Khone
- 2. โขน
โขนเป็ นนาฏศิลป์ ชนสูงทีเก่าแก่ของไทย มีมานานตังแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตาม
ั
หลักฐานจากจดหมายเหตุของ
ลาลูแบร์ ราชทูตฝรังเศสสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้กล่าวถึงการเล่นโขนว่า เป็ น
การเต้นออกท่าทางเข้ากับเสียงซอและเครืองดนตรีอนๆ ผูเ้ ต้นสวมหน้ากากและถืออาวุธ
ื
โขนเป็ นทีรวมของศิลปะหลายแขนงคือ โขนนํ าวิธเี ล่นและวิธแต่งตัวบางอย่างมาจากการ
ี
เล่นชักนาคดึกดําบรรพ์ โขนนํ าท่าต่อสูโ้ ลดโผน ท่ารําท่าเต้นมาจากกระบีกระบอง และ
โขนนํ าศิลปะการพากย์การเจรจา หน้าพาทย์เพลงดนตรี การแสดงโขน ผูแสดงสวมศีรษะ
้
คือหัวโขน ปิ ดหน้าหมด ยกเว้น เทวดา มนุ ษย์ และมเหสี ธิดาพระยายักษ์ มีตนเสียง
้
และลูกคู่รองบทให้และมีคนพากย์และเจรจาให้ดวย เรืองทีแสดงนิ ยมแสดงเรือง
้ ้
รามเกียรติ7และอุณรุฑ ดนตรีทใช้ประกอบการแสดงโขนใช้วงปี พาท
ี
- 4. ๑. โขนกลางแปลง คือ การเล่นโขนบนพืนดิน ณ กลางสนาม ไม่ตอง ้
สร้างโรงให้เล่น นิ ยมแสดงตอนยกทัพรบกัน โขนกลางแปลงได้
วิวฒนาการมาจากการเล่นชักนาคดึกดําบรรพ์ เรืองกวนนํ าอมฤ
ั
การเล่นชักนาคดึกดําบรรพ์ เล่นในพิธีอนทราภิเษก มีปรากฏในกฎ
ิ
มณเฑียรบาลสมัยกรุงศรีอยุธยา โขนกลางแปลงนํ าวิธีการแสดงคือการจัด
กระบวนทัพ การเต้นประกอบหน้าพาทย์ มาจากการเล่นชักนาคดึกดํา
บรรพ์ แต่เปลียนมาเล่นเรืองรามเกียรติ7 และเล่นตอนฝ่ ายยักษ์และฝ่ าย
พระรามยกทัพรบกัน จึงมีการเต้นประกอบหน้าพาทย์ และอาจมีบท
พาทย์และเจรจาบ้างแต่ไม่มีบทร้อ
- 5. ๒ โขนโรงนอก หรือโขนนังราว เป็ นการแสดงบนโรงมีหลังคา ไม่มีเตียง
สําหรับตัวโขนนัง แต่มีราวพาดตามส่วนยาวของโรงตรงหน้าฉาก (ม่าน) มี
ช่องทางให้ผูแสดงเดินได้รอบราวแทนเตียง มีการพากย์และเจรจา แต่ไม่มีการ
้
ร้อง ปี พาทย์บรรเลงเพลงหน้าพาทย์ มีปีพาทย์ ๒ วง เพราะต้องบรรเลงมาก
ตังหัวโรงท้ายโรง จึงเรียกว่าวงหัวและวงท้าย หรือวงซ้ายและวงขวา วันก่อน
แสดงโขนนังราวจะมีการโหมโรง และให้พวกโขนออกมากระทุงเส้าตามจังหวะ
้
เพลง พอจบโหมโรงก็แสดงตอนพิราพออกเทียวป่ า จับสัตว์กนเป็ นอาหาร
ิ
พระรามหลงเข้าสวนพวาทองของพราพ แล้วก็หยุดแสดง พักนอนค้างคืนทีโรง
โขน รุ่งขึนจึงแสดงตามเรืองทีเตรียมไว้ จึงเรียกว่า "โขนนอนโรง
- 6. ๓ โขนหน้าจอ คือโขนทีเล่นตรงหน้าจอ ซึงเดิมเขาขึงไว้สาหรับเล่น
ํ
