SlideShare a Scribd company logo
1 of 26
ลิเก
บทนำำ
เกิดขึ้นในสมัยรัชกำลที่ 5 คำำว่ำ ลิเก ในภำษำมลำยู แปลว่ำ ขับร้อง เดิม
เป็นกำรสวดบูชำพระในศำสนำอิสลำม สวดเพลงแขกเข้ำกับจังหวะ
รำำมะนำ พวกแขกเจ้ำเซ็นได้สวดถวำยตัวเป็นครั้งแรกในกำรบำำเพ็ญพระ
รำชกุศล เมื่อ พ.ศ. 2423 ต่อมำคิดสวดแผลงเป็นลำำนำำต่ำงๆ คิดลูกหมด
เข้ำแกมสวด ร้องเป็นเพลงต่ำงภำษำ และทำำตัวหนังเชิด โดยเอำรำำมะนำ
เป็นจอก็มี ลิเกจึงกลำยเป็นกำรเล่นขึ้น ต่อมำมีผู้คิดเล่นลิเกอย่ำงละคร คือ
เริ่มร้องเพลงแขก แล้วต่อไปเล่นอย่ำงละครรำำ และใช้ปี่พำทย์อย่ำงละคร
ลิเกมี 3 แบบ คือ
1. ลิเกบันตน เริ่มด้วยร้องเพลงบันตนเป็นภำษำมลำยู ต่อมำก็แทรกคำำ
ไทยเข้ำไปบ้ำง ดนตรีก็ใช้รำำมะนำ จำกนั้นก็แสดงเป็นชุดๆ ต่ำงภำษำ เช่น
แขก ลำว มอญ พม่ำ ต้องเเริ่มด้วยชุดแขกเสมอ ผู้แสดงแต่งตัวเป็นชำติ
ต่ำงๆ ร้องเอง พวกตีรำำมะนำเป็นลูกคู่ มีกำรร้องเพลงบันตนแทรกระหว่ำง
กำรแสดงแต่ละชุด
2. ลิเกลูกบท คือ กำรแสดงผสมกับกำรขับร้องและบรรเลงเพลงลูกบท
ร้องและรำำไปตำมกระบวนเพลง ใช้ปี่พำทย์ประกอบแทนรำำมะนำ แต่งกำย
ตำมที่นิยมในสมัยนั้นๆ แต่สีฉูดฉำด ผู้แสดงเป็นชำยล้วน เมื่อแสดงหมด
แต่ละชุด ปี่พำทย์จะบรรเลงเพลง 3 ชั้นที่เป็นแม่บทขึ้นอีก และออกลูกหมด
เป็นภำษำต่ำงๆ ชุดอื่นๆ ต่อไปใหม่
3. ลิเกทรงเครื่อง เป็นกำรผสมผสำน ระหว่ำงลิเกบันตนและลิเกลูกบท มี
ท่ำรำำเป็นแบบแผน แต่งตัวคล้ำยละครรำำ แสดงเป็นเรื่องยำวๆ อย่ำงละคร
เริ่มด้วยโหมโรงและบรรเลงเพลงภำษำต่ำงๆ เรียกว่ำ "ออกภำษำ" หรือ
"ออกสิบสองภำษำ" เพลงสุดท้ำยเป็นเพลงแขก พอปี่พำทย์หยุด พวกตี
รำำมะนำก็ร้องเพลงบันตน แล้วแสดงชุดแขก เป็นกำรคำำนับครู ใช้ปี่พำทย์
รับ ต่อจำกนั้นก็แสดงตำมเนื้อเรื่อง ลิเกที่แสดงในปัจจุบันเป็นลิเกทรง
เครื่อง
วิธีแสดง เดินเรื่องรวดเร็ว ตลกขบขัน กำรแสดงเริ่มด้วยโหมโรง 3
ลำ จบแล้วบรรเลงเพลงสำธุกำร ให้ผู้แสดงไหว้ครู แล้วจึงออกแขก บอก
เรื่องที่จะแสดง สมัยก่อนมีกำรรำำถวำยมือหรือรำำเบิกโรง แล้วจึงดำำเนิน
เรื่อง ต่อมำกำรรำำถวำยมือก็เลิกไป ออกแขกแล้วก็จับเรื่องทันที กำรร่ำย
รำำน้อยลงไปจนเกือบไม่เหลือเลย คงมีเพียงบำงคณะที่ยังยึดศิลปะกำรรำำ
อยู่
ผู้แสดง เดิมใช้ผู้ชำยล้วน ต่อมำนำยดอกดิน เสือสง่ำ ให้บุตรสำวชื่อ
ละออง แสดงเป็นตัวนนำงประจำำคณะ ต่อมำคณะอื่นก็เอำอย่ำงบ้ำง บำง
คณะให้ผู้หญิงเป็นพระเอก เช่น คณะกำำนันหนู บ้ำนผักไห่ อยุธยำ กำร
แสดงชำยจริงหญิงแท้นั้น คณะนำยหอมหวล นำคศิริ เริ่มเป็นคณะแรก ผู้
แสดงต้องมีปฏิภำณในกำรร้องและเจรจำ ดำำเนินเรื่องโดยไม่มีกำรบอกบท
เลย หัวหน้ำคณะจะเล่ำให้ฟังก่อนเท่ำนั้น นอกจำกนี้ กำรเจรจำต้องดัด
เสียงให้ผิดปกติ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ ของลิเก แต่ตัวสำมัญชนและตัวตลกพูด
เสียงธรรมดำ
เพลงและดนตรี ดำำเนินเรื่องใช้เพลงหงส์ทองชั้นเดียว แต่ดัดแปลง
ให้ด้นได้เนื้อควำมมำกๆ แล้วจึงรับด้วยปี่พำทย์ แต่ถ้ำเล่นเรื่องต่ำงภำษำ ก็
ใช้เพลงที่มีสำำเนียงภำษำนั้นๆ ตำมท้องเรื่อง แต่ด้นให้คล้ำยหงส์ทอง ต่อ
มำนำยดอกดิน เสือสง่ำ ได้ดัดแปลงเพลงมอญครวญของลิเกบันตนที่ใช้กับ
บทโศก มำเป็นเพลงแสดงควำมรักด้วย
เรื่องที่แสดง นิยมใช้เรื่องละครนอก ละครใน และเรื่องพงศำวดำร
จีน มอญ ญวน เช่น สำมก๊ก รำชำธิรำช ฉันใดเวือง
กำรแต่งกำย แต่งตัวด้วยเครื่องประดับสวยงำม เลียนแบบเครื่อง
ทรงกษัตริย์ จึงเรียกว่ำลิเกทรงเครื่อง "สมัยของแพง" ก็ลดเครื่องแต่งกำยที่
แพรวพรำวลงไป แต่บำงคณะก็ยังรักษำแบบแผนเดิมไว้ โดยตัวนำยโรงยัง
แต่งเลียนแบบเครื่องทรงของกษัตริย์ในส่วนที่มิใช่เครื่องต้น เช่น นุ่งผ้ำยก
ทอง สวมเสื้อเข้มขำบหรือเยียรบับ แขนใหญ่ถึงข้อมือ คำดเข็มขัดนอกเสื้อ
ประดับเครื่องรำชอิสริยำภรณ์ต่ำงๆ แต่ดัดแปลงเสียใหม่ เช่น เครื่องสวม
ศีรษะ เครื่องประดับหน้ำอก สำยสะพำย เครื่องประดับไหล่
ตัวนำงนุ่งจีบยกทอง สวมเสื้อแขนกระบอกยำว ห่มสไบปักแพรวพรำว สวม
กระบังหน้ำต่อยอดมงกุฎ ที่แปลกกว่ำกำรแสดงอื่นๆ คือสวมถุงเท้ำยำวสี
ขำวแทนกำรผัดฝุ่นอย่ำงละคร แต่ไม่สวมรองเท้ำ
สถำนที่แสดง ลำนวัด ตลำด สนำมกว้ำงๆ โดยปลูกเพิงสูงระดับตำ
ด้ำนหน้ำเป็นที่แสดง ด้ำนหลังเป็นที่พักที่แต่งตัว
ลิเก
ที่มำของลิเก
ลิเก เป็นคำำที่มีรำกศัพท์มำจำกภำษำ ฮิบรู ว่ำ ซำคูร (Zakhur) ซึ่งหมำย
ถึง กำรสวดสรรเสริญพระเจ้ำในศำสนำยูดำย หรือยิว มำแต่โบรำณหลำย
พันปี ต่อมำชำวอำหรับเรียกกำรสวดสรรเสริญพระเจ้ำว่ำ ซิกร (Zikr) และ
ซิกิร (Zikir) ผู้สวดนั่งล้อมเป็นวงโยกตัวไปมำ เมื่อกำรสวดแพร่หลำย
เข้ำไปในอินเดียโดยชำวอิหร่ำน เรียกว่ำ ดฮิกิร (Dhikir) โดยมีกำรตี
กลองรำำมะนำประกอบ ครั้นกำรสวดแพร่มำถึงจังหวัดทำงภำคใต้ของ
ประเทศไทย ก็เรียกเป็นภำษำถิ่นว่ำ ดิเก (Dikay) และจิเก (Jikay) ชำวมุ
สลิมนำำดิเกเข้ำมำสู่กรุงเทพมหำนคร ตอนต้นสมัยรัตนโกสินทร์ กำรเรียกก็
เปลี่ยนเป็น ยิเก หรือ ยี่เก (Yikay) พระบำทสมเด็จพระมงกุฎเกล้ำเจ้ำอยู่
หัว รัชกำลที่ ๖ ทรงเรียกว่ำ ลิเก (Likay) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ และใช้เรียก
อย่ำงเป็นทำงกำรตั้งแต่นั้นมำ ส่วนคำำว่ำ ยี่เก ยังคงใช้เรียกกันอยู่ อนึ่ง
ลิเกได้ถูกเปลี่ยนชื่อตำมพระรำชกฤษฎีกำกำำหนดวัฒนธรรมทำงศิลปกรรม
พ.ศ. ๒๔๘๕ เป็น นำฏดนตรี และเรียกคำำนี้แทนลิเกอยู่ประมำณ ๑๕ ปี ก็
กลับมำเรียกว่ำ ลิเก เหมือนเดิมจนถึงปัจจุบัน
ลิเก มำจำก จิเก คือ กำรสวดสรรเสริญพระเจ้ำของชำวไทยมุสลิม ผสมผสำนกับละครรำำของไทย
จนเกิดเป็นละครแบบใหม่ ในสมัยรัชกำลที่ ๕ และเป็นที่นิยมของชำวบ้ำนมำจนถึงปัจจุบัน
ลิเก หรือที่ชำวบ้ำนเรียกว่ำ ยี่เก เป็นละครเร่ที่เจ้ำภำพจ้ำงไปแสดงที่วัด หรือที่บ้ำน ในงำนประจำำปี
งำนบวช และงำนศพ หรือปลูกโรงล้อมรั้วเก็บเงินค่ำเข้ำชมเอง โรงลิเกเป็นเวทียกพื้นเล็กน้อย มีตั่ง
หรือเตียงไม้วำงตรงกลำงเป็นที่นั่งแสดง ข้ำงหลังตั่งยกพื้นสูงขึ้น เป็นที่ตั้งวงดนตรีปี่พำทย์ ข้ำงหลัง
มีฉำกผ้ำวำดเป็นทิวทัศน์ กั้นมิให้ผู้ชมเห็นหลังโรง ซึ่งเป็นที่สำำหรับแต่งตัว
ลิเก แสดงทั้งกลำงวัน และกลำงคืน เริ่มต้นด้วยโหมโรง คือ เล่นดนตรีเรียกคนมำชมลิเก ออกแขก
คือ มีผู้แสดงออกมำแนะนำำคณะลิเก เรื่องที่จะแสดง ขอบคุณเจ้ำภำพ และผู้ชม จบออกแขกก็แสดง
ลิเกเป็นเรื่องอย่ำงละครไปจนจบเรื่อง หรือหมดเวลำ ตัวลิเกแบ่งออกเป็น พระเอก นำงเอก ตัวโกง
ตัวอิจฉำ และตัวตลก ซึ่งต่ำงออกมำแสดงอย่ำงสวยงำม รวดเร็ว สนุกสนำน จัดจ้ำน และตลกโปกฮำ
ตัวลิเกร้องรำำ และเจรจำ ด้วยกำรด้น คือ คิดขึ้นเองเดี๋ยวนั้น ไม่มีกำรฝึกซ้อมมำก่อน และไม่มีกำร
บอกบท ภำษำที่ใช้เป็นภำษำไทยภำคกลำง ลิเกจึงมีแสดงในภำคกลำงเป็นส่วนใหญ่
ลิเกยุคต่ำงๆ
ยุคลิเกสวดแขก
คือ ยุคที่ชำวไทยมุสลิมเดินทำงจำกภำคใต้เข้ำมำตั้งถิ่นฐำนใน
กรุงเทพมหำนคร ในสมัยรัชกำลที่ ๓ แล้วได้นำำกำรสวดสรรเสริญพระเจ้ำ
ประกอบกำรตีรำำมะนำ (กลองหน้ำเดียวตีประกอบลำำตัดในปัจจุบัน) เข้ำมำ
ด้วย ต่อมำในสมัยรัชกำลที่ ๕ ลูกหลำนชำวไทยมุสลิม ก็ใช้ภำษำไทยแทน
ภำษำมลำยู สำำหรับกำรแสดงลิเกสวดแขกนั้น ผู้แสดงชำยนั่งล้อมเป็น
วงกลม มีคนตีรำำมะนำเสียงทุ้มและแหลม ๔ ใบ หรือ ๑ สำำรับ กำรแสดงเริ่ม
ด้วยกำรสวดสรรเสริญพระเจ้ำเป็นภำษำมลำยู จำกนั้นก็ร้องเพลงด้นกลอน
ภำษำมลำยูตอนใต้ เรียกกันว่ำ ปันตุน หรือ ลิเกบันตน ต่อมำแปลงจำก
ภำษำมลำยูเป็นภำษำไทย กำรแสดงบำงครั้งมีกำรประชันวงร้องตอบโต้กัน
จนกลำยมำเป็นลำำตัดในปัจจุบัน
ยุคลิเกออกภำษำ
คือ ยุคที่ลิเกนำำเพลงออกภำษำของกำรบรรเลงปี่พำทย์ และกำรสวด
คฤหัสถ์ในงำนศพสมัยรัชกำลที่ ๕ มำเพิ่มเข้ำไปในกำรแสดงลิเก เพลง
ออกภำษำเป็นกำรแสดงล้อเลียนชำวต่ำงชำติที่เข้ำมำอำศัยอยู่ใน
กรุงเทพมหำนครในขณะนั้น ด้วยกำรนำำกำรแต่งกำย นำ้ำเสียงในกำรพูด
ภำษำไทย ปนกับภำษำของตน และเพลงที่ขับร้องในหมู่ชำวต่ำงชำติเหล่ำ
นั้น มำล้อเลียนเป็นที่สนุกสนำน ผู้ชมนิยมกันมำก เมื่อลิเกนำำมำใช้ก็เริ่มต้น
กำรแสดงด้วยกำรสวดแขกเป็นกำรออกภำษำมลำยู เพรำะถือว่ำเป็นกำร
แสดงที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นสิริมงคล แล้วจึงต่อด้วยภำษำอื่นๆ เช่น มอญ จีน
ลำว ญวน พม่ำ เขมร ญี่ปุ่น ฝรั่ง ชวำ อินเดีย ตะลุง (ปักษ์ใต้) กำร
แสดงออกภำษำเป็นกำรแสดงตลกชุดสั้นๆติดต่อกันไป ต่อมำปรับปรุงกำร
แสดงมำเป็นเริ่มต้นด้วยสวดแขก แล้วต่อด้วยชุดออกภำษำแสดงเป็นละคร
เรื่องยำวอีก ๑ ชุด
ยุคลิเกทรงเครื่อง
กำรแสดงลิเกออกภำษำในส่วนที่เป็นสวดแขก กลำยเป็นกำรออกแขก มีผู้
แสดงแต่งกำยเลียนแบบชำวมลำยูออกมำร้องเพลงอำำนวยพร มีตัวตลกถือ
ขันนำ้ำตำมออกมำให้ผู้แสดงเป็นแขกประพรมนำ้ำมนต์ เพื่อเป็นสิริมงคล
ส่วนที่เป็นชุดออกภำษำ กลำยเป็นละครเต็มรูปแบบ ซึ่งวงรำำมะนำยังคงใช้
บรรเลงตอนออกแขก แต่ใช้ปี่พำทย์บรรเลงในช่วงละคร เครื่องแต่งกำย
หรูหรำเลียนแบบข้ำรำชสำำนัก ในสมัยรัชกำลที่ ๕ จึงเรียกว่ำ ลิเกทรง
เครื่อง ลิเกทรงเครื่องแสดงในโรง (วิก) และเก็บค่ำเข้ำชม เกิดขึ้นโดยคณะ
ของพระยำเพชรปำณี ข้ำรำชกำรกระทรวงวัง ซึ่งนำำแสดงโดยภรรยำ ของ
ตน วิกพระยำเพชรปำณีตั้งอยู่นอกกำำแพง เมือง หน้ำวัดรำชนัดดำรำม
ประมำณ พ.ศ. ๒๔๔๐ ลิเกทรงเครื่องแพร่หลำยไปทั่วภำคกลำงอย่ำง
รวดเร็ว มีวิกลิเกเกิดขึ้นมำกมำย ต่อมำมีกำรนำำเนื้อเรื่องและ
ขนบธรรมเนียมของละครรำำมำใช้ จนถึงขั้นแสดงเรื่องอิเหนำ ตำมบทพระ
รำชนิพนธ์ เมื่อเกิดสงครำมโลกครั้งที่ ๒ ขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๘๔ ลิเกทรง
เครื่อง ก็ประสบปัญหำกำรขำดแคลนวัสดุเครื่องแต่งกำยซึ่งต้องนำำเข้ำจำก
ต่ำงประเทศ เช่น ผ้ำและเพชรเทียม จนในที่สุดกำรแต่งกำยชุดลิเกทรง
เครื่องก็หมดไป วงรำำมะนำที่ใช้กับกำรออกแขกก็เปลี่ยนไปใช้วงปี่พำทย์
แทนเพื่อเป็นกำรประหยัด เพลงรำนิเกลิงหรือเพลงลิเก เกิดขึ้นโดย นำย
ดอกดิน เสือสง่ำ ในยุคลิเกทรงเครื่องนี้เอง และต่อมำ นำยหอมหวล นำค
ศิริ ได้นำำเพลงรำนิเกลิงไปร้องด้นกลอนสดอย่ำงยำวหลำยคำำกลอน ทำำให้
มีชื่อเสียงและมีลูกศิษย์มำกมำย ช่วงปลำยยุคนี้เริ่มมีกำรออกอำกำศลิเก
ทำงวิทยุ
ยุคลิเกลูกบท
อยู่ในช่วงสงครำมโลกครั้งที่ ๒ จนถึงช่วงภำยหลังสงครำม รวมเวลำนำน
ประมำณ ๑๐ ปี ลิเกในยุคนี้แต่งกำยแบบสำมัญคือ เสื้อคอกลมแขนสั้น โจง
กระเบน มีผ้ำคำดพุง คล้ำยเครื่องแต่งกำยของลำำตัดในปัจจุบัน ทั้งนี้เพรำะ
เป็นช่วงที่อยู่ในสภำวะขำดแคลน แต่กำรแสดงลิเกก็ยังเป็นที่นิยมกันอย่ำง
กว้ำงขวำง เนื้อเรื่องที่แสดงเปลี่ยนไปเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นใหม่ ซึ่งอำศัยพื้น
ฐำนของบทละครนอก และละครพันทำงอยู่มำก
ยุคลิเกเพชร
หลังสงครำมโลกครั้งที่ ๒ เมื่อบ้ำนเมืองเข้ำสู่ภำวะปกติ ก็มีกำรตกแต่ง
เครื่องแต่งกำยลิเกตัวพระให้หรูหรำอีกครั้ง แต่มิได้กลับไปใช้รูปแบบลิเก
ทรงเครื่อง เริ่มต้นด้วยกำรสวมเสื้อกั๊กปักเพชรทับเสื้อคอกลม สวมสนับ
เพลำ แล้วนุ่งผ้ำโจงทับอย่ำงตัวพระของละครรำำ สวมถุงน่องสีขำวเหมือน
ลิเกทรงเครื่อง เอำแถบเพชรหรือ “เพชรหลำ” มำทำำสังเวียนคำดศีรษะ
ประดับขนนกสีขำวของลิเกทรงเครื่อง คำดสะเอวเพชร แถบเชิงสนับเพลำ
เพชร ฯลฯ มำเป็นลำำดับ ส่วนผ้ำนุ่งใช้ผ้ำไหมที่นำำเข้ำมำ จำกเมืองจีน
เพรำะเนื้อแข็งนุ่งแล้วอยู่ทรงไม่ยับ สำำหรับชุดลิเกตัวนำงไม่ค่อยมีแบบแผน
ส่วนใหญ่เป็นชุดรำตรียำวสมัยนิยม มีเครื่องประดับ เช่น มงกุฎ สำยสร้อย
กำำไล ฯลฯ แต่ไม่หรูหรำเท่ำตัวพระ กำรแสดงลิเกยุคนี้มีควำมหลำกหลำย
เพรำะพยำยำมนำำกำรแสดงประเภทอื่นๆเข้ำมำเสริม เพื่อให้กำรแสดงเป็น
ที่นิยมอยู่เสมอ เช่น เพลงลูกทุ่งยอดนิยม เพลงจำกภำพยนตร์อินเดีย กำร
เต้นอะโกโก้ กำรนำำม้ำขึ้นมำขี่รบกันบนเวที กำรทำำฉำกสำมมิติให้ดูสมจริง
เป็นต้น ลิเกได้มีกำรแพร่ภำพทำงโทรทัศน์เป็นประจำำ หนังสือพิมพ์ให้
ควำมสนใจเสนอข่ำวเรื่องลิเก โรงละครแห่งชำติให้กำรยอมรับและจัดให้มี
กำรแสดงลิเกขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกำยน พ.ศ. ๒๕๑๘ โดย
คณะลิเกของนายสมศักดิ์ ภักดี ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่เริ่มขยายหน้าเวทีให้กว้าง
ออกไปกว่าเดิมเกือบ ๒ เท่า
ยุคลิเกลอยฟ้า
เป็นยุคที่เวทีลิเกเปลี่ยนจากรูปแบบเดิม ที่มีเวทีดนตรีอยู่ทางขวาของผู้
แสดง มาเป็นเวทีที่วางเครื่องดนตรี อยู่บนยกพื้นหลังเวทีการแสดง ให้ผู้ชม
ได้เห็นวงดนตรีทั้งวง และได้ขยายขนาดเวทีการแสดงออกไปจากประมาณ
๖ เมตรเป็น ๑๒ เมตร แต่ไม่มีหลังคา จึงเรียกว่า ลิเกลอยฟ้า เครื่องแต่ง
กายตัวพระในยุคนี้เพิ่มเครื่องเพชรมากขึ้นคือ มีแผงประดับศีรษะเพชร
แทนขนนก เสื้อรัดรูปปักเพชรที่เกิดขึ้นในปลายยุคลิเกเพชร ก็เพิ่มจำานวน
เพชรจนเต็มไปทั้งตัว ผ้านุ่งกลายเป็นแบบสำาเร็จรูป ปักเพชรทั้งผืน ส่วน
เครื่องประดับต่างๆ ก็เพิ่มจำานวนเพชรขึ้นมากกว่าแต่ก่อน ประมาณ พ.ศ.
๒๕๔๐ เป็นต้นมา เริ่มมีการนำาเรื่องผู้ชนะสิบทิศ บทละครพันทางของ
อาจารย์เสรี หวังในธรรม ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในขณะนั้น มาแสดงเป็น
ลิเก และแต่งตัวแบบละครพันทางลิเกเป็นการแสดง เพื่อเลี้ยงชีพ ผู้ชมชอบ
อย่างไร ก็แสดงอย่างนั้น ดังนั้นรูปแบบการแสดงลิเกในแต่ละยุค จึงมีการ
ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่คงอยู่คือ ปฏิภาณศิลป์ที่ทำาให้ลิเกยังคงมี
ความแปลกใหม่ สำาหรับให้ความบันเทิงแก่คนในสังคมไทยตลอดไป
ลิเก มีลักษณะเด่นคือ เครื่องแต่งกายของพระเอกประดับเพชรจำานวนมาก มีขนนกสีขาวขนาดใหญ่
ประดับศีรษะ สวมถุงน่องสีขาว และมีเพลง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของลิเกคือ เพลงราชนิเกลิง
(ราด-นิ-เกลิง) ที่ใช้ร้องดำาเนินเรื่องตลอดเวลา นอกจากนี้ เมื่อผู้ชมพอใจการแสดง ก็ลุกจากที่นั่ง
มาที่หน้าเวที เพื่อมอบรางวัลเป็นธนบัตร หรือพวงมาลัยติดธนบัตรแก่ตัวลิเก ซึ่งมักเป็นพระเอก ผู้ชม
ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง มักชอบดูพระเอกที่หน้าตาดี รูปร่างอ้อนแอ้น ร้องเพลงได้ไพเราะ ด้นกลอนเก่ง
รำาสวย เครื่องแต่งกายงดงาม ส่วนฉาก ที่ชอบดูคือ ฉากตลก
"ลิเก" เป็นละครผสมระหว่างการพูด การร้อง การรำา และการแสดงกิริยาท่าทางตามธรรมชาติ โดย
