11. กฎข้อที่ศูนย์ทางอุณหพลศาสตร์
(The zeroth law of thermodynamics)
“ถ้าระบบสองระบบต่างอยู่ในภาวะสมดุลทางความร้อนกับระบบที่สามแล้ว
ระบบทั้งสองนี้ต่างก็อยู่ในภาวะสมดุลทางความร้อนซึ่งกันและกันด้วย”
• ถ้าอุณหภูมิที่ A เท่ากับที่ C
• และอุณหภูมิที่ C เท่ากับที่ B
• อุณหภูมิที่ A จะเท่ากับที่ B
12. ตัวกลาง (mediums)
ตัวกลางแอเดียแบติก (adiabatic medium; A; ) คือตัวกลางสมมติที่ไม่
ยอมให้พลังงานความร้อนผ่านได้เลย เช่น ฉนวน
ตัวกลางไดอะเทอร์มิก (diathermic medium; D; ) คือตัวกลางสมมติที่
ยอมให้พลังงานความร้อนผ่านได้ดี เช่น โลหะตัวนา
DS1 S2
A
D D
A
S1 S2
S3
The zeroth law of thermodynamics
13. The zeroth law of thermodynamics
ระบบ 2 ระบบที่อยู่ในสมดุลความร้อนย่อมมีอุณหภูมิเท่ากัน
28. ความจุความร้อนและความจุความร้อนจาเพาะ
(Heat capacity and specific heat capacity)
Kg
cal
น้า
00.1c
ความจุความร้อน คือ ความร้อนที่เปลี่ยนแปลงต่ออุณหภูมิ :
T
Q
C
ทาให้เป็นปริมาณไม่ขึ้นกับมวล (intensive variable) โดยการหารด้วยมวล
T
Q
mm
C
c
1 เรียกว่า ความจุความร้อนจาเพาะ
(specific heat capacity)
ทั้งค่า C และ c จะไม่คงที่ โดยจะขึ้นกับอุณหภูมิ T
ในกรณีที่หารด้วยจานวนโมล n จะได้
T
Q
n
c
1 เรียกว่า ความจุความร้อนจาเพาะเทียบกับโมล
(molar specific heat capacity)
38. Temperature gradient =
x
T
ที่ steady state : คงที่
dt
dQ
x
T
A
t
Q
αα
dx
dT
A
dt
dQ
ααหรือ
คงที่
t
Q
หรือ
กล่าวคือ
ดังนั้น dx
dT
kA
dt
dQ
เรียก H
dt
dQ
ว่าเป็นอัตราการถ่ายเทปริมาณ
ความร้อน (Rate of heat flow หรือ Heat current)
นั่นคือ
dx
dT
kAH
เมื่อค่าคงที่ k คือ ส.ป.ส. การนาความร้อน(สภาพนาความร้อน): Watt/m.K
T1
T2
T1 > T2
Q
การนาความร้อน
กฎการนาความร้อนของฟูเรียร์ (Fourier’s heat conduction law)
39. การนาความร้อน
สาหรับแท่งวัตถุพื้นที่หน้าตัด A ยาว L ขณะที่ปลายร้อนเป็น T1 ส่วนที่
ปลายเย็นเป็น T2 ที่ steady state จะคานวณ H ได้ดังนี้
dx
dT
kAH kAdTHdx
ดังนั้น
2
10
T
T
L
kAdTHdx เมื่อ H มีค่าคงที่เนื่องจาก steady state
ได้ 12 TTkAHL
2 1 cold hot
kA kA
H T T T T
L L
T1 T2
L
Q
T1 > T2
40. การนาความร้อน
ผนังประกอบ (compound wall)
ที่ steady state : H คงที่
สาหรับ L1 :
สาหรับ L2 :
xTT
