SlideShare a Scribd company logo
1 of 9
Download to read offline
1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5- 6
ปีการศึกษา 2561
ชื่อโครงงาน โกธร โมโห โทสะ มาควบคุมอารมณ์กันเถอะ เพื่อสุขภาพจิตที่ดีกว่าเดิม
ชื่อผู้ทาโครงงาน
1 นาย ฐานันดร มหาวิเศษศิลป์ เลขที่ 08 ชั้น ม.6 ห้อง 12
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานร่วม (ถ้ามี)…………………………………………………
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2561
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม .……
1………………………………….. เลขที่……… 2…………………………………เลขที่ ……….
3………………………………….. เลขที่………
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย) โกรธ โมโห โทสะ มาควบคุมอารมณ์กันเถอะ เพื่อสุขภาพจิตที่ดีกว่าเดิม
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ) Anger wrathful Lets control it! For better mental health!
ประเภทโครงงาน โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน นาย ฐานันดร มหาวิเศษศิลป์
ชื่อที่ปรึกษา ______________________ __________________________________________
ชื่อที่ปรึกษาร่วม _____________________________________________________________
ระยะเวลาดาเนินงาน _________________________________________________________
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน
จากการสังเกตผู้คนในปัจจุบัน ในสภาวะที่ทั้งเศรษฐกิจไม่ดี ภัยธรรมชาติ หรือแม้กระทั้งเครียดจากเรื่องงาน
การเรียน ภาระที่บ้าน ภาระหน้าที่และสิ่งต่างที่คนเราต้องรับผิดชอบในปัจจุบัน ผู้คนในสังคมก็ต่างแบกรับความกดดัน
ต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน ถ้าหากว่าสักวันหนึ่งมีบางสิ่งบางอย่างไปกระทบเข้าล่ะก็ รับรองได้เลยว่าได้ระเบิดอารมณ์ออกมา
เป็นแน่แท้ ในตัวเราทุก ๆ คนล้วนแต่มีความโกธรกันอยู่ในใจเป็นเรื่องปกติ เราสามารถเรียนรู้อยู่ร่วมกันกับความโกธร
หากเรามีความเข้าใจและควบคุมมันได้ จึงเป็นเหตุที่ทาให้ผู้จัดทาได้จัดทาโครงงานนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นการให้ความรู้
ความเข้าใจ และสามารถรับมือกับอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม ป้องกันไม่ให้เกิดการขาดสติเนื่องด้วยโทสะ อย่างร้าย
ที่สุดหากไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้มีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุหรืออาจจะร้ายแรงจนเป็นคดีขึ้นมา ในบทความนี้จะ
ประกอบไปด้วยเนื้อหาที่จะเกี่ยวกับการควบคุมและการแนะนาต่างๆ โดยมีหลักการทางวิชาการประกอบเพื่อความ
น่าเชื่อถือ
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
1.เพื่อศึกษาและเรียนรู้ถึงสาเหตุและวิธีการในการควบคุมอารมณ์โกรธ
2.เพื่อเป็นแนวทางในการให้ความรู้แก่ผู้อื่น
3.เพื่อเข้าใจและวิเคราะห์สาเหตุของการเกิดอารมณ์โกรธ
4.เพื่อให้สามารถระงับและควบคุมอารมณ์ได้
3
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
โครงงานจะมีลักษณะในเชิงข้อมูล วิเคราะห์เนื้อหาทฤษฎีและปรับนามาประยุกต์กับเหตุการณ์ใน
ชีวิตประจาวัน
หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน)
ประโยชน์ของความโกธรและความโกธรที่ไม่เหมาะสม
เนื่องจากความโกรธเป็นอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ จึงเป็นไปไม่ได้เลยว่า จะมีใครที่ไม่เกิดอารมณ์โกรธเลยแม้แต่นิด
เดียว (อาจยกเว้นกรณีบรรจุอรหันต์) โดยความโกรธมีได้หลายระดับตั้งแต่โกรธน้อยๆ ซึ่งอาจมีคาที่ใช้บรรยายได้หลาย
คา เช่น หงุดหงิด ไม่พอใจ เคือง ไม่ชอบใจ จนไปถึงระดับที่โกรธรุนแรง ซึ่งบางคนอาจบรรยายว่า โมโห ปรอทแตก
ปรี๊ดแตก เดือดดาล คลั่ง แต่โดยรวมๆ ทั้งหมดนี้ก็เป็นอารมณ์ที่เรียกว่า “โกรธ” นั่นเอง
คนส่วนใหญ่มักมองอารมณ์โกรธในแง่ลบเพียงอย่างเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความโกรธไม่ได้มีแต่ข้อเสีย โดย
ความโกรธในระดับที่เหมาะสมก็มีประโยชน์เช่นกัน เพราะมันเป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจ ทาให้คนอื่นได้รับรู้
ว่าเราไม่พอใจ ซึ่งนาไปสู่การปรับปรุงและแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น หรือไม่ทาซ้าอีก ยกตัวอย่างเช่น เรานัดกับแฟน
แล้วดันไปสาย เห็นแฟนทาหน้าโกรธ เราก็รู้ได้เลยว่าเขาไม่พอใจแน่ๆ ก็อาจจะพยายามง้อ ขอโทษและไม่ไปสายอีกใน
นัดครั้งต่อๆ มา ในทางตรงกันข้าม ความโกรธที่ไม่เหมาะสมจะไม่ก่อให้เกิดผลดี แต่มักทาให้เหตุการณ์แย่ลง และมี
ผลเสียติดตามมา ความโกรธที่มากเกินไปนี้ มักเห็นได้ชัดเจนจากพฤติกรรม เช่น โกรธจนก้าวร้าว พูดจาโวยวายเสียง
ดัง ด่าว่าหยาบคาย ขว้างปาของ ทาร้ายร่างกาย และรวมไปถึงพฤติกรรมไม่เหมาะสมอื่นๆ เช่น ขับรถเร็ว กินเหล้า
เป็นต้น
ขั้นตอนที่เกิดขึ้นกับความโกธร
ก่อนที่เราจะไปจัดการกับความโกรธ เรามาลองเข้าใจความโกรธให้มากขึ้นกันก่อนนะครับ ความโกรธนั้นไม่ใช่เรื่องของ
อารมณ์เพียงอย่างเดียว แต่ยังประกอบไปด้วยการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ความคิด และพฤติกรรม
• การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ได้แก่ หัวใจเต้นเร็ว หน้าแดง หายใจเร็ว ตัวสั่น กล้ามเนื้อเกร็ง
• ความคิด การที่เราโกรธ จู่ๆ เราไม่ได้โกรธเอง แต่เกิดจากการที่เรามีความคิดบางอย่างเกิดขึ้นมาก่อน แล้วเราถึงจะ
โกรธ โดยรูปแบบความคิดของความโกรธ ได้แก่ รู้สึกว่าคนอื่นละเมิดกฎ (ของเรา) เช่น ไม่ควรขับปาดหน้าเรา ไม่ควร
แซงคิว เป็นต้น หรือเกิดจากความคิดว่าคนอื่นมุ่งร้ายต่อเรา เช่น คนอื่นนินทาเรา เขาจงใจกลั่นแกล้งเราแน่ๆ คิดว่า
คนอื่นคิดร้ายกับเราเกินจริง และเมื่ออารมณ์โกรธไปแล้ว ก็จะมีปัญหาความคิดตามมาอีก ได้แก่ คิดอะไรซ้าๆ (คิด
เรื่องที่โดนกระทาซ้าๆ) คิดแก้แค้น ไม่มีสมาธิ การตัดสินใจไม่ดี หุนหันพลันแล่น จนนาไปสู่พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้
4
• พฤติกรรม เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด และเป็นปัญหาที่สุด เพราะหากเราโกรธแต่ไม่ได้แสดงพฤติกรรมอะไรออกมา
ก็มักจะไม่ค่อยเกิดปัญหาตามมา โดยพฤติกรรมที่พบได้ยามโกรธ ได้แก่ ขึ้นเสียง ด่า ปาของ ต่อยกาแพง กินเหล้า
