More Related Content
Similar to แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
Similar to แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ (20)
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
- 1. 1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6
ปีการศึกษา 2560
ชื่อโครงงาน โรคซึมเศร้ากับโรคไบโพลาร์ 2 โรคนี้แตกต่างกันยังไง
ชื่อผู้ทาโครงงาน
นางสาว อุรชา วัฒนะพงษ์ เลขที่ 26 ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 ห้อง 2
นางสาว ปราณปริยา สุขเสริฐ เลขที่29 ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 ห้อง 2
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 2. 2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม
นางสาว อุรชา วัฒนะพงษ์ เลขที่ 26 ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 ห้อง 2
นางสาว ปราณปริยา สุขเสริฐ เลขที่29 ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 ห้อง 2
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
โรคซึมเศร้ากับโรคไบโพลาร์ 2 โรคนี้แตกต่างกันยังไง
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
What is the difference between depression and bipolar disorder?
ประเภทโครงงาน โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา educational media
ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาว อุรชา วัฒนะพงษ์
นางสาว ปราณปริยา สุขเสริฐ
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ชื่อที่ปรึกษาร่วม -
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน
นาวาอากาศตรี นายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า การฆ่าตัวตาย
เป็นสาเหตุการเสียชีวิตทั่วโลก จานวนกว่า 8 แสนคนต่อปี คาดว่าจะเพิ่มเป็น 1.5 ล้านคน ในปี 2563 โดยมีคน
พยายามฆ่าตัวตายสูงกว่าคนที่ฆ่าตัวตายสาเร็จ 20 เท่าตัว สาหรับประเทศไทย คนไทยฆ่าตัวตายสาเร็จเฉลี่ย 1
คน ในทุกๆ 2 ชั่วโมง ผู้ชายมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่าผู้หญิง เกิดจากหลายสาเหตุประกอบกัน และ โรค
ซึมเศร้า ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทาให้เกิดการฆ่าตัวตาย ซึ่ง โรคซึมเศร้า เป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของ
- 3. 3
ประชาชน ส่งผลกระทบต่อประชากรทั่วโลก โดยองค์การอนามัยโลกได้ประมาณการว่า ประชากรมากกว่า
300 ล้านคนเป็นโรคซึมเศร้า หากไม่ได้รับการบาบัดรักษาอย่างถูกต้องนานเป็นเดือน เรื้อรังเป็นปี จะกลับเป็น
ซ้าได้บ่อย หากอาการซึมเศร้ารุนแรง อาจจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายได้มากกว่าคนทั่วไปถึง 20 เท่า สาหรับ
ประเทศไทย พบผู้ป่วยโรคนี้ 1.5 ล้านคน
นพ.พงศ์เกษม ไข่มุกด์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต แถลงข่างเนื่องในวันไบโพลาร์โลก (World Bipolar Day) ซึ่ง