L
Ak
H 1
1
11
2
2
22
TT
L
Ak
H x H
รอยต่ออุณหภูมิ
Tx
x
ถ้า A1 = A2 = A ได้
2
2
1
1
21
k
L
k
L
TTA
H
รูปแบบทั่วไปสาหรับหลายผนังประกอบ คือ
2 1 hot cold
i i
i i
A T T A T T
H
L L
k k
T2 > T1
41. L
การนาความร้อน
ทรงกระบอกกลวง
ภายใน : รัศมี r1, อุณหภูมิ T1
ภายนอก:รัศมี r2, อุณหภูมิ T2
โดย T1 > T2
ที่รัศมี r ใด ๆ ในโลหะ statesteady,คงที่
dx
dT
kAH
พื้นที่ที่ส่งผ่านความร้อน ณ ที่ r ใด ๆ คือ A = 2 r L
ดังนั้น
dr
dT
LrkH 2
2
1
2
1
2
T
T
rr
rr
dTLk
r
dr
H
12
1
2
2ln TTkL
r
r
H
1 2
2 1 2 1
2 2
ln ln
hot coldkL T T kL T T
H
r r r r
44. การแผ่รังสีความร้อน
กาหนดให้ อัตราการแผ่รังสี = Re
และ R A
Te
4
(e : emission , ปลดปล่อย)
เมื่อ A = พื้นที่ผิวของวัตถุ
Te = อุณหภูมิของวัตถุ : เคลวิน
เขียน 4
ee ATR
เมื่อ
= Stefan-Boltzmann constant
= 5.6710-8 W/m2-K4
= สภาพเปล่งรังสี (emissitivity) ;
มีค่า 0 ถึง 1
= ความสามารถในการแผ่รังสีของวัตถุ
กฏของสเตฟาน-โบลต์ซมานน์
EMW: คลื่นวิทยุ-โทรทัศน์, microwave, infrared, light, UV, X-ray, gamma
45. การแผ่รังสีความร้อน
วัตถุตั้งในสิ่งแวดล้อมอุณหภูมิ Ta วัตถุจะดูดกลืนรังสีจากสิ่งแวดล้อม
4
aa ATR (a : absorption , ดูดกลืน)
: (0-1)
เมื่อ Ra = อัตราการดูดกลืนรังสีของวัตถุ
Ta = อุณหภูมิสิ่งแวดล้อม, เคลวิน,
ถ้า Te > Ta อุณหภูมิวัตถุลดลง , Re > Ra
Te < Ta อุณหภูมิวัตถุเพิ่มขึ้น , Re < Ra
ปริมาณสุทธิที่วัตถุได้รับพลังงาน
R = Re - Ra
R เป็นลบ อุณหภูมิของวัตถุจะเพิ่ม
R เป็นบวก อุณหภูมิของวัตถุจะลด
ดูด
แผ่
Te = อุณหภูมิของวัตถุ : เคลวิน
53. กฎเกี่ยวกับแก๊สและทฤษฎีจลน์ของแก๊ส
กฎของแก๊สอุดมคติ (Ideal gas law)
สมการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติ(สถานะ)ของระบบ P,V, T
และ n (สมการสถานะ,equation of state) ของแก๊สอุดมคติ
กฎของบอยล์ (Boyle’s law) :
กฎของชารลส์ (Charles’s law) :
กฎของเกย์-ลุคแซค (Gay-Lussac’s law) :
กฎของอาร์โวกาโดร (Avogadro’s law) :
1
α ; , constantV T n
P
α ; , constantV T P n
α ; , constantP T V n
α ; , constantV n T P
n คือ จานวนโมลของสาร และ T เป็นอุณหภูมิหน่วย K
54. กฎของบอยล์
1 1
α α ; , constantV P T n
P V
332211 VPVPVP
PV ค่าคงที่
หรือ
กราฟ ไฮเปอร์โบลาของ P กับ V