มีวงปี่พาทย์บรรเลงประกอบ ทำานองเพลงหลักที่ใช้สำาหรับร้องดำาเนินเรื่อง เรียกว่า รานิเกลิง (รา-
นิ-เกลิง) หรือ ราชนิเกลิง (ราด-นิ-เกลิง) ส่วนอื่นๆ ที่ใช้สำาหรับร้องรำา และประกอบกิริยา นำามา
จากเพลงของละครรำา และเพลงลูกทุ่ง ซึ่งกำาลังเป็นที่นิยมในขณะนั้น ผู้แสดงรับบทชายจริงหญิงแท้
มีบทพูด และบทร้องตามท้องเรื่อง ที่โต้โผกำาหนดให้ก่อนการแสดง บางครั้งมีการบรรยายเรื่อง และ
ตัวละครจากหลังเวที เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจง่ายขึ้น เนื้อเรื่องมักเป็นการชิงรักหักสวาท และอาฆาตล้าง
แค้นย้อนไปในอดีต หรือในปัจจุบัน
โครงเรื่องมักซำ้ากัน จะต่างกันที่รายละเอียด การแสดงลิเกแบ่งเป็น ๓ ส่วน คือ โหมโรงดนตรี เพื่อ
เรียกผู้ชม และให้ผู้แสดงเตรียมพร้อม ออกแขก เพื่อต้อนรับผู้ชม ขอบคุณเจ้าภาพ แนะนำาการแสดง
และผู้แสดง และละครที่ดำาเนินเรื่องเป็นฉากสั้นๆ ติดต่อกันไปอย่างรวดเร็ว ลิเกมีแสดง ทั้งในเวลา
กลางวัน และกลางคืน ช่วงกลางวันเริ่มแสดงตั้งแต่ ๐๙.๐๐ น. เป็นต้นไป และหยุดพักเที่ยง แล้ว
แสดงต่อ จนถึงเวลาประมาณ ๑๖.๐๐ น. ส่วนช่วงกลางคืน เริ่มแสดงตั้งแต่ ๒๐.๐๐ น. - ๒๔.๐๐
น.
ขั้นตอนการแสดงลิเก
โหมโรง
เป็นการบูชาเทพยดา และครูบาอาจารย์ พร้อมทั้งอัญเชิญท่านเหล่านั้น
มาปกปักรักษา และอำานวยความสำาเร็จให้แก่การแสดง นอกจากนั้น ยัง
เป็นการอุ่นโรง ให้ผู้แสดงเตรียมตัวให้พร้อม เพราะใกล้จะถึงเวลาแสดง
และเป็นสัญญาณแจ้งแก่ประชาชนที่อยู่ทั้งใกล้และไกล ให้ได้ทราบว่า จะ
มีการแสดงลิเก และใกล้เวลาลงโรงแล้ว จะได้ชักชวนกันมาชม
โหมโรงเป็นการบรรเลงปี่พาทย์ตามธรรมเนียมการแสดงละครของไทย
เพลงที่บรรเลงเรียกว่า โหมโรงเย็น ประกอบด้วย เพลงชั้นสูง หรือเพลง
หน้าพาทย์ ๑๓ เพลง บรรเลงตามลำาดับคือ สาธุการ ตระนิมิตร รักสามลา
ต้นเข้าม่าน ปฐม ลา เสมอ เชิดฉิ่ง เชิดกลอง ชำานาญ กราวใน และวา ถ้า
โหมโรงมีเวลาน้อย ก็ตัดเพลงลงเหลือ ๔ เพลงคือ สาธุการ ตระนิมิตร
กราวใน และวา แต่ถ้ามีเวลามากก็บรรเลงเพลงเบ็ดเตล็ดแทรกต่อจาก
เพลงกราวใน แล้วจึงบรรเลงเพลงวาเป็นสัญญาณจบการโหมโรง
ออกแขก
เป็นการคำานับครู อวยพรผู้ชม ขอบคุณเจ้าภาพ แนะนำาเรื่อง อวดผู้แสดง
ฝีมือการร้องรำา และความหรูหราของเครื่องแต่งกาย เพื่อให้ผู้ชมสนใจ
และเตรียมพร้อมที่จะชมต่อไป ออกแขกเป็นการเบิกโรงลิเก โดยเฉพาะ
การออกแขกมี ๔ ประเภทคือ ออกแขกรดนำ้ามนต์ ออกแขกหลังโรง
ออกแขกรำาเบิกโรง และออกแขกอวดตัว
ออกแขกรดนำ้ามนต์
โต้โผ คือ หัวหน้าคณะ หรือผู้แสดงอาวุโสชาย แต่งกายแบบแขกมลายูบ้าง
ฮินดูบ้าง มีผู้ช่วยเป็นตัวตลกถือขันนำ้าตามออกมา แขกร้องเพลงออกแขก
ชื่อว่า เพลงซัมเซ เลียนเสียงภาษามลายู จบแล้วกล่าวสวัสดี และทักทาย
กันเอง ออกมุขตลกต่างๆ เล่าเรื่องที่จะแสดงให้ผู้ชมทราบ จบลงด้วยแขก
ประพรมนำ้ามนต์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่การแสดง และเป็นการอวยพรผู้ชม
การออกแขกรดนำ้ามนต์ไม่ค่อยมีแสดงในปัจจุบัน
ออกแขกหลังโรง
โต้โผ หรือผู้แสดงชาย ที่แต่งตัวเสร็จแล้ว ช่วยกันร้องเพลงซัมเซอยู่หลัง
ฉาก หรือหลังโรง แล้วจึงต่อด้วยเพลงประจำาคณะ ที่มีเนื้อเพลงอวดอ้าง
คุณสมบัติต่างๆ ของคณะ จากนั้นเป็นการประกาศชื่อ และอวดความ
สามารถของศิลปินที่มาร่วมแสดง ประกาศชื่อเรื่องและเนื้อเรื่องย่อที่จะ
แสดง แล้วลงท้ายด้วยเพลงซัมเซอวยพรผู้ชม
ออกแขกรำาเบิกโรง
คล้ายออกแขกหลังโรง โดยมีการรำาเบิกโรงแทรก ๑ ชุด ก่อนลงท้ายด้วย
เพลงซัมเซอวยพรผู้ชม รำาเบิกโรงนี้มักแสดงโดยลูกหลานของผู้แสดง ที่มี
อายุน้อยๆ เป็นการฝึกเด็กๆให้เจนเวที เป็นการรำาชุดสั้นๆ สำาหรับรำาเดี่ยว
เช่น พม่ารำาขวาน พลายชุมพล มโนห์ราบูชายัญ หรือชุดที่คิดขึ้นเอง เช่น
ชุดแขกอินเดีย ในกรณีที่เป็นการแสดง เพื่อแก้บน รำาเบิกโรงจะเป็นรำา
เพลงช้า เพลงเร็ว โดยผู้แสดงชาย - หญิง ๒ คู่ ตามธรรมเนียมของการรำา
แก้บนละคร ซึ่งเรียกว่า รำาถวายมือ เมื่อจบรำาเบิกโรงแล้ว ข้างหลังโรงจะ
ร้องเพลงซัมเซอวยพรผู้ชม
ออกแขกอวดตัว
คล้ายออกแขกรำาเบิกโรง แต่เปลี่ยนจากรำาเดี่ยว หรือรำาถวายมือ มา
เป็นการอวดตัวแสดงทั้งโรง ผู้แสดงทุกคนจะแต่งเครื่องลิเก นำาโดยโต้โผ
หรือพระเอกอาวุโส ร้องเพลงประจำาคณะ ต่อด้วยการแนะนำาผู้แสดงเป็น
รายตัว จากนั้นผู้แสดงออกมารำาเดี่ยว หรือรำาหมู่ หรือรำาพร้อมกันทั้งหมด
คนที่ไม่ได้รำาก็ยืนรอ เมื่อรำาเสร็จแล้วก็ร้องเพลงซัมเซอวยพรผู้ชม แล้ว
ทยอยกันกลับเข้าไป
ละคร
เป็นการแสดงลิเกเรื่องราว ที่โต้โผ ซึ่งเป็นผู้เล่าเรื่องกำาหนดขึ้น ก่อนการ
แสดงเพียงเล็กน้อย แล้วเล่าเรื่อง พร้อมทั้งแจกแจงบทบาทด้วยปากเปล่า
ให้ผู้แสดงแต่ละคนฟัง ที่หลังโรง ในขณะกำาลังแต่งหน้า หรือแต่งตัวกันอยู่
โดยจะเริ่มต้นแสดงหลังจากจบออกแขกแล้ว โต้โผจะคอยกำากับอยู่ข้างเวที
จนกว่าเรื่องจะดำาเนินไปด้วยความเรียบร้อย ในกรณีที่เกิดปัญหา เช่น การ
แสดงเชื่องช้า ตลกฝืด ตัวแสดงบาดเจ็บ โต้โผก็จะพลิกแพลงให้เรื่อง
ดำาเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น ผู้แสดงทุกคนต้องรู้บท รู้หน้าที่ และด้น
บทร้องบทเจรจาของตนให้เป็นไปตามแนวเรื่องของโต้โผได้ตลอดเวลา
ลาโรง
เป็นธรรมเนียมการแสดงละครไทยที่มีการบรรเลงปี่พาทย์ลาโรง ผู้แสดง
กราบอำาลาผู้ชม โต้โผกล่าวขอบคุณผู้ชม และเชิญชวนให้ติดตามชมการ
แสดงคณะของตนในโอกาสต่อไป
ลิเกเริ่มการแสดงเป็นละคร ด้วยฉากตัวพระเอก แต่ในระยะหลังๆ นี้ มักเปิด
การแสดง ด้วยฉากตัวโกง เพื่อให้การดำาเนินเรื่องรวบรัด และฉากตัวโกง
ก็อึกทึกครึกโครม ทำาให้ผู้ชมตื่นเต้น และติดตามชมการแสดง การดำาเนิน
เรื่องแบ่งออกเป็นฉากสั้นๆ ติดต่อกันไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งดึกยิ่งใกล้จะจบ
การแสดงก็ยิ่งคึกคัก ตื่นเต้น โลดโผน ตลกโปกฮา จนถึงมีฉากตลกเป็น
ฉากใหญ่ให้ผู้ชม ครื้นเครง แล้วรีบรวบรัดจบเรื่อง ซึ่งบางครั้งก็ไม่จบ
บริบูรณ์ แต่ผู้ชมก็ไม่ติดใจสงสัย
การแสดงในฉากแรกๆ เป็นการเปิดตัวละครสำาคัญในท้องเรื่อง ผู้แสดงจะ
ส่งสัญญาณให้นักดนตรีบรรเลงเพลง สำาหรับรำาออกจากหลังเวที เช่น
เพลงเสมอ หรือเพลงมะลิซ้อน เมื่อรำาถวายมาถึงหน้าตั่งหรือเตียง ที่วางอยู่
กลางเวทีก็นั่งลง หรือทำาท่าถวายมือยกเท้าจะขึ้นไปนั่ง แต่กลับยืนอยู่หน้า
เตียง แล้วร้องเพลงแนะนำาตัวเอง และตัวละครที่สวมบทบาท พร้อมทั้งร้อง
เพลงขอบคุณผู้ชมและออดอ้อนแม่ยก เพลงที่ร้องเป็นเพลงไทยอัตราสอง
ชั้นด้นเนื้อร้องเอาเอง จากนั้นเป็นการร้องเพลงลูกทุ่งยอดนิยมอีก ๑ เพลง
แล้วจึงดำาเนินเรื่องร้องรำา และเจรจา ด้วยการด้นตลอดไปจนจบฉาก เพลง
ที่ใช้ร้องด้นดำาเนินเรื่องเรียกว่า เพลงลิเก ที่มีชื่อว่า เพลงรานิเกลิง หรือ
ราชนิเกลิง เมื่อตัวแสดงหมดบทในการออกมาครั้งแรกแล้ว ก็ลาโรงด้วย
การร้องเพลงแจ้งให้ผู้ชมทราบว่า ตนคิดอะไรและจะเดินทางไปไหน จาก
นั้นปี่พาทย์ทำาเพลงเสมอให้ผู้แสดงรำาออกไป
การแสดงในฉากต่อๆ มา ผู้แสดงมักเดินกรายท่าออกมา ผู้แสดงบนเวที
หรือผู้บรรยายหลังโรงจะแจ้งสถานที่ และสถานการณ์ในท้องเรื่องให้ผู้ชม
ทราบ แล้วจึงดำาเนินเรื่องไปจนจบฉากอย่างรวดเร็ว เมื่อผู้แสดงหมด
บทบาทของตนเองแล้ว ก็จะร้องเพลงด้วยเนื้อความสั้นๆ แล้วกลับออกไป
ด้วยเพลงเชิด ซึ่งใช้สำาหรับการเดินทางที่รวดเร็ว
การแสดงในฉากตลกใหญ่ ซึ่งเป็นฉากสำาคัญที่ผู้ชมชื่นชอบนั้น ผู้แสดงจะ
เวียนกันออกมาแสดงมุขตลกต่างๆ โดยมีตัวตลกตามพระ คือผู้ติดตาม
พระเอก กับตัวโกงเป็นผู้แสดงสำาคัญในฉากนี้ เนื้อหามักเป็นการที่ตัวตลก
ตามพระ หามุขตลกมาลงโทษตัวโกง ทำาให้คนดูสะใจ และพึงพอใจ ที่คน
ไม่ดีได้รับโทษ ตามหลักคำาสอนของศาสนา ที่ว่า ทำาดีได้ดี ทำาชั่วได้ชั่ว
การแสดงในฉากจบ มักเป็นฉากที่ตัวโกงพ่ายแพ้แก่พระเอก ผู้แสดงเกือบ
ทั้งหมดออกมาไล่ล่ากัน ประฝีปาก และฝีมือกัน โดยในตอนสุดท้าย
พระเอกเป็นฝ่ายชนะ ส่วนตัวโกงพ่ายแพ้ และได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องหนี
ไป หรือยอมจำานนอยู่ ณ ที่นั้น การแสดงก็จบลง โดยไม่มีการตายบนเวที
เพราะถือว่า เป็นเรื่องอัปมงคล ผู้แสดงมักทำาท่านิ่ง เพื่อแสดงให้ทราบว่า
การแสดงจบลงแล้ว
ส่วนประกอบที่สำาคัญของการแสดงลิเก
การด้น
ลิเกเป็นการแสดงละครที่อาศัยการด้นเป็นปัจจัยหลัก การด้น หมายถึง การ
ผูกเรื่องที่จะแสดงบทเจรจา และบทร้อง ท่ารำา อุปกรณ์การแสดง ในทันที
ทันใดโดยมิได้เตรียมตัวมาก่อน แต่ทั้งนี้โต้โผ และผู้แสดงมีประสบการณ์ที่
สั่งสมมาก่อนแล้ว ดังนั้น การด้นจึงมักเป็นการนำาเรื่อง คำากลอน กระบวน
รำา ที่อยู่ในความทรงจำากลับมาใช้ในโอกาสที่เหมาะสม น้อยครั้งที่โต้โผ
ต้องด้นเรื่องใหม่ทั้งหมดหรือผู้แสดงต้องด้นกลอนร้องใหม่ทั้งเพลง
การด้นเรื่อง
โต้โผหรือหัวหน้าคณะจะแต่งโครงเรื่องสำาหรับการแสดงครั้งนั้น โดย
พิจารณาจากจำานวนผู้แสดงที่มาร่วมกันแสดง ตลอดจนความชำานาญ
เฉพาะบทของผู้แสดงแต่ละคน เรื่องที่แต่ง ก็นำามาจากเค้าโครงเรื่องเดิมๆ
ที่เคยใช้แสดง แต่ได้ดัดแปลงให้เหมาะกับการแสดงในครั้งนั้นๆ ผู้แสดงมี
จำานวนประมาณ ๗ - ๑๕ คน ทั้งนี้ขึ้นกับว่า ผู้ว่าจ้างต้องการลิเกโรง
เล็ก หรือโรงใหญ่ สำาหรับลิเกโรงเล็กมีผู้แสดงน้อย เนื้อเรื่องจึงมักเน้น
พระเอกนางเอกเพียงคู่เดียว ส่วนลิเกโรงใหญ่มีผู้แสดงมาก จึงมักสร้างตัว
ละคร ตั้งแต่รุ่นพ่อ ต่อมาถึงรุ่นลูก หรือเป็นเรื่องที่มีพระเอกนางเอก ๒ คู่
การด้นบทร้องบทเจรจา
ผู้แสดงจะแต่งบทเจรจา และบทร้องตลอดการแสดงลิเก สำาหรับบทเจรจา
นั้น ผู้แสดงสามารถด้นสดได้ทั้งหมด เพราะเป็นภาษาพูด ที่เข้าใจง่าย ไม่มี
ใจความที่ลึกซึ้ง ส่วนบทร้องมีเพลง และรูปแบบคำากลอนของเพลงไทย
และเพลงราชนิเกลิงกำากับ ประกอบด้วยคำาร้องซึ่งเป็นเนื้อร้องตอนต้นที่มี
หลายคำากลอน และคำาลงซึ่งเป็นเนื้อร้องตอนจบที่มีเพียง ๑คำากลอน การ
ด้นบทร้องมีศิลปะ ๓ ระดับ ระดับสูงคือ ด้นคำำร้อง และคำำลง ขึ้นใหม่หมด
ทั้งเพลง ระดับกลำงคือ ด้นคำำร้อง ให้มำสัมผัสกับกลอนของคำำลง ที่ตนจำำ
มำใช้ ระดับล่ำงคือ ด้นคำำร้องและคำำลงที่ลักจำำมำ หรือจ้ำงคนเขียนให้มำ
ใช้ทั้งเพลง
กำรด้นท่ำรำำ
ลิเกจะเน้นกำรร้องทั้งบทกลอน และนำ้ำเสียง ส่วนกำรรำำเป็นเพียงส่วน
ประกอบ ดังนั้น ผู้แสดงจึงไม่เคร่งครัดในกำรรำำให้ถูกต้อง ทั้งๆ ที่นำำ
แบบแผนมำจำกละครรำำ กำรรำำของลิเก จึงเป็นกำรย่ำงกรำยของแขนและ
ขำ ส่วนกำรใช้มือทำำท่ำทำงประกอบคำำร้องที่เรียกว่ำ รำำตีบทนั้น ตำม
ธรรมเนียมของละครรำำ มีเพียงไม่กี่ท่ำ นอกเหนือจำกนั้น ผู้แสดงจะรำำ
กรีดกรำยไปตำมที่เห็นงำม กำรด้นท่ำรำำอีกลักษณะหนึ่งเป็นกำรรำำแสดง
ควำมสำมำรถเฉพำะตัวของผู้แสดงบำงคนในท่ำรำำชุดที่กรมศิลปำกรได้
สร้ำงสรรค์เป็นมำตรฐำนเอำไว้แล้ว แต่ผู้แสดงลิเกลักจำำมำได้ไม่หมด ก็ด้น
ท่ำรำำของดั้งเดิมให้เต็มเพลง
กำรด้นทำำอุปกรณ์กำรแสดง
กำรแสดงลิเกมีกำรสมมติในท้องเรื่องมำกมำย และไม่มีกำรเตรียมอุปกรณ์
กำรแสดงไว้ให้ดูสมจริง นอกจำกดำบ ดังนั้น ผู้แสดงจำำเป็นต้องหำวัสดุ
ใกล้มือขณะนั้น มำทำำเป็นอุปกรณ์ที่ตนต้องกำรใช้ เช่น เอำผ้ำขนหนูมำ
ม้วนเป็นตุ๊กตำแทนทำรก เอำผ้ำขำวม้ำมำคลุมตัวเป็นผี เอำดำบผูกกับฝำ
หม้อข้ำวเป็นพัดวิเศษ เอำผ้ำขำวม้ำผูกเป็นหัวปล่อยชำย แล้วขี่คร่อมเป็น
ม้ำวิเศษ กำรคิดทำำอุปกรณ์กำรแสดงอย่ำงกะทันหันเช่นนี้มุ่งให้ควำม
ขบขันเป็นสำำคัญ และผู้ชมก็ชอบมำก
กำรร้องกำรเจรจำ
กำรร้อง และกำรเจรจำของลิเก มีลักษณะเฉพำะ ผู้แสดงจะเปล่งเสียงร้อง
และเสียงเจรจำเต็มที่ แม้จะมีไมโครโฟนช่วย จึงทำำให้เสียงร้อง และเจรจำ
ค่อนข้ำงแหลม นอกจำกนั้นยังเน้นเสียง ที่ขึ้นนำสิกคือ มีกระแสเสียง
กระทบโพรงจมูก เพื่อให้มีเสียงหวำน กำรร้องเพลงสองชั้น และเพลงรำชนิ
เกลิงนั้น ผู้แสดงให้ควำมสำำคัญที่กำรเอื้อนและลูกคอมำก ในกำรร้องเพลง
สองชั้น ผู้แสดงร้องคำำหนึ่ง ปี่พำทย์บรรเลงรับท่อนหนึ่ง เพื่อให้ผู้แสดงพัก
เสียงและคิดกลอน ส่วนกำรเจรจำนั้น ผู้แสดงพูดลำกเสียงหรือเน้นคำำ
มำกกว่ำกำรพูดธรรมดำ เพื่อให้ได้ยินชัดเจน อนึ่ง คำำที่สะกดด้วย “น” ผู้
แสดงลิเกจะออกเสียงเป็น “ล” นับเป็นลักษณะของลิเกอีกอย่ำงหนึ่ง
นอกจำกนี้ ลิเกนิยมแสดงเรื่องจักรๆ วงศ์ๆ ที่มีกษัตริย์เป็นตัวเอก แต่ผู้
แสดงมักใช้คำำรำชำศัพท์ที่ไม่ถูกต้อง ด้วยสำเหตุ ๒ ประกำรคือ ควำมไม่รู้
และควำมตั้งใจให้ตลกขบขัน
กำรรำำ
กำรแสดงลิเกใช้กระบวนรำำ และท่ำรำำตำมแบบแผนนำฏศิลป์ไทย โดยแบ่ง
เป็น ๓ ประเภทคือ รำำเพลง รำำใช้บท หรือรำำตีบท และรำำชุด
รำำเพลง
คือ กำรรำำในเพลงที่มีกำำหนดท่ำรำำไว้ชัดเจน เช่น เพลงช้ำ - เพลงเร็ว
เพลงเสมอ ผู้แสดงพยำยำมรำำเพลงเหล่ำนี้ ให้มีท่ำรำำ และกระบวนรำำ ใกล้
เคียงกับแบบฉบับมำตรฐำนให้มำกที่สุด
รำำใช้บทหรือรำำตีบท
คือ กำรรำำทำำท่ำประกอบคำำร้อง และคำำเจรจำ เป็นท่ำที่นำำมำจำกละครรำำ
และเป็นท่ำง่ำยๆ มีประมำณ ๑๓ ท่ำ คือ ท่ำรัก ท่ำโศก ท่ำโอด ท่ำชี้ ท่ำ
ฟำดนิ้ว ท่ำมำ ท่ำไป ท่ำตำย ท่ำคู่ครอง ท่ำช่วยเหลือ ท่ำเคือง ท่ำโกรธ
และท่ำป้อง ซึ่งเป็นท่ำให้สัญญำณปี่พำทย์หยุดบรรเลง
รำำชุด คือ
กำรรำำที่ผู้แสดงลิเกลักจำำมำจำกท่ำรำำชุดต่ำงๆ ของกรมศิลปำกร เช่น มโน
ห์รำบูชำยัญ ซัดชำตรี และพลำยชุมพล แต่ผู้แสดงจำำได้ไม่หมด จึงแต่ง
เติมจนกลำยไปจำกเดิมมำก ท่ำรำำบำงชุดเป็นท่ำรำำที่ลิเกคิดขึ้นเองมำแต่
เดิม เช่น พม่ำรำำขวำน และขี่ม้ำรำำทวน จึงมีท่ำรำำต่ำงไปจำกของกรม
ศิลปำกรโดยสิ้นเชิง กำรรำำของลิเกต่ำงกับละคร กล่ำวคือ ละครรำำเป็นท่ำ
แต่ลิเกรำำเป็นที ซึ่งหมำยควำมว่ำ กำรรำำละครนั้น ผู้รำำจะรำำเต็มตั้งแต่ท่ำ
เริ่มต้นจนจบกระบวนท่ำโดยสมบูรณ์ แต่กำรรำำลิเกนั้น ผู้แสดงจะรำำเลียน
แบบท่ำของละคร แต่ไม่รำำเต็มกระบวนรำำมำตรฐำน เช่น ตัดทอนหรือลด
ท่ำรำำบำงท่ำ รำำให้เร็วขึ้น ลดควำมกรีดกรำย ในขณะเดียวกันผู้แสดงลิเก
ตัวพระนิยมยกขำสูง และย่อเข่ำตำ่ำกว่ำท่ำของละครรำำ อีกทั้งนิยมเอียงลำำ
ตัว และเอนไหล่ให้ดูอ่อนช้อยกว่ำละคร
ผู้แสดงลิเกแบ่งหน้ำที่ตำมเพศ รูปร่ำง และควำมชำำนำญออกเป็น พระเอก
พระรอง นำงเอก นำงรอง ตัวโกง ตัวตลก และนำงอิจฉำ
คณะลิเกเป็นกำรรวมตัวเฉพำะงำน โต้โผ หรือหัวหน้ำคณะจ้ำงผู้แสดง
