More Related Content Similar to สงครามโลก Ohm (20) More from Taraya Srivilas More from Taraya Srivilas (18) สงครามโลก Ohm2. สงครามโลกครั้งที่ 1
• เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกของความขัดแย้งระดับโลก
• สงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มใน ค.ศ. 1914 สิ้นสุดในค.ศ. 1918 เป็นความ
ขัดแย้งระหว่างมหาอานาจ 2 ค่าย คือ ประกอบด้วย เยอรมนี ออสเตรีย – ฮังการี
และอิตาลี (ผู้นาสาคัญ คือบิสมาร์ค แห่งเยอรมนี) กับฝ่าย ประกอบด้วย Triple
Entente ได้แก่ บริเตนใหญ่ ( อังกฤษ ) ฝรั่งเศส และรัสเซีย
• การรบเริ่มขึ้นหลังการลอบสังหารมกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย – ฮังการี และ
สิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของมหาอานาจกลาง หรือ Triple Alliance
• มีการทาสนธิสัญญาแวร์ซายส์ บังคับให้เยอรมนีและพันธมิตรเสียค่า
ปฏิกรรมสงครามชดใช้จานวนมหาศาลและเสียดินแดนที่เป็นอาณานิคมให้แก่ฝ่าย
Triple Entente
4. สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ ๑
๑. ลัทธิชาตินิยม (Nationalism) เป็นความรู้สึกรักและภูมิใจในชาติของตน
อย่างรุ่นแรง
๒. ลัทธิจักรวรรดินิยม (Imperialism) ชาติมหาอานาจในยุโรปได้ขยายอานาจ
และอิทธิพลออกไปสู่ดินแดนนอกทวีป
๓. การแบ่งกลุ่มพันธมิตรยุโรป (Alliance System) ในปี ค.ศ. 1914
เป็นเวลาที่สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้น ซึ่งขณะนั้นมหาอานาจยุโรปถูกแบ่ง
ออกเป็น 2 ฝ่าย
๔. ความขัดแย้งทางการทหาร และการสะสมอาวุธ ทั้งบางบกและทางทะเล
(Militarism) การเจริญเติบโตของลัทธิชาตินิยมและลัทธิจักรวรรดินิยม
นาไปสู่การใช้กองกาลังทหารและสะสมอาวุธทางทหารที่เพิ่มขึ้น
5. สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 1
1. ลัทธิชาตินิยม (Nationalism)
การเกิดลัทธิชาตินิยมจากคริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา ทาให้เกิดระบบรวม
รัฐชาติ สร้างระบบรวมอานาจเข้าสู่ส่วนกลาง รัฐชาติในประเทศยุโรปต่าง
แสวงหาความเป็นมหาอานาจ ทั้งทางทหารและเศรษฐกิจ รัฐชาติหมายถึง รัฐ
หรือประเทศที่ประชาชนมีความรู้สึกผูกพันกัน มีความสามัคคี ภาคภูมิใจใน
ความเป็นชาติ จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ความรักชาติที่รุนแรงจนเป็น
ลัทธิชาตินิยม ทาให้เชื่อว่าชาติตนเหนือกว่าชาติอื่น ผลักดันชาติของตน
ได้เปรียบชาติอื่นไม่ว่าด้านเศรษฐกิจ หรือการทหาร นาไปสู่การแข่งขัน
อานาจกัน จนกลายเป็นสงคราม เช่น สงครามการรวมอิตาลี การรวมเยอรมนี
จนถึงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
6. สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 1 (ต่อ)
2. ลัทธิจักรวรรดินิยม (Imperialism)
• ลัทธิจักรวรรดินิยม หมายถึงประเทศที่พัฒนา แล้วประสบความสาเร็จ
ด้านเศรษฐกิจ การทหาร และวิทยาศาสตร์ เข้าครอบครอง ที่ด้อยพัฒนากว่า
ซึ่งเป็นผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม
• ลัทธิจักรวรรดินิยมเริ่มจากปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ทาให้ต้องการวัตถุดิบและตลาดสาหรับระบายสินค้าที่ผลิต
• มหาอานาจยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ปรัสเซีย (เยอรมนี) เนเธอร์แลนด์
ต่างแข่งขันกันขยายอานาจ เพื่อสร้างอาณาจักร
โดยการครอบครองดินแดนในทวีปเอเชียอเมริกากลาง
และอัฟริกา ครอบงาทางวัฒนธรรม และวิถีชีวิต เพื่อเป็น
แหล่งเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้เมืองแม่ได้เปรียบในการ
แข็งขันมากขึ้น
7. สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 1 (ต่อ)
3. การแบ่งกลุ่มพันธมิตรยุโรป (Alliance System)
• ในปี ค.ศ. 1914 เป็นเวลาที่สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้น ซึ่งขณะนั้นมหาอานาจยุโรปถูกแบ่ง
ออกเป็น 2 ฝ่าย
• ฝ่ายหนึ่งประกอบด้วยเยอรมนี รัสเซียและออสเตรีย-ฮังการี ได้ทาสนธิสัญญาพันธไมตรี
ไตรภาคี (Triple Alliance) ภายหลังรัสเซียได้ถอนตัวไปและอิตาลีเข้ามา กลุ่มนี้จึง
ประกอบด้วยเยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และอิตาลี
• อีกฝ่ายหนึ่งฝรั่งเศสกับรัสเซีย ได้ทาสนธิสัญญาพันธไมตรีฝรั่งเศส-รัสเซีย ต่อมาอังกฤษได้
เข้าร่วมเป็นพันธมิตรจึงเกิดเป็นกลุ่มประเทศความตกลงไตรภาคี (Triple Entente)
• มหาอานาจทั้ง 2 กลุ่ม พยายามที่จะโน้มน้าวให้ประเทศอื่นๆ เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรของตน
ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยินยอมกันแข่งกันสะสมกาลังอาวุธ เมื่อเกิดข้อขัดแย้งที่รุนแรง จึงหา
ทางออกด้วยการทาสงคราม
10. สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 1 (ต่อ)
4. ความขัดแย้งทางการทหาร และการสะสมอาวุธทั้งบางบกและทางทะเล
(Militarism)
• โดยต่างประเทศต้องการพยายามสร้างอาวุธให้ทัดเทียมชาติศตรู อันมา
เนื่องจากความระแวง สงสัย หวาดกลัวซึ่งกันและกัน เช่น เยอรมนีแข่งขัดกัน
ด้านอาวุธทางทะเล เยอรมนีแข่งขันกันขยายกาลังพลทางบกกับฝรั่งเศส
12. ชนวนของสงครามโลกครั้งที่ ๑
• การลอบปลงพระชนม์เจ้าชายฟรานซิส เฟอร์ดินานด์ องค์รัชทายาทของจักรวรรดิ
ออสเตรีย- ฮังการี โดยฝีมือของกัฟริโล ปรินซิปชาวบอสเนีย ออสเตรีย-ฮังการี
ขณะเสด็จประพาสนครหลวงแคว้นบอสเนีย เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 จึง
ประกาศสงครามกับเซอร์เบีย โดยมีรัสเซียเข้ามาช่วยเซอร์เบีย เยอรมนีจึงประกาศ
สงครามกับรัสเซีย ฝรั่งเศส และอังกฤษเข้าร่วมมือกับรัสเซีย
18. ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1
สงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1918 โดยฝ่ายเยอรมนีพ่ายแพ้
ยอมยุติสงครามเพื่อขอเจรจาทาสนธิสัญญาสงบศึกกับฝ่ายพันธมิตร
ผลของสงครามได้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้แก่ 2 ฝ่าย คือ
1. ด้านสังคม สงครามโลกครั้งที่ 1 ทาให้มีผู้เสียชีวิตหลายล้านคน ผู้บาดเจ็บ
และทุพพลภาพจานวนมาก หลายคนเป็นโรคจิตที่เกิดจากการกลัวภัย
สงคราม อีกทั้งเกิดปัญหาชนพลัดถิ่น
24. ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 (ต่อ)
2. ด้านการเมือง ประเทศมหาอานาจเดิม ได้แก่เยอรมนี ออสเตรีย – ฮังการี และตุรกี
เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต้องทาสนธิสัญญาสันติภาพที่ประเทศผู้ชนะร่างขึ้น 5 ฉบับ คือ
1) สนธิสัญญาแวร์ซายส์ทากับเยอรมนี
2) สนธิสัญญาแซงต์แยร์แมงทากับออสเตรีย
3) สนธิสัญญาเนยยี ทากับบัลแกเรีย
4) สนธิสัญญาตริอานองทากับฮังการี และ
5) สนธิสัญญาแซฟส์ทากับตุรกี (ต่อมาเกิดการปฏิวัติในตุรกีจึงมีการทาสนธิสัญญา
ใหม่เรียกว่า “สนธิสัญญาโลซานน์”) และยุโรปโดยรวมอ่อนแอลง
25. ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 (ต่อ)
3. ด้านเศรษฐกิจ สงครามครั้งนี้มีค่าใช้จ่ายอย่างมหาศาลในการผลิตอาวุธใหม่ ๆ ที่มี
อานาจทาลายล้างสูงกว่าการทาสงครามในอดีต เช่น รถถัง เรือดาน้า แก๊สพิษ
ระเบิด เป็นต้น เพื่อหวังชัยชนะหลังสงครามสิ้นสุดฝ่ายแพ้ต้องจ่ายค่าปฏิกรรม
สงคราม ส่วนฝ่ายชนะรับผิดชอบเลี้ยงดูผู้ประสบภัยและบูรณะประเทศจนทาให้
เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่าทั่วโลก ระบบการเงินทั่วโลกกระทบกระเทือน
26. ผลกระทบของสงคราม
1. มีการก่อตั้งองค์การสันนิบาตชาติ (League Of Nations) เพื่อแก้ปัญหา
ระหว่างประเทศด้วยสันติวิธี และเพื่อป้องกันการเกิดสงครามใน
อนาคต
2. เกิดประเทศเอกราชใหม่ ๆ เช่น ยูโกสลาเวีย เชคโกสโลวาเกีย โปแลนด์
ลัทเวีย ลิทัวเนีย เอสโทเนีย
3. แยกฮังการี ออกจาก ออสเตรีย
4. ประเทศเยอรมนี ออสเตรีย และตูรกี เปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่
ระบบสาธารณรัฐ
28. สนธิสัญญาแวร์ซาย (Treaty of Versailles)
• เป็นสนธิสัญญาสันติภาพที่จัดทาขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1919 ณ พระราชวังแวร์ซาย
ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการยุติสถานะสงครามระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรและจักรวรรดิเยอรมัน
ซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1
• ส่วนกลุ่มประเทศฝ่ายมหาอานาจกลางอื่น ๆ ได้มีการตกลงยกเลิกสถานภาพสงครามด้วย
สนธิสัญญาฉบับอื่น
• ผลจากสนธิสัญญาฯ ได้กาหนดให้จักรวรรดิเยอรมันต้องยินยอมรับผิดในฐานะผู้ก่อสงคราม
แต่เพียงผู้เดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายใต้ข้อตกลงข้อ 231 (ในภายหลังรู้จักกันว่า "อนุประโยค
ความรับผิดในอาชญากรรมสงคราม") และในข้อ 232-248 เยอรมนีถูกปลดอาวุธ ถูกจากัดอาณา
เขตดินแดน รวมไปถึงต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่กลุ่มประเทศฝ่ายไตรภาคีเป็นจานวน
มหาศาล (ราว 31,400 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 6,600 ล้านปอนด์)
30. สนธิสัญญาแวร์ซาย (Treaty of Versailles)
• สนธิสัญญาดังกล่าวได้ถูกบ่อนทาลายด้วยเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นภายหลังปี
ค.ศ. 1932 จนกระทั่งร้ายแรงขึ้นเมื่อคริสต์ทศวรรษ 1930 การแก่งแย่งและเป้าหมาย
ที่ขัดแย้งกันเองของฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ชนะสงครามทา ให้ไม่มีฝ่ายใดพอใจผลการ
ประนีประนอมที่ได้มาเลย การที่ฝ่ายสัมพันธมิตรไม่รื้อฟื้นความสัมพันธ์หรือทาให้
เยอรมนีอ่อนแออย่าง ถาวร ทาให้สนธิสัญญาดังกล่าวเป็นปัจจัยหลักซึ่งนาไปสู่