62. กฎของดาลตันสาหรับความดันย่อย
(Dalton’s law of partial pressure)
AA N
R
k
N
N
n ,
“สาหรับแก๊สผสม ความดันของแก๊สแต่ละชนิดขึ้นกับจานวนโมเลกุลของแก๊สชนิดนั้น”
สมมุติ แก๊ส 3 ชนิดมีจานวนโมเลกุล N1, N2 และ N3 ตามลาดับแล้วผสม
กันได้แก๊สรวมที่มีจานวนโมเลกุล N (แก๊สไม่มีปฏิกิริยาต่อกัน)
N = N1 + N2 + N3
จาก nRTPV หรือ NkTPV
ได้ kTNNNPV 321
V
kTN
V
kTN
V
kTN
P 321
1 2 3P P P P ความดันร่วม = ความดันย่อยบวกกัน
เมื่อ
64. • สาหรับแก๊สผสมในภาชนะเดียวกันที่อุณหภูมิ T เดียวกัน แก๊สทุกชนิดจะมี
ปริมาตร V เท่ากัน
• และจากกฎความดันย่อย P = P1 + P2 + P3 + …
• จากสมการของแก๊สอุดมคติ PV = nRT P = nRT/V
• จะได้ว่า ...,,, 332211 RTnVPRTnVPRTnVP
...,,, 332211
nRT
RTn
PV
VP
nRT
RTn
PV
VP
nRT
RTn
PV
VP
ดังนั้น xPP
n
n
P i
i
นิยาม เศษส่วนโมล (mole faction) x ของแก๊สใด ๆ หมายถึง อัตราส่วนของโมล
ของแก๊สชนิดนั้นเทียบกับจานวนโมลทั้งหมดของแก๊สผสม
กฎความดันย่อยของดาลตัน
65. ตัวอย่างกฎความดันย่อย
ตัวอย่าง : ถัง A บรรจุ O2 ความดัน 1 atm ถัง B บรรจุ H2 ความดัน 2 atm และถัง C
บรรจุ N2 ความดัน 3 atm เมื่อนาถังแก๊สทั้งสามถังมาต่อเข้าด้วยกัน ความดันรวมจะเป็น
เท่าใด ถ้าปริมาตร A = 2 litre , B = 3 litre และ C = 5 litre (ในการผสมอุณหภูมิคงที่)
วิธีทา nRTPV
วิธีที่ 1 คิดในรูปแบบโมล (n) การผสมเป็นระบบปิด
จานวนโมเลกุลหลังผสม = ก่อนผสม n = nA + nB + nC
ถัง A,
A
AA
A
RT
VP
n
ถัง B,
B
BB
B
RT
VP
n
ถัง C,
C
CC
C
RT
VP
n
และเมื่อรวมกันแล้ว
CBA VVVV
และจานวนโมลรวม
RT
PV
n
66. แทนค่า
A B CC CA A B B
A B C
P V V VP VP V P VPV
RT RT RT RT RT
เนื่องจากอุณหภูมิคงที่ T = TA = TB = TC
ได้
(1)(2) (2)(3) (3)(5)
2.3atm
2 3 5
A A B B C C
A B C
P V P V P V
P
V V V
วิธีที่ 2 ใช้กฎของดาลตัน P = PA + PB + PC
ก่อนผสม ถัง A, A A A AP V n RT
ถัง B, B B B BP V n RT
ถัง C, C C C CP V n RT
และเมื่อผสมกัน
CBA VVVV
ตอบ
n = nA + nB + nC
คิดในรูปแบบความดัน (P)
67. สมมุติ ความดันของแก๊สแต่ละชนิดเป็น
PA, PB, และ PC ตามลาดับ
หลังผสม ถัง A, A AP V n RT
ถัง B, B BP V n RT
ถัง C, C CP V n RT
เมื่อ T คือ อุณหภูมิของการผสม
และ T = TA = TB = TC
ดังนั้น A
A
n RT
P
V
B
B
n RT
P
V
C
C
