More Related Content
Similar to นางสาว ดรัญพร โกฏิเเก้ว (20)
นางสาว ดรัญพร โกฏิเเก้ว
- 1. 1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5
ปีการศึกษา 2562
ชื่อโครงงาน 6 หัวใจสาคัญ ของการใช้จิตวิทยาเชิงบวกปรับพฤติกรรมลูก
ชื่อผู้ทาโครงงาน
ชื่อ น.ส.ดรัญพร โกฏิแก้ว เลขที่ 9 ชั้น ม.6 ห้อง 11
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานร่วม (ถ้ามี)…………………………………………………
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 62
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 2. 2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม
1 น.ส.ดรัญพร โกฏิแก้ว เลขที่ 9
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
6 หัวใจสาคัญ ของการใช้จิตวิทยาเชิงบวกปรับพฤติกรรมลูก
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
6 key points of using positive psychology to adjust child behavior
ประเภทโครงงาน : การให้ความรู้เกี่ยวกับการวิจัยในการใช้จิตวิทยาในการเลี้งลูก
ชื่อผู้ทาโครงงาน : น.ส.ดรัญพร โกฏิแก้ว
ชื่อที่ปรึกษา : ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน : 11 กันยายน 2562 – 30 กันยายน 2562
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน)
เกิดปัญหาจากการที่พ่อ แม่ ไม่เข้าใจลูกหรือไม่รับฟังปัญหาของลูก การเลี้ยงลูกด้วยจิตวิทยาเชิงบวกได้รับ
ความสนใจจากคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ที่อยากนามาปรับใช้ในการเลี้ยงลูกกันมากขึ้น กุมารแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้าน
พัฒนาการเด็ก รวมไปถึงเพจว่าด้วยการเลี้ยงลูกและหนังสือสาหรับพ่อแม่หลายต่อหลายเล่มต่างแนะนาว่า จิตวิทยา
เชิงบวกคือหนทางที่ไม่เพียงสามารถเชื่อมความสัมพันธ์ในครอบครัวระหว่างพ่อแม่ผู้ปกครองและลูกอย่างได้ผล
แนวทางนี้ยังมีงานวิจัยและหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นเหตุเป็นผลอธิบายการแสดงออกทางพฤติกรรมและวิธีปรับ
พฤติกรรมของลูกซึ่งพ่อแม่สามารถปฏิบัติได้จริง เด็กทุกคนเกิดมาเพื่อเป็นเจ้าของชีวิตตัวเองแต่แล้วความสั่นคลอนก็
เริ่มมาเยือนโดยปกติแล้วเด็กเล็กช่วงอายุ 0-7 ปี จะเป็นช่วงที่ติดแม่มาก อันนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะแม่เป็นแหล่ง
พึ่งพิงทั้งทางกาย (กินนม) และใจ (ความรู้สึกไว้วางใจมนุษย์และโลก) ช่วงขวบปีแรกของทารกเป็นช่วงเวลาการสร้าง
ความรู้สึกไว้วางใจโลก (trust & attachment) ช่วง 1-3 ปี เป็นช่วงเวลาของการสร้างตัวตน (self) ช่วงวัย 4-6
ปี เป็นช่วงของการริเริ่มสิ่งใหม่ (self -esteem) หลังจากนั้นคืออายุ 7-14 ปี เด็กจะต้องเริ่มสร้างตัวตนของตัวเอง
ขึ้นมาใหม่โดยไม่พึ่งพิงกับแม่อีก เพื่อพิสูจน์ความสามารถในการควบคุมตนเอง (self-control) ในกรณีเด็กหญิง แม่
อาจเห็นความเปลี่ยนแปลงไม่ชัดเจนนัก (เพราะเด็กผู้หญิงจะยังมีแม่เป็นแบบอย่างไปอีกหนึ่งช่วงวัย) แต่สาหรับฉันที่มี
ลูกชาย การเปลี่ยนแปลงนี้มันเข้ามาเร็วมากจนเราไม่ได้ตั้งตัว ฉะนั้นเด็ดทุกคนจะไม่ชอบเวลาที่พ่อ แม่บ่นหรือจู้จี้ เรา
ได้สังเกตว่าเด็ดที่เข้าสู่วัยรุ่นมักจะต้องการเหตุผลมากกว่าที่จะต้องมานั่งฟังพ่อ แม่ หรือมีคนตามพ่อ แม่ ต้องใช้เหตุผล
กับลูกให้มากๆหรือให้การสนับสนุนในกิจกรรมต่างๆที่ลูกสนใจแต่ก็ต้องสนับสนุนให้เหมาะสมกับวัยของลูกด้วย