หนังใหญ่ ในการเล่นหนังใหญ่นน มีการเชิดหนังใหญ่อยู่หน้าจอผ้าขาว
ั
การแสดงหนังใหญ่มีศิลปะสําคัญ คือการพากย์และเจรจา มีดนตรีปี
พาทย์ประกอบการแสดง ผูเ้ ชิดตัวหนังต้องเต้นตามลีลาและจังหวะ
ดนตรี นิ ยมแสดงเรืองรามเกียรติ7 ต่อมามีการปล่อยตัวแสดงออกมา
แสดงหนังจอ แทนการเชิดหนังในบางตอน เรียกว่า "หนังติดตัวโขน"
มีผูนิยมมากขึน เลยปล่อยตัวโขนออกมาแสดงหน้าจอตลอด ไม่มีการ
้
เชิดหนังเลย จึงกลายเป็ นโขนหน้าจอ และต้องแขวะจอเป็ นประตูออก
๒ ข้าง เรียกว่า "จอแขวะ
- 7. ๔ โขนโรงใน คือ โขนทีนํ าศิลปะของละครในเข้ามาผสม โขนโรงในมีปี
พาทย์บรรเลง ๒ วงผลัดกัน การแสดงก็มีทงออกท่ารําเต้น ทีพากย์และเจรจา
ั
ตามแบบโขน กับนํ าเพลงขับร้องและเพลงประกอบกิรยาอาการ ของดนตรีแบบ
ิ
ละครใน และมีการนํ าระบํารําฟ้ อนผสมเข้าด้วย เป็ นการปรับปรุงให้
วิวฒนาการขึนอีก การผสมผสานระหว่างโขนกับละครในสมัยรัชกาลที ๑
ั
รัชกาลที ๒ ทังมีราชกวีภายในราชสํานักช่วยปรับปรุงขัดเกลา และประพันธ์
บทพากย์บทเจรจาให้ไพเราะสละสลวยขึนอีก
โขนทีกรมศิลปากรนํ าออกแสดงในปัจจุบนนี ก็ใช้ศิลปะการแสดงแบบ
ั
โขนโรงใน ไม่ว่าจะแสดงกลางแจ้งหรือแสดงหน้าจอก็ตา
- 8. ๕ โขนฉาก เกิดขึนในสมัยรัชกาลที ๕ เมือมีผูคดสร้างฉากประกอบเรือง
้ิ
เมือแสดงโขนบนเวที คล้ายกับละครดึกดําบรรพ์ ส่วนวิธีแสดงดําเนิ น
เช่นเดียวกับโขนโรงใน แต่มีการแบ่งเป็ นชุดเป็ นตอน เป็ นฉาก และจัดฉาก
ประกอบตามท้องเรือง จึงมีการตัดต่อเรืองใหม่ไม่ให้ยอนไปย้อนมา เพือ
้
สะดวกในการจัดฉาก กรมศิลปากรได้ทาบทเป็ นชุดๆ ไว้หลายชุด เช่น ชุด
ํ
ปราบกากนาสูร ชุดมัยราพณ์สะกดทัพ ชุดชุดนางลอย ชุดนาคบาศ ชุด
พรหมาสตร์ ชุดศึกวิรุญจําบัง ชุดทําลายพิธีหงนํ าทิพย์ ชุดสีดาลุยไฟและ
ุ
ปราบบรรลัยกัลป์ ชุดหนุ มานอาสา ชุดพระรามเดินดง ชุดพระรามครอง
เมือง
- 9. การแสดงโขน โดยทัวไปนิ ยมแสดงเรือง "รามเกียรติ7" กรมศิลปากรเคยจัด
แสดงเรืองอุณรุฑ แต่ไม่เป็ นทีนิ ยมเท่าเรืองรามเกียรติ7 เรืองรามเกียรติ7ทนํ ามา
ี
แสดงโขนนันมีหลายสํานวน ทังทีประพันธ์ขึนในสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี
และกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะบทในสมัยรัตนโกสินทร์ นิ ยมแสดงตาม
สํานวนของรัชกาลที ๒ ทีกรมศิลปากรปรับปรุงเป็ นชุดเป็ นตอน เพือแสดงโขน
ฉาก ก็เดินเรืองตามสํานวนของรัชกาลที ๒ รัชกาลที ๖ ก็เคยทรงพระราช