หรือทาร้ายคนอื่น
ขั้นตอนการจัดการเตรียมการกับความโกธร
อันดับแรดสุดก่อนที่เราจะเข้าสู่วิธีการจัดการกับความโกรธ เราต้องเข้าใจความโกรธของตัวเองซะก่อน โดยในขั้นนี้มี 2
ประเด็นสาคัญที่ต้องประเมินก่อน ได้แก่ พื้นฐานอารมณ์ และการวิเคราะห์ความโกรธของตัวเอง
• พื้นฐานอารมณ์
เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาด้วยเสมอว่า พื้นอารมณ์ของเราเป็นอย่างไร พื้นฐานอารมณ์ หมายถึง อารมณ์โดยทั่วไปส่วน
ใหญ่ตอนที่ไม่ได้โกรธของเราเป็นอย่างไร เพราะพื้นอารมณ์นี้มีผลอย่างมากต่อเรื่องความโกรธ ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า
ลองจินตนาการดูว่าหากเรากาลังอารมณ์ดีมากๆ เช่น พึ่งสอบผ่าน ถูกหวย หรือแฟนให้ของขวัญ ต่อให้มีเรื่องไม่ถูกใจ
เข้ามานิดหน่อยๆ ก็คงไม่รู้สึกอะไร เผลอๆ ไม่สนใจด้วยซ้า ตรงกันข้ามในคนที่พื้นอารมณ์ช่วงนั้นแย่อยู่แล้ว เรื่อง
เล็กน้อยก็ทาให้หงุดหงิดโมโหได้ โดยเฉพาะในคนที่มีภาวะซึมเศร้าบางคน จะหงุดหงิดโกรธได้ง่ายในแทบทุกเรื่อง
ดังนั้น หากสังเกตแล้วพบว่าพื้นอารมณ์ส่วนใหญ่ในแต่ละวันของเราไม่ดีอยู่แล้ว ก็น่าจะไปพบแพทย์เพื่อดูว่าเป็นโรค
ซึมเศร้าหรือเปล่า หากเป็นจะได้ทาการรักษาต่อไป เมื่ออาการซึมเศร้าดีขึ้น การโกรธง่ายก็มักจะดีขึ้นตามมาเอง
• การวิเคราะห์ความโกรธ
แน่นอนว่าก่อนที่เราจะไปจัดการความโกรธได้ เราต้องเข้าใจและรู้จักความโกรธของตัวเองก่อนว่า หน้าตามันเป็นยังไง
เพื่อที่จะได้ทาการวิเคราะห์หาทางแก้ไขต่อไป ซึ่งหลักๆ ที่เราต้องวิเคราะห์จะประกอบไปด้วย 4 อย่าง
ได้แก่ 1) ตัวกระตุ้น 2) ความคิดขณะที่โกรธ 3) พฤติกรรมที่แสดงออก และ 4) ผลที่ตามมา รวมทั้งความถี่ของการ
โกรธด้วย ซึ่งสามารถทาด้วยการทาตารางบันทึก และทุกครั้งที่เราโกรธก็ให้จดบันทึกลงไป โดยในแต่ละหัวข้อมี
รายละเอียดดังต่อไปนี้
1.ตัวกระตุ้น ความโกรธนั้นเหมือนไฟ คือ ต้องมีต้นเพลิงหรือตัวกระตุ้นก่อนเราถึงจะโกรธ ดังนั้น สิ่งแรกที่ต้องรู้ให้ได้
คืออะไร เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เราโกรธบ้าง สิ่งกระตุ้นอาจเป็นสิ่งที่เห็นชัด จับต้องได้ เช่น รถติด เจอคนที่เกลียด แต่บาง
คนสิ่งกระตุ้นอาจเป็นสิ่งที่อยู่ภายในใจก็ได้ เช่น คิดถึงแฟนเก่าทีไรมันปรี๊ดทุกที หรือนึกถึงตอนโดนหัวหน้าด่า (ซึ่งผ่าน
ไปแล้ว) ก็โกรธขึ้นมา เป็นต้น
2.ความคิดขณะโกรธ สิ่งที่ต้องบันทึกคือความคิดขณะที่เราโกรธว่า เจอตัวกระตุ้นแล้วเราเกิดมีความคิดอะไรเกิดขึ้น
เราถึงโกรธ เช่น เขาไม่ควรแซงคิว แฟนควรพูดเพราะๆ กับเรา เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมถึงความคิด เมื่อเกิดอารมณ์
โกรธไปแล้วด้วย เช่น อยากไปแก้แค้น เป็นต้น
5
3.พฤติกรรมที่แสดงออกมา นั่นคือบันทึกว่าแต่ละครั้งที่โกรธ เราทาพฤติกรรมอะไรออกมาบ้าง เช่น โมโหเพื่อนแล้ว
กระแทกประตูใส่ เป็นต้น
4.ผลที่ตามมา สิ่งสุดท้ายที่ต้องบันทึกก็คือผลที่ตามมา ซึ่งแน่นอนล่ะครับในความโกรธที่ไม่เหมาะสม มักจะมีผลเสีย
ตามมา เช่น เพื่อนโกรธ (ด่าเขาไป) ประตูพัง) (กระแทกประตูใส่) ข้าวของพัง (ขว้างปาของ) มือเจ็บ (ต่อยกาแพง)
เป็นต้น
การจัดการกับความโกธร
เมื่อวิเคราะห์ความโกรธของตัวเองจนเข้าใจเรียบร้อยแล้ว มาถึงขั้นนี้เราจะมาดูกันครับว่า เรามีวิธีจัดการกับความ
โกรธของเราอย่างไร
1.มีสติ รู้ตัวว่าโกรธ และตระหนักว่าเป็นปัญหา
วิธีจัดการกับความโกรธอันดับแรกและตรงไตรมาที่สุด คือ ต้องรู้ตัวก่อนว่าตัวเองโกรธ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมี
ปัญหาในเรื่องนี้ แต่ในบางคนอาจจะไม่รู้ตัวจริงๆ เชื่อว่าผู้อ่านอาจจะเคยเจอมาบ้างกับเพื่อนที่แบบ... ดูยังไงเขาก็
กาลังโกรธอยู่แน่ๆ แต่เจ้าตัวปฏิเสธ แถมเหมือนจะไม่รู้ตัวจริงๆ ดังนั้น ในคนที่จับอารมณ์ตัวเองได้ยากอาจจะต้องใช้
วิธีสังเกตเอา จากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายแทน เช่น หัวใจเต้นเร็ว หายใจถี่ หน้าแดง พูดเสียงดังขึ้น อย่างนี้ก็ให้
ระลึกว่าตัวเองอาจกาลังโกรธอยู่ หรืออาจจะให้เพื่อนช่วยสังเกต คือ หากเพื่อนเห็นว่าเราเริ่มดูโกรธ เริ่มแผ่รังสีอามหิต
ออกมา ก็ให้เพื่อนเตือนก็ได้
การที่เราทาการวิเคราะห์บันทึกไดอารี่ความโกรธดังที่กล่าวมาข้างต้น จะช่วยในข้อนี้ได้มาก หลายคนเพียงแค่เห็น
บันทึกที่ตัวเองจดก็ดีขึ้นแล้ว เพราะตระหนักว่า เออ... นะ มันเป็นปัญหาจริงๆ ด้วย บางคนอ่านที่ตัวเองบันทึกไว้แล้ว
พบว่า ... “อืม ...นี่วันๆ หนึ่งเราโกรธ ตั้ง 6-7 เรื่องเลย เหรอเนี่ย?” บางคนได้มองย้อนหลังก็รู้สึกว่าเรื่องมันไม่เห็น
น่าจะโกรธขนาดนั้น ไม่เห็นมีสาระเลย บางคนก็เห็นว่าความโกรธมันทาให้เกิดผลเสียตามมาเยอะจริงๆ เมื่อตระหนัก
ได้อย่างนี้ ส่วนใหญ่ก็จะโกรธน้อยลงเอง
2.หลีกเลี่ยงตัวกระตุ้น
หากพบว่าสิ่งกระตุ้นไหนที่ทาให้เราเกิดโมโหบ่อยๆ และสามารถหลีกเลี่ยงได้ ก็ให้หลีกเลี่ยงไม่ต้องเจอ พูดง่ายๆ คือ
หากตัดทิ้งได้ก็ตัดทิ้งไป ย่อมทาให้เราโกรธน้อยลงแน่ๆ เช่น หากเราโมโหทุกครั้งที่ขับรถแล้วรถติด ก็อาจเลี่ยงด้วยการ
ใช้รถไฟฟ้า หรืออาจออกเช้า/กลับดึกกว่าเดิม เพื่อรถจะได้ติดน้อยลง หรืออย่างเช่นหากเราเกลียดขี้หน้าคนบางคน
มาก เจอทีไรหงุดหงิดทุกที ก็หาทางเจอให้น้อยที่สุด แต่แน่นอนว่าคงไม่ใช่ทุกอย่างที่เราสามารถเลี่ยงได้ ตัวกระตุ้น
บางอย่างก็หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ในกรณีนี้ก็ให้ปรับสิ่งแวดล้อมหรือสถานการณ์ให้กระตุ้นให้เรา โกรธน้อยที่สุด เช่น
หากเราเป็นคนที่หงุดหงิดง่ายมากเวลาที่รถติด ก็อาจปรับด้วยการหาเพลงที่ชอบ เพลงช้าๆ สงบๆ มาฟัง หรือ กรณีที่
เกลียดเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งมาก แต่เลี่ยงไมได้ ยังไงซะก็ต้องประชุมในห้องเดียวกัน ก็อาจปรับด้วยการนั่งมุมที่เห็น
6
หน้าน้อยที่สุด ไม่มองหน้าโดยตรง พยายามมองอย่างอื่นแทน มองโต๊ะ มองกระดาษตรงหน้าไป เรียกว่าทายังไงก็ได้ให้
เห็นตัวกระตุ้นน้อยที่สุด
3.หันเหความสนใจและออกจากสถานการณ์นั้นๆ
ในกรณีที่เราเลี่ยงตัวกระตุ้นไม่ได้เลย และเริ่มที่จะโกรธขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ควรทาทันทีคือหยุดความโกรธไม่ให้เยอะขึ้น
เรื่อยๆ แต่แน่นอนว่าการอยู่เฉยๆ ไม่ทาอะไรคงไม่สามารถหยุดความโกรธกันได้ง่ายๆ วิธีที่จะหยุดได้คือต้องหันไป