n RT
P
V
, ,
atm3.2
CBA
CCBBAA
VVV
VPVPVP
P
CBA PPPP
ตอบ
CBA VVVV
โดยที่
n = nA + nB + nC
76. แก๊สโมเลกุลอะตอมคู่
ดังนั้นโมเลกุลที่มี degree of freedom = D kT
D
KE
2
ถ้าระบบมี N โมเลกุล KE รวม เรียกว่า พลังงานภายในของระบบ = U
นั่นคือ kTN
D
KENU
2
nRT
D
U
2
แสดงว่าถ้า T = คงที่ T = 0 ดังนั้น U คงที่ด้วย U = 0
จะมี
หรือ
ในความเป็นจริง โมเลกุลอะตอมคู่ทั่วในอาจจะไม่มีการเคลื่อนในบางลักษณะ
เช่น การสั่น (ยกเว้นอุณหภูมิจะสูงมาก ๆ)
ดังนั้น ในทางปฏิบัติ diatomic molecule ที่เป็นแก๊ส 1 โมเลกุล จะมี D = 5
จึงได้ kTKE
2
5
RTU
2
5
หรือ
77. แก๊สไม่อุดมคติและสมการวานเดอวาลส์
(Imperfect gases and Van der Walls’ equation)
กฎของแก๊สอุดมคติ (Ideal gas law)
RT
M
m
nRTPV
n คือ จานวนโมล
เมื่อ m คือ มวลของสาร
M คือ มวลของสารจานวน 1 โมล (มวลโมเลกุล)
เพื่อทดสอบแก๊สจริง เขียนสมการแก๊สอุดมคติใหม่ R
nT
PV
การทดลอง ทาการวัดค่านิจของแก๊ส R ของแก๊สต่าง ๆ เทียบกับความดัน P
*** สมการแก๊สอุดมคติใช้ได้ที่P ต่า ๆ เท่านั้น
90. กฎอนุรักษ์พลังงาน
•พลังงานที่สาคัญของระบบทั่วไป : พลังงานจลน์, พลังงานศักย์, งาน, ฯลฯ
•พลังงานที่สาคัญของระบบอุณหพลวัตร : พลังงานภายใน(U), ความร้อน(Q),
งาน(W)
ระบบมีการอนุรักษ์พลังงานเสมอ
โดยทั่วไป:
• พลังงานภายใน U เป็นผลรวมของพลังงานจลน์และศักย์และ U T
• ความร้อน Q เป็นพลังงานที่ถ่ายเทระหว่างสองระบบใด ๆ ที่มี T ต่างกัน
• งาน W เป็นงานที่เกิดขึ้นจากที่ระบบมีการเปลี่ยนแปลง P หรือ/และ V
ไม่สูญหายแต่เปลี่ยนรูป
91. กฎข้อที่หนึ่งทางอุณหพลศาสตร์
(The first law of thermodynamics)
งานที่ใบพัดทาให้อุณหภูมิสูงขึ้น
งานแปลงเป็นพลังงานความร้อน
• พลังงานภายในของระบบที่
เปลี่ยนแปลงจะมาจากการเปลี่ยนแปลง
ความร้อนและงานของระบบ
• พลังงานภายใน U ของระบบที่เปลี่ยน
จะมีรูปแบบดังสมการ
dWdQdU หรือ dQ dU dW
พลังงานต้องอนุรักษ์
กฎข้อที่หนึ่งทางอุณหพลศาสตร์
98. กระบวนการปริมาตรคงที่และความดันคงที่
1. Isochoric process ; dV = 0
งาน dW = PdV Gay-lussac’s law คงที่
T
P
จาก dWdQdU
ดังนั้น dTmcdQdU V
2. Isobaric process ; dP = 0
; งาน
Charle’s law คงที่
T
V
จาก dWdQdU
ดังนั้น PdVdTmcdU P
0dW
dW PdV
งานช่วง Vi ถึง Vf คือ f iW P V V
คือ ระบบไม่ทางาน