ตรงกับทุกวันที่ 30 มีนาคมของทุกปี ว่าโรคไบโพลาร์ หรือโรคอารมณ์สองขั้ว(Bipolar Disorder) เป็นหนึ่งใน
กลุ่มโรคอารมณ์ผิดปกติที่พบได้บ่อยในทั่วโลกประมาณร้อยละ1-2 ขณะที่องค์การอนามัยโลก ระบุว่า โรค
ไบโพลาร์เป็นโรคที่ก่อให้เกิดความสูญเสียเนื่องจากการเจ็บป่วยหรือความพิการ อันดับที่6 ของโลก อย่างไรก็
ตาม โรคไบโพลาร์สามารถรักษาและกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนโรคเรื้อรังทั่วไปที่ต้องได้รับกาลังใจและ
ความเข้าใจจากคนรอบข้าง รวมทั้ง ได้รับการรักษาที่ต่อเนื่อง แต่หากไม่ได้รับการรักษาหรือติดตามดูแลอย่าง
เหมาะสมจะสามารถกลับมาเป็นซ้าได้ถึงร้อยละ 80-90 สาหรับกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ที่มีญาติเป็นโรคซึมเศร้าหรือ
โรคไบโพลาร์ มีวงจรการกิน การนอนที่ผิดปกติ มีเหตุการณพลิกผันของชีวิตตลอดจนมีการใช้สารเสพติด
นพ. ศิริศักดิ์ ธฺติดิลกรัตน์ ผู้อานวยการโรงพยาบาลศีธัญญา กล่าวว่า ปัจจุบันสถิติคนไข้ในของโรงพยาบาลศรี
ธัญญาลดลง โดยไบโพลาร์ จัดอยู่ในอันดับ 2 ของกลุ่มจิตเวชที่เข้ามารับการศึกษารองจากโรคจิตเภท ส่วน
อัตราผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆโดยปี 2558 มีผู้ป่วยโรคจิตเวชอยู่ที่117,000ราย ซึ่งโรคไบโพลาร์พบมากเป็น
อันดับที่3 มีจานวนผู้ป่วยถึง 9,100 ราย รองจากโรคจิตเภทและโรคซึมเศร้า
จากที่ได้กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าในสังคมปัจจุบันมีผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและโรคไบโพลาร์อยู่มากมาย และ
มีอัตราการค่าตัวตายสูงมาก ดังที่เราได้เห็นข่าวในอินเทอร์เน็ต วิทยุ โทรทัศน์ ว่ามีผู้คนฆ่าตัวตายเนื่องด้วยเหตุ
ซึมเศร้า ทั้งดารา นักร้อง หมู่คนดังมากมาย แต่หลายคนก็ยังคงไม่เข้าใจในภาวะซึมเศร้าว่าเหตุใดจึงทาให้ผู้คน
ที่ฆ่าตัวตายนั้นเลือกที่จะจบชีวิตลงด้วยสาเหตุนี้ อีกทั้งจะมีหลายคนที่มาต่อว่าด้วยถ้อยคาไม่สุภาพถึงผู้ป่วย
ด้านนี้ ทาให้ผู้ป่วยที่ได้ผ่านเข้ามาเห็นและรู้สึกแย่ อาการก็จะแย่ลงไปอีก รวมไปถึงมีคนนาเอาคาว่าไบโพลาร์
มาเป็นคาด่า เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในสังคมแบบนี้ ที่เราอาจจะมองว่าไกลตัวแต่แท้จริงแล้ว
ไม่ใช่เลย ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าและโรคไบโพลาร์ในประเทศเรานั้นมีมากขึ้นทุกวัน วันหนึ่งอาจจะเป็นเราหรือคน
รอบข้างเราก็ได้ ซึ่งทางคณะผู้จัดทาได้เล็งเห็นถึงความสาคัญในจุดนี้ เพื่อให้ผู้คนได้เข้าใจถึงโรคซึมเศร้าและโรค
ไบโพลาร์ เข้าใจว่าสองโรคนี้นั้นต่างกันแม้จะมีอาการคล้ายกันแต่ก็แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น สังเกตตัวเองและช่วย
สังเกตคนรอบข้างเพื่อที่การฆ่าตัวตายด้วยเหตุนี้จะสามารถลงไปได้บ้าง หรือถ้าไม่อย่างน้อยก็จะทาให้เราได้