อิสระ ที่ต่ำงมีเครื่องแต่งกำยของตนเอง มำร่วมกันแสดงเป็นครำวๆ ไป ผู้
ชมลิเกส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มที่มีสถำนภำพทำงสังคม เศรษฐกิจ และกำรศึกษำ
น้อย และมักเป็นสตรีวัยกลำงคน กำรให้รำงวัลแก่ผู้แสดงลิเกคือ กำรมอบ
พวงมำลัยคล้องคอประดับธนบัตร สำำหรับผู้ชมสตรีจำำนวนหนึ่งที่มีควำม
นิยมผู้แสดงชำยบำงคนเป็นพิเศษ โดยติดตำมไปชมกำรแสดงเป็นประจำำ
และให้รำงวัลเป็นเงินทองจำำนวนมำกอยู่เสมอ ผู้ชมกลุ่มนี้เรียกว่ำ แม่ยก
คือ แม่ที่ลิเกยกย่อง
กำรแต่งกำย
เครื่องแต่งกำยของลิเกมีลักษณะเฉพำะ ซึ่งต่ำงไปจำกละครรำำ เครื่องแต่ง
กำยของผู้แสดงชำยมีแบบแผนที่ชัดเจนกว่ำผู้แสดงหญิง เครื่องแต่งกำย
ของลิเกแบ่งได้เป็น ๓ ประเภท คือ ชุดลิเกทรงเครื่อง ชุดลิเกลูกบท และชุด
ลิเกเพชร
ชุดลิเกทรงเครื่อง
เป็นรูปแบบกำรแต่งกำยของลิเกแบบเดิม เมื่อเริ่มมีลิเกในสมัยรัชกำลที่ ๕
โดยเลียนแบบกำรแต่งกำยของข้ำรำชสำำนักในยุคนั้น และมีกำรปรับปรุง
เปลี่ยนแปลงต่อมำบ้ำง จนถึงก่อนสงครำมโลกครั้งที่ ๒ เมื่อวัสดุที่ใช้สร้ำง
เครื่องแต่งกำยลิเกที่ต้องนำำเข้ำมำจำกต่ำงประเทศขำดแคลน ชุดลิเกทรง
เครื่องก็หมดไป คงเหลือให้เห็นเฉพำะในกำรแสดงสำธิตเท่ำนั้น
ชุดลิเกลูกบท
เป็นชุดเครื่องแต่งกำยลำำลองของคนไทยในสมัยก่อนสงครำมโลกครั้งที่ ๒
นิยมแต่งในกำรแสดงเพลงพื้นบ้ำน เมื่อวัสดุที่ใช้สร้ำงชุดลิเกทรงเครื่อง
ขำดแคลน ผู้แสดงจึงหันมำแต่งกำยแบบลำำลองที่เรียกว่ำ ชุดลิเกลูกบท
ชุดลิเกเพชร
เป็นชุดที่เกิดขึ้นหลังสงครำมโลกครั้งที่ ๒ โดยกำรนำำเพชรซีก และแถบ
เพชร มำประดับเครื่องแต่งกำยชุดลิเกลูกบท สวมเสื้อกั๊กทับเสื้อตัวเดิมให้
ดูหรูหรำขึ้น จำกนั้นก็เพิ่มควำมวิจิตรขึ้น จนกลำยเป็นเครื่องเพชรแทบทั้ง
ชุด สำำหรับชุดของผู้แสดงหญิงมีแบบหลำกหลำย แต่ไม่ประดับเพชรมำก
เท่ำชุดของผู้แสดงชำย
เครื่องแต่งกำยลิเกชำยเป็นแบบคล้ำยคลึงกัน ประกอบด้วยเสื้อคอกว้ำง
แขนสั้น หรือยำวแนบตัว ปักเพชร สนับเพลำ หรือกำงเกงรัดขำยำวครึ่ง
น่องเชิงปักเพชร ผ้ำนุ่งสำำเร็จรูปปักเพชรสวมทับกำงเกง ถุงน่องสีขำว
เครื่องประดับทำำด้วยเพชรเทียม ประกอบด้วยเกี้ยว ปิ่น สังเวียน ขนนก
ต่ำงหู สร้อยคอ เข็มขัด กำำไลมือ กำำไลเท้ำ แหวน เครื่องแต่งกำยลิเกหญิง
มีหลำกหลำยรูปแบบ ทั้งแบบไทยประเพณี และแบบสำกล ที่เป็นชุดรำตรี
ยำวปักเพชร เครื่องประดับทำำด้วยเพชรเทียม มักประกอบด้วยมงกุฎ สร้อย
คอ ตุ้มหู สังวำล กำำไลมือ เครื่องแต่งกำยลิเกมักมีสีสันสดใส ใช้แป้งฝุ่นสี
ขำวผัดหน้ำ และลำำตัวให้ดูผ่อง แต่งหน้ำทำปำกสีฉูดฉำด เขียนคิ้วเข้ม ติด
ขนตำปลอมยำว
เวที
เวทีลิเกมี ๒ แบบ คือ เวทีลิเกแบบเดิม และเวทีลิเกลอยฟ้ำ
เวทีลิเก หรือโรงลิเก เป็นเวทีชั่วครำวยกพื้นมีหลังคำ แบ่งพื้นที่เป็น ๓ ส่วน
คือ เวทีแสดง เวทีดนตรี และหลังเวที สำำหรับผู้แสดงพักผ่อน เวทีแสดงมี
ระบำยแขวนเป็นกรอบเวที โดยมีชื่อคณะ และสถำนที่ติดต่ออย่ำงชัดเจน
กำรจัดพื้นที่ของเวทีลิเกในปัจจุบันมี ๒ แบบ แบบเดิมมีเวทีดนตรีอยู่ถัดเวที
แสดงไปทำงขวำของผู้แสดง แบบใหม่มีเวทีดนตรีเป็นยกพื้นอยู่ด้ำนหลัง
เวทีแสดง ฉำกลิเกมี ๒ แบบ คือ ฉำกเดี่ยว ทำำด้วยผ้ำใบเขียนเป็นรูปท้อง
พระโรง พร้อมหลืบผ้ำใบเขียนสีอีก ๑ คู่ กับผ้ำระบำยด้ำนบนเขียนชื่อ
คณะ และฉำกชุด ทำำด้วยผ้ำใบเขียนสีเป็นสถำนที่ต่ำงๆ ตำมท้องเรื่อง เช่น
ท้องพระโรง ห้องรับแขก ป่ำ ถำ้ำ นำ้ำตก แต่ละฉำกม้วนเก็บไว้เหนือเวที
แสดง อุปกรณ์ฉำกเป็นตั่งหรือเตียงไม้ ขนำดพอนั่งแสดงได้ ๓ คน มีตั่ง
เพียงตัวเดียว ก็ใช้ได้อเนกประสงค์
เวทีลิเกแบบเดิม
เป็นเวทีติดดินหรือยกพื้นเล็กน้อย ทำำด้วยไม้ มีหลังคำที่เป็นทรงหมำแหงน
แบ่งพื้นที่เป็น ๓ ส่วนคือ เวทีแสดง หลังเวทีซึ่งใช้สำำหรับเตรียมตัวก่อน
ออกแสดง หรือพักผ่อน และเวทีดนตรี เวทีลิเกมีขนำดมำตรฐำนคือ กว้ำง
๖ เมตร ลึก ๖ - ๘ เมตร มีฉำกผ้ำกั้นกลำงสูง ๓.๕ เมตร หน้ำฉำกเป็นเวที
แสดง หลังฉำกเป็นหลังเวที ถัดจำกเวทีแสดงไปทำงขวำมือของผู้แสดง
เป็นเวทีดนตรี สูงเสมอกัน ขนำดกว้ำง ๓ เมตร ลึก ๔ เมตร บนเวทีแสดงมี
ตั่งอเนกประสงค์ตั้งกลำงประชิดกับฉำก
เวทีลิเกลอยฟ้ำ
เป็นเวทีที่พัฒนำขึ้นประมำณ พ.ศ. ๒๕๒๕ โดยขยำยควำมกว้ำงของเวที
แสดงออกไปเป็น ๑๐ - ๑๒ เมตร ลึก ๔ - ๕ เมตร สูง ๑ เมตร เวทีดนตรีอยู่
ตรงกลำงระหว่ำงเวทีแสดงกับหลังเวที ยกสูงจำกพื้นเวทีแสดง ๑.๕๐ -
๒.๐๐ เมตร ลึกประมำณ ๒.๕ เมตร มีฉำกไม้อัดเขียนลำยอยู่ด้ำนหลังวง
ดนตรี หลังเวทีกว้ำง ๑๒ เมตร ลึก ๔ - ๕ เมตร ไม่มีหลังคำ หน้ำเวทีแสดง
มีเสำแขวนป้ำยผ้ำบอกชื่อคณะลิเก ยำวตลอดหน้ำกว้ำงของเวที สองข้ำง
เวทีมีหลืบไม้อัด สำำหรับบังผู้แสดงเข้ำออก ตรงกลำงเวทีแสดงตั้งตั่ง
อเนกประสงค์
ฉำก
ฉำกลิเกเป็นฉำกผ้ำใบเขียนเป็นภำพต่ำงๆ ด้วยสีที่ฉูดฉำด ฉำกลิเกแบ่ง
เป็น ๓ ประเภท คือ ฉำกชุดเดี่ยว ฉำกชุดใหญ่ และฉำกสำมมิติ
ฉำกชุดเดี่ยว
คือ มีฉำกผ้ำใบ ๑ ชั้น เป็นฉำกหลัง เขียนภำพท้องพระโรงขนำด ๓.๕ x
๕ เมตร และ/หรือผ้ำใบ ๒ ผืน อยู่ทำงด้ำนซ้ำย - ขวำของเวที เขียนเป็น
ภำพประตูสมมติให้เป็นทำงเข้ำ - ออกของผู้แสดง และมีระบำยผ้ำเขียนชื่อ
คณะลิเกอีก ๑ ผืน ฉำกชุดเดี่ยวนี้เป็นฉำกมำตรฐำนของลิเก ที่จัดแสดง
เพียงคืนเดียว
ฉำกชุดใหญ่
คือ ฉำกผ้ำใบเช่นเดียวกับฉำกชุดเดี่ยว แต่ฉำกหลังมีหลำยผืน เขียนเป็น
ภำพแสดงสถำนที่ต่ำงๆ ที่กำรแสดงลิเกมักใช้ดำำเนินเรื่อง เช่น ฉำกท้อง
พระโรงแทนเมือง ฉำกป่ำ ฉำกอุทยำน ฉำกกระท่อม ฉำกแต่ละผืนจะม้วน
กับแกนไม้ไผ่ แขวนซ้อนกันอยู่เหนือเวที หลังตั่งอเนกประสงค์ โดยจะคลี่
ออกมำใช้ หรือม้วนเก็บขึ้นไป เมื่อเปลี่ยนฉำก ฉำกชุดใหญ่จะมีสีสัน ถ้ำ
เจ้ำภำพต้องกำรเป็นพิเศษ หรือมีกำรแสดงติดต่อกันหลำยเดือน
ฉำกสำมมิติ
คือ ฉำกผ้ำใบที่เขียนให้ดูคล้ำยจริง เช่น ฉำกป่ำจะมีฉำกหลังเขียนเป็น
ทิวทัศน์ของป่ำจริงๆ และมีผ้ำใบเขียนเป็นต้นไม้เถำวัลย์ ฯลฯ ตัดเจำะ
เฉพำะลำำต้นและใบ แขวนห้อยสลับซับซ้อนกัน มีแสงสีสำดส่องเห็นฉำกลึก
เป็นสำมมิติ ฉำกสำมมิติจะมีหลำยฉำกเพื่อให้เหมำะแก่กำรแสดงลิเก
ประเภทปิดวิก ซึ่งเก็บค่ำเข้ำชมกำรแสดง โดยแสดงเรื่องหนึ่งติดต่อกัน
หลายคืนจนจบ และต้องแสดงความงดงามสมจริงของฉากเพื่อให้ผู้ชม
ติดใจกลับมาชมอีก
ดนตรี
ดนตรีสำาหรับการแสดงลิเก บรรเลงด้วยวงปี่พาทย์ ๒ แบบ คือ วงปี่พาทย์
ไทย และวงปี่พาทย์มอญ เพลงที่ใช้บรรเลงเป็นเพลงในอัตราสองชั้น ที่ใช้
กับละครรำาของไทย กับเพลงลูกทุ่งยอดนิยม ที่ผู้แสดงลิเกนำามาร้อง เพื่อ
เรียกความสนใจจากผู้ชม
วงปี่พาทย์ไทย และวงปี่พาทย์มอญ มีเครื่องดนตรีคล้ายคลึงกัน ต่างกันที่
ตะโพนกับฆ้องวง ตะโพนมอญมีขนาดใหญ่กว่าตะโพนไทย ฆ้องวงมอญ
วางตั้งฉากกับพื้น ส่วนฆ้องวงไทยวางราบกับพื้น เครื่องดนตรีที่สำาคัญ
ได้แก่ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ปี่ใน ปี่นอก ปี่มอญ ปี่
ชวา ขลุ่ย ฉิ่ง ฉาบเล็ก ฉาบใหญ่ กลองทัด ตะโพนไทย ตะโพนมอญ และ
เปิงมางคอก เครื่องดนตรีดังกล่าวของปี่พาทย์แต่ละวงมีจำานวนต่างกัน
เครื่องดนตรีที่สำาคัญและจะขาดไม่ได้คือ ระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ตะโพน
มอญ ตะโพนไทย และฉิ่ง
องค์ประกอบอื่นๆ ที่สำาคัญ
การผสมโรง
หมายถึง การที่ผู้แสดงลิเกมารวมตัวกันเป็นคณะ เพื่อทำาการแสดงครั้งหนึ่ง
เดิมคณะลิเกเป็นการรวมตัวที่ค่อนข้างถาวร มีหัวหน้าคณะ หรือโต้โผ และ
มีลูกโรงคือ ผู้แสดง กินอยู่ด้วยกัน และแสดงเป็นระยะเวลานานๆ โดยที่ผู้
แสดงเหล่านั้น มักเป็นญาติพี่น้องกัน และอาจมีผู้แสดงที่ไม่ใช่เครือญาติกัน
มาร่วมแสดงเป็นครั้งคราว ปัจจุบัน คำาว่า คณะลิเก หมายถึง บุคคลกลุ่มเล็ก
ที่ประกอบด้วยโต้โผ ทำาหน้าที่หาหรือรับงานมาจัดแสดง โดยมีภรรยาและ
ลูกหลานอีก ๒ - ๓ คน เป็นแกนนำาในการแสดง จากนั้นก็เรียกผู้แสดงที่
เคยร่วมงานกันมาผสมโรงให้มีจำานวนพอที่จะแสดงในครั้งนี้ได้ ผู้แสดงทุก
คนมีเครื่องแต่งกายและเครื่องแต่งหน้าของตัวเอง ในส่วนของวงดนตรีก็
เช่นเดียวกัน เมื่อได้รับการว่าจ้างจากโต้โผลิเกแล้ว โต้โผวงปี่พาทย์ก็ไป
เรียกนักดนตรีที่เคยเล่นประจำาวงมาร่วมกันบรรเลง เมื่องานแสดงลิเกครั้ง
นั้นเสร็จสิ้นลงแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปรองานหรือหางานใหม่ ถ้าโต้โผที่
เคยร่วมงานกันจองตัวไว้ก็จะให้โอกาสก่อน การผสมโรงเช่นนี้ทุกคนต้อง
รับผิดชอบตนเอง ความรุ่งเรืองหรือความเสื่อมเป็นเรื่องเฉพาะตน การที่ผู้
แสดงทุกคนต้องรับผิดชอบงานและชีวิตของตนเองย่อมส่งผลดีให้แก่
วงการลิเกในภาพรวม ลิเกจึงดำารงอยู่ได้ตลอดมา
ผู้ชม
ผู้ชมลิเกส่วนใหญ่เป็นสตรีวัยกลางคนขึ้นไป กลุ่มรองลงมาคือ เด็ก ส่วนวัย
รุ่น และหนุ่มสาว มีน้อย ผู้ชมสนใจความสวยงามของผู้แสดง และเครื่อง
แต่งกาย รวมทั้งคำากลอน การแสดงบทบาทในอารมณ์ต่างๆ และบทตลก ผู้
ชมลิเกครั้งหนึ่งๆมีประมาณ ๓๕๐ - ๕๐๐ คน พวกที่ตั้งใจมาชม จะให้เด็ก
นำาเสื่อ หรือหนังสือพิมพ์มาปูจอง ที่นั่งด้านหน้า ขณะที่ลิเกกำาลังแสดง ถ้าผู้
ชมเกิดความพอใจผู้แสดงคนใด ซึ่งโดยมากจะเป็นตัวพระเอก ก็จะลุกขึ้น
มาที่หน้าเวทีแล้วมอบเงินรางวัล หรือคล้องพวงมาลัย ประดับธนบัตรเป็น
รางวัล ผู้แสดงจะมารับรางวัล ในช่วงที่ปี่พาทย์บรรเลงรับการร้องเพลง
เงินรางวัลที่ได้รับจะเป็นของผู้แสดงคนนั้นโดยเฉพาะ
แม่ยก
เป็นผู้ชมผู้หญิงที่ติดตามชม และสนับสนุนเงินรางวัลแก่ผู้แสดงชาย หรือ
พระเอกลิเกคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ คำาว่า “แม่ยก” มาจากคำาที่ผู้แสดง
เรียกผู้ชมกลุ่มนี้ว่า “แม่”ด้วยความ “ยกย่อง” เงินรางวัลจากแม่ยก เป็น
รายได้ที่สำาคัญอย่างยิ่ง สำาหรับพระเอกลิเก อีกทั้งเป็นปัจจัยสำาคัญ ที่ทำาให้
ลิเกยังคงอยู่ และเป็นสิ่งดึงดูดใจเยาวชนให้สนใจ ที่จะเข้ามาสืบทอดการ
แสดงลิเกให้คงอยู่ต่อไป
สถานภาพของผู้แสดง
ผู้แสดงลิเก มี ๒ กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเป็นลูกหลานของลิเก ที่สืบทอดอาชีพกันมา
อีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้แสดง ที่มาจากครอบครัวเกษตรกรผู้ยากจน ที่ไม่
ต้องการทนความยากลำาบากในการทำานาทำาไร่ หรือชอบร้องรำาทำาเพลง ก็
มาขออาศัยอยู่กับโต้โผลิเก และฝึกหัดไปแสดงไปพร้อมกัน ประมาณ ๒ -
๓ ปี ก็สามารถออกโรงแสดงได้เต็มตัว ผู้แสดงลิเกส่วนใหญ่ จบการศึกษา
ภาคบังคับระดับประถมศึกษา มีบางคนจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา
ปวช. ปวส. และอุดมศึกษา บางคนจบการศึกษาจากวิทยาลัยนาฏศิลป ผู้
แสดงส่วนใหญ่มีรายได้พอเลี้ยงตน เมื่อรายได้ลดลงเพราะมีนักแสดงรุ่น
ใหม่เข้ามาแทนที่ หรือเมื่อมีอายุมากขึ้นก็เลิกแสดงลิเก และหันไปประกอบ
อาชีพอื่น ผู้แสดงที่มีฐานะดี ซึ่งมีจำานวนไม่มาก เมื่อมีอายุมากขึ้น ก็จะ
เปลี่ยนสถานภาพไปเป็นโต้โผตั้งคณะลิเกของ ตนเอง ปัจจุบัน ผู้แสดงลิเก
มีสถานภาพทางสังคมดีขึ้นกว่าแต่ก่อน สังคมยอมรับ และมีบางคนได้รับ
การยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ
การประยุกต์เพื่อการสื่อสาร
ลิเกเป็นละครพื้นบ้าน ที่เป็นที่นิยมกันในบริเวณภาคกลางของประเทศ ที่
พูดภาษาไทยกลาง ซึ่งเป็นภาษาที่ลิเกใช้แสดง แต่ลิเกก็เป็นที่นิยมในภูมิ
ภาคอื่นๆ อยู่บ้าง การแสดงลิเกมีผลต่อการชม การฟัง และการกระตุ้นการ
รับข่าวสารของผู้ชม ดังนั้น ลิเกจึงเป็นสื่อสำาคัญที่ทั้งภาครัฐและเอกชนนำา
มาใช้เพื่อช่วยส่งข่าวสารไปสู่ผู้ชม เช่น การต่อต้านลัทธิบางอย่างที่เป็น
อันตรายต่อความมั่นคงของชาติ การป้องกันและการรักษาสุขภาพอนามัย
และโภชนาการ การเสริมสร้างลัทธิชาตินิยมและทำานุบำารุงศิลปวัฒนธรรม
ซึ่งนับว่าได้ผลดี
บรรณานุกรม
ครูพร (วัชรีพร ลีลานันทกิจ)
บ้านรำาไทย ดอท คอม http://www.banramthai.com/
บ้านรำาไทย 40 ซอยช่างอากาศอุทิศ 5 ถนนช่างอากาศอุทิศ
แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทร : 08-
4147-6061 , 08-6068-5523 แฟ็กซ์ : 02-929-5911
อีเมล : banramthai@hotmail.com , banramthai@gmail
.com
นายสุรพล วิรุฬห์รักษ์
สถ.บ. (เกียรตินิยม) คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
M. Architecture และ M.A. (Drama and Theatre) University of
Washington, U.S.A.
Ph.D. (Drama and Theatre) University of Hawaii, U.S.A.
ศาสตราจารย์ประจำาภาควิชาวาทวิทยาและสื่อสารการแสดง คณะ
นิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ประธานคณะกรรมการหลักสูตรศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิต (สาขานาฏยศิลป์
ไทย) คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผู้อำานวยการหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการจัดการทาง
วัฒนธรรม บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สารานุกรมไทยสำาหรับเยาวชนฯ เล่ม ๒๗เรื่องที่ ๑ ลิเก
http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?
book=27&chap=1&page=t27-1-suggestion.html
http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?
book=27&chap=1&page=t27-1-detail.html
http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?
book=27&chap=1&page=t27-1-infodetail01.html
http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?
book=27&chap=1&page=t27-1-infodetail02.html
http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?
book=27&chap=1&page=t27-1-infodetail03.html
http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?
book=27&chap=1&page=t27-1-infodetail04.html
http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?
book=27&chap=1&page=t27-1-infodetail05.html
โครงการสารานุกรมไทยสำาหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ใน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
โครงการสารานุกรมไทยฯ สนามเสือป่า ถนนศรีอยุธยา เขตดุสิต
กรุงเทพฯ 10300
โทรศัพท์ 0-2280-6502, 0-2280-6507, 0-2280-6515, 0-2280-
6538, 0-2280-6541 โทรสาร 0-2280-6580, 0-2280-6589
พิมพ์ขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๔๖