สนใจเรื่องอื่นแทนเรื่องที่กาลังโกรธ และออกไปจากตรงนั้น ตัวอย่างเช่น หากว่าคุยกับคนๆ หนึ่งอยู่แล้วยิ่งคุยยิ่งรู้สึก
โกรธมากขึ้นเรื่อยๆ ทาท่าปรอทจะแตกในไม่ช้า ก็อาจบอกว่าเรารู้สึกไม่ดีขอพักก่อนไว้ค่อยคุยกัน (หรือบอกว่าขอไป
ห้องน้าก็ได้) หลบจากตรงนั้นไปก่อน แล้วหันเหความสนใจไปเรื่องอื่น เช่น โทรหาเพื่อน เปิดหนังสืออ่าน หรือเล่นเน็ต
แทน (จุดมุ่งหมายคือเพื่อไม่ให้ไปจดจ่ออยู่กับเรื่องที่โกรธเมื่อกี้) ในกรณีที่ออกไปจากตรงนั้นไม่ได้จริงๆ เช่น นั่งประชุม
กันแล้วลุกออกไปไม่ได้ ก็ให้หันเหด้วยการคิดเรื่องอื่นแทน อาจคิดเรื่องแผนการไปเที่ยวครั้งหน้า คิดถึงแฟน คิดว่า
ตอนเย็นกินอะไรดี เป็นต้น
4.เทคนิคการผ่อนคลาย
เทคนิคต่อมาที่สามารถช่วยลดอาการของความโกรธ (ได้แก่ หัวใจเต้นเร็ว หายใจถี่ หน้าแดง กล้ามเนื้อเกร็ง) ได้ดีก็คือ
การใช้เทคนิคการผ่อนคลาย ง่ายที่สุดคือการหายใจเข้าออกช้าๆ ยาวๆ เหมือนกับการนั่งสมาธินั่นแหละครับ โดย
อาจจะท่อง “พุทธ – โธ” หรือ นับช้าๆ “1-3” ต่อการหายใจเข้าออกแต่ละครั้งก็ได้ เมื่อทาเช่นนี้ตอนที่โกรธจะช่วยให้
อาการโกรธลดลงได้เร็ว แต่สิ่งสาคัญคือต้องฝึกทาตอนที่ยังไม่โกรธก่อนนะครับ เพราะถ้าไม่เคยฝึกทาเลย จู่ๆ จะไปทา
ตอนโกรธอาจไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเท่าไหร่
5.ปลอบตัวเอง
เทคนิคนี้พูดง่ายๆ คือ มีคาพูดเพื่อปลอบใจตัวเองและลดความโกรธ โดยให้พูดกับตัวเองซ้าๆ เวลาที่โกรธ ยกตัวอย่าง
คาพูดที่ใช้กันบ่อยได้แก่ “ไม่เป็นไรๆๆ” “เดี๋ยวก็ผ่านไปๆๆ” “ใจเย็นๆๆ” “ช่างมันๆๆ” “อย่าทาแบบเดิมๆๆ” เป็น
ต้น โดยสามารถทาร่วมไปกับเทคนิคการผ่อนคลายได้
6.ป้องกันผลที่ตามมา
สุดท้ายนี้คือกรณีที่โกรธแล้ว ยั้งไม่อยู่แล้ว ไม่รู้ทายังไง ก็เอาว่าอย่างน้อยขอให้ไม่มีผลเสียตามมาก็พอ ดังนั้น หาก
วิเคราะห์แล้วว่าเรามักทาพฤติกรรมบางอย่างซ้าๆ ตอนโกรธก็ให้ควบคุมพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดผลเสียนั้นซะ เช่น หาก
เป็นคนที่โกรธแล้วมักขว้างปาของ ตอนโกรธก็ห้ามถือของไว้ในมือและให้กามือแน่นๆ แทน หรือใครโกรธแล้วชอบชก
กาแพงจนบาดเจ็บ ก็ให้ยืนห่างจากกาแพงที่สุด กอดอก หรือห้ามไม่ได้จริงๆ ก็ชกเตียงชกตุ๊กตาแทน เพื่อไม่ให้
บาดเจ็บ เป็นต้น
7
7.การจัดการกับความคิด
ข้อนี้ขอแยกไว้ต่างหาก เพราะเป็นวิธีที่ค่อนข้างยาก มักทาด้วยตัวเองมักไม่ค่อยได้ ต้องเป็นชั่วโมงการบาบัดกับ
จิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา ซึ่งการจัดการกับความคิดนี้ สามารถช่วยลดหรือป้องกันการโกรธได้ โดยหลักการคร่าวๆ
คือ คนที่โกรธง่ายโกรธบ่อยมักจะมีรูปแบบวิธีคิดบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง เช่น มีกฎมากเกินไป มีแต่ความคิดว่ามันควรจะ
เป็นอย่างนั้น เขาควรจะทาอย่างนี้ มันต้องทาต้องเป็นแบบนี้สิ เป็นต้น เมื่อมีกฎส่วนตัวมากเกินไปก็ทาให้รู้สึกว่า คน
อื่นมาละเมิดกฎของตัวเองได้ง่ายจึงโกรธบ่อย ส่วนรูปแบบการคิดอื่นๆ ที่เจอได้บ่อย เช่น คิดว่าคนอื่นเอาเปรียบหรือ
จงใจกลั่นแกล้งตัวเองมากเกินจริง เป็นต้น ซึ่งผู้บาบัดจะช่วยให้ผู้รับการปรึกษาเห็นและนาไปสู่การปรับเรื่องของ
ความคิดต่อไป
ส่วนในกรณีที่มีความคิดแนวอยากแก้แค้น อยากเอาคืนเหลืออยู่ ก็อาจต้องมาคิดชั่งน้าหนักดูถึงผลดีผลเสียว่า ทาไป
แล้วได้อะไร มีข้อดีข้อเสียอะไร และสุดท้ายคุ้มไหม เช่น โกรธเพื่อนมากอยากไปตบมัน ข้อดีก็อาจจะเป็น สะใจ สบาย
ใจ แต่ข้อเสียก็คืออาจโดนตบคืน ผิดกฎหมาย เสียชื่อ เผลอๆ จะตกงานเอา ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อได้คิดแล้วมักจะเห็นได้ว่า
มันไม่คุ้มค่าที่จะทา
สิ่งสาคัญคือต้องเข้าใจว่าการจัดการกับความโกรธ เป็น “ทักษะ” อย่างหนึ่ง คือ ต้องอาศัยทั้งความเข้าใจ และการ
ฝึกฝนถึงทาได้ เปรียบเสมือนเราคงไม่สามารถเล่นฟุตบอลได้เก่งด้วยการอ่านคู่มือการเล่นบอลอย่างเดียว โดยไม่ลง
สนามซ้อมเลย เช่นเดียวกับการจัดการกับความโกรธ ดังนั้น เราจึงต้องค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ ทา ไปเรื่อยๆ แบบค่อยเป็น
ค่อยไป เริ่มจากตอนที่โกรธไม่มากก่อน เมื่อจัดการได้ดีก็ค่อยๆ จัดการกับความโกรธที่รุนแรงขึ้น และในที่สุดเมื่อเรา
สามารถควบคุมความโกรธได้ดีเป็นเวลานานๆ ก็จะเกิดความเคยชินและกลายเป็นนิสัยใหม่ขึ้นมา แต่ในกรณีที่หาก
ลองพยายามทาเองแล้วไม่ได้ผลจริงๆ ก็สามารถปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาได้
ที่มา https://www.haijai.com/2954/
วิธีดาเนินงาน
แนวทางการดาเนินงาน
-คิดหัวข้อ
-ศึกษาข้อมูล
-จัดทาโครงร่าง
-ปฏิบัติสร้างโครงงาน
-ปรับปรุงโครงงาน
-ทาเอกสาร
-ประเมินผล
-นาเสนอ
- เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ใช้ในการสืบค้นข้อมูล
8
งบประมาณ
ไม่มี
ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลาดับ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9
1
0
1
1
12
1
3
1
4
1
5
16 17
1 คิดหัวข้อโครงงาน x x
2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล x x
3 จัดทาโครงร่างงาน x x
4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน x x
5 ปรับปรุงทดสอบ x x
6 การทาเอกสารรายงาน
7 ประเมินผลงาน
8 นาเสนอโครงงาน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน)
เป็นข้อมูลที่จะช่วยเหลือผู้อื่นในการทาความเข้าใจในเรื่องของอารมณ์ได้มากยิ่งขึ้นเพื่อให้ใช้ชีวิตประจาวันได้
อย่างมีประสิทธิภาพและดารงชีวิตได้อย่างปกติสุข
สถานที่ดาเนินการ
โรงเรียน
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
สุขศึกษา วิทยาศาสตร์
แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน)
https://www.dmc.tv/pages/top_of_week/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B
5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8
%A1%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%
B9%87%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0
%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88.html
https://www.haijai.com/2954/
9
http://digi.library.tu.ac.th/thesis/lib/0714/10CHAPTER_2.pdfฃ