เข้าใจโรคซึมเศร้าและโรคไบโพลาร์ สามารถระมัดระวังตนเองไม่ให้ไปทาอะไรที่จะทาให้ผู้ป่วยนั้นรู้สึกแย่และ
- 5. 5
หลักการและทฤษฎี
โรคซึมเศร้า (Major depressive disorder) คือ โรคทางจิตเวชที่เกิดจากความผิดปกติของสารเซโรโทนิน
(Serotonin) ในสมองมีปริมาณลดลง ทาให้ผู้ป่วยมีอาการป่วยทั้งร่างกาย จิตใจ และความคิด รู้สึกท้อแท้
หงอยเหงา เบื่อหน่าย ไม่สนุกสนานกับชีวิต นอนไม่หลับ สะดุ้งตื่นกลางดึก ฝันร้ายบ่อยครั้ง ส่งผลกระทบให้
ความสามารถในการทางานลดลง และอาจตกอยู่ในภาวะรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าจนอยากฆ่าตัวตายได้ แต่จุดเด่น
ของโรคซึมเศร้าอยู่ที่อารมณ์เบื่อเศร้าจะค่อนข้างชัดเจน
อาการโรคซึมเศร้าที่ควรสังเกต
1. รู้สึกกลุ้มใจ ซึมเศร้าทุกวัน และเกือบจะทั้งวัน
2. รู้สึกเบื่อกับทุกอย่างรอบตัวเป็นประจา
3. เบื่ออาหาร
4. นอนไม่หลับ
5. กระวนกระวาย หรือมีอาการซึม ๆ เนือย ๆ ไร้เรี่ยวแรง
6. รู้สึกอ่อนเพลียง่าย เหนื่อยง่าย เหมือนร่างกายอ่อนแอลง
7. รู้สึกไร้ค่า ไร้ความสามารถ
8. มีอาการใจลอย ไม่มีสมาธิ
9. เบื่อชีวิต มีบางช่วงที่รู้สึกอยากตาย
ถ้ามีความรู้สึกเบื่อเศร้าอย่างอาการข้างต้นติดต่อกันนานกว่า 2 สัปดาห์ ร่วมกับอาการกินไม่ได้นอนไม่
หลับจนผอมลง และเกิดความรู้สึกอยากตายมากขึ้น ลักษณะนี้อาจเข้าข่ายป่วยเป็นโรคซึมเศร้า
แนวทางในการรักษาโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้านี้หากได้รับการรักษาผู้ที่เป็นจะอาการดีขึ้นมาก อาการซึมเศร้า ร้องไห้บ่อยๆ หรือรู้สึก
ท้อแท้หมดกาลังใจ จะกลับมาดีขึ้นจนผู้ที่เป็นบางคนบอกว่าไม่เข้าใจว่าตอนนั้นทาใมจึงรู้สึกเศร้าไปได้ถึงขนาด
นั้น ข้อแตกต่างระหว่างโรคนี้กับโรคจิตที่สาคัญประการหนึ่งคือ ในโรคซึมเศร้าถ้าได้รับการรักษาจนดีแล้วก็จะ
กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม ขณะที่ในโรคจิตนั้นแม้จะรักษาได้ผลดีผู้ที่เป็นก็มักจะยังคงมีอาการหลงเหลืออยู่
บ้าง ไม่สามารถทาอะไรได้เต็มที่เหมือนแต่ก่อน ยิ่งหากมารับการรักษาเร็วเท่าไรก็ยิ่งจะอาการดีขึ้นเร็วเท่านั้น
ยิ่งป่วยมานานก็ยิ่งจะรักษายาก
- 6. 6
การรักษาที่สาคัญในโรคนี้คือการรักษาด้วยยาแก้เศร้า โดยเฉพาะในรายที่อาการมาก ส่วนในรายที่มีอาการไม่
มาก แพทย์อาจรักษาด้วยการช่วยเหลือชี้แนะการมองปัญหาต่างๆ ในมุมมองใหม่ แนวทางในการปรับตัว หรือ
การหาสิ่งที่ช่วยทาให้จิตใจผ่อนคลายความทุกข์ใจลง ร่วมกับการให้ยาแก้เศร้าหรือยาคลายกังวลเสริมในช่วงที่
เห็นว่าจาเป็น
การรักษาด้วยยาแก้เศร้า
ยาแก้เศร้ามีส่วนช่วยในการรักษาโรคนี้ แม้ผู้ที่ป่วยบางคนอาจรู้สึกว่าความทุกข์ใจหรือปัญหาต่างๆ ที่
เกิดขึ้นกับตนเองนั้นเป็นเรื่องของจิตใจ แต่ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ถ้าเป็นโรคซึมเศร้าแล้วแสดงว่าได้มีการ
เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในร่างกายของคนเราจนทาให้เกิดมีอาการต่างๆ เช่น น้าหนักลด อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ
ร่วมอีกหลายๆ อาการ ไม่ใช่มีแต่เพียงอารมณ์เศร้าอย่างเดียว ซึ่งยาจะมีส่วนช่วยในการบาบัดอาการต่างๆ
เหล่านี้ อีกทั้งยังสามารถทาให้อารมณ์ซึมเศร้า ความวิตกกังวลใจทุเลาลงได้ด้วย จากการศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่
เป็นโรคซึมเศร้า 10 คนหากได้รับการรักษาด้วยยาแก้เศร้าอาการจะดีขึ้นจนหายถึง 8-9 คน ในขณะที่หากไม่
รับการรักษานั้นอาการจะดีเองขึ้นเพียง 2-3 คนเท่านั้น (เฉพาะในรายที่อาการไม่รุนแรง หากอาการรุนแรง
อาจจะกล่าวได้ว่ายากที่จะหายเอง)
โรคไบโพลาร์ (Bipolar) ผู้ป่วยโรคนี้จะมีอารมณ์สองขั้ว คือ ภาวะแมเนีย (Mania) และภาวะ
ซึมเศร้า กล่าวคือ ไบโพลาร์จะมีลักษณะที่มีอารมณ์ช่วงหนึ่งสนุกสนานครื้นเครง รื่นเริง สลับกับอารมณ์
ซึมเศร้าอีกช่วงหนึ่ง เราจึงเรียกไบโพลาร์ว่าโรคเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บ้างก็เรียกโรคอารมณ์แปรปรวนนั่นเอง
อาการของภาวะซึมเศร้าในโรคไบโพลาร์ที่ควรสังเกต
1. มักเกิดอาการซึมเศร้าครั้งแรกในช่วงวัยรุ่นหรือวัยเรียน อีกทั้งยังมีอาการเป็นพัก ๆ เดี๋ยวเศร้าเดี๋ยว
ปกติวนไปมาหลายครั้ง
2. ความคิดช้าลง พฤติกรรมต่าง ๆ ก็ช้าลงเช่นกัน
3. นอนมากขึ้น
4. เจริญอาหารมากขึ้น
5. รู้สึกโดดเดี่ยว ขาดกาลังใจ เหมือนกลายเป็นคนไร้ค่า
- 7. 7
6. มองโลกในแง่ร้ายไปหมด รู้สึกว่าโลกไม่สดใส ไม่มีอะไรน่าสนุก ไม่ร่าเริง
7. มีอาการวิตกกังวลอย่างรุนแรง
8. ตกอยู่ในสภาวะหลงผิด อารมณ์ผิดปกติจนอาจควบคุมความประพฤติของตัวเองไม่ได้
9. กลายเป็นคนมีปัญหากับสังคม รู้สึกว่าคนรอบข้างไม่เป็นมิตร ไม่สนใจตน
10. มีประวัติติดยาเสพติด หรือเคยกระทาในสิ่งที่ผิดกฎหมาย
11. มีประวัติโรคไบโพลาร์หรือโรคซึมเศร้าในครอบครัว
จริง ๆ แล้วภาวะโรคซึมเศร้ายังมีอาการขาดสมาธิ หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องเดิม ๆ ไม่อยากสังสรรค์หรือออก
สังคม ร้องไห้ง่ายโดยไม่มีสาเหตุ รวมทั้งอาจมีอาการปวดที่ไม่ทราบสาเหตุร่วมด้วย ทว่าอาการข้างต้นเป็น
อาการของภาวะซึมเศร้าในโรคไบโพลาร์ที่มีความแตกต่างจากอาการโรคซึมเศร้า(Major depressive
disorder) นั่นเอง ดังนั้นสามารถใช้ข้อสังเกตของอาการเหล่านี้แยกโรคไบโพลาร์กับโรคซึมเศร้าได้คร่าว ๆ เลย
นอกจากนี้จุดเด่นที่ทาให้โรคซึมเศร้าและโรคไบโพลาร์มีความแตกต่างกันก็คือ ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะ
รู้สึกเบื่อหน่ายและเศร้าแทบจะตลอดเวลา ทว่าผู้ป่วยโรคไบโพลาร์อาจมีภาวะซึมเศร้าสลับกับอารมณ์ร่าเริง
เกินปกติ บุคลิกของผู้ป่วยโรคไบโพลาร์จะสลับสับเปลี่ยนกันเหมือนเป็นคนละคนอีกด้วยล่ะ
แนวทางในการรักษาโรคไบโพลาร์
ในปัจจุบันเชื่อว่าโรคไบโพล่าร์เกิดจากการทางานที่ผิดปกติของสมองโดยมีสารสื่อนาประสาท ที่ไม่
สมดุลย์คือมีสารซีโรโทนิน (serotonin) น้อยเกินไปและสารนอร์เอปิเนฟริน (epinephrine) มากเกินไปดังนั้น
