัยสาคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคซึมเศร้าได้แก่ 1. กรรมพันธุ์ พบว่ากรรมพันธุ์มีส่วนเกี่ยวข้องสูงในโรคซึมเศร้าโดยเฉพาะในกรณีของผู้ที่มีอาการเป็นซ้าหลายๆ ครั้ง 2. สารเคมีในสมอง พบว่าระบบสารเคมีในสมองของผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากปกติอย่าง ชัดเจน โดยมีสารที่สาคัญได้แก่ ซีโรโทนิน (serotonin) และนอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine) ลดต่าลง รวมทั้งอาจมีความผิดปกติของเซลล์รับสื่อเคมีเหล่านี้ ปัจจุบันเชื่อว่าเป็นความบกพร่องในการควบคุม ประสานงานร่วมกัน มากกว่าเป็นความผิดปกติที่ระบบใดระบบหนึ่ง ยาแก้เศร้าที่ใช้กันนั้นก็ออกฤทธิ์โดยการ ไปปรับสมดุลย์ของระบบสารเคมีเหล่านี้ 3. ลักษณะนิสัย บางคนมีแนวคิดที่ทาให้ตนเองซึมเศร้า เช่น มองตนเองในแง่ลบ มองอดีตเห็นแต่ความบกพร่อง ของตนเอง หรือ มองโลกในแง่ร้าย เป็นต้น บุคคลเหล่านี้เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่กดดัน เช่น ตกงาน หย่า ร้าง ถูกทอดทิ้งก็มีแนวโน้มที่จะเกิดอาการซึมเศร้าได้ง่าย ซึ่งหากไม่ได้รับการช่วยเหลือที่เหมาะสมอาการอาจ มากจนกลายเป็นโรคซึมเศร้าได้ โรคซึมเศร้านั้นไม่ได้มีสาเหตุจากแต่เพียงปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเท่านั้น เหมือนกับการป่วยเป็นไข้หวัด ก็มักเป็นจาก ร่างกายอ่อนแอ จากพักผ่อนน้อย ไม่ได้ออกกาลังกาย ขาดสารอาหาร ถูกฝน อากาศเย็น ร่วมกับการได้รับเชื้อไวรัสที่ ทาให้เกิดไข้หวัด ถ้าเราแข็งแรงดี แม้จะได้รับเชื้อหวัดก็ไม่เป็นอะไร ในทานองเดียวกัน ถ้าร่างกายเราอ่อนแอ แต่ไม่ได้ รับเชื้อหวัดก็ไม่เกิดอาการ การเริ่มเกิดอาการของโรคซึมเศร้านั้นมักมีปัจจัยกระตุ้น มากบ้างน้อยบ้าง บางครั้งอาจไม่มี
  • 9. 9 ก็ได้ซึ่งพบได้น้อย อย่างไรก็ตาม การมีสาเหตุที่เห็นชัดว่าเป็นมาจากความกดดันด้านจิตใจนี้ มิได้หมายความว่าสิ่งที่ เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนเราไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน การพิจารณาว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นผิดปกติ หรือไม่ เราดูจากการมีอาการต่าง ๆ และความรุนแรงของอาการเป็นหลัก ผู้ที่มีอาการเข้ากับเกณฑ์การวินิจฉัยโรค ซึมเศร้านั้น บ่งถึงภาวะของความผิดปกติที่จาต้องได้รับการช่วยเหลือ  การรักษา โรคซึมเศร้านี้หากได้รับการรักษาผู้ที่เป็นจะอาการดีขึ้นมาก อาการซึมเศร้า ร้องไห้บ่อยๆ หรือรู้สึกท้อแท้หมด กาลังใจ จะกลับมาดีขึ้นจนผู้ที่เป็นบางคนบอกว่าไม่เข้าใจว่าตอนนั้นทาใมจึงรู้สึกเศร้าไปได้ถึงขนาดนั้น ข้อแตกต่าง ระหว่างโรคนี้กับโรคจิตที่สาคัญประการหนึ่งคือ ในโรคซึมเศร้าถ้าได้รับการรักษาจนดีแล้วก็จะกลับมาเป็นปกติ เหมือนเดิม ขณะที่ในโรคจิตนั้นแม้จะรักษาได้ผลดีผู้ที่เป็นก็มักจะยังคงมีอาการหลงเหลืออยู่บ้าง