More Related Content

What's hot (11)

Work1
Work1Work1
Work1
 
at1
at1at1
at1
 
2562 final-project
2562 final-project 2562 final-project
2562 final-project
 
โครงงาน
โครงงานโครงงาน
โครงงาน
 
งานนำเสนอ Thinking
งานนำเสนอ Thinkingงานนำเสนอ Thinking
งานนำเสนอ Thinking
 
Punisa
PunisaPunisa
Punisa
 
Fill
FillFill
Fill
 
W.111
W.111W.111
W.111
 
2562 final-project 23-40
2562 final-project 23-402562 final-project 23-40
2562 final-project 23-40
 
(Bipolar disorder)
(Bipolar disorder)(Bipolar disorder)
(Bipolar disorder)
 
W.1
W.1W.1
W.1
 

Similar to Activity 1

การทำงานของสมองและกรควบคุมอารมณ์
การทำงานของสมองและกรควบคุมอารมณ์การทำงานของสมองและกรควบคุมอารมณ์
การทำงานของสมองและกรควบคุมอารมณ์bamhattamanee
 
2562 final-project-8
2562 final-project-82562 final-project-8
2562 final-project-8fauunutcha
 
2561 project-artificial intelligence 18611
2561 project-artificial intelligence 186112561 project-artificial intelligence 18611
2561 project-artificial intelligence 18611sunsumm
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ 2561
โครงงานคอมพิวเตอร์ 2561โครงงานคอมพิวเตอร์ 2561
โครงงานคอมพิวเตอร์ 2561NodChaa
 
โรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าMai Natthida
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ปราณปริยา สุขเสริฐ
 
2560 project -4
2560 project -42560 project -4
2560 project -4sinekkn
 
นางสาว ดรัญพร โกฏิเเก้ว
นางสาว ดรัญพร โกฏิเเก้วนางสาว ดรัญพร โกฏิเเก้ว
นางสาว ดรัญพร โกฏิเเก้วdaranpornkotkaew
 
2562 final-project
2562 final-project 2562 final-project
2562 final-project ChanChann1
 
2562 final-project 605-10
2562 final-project 605-102562 final-project 605-10
2562 final-project 605-10buakhamlungkham
 