นิ พนธ์บทร้องและบทพากย์ไว้ถง ๖ ชุด คือ ชุดสีดาหาย ชุดเผาลงกา ชุดพิเภก
ึ
ถูกขับ ชุดจองถนน ชุดประเดิมศึกลงกา และชุดนาคบาศ
- 10. การแต่งกายโขน แบ่งออกเป็ น ๓ ฝ่ าย คือ ฝ่ ายมนุ ษย์เทวดา(พระ
นาง) ฝ่ ายยักษ์ ฝ่ ายลิง (เชิญคลิกดูภาพ)
เครืองแต่งกายและเครืองประดับของตัวพระ
เครืองแต่งกายและเครืองประดับของตัวนาง
เครืองแต่งกายและเครืองประดับของตัวยักษ์
เครืองแต่งกายและเครืองประดับของตัวลิง
- 12. (แขนขวา - แสดงเสือแขนสันไม่มีอนทรธนู แขนซ้าย - แสดง
ิ
เสือแขนยาวมีอนทรธนู )
ิ
1. กําไลเท้า 2. สนับเพลา 3. ผ้านุ่ ง ในวรรณคดี เรียกว่า
ภูษา หรือพระภูษา 4. ห้อยข้าง หรือเจียระบาด หรือชายแครง
5. เสือ ในวรรณคดีเรียกว่า ฉลององค์ 6. รัดสะเอว หรือรัด
องค์ 7. ห้อยหน้า หรือชายไหว 8. สุวรรณกระถอบ
9. เข็มขัด หรือปันเหน่ ง 10. กรองคอ หรือ นวมคอ ใน
วรรณคดีเรียกว่า กรองศอ 11. ตาบหน้า หรือ ตาบทับ ใน
วรรณคดีเรียกว่า ทับทรวง 12. อินทรธนู 13. พาหุรด 14.
ั
สังวาล 15. ตาบทิศ 16. ชฎา 17. ดอกไม้เพชร(ซ้าย)
18. จอนหู ในวรรณคดีเรียกว่า กรรเจียก หรือกรรเจียกจร 19.
ดอกไม้ทด(ขวา) 20. อุบะ หรือพวงดอกไม้(ขวา)
ั
21. ธํามรงค์ 22. แหวนรอบ 23.ปะวะหลํา 24. กําไลแผง ใน
วรรณคดีเรียกว่า ทองกร
- 13. 1. กําไลเท้า 2. เสือในนาง 3. ผ้านุ่ง ในวรรณคดี เรียกว่า ภูษา หรือ
พระภูษา 4. เข็มขัด 5. สะอิง 6. ผ้าห่มนาง
7. นวมนาง ในวรรณคดีเรียกว่า กรองศอ หรือสร้อยนวม 8. จีนาง
หรือ ตาบทับ ในวรรณคดีเรียกว่า ทับทรวง
9. พาหุรด 10. แหวนรอบ 11. ปะวะหลํา7 12. กําไลตะขาบ 13.
ั
กําไลสวม ในวรรณคดีเรียกว่า ทองกร
14. ธํามรงค์ 15. มงกุฎ 16. จอนหู ในวรรณคดีเรียกว่า กรรเจียก
หรือกรรเจียกจร 17. ดอกไม้ทด (ซ้าย)
ั
18. อุบะ หรือพวงดอกไม้ (ซ้าย)
- 14. 1. กําไลเท้า 2. สนับเพลา 3. ผ้านุ่ง ในวรรณคดี เรียกว่า
ภูษา หรือพระภูษา 4. ห้อยข้าง หรือเจียระบาด หรือชายแครง
5. ผ้าปิ ดก้น หรือห้อยก้น อยู่ขา้ งหลัง 6. เสือ ในวรรณคดี
เรียกว่า ฉลององค์ 7. รัดสะเอว หรือรัดองค์ หรือรัดพัสตร์
8. ห้อยหน้า หรือชายไหว 9. เข็มขัด หรือปันเหน่ง 10. รัด
อก หรือรัดองค์ ในวรรณคดีเรียกว่า รัดพระอุระ 11. ตาบ
หน้า หรือ ตาบทับ ในวรรณคดีเรียกว่า ทับทรวง 12. กรอง
คอ หรือ นวมคอ ในวรรณคดีเรียกว่า กรองศอ 13. ทับทรวง
14.สังวาล 15. ตาบทิศ 16. แหวนรอบ 17. ปะวะหลํา7 18.