101. กระบวนการผันกลับได้
nRV
TV constant
1
P V
V V
P
V
c cPdV
PdV nR VdP PdV VdP
nc c
c
PdV VdP
c
ดังนั้น Rcc VP
0 PdV
c
c
VdP
V
P
หรือ 0
V
dV
c
c
P
dP
V
P เมื่อกาหนด
P
V
c
c
ดังนั้น 0
V
dV
P
dP
แก้สมการจะได้ คงที่ VP lnln หรือ คงที่
PV
ได้VdPPdVPdV
c
c
PdV
V
P
nRT
P
V
เนื่องจาก ดังนั้น 1
constantV T
102. งานของกระบวนการความร้อนคงที่
P
V
c
c
งานของกระบวนการ adiabatic process : dQ = 0
นิยามของงาน ั่
2
1
V
V
PdVdWW เมื่อ 1 คือ initial, 2 คือ final, P ไม่คงที่
แต่ adiabatic process ;
constantPV k
ดังนั้น
V
k
P
11
1
1
1
2
12
1
2
1
kVkVV
kdV
V
k
W
V
V
V
V
แต่
2211 , VPkVPk ดังนั้น
1
1
11
1
22 VPVP
W
1
1122 VPVP
W
1
1122 VPVP
WAdiabatic work
103. กระบวนการอุณหภูมิคงที่
103
4. Isothermal process ; dT = 0
และถ้า dT = 0 แสดงว่า dU = 0 เพราะว่า
VdU nc dT
ดังนั้นจาก
PdVdWdQ ได้
0dU dQ dW
หาปริพันธ์ ;
f f
i i
V V
V V
nRT nRT
dQ dW PdV P dV
V V
งานของ isothermal process
i
f
V
V
nRTW ln
ถ้า T คงที่ได้ว่า PV = ค่าคงที่ (Boyle’s law)
104. สรุปการคานวณงานจากกระบวนการ
0dW dTmcdQdU V
dW PdV
f iW P V V
1. Isochoric process ; dV = 0
2. Isobaric process ; dP = 0
3. Adiabatic process ; dQ = 0
1
1122 VPVP
W P
V
c
c
4. Isothermal process ; dT = 0
i
f
V
V
nRTW ln
PdVdTmcdU P
105. ตัวอย่าง : จากรูปแสดงแผนภาพค่าความดัน-ปริมาตรของก๊าซ
จานวนหนึ่ง จงหางานที่ก๊าซจานวนนี้กระทาครบวัฏจักรเป็นเท่าใด
JmNW
m
N
mW
m
N
atmatmlitreW
PVW
32.10132.101100132.1
)100132.12()101(
2
1
100132.11)2()1(
2
1
)()(
2
1
2
2
533
2
5
แนวคิด : งานที่เกิดขึ้นเท่ากับพื้นที่ใต้กราฟ
0
1
3
1 2
P (บรรยากาศ)
P2
P1 P3
V (ลิตร)
W = พื้นที่ใต้กราฟ
106. ตัวอย่าง : จากรูปแสดงแผนภาพค่าความดัน-ปริมาตรของก๊าซอุดมคติจานวน
หนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงจากสถานะเริ่มต้น ณ Pi ไปสูสถานะปลาย ณ Pf ตาม 2
ทิศทาง จงคานวณหางานที่ระบบก๊าซอุดมคติจานวนนี้กระทาตามกระบวนการ
ต่อไปนี้ 1.ไอโซคอริก 2.ไอโซบาริก 3.ไอโซเทอร์มอล
0)( 1 pdVPPW i
JW
VVpPPW iff
100)101)(10100(
)()(
33
1
JW
W
V
V
Vp
V
dV
nRTPPW
i
f
ii
V
V
fi
f
i
6.138
2ln)101)(102(
ln)(
35
1. กระบวนการไอโซคอริก V=0 PiP1