งานชิ้นที่5
งานชิ้นที่5งานชิ้นที่5
งานชิ้นที่5hazama02
 
ใบงานที่ 5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงานที่ 5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ใบงานที่ 5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงานที่ 5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์Krittapornn Chanasaen
 
2561 project
2561 project2561 project
2561 projectNewTF
 

Similar to Activity 1 (20)

2560 project
2560 project 2560 project
2560 project
 
การทำงานของสมองและกรควบคุมอารมณ์
การทำงานของสมองและกรควบคุมอารมณ์การทำงานของสมองและกรควบคุมอารมณ์
การทำงานของสมองและกรควบคุมอารมณ์
 
2562 final-project-8
2562 final-project-82562 final-project-8
2562 final-project-8
 
2561 project-artificial intelligence 18611
2561 project-artificial intelligence 186112561 project-artificial intelligence 18611
2561 project-artificial intelligence 18611
 
Phosis
PhosisPhosis
Phosis
 
Psychosis
PsychosisPsychosis
Psychosis
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ 2561
โครงงานคอมพิวเตอร์ 2561โครงงานคอมพิวเตอร์ 2561
โครงงานคอมพิวเตอร์ 2561
 
2562 final-project 06
2562 final-project 062562 final-project 06
2562 final-project 06
 
โรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้า
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
 
2562 final-project
2562 final-project 2562 final-project
2562 final-project
 
2560 project -4
2560 project -42560 project -4
2560 project -4
 
นางสาว ดรัญพร โกฏิเเก้ว
นางสาว ดรัญพร โกฏิเเก้วนางสาว ดรัญพร โกฏิเเก้ว
นางสาว ดรัญพร โกฏิเเก้ว
 
2562 final-project
2562 final-project 2562 final-project
2562 final-project
 
2562 final-project 605-10
2562 final-project 605-102562 final-project 605-10
2562 final-project 605-10
 
Com2561 32
Com2561 32Com2561 32
Com2561 32
 
งานชิ้นที่5
งานชิ้นที่5งานชิ้นที่5
งานชิ้นที่5
 
ใบงานที่ 5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงานที่ 5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ใบงานที่ 5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงานที่ 5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
 