ความขัดแย้งในภายหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สงครามโลกครั้งที่ 2
31. สนธิสัญญาแวร์ซาย (Treaty of Versailles):
มาตรการที่มีต่อเยอรมนี
การจากัดทางกฎหมาย
• ข้อ 227 แจ้งข้อหาแก่จักรพรรดิแห่งเยอรมนี จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ในฐานะ
ก่ออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ นอกจากนี้ยังถูกพิจารณาว่ามีความผิดฐาน
อาชญากรรมสงคราม
• ข้อ 228-230 ระบุถึงอาชญากรสงครามชาวเยอรมันที่เกี่ยวข้อง
• ข้อ 231 ("อนุประโยคความรับผิดในอาชญากรรมสงคราม") ได้ถือว่าเยอรมนีเป็น
ฝ่ายเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่ส่งผล
ประทบต่อพลเรือนของกลุ่มประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร
32. สนธิสัญญาแวร์ซาย (Treaty of Versailles):
มาตรการที่มีต่อเยอรมนี
การกาหนดกาลังทหาร
ตามที่ได้ระบุไว้ในส่วนที่ 5 ของสนธิสัญญาแวร์ซายว่า "ในความพยายาม ที่จะเริ่มต้นการจากัด
อาวุธของนานาประเทศนั้น เยอรมนีจาเป็นต้องยอมรับและปฏิบัติตามอย่างเข้มงวด ซึ่งปริมาณของ
กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศจะต้องเป็นไปตามที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้“
• แคว้นไรน์แลนด์เป็นเขตปลอดทหาร ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองร่วมกันระหว่าง
สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส
• กองทัพเยอรมันถูกจากัดทหารเหลือเพียง 100,000 นาย การประกาศระดมพลถูกล้มเลิก
• ตาแหน่งทหารชั้นประทวนจะได้ต้องยกเลิกไปเป็นเวลา 12 ปี และตาแหน่งนายทหาร
ชั้นสัญญาบัตรจะต้องได้รับการยกเลิกไปเป็นเวลา 25 ปี
33. สนธิสัญญาแวร์ซาย (Treaty of Versailles):
มาตรการที่มีต่อเยอรมนี
การกาหนดกาลังทหาร
• ห้ามทาการผลิตอาวุธในเยอรมนี และห้ามทาการครอบครองรถถัง ยานยนต์หุ้มเกราะ
เครื่องบินรบและปืนใหญ่ทั้งสิ้น
• ห้ามเยอรมนีนาเข้าและส่งออกอาวุธ รวมไปถึงการผลิตและการครอบครองแก๊สพิษ
• กาลังพลกองทัพเรือถูกจากัดลงเหลือ 15,000 นาย เรือรบ 6 ลา (น้าหนักเรือไม่เกิน 10,000
เมตริกตัน) เรือลาดตระเวน 6 ลา (น้าหนักเรือไม่เกิน 6,000 เมตริกตัน) เรือพิฆาตตอร์ปิโด
12 ลา (น้าหนักเรือไม่เกิน 800 เมตริกตัน) และเรือยิงตอร์ปิโด 12 ลา (น้าหนักเรือไม่เกิน 200
เมตริกตัน) เยอรมนีห้ามมีเรือดาน้าในครอบรอง
• การปิดล้อมทางทะเลต่อเรือถูกสั่งห้าม
34. สนธิสัญญาแวร์ซาย (Treaty of Versailles):
มาตรการที่มีต่อเยอรมนี
การกาหนดพรมแดน
• จากสนธิสัญญาแวร์ซาย ได้กาหนดให้เยอรมนีสูญเสียอาณานิคมทั้งหมด รวมไปถึงดินแดน
บางส่วนของแผ่นดินแม่ โดยดินแดนที่สาคัญ ได้แก่ ดินแดนปรัสเซียตะวันตก ซึ่งต่อมาได้
กลายเป็นสาธารณรัฐโปแลนด์ที่สอง และยังต้องสูญเสียฉนวนโปแลนด์และทางออกสู่ทะเลบอล
ติก นับตั้งแต่ผลของการแบ่งโปแลนด์ และทาให้แคว้นปรัสเซียตะวันออกถูกกีดกันออกไปจาก
แผ่นดินเยอรมนีเป็นดินแดนแทรก
• ยกดินแดนฮุลทชิน ของอัปเปอร์ซิลีเซีย ให้แก่เชโกสโลวาเกีย (คิดเป็นดินแดน 333 ตาราง
กิโลเมตร ประชากรประมาณ 49,000 คน) โดยปราศจากการลงประชามติ