ไม่สามารถทาอะไรได้ เต็มที่เหมือนแต่ก่อน ยิ่งหากมารับการรักษาเร็วเท่าไรก็ยิ่งจะอาการดีขึ้นเร็วเท่านั้น ยิ่งป่วยมานานก็ยิ่งจะรักษายาก การรักษาที่สาคัญในโรคนี้คือการรักษาด้วยยาแก้เศร้า โดยเฉพาะในรายที่อาการมาก ส่วนในรายที่มีอาการไม่ มาก แพทย์อาจรักษาด้วยการช่วยเหลือชี้แนะการมองปัญหาต่างๆ ในมุมมองใหม่ แนวทางในการปรับตัว หรือการหา สิ่งที่ช่วยทาให้จิตใจผ่อนคลายความทุกข์ใจลง ร่วมกับการให้ยาแก้เศร้าหรือยาคลายกังวลเสริมในช่วงที่เห็นว่าจาเป็น การรักษาด้วยยาแก้เศร้า ยาแก้เศร้ามีส่วนช่วยในการรักษาโรคนี้ แม้ผู้ที่ป่วยบางคนอาจรู้สึกว่าความทุกข์ใจหรือปัญหาต่างๆ ที่เกิด ขึ้นกับตนเองนั้นเป็นเรื่องของจิตใจ แต่ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ถ้าเป็นโรคซึมเศร้าแล้วแสดงว่าได้มีการเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นในร่างกายของคนเราจนทาให้เกิดมีอาการต่างๆ เช่น น้าหนักลด อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ ร่วมอีกหลายๆ อาการ ไม่ใช่มีแต่เพียงอารมณ์เศร้าอย่างเดียว ซึ่งยาจะมีส่วนช่วยในการบาบัดอาการต่างๆ เหล่านี้ อีกทั้งยังสามารถ ทาให้อารมณ์ซึมเศร้า ความวิตกกังวลใจทุเลาลงได้ด้วย จากการศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้า 10 คนหากได้รับ การรักษาด้วยยาแก้เศร้าอาการจะดีขึ้นจนหายถึง 8-9 คน ในขณะที่หากไม่รับการรักษานั้นอาการจะดีเองขึ้นเพียง 2- 3 คนเท่านั้น (เฉพาะในรายที่อาการไม่รุนแรง หากอาการรุนแรงอาจจะกล่าวได้ว่ายากที่จะหายเอง) ข้อควรทราบเกี่ยวกับการรักษาด้วยยาแก้ซึมเศร้า 1. อาการของโรคไม่ได้หายทันทีที่กินยา โดยเฉพาะอาการซึมเศร้า โดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ขึ้นไปอาการจึงจะดีขึ้นอย่างเห็นชัด แต่ยาก็ยังมีส่วนช่วยในระยะแรกๆ โดยทาให้ผู้ป่วยหลับได้ดีขึ้น เจริญอาหารขึ้น เริ่มรู้สึกมีเรี่ยวแรงจะทาอะไรมากขึ้น ความรู้สึกกลัดกลุ้มหรือกระสับกระส่ายจะเริ่มลดลง 2. ยาทุกชนิดสามารถทาให้เกิดอาการข้างเคียงได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นยาแก้ปวด ยาแก้แพ้ หรือยาระบาย ก็ตาม แม้ว่าโอกาสที่เกิดอาการข้างเคียงจะมากน้อย และมีความรุนแรงต่างกันไป การใช้ยาจึงควรใช้ในขนาดและ กินตามเวลาที่แพทย์สั่งเท่านั้น หากมีความจาเป็นที่ทาให้กินยาตามสั่งไม่ได้ และควรแจ้งแพทย์ทุกครั้งหาก เกิดอาการใดๆ ที่ไม่แน่ใจว่าเป็นอาการข้างเคียงหรือไม่ 3. ผู้ป่วยจานวนไม่น้อยที่ไม่กล้ากินยามากตามที่แพทย์สั่ง แพทย์สั่งกิน 4 เม็ดก็กินแค่ 2 เม็ด หรือกินบ้างหยุด กินบ้าง เพราะกลัวว่าจะติดยา หรือกลัวว่ายาจะไปสะสมอยู่ในร่างกาย แต่ตามจริงแล้วยาแก้เศร้าไม่มีการติด