2560 project .doc2
2560 project .doc22560 project .doc2
2560 project .doc2
 
2561 project
2561 project2561 project
2561 project
 

Activity 1

  • 1. 1 แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5- 6 ปีการศึกษา 2561 ชื่อโครงงาน โกธร โมโห โทสะ มาควบคุมอารมณ์กันเถอะ เพื่อสุขภาพจิตที่ดีกว่าเดิม ชื่อผู้ทาโครงงาน 1 นาย ฐานันดร มหาวิเศษศิลป์ เลขที่ 08 ชั้น ม.6 ห้อง 12 ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์ ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานร่วม (ถ้ามี)………………………………………………… ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
  • 2. 2 ใบงาน การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์ สมาชิกในกลุ่ม .…… 1………………………………….. เลขที่……… 2…………………………………เลขที่ ………. 3………………………………….. เลขที่……… คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้ ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย) โกรธ โมโห โทสะ มาควบคุมอารมณ์กันเถอะ เพื่อสุขภาพจิตที่ดีกว่าเดิม ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ) Anger wrathful Lets control it! For better mental health! ประเภทโครงงาน โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา ชื่อผู้ทาโครงงาน นาย ฐานันดร มหาวิเศษศิลป์ ชื่อที่ปรึกษา ______________________ __________________________________________ ชื่อที่ปรึกษาร่วม _____________________________________________________________ ระยะเวลาดาเนินงาน _________________________________________________________ ที่มาและความสาคัญของโครงงาน จากการสังเกตผู้คนในปัจจุบัน ในสภาวะที่ทั้งเศรษฐกิจไม่ดี ภัยธรรมชาติ หรือแม้กระทั้งเครียดจากเรื่องงาน การเรียน ภาระที่บ้าน ภาระหน้าที่และสิ่งต่างที่คนเราต้องรับผิดชอบในปัจจุบัน ผู้คนในสังคมก็ต่างแบกรับความกดดัน ต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน ถ้าหากว่าสักวันหนึ่งมีบางสิ่งบางอย่างไปกระทบเข้าล่ะก็ รับรองได้เลยว่าได้ระเบิดอารมณ์ออกมา เป็นแน่แท้ ในตัวเราทุก ๆ คนล้วนแต่มีความโกธรกันอยู่ในใจเป็นเรื่องปกติ เราสามารถเรียนรู้อยู่ร่วมกันกับความโกธร หากเรามีความเข้าใจและควบคุมมันได้ จึงเป็นเหตุที่ทาให้ผู้จัดทาได้จัดทาโครงงานนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นการให้ความรู้ ความเข้าใจ และสามารถรับมือกับอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม ป้องกันไม่ให้เกิดการขาดสติเนื่องด้วยโทสะ อย่างร้าย ที่สุดหากไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้มีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุหรืออาจจะร้ายแรงจนเป็นคดีขึ้นมา ในบทความนี้จะ ประกอบไปด้วยเนื้อหาที่จะเกี่ยวกับการควบคุมและการแนะนาต่างๆ โดยมีหลักการทางวิชาการประกอบเพื่อความ น่าเชื่อถือ วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ) 1.เพื่อศึกษาและเรียนรู้ถึงสาเหตุและวิธีการในการควบคุมอารมณ์โกรธ 2.เพื่อเป็นแนวทางในการให้ความรู้แก่ผู้อื่น 3.เพื่อเข้าใจและวิเคราะห์สาเหตุของการเกิดอารมณ์โกรธ 4.เพื่อให้สามารถระงับและควบคุมอารมณ์ได้
  • 3. 3 ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน) โครงงานจะมีลักษณะในเชิงข้อมูล วิเคราะห์เนื้อหาทฤษฎีและปรับนามาประยุกต์กับเหตุการณ์ใน ชีวิตประจาวัน หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน) ประโยชน์ของความโกธรและความโกธรที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากความโกรธเป็นอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ จึงเป็นไปไม่ได้เลยว่า จะมีใครที่ไม่เกิดอารมณ์โกรธเลยแม้แต่นิด เดียว (อาจยกเว้นกรณีบรรจุอรหันต์) โดยความโกรธมีได้หลายระดับตั้งแต่โกรธน้อยๆ ซึ่งอาจมีคาที่ใช้บรรยายได้หลาย คา เช่น หงุดหงิด ไม่พอใจ เคือง ไม่ชอบใจ จนไปถึงระดับที่โกรธรุนแรง ซึ่งบางคนอาจบรรยายว่า โมโห ปรอทแตก ปรี๊ดแตก เดือดดาล คลั่ง แต่โดยรวมๆ ทั้งหมดนี้ก็เป็นอารมณ์ที่เรียกว่า “โกรธ” นั่นเอง คนส่วนใหญ่มักมองอารมณ์โกรธในแง่ลบเพียงอย่างเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความโกรธไม่ได้มีแต่ข้อเสีย โดย ความโกรธในระดับที่เหมาะสมก็มีประโยชน์เช่นกัน เพราะมันเป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจ ทาให้คนอื่นได้รับรู้ ว่าเราไม่พอใจ ซึ่งนาไปสู่การปรับปรุงและแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น หรือไม่ทาซ้าอีก ยกตัวอย่างเช่น เรานัดกับแฟน แล้วดันไปสาย เห็นแฟนทาหน้าโกรธ เราก็รู้ได้เลยว่าเขาไม่พอใจแน่ๆ ก็อาจจะพยายามง้อ ขอโทษและไม่ไปสายอีกใน นัดครั้งต่อๆ มา ในทางตรงกันข้าม ความโกรธที่ไม่เหมาะสมจะไม่ก่อให้เกิดผลดี แต่มักทาให้เหตุการณ์แย่ลง และมี ผลเสียติดตามมา ความโกรธที่มากเกินไปนี้ มักเห็นได้ชัดเจนจากพฤติกรรม เช่น โกรธจนก้าวร้าว พูดจาโวยวายเสียง ดัง ด่าว่าหยาบคาย ขว้างปาของ ทาร้ายร่างกาย และรวมไปถึงพฤติกรรมไม่เหมาะสมอื่นๆ เช่น ขับรถเร็ว กินเหล้า เป็นต้น ขั้นตอนที่เกิดขึ้นกับความโกธร ก่อนที่เราจะไปจัดการกับความโกรธ เรามาลองเข้าใจความโกรธให้มากขึ้นกันก่อนนะครับ ความโกรธนั้นไม่ใช่เรื่องของ อารมณ์เพียงอย่างเดียว แต่ยังประกอบไปด้วยการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ความคิด และพฤติกรรม • การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ได้แก่ หัวใจเต้นเร็ว หน้าแดง หายใจเร็ว ตัวสั่น กล้ามเนื้อเกร็ง • ความคิด การที่เราโกรธ จู่ๆ เราไม่ได้โกรธเอง แต่เกิดจากการที่เรามีความคิดบางอย่างเกิดขึ้นมาก่อน แล้วเราถึงจะ โกรธ โดยรูปแบบความคิดของความโกรธ ได้แก่ รู้สึกว่าคนอื่นละเมิดกฎ (ของเรา) เช่น ไม่ควรขับปาดหน้าเรา ไม่ควร แซงคิว เป็นต้น หรือเกิดจากความคิดว่าคนอื่นมุ่งร้ายต่อเรา เช่น คนอื่นนินทาเรา เขาจงใจกลั่นแกล้งเราแน่ๆ คิดว่า คนอื่นคิดร้ายกับเราเกินจริง และเมื่ออารมณ์โกรธไปแล้ว ก็จะมีปัญหาความคิดตามมาอีก ได้แก่ คิดอะไรซ้าๆ (คิด เรื่องที่โดนกระทาซ้าๆ) คิดแก้แค้น ไม่มีสมาธิ การตัดสินใจไม่ดี หุนหันพลันแล่น จนนาไปสู่พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้