• ยกทางตะวันออกของแคว้นอัปเปอร์ซิลีเซียให้แก่โปแลนด์ (คิดเป็นดินแดน 3,214 ตาราง
กิโลเมตร ประชากรประมาณ 965,000 คน) โดย 2 ใน 3 รวมเข้ากับเยอรมนี และอีก 1 ใน 3
รวมเข้ากับโปแลนด์ตามผลของการลงประชามติ
37. สงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939 – 1945)
• เป็นความขัดแย้งทางทหารระดับโลกซึ่งเกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เพียง 20 ปี มีระยะเวลา
ยาวนานถึง 6 ปี จึงยุติ
• เป็นสงครามครั้งรุนแรงและยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยอุบัติขึ้น ใช้เงินทุนมากที่สุด และทาให้เกิด
ความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์โลก
• ความตึงเครียดระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลงพิสูจน์ให้เห็นว่า
“สงครามไม่สามารถแก้ปัญหาข้อขัดแย้งได้” การเจรจาหลังสงครามยุติ ก็ยิ่งก่อความไม่พอใจกับ
ประเทศที่เกี่ยวข้อง เงื่อนหลายข้อที่เกิดจากสนธิสัญญาสันติภาพแวร์ซายส์ ยังก่อปัญหาเพิ่มขึ้น
จนทาให้สงครามโลกครั้งที่ 2 ( World War II ) เกิดขึ้น
• ประเทศผู้ร่วมสงครามรวมตัวกันเป็นพันธมิตรทางทหารสองฝ่ายคู่สงครามคือ ฝ่ายสัมพันธมิตร
และฝ่ายอักษะ
38. สงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939 – 1945) (ต่อ)
• ลักษณะของสงครามเป็น “สงครามแบบเบ็ดเสร็จ”
• สงครามในครั้งนี้ได้ขยายสมรภูมิรบออกไปทั่วโลก
ในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดยครอบคลุมอาณาบริเวณ
ทั้งในยุโรป แอฟริกาเหนือ เอเชียตะวันออก และ
มหาสมุทรแปซิฟิก เป็นความขัดแย้งในวงกว้าง
ครอบคลุมทุกทวีปและประเทศส่วนใหญ่ในโลก
• สงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุโรปมีคนตาย ราว ๆ 70 ล้าน
คน เป็นฝ่ายพันธมิตร ประมาณ 54 ล้านคน ทหารที่
เสียชีวิตมากที่สุดคือ โซเวียต คือ 10 ล้านคน พลเรือน
ตายมากที่สุด คือเยอรมัน ที่ถูกฆ่าโดยนาซี (ในค่าย
กักกัน) 12 ล้านคน และชาวจีน 7 ล้าน 5 แสนคน
41. สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2
1. ความไม่ยุติธรรมของสนธิสัญญา ข้อบกพร่องของสนธิสัญญาสันติภาพหลัง
สงครามโลกครั้งที่ 1 มีสาเหตุมาจากประเทศชนะสงคราม และประเทศที่
แพ้สงครามต่างก็ไม่พอใจในข้อตกลง เพราะ
สูญเสียผลประโยชน์ ไม่พอใจในผลประโยชน์
ที่ได้รับ โดยเฉพาะสนธิสัญญาแวร์ซายส์
ที่เยอรมันไม่พอใจในสภาพที่ตนต้องถูกผูกมัด
ด้วยสัญญา และต้องการได้ดินแดน ผลประโยชน์
และเกียรติภูมิที่สูญเสียไปกลับคืนมา
หน้าต้นของสนธิสัญญาแวร์ซาย
ฉบับภาษาอังกฤษ
42. สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 (ต่อ)
2. ลัทธิชาตินิยมในประเทศเยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น เนื่องจากความไม่ยุติธรรมของ
สนธิสัญญาแวร์ซายส์ เกิดความรู้สึกอัปยศเสียศักดิ์ศรีของชาติ นาไปสู่การเกิดความรู้สึก
ชาตินิยมรุนแรงให้แก่ชนชาติเยอรมัน ทาให้ผู้นาเยอรมนีหันไปใช้ลัทธินาซีเพื่อสร้าง
ประเทศให้ยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับ เบนิโต มุโสลินี ผู้นาอิตาลีหันไปใช้ลันทธิฟาสซิสต์ ซึ่ง
เน้นความคิดชาตินิยมและขยายดินแดน รวมทั้งการนาสงครามเข้าไปในยุโรปต่างๆ ทาให้