- 3. 3
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
1. นาหลักการอันเป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์ และการศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมาพัฒนาคุณภาพชีวิต
มนุษย์ให้เป็นคนดีและมีความสุข
2. โฟกัสไปที่จุดแข็งของบุคคลและปัจจัยแวดล้อมที่มีอิทธิพล เช่น พ่อแม่ เพื่อน ครู ชุมชนหรือสังคม
ความสัมพันธ์กับปัจจัยแวดล้อมเหล่านั้นจะส่งผลต่อความสุข
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
การเลี้ยงลูกเชิงบวกนั้นตั้งอยู่บนหลักจิตวิทยาเชิงบวก (Positive Psychology) จิตวิทยาดั้งเดิมนั้นเน้น
เฉพาะอาการปัญหาของโรคกับวิธีรักษาเป็นหลัก ในขณะที่จิตวิทยาเชิงบวกแตกออกมาด้วยจุดประสงค์ที่จะนา
หลักการอันเป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์ และการศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมาพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์ให้
เป็นคนดีและมีความสุข โดยโฟกัสไปที่จุดแข็งของบุคคลและปัจจัยแวดล้อมที่มีอิทธิพล เช่น พ่อแม่ เพื่อน ครู ชุมชน
หรือสังคม ความสัมพันธ์กับปัจจัยแวดล้อมเหล่านั้นจะส่งผลต่อความสุข การมองโลกในแง่บวก การปรับตัวยืดหยุ่น
ความฉลาดทางอารมณ์ ความคิดสร้างสรรค์ ความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น
หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน)
1. ความอบอุ่นปลอดภัย และไว้วางใจระหว่างกัน ข้อนี้สาคัญเป็นอันดับหนึ่ง วิธีคิด และคุณค่าความดีงามจะ
งอกงามขึ้นในใจเขาได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าลูกได้รับความรัก ความเอาใจใส่เพียงพอหรือไม่ ความรู้สึกปลอดภัย มีคุณค่า
ในตัวเองจะเกิดขึ้น เมื่อพ่อแม่เปิดใจยอมรับในความชอบ ความต้องการของเขาด้วยความเข้าใจ อย่าทาให้บ้านเป็นที่ที่
อยู่แล้วรู้สึกกดดัน หวาดกลัว
2. ค้นหาและโฟกัสที่จุดแข็งหรือด้านดีของลูกเป็นหลัก ให้พื้นที่กับด้านสว่างของเขาเป็นคาชมและกาลังใจใน
สิ่งที่เขาทาดี (positive reinforcement) ผศ.ดร.อุษณี โพธิสุข ผู้เขียนหนังสือ ‘เมื่อลูกรักมีปัญหา’ แนะนาวิธีเสริมจุด
แข็งของลูกจากประสบการณ์ในการทางานกับเด็กที่มีปัญหาระดับรุนแรงในโรงเรียนพิเศษสาหรับเด็กกลุ่มนี้และเป็นที่
ปรึกษาให้พ่อแม่ผู้ปกครองมากว่า 20 ปี ไว้ดังนี้
3. การสื่อสารในบ้านระหว่างพ่อแม่กับลูกต้องอยู่บนความเข้าใจและเมตตาธรรม ดร.โธมัส กอร์ดอน
(Thomas Gordon) ผู้เขียนหนังสือ ‘P.E.T. Parenting Effective Training’ และเปิดคอร์สอบรม ‘ห้องเรียนพ่อแม่’
ในสหรัฐอเมริกา เพื่อช่วยให้พ่อแม่เข้าใจลูกมากขึ้น เสริมสร้างความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นจากการลดช่องว่างระหว่างวัย
และบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างครอบครัว ชี้ว่ากุญแจที่จะไขประตูใจของลูกให้เปิดออกได้คือ การสื่อสารที่แสดง
ให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่ยอมรับและให้ความสาคัญกับปัญหาของเขา
4. สอนการควบคุมอารมณ์ (self-control) แต่ก่อนจะสอนลูกไม่ให้ใช้อารมณ์เหวี่ยงวีน พ่อแม่ต้องย้อนดูที่
ตนเองก่อน เวลาโมโห ใช้อารมณ์คุยกับลูก แดกดัน ประชดประชันเสียดสีรึเปล่า หรือพ่อแม่บางคนเลือกที่จะเก็บซ่อน