More Related Content

Viewers also liked

บรรณานุกรม
บรรณานุกรมบรรณานุกรม
บรรณานุกรม
Pongsri Limkhom
 

Viewers also liked (6)

รายงานหน่วยที่๖ ดนตรีกับการแสดงนาฏศิลป์
รายงานหน่วยที่๖ ดนตรีกับการแสดงนาฏศิลป์รายงานหน่วยที่๖ ดนตรีกับการแสดงนาฏศิลป์
รายงานหน่วยที่๖ ดนตรีกับการแสดงนาฏศิลป์
 
เอกสารประกอบการเรียน วิชานาฏศิลป์ เรื่องวิวัฒนาการนาฏศิลป์ไทยตั้งแต่อดีตฯ
เอกสารประกอบการเรียน วิชานาฏศิลป์  เรื่องวิวัฒนาการนาฏศิลป์ไทยตั้งแต่อดีตฯเอกสารประกอบการเรียน วิชานาฏศิลป์  เรื่องวิวัฒนาการนาฏศิลป์ไทยตั้งแต่อดีตฯ
เอกสารประกอบการเรียน วิชานาฏศิลป์ เรื่องวิวัฒนาการนาฏศิลป์ไทยตั้งแต่อดีตฯ
 
บรรณานุกรม ดนตรี นาฎศิลป์
บรรณานุกรม  ดนตรี นาฎศิลป์บรรณานุกรม  ดนตรี นาฎศิลป์
บรรณานุกรม ดนตรี นาฎศิลป์
 
บรรณานุกรม
บรรณานุกรมบรรณานุกรม
บรรณานุกรม
 
บรรณานุกรม
บรรณานุกรมบรรณานุกรม
บรรณานุกรม
 
เอกสารประกอบการเรียน เรื่องนาฏยศัพท์ ม-4 รวบรวมโดย ครูเย็นจิตร บุญศรี
เอกสารประกอบการเรียน เรื่องนาฏยศัพท์  ม-4 รวบรวมโดย ครูเย็นจิตร  บุญศรีเอกสารประกอบการเรียน เรื่องนาฏยศัพท์  ม-4 รวบรวมโดย ครูเย็นจิตร  บุญศรี
เอกสารประกอบการเรียน เรื่องนาฏยศัพท์ ม-4 รวบรวมโดย ครูเย็นจิตร บุญศรี
 

Similar to ลิเก (15)

ลิเก.doc
ลิเก.docลิเก.doc
ลิเก.doc
 
ละครรำ.docx
ละครรำ.docxละครรำ.docx
ละครรำ.docx
 
อภัย
อภัยอภัย
อภัย
 
Khone
KhoneKhone
Khone
 
Khone
KhoneKhone
Khone
 
Khone
KhoneKhone
Khone
 
Khone
KhoneKhone
Khone
 
Khone
KhoneKhone
Khone
 
ศิลปินในดวงใจ
ศิลปินในดวงใจศิลปินในดวงใจ
ศิลปินในดวงใจ
 
ประเภทของนาฏศิลป์
ประเภทของนาฏศิลป์ประเภทของนาฏศิลป์
ประเภทของนาฏศิลป์
 
หมอลำ
หมอลำหมอลำ
หมอลำ
 
ละคร
ละครละคร
ละคร
 
รำวงมาตรฐาน
รำวงมาตรฐานรำวงมาตรฐาน
รำวงมาตรฐาน
 
ละครพันทาง.doc
ละครพันทาง.docละครพันทาง.doc
ละครพันทาง.doc
 
ละครชาตรี.docx
ละครชาตรี.docxละครชาตรี.docx
ละครชาตรี.docx
 

More from leemeanxun

ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากลใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากล
leemeanxun
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากลใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากล
leemeanxun
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 9 เรื่อง จังหวะและเครื่องหมายกำหนดจังหวะ
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 9 เรื่อง จังหวะและเครื่องหมายกำหนดจังหวะใบความรู้ที่ 1 บทที่ 9 เรื่อง จังหวะและเครื่องหมายกำหนดจังหวะ
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 9 เรื่อง จังหวะและเครื่องหมายกำหนดจังหวะ
leemeanxun
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 9 เรื่อง จังหวะและเครื่องหมายกำหนดจังหวะ
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 9 เรื่อง จังหวะและเครื่องหมายกำหนดจังหวะใบความรู้ที่ 1 บทที่ 9 เรื่อง จังหวะและเครื่องหมายกำหนดจังหวะ
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 9 เรื่อง จังหวะและเครื่องหมายกำหนดจังหวะ
leemeanxun
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 5 เรื่อง ประเภทของเครื่องดนตรีสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 5 เรื่อง ประเภทของเครื่องดนตรีสากลใบความรู้ที่ 1 บทที่ 5 เรื่อง ประเภทของเครื่องดนตรีสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 5 เรื่อง ประเภทของเครื่องดนตรีสากล
leemeanxun
 