  • 10. 10 ยา ถ้าขาดยาแล้วมีอาการไม่สบาย นั่นเป็นเพราะว่ายังไม่หายจากอาการของโรค การกินๆ หยุดๆ หรือกินไม่ ครบขนาดกลับจะยิ่งทาให้การรักษาไม่ได้ผลดี และรักษายากมากขึ้น 4. ยาแก้เศร้ามีอยู่เป็นสิบขนาน จากการศึกษาไม่พบว่าตัวไหนดีกว่าตัวไหนอย่างชัดเจน เรียกว่าผู้ป่วยคนไหนจะ ถูกกับยาตัวไหนเป็นเรื่องเฉพาะตัว หรือ ลางเนื้อชอบลางยา ซึ่งโดยรวมแล้วก็มักจะรักษาได้ผลทุกตัว การใช้ ยาขึ้นอยู่กับว่าแพทย์มีความชานาญ คุ้นเคยกับการใช้ยาขนานไหน และผู้ป่วยมีโรคทางกายหรือกาลังกินยา อื่นๆ ที่ทาให้ใช้ยาบางตัวไม่ได้หรือไม่ ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยจะตอบสนองต่อยาแก้เศร้าตัวแรกที่ให้ หากอาการ ยังไม่ดีในระยะแรกๆ อาจเป็นเพราะยังปรับยาไม่ได้ขนาด หรือยังไม่ได้ระยะเวลาที่ยาออกฤทธิ์ได้เต็มที่เสีย มากกว่า ถ้าแพทย์รักษาไประยะหนึ่งแล้ว และเห็นว่าให้ยาในขนาดที่พอเพียงแล้วผู้ป่วยยังอาการดีขึ้นไม่มาก ก็อาจเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่นต่อไป  ยาที่ใช้ในการรักษา สมัยหลายสิบปีก่อนยาแก้เศร้ามีอยู่เพียง 4-5 ขนาน แม้ว่ายารุ่นก่อนจะมีประสิทธิภาพในการรักษาที่ดี (ยาที่มีใช้ ในช่วงหลังๆ มีแต่ดีเท่าหรือด้อยกว่ายารุ่นเก่า) การใช้ยามักจะมีข้อจากัดด้วยเหตุว่าผู้ป่วยเกิดอาการข้างเคียงจากยา บ่อย แม้ว่าส่วนใหญ่จะไม่ใช่อาการที่รุนแรง แต่ผู้ป่วยบางคนก็ไวต่ออาการข้างเคียงมาก ทาให้การปรับเพิ่มขนาดยาทา ได้ลาบาก ปัจจุบันมียาใหม่มากขึ้นซึ่งมีอาการข้างเคียงน้อยกว่ายาเก่า ทาให้การใช้สะดวกขึ้น ปัญหาคือยาเหล่านี้ราคา ค่อนข้างแพง แพทย์จึงจะเลือกใช้ในกรณีที่เห็นว่าผู้ป่วยมีความจาเป็นที่ทาให้ใช้ยารุ่นเก่าไม่ได้ ยากลุ่มที่ใช้ปัจจุบันกันมากคือยากลุ่ม SSRI ซึ่งกลไกสาคัญคือจะไปยับยั้งการดูดซึมซีโรโตนินกลับเข้า เซลล์ (serotonin reuptake inhibitor: SSRI) ทาให้ซีโรโตนินเพิ่มขึ้นบริเวณ ส่วนต่อระหว่างเซลล์ ประสาท ปัจจุบันมีหลายขนานผลิตได้โดยองค์การเภสัชกรรมและบริษัทยาในประเทศ เนื่องจากหมดสิทธิบัตรยาแล้ว ทาให้ราคายาถูกลงมาก ยายขนานที่ปัจจุบันใช้เป็นยาขนานแรกในการรักษาผู้ป่วยโรคซึมเศร้าได้แก่ยา fluoxetine, ตามมาด้วยยา sertraline ในผู้ป่วยสูงอายุ และผู้ป่วยที่มีโรคประจาตัวบางโรค ยาที่ใช้มักจะมีขนาดต่ากว่าขนาดที่ใช้กับคนปกติทั่วไป ยา บางตัวอาจมีปฏิกิริยากับยาแก้เศร้าที่กิน ดังนั้นผู้ป่วยที่กินยาอื่นๆ จึงควรแจ้งแพทย์ทุกครั้ง ยาที่เราใช้กันจะมีชื่ออยู่ 2 แบบ ได้แก่ชื่อสามัญ และชื่อการค้า ชื่อสามัญคือชื่อที่บอกองค์ประกอบหรือลักษณะ ยา ส่วนชื่อการค้าคือชื่อที่แต่ละบริษัทตั้งขึ้นเพื่อให้รู้ว่าผลิตจากบริษัทของตน ยาชื่อสามัญตัวเดียวอาจมีชื่อการค้าได้ หลายๆ ชื่อถ้ามีผู้ผลิตหลายบริษัท เช่น ยาแก้ปวดชนิดหนึ่งมีชื่อสามัญว่า พาราเซตามอล และมีชื่อการค้าหลายชื่อเช่น คาปอล เซตามอล เป็นต้น ซึ่งทุกยาทุกชื่อก็ได้ผลเช่นเดียวกันเพราะเป็นยาตัวเดียวกัน  อาการข้างเคียงที่พบได้ในยาแก้เศร้ากลุ่มเก่า 1. ง่วง เพลีย ซึมๆ ยาแต่ละตัวมีฤทธิ์ทาให้ง่วงมากน้อยแตกต่างกัน ยาที่พบบ่อยได้แก่ อะมิทริปไทลีน และด็อก เซปิน แพทย์จึงมักให้ยาเหล่านี้กินตอนเย็นหรือก่อนนอน ซึ่งก็เหมาะกับโรค เพราะโรคนี้ผู้ที่เป็นมักจะนอน