กําไลแผง ในวรรณคดีเรียกว่า ทองกร 19. พวงประคําคอ
20. หัวโขน ในภาพนีเป็ นหัวทศกัณฐ์ 21. คันศร
บรรดาพญายักษ์ตวสําคัญอืนๆ ในเรื7องโขนก็แต่งกาย
ั 7
คล้ายกันนี ต่างกันแต่ละสีและลักษณะของหัวโขน
- 15. 1. กําไลเท้า 2. สนับเพลา 3. ผ้านุ่ ง ในวรรณคดี เรียกว่า
ภูษา หรือพระภูษา 4. ห้อยข้าง หรือเจียระบาด หรือชาย
แครง
5. หางลิง 6. ผ้าปิ ดก้น หรือห้อยก้น 7. เสือ แต่ในทีนี
สมมติเป็ นขนตามตัวของลิง 8. รัดสะเอว 9. ห้อยหน้า หรือ
ชายไหว
10. เข็มขัด หรือปันเหน่ ง 11. กรองคอ หรือ นวมคอ 12.
ทับทรวง 13. สังวาล 14. ตาบทิศ 15. พาหุรด ตามปกติเย็บ
ั
ติดไว้กบเสือ ซึงสมมติเป็ นขนตามตัวของลิง 16. แหวนรอบ
ั
17. ปะวะหลํา 18. กําไลแผง หรือทองกร 19. หัวโขน ใน
ภาพนี เป็ นหัวหนุ มาน 20.ตรี (ตรีเพชร หรือหตีศูล)
บรรดาวานรตัวสําคัญอืนๆ ในเรืองโขนก็แต่งกาย
คล้ายกันนี ต่างกันแต่ละสีและลักษณะของหัวโขน
นอกจากจะแตกต่างกันทีเครืองสวมศีรษะ สีหน้า และสีกาย
แล้ว ลิงยังแตกต่างกันทีลักษณะของปากอีกด้วย
- 16. ลักษณะบทโขน ประกอบด้วย
บทร้อง ซึงบรรจุเพลงไว้ตามอารมณ์ของเรือง บทร้องแต่งเป็ นกลอนบท
ละครเป็ นส่วนใหญ่ อาจมีคาประพันธ์ชนิ ดอืนบ้างแต่ไม่นิยม บทร้องนี จะมี
ํ
เฉพาะโขนโรงในและโขนฉากเท่านัน
บทพากย์ การแสดงโขนโดยทัวไปจะเดินเรืองด้วยบทพากย์ ซึงแต่งเป็ น
คําประพันธ์ชนิ ดกาพย์ฉบัง ๑๖ หรือกาพย์ยานี ๑๑ บทมีชือเรียกต่าง ๆ ดังนี
- 17. ๑ พากย์เมือง หรือพากย์พลับพลา คือบทตัวเอก เช่น ทศกัณฐ์หรือพระรามประทับ
ในปราสาทหรือพลับพลา
๒ พากย์รถ เป็ นบทชมพาหนะและกระบวนทัพ ไม่ว่าจะเป็ นรถ ม้า ช้าง
หรืออืนใดก็ได้ ตลอดจนชมไพร่พลด้วย
๓ พากย์โอ้ เป็ นบทโศกเศร้า รําพัน ครําครวญ ซึงตอนต้นเป็ นพากย์ แต่
ตอนท้ายเป็ นทํานองร้องเพลงโอ้ปี ให้ปีพาทย์รบ
ั
๔ พากย์ชมดง เป็ นบทตอนชมป่ าเขา ลําเนาไพร ทํานองตอนต้นเป็ นทํานองร้อง เพลง
ชมดงใน ตอนท้ายเป็ นทํานองพากย์ธรรมดา
๕ พากย์บรรยาย เป็ นบทขยายความเป็ นมา ความเป็ นไป หรือพากย์ราพึงรําพันใดๆ เช่น
ํ
พากย์บรรยายตํานานรัตนธนู
๖ พากย์เบ็ดเตล็ด เป็ นบททีใช้ในโอกาสทัวๆ ไป เป็ นเรืองเล็กๆ น้อยๆ ทีไม่เข้าประเภทใด
เช่นกล่าวว่า ใครทําอะไร หรือพูดกับใคร ว่าอย่างไร
- 18. บทเจรจา
เป็ นบทกวีทแต่งเป็ นร่ายยาว ส่งและรับสัมผัสกันไปเรือยๆ ใช้ได้ทกโอกาส สมัย
ี ุ