More from leemeanxun (20)

Tcdc ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ
Tcdc ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบTcdc ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ
Tcdc ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ
 
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขต บางเขน
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขต บางเขนห้องสมุดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขต บางเขน
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขต บางเขน
 
การจัดการความรู้ ห้องสมุด นิด้า สำนักบรรณสารการพัฒนา
การจัดการความรู้ ห้องสมุด นิด้า สำนักบรรณสารการพัฒนาการจัดการความรู้ ห้องสมุด นิด้า สำนักบรรณสารการพัฒนา
การจัดการความรู้ ห้องสมุด นิด้า สำนักบรรณสารการพัฒนา
 
สำนักบรรณสาร มสธ
สำนักบรรณสาร มสธสำนักบรรณสาร มสธ
สำนักบรรณสาร มสธ
 
กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย
กรมที่ดิน  กระทรวงมหาดไทยกรมที่ดิน  กระทรวงมหาดไทย
กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย
 
หอเกียรติยศ
หอเกียรติยศหอเกียรติยศ
หอเกียรติยศ
 
ราชสดุดีคีตมหาราชา
ราชสดุดีคีตมหาราชาราชสดุดีคีตมหาราชา
ราชสดุดีคีตมหาราชา
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากลใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากล
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากลใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากล
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 9 เรื่อง จังหวะและเครื่องหมายกำหนดจังหวะ
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 9 เรื่อง จังหวะและเครื่องหมายกำหนดจังหวะใบความรู้ที่ 1 บทที่ 9 เรื่อง จังหวะและเครื่องหมายกำหนดจังหวะ
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 9 เรื่อง จังหวะและเครื่องหมายกำหนดจังหวะ
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 9 เรื่อง จังหวะและเครื่องหมายกำหนดจังหวะ
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 9 เรื่อง จังหวะและเครื่องหมายกำหนดจังหวะใบความรู้ที่ 1 บทที่ 9 เรื่อง จังหวะและเครื่องหมายกำหนดจังหวะ
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 9 เรื่อง จังหวะและเครื่องหมายกำหนดจังหวะ
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 8 เรื่อง กุญแจประจำหลัก
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 8 เรื่อง กุญแจประจำหลักใบความรู้ที่ 1 บทที่ 8 เรื่อง กุญแจประจำหลัก
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 8 เรื่อง กุญแจประจำหลัก
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 8 เรื่อง กุญแจประจำหลัก
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 8 เรื่อง กุญแจประจำหลักใบความรู้ที่ 1 บทที่ 8 เรื่อง กุญแจประจำหลัก
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 8 เรื่อง กุญแจประจำหลัก
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 7 เรื่อง โน้ตสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 7 เรื่อง โน้ตสากลใบความรู้ที่ 1 บทที่ 7 เรื่อง โน้ตสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 7 เรื่อง โน้ตสากล
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 5 เรื่อง ประเภทของเครื่องดนตรีสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 5 เรื่อง ประเภทของเครื่องดนตรีสากลใบความรู้ที่ 1 บทที่ 5 เรื่อง ประเภทของเครื่องดนตรีสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 5 เรื่อง ประเภทของเครื่องดนตรีสากล
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 4 เรื่อง ประเภทของวงดนตรีสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 4 เรื่อง ประเภทของวงดนตรีสากลใบความรู้ที่ 1 บทที่ 4 เรื่อง ประเภทของวงดนตรีสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 4 เรื่อง ประเภทของวงดนตรีสากล
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 3 เรื่อง ลักษณะของวงดนตรีสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 3 เรื่อง ลักษณะของวงดนตรีสากลใบความรู้ที่ 1 บทที่ 3 เรื่อง ลักษณะของวงดนตรีสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 3 เรื่อง ลักษณะของวงดนตรีสากล
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากลใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล
 