2. กระบวนการไอโซบาริก P=0 P1Pf
3. กระบวนการไอโซเทอร์มอล
T=0 PiPf
116. สมมติว่า:
• ระบบมีแก๊สจานวน N โมเลกุล
• แก๊สแต่ละโมเลกุลจะครอบครองปริมาตร Vm
• ถ้าแบ่งปริมาตรทั้งหมด V ออกเป็นส่วนเล็ก ๆ ส่วนละ Vm จะได้ว่าแก๊ส 1
โมเลกุลจะเลือกที่อยู่ได้W = V/Vm กรณี(แบบ)
• ดังนั้น ถ้ามีแก๊ส N โมเลกุลจะได้ว่าจานวนแบบทั้งหมดที่แก๊สเลือกอยู่ได้
() คือ
เอนโทรปีกับมุมมองระดับจุลภาค
(Entropy and microscopic view)
• เอนโทรปี องศาความไม่เป็นระเบียบ
N
WNWWWW 121
N
mVV
117. เอนโทรปีกับมุมมองระดับจุลภาค
ถ้าระบบมีการเปลี่ยนแปลงจากสถานะเริ่มต้น (initial state) ไปยังสถานะสุดท้าย
(final state) จะได้ว่า
Initial state:
mii VVW N
mii VV,
Final state:
mff VVW N
mff VV,
N
i
f
i
f
V
V
i
f
i
f
A
i
f
i
f
V
V
nR
V
V
nkN
V
V
Nkk lnlnlnln
if SSS
โดยการใส่ฟังก์ชันล็อกการิทึมและคูณด้วยค่าคงที่ของโบสท์มานน์ k :
118. เอนโทรปีกับมุมมองระดับจุลภาค
WQ
ในการขยายตัวแบบอุณหภูมิคงที่ T จาก(a) ไป (b)
1
1
ln
f f
r
i i
f f
i
i
dQ
S PdV
T T
VnRT
dV nR
T V V
ifif
i
f
i
f
if
kkSS
k
V
V
nRSS
lnln
lnln
WNkkS lnln
ดังนั้น เอนโทรปีคือการวัดความไม่เป็นระเบียบระดับจุลภาค
119. แก๊ส สุญญากาศ
ฉนวน
ตัวอย่าง : จงแสดงให้เห็นว่ากระบวนการแพร่ของแก๊สในสุญญากาศในกระบวนการ
อุณหภูมิคงที่ ดังรูปเป็นกระบวนการผันกลับไม่ได้
วิธีทา
อุณหภูมิคงที่ดังนั้น dU = 0
ดังนั้น dQ = dW = PdV
จาก PV = nRT,
V
nRT
P
dV
V
nRT
dQ
จาก
T
dV
V
nRT
T
dQ
dS
1
2
2
1
2
1
12 ln
V
V
nR
V
dV
nR
T
dQ
SS
แต่ V2 > V1 แสดงว่า S2 > S1
หรือ Sระบบ > 0
สิ่งแวดล้อม Sสิ่งแวดล้อม = 0
นั่นคือ S > 0 จึงเป็นกระบวนการ
ผันกลับไม่ได้ ตอบ
WQU
120. ตัวอย่าง: น้าแข็ง 1 kg ที่ 00C หลอมเหลวหมด จงคานวณหาเอนโทรปี
วิธีทา ความร้อนจาเพาะของการหลอมเหลวของน้า Lf(น้า) = 79.6 cal/gm
จาก
T
dQ
dS
ทาการหาปริพันธ์(อินทิเกรต) :
0
Q
water ice
dQ
S S
T
เมื่อ T คงที่ที่ 00C
; T = 273 K
แต่ Q = mL = (103)(79.6) = 7.95104 Cal
ดังนั้น
0
1 Q Q
dQ
T T
เนื่องจากความร้อนที่ใช้ในการละลาย
น้าแข็งที่อุณหภูมิเดียวกันนี้ต้องมาจาก
สิ่งแวดล้อม ดังนั้น
ดังนั้น cal/K292 มสิ่งแวดล้อS
แสดงว่า S = 0
กระบวนการนี้จึงเป็นกระบวน
การที่ผันกลับได้ ตอบ
4