  • 11. 11 หลับไม่ดีอยู่แล้ว ยาจึงช่วยให้หลับได้โดยไม่ต้องใช้ยานอนหลับ ในช่วงแรกของการรักษาห้ามขับรถและควร หลีกเลี่ยงการทางานกับเครื่องจักร เนื่องจากการง่วงซึมแม้จะมีเพียงเล็กน้อยก็อาจทาให้การตัดสินใจ หรือ การเคลื่อนไหวที่ต้องการความรวดเร็วนั้น เชื่องช้าลงได้มาก หากสังเกตว่ากินยาแล้วง่วงมาก ซึมแทบทั้งวัน ควรแจ้งแพทย์เพื่อจะได้พิจารณาปรับยา แต่พบว่าบางครั้งพอกินยาไปนานๆ เข้ากลับไม่มีง่วงเหมือนเดิมอีกก็ มี 2. อาการปากคอแห้ง เป็นอาการข้างเคียงที่พบได้บ่อย แก้โดยให้จิบน้าบ่อยๆ 3. ตามัว มองเห็นไม่ชัด อาการพวกนี้จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง ไม่ต้องตัดแว่นใหม่ 4. ท้องผูก กินอาหารจาพวกผัก ผลไม้ที่มีกากมากๆ หรืออาจกินมะขามเปียกช่วยในการระบาย 5. เวียนศีรษะ หน้ามืด จากยาไปทาให้หลอดเลือดขยายตัว เลือดจึงค้างอยู่ในร่างกายมาก ไปเลี้ยงสมองน้อย อาการนี้มักเป็นเวลาเปลี่ยนอิริยาบท เช่น นอนนานๆ นั่งนานๆ แล้วลุกกระทันหัน หากมีอาการบ่อยๆ อาจ แก้โดยรับประทานของเค็มๆ บ่อยขึ้น เพื่อทาให้ความดันเลือดเพิ่มมากขึ้น (ผู้ที่เป็นโรคความดันสูงอยู่ไม่ควร ใช้วิธีนี้) การเปลี่ยนท่าทางต้องค่อยๆ ทา หากจะลุกจากตื่นนอน ให้ลุกนั่งสักพักหนึ่ง ขยับแขนขาไปมา ให้ เลือดไหลเวียนดี แล้วจึงค่อยๆ ลุกขึ้น หากมีอาการเวียนศีรษะขณะยืนอยู่ให้รีบนั่งพิงพนักหรือนอนทันที ถ้า ยิ่งนอนในท่าที่ส่วนศีรษะต่ากว่าส่วนลาตัวและยกขาสูงได้ก็ยิ่งดี หากมีอาการเช่นนี้บ่อยๆ แก้ไขแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรแจ้งแพทย์ ซึ่งแพทย์อาจปรับลดยาลงหรือเปลี่ยนยา  อาการข้างเคียงที่พบได้ในยาแก้เศร้ากลุ่มใหม่ ยาแก้เศร้ากลุ่มใหม่นี้ กล่าวโดยรวมแล้วมีอาการข้างเคียงน้อยกว่ายากลุ่มเก่า โดยเฉพาะอาการปากคอแห้ง ท้องผูก หรืออาการหน้ามืด เวียนศีรษะ ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะยากลุ่มใหม่ที่ออกฤทธิ์เฉพาะระบบซีโรโตนิน (กลุ่มที่มี เครื่องหมาย * ในตาราง) เนื่องจากมียาหลายขนาน ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ในการรักษาโดยไปปรับสารเคมีในสมองเฉพาะ ระบบซีโรโตนิน ยาแต่ละขนานจะมีอาการข้างเคียงต่อไปนี้มากน้อยต่างกัน 1. กระวนกระวาย บางคนกินยาแล้วมีอาการกระวนกระวาย ซึ่งพบได้กับยาแก้เศร้ากลุ่มใหม่ขนานอื่นบางตัว เหมือนกัน (ดูในตาราง) ถ้ากินยาแล้วรู้สึกว่าตนเองหงุดหงิดง่ายขึ้น กระวนกระวาย รู้สึกเหมือนอยู่ไม่สุข ต้อง ทาโน่นทานี่ ให้บอกแพทย์ ซึ่งแพทย์อาจให้ยาคลายกังวลร่วม ลดขนาดยาลง หรือเปลี่ยนไปใช้ยาขนานอื่น 2. นอนไม่หลับ ข้อดีของยาเหล่านี้คือไม่ทาให้ง่วงนอน