Thai music14
Thai music14Thai music14
Thai music14
 
Thai music13
Thai music13Thai music13
Thai music13
 

ลิเก

  • 1. ลิเก บทนำำ เกิดขึ้นในสมัยรัชกำลที่ 5 คำำว่ำ ลิเก ในภำษำมลำยู แปลว่ำ ขับร้อง เดิม เป็นกำรสวดบูชำพระในศำสนำอิสลำม สวดเพลงแขกเข้ำกับจังหวะ รำำมะนำ พวกแขกเจ้ำเซ็นได้สวดถวำยตัวเป็นครั้งแรกในกำรบำำเพ็ญพระ รำชกุศล เมื่อ พ.ศ. 2423 ต่อมำคิดสวดแผลงเป็นลำำนำำต่ำงๆ คิดลูกหมด เข้ำแกมสวด ร้องเป็นเพลงต่ำงภำษำ และทำำตัวหนังเชิด โดยเอำรำำมะนำ เป็นจอก็มี ลิเกจึงกลำยเป็นกำรเล่นขึ้น ต่อมำมีผู้คิดเล่นลิเกอย่ำงละคร คือ เริ่มร้องเพลงแขก แล้วต่อไปเล่นอย่ำงละครรำำ และใช้ปี่พำทย์อย่ำงละคร ลิเกมี 3 แบบ คือ 1. ลิเกบันตน เริ่มด้วยร้องเพลงบันตนเป็นภำษำมลำยู ต่อมำก็แทรกคำำ ไทยเข้ำไปบ้ำง ดนตรีก็ใช้รำำมะนำ จำกนั้นก็แสดงเป็นชุดๆ ต่ำงภำษำ เช่น แขก ลำว มอญ พม่ำ ต้องเเริ่มด้วยชุดแขกเสมอ ผู้แสดงแต่งตัวเป็นชำติ ต่ำงๆ ร้องเอง พวกตีรำำมะนำเป็นลูกคู่ มีกำรร้องเพลงบันตนแทรกระหว่ำง กำรแสดงแต่ละชุด 2. ลิเกลูกบท คือ กำรแสดงผสมกับกำรขับร้องและบรรเลงเพลงลูกบท ร้องและรำำไปตำมกระบวนเพลง ใช้ปี่พำทย์ประกอบแทนรำำมะนำ แต่งกำย ตำมที่นิยมในสมัยนั้นๆ แต่สีฉูดฉำด ผู้แสดงเป็นชำยล้วน เมื่อแสดงหมด แต่ละชุด ปี่พำทย์จะบรรเลงเพลง 3 ชั้นที่เป็นแม่บทขึ้นอีก และออกลูกหมด เป็นภำษำต่ำงๆ ชุดอื่นๆ ต่อไปใหม่ 3. ลิเกทรงเครื่อง เป็นกำรผสมผสำน ระหว่ำงลิเกบันตนและลิเกลูกบท มี ท่ำรำำเป็นแบบแผน แต่งตัวคล้ำยละครรำำ แสดงเป็นเรื่องยำวๆ อย่ำงละคร เริ่มด้วยโหมโรงและบรรเลงเพลงภำษำต่ำงๆ เรียกว่ำ "ออกภำษำ" หรือ "ออกสิบสองภำษำ" เพลงสุดท้ำยเป็นเพลงแขก พอปี่พำทย์หยุด พวกตี
  • 2. รำำมะนำก็ร้องเพลงบันตน แล้วแสดงชุดแขก เป็นกำรคำำนับครู ใช้ปี่พำทย์ รับ ต่อจำกนั้นก็แสดงตำมเนื้อเรื่อง ลิเกที่แสดงในปัจจุบันเป็นลิเกทรง เครื่อง วิธีแสดง เดินเรื่องรวดเร็ว ตลกขบขัน กำรแสดงเริ่มด้วยโหมโรง 3 ลำ จบแล้วบรรเลงเพลงสำธุกำร ให้ผู้แสดงไหว้ครู แล้วจึงออกแขก บอก เรื่องที่จะแสดง สมัยก่อนมีกำรรำำถวำยมือหรือรำำเบิกโรง แล้วจึงดำำเนิน เรื่อง ต่อมำกำรรำำถวำยมือก็เลิกไป ออกแขกแล้วก็จับเรื่องทันที กำรร่ำย รำำน้อยลงไปจนเกือบไม่เหลือเลย คงมีเพียงบำงคณะที่ยังยึดศิลปะกำรรำำ อยู่ ผู้แสดง เดิมใช้ผู้ชำยล้วน ต่อมำนำยดอกดิน เสือสง่ำ ให้บุตรสำวชื่อ ละออง แสดงเป็นตัวนนำงประจำำคณะ ต่อมำคณะอื่นก็เอำอย่ำงบ้ำง บำง คณะให้ผู้หญิงเป็นพระเอก เช่น คณะกำำนันหนู บ้ำนผักไห่ อยุธยำ กำร แสดงชำยจริงหญิงแท้นั้น คณะนำยหอมหวล นำคศิริ เริ่มเป็นคณะแรก ผู้ แสดงต้องมีปฏิภำณในกำรร้องและเจรจำ ดำำเนินเรื่องโดยไม่มีกำรบอกบท เลย หัวหน้ำคณะจะเล่ำให้ฟังก่อนเท่ำนั้น นอกจำกนี้ กำรเจรจำต้องดัด เสียงให้ผิดปกติ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ ของลิเก แต่ตัวสำมัญชนและตัวตลกพูด เสียงธรรมดำ เพลงและดนตรี ดำำเนินเรื่องใช้เพลงหงส์ทองชั้นเดียว แต่ดัดแปลง ให้ด้นได้เนื้อควำมมำกๆ แล้วจึงรับด้วยปี่พำทย์ แต่ถ้ำเล่นเรื่องต่ำงภำษำ ก็ ใช้เพลงที่มีสำำเนียงภำษำนั้นๆ ตำมท้องเรื่อง แต่ด้นให้คล้ำยหงส์ทอง ต่อ มำนำยดอกดิน เสือสง่ำ ได้ดัดแปลงเพลงมอญครวญของลิเกบันตนที่ใช้กับ บทโศก มำเป็นเพลงแสดงควำมรักด้วย เรื่องที่แสดง นิยมใช้เรื่องละครนอก ละครใน และเรื่องพงศำวดำร จีน มอญ ญวน เช่น สำมก๊ก รำชำธิรำช ฉันใดเวือง
  • 3. กำรแต่งกำย แต่งตัวด้วยเครื่องประดับสวยงำม เลียนแบบเครื่อง ทรงกษัตริย์ จึงเรียกว่ำลิเกทรงเครื่อง "สมัยของแพง" ก็ลดเครื่องแต่งกำยที่ แพรวพรำวลงไป แต่บำงคณะก็ยังรักษำแบบแผนเดิมไว้ โดยตัวนำยโรงยัง แต่งเลียนแบบเครื่องทรงของกษัตริย์ในส่วนที่มิใช่เครื่องต้น เช่น นุ่งผ้ำยก ทอง สวมเสื้อเข้มขำบหรือเยียรบับ แขนใหญ่ถึงข้อมือ คำดเข็มขัดนอกเสื้อ ประดับเครื่องรำชอิสริยำภรณ์ต่ำงๆ แต่ดัดแปลงเสียใหม่ เช่น เครื่องสวม ศีรษะ เครื่องประดับหน้ำอก สำยสะพำย เครื่องประดับไหล่ ตัวนำงนุ่งจีบยกทอง สวมเสื้อแขนกระบอกยำว ห่มสไบปักแพรวพรำว สวม กระบังหน้ำต่อยอดมงกุฎ ที่แปลกกว่ำกำรแสดงอื่นๆ คือสวมถุงเท้ำยำวสี ขำวแทนกำรผัดฝุ่นอย่ำงละคร แต่ไม่สวมรองเท้ำ สถำนที่แสดง ลำนวัด ตลำด สนำมกว้ำงๆ โดยปลูกเพิงสูงระดับตำ ด้ำนหน้ำเป็นที่แสดง ด้ำนหลังเป็นที่พักที่แต่งตัว ลิเก
  • 4. ที่มำของลิเก ลิเก เป็นคำำที่มีรำกศัพท์มำจำกภำษำ ฮิบรู ว่ำ ซำคูร (Zakhur) ซึ่งหมำย ถึง กำรสวดสรรเสริญพระเจ้ำในศำสนำยูดำย หรือยิว มำแต่โบรำณหลำย พันปี ต่อมำชำวอำหรับเรียกกำรสวดสรรเสริญพระเจ้ำว่ำ ซิกร (Zikr) และ ซิกิร (Zikir) ผู้สวดนั่งล้อมเป็นวงโยกตัวไปมำ เมื่อกำรสวดแพร่หลำย เข้ำไปในอินเดียโดยชำวอิหร่ำน เรียกว่ำ ดฮิกิร (Dhikir) โดยมีกำรตี กลองรำำมะนำประกอบ ครั้นกำรสวดแพร่มำถึงจังหวัดทำงภำคใต้ของ ประเทศไทย ก็เรียกเป็นภำษำถิ่นว่ำ ดิเก (Dikay) และจิเก (Jikay) ชำวมุ สลิมนำำดิเกเข้ำมำสู่กรุงเทพมหำนคร ตอนต้นสมัยรัตนโกสินทร์ กำรเรียกก็ เปลี่ยนเป็น ยิเก หรือ ยี่เก (Yikay) พระบำทสมเด็จพระมงกุฎเกล้ำเจ้ำอยู่ หัว รัชกำลที่ ๖ ทรงเรียกว่ำ ลิเก (Likay) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ และใช้เรียก อย่ำงเป็นทำงกำรตั้งแต่นั้นมำ ส่วนคำำว่ำ ยี่เก ยังคงใช้เรียกกันอยู่ อนึ่ง ลิเกได้ถูกเปลี่ยนชื่อตำมพระรำชกฤษฎีกำกำำหนดวัฒนธรรมทำงศิลปกรรม พ.ศ. ๒๔๘๕ เป็น นำฏดนตรี และเรียกคำำนี้แทนลิเกอยู่ประมำณ ๑๕ ปี ก็ กลับมำเรียกว่ำ ลิเก เหมือนเดิมจนถึงปัจจุบัน ลิเก มำจำก จิเก คือ กำรสวดสรรเสริญพระเจ้ำของชำวไทยมุสลิม ผสมผสำนกับละครรำำของไทย จนเกิดเป็นละครแบบใหม่ ในสมัยรัชกำลที่ ๕ และเป็นที่นิยมของชำวบ้ำนมำจนถึงปัจจุบัน ลิเก หรือที่ชำวบ้ำนเรียกว่ำ ยี่เก เป็นละครเร่ที่เจ้ำภำพจ้ำงไปแสดงที่วัด หรือที่บ้ำน ในงำนประจำำปี งำนบวช และงำนศพ หรือปลูกโรงล้อมรั้วเก็บเงินค่ำเข้ำชมเอง โรงลิเกเป็นเวทียกพื้นเล็กน้อย มีตั่ง หรือเตียงไม้วำงตรงกลำงเป็นที่นั่งแสดง ข้ำงหลังตั่งยกพื้นสูงขึ้น เป็นที่ตั้งวงดนตรีปี่พำทย์ ข้ำงหลัง มีฉำกผ้ำวำดเป็นทิวทัศน์ กั้นมิให้ผู้ชมเห็นหลังโรง ซึ่งเป็นที่สำำหรับแต่งตัว ลิเก แสดงทั้งกลำงวัน และกลำงคืน เริ่มต้นด้วยโหมโรง คือ เล่นดนตรีเรียกคนมำชมลิเก ออกแขก คือ มีผู้แสดงออกมำแนะนำำคณะลิเก เรื่องที่จะแสดง ขอบคุณเจ้ำภำพ และผู้ชม จบออกแขกก็แสดง ลิเกเป็นเรื่องอย่ำงละครไปจนจบเรื่อง หรือหมดเวลำ ตัวลิเกแบ่งออกเป็น พระเอก นำงเอก ตัวโกง ตัวอิจฉำ และตัวตลก ซึ่งต่ำงออกมำแสดงอย่ำงสวยงำม รวดเร็ว สนุกสนำน จัดจ้ำน และตลกโปกฮำ
  • 5. ตัวลิเกร้องรำำ และเจรจำ ด้วยกำรด้น คือ คิดขึ้นเองเดี๋ยวนั้น ไม่มีกำรฝึกซ้อมมำก่อน และไม่มีกำร บอกบท ภำษำที่ใช้เป็นภำษำไทยภำคกลำง ลิเกจึงมีแสดงในภำคกลำงเป็นส่วนใหญ่ ลิเกยุคต่ำงๆ ยุคลิเกสวดแขก คือ ยุคที่ชำวไทยมุสลิมเดินทำงจำกภำคใต้เข้ำมำตั้งถิ่นฐำนใน กรุงเทพมหำนคร ในสมัยรัชกำลที่ ๓ แล้วได้นำำกำรสวดสรรเสริญพระเจ้ำ ประกอบกำรตีรำำมะนำ (กลองหน้ำเดียวตีประกอบลำำตัดในปัจจุบัน) เข้ำมำ ด้วย ต่อมำในสมัยรัชกำลที่ ๕ ลูกหลำนชำวไทยมุสลิม ก็ใช้ภำษำไทยแทน ภำษำมลำยู สำำหรับกำรแสดงลิเกสวดแขกนั้น ผู้แสดงชำยนั่งล้อมเป็น วงกลม มีคนตีรำำมะนำเสียงทุ้มและแหลม ๔ ใบ หรือ ๑ สำำรับ กำรแสดงเริ่ม ด้วยกำรสวดสรรเสริญพระเจ้ำเป็นภำษำมลำยู จำกนั้นก็ร้องเพลงด้นกลอน ภำษำมลำยูตอนใต้ เรียกกันว่ำ ปันตุน หรือ ลิเกบันตน ต่อมำแปลงจำก ภำษำมลำยูเป็นภำษำไทย กำรแสดงบำงครั้งมีกำรประชันวงร้องตอบโต้กัน จนกลำยมำเป็นลำำตัดในปัจจุบัน ยุคลิเกออกภำษำ คือ ยุคที่ลิเกนำำเพลงออกภำษำของกำรบรรเลงปี่พำทย์ และกำรสวด คฤหัสถ์ในงำนศพสมัยรัชกำลที่ ๕ มำเพิ่มเข้ำไปในกำรแสดงลิเก เพลง ออกภำษำเป็นกำรแสดงล้อเลียนชำวต่ำงชำติที่เข้ำมำอำศัยอยู่ใน กรุงเทพมหำนครในขณะนั้น ด้วยกำรนำำกำรแต่งกำย นำ้ำเสียงในกำรพูด ภำษำไทย ปนกับภำษำของตน และเพลงที่ขับร้องในหมู่ชำวต่ำงชำติเหล่ำ นั้น มำล้อเลียนเป็นที่สนุกสนำน ผู้ชมนิยมกันมำก เมื่อลิเกนำำมำใช้ก็เริ่มต้น กำรแสดงด้วยกำรสวดแขกเป็นกำรออกภำษำมลำยู เพรำะถือว่ำเป็นกำร แสดงที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นสิริมงคล แล้วจึงต่อด้วยภำษำอื่นๆ เช่น มอญ จีน ลำว ญวน พม่ำ เขมร ญี่ปุ่น ฝรั่ง ชวำ อินเดีย ตะลุง (ปักษ์ใต้) กำร แสดงออกภำษำเป็นกำรแสดงตลกชุดสั้นๆติดต่อกันไป ต่อมำปรับปรุงกำร
  • 6. แสดงมำเป็นเริ่มต้นด้วยสวดแขก แล้วต่อด้วยชุดออกภำษำแสดงเป็นละคร เรื่องยำวอีก ๑ ชุด ยุคลิเกทรงเครื่อง กำรแสดงลิเกออกภำษำในส่วนที่เป็นสวดแขก กลำยเป็นกำรออกแขก มีผู้ แสดงแต่งกำยเลียนแบบชำวมลำยูออกมำร้องเพลงอำำนวยพร มีตัวตลกถือ ขันนำ้ำตำมออกมำให้ผู้แสดงเป็นแขกประพรมนำ้ำมนต์ เพื่อเป็นสิริมงคล ส่วนที่เป็นชุดออกภำษำ กลำยเป็นละครเต็มรูปแบบ ซึ่งวงรำำมะนำยังคงใช้ บรรเลงตอนออกแขก แต่ใช้ปี่พำทย์บรรเลงในช่วงละคร เครื่องแต่งกำย หรูหรำเลียนแบบข้ำรำชสำำนัก ในสมัยรัชกำลที่ ๕ จึงเรียกว่ำ ลิเกทรง เครื่อง ลิเกทรงเครื่องแสดงในโรง (วิก) และเก็บค่ำเข้ำชม เกิดขึ้นโดยคณะ ของพระยำเพชรปำณี ข้ำรำชกำรกระทรวงวัง ซึ่งนำำแสดงโดยภรรยำ ของ ตน วิกพระยำเพชรปำณีตั้งอยู่นอกกำำแพง เมือง หน้ำวัดรำชนัดดำรำม ประมำณ พ.ศ. ๒๔๔๐ ลิเกทรงเครื่องแพร่หลำยไปทั่วภำคกลำงอย่ำง รวดเร็ว มีวิกลิเกเกิดขึ้นมำกมำย ต่อมำมีกำรนำำเนื้อเรื่องและ ขนบธรรมเนียมของละครรำำมำใช้ จนถึงขั้นแสดงเรื่องอิเหนำ ตำมบทพระ รำชนิพนธ์ เมื่อเกิดสงครำมโลกครั้งที่ ๒ ขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๘๔ ลิเกทรง เครื่อง ก็ประสบปัญหำกำรขำดแคลนวัสดุเครื่องแต่งกำยซึ่งต้องนำำเข้ำจำก ต่ำงประเทศ เช่น ผ้ำและเพชรเทียม จนในที่สุดกำรแต่งกำยชุดลิเกทรง เครื่องก็หมดไป วงรำำมะนำที่ใช้กับกำรออกแขกก็เปลี่ยนไปใช้วงปี่พำทย์ แทนเพื่อเป็นกำรประหยัด เพลงรำนิเกลิงหรือเพลงลิเก เกิดขึ้นโดย นำย ดอกดิน เสือสง่ำ ในยุคลิเกทรงเครื่องนี้เอง และต่อมำ นำยหอมหวล นำค ศิริ ได้นำำเพลงรำนิเกลิงไปร้องด้นกลอนสดอย่ำงยำวหลำยคำำกลอน ทำำให้ มีชื่อเสียงและมีลูกศิษย์มำกมำย ช่วงปลำยยุคนี้เริ่มมีกำรออกอำกำศลิเก ทำงวิทยุ
  • 7. ยุคลิเกลูกบท อยู่ในช่วงสงครำมโลกครั้งที่ ๒ จนถึงช่วงภำยหลังสงครำม รวมเวลำนำน ประมำณ ๑๐ ปี ลิเกในยุคนี้แต่งกำยแบบสำมัญคือ เสื้อคอกลมแขนสั้น โจง กระเบน มีผ้ำคำดพุง คล้ำยเครื่องแต่งกำยของลำำตัดในปัจจุบัน ทั้งนี้เพรำะ เป็นช่วงที่อยู่ในสภำวะขำดแคลน แต่กำรแสดงลิเกก็ยังเป็นที่นิยมกันอย่ำง กว้ำงขวำง เนื้อเรื่องที่แสดงเปลี่ยนไปเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นใหม่ ซึ่งอำศัยพื้น ฐำนของบทละครนอก และละครพันทำงอยู่มำก ยุคลิเกเพชร หลังสงครำมโลกครั้งที่ ๒ เมื่อบ้ำนเมืองเข้ำสู่ภำวะปกติ ก็มีกำรตกแต่ง เครื่องแต่งกำยลิเกตัวพระให้หรูหรำอีกครั้ง แต่มิได้กลับไปใช้รูปแบบลิเก ทรงเครื่อง เริ่มต้นด้วยกำรสวมเสื้อกั๊กปักเพชรทับเสื้อคอกลม สวมสนับ เพลำ แล้วนุ่งผ้ำโจงทับอย่ำงตัวพระของละครรำำ สวมถุงน่องสีขำวเหมือน ลิเกทรงเครื่อง เอำแถบเพชรหรือ “เพชรหลำ” มำทำำสังเวียนคำดศีรษะ ประดับขนนกสีขำวของลิเกทรงเครื่อง คำดสะเอวเพชร แถบเชิงสนับเพลำ เพชร ฯลฯ มำเป็นลำำดับ ส่วนผ้ำนุ่งใช้ผ้ำไหมที่นำำเข้ำมำ จำกเมืองจีน เพรำะเนื้อแข็งนุ่งแล้วอยู่ทรงไม่ยับ สำำหรับชุดลิเกตัวนำงไม่ค่อยมีแบบแผน ส่วนใหญ่เป็นชุดรำตรียำวสมัยนิยม มีเครื่องประดับ เช่น มงกุฎ สำยสร้อย กำำไล ฯลฯ แต่ไม่หรูหรำเท่ำตัวพระ กำรแสดงลิเกยุคนี้มีควำมหลำกหลำย เพรำะพยำยำมนำำกำรแสดงประเภทอื่นๆเข้ำมำเสริม เพื่อให้กำรแสดงเป็น ที่นิยมอยู่เสมอ เช่น เพลงลูกทุ่งยอดนิยม เพลงจำกภำพยนตร์อินเดีย กำร เต้นอะโกโก้ กำรนำำม้ำขึ้นมำขี่รบกันบนเวที กำรทำำฉำกสำมมิติให้ดูสมจริง เป็นต้น ลิเกได้มีกำรแพร่ภำพทำงโทรทัศน์เป็นประจำำ หนังสือพิมพ์ให้ ควำมสนใจเสนอข่ำวเรื่องลิเก โรงละครแห่งชำติให้กำรยอมรับและจัดให้มี กำรแสดงลิเกขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกำยน พ.ศ. ๒๕๑๘ โดย
  • 8. คณะลิเกของนายสมศักดิ์ ภักดี ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่เริ่มขยายหน้าเวทีให้กว้าง ออกไปกว่าเดิมเกือบ ๒ เท่า ยุคลิเกลอยฟ้า เป็นยุคที่เวทีลิเกเปลี่ยนจากรูปแบบเดิม ที่มีเวทีดนตรีอยู่ทางขวาของผู้ แสดง มาเป็นเวทีที่วางเครื่องดนตรี อยู่บนยกพื้นหลังเวทีการแสดง ให้ผู้ชม ได้เห็นวงดนตรีทั้งวง และได้ขยายขนาดเวทีการแสดงออกไปจากประมาณ ๖ เมตรเป็น ๑๒ เมตร แต่ไม่มีหลังคา จึงเรียกว่า ลิเกลอยฟ้า เครื่องแต่ง กายตัวพระในยุคนี้เพิ่มเครื่องเพชรมากขึ้นคือ มีแผงประดับศีรษะเพชร แทนขนนก เสื้อรัดรูปปักเพชรที่เกิดขึ้นในปลายยุคลิเกเพชร ก็เพิ่มจำานวน เพชรจนเต็มไปทั้งตัว ผ้านุ่งกลายเป็นแบบสำาเร็จรูป ปักเพชรทั้งผืน ส่วน เครื่องประดับต่างๆ ก็เพิ่มจำานวนเพชรขึ้นมากกว่าแต่ก่อน ประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๐ เป็นต้นมา เริ่มมีการนำาเรื่องผู้ชนะสิบทิศ บทละครพันทางของ อาจารย์เสรี หวังในธรรม ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในขณะนั้น มาแสดงเป็น ลิเก และแต่งตัวแบบละครพันทางลิเกเป็นการแสดง เพื่อเลี้ยงชีพ ผู้ชมชอบ อย่างไร ก็แสดงอย่างนั้น ดังนั้นรูปแบบการแสดงลิเกในแต่ละยุค จึงมีการ ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่คงอยู่คือ ปฏิภาณศิลป์ที่ทำาให้ลิเกยังคงมี ความแปลกใหม่ สำาหรับให้ความบันเทิงแก่คนในสังคมไทยตลอดไป ลิเก มีลักษณะเด่นคือ เครื่องแต่งกายของพระเอกประดับเพชรจำานวนมาก มีขนนกสีขาวขนาดใหญ่ ประดับศีรษะ สวมถุงน่องสีขาว และมีเพลง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของลิเกคือ เพลงราชนิเกลิง (ราด-นิ-เกลิง) ที่ใช้ร้องดำาเนินเรื่องตลอดเวลา นอกจากนี้ เมื่อผู้ชมพอใจการแสดง ก็ลุกจากที่นั่ง มาที่หน้าเวที เพื่อมอบรางวัลเป็นธนบัตร หรือพวงมาลัยติดธนบัตรแก่ตัวลิเก ซึ่งมักเป็นพระเอก ผู้ชม ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง มักชอบดูพระเอกที่หน้าตาดี รูปร่างอ้อนแอ้น ร้องเพลงได้ไพเราะ ด้นกลอนเก่ง รำาสวย เครื่องแต่งกายงดงาม ส่วนฉาก ที่ชอบดูคือ ฉากตลก "ลิเก" เป็นละครผสมระหว่างการพูด การร้อง การรำา และการแสดงกิริยาท่าทางตามธรรมชาติ โดย มีวงปี่พาทย์บรรเลงประกอบ ทำานองเพลงหลักที่ใช้สำาหรับร้องดำาเนินเรื่อง เรียกว่า รานิเกลิง (รา-