  • 4. 4 • พฤติกรรม เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด และเป็นปัญหาที่สุด เพราะหากเราโกรธแต่ไม่ได้แสดงพฤติกรรมอะไรออกมา ก็มักจะไม่ค่อยเกิดปัญหาตามมา โดยพฤติกรรมที่พบได้ยามโกรธ ได้แก่ ขึ้นเสียง ด่า ปาของ ต่อยกาแพง กินเหล้า หรือทาร้ายคนอื่น ขั้นตอนการจัดการเตรียมการกับความโกธร อันดับแรดสุดก่อนที่เราจะเข้าสู่วิธีการจัดการกับความโกรธ เราต้องเข้าใจความโกรธของตัวเองซะก่อน โดยในขั้นนี้มี 2 ประเด็นสาคัญที่ต้องประเมินก่อน ได้แก่ พื้นฐานอารมณ์ และการวิเคราะห์ความโกรธของตัวเอง • พื้นฐานอารมณ์ เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาด้วยเสมอว่า พื้นอารมณ์ของเราเป็นอย่างไร พื้นฐานอารมณ์ หมายถึง อารมณ์โดยทั่วไปส่วน ใหญ่ตอนที่ไม่ได้โกรธของเราเป็นอย่างไร เพราะพื้นอารมณ์นี้มีผลอย่างมากต่อเรื่องความโกรธ ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า ลองจินตนาการดูว่าหากเรากาลังอารมณ์ดีมากๆ เช่น พึ่งสอบผ่าน ถูกหวย หรือแฟนให้ของขวัญ ต่อให้มีเรื่องไม่ถูกใจ เข้ามานิดหน่อยๆ ก็คงไม่รู้สึกอะไร เผลอๆ ไม่สนใจด้วยซ้า ตรงกันข้ามในคนที่พื้นอารมณ์ช่วงนั้นแย่อยู่แล้ว เรื่อง เล็กน้อยก็ทาให้หงุดหงิดโมโหได้ โดยเฉพาะในคนที่มีภาวะซึมเศร้าบางคน จะหงุดหงิดโกรธได้ง่ายในแทบทุกเรื่อง ดังนั้น หากสังเกตแล้วพบว่าพื้นอารมณ์ส่วนใหญ่ในแต่ละวันของเราไม่ดีอยู่แล้ว ก็น่าจะไปพบแพทย์เพื่อดูว่าเป็นโรค ซึมเศร้าหรือเปล่า หากเป็นจะได้ทาการรักษาต่อไป เมื่ออาการซึมเศร้าดีขึ้น การโกรธง่ายก็มักจะดีขึ้นตามมาเอง • การวิเคราะห์ความโกรธ แน่นอนว่าก่อนที่เราจะไปจัดการความโกรธได้ เราต้องเข้าใจและรู้จักความโกรธของตัวเองก่อนว่า หน้าตามันเป็นยังไง เพื่อที่จะได้ทาการวิเคราะห์หาทางแก้ไขต่อไป ซึ่งหลักๆ ที่เราต้องวิเคราะห์จะประกอบไปด้วย 4 อย่าง ได้แก่ 1) ตัวกระตุ้น 2) ความคิดขณะที่โกรธ 3) พฤติกรรมที่แสดงออก และ 4) ผลที่ตามมา รวมทั้งความถี่ของการ โกรธด้วย ซึ่งสามารถทาด้วยการทาตารางบันทึก และทุกครั้งที่เราโกรธก็ให้จดบันทึกลงไป โดยในแต่ละหัวข้อมี รายละเอียดดังต่อไปนี้ 1.ตัวกระตุ้น ความโกรธนั้นเหมือนไฟ คือ ต้องมีต้นเพลิงหรือตัวกระตุ้นก่อนเราถึงจะโกรธ ดังนั้น สิ่งแรกที่ต้องรู้ให้ได้ คืออะไร เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เราโกรธบ้าง สิ่งกระตุ้นอาจเป็นสิ่งที่เห็นชัด จับต้องได้ เช่น รถติด เจอคนที่เกลียด แต่บาง คนสิ่งกระตุ้นอาจเป็นสิ่งที่อยู่ภายในใจก็ได้ เช่น คิดถึงแฟนเก่าทีไรมันปรี๊ดทุกที หรือนึกถึงตอนโดนหัวหน้าด่า (ซึ่งผ่าน ไปแล้ว) ก็โกรธขึ้นมา เป็นต้น 2.ความคิดขณะโกรธ สิ่งที่ต้องบันทึกคือความคิดขณะที่เราโกรธว่า เจอตัวกระตุ้นแล้วเราเกิดมีความคิดอะไรเกิดขึ้น เราถึงโกรธ เช่น เขาไม่ควรแซงคิว แฟนควรพูดเพราะๆ กับเรา เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมถึงความคิด เมื่อเกิดอารมณ์ โกรธไปแล้วด้วย เช่น อยากไปแก้แค้น เป็นต้น
  • 5. 5 3.พฤติกรรมที่แสดงออกมา นั่นคือบันทึกว่าแต่ละครั้งที่โกรธ เราทาพฤติกรรมอะไรออกมาบ้าง เช่น โมโหเพื่อนแล้ว กระแทกประตูใส่ เป็นต้น 4.ผลที่ตามมา สิ่งสุดท้ายที่ต้องบันทึกก็คือผลที่ตามมา ซึ่งแน่นอนล่ะครับในความโกรธที่ไม่เหมาะสม มักจะมีผลเสีย ตามมา เช่น เพื่อนโกรธ (ด่าเขาไป) ประตูพัง) (กระแทกประตูใส่) ข้าวของพัง (ขว้างปาของ) มือเจ็บ (ต่อยกาแพง) เป็นต้น การจัดการกับความโกธร เมื่อวิเคราะห์ความโกรธของตัวเองจนเข้าใจเรียบร้อยแล้ว มาถึงขั้นนี้เราจะมาดูกันครับว่า เรามีวิธีจัดการกับความ โกรธของเราอย่างไร 1.มีสติ รู้ตัวว่าโกรธ และตระหนักว่าเป็นปัญหา วิธีจัดการกับความโกรธอันดับแรกและตรงไตรมาที่สุด คือ ต้องรู้ตัวก่อนว่าตัวเองโกรธ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมี ปัญหาในเรื่องนี้ แต่ในบางคนอาจจะไม่รู้ตัวจริงๆ เชื่อว่าผู้อ่านอาจจะเคยเจอมาบ้างกับเพื่อนที่แบบ... ดูยังไงเขาก็ กาลังโกรธอยู่แน่ๆ แต่เจ้าตัวปฏิเสธ แถมเหมือนจะไม่รู้ตัวจริงๆ ดังนั้น ในคนที่จับอารมณ์ตัวเองได้ยากอาจจะต้องใช้ วิธีสังเกตเอา จากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายแทน เช่น หัวใจเต้นเร็ว หายใจถี่ หน้าแดง พูดเสียงดังขึ้น อย่างนี้ก็ให้ ระลึกว่าตัวเองอาจกาลังโกรธอยู่ หรืออาจจะให้เพื่อนช่วยสังเกต คือ หากเพื่อนเห็นว่าเราเริ่มดูโกรธ เริ่มแผ่รังสีอามหิต ออกมา ก็ให้เพื่อนเตือนก็ได้ การที่เราทาการวิเคราะห์บันทึกไดอารี่ความโกรธดังที่กล่าวมาข้างต้น จะช่วยในข้อนี้ได้มาก หลายคนเพียงแค่เห็น บันทึกที่ตัวเองจดก็ดีขึ้นแล้ว เพราะตระหนักว่า เออ... นะ มันเป็นปัญหาจริงๆ ด้วย บางคนอ่านที่ตัวเองบันทึกไว้แล้ว พบว่า ... “อืม ...นี่วันๆ หนึ่งเราโกรธ ตั้ง 6-7 เรื่องเลย เหรอเนี่ย?” บางคนได้มองย้อนหลังก็รู้สึกว่าเรื่องมันไม่เห็น น่าจะโกรธขนาดนั้น ไม่เห็นมีสาระเลย บางคนก็เห็นว่าความโกรธมันทาให้เกิดผลเสียตามมาเยอะจริงๆ เมื่อตระหนัก ได้อย่างนี้ ส่วนใหญ่ก็จะโกรธน้อยลงเอง 2.หลีกเลี่ยงตัวกระตุ้น หากพบว่าสิ่งกระตุ้นไหนที่ทาให้เราเกิดโมโหบ่อยๆ และสามารถหลีกเลี่ยงได้ ก็ให้หลีกเลี่ยงไม่ต้องเจอ พูดง่ายๆ คือ หากตัดทิ้งได้ก็ตัดทิ้งไป ย่อมทาให้เราโกรธน้อยลงแน่ๆ เช่น หากเราโมโหทุกครั้งที่ขับรถแล้วรถติด ก็อาจเลี่ยงด้วยการ ใช้รถไฟฟ้า หรืออาจออกเช้า/กลับดึกกว่าเดิม เพื่อรถจะได้ติดน้อยลง หรืออย่างเช่นหากเราเกลียดขี้หน้าคนบางคน มาก เจอทีไรหงุดหงิดทุกที ก็หาทางเจอให้น้อยที่สุด แต่แน่นอนว่าคงไม่ใช่ทุกอย่างที่เราสามารถเลี่ยงได้ ตัวกระตุ้น บางอย่างก็หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ในกรณีนี้ก็ให้ปรับสิ่งแวดล้อมหรือสถานการณ์ให้กระตุ้นให้เรา โกรธน้อยที่สุด เช่น หากเราเป็นคนที่หงุดหงิดง่ายมากเวลาที่รถติด ก็อาจปรับด้วยการหาเพลงที่ชอบ เพลงช้าๆ สงบๆ มาฟัง หรือ กรณีที่ เกลียดเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งมาก แต่เลี่ยงไมได้ ยังไงซะก็ต้องประชุมในห้องเดียวกัน ก็อาจปรับด้วยการนั่งมุมที่เห็น