แพทย์จึงมักนิยมให้ตอนเช้า หากกินก่อนนอนแล้วอาจจะ ทาให้หลับไม่ดีได้ 3. คลื่นไส้ บางคนกินยาแล้วมีอาการพะอืดพะอม คลื่นไส้ จุก แน่นท้อง ส่วนใหญ่มักจะเป็นช่วงสั้นๆ หลังกินยา ถ้ามีอาการให้ลองเปลี่ยนมากินยาตอนท้องว่าง (ก่อนกินอาหาร) ถ้าเป็นมื้อเช้าก็คือ ตื่นมาสักครู่ก็กินยาเลย ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้แจ้งแพทย์ 4. ปวดหัว มักเป็นไม่นาน ดีขึ้นเอง  แพทย์รักษาอย่างไร
  • 12. 12 หลังจากแพทย์ประเมินอาการจนค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าโดยไม่มีสาเหตุมาจากโรคทางร่างกาย อื่นๆ ก็จะเริ่มให้การรักษาโดยให้ยาขนาดต่าก่อน นัดติดตามการรักษาอีกประมาณ 1-2 สัปดาห์ต่อมา ถ้าผู้ป่วยไม่มี อาการข้างเคียงอะไรก็จะค่อยๆ ปรับยาขึ้นไปทุกๆ 1-2 สัปดาห์จนได้ขนาดในการรักษา  แพทย์จะรับไว้ในโรงพยาบาลเมื่อ 1. ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด เช่น ไม่กินอาหารเลย อยู่นิ่งๆ ตลอดวัน คิดอยากตายหรือ พยายามฆ่าตัวตาย 2. แพทย์ต้องการตรวจเพิ่มเติมอย่างละเอียด เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง 3. แพทย์เห็นว่าการรักษาด้วยยาต้องดูแลใกล้ชิด เช่น ผู้ป่วยที่มีโรคทางกาย ผู้ป่วยสูงอายุ เป็นต้น  ระยะเวลาในการรักษา หลังจากที่รักษาจนผู้ป่วยอาการดีขึ้นแล้ว แพทย์จะให้ยาในขนาดใกล้เคียงกับขนาดเดิมต่อไปอีกนาน 4-6 เดือน เนื่องจากพบว่าในช่วงนี้ผู้ป่วยที่หยุดยาไปกลับเกิดอาการกาเริบขึ้นมาอีกสูง เมื่อให้ยาไปจนครบ 6 เดือนโดยที่ผู้ป่วยไม่ มีอาการเลยในระหว่างนี้ แพทย์จึงจะค่อยๆ ลดยาลงโดยใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนจนหยุดยาในที่สุด แม้ว่าจะหายจากการป่วยในครั้งนี้แล้ว ยังพบว่ามีผู้ป่วยจานวนหนึ่งที่มีโอกาสเกิดกลับมาป่วยซ้าอีก โดยพบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยที่ป่วยครั้งแรกมีโอกาสที่จะเกิดป่วยซ้าอีกได้ บางคนหายปี 2-3 ปีแล้วกลับเป็นใหม่ ในขณะที่ บางคนหายไปเป็น 5-7 ปีก็มี ซึ่งบอกยากว่าใครจะกลับมาเป็นอีกและจะเป็นเมื่อไร หลักการโดยทั่วๆ ไปคือ ถ้าเป็น ครั้งที่สอง โอกาสเกิดเป็นครั้งที่สามก็สูงขึ้นและถ้าเป็นครั้งที่สาม โอกาสเป็นครั้งที่สี่ก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก และการกาเริบใน ครั้งต่อๆ ไปจะกระชั้นเข้า ดังนั้นถ้าป่วย 3 ครั้งแล้วจาเป็นต้องกินยากันไม่ให้กลับเป็นซ้าไปนานเป็นปีๆ แต่ถ้าเป็น 2 ครั้งและมีลักษณะต่างๆ ที่แพทย์เห็นว่ามีความเสี่ยงก็อาจให้ยาป้องกันเช่นกัน  ข้อบ่งชี้ในการป้องกันระยะยาว 1. มีอาการมาแล้ว 3 ครั้ง 2. มีอาการมาแล้ว 2 ครั้ง ร่วมกับมีภาวะต่อไปนี 3. ญาติใกล้ชิดสายเลือดเดียวกันมีประวัติป่วยเป็นโรคนี้ซ้าๆ หลายครั้ง หรือป่วยเป็นโรคอารมณ์แปรปรวน 4. มีประวัติกลับมาป่วยซ้าอีกภายใน 1 ปี หลังจากหยุดการรักษา 5. เริ่มมีอาการครั้งแรกขณะอายุยังน้อย (ต่ากว่า 20 ปี) 6. มีอาการที่เป็นเร็ว รุนแรง หรืออันตรายมา 2 ครั้ง ภายในช่วงเวลา 3 ปี ผู้ป่วยที่กินยาป้องกันมักจะกินไปนานประมาณ 3-5 ปี ผู้ป่วยที่ได้รับยาป้องกันมิได้หมายความว่าจะไม่เกิดอาการอีก เลย พบว่าผู้ป่วยส่วนน้อยอาจเกิดอาการเหมือนเดิมอีก ผู้ป่วยบางคนเกิดอาการอีกแต่เป็นน้อยและเป็นแค่ช่วงสั้นๆ เมื่อเพิ่มยาขึ้นอาการก็หายไป ในขณะที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการอีก
  • 13. 13 การที่การกินยาป้องกันระยะยาวมีความสาคัญเพราะจากการศึกษาในระยะหลังๆ นี้ทราบค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่าหาก ผู้ป่วยมีอาการกาเริบขึ้นบ่อยๆ การรักษาจะยุ่งยากมาขึ้นในระยะหลังๆ และอาการอาจเป็นถี่มากขึ้น  คาแนะนาสาหรับผู้ป่วย ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้มักรู้สึกว่าตนเองไม่มีค่า ไม่มีใครสนใจ ต้องรับความกดดันต่างๆ แต่ผู้เดียว รู้สึกสิ้นหวัง ไม่ อยากจะสู้ปัญหาอะไรๆ อีกแล้ว แต่ขอให้ความมั่นใจว่าความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้เป็นอยู่ตลอดไป โรคนี้รักษาให้หายขาดได้ เมื่ออาการของโรคดีขึ้น มุมมองต่อสิ่งต่างๆ ในแง่ลบจะเปลี่ยนไป ความมั่นใจในตนเองจะมีเพิ่มขึ้น มองเห็นปัญหาต่างๆ ในมุมมองอื่นๆ ที่ แตกต่างออกไปจากเดิมมากขึ้น ในขณะที่คุณกาลังซึมเศร้าอยู่นั้น มีข้อแนะนาดังต่อไปนี้ 1. การออกกาลังกาย การออกกาลังกายนอกจากจะช่วยทางร่างกายแล้ว จิตใจก็ยังจะดีขึ้นด้วย โดยในผู้ที่มี อาการซึมเศร้าไม่มาก จะรู้สึกว่าจิตใจคลายความเศร้า และแจ่มใสขึ้นได้ การออกกาลังกายที่ดีจะเป็นการ ออกกาลังแบบแอโรบิก เช่น วิ่ง เดิน ว่ายน้า ซึ่งจะช่วยให้หลับได้ดีขึ้น การกินอาหารดีขึ้น การขับถ่ายดีขึ้น ถ้าได้ออกกาลังกายร่วมกับผู้อื่นด้วยก็จะยิ่งช่วยเพิ่มการเข้าสังคม ไม่รู้สึกว่าตนเองโดดเดี่ยว 2. อย่าตั้งเป้าหมายในการทางานและการปฏิบัติตัวที่ยากเกินไป ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เรายังต้องการการพักผ่อน ทั้งทางร่างกายและจิตใจ การกระตุ้นตนเองมากไปกลับยิ่งจะทาให้ตัวเองรู้สึกแย่ที่ทาไม่ได้อย่างที่หวัง 3. เลือกกิจกรรมที่ทาให้เกิดความรู้สึกที่ดีๆ โดยมักจะเป็นสิ่งที่เราเคยชอบ เช่น ไปเที่ยวสวนสาธารณะ ไปเที่ยว ชายทะเล ชวนเพื่อนมาที่บ้าน พยายามทากิจกรรมที่ทาร่วมกับคนอื่นมากกว่าที่จะอยู่คนเดียว หลักการ เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกอย่างหนึ่งก็คือ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้จะไม่คงอยู่ตลอดไป แต่จะขึ้นๆ ลงๆ ในแต่ละ ช่วง คนที่มีความโศกเศร้ามักจะรู้สึกหมดหวัง คิดว่าความรู้สึกนี้จะคงอยู่กับตนเองตลอดเวลา ในความเป็น จริงแล้วจะมีอยู่บางช่วงที่อารมณ์เศร้านี้เบาบางลง ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ให้เราเริ่มกิจกรรมที่สร้างสรรค์ เพื่อให้มี ความรู้สึกที่ดีขึ้น 4. อย่าตัดสินใจเรื่องที่สาคัญต่อชีวิต เช่นการหย่า การลาออกจากงาน ณ ขณะที่เรากาลังอยู่ในภาวะซึมเศร้านี้ การมองสิ่งต่างๆ ในแง่ลบอาจทาให้การตัดสินใจผิดพลาดไปได้ ควรเลื่อนการตัดสินใจไปก่อน หากจาเป็น หรือเห็นว่าปัญหานั้นๆ เป็นสิ่งที่กดดันเราทาให้อะไรๆ แย่ลวงจริงๆ ก็ควรปรึกษาผู้ใกล้ชิดหลายๆ คนให้ช่วย คิด 5. การมองปัญหาโดยไม่แยกแยะจะทาให้เกิดความรู้สึกท้อแท้ ไม่รู้จะทาอย่างไร การแก้ปัญหาให้แยกแยะ ปัญหาให้เป็นส่วนย่อยๆ จัดเรียงลาดับความสาคัญว่าเรื่องไหนควรทาก่อนหลังแล้วลงมือทาไปตามลาดับโดย ทิ้งปัญหาย่อยอื่นๆ ไว้ก่อน วิธีนี้จะพอช่วยให้รู้สึกว่าตนเองยังทาอะไรได้อยู่  คาแนะนาสาหรับญาติ
  • 14. 14 ญาติมักจะรู้สึกห่วงผู้ที่เป็น ไม่เข้าใจว่าทาไมเขาถึงได้ซึมเศร้ามากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เรื่องที่มากระทบก็ดูไม่หนักหนา นก ทาให้บางคนพาลรู้สึกโกรธ ขุ่นเคือง เห็นว่าผู้ป่วยเป็นคนอ่อนแอ เป็นคน “ไม่สู้” ทาไมเรื่องแค่นี้ถึงต้องเศร้าเสียใจ ขนาดนี้ ท่าทีเช่นนี้กลับยิ่งทาให้ผู้ที่เป็นรู้สึกว่าตัวเองยิ่งแย่ขึ้นไปอีก เกิดความรู้สึกว่าตนเองเป็นภาระแก่ผู้อื่น ทาให้ จิตใจยิ่งตกอยู่ในความทุกข์ แต่ทั้งนี้ ภาวะที่เขาเป็นนี้ไม่ใช่อารมณ์เศร้าธรรมดา หรือเป็นจากจิตใจอ่อนแอ หากแต่เป็นภาวะของความผิดปกติ เขากาลัง “เจ็บป่วย” อยู่ หากจะเปรียบกับโรคทางกายเช่น โรคปอดบวม อาจจะทาให้พอเห็นภาพชัดขึ้น คนเป็นโรค ปอดบวมจะมีการอักเสบของปอด เสมหะเหนียวอุดตันตามหลอดลม ทาให้มีอาการหอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก มีไข้ สิ่งที่ เขาเป็นนั้นเขาไม่ได้แกล้งทา หากแต่เป็นเพราะมีความผิดปกติอยู่ภายในร่างกาย เขากาลังเจ็บป่วยอยู่ กับโรคซึมเศร้า ก็เป็นเช่นเดียวกัน ความกดดันภายนอกที่รุมเร้าร่วมกับปัจจัยเสี่ยงหลายๆ อย่างในตัวเองทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทา ให้มีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีและระบบฮอร์โมนต่างๆ ในสมอง เกิดมีอาการต่างๆ ตามมาทั้งทางกายและใจ นอกเหนือไปจากความเศร้าโศก ณ ขณะนั้น นอกจากอารมณ์ที่เปลี่ยนไปแล้ว ยังพบมีอาการทางร่างกาย ต่างๆ นาๆ รวมด้วย ความคิดเห็น มุมมองต่อสิ่งต่างๆ ก็เปลี่ยนไปด้วย การมองสิ่งต่างๆ ในแง่ลบ ก็กลับจะยิ่งไปส่งเสริมให้จิตใจ เศร้าหมอง กลัดกลุ้มมากขึ้นไปอีก เขาห้ามให้ตัวเองไม่เศร้าไม่ได้ ทั้งหมดนี้เป็นปรากฏการณ์ของความเจ็บป่วย ซึ่งเมื่อ ได้รับการรักษาหายแล้ว อารมณ์เศร้าหมองก็จะดีขึ้น จิตใจแจ่มใสขึ้น การมองสิ่งรอบตัวก็จะเปลี่ยนไป อาการต่างๆ จะค่อยๆ หายไป หากญาติมีความเข้าใจผู้ที่เป็น โรคซึมเศร้า มองว่าเขากาลังไม่สบาย ความคาดหวังในตัวเขาก็จะลดลง ความหงุดหงิด คับข้องใจก็ลดลง เรามักจะให้อภัยคนที่กาลังไม่สบาย