เราจึงสามารถรักษาโรคนี้ได้ด้วยยา ยาที่ใช้รักษาโรคไบโพล่าร์ได้แก่ยาในกลุ่มยา ควบคุมอารมณ์ (mood
stabilizers), ยาแก้โรคจิต (antipsychotics), และยาแก้โรคซึมเศร้า (antidepressants)
1. การรักษาในปัจจุบันนี้ ใช้ยาไปช่วยในการปรับสารสื่อนาประสาทตรงให้กลับมาทางาน ได้อย่างปกติ
เรียกชื่อกลุ่มยานี้ว่า กลุ่มปรับอารมณ์ให้คงที่ mood stabilizer ซึ่งจะมียาเฉพาะไม่กี่ตัว ที่จะใช้ในการรักษาที่
จะช่วยอาการนี้ได้ ช่วงระยะการรักษา ช่วงแรกจะเป็นการคุมอาการให้กลับมา เป็นปกติที่สุดภายใน 1 สัปดาห์
ก่อน หรืออย่างช้า 1 เดือน หลังจากนั้น จะเป็นการรักษาต่อเนื่องอาจ ต้องใช้ยาคุมอาการ ระยะเวลาการรักษา
ขึ้นอยู่กับอาการคนไข้เป็นสาคัญ ในคนไข้บางราย 1 ปี อาจ มาพบหมอแค่ 2-4 ครั้งเท่านั้น ไม่ต้องอยู่
โรงพยาบาลตลอด
- 8. 8
2. ยาหลักที่นิยมใช้รักษาและได้ผลดี คือ lithium ควบคุมอาการ mania ได้ดีมาก แต่ผู้ ป่วยอาจต้องใช้
ยาเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากโรคนี้อาจเป็นๆ หายๆ ได้ ตัวยายังสามารถป้องกัน ได้ทั้งอาการ mania และ
อาการซึมเศร้า ยาอื่นๆ ที่ได้ผลดี ได้แก่ valproate, carbamazepine, lamotrigine, gabapentin และ
topiramate
3. สาหรับอาการซึมเศร้าตอบสนองดีต่อยา clozapine, olanzapine, risperidone, quetiapine และ
ziprasidone
4. สิ่งสาคัญที่สุด คนรอบข้างต้องเข้าใจในผู้ป่วยที่เป็นภาวะเช่นนี้ด้วย ตัวผู้ป่วยเองก็ต้อง ดาเนินชีวิต
ในทางสายกลาง ควบคุมเวลานอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อยก็วันละ 6-8 ชั่วโมง พยายามหาวิธีแก้ปัญหาและ
ลดความเครียด และอย่าใช้ยากระตุ้นหรือสารมึนเมา เช่น เหล้า หรือ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูง
5. ถ้ามีผู้ป่วยในครอบครัว คนรอบตัวต้องเข้าใจและช่วยกันป้องกันผู้ป่วยในช่วงก่อน โรค กาเริบรุนแรง
เพราะว่ามีโอกาส กลับไปเป็นซ้าอีก ช่วงอายุที่มีโอกาสเป็นโรคอารมณ์แปรปรวน มาก ที่สุด คือ 15-25 ปี กลุ่ม
นี้จะเริ่มต้นด้วยอาการขยันผิดปกติ หรือที่เรียกว่า “ไฮเปอร์แอคทีฟ”ต่อมา บางช่วงของการเจ็บป่วยก็จะ
เปลี่ยนเป็นซึมเศร้า เป็นมากๆอาจถึงขั้นฆ่าตัวตาย
- 11. 11
แหล่งอ้างอิง
Kapook. (2558). โรคซึมเศร้ากับโรคไบโพลาร์ 2 โรคนี้แตกต่างกันยังไงนะ. สืบค้นเมื่อ 13 กันยายน
60. เข้าถึงได้จากhttps://health.kapook.com/view123670.html
ศ.นพ.มาโนช หล่อตระกูล. (2558). โรคซึมเศร้าโดยละเอียด. สืบค้นเมื่อ 13 กันยายน 60. เข้าถึงได้จาก
http://med.mahidol.ac.th/ramamental/generalknowledge/general/09042014-
1017
มติชนออนไลน์. (2559). ทึ่ง! ตัวเลขผู้ป่วยไบโพลาร์เสี่ยงฆ่าตัวตาย 1 ใน 5 ราย. สืบค้นเมื่อ 17
มกราคม 61. เข้าถึงได้จากhttps://www.matichon.co.th/news/87974
วอยซ์. (2560). คนไทยป่วยซึมเศร้า1.5ล้านคน รักษาถูกต้องหายได้. สืบค้นเมื่อ 17 มกราคม 61.
เข้าถึงได้จากhttps://www.voicetv.co.th/read/509299