  • 6. 6 หน้าน้อยที่สุด ไม่มองหน้าโดยตรง พยายามมองอย่างอื่นแทน มองโต๊ะ มองกระดาษตรงหน้าไป เรียกว่าทายังไงก็ได้ให้ เห็นตัวกระตุ้นน้อยที่สุด 3.หันเหความสนใจและออกจากสถานการณ์นั้นๆ ในกรณีที่เราเลี่ยงตัวกระตุ้นไม่ได้เลย และเริ่มที่จะโกรธขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ควรทาทันทีคือหยุดความโกรธไม่ให้เยอะขึ้น เรื่อยๆ แต่แน่นอนว่าการอยู่เฉยๆ ไม่ทาอะไรคงไม่สามารถหยุดความโกรธกันได้ง่ายๆ วิธีที่จะหยุดได้คือต้องหันไป สนใจเรื่องอื่นแทนเรื่องที่กาลังโกรธ และออกไปจากตรงนั้น ตัวอย่างเช่น หากว่าคุยกับคนๆ หนึ่งอยู่แล้วยิ่งคุยยิ่งรู้สึก โกรธมากขึ้นเรื่อยๆ ทาท่าปรอทจะแตกในไม่ช้า ก็อาจบอกว่าเรารู้สึกไม่ดีขอพักก่อนไว้ค่อยคุยกัน (หรือบอกว่าขอไป ห้องน้าก็ได้) หลบจากตรงนั้นไปก่อน แล้วหันเหความสนใจไปเรื่องอื่น เช่น โทรหาเพื่อน เปิดหนังสืออ่าน หรือเล่นเน็ต แทน (จุดมุ่งหมายคือเพื่อไม่ให้ไปจดจ่ออยู่กับเรื่องที่โกรธเมื่อกี้) ในกรณีที่ออกไปจากตรงนั้นไม่ได้จริงๆ เช่น นั่งประชุม กันแล้วลุกออกไปไม่ได้ ก็ให้หันเหด้วยการคิดเรื่องอื่นแทน อาจคิดเรื่องแผนการไปเที่ยวครั้งหน้า คิดถึงแฟน คิดว่า ตอนเย็นกินอะไรดี เป็นต้น 4.เทคนิคการผ่อนคลาย เทคนิคต่อมาที่สามารถช่วยลดอาการของความโกรธ (ได้แก่ หัวใจเต้นเร็ว หายใจถี่ หน้าแดง กล้ามเนื้อเกร็ง) ได้ดีก็คือ การใช้เทคนิคการผ่อนคลาย ง่ายที่สุดคือการหายใจเข้าออกช้าๆ ยาวๆ เหมือนกับการนั่งสมาธินั่นแหละครับ โดย อาจจะท่อง “พุทธ – โธ” หรือ นับช้าๆ “1-3” ต่อการหายใจเข้าออกแต่ละครั้งก็ได้ เมื่อทาเช่นนี้ตอนที่โกรธจะช่วยให้ อาการโกรธลดลงได้เร็ว แต่สิ่งสาคัญคือต้องฝึกทาตอนที่ยังไม่โกรธก่อนนะครับ เพราะถ้าไม่เคยฝึกทาเลย จู่ๆ จะไปทา ตอนโกรธอาจไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเท่าไหร่ 5.ปลอบตัวเอง เทคนิคนี้พูดง่ายๆ คือ มีคาพูดเพื่อปลอบใจตัวเองและลดความโกรธ โดยให้พูดกับตัวเองซ้าๆ เวลาที่โกรธ ยกตัวอย่าง คาพูดที่ใช้กันบ่อยได้แก่ “ไม่เป็นไรๆๆ” “เดี๋ยวก็ผ่านไปๆๆ” “ใจเย็นๆๆ” “ช่างมันๆๆ” “อย่าทาแบบเดิมๆๆ” เป็น ต้น โดยสามารถทาร่วมไปกับเทคนิคการผ่อนคลายได้ 6.ป้องกันผลที่ตามมา สุดท้ายนี้คือกรณีที่โกรธแล้ว ยั้งไม่อยู่แล้ว ไม่รู้ทายังไง ก็เอาว่าอย่างน้อยขอให้ไม่มีผลเสียตามมาก็พอ ดังนั้น หาก วิเคราะห์แล้วว่าเรามักทาพฤติกรรมบางอย่างซ้าๆ ตอนโกรธก็ให้ควบคุมพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดผลเสียนั้นซะ เช่น หาก เป็นคนที่โกรธแล้วมักขว้างปาของ ตอนโกรธก็ห้ามถือของไว้ในมือและให้กามือแน่นๆ แทน หรือใครโกรธแล้วชอบชก กาแพงจนบาดเจ็บ ก็ให้ยืนห่างจากกาแพงที่สุด กอดอก หรือห้ามไม่ได้จริงๆ ก็ชกเตียงชกตุ๊กตาแทน เพื่อไม่ให้ บาดเจ็บ เป็นต้น
  • 7. 7 7.การจัดการกับความคิด ข้อนี้ขอแยกไว้ต่างหาก เพราะเป็นวิธีที่ค่อนข้างยาก มักทาด้วยตัวเองมักไม่ค่อยได้ ต้องเป็นชั่วโมงการบาบัดกับ จิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา ซึ่งการจัดการกับความคิดนี้ สามารถช่วยลดหรือป้องกันการโกรธได้ โดยหลักการคร่าวๆ คือ คนที่โกรธง่ายโกรธบ่อยมักจะมีรูปแบบวิธีคิดบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง เช่น มีกฎมากเกินไป มีแต่ความคิดว่ามันควรจะ เป็นอย่างนั้น เขาควรจะทาอย่างนี้ มันต้องทาต้องเป็นแบบนี้สิ เป็นต้น เมื่อมีกฎส่วนตัวมากเกินไปก็ทาให้รู้สึกว่า คน อื่นมาละเมิดกฎของตัวเองได้ง่ายจึงโกรธบ่อย ส่วนรูปแบบการคิดอื่นๆ ที่เจอได้บ่อย เช่น คิดว่าคนอื่นเอาเปรียบหรือ จงใจกลั่นแกล้งตัวเองมากเกินจริง เป็นต้น ซึ่งผู้บาบัดจะช่วยให้ผู้รับการปรึกษาเห็นและนาไปสู่การปรับเรื่องของ ความคิดต่อไป ส่วนในกรณีที่มีความคิดแนวอยากแก้แค้น อยากเอาคืนเหลืออยู่ ก็อาจต้องมาคิดชั่งน้าหนักดูถึงผลดีผลเสียว่า ทาไป แล้วได้อะไร มีข้อดีข้อเสียอะไร และสุดท้ายคุ้มไหม เช่น โกรธเพื่อนมากอยากไปตบมัน ข้อดีก็อาจจะเป็น สะใจ สบาย ใจ แต่ข้อเสียก็คืออาจโดนตบคืน ผิดกฎหมาย เสียชื่อ เผลอๆ จะตกงานเอา ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อได้คิดแล้วมักจะเห็นได้ว่า มันไม่คุ้มค่าที่จะทา สิ่งสาคัญคือต้องเข้าใจว่าการจัดการกับความโกรธ เป็น “ทักษะ” อย่างหนึ่ง คือ ต้องอาศัยทั้งความเข้าใจ และการ ฝึกฝนถึงทาได้ เปรียบเสมือนเราคงไม่สามารถเล่นฟุตบอลได้เก่งด้วยการอ่านคู่มือการเล่นบอลอย่างเดียว โดยไม่ลง สนามซ้อมเลย เช่นเดียวกับการจัดการกับความโกรธ ดังนั้น เราจึงต้องค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ ทา ไปเรื่อยๆ แบบค่อยเป็น ค่อยไป เริ่มจากตอนที่โกรธไม่มากก่อน เมื่อจัดการได้ดีก็ค่อยๆ จัดการกับความโกรธที่รุนแรงขึ้น และในที่สุดเมื่อเรา สามารถควบคุมความโกรธได้ดีเป็นเวลานานๆ ก็จะเกิดความเคยชินและกลายเป็นนิสัยใหม่ขึ้นมา แต่ในกรณีที่หาก ลองพยายามทาเองแล้วไม่ได้ผลจริงๆ ก็สามารถปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาได้ ที่มา https://www.haijai.com/2954/ วิธีดาเนินงาน แนวทางการดาเนินงาน -คิดหัวข้อ -ศึกษาข้อมูล -จัดทาโครงร่าง -ปฏิบัติสร้างโครงงาน -ปรับปรุงโครงงาน -ทาเอกสาร -ประเมินผล -นาเสนอ - เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ใช้ในการสืบค้นข้อมูล
  • 8. 8 งบประมาณ ไม่มี ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน ลาดับ ที่ ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 1 0 1 1 12 1 3 1 4 1 5 16 17 1 คิดหัวข้อโครงงาน x x 2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล x x 3 จัดทาโครงร่างงาน x x 4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน x x 5 ปรับปรุงทดสอบ x x 6 การทาเอกสารรายงาน 7 ประเมินผลงาน 8 นาเสนอโครงงาน ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน) เป็นข้อมูลที่จะช่วยเหลือผู้อื่นในการทาความเข้าใจในเรื่องของอารมณ์ได้มากยิ่งขึ้นเพื่อให้ใช้ชีวิตประจาวันได้ อย่างมีประสิทธิภาพและดารงชีวิตได้อย่างปกติสุข สถานที่ดาเนินการ โรงเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง สุขศึกษา วิทยาศาสตร์ แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน) https://www.dmc.tv/pages/top_of_week/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B 5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8 %A1%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0% B9%87%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0 %B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88.html https://www.haijai.com/2954/