มีข้อยกเว้นให้บางอย่าง เพราะเราทราบดีว่าเขาไม่ได้แกล้งทา ไม่มีใครอยากป่วย  ข้อควรทราบ 1. โรคนี้ไม่ได้อาการดีขึ้นทันทีที่กินยา การรักษาต้องใช้เวลาบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นสัปดาห์ อาการจึงจะดีขึ้นอย่าง เห็นชัด จึงไม่ควรคาดหวังจากผู้ป่วยมากเกินไป 2. การรักษาด้วยยามีความสาคัญ ควรช่วยดูแลเรื่องการกินยา โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ผู้ป่วยยังซึมเศร้ามาก หรือ อาจมีความคิดอยากตาย 3. การตัดสินใจในช่วงนี้จะยังไม่ดี ควรให้ผู้ป่วยเลี่ยงการตัดสินใจในเรื่องสาคัญๆ ไปก่อนจนกว่าจะเห็นว่าอาการ เขาดีขึ้นมากแล้ว วิธีดาเนินงาน แนวทางการดาเนินงาน 1. คัดเลือกหัวข้อของโครงงานที่สนใจศึกษา 2. ศึกษาค้นคว้าและวางแผนการทางาน 3. จัดทาเค้าโครงของโครงงานที่ทา 4. ปฏิบัติการสร้างโครงงาน
  • 15. 15 5. ปรับปรุงทดสอบ 6. การทาเอกสารรายงาน 7. ประเมินผลงาน 8. นาเสนอโครงงาน เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ 1. อินเทอร์เน็ต 2. คอมพิวเตอร์ 3. เครื่องปริ้น 4. โปรแกรม Microsoft Office PowerPoint2007 งบประมาณ - ไม่มีงบประมาณในการจัดทา ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน ลาดับ ที่ ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 1 0 1 1 12 1 3 1 4 1 5 16 17 1 คิดหัวข้อโครงงาน / กรกนก 2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล / / หทัยพร กรกนก 3 จัดทาโครงร่างงาน / / / / หทัยพร 4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน / หทัยพร กรกนก 5 ปรับปรุงทดสอบ / / / / หทัยพร กรกนก 6 การทาเอกสารรายงาน / / / หทัยพร 7 ประเมินผลงาน / หทัยพร กรกนก 8 นาเสนอโครงงาน / หทัยพร กรกนก ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน)
  • 16. 16 1. สามารถทาให้ผู้คนตระถึงความสาคัญเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า 2. ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ายอมรับเข้าการรักษามากขึ้นและลดโอกาสการฆ่าตัวตาย 3. สามารถทาให้ผู้ป่วยและผู้อื่นคิดว่าโรคซึมเศร้าไม่ใช่โรคเกี่ยวกับอาการทางจิตและไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย 4. สามารถเข้าใจรายละเอียดเกี่ยวกับโรคซึมเศร้ามากขึ้น สถานที่ดาเนินการ - โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย - บ้าน กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง - กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ - กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาสุขศึกษาและพลศึกษา แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน) - https://med.mahidol.ac.th/ramamental/generalknowledge/general/09042014-1017 - https://www.honestdocs.co/most-common-psychiatric-disorders