ความโกรธ โมโหหรืออารมณ์ด้านลบทุกอย่างไม่ให้ลูกเห็นเลย เดินหนีทุกครั้งที่ตนหงุดหงิดหรือตอนลูกระเบิดอารมณ์
5. พ่อแม่ต้องตกลงเรื่องวินัยและกติกาในบ้านให้ไปทิศทางเดียวกัน ไม่ใช่พ่อรับฟังและใช้ความเข้าใจ ให้อิสระ
ในการคิด แต่แม่ไม่ยืดหยุ่นเข้มงวดทุกกระเบียด นอกจากลูกจะเกิดความสับสน เกิดการเลือกข้างและปิดกั้นแม่
6. คานึงเสมอว่า ‘เด็กคือผ้าหลากสี’ อย่าเปรียบลูกของเรากับลูกของคนอื่น อย่ามองว่าเขาดีกว่าหรือด้อยกว่า
พี่ หรือเพื่อนในชั้น พยายามทาความเข้าใจว่าแต่ละคนมีพื้นฐานอารมณ์ ความถนัดไม่เหมือนกัน เด็กแต่ละคนเหมือนสี
คนละสี เฉดเข้มอ่อนคละกันไป บางคนว่านอนสอนง่าย ในขณะที่บางคนซน มีพลังล้นเหลือ พ่อแม่ต้องยืดหยุ่นปรับวิธี
เลี้ยงดูให้เหมาะสมกับเขา
- 4. 4
วิธีดาเนินงาน
แนวทางการดาเนินงาน
1. บ้าน – บรรยากาศในครอบครัวอบอุ่นเป็นมิตรกับลูก ลูกพูดคุยกับพ่อแม่ได้โดยไม่ต้องกลัว พ่อแม่ไม่เอาแต่
สั่ง พอไม่ทาหรือผิดพลาดก็เฆี่ยนตี ลิดรอนความคิดเห็นและการแสดงออกของลูก รวมถึงบรรยากาศที่พ่อแม่และ
บุคคลในครอบครัวปฏิบัติต่อกัน
2. โรงเรียน – ต้องเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความคิด ออกความเห็น เป็นตัวของตัวเอง ฝึกความกล้าหาญและ
รับผิดชอบในการตัดสินใจ ไม่ยัดเยียดกฎระเบียบให้เอาแต่ปฏิบัติตามคาสั่ง หรือสร้างบรรยากาศของการแข่งขันและ
กดดัน
3. เพื่อน – เพื่อนที่เขาคบเป็นอย่างไร
4. ชุมชน – ความเป็นอยู่ ผู้คนที่ครอบครัวคบหาสนิทสนม ค่านิยมที่บ้านหรือสังคม ตลอดจนวัฒนธรรม
ประเพณีที่ชุมชนยึดถือล้วนหล่อหลอมความคิด บุคลิกภาพ และการมองโลกของเขาในทางใดทางหนึ่ง
5. สภาวการณ์แวดล้อมอื่นๆ – เช่น การใช้เวลากับโซเชียลมีเดีย สื่อต่างๆ เกม ดนตรี ภาพยนตร์
เหล่านี้เป็นตัวแปรที่มีอิทธิพลกับพัฒนาการสมองส่วนคิดทั้งสิ้น ลูกที่เติบโตในระบบนิเวศที่อบอุ่น ได้รับการเอาใจใส่ที่
เหมาะสม พัฒนาการสมองส่วนคิดก็จะแข็งแรง เวลาสมองส่วนอารมณ์และสัญชาตญาณกระตุ้นให้ทาบางสิ่งที่จะไปทา
ร้ายคนอื่น สมองส่วนคิดที่มีภูมิคุ้มกันนี้จะทาหน้าที่ยับยั้งสิ่งเหล่านั้นได้
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
เครื่องมือหรืออุปกรณ์ของโครงงานนี้ไม่ต้องใช้อะไรเลยแค่ใช้เพียง ความรู้สึก การมีเหตุผลในด้าน
จิตวิทยาและการเข้าใจในตัวของลูก
- 5. 5
ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลาดับ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9
1
0
1
1
12
1
3
1
4
1
5
16 17
1 คิดหัวข้อโครงงาน
2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล
3 จัดทาโครงร่างงาน
4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน
5 ปรับปรุงทดสอบ
6 การทาเอกสารรายงาน
7 ประเมินผลงาน
8 นาเสนอโครงงาน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน)
จากข้อมูลที่ดิฉันได้ศึกษาและสนใจดิฉันหวังว่าผู้ที่เข้ามาอ่านและสนใจเรื่องนี้ จะได้รับผลประโยชน์จากการอ่าน
โครงงานนี้และสามารถนาไปปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน ในการเลี้ยงดูแลเด็กของท่านให้เกิดผลมากที่สุด
สถานที่ดาเนินการ
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
คอมพิวเตอร์ วิทยศาสตร์ หน้าที่พลเมือง สังคมศึกษา
แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน)
https://thepotential.org/2019/03/29/positive-psychology-sixth/