โบราณเป็ นบททีคิดขึนสดๆ เป็ นความสามารถของคนพากย์ คนเจรจา ทีจะใช้ปฏิภาณคิดขึน
โดยปัจจุบน ให้ได้ถอยคําสละสลวย มีสมผัสแนบเนี ยน และได้เนื อถ้อยกระทงความถูกต้อง
ั ้ ั
ตามเนื อเรือง ผูพากย์เจรจาทีเก่งๆ ยังสามารถใช้ถอยคําคมคาย เหน็ บแนมเสียดสี บางครังก็
้ ้
เผ็ดร้อน โต้ตอบกันน่ าฟังมาก ปัจจุบนนี บทเจรจาได้แต่งไว้เรียบร้อยแล้ว ผูพากย์เจรจาก็ว่า
ั ้
ตามบทให้เกิดอารมณ์คล้อยตามถ้อยคํา โดยใช้เสียงและลีลาในการเจรจา ผูพากย์และเจรจา
้
ต้องทําสุมเสียงให้เหมาะกับตัวโขน และใส่ความรูสกให้เหมาะกับอารมณ์ในเรือง
้ ้ึ
คนพากย์และเจรจานี ใช้ผูชาย คนหนึ งต้องทําหน้าทีทังพากย์และเจรจา และต้องมีไม่นอยกว่า
้ ้
๒ คน จะได้โต้ตอบกันทันท่วงที เมือพากย์หรือเจรจาจบกระบวนความแล้ว ต้องการจะให้ปี
พาทย์ทาเพลงอะไรก็รองบอกไป เรียกว่า "บอกหน้าพาทย์" และถ้าการแสดงโขนนันมีขบร้อง
ํ ้ ั
คนพากย์และเจรจายังจะต้องทําหน้าทีบอกบทด้วย การบอกบทจะต้องบอกให้ถกจังหวะ ู
- 19. วิธดูโขน
ี
โขนเป็ นละครใบ้ โดยเฉพาะโขนกลางแปลง ผูดูจงต้องดูการแสดงท่าทาง ซึงจะบอก
้ ึ
ความหมาย ความรูสก ้ึ
ความคิด ความประสงค์ต่างๆ ได้ทกอย่าง ท่าทางทีโขนแสดงออกย่อมสัมพันธ์กบดนตรี
ุ ั
ฉะนัน หน้าพาทย์ต่างๆ ทีใช้ในการแสดงโขนจึงมีความสําคัญมาก เช่น เพลงกราวนอก
กราวในทีใช้ในเวลาจัดทัพ แสดงให้เห็นความเข้มแข็งคึกคักของทหาร ท่าทางของผูแสดงก็
้
แสดงให้เห็นความเข้มแข็งคึกคัก กระหยิม องอาจ กล้าหาญ ความพร้อมเพรียงของกองทัพ
หรือเพลงเชิดและท่ารบ ก็แสดงให้เห็นการรุกไล่หลบหลีก ปิ ดป้ อง หลอกล่อต่างๆ
- 20. ภาษาท่าทางของโขน จําแนกได้เป็ น ๓ ประเภท คือ
๑. ท่าซึงใช้แทนคําพูด เช่น รับ ปฏิเสธ
๒. ท่าซึงใช้เป็ นอิรยาบท และกิรยาอาการ เช่น เดิน ไหว้ ยิม
ิ ิ
ร้องไห้
๓. ท่าซึงแสดงถึงอารมณ์ภายใน เช่น รัก โกรธ ดีใจ เสียใจ
- 21. โอกาสทีแสดงโขน
๑. แสดงเป็ นมหกรรมบูชา เช่น ในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ หรือพระศพ พระบรม
อัฐิ หรืออัฐเจ้านาย ตลอดจนศพขุนนาง หรือผูใหญ่เป็ นทีเคารพนับถือทัวไป
้
๒. แสดงเป็ นมหรสพสมโภช เช่น ในงานฉลองปูชนี ยสถาน ปูชนี ยวัตถุ พระพุทธบาท พระ
แก้วมรกต พระอาราม หรือสมโภชเจ้านายทรงบรรพชา สมโภชในพระราชพิธบรมราชาภิเษก
ี
สมโภชในงานเฉลิมพระชนม์พรรษา สมโภชวันประสูตเิ จ้านายทีสูงศักดิ7 เป็ นต้น
๓. แสดงเป็ นมหรสพเพือความบันเทิง ในโอกาสทัวๆ ไป