  • 9. นิ-เกลิง) หรือ ราชนิเกลิง (ราด-นิ-เกลิง) ส่วนอื่นๆ ที่ใช้สำาหรับร้องรำา และประกอบกิริยา นำามา จากเพลงของละครรำา และเพลงลูกทุ่ง ซึ่งกำาลังเป็นที่นิยมในขณะนั้น ผู้แสดงรับบทชายจริงหญิงแท้ มีบทพูด และบทร้องตามท้องเรื่อง ที่โต้โผกำาหนดให้ก่อนการแสดง บางครั้งมีการบรรยายเรื่อง และ ตัวละครจากหลังเวที เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจง่ายขึ้น เนื้อเรื่องมักเป็นการชิงรักหักสวาท และอาฆาตล้าง แค้นย้อนไปในอดีต หรือในปัจจุบัน โครงเรื่องมักซำ้ากัน จะต่างกันที่รายละเอียด การแสดงลิเกแบ่งเป็น ๓ ส่วน คือ โหมโรงดนตรี เพื่อ เรียกผู้ชม และให้ผู้แสดงเตรียมพร้อม ออกแขก เพื่อต้อนรับผู้ชม ขอบคุณเจ้าภาพ แนะนำาการแสดง และผู้แสดง และละครที่ดำาเนินเรื่องเป็นฉากสั้นๆ ติดต่อกันไปอย่างรวดเร็ว ลิเกมีแสดง ทั้งในเวลา กลางวัน และกลางคืน ช่วงกลางวันเริ่มแสดงตั้งแต่ ๐๙.๐๐ น. เป็นต้นไป และหยุดพักเที่ยง แล้ว แสดงต่อ จนถึงเวลาประมาณ ๑๖.๐๐ น. ส่วนช่วงกลางคืน เริ่มแสดงตั้งแต่ ๒๐.๐๐ น. - ๒๔.๐๐ น. ขั้นตอนการแสดงลิเก โหมโรง เป็นการบูชาเทพยดา และครูบาอาจารย์ พร้อมทั้งอัญเชิญท่านเหล่านั้น มาปกปักรักษา และอำานวยความสำาเร็จให้แก่การแสดง นอกจากนั้น ยัง เป็นการอุ่นโรง ให้ผู้แสดงเตรียมตัวให้พร้อม เพราะใกล้จะถึงเวลาแสดง และเป็นสัญญาณแจ้งแก่ประชาชนที่อยู่ทั้งใกล้และไกล ให้ได้ทราบว่า จะ มีการแสดงลิเก และใกล้เวลาลงโรงแล้ว จะได้ชักชวนกันมาชม โหมโรงเป็นการบรรเลงปี่พาทย์ตามธรรมเนียมการแสดงละครของไทย เพลงที่บรรเลงเรียกว่า โหมโรงเย็น ประกอบด้วย เพลงชั้นสูง หรือเพลง หน้าพาทย์ ๑๓ เพลง บรรเลงตามลำาดับคือ สาธุการ ตระนิมิตร รักสามลา ต้นเข้าม่าน ปฐม ลา เสมอ เชิดฉิ่ง เชิดกลอง ชำานาญ กราวใน และวา ถ้า โหมโรงมีเวลาน้อย ก็ตัดเพลงลงเหลือ ๔ เพลงคือ สาธุการ ตระนิมิตร
  • 10. กราวใน และวา แต่ถ้ามีเวลามากก็บรรเลงเพลงเบ็ดเตล็ดแทรกต่อจาก เพลงกราวใน แล้วจึงบรรเลงเพลงวาเป็นสัญญาณจบการโหมโรง ออกแขก เป็นการคำานับครู อวยพรผู้ชม ขอบคุณเจ้าภาพ แนะนำาเรื่อง อวดผู้แสดง ฝีมือการร้องรำา และความหรูหราของเครื่องแต่งกาย เพื่อให้ผู้ชมสนใจ และเตรียมพร้อมที่จะชมต่อไป ออกแขกเป็นการเบิกโรงลิเก โดยเฉพาะ การออกแขกมี ๔ ประเภทคือ ออกแขกรดนำ้ามนต์ ออกแขกหลังโรง ออกแขกรำาเบิกโรง และออกแขกอวดตัว ออกแขกรดนำ้ามนต์ โต้โผ คือ หัวหน้าคณะ หรือผู้แสดงอาวุโสชาย แต่งกายแบบแขกมลายูบ้าง ฮินดูบ้าง มีผู้ช่วยเป็นตัวตลกถือขันนำ้าตามออกมา แขกร้องเพลงออกแขก ชื่อว่า เพลงซัมเซ เลียนเสียงภาษามลายู จบแล้วกล่าวสวัสดี และทักทาย กันเอง ออกมุขตลกต่างๆ เล่าเรื่องที่จะแสดงให้ผู้ชมทราบ จบลงด้วยแขก ประพรมนำ้ามนต์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่การแสดง และเป็นการอวยพรผู้ชม การออกแขกรดนำ้ามนต์ไม่ค่อยมีแสดงในปัจจุบัน ออกแขกหลังโรง โต้โผ หรือผู้แสดงชาย ที่แต่งตัวเสร็จแล้ว ช่วยกันร้องเพลงซัมเซอยู่หลัง ฉาก หรือหลังโรง แล้วจึงต่อด้วยเพลงประจำาคณะ ที่มีเนื้อเพลงอวดอ้าง คุณสมบัติต่างๆ ของคณะ จากนั้นเป็นการประกาศชื่อ และอวดความ สามารถของศิลปินที่มาร่วมแสดง ประกาศชื่อเรื่องและเนื้อเรื่องย่อที่จะ แสดง แล้วลงท้ายด้วยเพลงซัมเซอวยพรผู้ชม
  • 11. ออกแขกรำาเบิกโรง คล้ายออกแขกหลังโรง โดยมีการรำาเบิกโรงแทรก ๑ ชุด ก่อนลงท้ายด้วย เพลงซัมเซอวยพรผู้ชม รำาเบิกโรงนี้มักแสดงโดยลูกหลานของผู้แสดง ที่มี อายุน้อยๆ เป็นการฝึกเด็กๆให้เจนเวที เป็นการรำาชุดสั้นๆ สำาหรับรำาเดี่ยว เช่น พม่ารำาขวาน พลายชุมพล มโนห์ราบูชายัญ หรือชุดที่คิดขึ้นเอง เช่น ชุดแขกอินเดีย ในกรณีที่เป็นการแสดง เพื่อแก้บน รำาเบิกโรงจะเป็นรำา เพลงช้า เพลงเร็ว โดยผู้แสดงชาย - หญิง ๒ คู่ ตามธรรมเนียมของการรำา แก้บนละคร ซึ่งเรียกว่า รำาถวายมือ เมื่อจบรำาเบิกโรงแล้ว ข้างหลังโรงจะ ร้องเพลงซัมเซอวยพรผู้ชม ออกแขกอวดตัว คล้ายออกแขกรำาเบิกโรง แต่เปลี่ยนจากรำาเดี่ยว หรือรำาถวายมือ มา เป็นการอวดตัวแสดงทั้งโรง ผู้แสดงทุกคนจะแต่งเครื่องลิเก นำาโดยโต้โผ หรือพระเอกอาวุโส ร้องเพลงประจำาคณะ ต่อด้วยการแนะนำาผู้แสดงเป็น รายตัว จากนั้นผู้แสดงออกมารำาเดี่ยว หรือรำาหมู่ หรือรำาพร้อมกันทั้งหมด คนที่ไม่ได้รำาก็ยืนรอ เมื่อรำาเสร็จแล้วก็ร้องเพลงซัมเซอวยพรผู้ชม แล้ว ทยอยกันกลับเข้าไป ละคร เป็นการแสดงลิเกเรื่องราว ที่โต้โผ ซึ่งเป็นผู้เล่าเรื่องกำาหนดขึ้น ก่อนการ แสดงเพียงเล็กน้อย แล้วเล่าเรื่อง พร้อมทั้งแจกแจงบทบาทด้วยปากเปล่า ให้ผู้แสดงแต่ละคนฟัง ที่หลังโรง ในขณะกำาลังแต่งหน้า หรือแต่งตัวกันอยู่ โดยจะเริ่มต้นแสดงหลังจากจบออกแขกแล้ว โต้โผจะคอยกำากับอยู่ข้างเวที จนกว่าเรื่องจะดำาเนินไปด้วยความเรียบร้อย ในกรณีที่เกิดปัญหา เช่น การ
  • 12. แสดงเชื่องช้า ตลกฝืด ตัวแสดงบาดเจ็บ โต้โผก็จะพลิกแพลงให้เรื่อง ดำาเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น ผู้แสดงทุกคนต้องรู้บท รู้หน้าที่ และด้น บทร้องบทเจรจาของตนให้เป็นไปตามแนวเรื่องของโต้โผได้ตลอดเวลา ลาโรง เป็นธรรมเนียมการแสดงละครไทยที่มีการบรรเลงปี่พาทย์ลาโรง ผู้แสดง กราบอำาลาผู้ชม โต้โผกล่าวขอบคุณผู้ชม และเชิญชวนให้ติดตามชมการ แสดงคณะของตนในโอกาสต่อไป ลิเกเริ่มการแสดงเป็นละคร ด้วยฉากตัวพระเอก แต่ในระยะหลังๆ นี้ มักเปิด การแสดง ด้วยฉากตัวโกง เพื่อให้การดำาเนินเรื่องรวบรัด และฉากตัวโกง ก็อึกทึกครึกโครม ทำาให้ผู้ชมตื่นเต้น และติดตามชมการแสดง การดำาเนิน เรื่องแบ่งออกเป็นฉากสั้นๆ ติดต่อกันไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งดึกยิ่งใกล้จะจบ การแสดงก็ยิ่งคึกคัก ตื่นเต้น โลดโผน ตลกโปกฮา จนถึงมีฉากตลกเป็น ฉากใหญ่ให้ผู้ชม ครื้นเครง แล้วรีบรวบรัดจบเรื่อง ซึ่งบางครั้งก็ไม่จบ บริบูรณ์ แต่ผู้ชมก็ไม่ติดใจสงสัย การแสดงในฉากแรกๆ เป็นการเปิดตัวละครสำาคัญในท้องเรื่อง ผู้แสดงจะ ส่งสัญญาณให้นักดนตรีบรรเลงเพลง สำาหรับรำาออกจากหลังเวที เช่น เพลงเสมอ หรือเพลงมะลิซ้อน เมื่อรำาถวายมาถึงหน้าตั่งหรือเตียง ที่วางอยู่ กลางเวทีก็นั่งลง หรือทำาท่าถวายมือยกเท้าจะขึ้นไปนั่ง แต่กลับยืนอยู่หน้า เตียง แล้วร้องเพลงแนะนำาตัวเอง และตัวละครที่สวมบทบาท พร้อมทั้งร้อง เพลงขอบคุณผู้ชมและออดอ้อนแม่ยก เพลงที่ร้องเป็นเพลงไทยอัตราสอง ชั้นด้นเนื้อร้องเอาเอง จากนั้นเป็นการร้องเพลงลูกทุ่งยอดนิยมอีก ๑ เพลง แล้วจึงดำาเนินเรื่องร้องรำา และเจรจา ด้วยการด้นตลอดไปจนจบฉาก เพลง ที่ใช้ร้องด้นดำาเนินเรื่องเรียกว่า เพลงลิเก ที่มีชื่อว่า เพลงรานิเกลิง หรือ
  • 13. ราชนิเกลิง เมื่อตัวแสดงหมดบทในการออกมาครั้งแรกแล้ว ก็ลาโรงด้วย การร้องเพลงแจ้งให้ผู้ชมทราบว่า ตนคิดอะไรและจะเดินทางไปไหน จาก นั้นปี่พาทย์ทำาเพลงเสมอให้ผู้แสดงรำาออกไป การแสดงในฉากต่อๆ มา ผู้แสดงมักเดินกรายท่าออกมา ผู้แสดงบนเวที หรือผู้บรรยายหลังโรงจะแจ้งสถานที่ และสถานการณ์ในท้องเรื่องให้ผู้ชม ทราบ แล้วจึงดำาเนินเรื่องไปจนจบฉากอย่างรวดเร็ว เมื่อผู้แสดงหมด บทบาทของตนเองแล้ว ก็จะร้องเพลงด้วยเนื้อความสั้นๆ แล้วกลับออกไป ด้วยเพลงเชิด ซึ่งใช้สำาหรับการเดินทางที่รวดเร็ว การแสดงในฉากตลกใหญ่ ซึ่งเป็นฉากสำาคัญที่ผู้ชมชื่นชอบนั้น ผู้แสดงจะ เวียนกันออกมาแสดงมุขตลกต่างๆ โดยมีตัวตลกตามพระ คือผู้ติดตาม พระเอก กับตัวโกงเป็นผู้แสดงสำาคัญในฉากนี้ เนื้อหามักเป็นการที่ตัวตลก ตามพระ หามุขตลกมาลงโทษตัวโกง ทำาให้คนดูสะใจ และพึงพอใจ ที่คน ไม่ดีได้รับโทษ ตามหลักคำาสอนของศาสนา ที่ว่า ทำาดีได้ดี ทำาชั่วได้ชั่ว การแสดงในฉากจบ มักเป็นฉากที่ตัวโกงพ่ายแพ้แก่พระเอก ผู้แสดงเกือบ ทั้งหมดออกมาไล่ล่ากัน ประฝีปาก และฝีมือกัน โดยในตอนสุดท้าย พระเอกเป็นฝ่ายชนะ ส่วนตัวโกงพ่ายแพ้ และได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องหนี ไป หรือยอมจำานนอยู่ ณ ที่นั้น การแสดงก็จบลง โดยไม่มีการตายบนเวที เพราะถือว่า เป็นเรื่องอัปมงคล ผู้แสดงมักทำาท่านิ่ง เพื่อแสดงให้ทราบว่า การแสดงจบลงแล้ว ส่วนประกอบที่สำาคัญของการแสดงลิเก การด้น
  • 14. ลิเกเป็นการแสดงละครที่อาศัยการด้นเป็นปัจจัยหลัก การด้น หมายถึง การ ผูกเรื่องที่จะแสดงบทเจรจา และบทร้อง ท่ารำา อุปกรณ์การแสดง ในทันที ทันใดโดยมิได้เตรียมตัวมาก่อน แต่ทั้งนี้โต้โผ และผู้แสดงมีประสบการณ์ที่ สั่งสมมาก่อนแล้ว ดังนั้น การด้นจึงมักเป็นการนำาเรื่อง คำากลอน กระบวน รำา ที่อยู่ในความทรงจำากลับมาใช้ในโอกาสที่เหมาะสม น้อยครั้งที่โต้โผ ต้องด้นเรื่องใหม่ทั้งหมดหรือผู้แสดงต้องด้นกลอนร้องใหม่ทั้งเพลง การด้นเรื่อง โต้โผหรือหัวหน้าคณะจะแต่งโครงเรื่องสำาหรับการแสดงครั้งนั้น โดย พิจารณาจากจำานวนผู้แสดงที่มาร่วมกันแสดง ตลอดจนความชำานาญ เฉพาะบทของผู้แสดงแต่ละคน เรื่องที่แต่ง ก็นำามาจากเค้าโครงเรื่องเดิมๆ ที่เคยใช้แสดง แต่ได้ดัดแปลงให้เหมาะกับการแสดงในครั้งนั้นๆ ผู้แสดงมี จำานวนประมาณ ๗ - ๑๕ คน ทั้งนี้ขึ้นกับว่า ผู้ว่าจ้างต้องการลิเกโรง เล็ก หรือโรงใหญ่ สำาหรับลิเกโรงเล็กมีผู้แสดงน้อย เนื้อเรื่องจึงมักเน้น พระเอกนางเอกเพียงคู่เดียว ส่วนลิเกโรงใหญ่มีผู้แสดงมาก จึงมักสร้างตัว ละคร ตั้งแต่รุ่นพ่อ ต่อมาถึงรุ่นลูก หรือเป็นเรื่องที่มีพระเอกนางเอก ๒ คู่ การด้นบทร้องบทเจรจา ผู้แสดงจะแต่งบทเจรจา และบทร้องตลอดการแสดงลิเก สำาหรับบทเจรจา นั้น ผู้แสดงสามารถด้นสดได้ทั้งหมด เพราะเป็นภาษาพูด ที่เข้าใจง่าย ไม่มี ใจความที่ลึกซึ้ง ส่วนบทร้องมีเพลง และรูปแบบคำากลอนของเพลงไทย และเพลงราชนิเกลิงกำากับ ประกอบด้วยคำาร้องซึ่งเป็นเนื้อร้องตอนต้นที่มี หลายคำากลอน และคำาลงซึ่งเป็นเนื้อร้องตอนจบที่มีเพียง ๑คำากลอน การ
  • 15. ด้นบทร้องมีศิลปะ ๓ ระดับ ระดับสูงคือ ด้นคำำร้อง และคำำลง ขึ้นใหม่หมด ทั้งเพลง ระดับกลำงคือ ด้นคำำร้อง ให้มำสัมผัสกับกลอนของคำำลง ที่ตนจำำ มำใช้ ระดับล่ำงคือ ด้นคำำร้องและคำำลงที่ลักจำำมำ หรือจ้ำงคนเขียนให้มำ ใช้ทั้งเพลง กำรด้นท่ำรำำ ลิเกจะเน้นกำรร้องทั้งบทกลอน และนำ้ำเสียง ส่วนกำรรำำเป็นเพียงส่วน ประกอบ ดังนั้น ผู้แสดงจึงไม่เคร่งครัดในกำรรำำให้ถูกต้อง ทั้งๆ ที่นำำ แบบแผนมำจำกละครรำำ กำรรำำของลิเก จึงเป็นกำรย่ำงกรำยของแขนและ ขำ ส่วนกำรใช้มือทำำท่ำทำงประกอบคำำร้องที่เรียกว่ำ รำำตีบทนั้น ตำม ธรรมเนียมของละครรำำ มีเพียงไม่กี่ท่ำ นอกเหนือจำกนั้น ผู้แสดงจะรำำ กรีดกรำยไปตำมที่เห็นงำม กำรด้นท่ำรำำอีกลักษณะหนึ่งเป็นกำรรำำแสดง ควำมสำมำรถเฉพำะตัวของผู้แสดงบำงคนในท่ำรำำชุดที่กรมศิลปำกรได้ สร้ำงสรรค์เป็นมำตรฐำนเอำไว้แล้ว แต่ผู้แสดงลิเกลักจำำมำได้ไม่หมด ก็ด้น ท่ำรำำของดั้งเดิมให้เต็มเพลง กำรด้นทำำอุปกรณ์กำรแสดง กำรแสดงลิเกมีกำรสมมติในท้องเรื่องมำกมำย และไม่มีกำรเตรียมอุปกรณ์ กำรแสดงไว้ให้ดูสมจริง นอกจำกดำบ ดังนั้น ผู้แสดงจำำเป็นต้องหำวัสดุ ใกล้มือขณะนั้น มำทำำเป็นอุปกรณ์ที่ตนต้องกำรใช้ เช่น เอำผ้ำขนหนูมำ ม้วนเป็นตุ๊กตำแทนทำรก เอำผ้ำขำวม้ำมำคลุมตัวเป็นผี เอำดำบผูกกับฝำ หม้อข้ำวเป็นพัดวิเศษ เอำผ้ำขำวม้ำผูกเป็นหัวปล่อยชำย แล้วขี่คร่อมเป็น ม้ำวิเศษ กำรคิดทำำอุปกรณ์กำรแสดงอย่ำงกะทันหันเช่นนี้มุ่งให้ควำม ขบขันเป็นสำำคัญ และผู้ชมก็ชอบมำก
  • 16. กำรร้องกำรเจรจำ กำรร้อง และกำรเจรจำของลิเก มีลักษณะเฉพำะ ผู้แสดงจะเปล่งเสียงร้อง และเสียงเจรจำเต็มที่ แม้จะมีไมโครโฟนช่วย จึงทำำให้เสียงร้อง และเจรจำ ค่อนข้ำงแหลม นอกจำกนั้นยังเน้นเสียง ที่ขึ้นนำสิกคือ มีกระแสเสียง กระทบโพรงจมูก เพื่อให้มีเสียงหวำน กำรร้องเพลงสองชั้น และเพลงรำชนิ เกลิงนั้น ผู้แสดงให้ควำมสำำคัญที่กำรเอื้อนและลูกคอมำก ในกำรร้องเพลง สองชั้น ผู้แสดงร้องคำำหนึ่ง ปี่พำทย์บรรเลงรับท่อนหนึ่ง เพื่อให้ผู้แสดงพัก เสียงและคิดกลอน ส่วนกำรเจรจำนั้น ผู้แสดงพูดลำกเสียงหรือเน้นคำำ มำกกว่ำกำรพูดธรรมดำ เพื่อให้ได้ยินชัดเจน อนึ่ง คำำที่สะกดด้วย “น” ผู้ แสดงลิเกจะออกเสียงเป็น “ล” นับเป็นลักษณะของลิเกอีกอย่ำงหนึ่ง นอกจำกนี้ ลิเกนิยมแสดงเรื่องจักรๆ วงศ์ๆ ที่มีกษัตริย์เป็นตัวเอก แต่ผู้ แสดงมักใช้คำำรำชำศัพท์ที่ไม่ถูกต้อง ด้วยสำเหตุ ๒ ประกำรคือ ควำมไม่รู้ และควำมตั้งใจให้ตลกขบขัน กำรรำำ กำรแสดงลิเกใช้กระบวนรำำ และท่ำรำำตำมแบบแผนนำฏศิลป์ไทย โดยแบ่ง เป็น ๓ ประเภทคือ รำำเพลง รำำใช้บท หรือรำำตีบท และรำำชุด รำำเพลง คือ กำรรำำในเพลงที่มีกำำหนดท่ำรำำไว้ชัดเจน เช่น เพลงช้ำ - เพลงเร็ว เพลงเสมอ ผู้แสดงพยำยำมรำำเพลงเหล่ำนี้ ให้มีท่ำรำำ และกระบวนรำำ ใกล้ เคียงกับแบบฉบับมำตรฐำนให้มำกที่สุด รำำใช้บทหรือรำำตีบท
  • 17. คือ กำรรำำทำำท่ำประกอบคำำร้อง และคำำเจรจำ เป็นท่ำที่นำำมำจำกละครรำำ และเป็นท่ำง่ำยๆ มีประมำณ ๑๓ ท่ำ คือ ท่ำรัก ท่ำโศก ท่ำโอด ท่ำชี้ ท่ำ ฟำดนิ้ว ท่ำมำ ท่ำไป ท่ำตำย ท่ำคู่ครอง ท่ำช่วยเหลือ ท่ำเคือง ท่ำโกรธ และท่ำป้อง ซึ่งเป็นท่ำให้สัญญำณปี่พำทย์หยุดบรรเลง รำำชุด คือ กำรรำำที่ผู้แสดงลิเกลักจำำมำจำกท่ำรำำชุดต่ำงๆ ของกรมศิลปำกร เช่น มโน ห์รำบูชำยัญ ซัดชำตรี และพลำยชุมพล แต่ผู้แสดงจำำได้ไม่หมด จึงแต่ง เติมจนกลำยไปจำกเดิมมำก ท่ำรำำบำงชุดเป็นท่ำรำำที่ลิเกคิดขึ้นเองมำแต่ เดิม เช่น พม่ำรำำขวำน และขี่ม้ำรำำทวน จึงมีท่ำรำำต่ำงไปจำกของกรม ศิลปำกรโดยสิ้นเชิง กำรรำำของลิเกต่ำงกับละคร กล่ำวคือ ละครรำำเป็นท่ำ แต่ลิเกรำำเป็นที ซึ่งหมำยควำมว่ำ กำรรำำละครนั้น ผู้รำำจะรำำเต็มตั้งแต่ท่ำ เริ่มต้นจนจบกระบวนท่ำโดยสมบูรณ์ แต่กำรรำำลิเกนั้น ผู้แสดงจะรำำเลียน แบบท่ำของละคร แต่ไม่รำำเต็มกระบวนรำำมำตรฐำน เช่น ตัดทอนหรือลด ท่ำรำำบำงท่ำ รำำให้เร็วขึ้น ลดควำมกรีดกรำย ในขณะเดียวกันผู้แสดงลิเก ตัวพระนิยมยกขำสูง และย่อเข่ำตำ่ำกว่ำท่ำของละครรำำ อีกทั้งนิยมเอียงลำำ ตัว และเอนไหล่ให้ดูอ่อนช้อยกว่ำละคร ผู้แสดงลิเกแบ่งหน้ำที่ตำมเพศ รูปร่ำง และควำมชำำนำญออกเป็น พระเอก พระรอง นำงเอก นำงรอง ตัวโกง ตัวตลก และนำงอิจฉำ คณะลิเกเป็นกำรรวมตัวเฉพำะงำน โต้โผ หรือหัวหน้ำคณะจ้ำงผู้แสดง อิสระ ที่ต่ำงมีเครื่องแต่งกำยของตนเอง มำร่วมกันแสดงเป็นครำวๆ ไป ผู้ ชมลิเกส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มที่มีสถำนภำพทำงสังคม เศรษฐกิจ และกำรศึกษำ น้อย และมักเป็นสตรีวัยกลำงคน กำรให้รำงวัลแก่ผู้แสดงลิเกคือ กำรมอบ พวงมำลัยคล้องคอประดับธนบัตร สำำหรับผู้ชมสตรีจำำนวนหนึ่งที่มีควำม