7.95 10 calQ สิ่งแวดล้อม
KcalS
SSS
system
icewatersystem
/292
273
1095.7 4
121. ตัวอย่าง จงคานวณค่าเอนโทรปีที่เปลี่ยนไปเมื่อต้มน้า 1 kg ที่
0C ให้มีอุณหภูมิ 100C โดยไม่มีการเปลี่ยนสถานะ
KcalSS
T
T
mc
T
dT
mc
T
mcdT
T
dO
SS
T
T
T
T
T
T
/312)
273
373
ln(11000
)ln(
12
1
2
12
2
1
2
1
2
1
TmcQ
วิธีทา
ในกรณีนี้อุณหภูมิไม่คงที่ ดังนั้นจึงแปลง dQ ให้เป็นฟังก์ชันของ T
122. ตัวอย่าง : แก๊สอุดมคติ 4 โมล ขยายตัวมีปริมาตร 2 เท่า
ก. เมื่อขยายตัวแบบอุณหภูมิคงที่ที่ 400 K จงคานวณงานและเอนโทรปี
ข. เมื่อขยายตัวแบบความร้อนคงที่จงคานวณหาเอนโทรปี
วิธีทา ก. dW = PdV
PV = nRT หรือ P = nRT/V
JnRT
V
V
nRT
V
dV
nRTPdVW
VV
V
92142ln
ln
1
2
22
1
12
1
เอนโทรปี
2
1
12
T
dQ
SS
แต่ dWdUdQ
และ 00 dUT
ได้ dWdQ
ดังนั้น
2
2
2 1 1
1
1
ln 2 ln 2
dW W
S S
T T
nRT nR
T
ตอบ ก.
วิธีทา ข. ความร้อนคงที่ dQ = 0
ดังนั้น dS = dQ/T = 0 S2-S1 =S= 0 ตอบ ข.
กระบวนการ
ไอโซเทอร์มอล
งาน
กระบวนการ
อะเดียแบติก
23S
133. เครื่องจักรเบนซิน : วัฎจักรออตโต (Otto cycle)
NiKolaus A Otto (2375-2434)
1. ab จังหวะอัด : อากาศ+ไอน้ามันเข้าถูกดูด
Q = 0
2. bc จังหวะระเบิด : หัวเทียนจุดประกายอัด
V = 0
3. cd จังหวะทางาน : กาลังลูกสูบ
ขยายให้เคลื่อนที่ Q = 0
4. da จังหวะคาย : ไอเสียออก V = 0
เรียกเครื่องยนต์ 4 จังหวะ (four-stroke engine) : ดูด-อัด-กาลัง-คาย
V1V2
Q = 0
Q = 0
134. V1V2
Q = 0
Q = 0
หลักการวิเคราะห์การทางานของเครื่องจักรเบนซิน
P
V
c
c
2 2
2
,H V c b
V
c b
V
H c b
Q nc T T PV nRT
nc
PV PV
nR
c
Q V P P
R
ad
V
C PPV
R
c
Q 1
ดังนั้น
1
2
d aC
H c b
P PQ V
Q V P P
ช่วง cd,
1
2
1
2
;0
V
V
P
P
V
V
P
P
Q
b
a
c
d
และ
อัตราส่วนการอัด
compression ratio = V1/V2
typical = 7 - 8
ช่วง bc, V = 0
ทานองเดียวกัน
135. เครื่องจักรเบนซิน
แทนค่า
bc
bc
H
C
PP
PVVPVV
V
V
Q
Q
1212
1
2
1
1
2
V
V
Q
Q
H
C
ประสิทธิภาพ
1
2
1
1 1H C C
H H H
Q Q Q VW
e
Q Q Q V
เช่น อากาศมี = 1.4 8
2
1
V
V
ถ้า ได้ประสิทธิภาพ = 56%
ในทางปฏิบัติ ประสิทธิภาพที่พบจะมีเพียง 15 ถึง 20%
เพราะ
- ความเสียดทาน
- การสูญเสียความร้อนที่เสื้อสูบ
- การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์เพราะส่วนผสมอากาศ+น้ามันไม่เหมาะสม