  • 18. นิยมผู้แสดงชำยบำงคนเป็นพิเศษ โดยติดตำมไปชมกำรแสดงเป็นประจำำ และให้รำงวัลเป็นเงินทองจำำนวนมำกอยู่เสมอ ผู้ชมกลุ่มนี้เรียกว่ำ แม่ยก คือ แม่ที่ลิเกยกย่อง กำรแต่งกำย เครื่องแต่งกำยของลิเกมีลักษณะเฉพำะ ซึ่งต่ำงไปจำกละครรำำ เครื่องแต่ง กำยของผู้แสดงชำยมีแบบแผนที่ชัดเจนกว่ำผู้แสดงหญิง เครื่องแต่งกำย ของลิเกแบ่งได้เป็น ๓ ประเภท คือ ชุดลิเกทรงเครื่อง ชุดลิเกลูกบท และชุด ลิเกเพชร ชุดลิเกทรงเครื่อง เป็นรูปแบบกำรแต่งกำยของลิเกแบบเดิม เมื่อเริ่มมีลิเกในสมัยรัชกำลที่ ๕ โดยเลียนแบบกำรแต่งกำยของข้ำรำชสำำนักในยุคนั้น และมีกำรปรับปรุง เปลี่ยนแปลงต่อมำบ้ำง จนถึงก่อนสงครำมโลกครั้งที่ ๒ เมื่อวัสดุที่ใช้สร้ำง เครื่องแต่งกำยลิเกที่ต้องนำำเข้ำมำจำกต่ำงประเทศขำดแคลน ชุดลิเกทรง เครื่องก็หมดไป คงเหลือให้เห็นเฉพำะในกำรแสดงสำธิตเท่ำนั้น ชุดลิเกลูกบท เป็นชุดเครื่องแต่งกำยลำำลองของคนไทยในสมัยก่อนสงครำมโลกครั้งที่ ๒ นิยมแต่งในกำรแสดงเพลงพื้นบ้ำน เมื่อวัสดุที่ใช้สร้ำงชุดลิเกทรงเครื่อง ขำดแคลน ผู้แสดงจึงหันมำแต่งกำยแบบลำำลองที่เรียกว่ำ ชุดลิเกลูกบท ชุดลิเกเพชร
  • 19. เป็นชุดที่เกิดขึ้นหลังสงครำมโลกครั้งที่ ๒ โดยกำรนำำเพชรซีก และแถบ เพชร มำประดับเครื่องแต่งกำยชุดลิเกลูกบท สวมเสื้อกั๊กทับเสื้อตัวเดิมให้ ดูหรูหรำขึ้น จำกนั้นก็เพิ่มควำมวิจิตรขึ้น จนกลำยเป็นเครื่องเพชรแทบทั้ง ชุด สำำหรับชุดของผู้แสดงหญิงมีแบบหลำกหลำย แต่ไม่ประดับเพชรมำก เท่ำชุดของผู้แสดงชำย เครื่องแต่งกำยลิเกชำยเป็นแบบคล้ำยคลึงกัน ประกอบด้วยเสื้อคอกว้ำง แขนสั้น หรือยำวแนบตัว ปักเพชร สนับเพลำ หรือกำงเกงรัดขำยำวครึ่ง น่องเชิงปักเพชร ผ้ำนุ่งสำำเร็จรูปปักเพชรสวมทับกำงเกง ถุงน่องสีขำว เครื่องประดับทำำด้วยเพชรเทียม ประกอบด้วยเกี้ยว ปิ่น สังเวียน ขนนก ต่ำงหู สร้อยคอ เข็มขัด กำำไลมือ กำำไลเท้ำ แหวน เครื่องแต่งกำยลิเกหญิง มีหลำกหลำยรูปแบบ ทั้งแบบไทยประเพณี และแบบสำกล ที่เป็นชุดรำตรี ยำวปักเพชร เครื่องประดับทำำด้วยเพชรเทียม มักประกอบด้วยมงกุฎ สร้อย คอ ตุ้มหู สังวำล กำำไลมือ เครื่องแต่งกำยลิเกมักมีสีสันสดใส ใช้แป้งฝุ่นสี ขำวผัดหน้ำ และลำำตัวให้ดูผ่อง แต่งหน้ำทำปำกสีฉูดฉำด เขียนคิ้วเข้ม ติด ขนตำปลอมยำว เวที เวทีลิเกมี ๒ แบบ คือ เวทีลิเกแบบเดิม และเวทีลิเกลอยฟ้ำ เวทีลิเก หรือโรงลิเก เป็นเวทีชั่วครำวยกพื้นมีหลังคำ แบ่งพื้นที่เป็น ๓ ส่วน คือ เวทีแสดง เวทีดนตรี และหลังเวที สำำหรับผู้แสดงพักผ่อน เวทีแสดงมี ระบำยแขวนเป็นกรอบเวที โดยมีชื่อคณะ และสถำนที่ติดต่ออย่ำงชัดเจน กำรจัดพื้นที่ของเวทีลิเกในปัจจุบันมี ๒ แบบ แบบเดิมมีเวทีดนตรีอยู่ถัดเวที แสดงไปทำงขวำของผู้แสดง แบบใหม่มีเวทีดนตรีเป็นยกพื้นอยู่ด้ำนหลัง เวทีแสดง ฉำกลิเกมี ๒ แบบ คือ ฉำกเดี่ยว ทำำด้วยผ้ำใบเขียนเป็นรูปท้อง พระโรง พร้อมหลืบผ้ำใบเขียนสีอีก ๑ คู่ กับผ้ำระบำยด้ำนบนเขียนชื่อ
  • 20. คณะ และฉำกชุด ทำำด้วยผ้ำใบเขียนสีเป็นสถำนที่ต่ำงๆ ตำมท้องเรื่อง เช่น ท้องพระโรง ห้องรับแขก ป่ำ ถำ้ำ นำ้ำตก แต่ละฉำกม้วนเก็บไว้เหนือเวที แสดง อุปกรณ์ฉำกเป็นตั่งหรือเตียงไม้ ขนำดพอนั่งแสดงได้ ๓ คน มีตั่ง เพียงตัวเดียว ก็ใช้ได้อเนกประสงค์ เวทีลิเกแบบเดิม เป็นเวทีติดดินหรือยกพื้นเล็กน้อย ทำำด้วยไม้ มีหลังคำที่เป็นทรงหมำแหงน แบ่งพื้นที่เป็น ๓ ส่วนคือ เวทีแสดง หลังเวทีซึ่งใช้สำำหรับเตรียมตัวก่อน ออกแสดง หรือพักผ่อน และเวทีดนตรี เวทีลิเกมีขนำดมำตรฐำนคือ กว้ำง ๖ เมตร ลึก ๖ - ๘ เมตร มีฉำกผ้ำกั้นกลำงสูง ๓.๕ เมตร หน้ำฉำกเป็นเวที แสดง หลังฉำกเป็นหลังเวที ถัดจำกเวทีแสดงไปทำงขวำมือของผู้แสดง เป็นเวทีดนตรี สูงเสมอกัน ขนำดกว้ำง ๓ เมตร ลึก ๔ เมตร บนเวทีแสดงมี ตั่งอเนกประสงค์ตั้งกลำงประชิดกับฉำก เวทีลิเกลอยฟ้ำ เป็นเวทีที่พัฒนำขึ้นประมำณ พ.ศ. ๒๕๒๕ โดยขยำยควำมกว้ำงของเวที แสดงออกไปเป็น ๑๐ - ๑๒ เมตร ลึก ๔ - ๕ เมตร สูง ๑ เมตร เวทีดนตรีอยู่ ตรงกลำงระหว่ำงเวทีแสดงกับหลังเวที ยกสูงจำกพื้นเวทีแสดง ๑.๕๐ - ๒.๐๐ เมตร ลึกประมำณ ๒.๕ เมตร มีฉำกไม้อัดเขียนลำยอยู่ด้ำนหลังวง ดนตรี หลังเวทีกว้ำง ๑๒ เมตร ลึก ๔ - ๕ เมตร ไม่มีหลังคำ หน้ำเวทีแสดง มีเสำแขวนป้ำยผ้ำบอกชื่อคณะลิเก ยำวตลอดหน้ำกว้ำงของเวที สองข้ำง เวทีมีหลืบไม้อัด สำำหรับบังผู้แสดงเข้ำออก ตรงกลำงเวทีแสดงตั้งตั่ง อเนกประสงค์
  • 21. ฉำก ฉำกลิเกเป็นฉำกผ้ำใบเขียนเป็นภำพต่ำงๆ ด้วยสีที่ฉูดฉำด ฉำกลิเกแบ่ง เป็น ๓ ประเภท คือ ฉำกชุดเดี่ยว ฉำกชุดใหญ่ และฉำกสำมมิติ ฉำกชุดเดี่ยว คือ มีฉำกผ้ำใบ ๑ ชั้น เป็นฉำกหลัง เขียนภำพท้องพระโรงขนำด ๓.๕ x ๕ เมตร และ/หรือผ้ำใบ ๒ ผืน อยู่ทำงด้ำนซ้ำย - ขวำของเวที เขียนเป็น ภำพประตูสมมติให้เป็นทำงเข้ำ - ออกของผู้แสดง และมีระบำยผ้ำเขียนชื่อ คณะลิเกอีก ๑ ผืน ฉำกชุดเดี่ยวนี้เป็นฉำกมำตรฐำนของลิเก ที่จัดแสดง เพียงคืนเดียว ฉำกชุดใหญ่ คือ ฉำกผ้ำใบเช่นเดียวกับฉำกชุดเดี่ยว แต่ฉำกหลังมีหลำยผืน เขียนเป็น ภำพแสดงสถำนที่ต่ำงๆ ที่กำรแสดงลิเกมักใช้ดำำเนินเรื่อง เช่น ฉำกท้อง พระโรงแทนเมือง ฉำกป่ำ ฉำกอุทยำน ฉำกกระท่อม ฉำกแต่ละผืนจะม้วน กับแกนไม้ไผ่ แขวนซ้อนกันอยู่เหนือเวที หลังตั่งอเนกประสงค์ โดยจะคลี่ ออกมำใช้ หรือม้วนเก็บขึ้นไป เมื่อเปลี่ยนฉำก ฉำกชุดใหญ่จะมีสีสัน ถ้ำ เจ้ำภำพต้องกำรเป็นพิเศษ หรือมีกำรแสดงติดต่อกันหลำยเดือน ฉำกสำมมิติ คือ ฉำกผ้ำใบที่เขียนให้ดูคล้ำยจริง เช่น ฉำกป่ำจะมีฉำกหลังเขียนเป็น ทิวทัศน์ของป่ำจริงๆ และมีผ้ำใบเขียนเป็นต้นไม้เถำวัลย์ ฯลฯ ตัดเจำะ เฉพำะลำำต้นและใบ แขวนห้อยสลับซับซ้อนกัน มีแสงสีสำดส่องเห็นฉำกลึก เป็นสำมมิติ ฉำกสำมมิติจะมีหลำยฉำกเพื่อให้เหมำะแก่กำรแสดงลิเก ประเภทปิดวิก ซึ่งเก็บค่ำเข้ำชมกำรแสดง โดยแสดงเรื่องหนึ่งติดต่อกัน
  • 22. หลายคืนจนจบ และต้องแสดงความงดงามสมจริงของฉากเพื่อให้ผู้ชม ติดใจกลับมาชมอีก ดนตรี ดนตรีสำาหรับการแสดงลิเก บรรเลงด้วยวงปี่พาทย์ ๒ แบบ คือ วงปี่พาทย์ ไทย และวงปี่พาทย์มอญ เพลงที่ใช้บรรเลงเป็นเพลงในอัตราสองชั้น ที่ใช้ กับละครรำาของไทย กับเพลงลูกทุ่งยอดนิยม ที่ผู้แสดงลิเกนำามาร้อง เพื่อ เรียกความสนใจจากผู้ชม วงปี่พาทย์ไทย และวงปี่พาทย์มอญ มีเครื่องดนตรีคล้ายคลึงกัน ต่างกันที่ ตะโพนกับฆ้องวง ตะโพนมอญมีขนาดใหญ่กว่าตะโพนไทย ฆ้องวงมอญ วางตั้งฉากกับพื้น ส่วนฆ้องวงไทยวางราบกับพื้น เครื่องดนตรีที่สำาคัญ ได้แก่ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ปี่ใน ปี่นอก ปี่มอญ ปี่ ชวา ขลุ่ย ฉิ่ง ฉาบเล็ก ฉาบใหญ่ กลองทัด ตะโพนไทย ตะโพนมอญ และ เปิงมางคอก เครื่องดนตรีดังกล่าวของปี่พาทย์แต่ละวงมีจำานวนต่างกัน เครื่องดนตรีที่สำาคัญและจะขาดไม่ได้คือ ระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ตะโพน มอญ ตะโพนไทย และฉิ่ง องค์ประกอบอื่นๆ ที่สำาคัญ การผสมโรง หมายถึง การที่ผู้แสดงลิเกมารวมตัวกันเป็นคณะ เพื่อทำาการแสดงครั้งหนึ่ง เดิมคณะลิเกเป็นการรวมตัวที่ค่อนข้างถาวร มีหัวหน้าคณะ หรือโต้โผ และ มีลูกโรงคือ ผู้แสดง กินอยู่ด้วยกัน และแสดงเป็นระยะเวลานานๆ โดยที่ผู้ แสดงเหล่านั้น มักเป็นญาติพี่น้องกัน และอาจมีผู้แสดงที่ไม่ใช่เครือญาติกัน มาร่วมแสดงเป็นครั้งคราว ปัจจุบัน คำาว่า คณะลิเก หมายถึง บุคคลกลุ่มเล็ก ที่ประกอบด้วยโต้โผ ทำาหน้าที่หาหรือรับงานมาจัดแสดง โดยมีภรรยาและ ลูกหลานอีก ๒ - ๓ คน เป็นแกนนำาในการแสดง จากนั้นก็เรียกผู้แสดงที่
  • 23. เคยร่วมงานกันมาผสมโรงให้มีจำานวนพอที่จะแสดงในครั้งนี้ได้ ผู้แสดงทุก คนมีเครื่องแต่งกายและเครื่องแต่งหน้าของตัวเอง ในส่วนของวงดนตรีก็ เช่นเดียวกัน เมื่อได้รับการว่าจ้างจากโต้โผลิเกแล้ว โต้โผวงปี่พาทย์ก็ไป เรียกนักดนตรีที่เคยเล่นประจำาวงมาร่วมกันบรรเลง เมื่องานแสดงลิเกครั้ง นั้นเสร็จสิ้นลงแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปรองานหรือหางานใหม่ ถ้าโต้โผที่ เคยร่วมงานกันจองตัวไว้ก็จะให้โอกาสก่อน การผสมโรงเช่นนี้ทุกคนต้อง รับผิดชอบตนเอง ความรุ่งเรืองหรือความเสื่อมเป็นเรื่องเฉพาะตน การที่ผู้ แสดงทุกคนต้องรับผิดชอบงานและชีวิตของตนเองย่อมส่งผลดีให้แก่ วงการลิเกในภาพรวม ลิเกจึงดำารงอยู่ได้ตลอดมา ผู้ชม ผู้ชมลิเกส่วนใหญ่เป็นสตรีวัยกลางคนขึ้นไป กลุ่มรองลงมาคือ เด็ก ส่วนวัย รุ่น และหนุ่มสาว มีน้อย ผู้ชมสนใจความสวยงามของผู้แสดง และเครื่อง แต่งกาย รวมทั้งคำากลอน การแสดงบทบาทในอารมณ์ต่างๆ และบทตลก ผู้ ชมลิเกครั้งหนึ่งๆมีประมาณ ๓๕๐ - ๕๐๐ คน พวกที่ตั้งใจมาชม จะให้เด็ก นำาเสื่อ หรือหนังสือพิมพ์มาปูจอง ที่นั่งด้านหน้า ขณะที่ลิเกกำาลังแสดง ถ้าผู้ ชมเกิดความพอใจผู้แสดงคนใด ซึ่งโดยมากจะเป็นตัวพระเอก ก็จะลุกขึ้น มาที่หน้าเวทีแล้วมอบเงินรางวัล หรือคล้องพวงมาลัย ประดับธนบัตรเป็น รางวัล ผู้แสดงจะมารับรางวัล ในช่วงที่ปี่พาทย์บรรเลงรับการร้องเพลง เงินรางวัลที่ได้รับจะเป็นของผู้แสดงคนนั้นโดยเฉพาะ แม่ยก เป็นผู้ชมผู้หญิงที่ติดตามชม และสนับสนุนเงินรางวัลแก่ผู้แสดงชาย หรือ พระเอกลิเกคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ คำาว่า “แม่ยก” มาจากคำาที่ผู้แสดง เรียกผู้ชมกลุ่มนี้ว่า “แม่”ด้วยความ “ยกย่อง” เงินรางวัลจากแม่ยก เป็น รายได้ที่สำาคัญอย่างยิ่ง สำาหรับพระเอกลิเก อีกทั้งเป็นปัจจัยสำาคัญ ที่ทำาให้
  • 24. ลิเกยังคงอยู่ และเป็นสิ่งดึงดูดใจเยาวชนให้สนใจ ที่จะเข้ามาสืบทอดการ แสดงลิเกให้คงอยู่ต่อไป สถานภาพของผู้แสดง ผู้แสดงลิเก มี ๒ กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเป็นลูกหลานของลิเก ที่สืบทอดอาชีพกันมา อีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้แสดง ที่มาจากครอบครัวเกษตรกรผู้ยากจน ที่ไม่ ต้องการทนความยากลำาบากในการทำานาทำาไร่ หรือชอบร้องรำาทำาเพลง ก็ มาขออาศัยอยู่กับโต้โผลิเก และฝึกหัดไปแสดงไปพร้อมกัน ประมาณ ๒ - ๓ ปี ก็สามารถออกโรงแสดงได้เต็มตัว ผู้แสดงลิเกส่วนใหญ่ จบการศึกษา ภาคบังคับระดับประถมศึกษา มีบางคนจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา ปวช. ปวส. และอุดมศึกษา บางคนจบการศึกษาจากวิทยาลัยนาฏศิลป ผู้ แสดงส่วนใหญ่มีรายได้พอเลี้ยงตน เมื่อรายได้ลดลงเพราะมีนักแสดงรุ่น ใหม่เข้ามาแทนที่ หรือเมื่อมีอายุมากขึ้นก็เลิกแสดงลิเก และหันไปประกอบ อาชีพอื่น ผู้แสดงที่มีฐานะดี ซึ่งมีจำานวนไม่มาก เมื่อมีอายุมากขึ้น ก็จะ เปลี่ยนสถานภาพไปเป็นโต้โผตั้งคณะลิเกของ ตนเอง ปัจจุบัน ผู้แสดงลิเก มีสถานภาพทางสังคมดีขึ้นกว่าแต่ก่อน สังคมยอมรับ และมีบางคนได้รับ การยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ การประยุกต์เพื่อการสื่อสาร ลิเกเป็นละครพื้นบ้าน ที่เป็นที่นิยมกันในบริเวณภาคกลางของประเทศ ที่ พูดภาษาไทยกลาง ซึ่งเป็นภาษาที่ลิเกใช้แสดง แต่ลิเกก็เป็นที่นิยมในภูมิ ภาคอื่นๆ อยู่บ้าง การแสดงลิเกมีผลต่อการชม การฟัง และการกระตุ้นการ รับข่าวสารของผู้ชม ดังนั้น ลิเกจึงเป็นสื่อสำาคัญที่ทั้งภาครัฐและเอกชนนำา มาใช้เพื่อช่วยส่งข่าวสารไปสู่ผู้ชม เช่น การต่อต้านลัทธิบางอย่างที่เป็น อันตรายต่อความมั่นคงของชาติ การป้องกันและการรักษาสุขภาพอนามัย
  • 25. และโภชนาการ การเสริมสร้างลัทธิชาตินิยมและทำานุบำารุงศิลปวัฒนธรรม ซึ่งนับว่าได้ผลดี บรรณานุกรม ครูพร (วัชรีพร ลีลานันทกิจ) บ้านรำาไทย ดอท คอม http://www.banramthai.com/ บ้านรำาไทย 40 ซอยช่างอากาศอุทิศ 5 ถนนช่างอากาศอุทิศ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทร : 08- 4147-6061 , 08-6068-5523 แฟ็กซ์ : 02-929-5911 อีเมล : banramthai@hotmail.com , banramthai@gmail .com นายสุรพล วิรุฬห์รักษ์ สถ.บ. (เกียรตินิยม) คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย M. Architecture และ M.A. (Drama and Theatre) University of Washington, U.S.A. Ph.D. (Drama and Theatre) University of Hawaii, U.S.A. ศาสตราจารย์ประจำาภาควิชาวาทวิทยาและสื่อสารการแสดง คณะ นิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประธานคณะกรรมการหลักสูตรศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิต (สาขานาฏยศิลป์ ไทย) คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • 26. ผู้อำานวยการหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการจัดการทาง วัฒนธรรม บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สารานุกรมไทยสำาหรับเยาวชนฯ เล่ม ๒๗เรื่องที่ ๑ ลิเก http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php? book=27&chap=1&page=t27-1-suggestion.html http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php? book=27&chap=1&page=t27-1-detail.html http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php? book=27&chap=1&page=t27-1-infodetail01.html http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php? book=27&chap=1&page=t27-1-infodetail02.html http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php? book=27&chap=1&page=t27-1-infodetail03.html http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php? book=27&chap=1&page=t27-1-infodetail04.html http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php? book=27&chap=1&page=t27-1-infodetail05.html โครงการสารานุกรมไทยสำาหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โครงการสารานุกรมไทยฯ สนามเสือป่า ถนนศรีอยุธยา เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทรศัพท์ 0-2280-6502, 0-2280-6507, 0-2280-6515, 0-2280- 6538, 0-2280-6541 โทรสาร 0-2280-6580, 0-2280-6589 พิมพ์ขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๔๖