เกิดกรณีพิพาทระหว่างประเทศและนาไปสู่สงคราม
มุโสลินี, ฮิตเลอร์ ผู้นาสูงสุดของเยอรมนี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์
43. สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 (ต่อ)
3. ความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์ทางการเมือง ระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับระบอบ
เผด็จการ ปัญหาทางการเมือง และเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ทาให้หลาย
ประเทศหันไปใช้ระบอบเผด็จการเพื่อแก้ปัญหาภายใน เช่น เยอรมนีและอิตาลี นาไปสู่
การแบ่งกลุ่มประเทศ เพราะประเทศที่มีระบอบการปกครองเหมือนกันจะรวมกลุ่มกัน
4. ความอ่อนแอขององค์การสันนิบาตชาติ เนื่องจากไม่มีกลไกอานาจหรือกองทัพของ
องค์การที่จะบังคับให้ประเทศใดปฏิบัติตามได้ ทาให้ขาดอานาจในการปฏิบัติการและ
ขาดความน่าเชื่อถือ เนื่องจากประเทศมหาอานาจอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียด
ไม่ได้ร่วมเป็นสมาชิกตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง จึงทาให้องค์การสันนิบาต เป็นเครื่องมือของ
ประเทศที่ชนะใช้ลงโทษประเทศที่แพ้สงคราม
44. สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 (ต่อ)
5. นโยบายต่างประเทศที่ไม่แน่นอนของอังกฤษ อังกฤษและฝรั่งเศสซึ่งเป็นมหาอานาจเดิม
ในทวีปยุโรปและเป็นประเทศที่ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอ่อนแอ
ลงหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เนื่องจากประสบกับความเสียหายในช่วงสงครามมาก
ดังนั้นเมื่อมีประเทศที่เข้มแข็งทางทหารเกิดขึ้นและรุกรานประเทศหรือดินแดนที่อ่อนแอกว่า
อังกฤษกับฝรั่งเศสจึงไม่พร้อมที่จะทาตนเป็นผู้ปกป้องได้ ดังนั้นจึงใช้นโยบายรอมชอม ผลก็
คือประเทศที่มีกาลังทหารที่เข้มแข็งและมีนโยบายรุกรานจะทาอะไรได้ตามความพอใจของ
ตนเอง
6. ลัทธินิยมทางทหาร การแข่งขันในการสะสมอาวุธเพื่อสร้างแสนยานุภาพ
ทาให้ประเทศมหาอานาจไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน
45. วิกฤตการณ์สาคัญก่อนสงคราม
1. เยอรมนียกเลิกสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ค.ศ. 1936
2. สงครามอิตาลีรุกรานเอธิโอเปีย ค.ศ. 1936
3. สงครามกลางเมืองสเปน ค.ศ. 1936 – 1939
4. เยอรมนีรวมออสเตรีย ค.ศ. 1938
5. เยอรมนีรวมเชคโกสโลวาเกีย ค.ศ. 1938
6. อิตาลียึดครองแอลเบเนีย ค.ศ. 1939
7. ปัญหาฉนวนโปแลนด์ ค.ศ. 1939
8. การขยายอานาจของญี่ปุ่นในเอเชีย ค.ศ. 1931 – 1939
49. ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2
1. ด้านสังคม
สงครามโลกครั้งที่ 2 ทาให้มีผู้เสียชีวิตไปไม่น้อยกว่า 40 ล้าน คน นอกจากนี้ยังมี
ผู้ประสบเคราะห์กรรมจากภัยสงครามอื่น ๆ อีกเป็นจานวนมาก เช่น บาดเจ็บ
ทุพพลภาพ เป็นโรคจิต โรคระบาด ขาดอาหาร หายสาบสูญ เป็นต้น
2. ด้านการเมือง
ประเทศผู้แพ้สงครามต้องเสียเกียรติภูมิ ต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามต้องเสีย
ดินแดน เสียอาณานิคม และต้องยังยินยอมปฏิบัติตามสนธิสัญญาต่างๆ ที่ฝ่ายชนะ
สงครามวางเงื่อนไขให้ปฏิบัติตาม ดังนี้
50. ผลกระทบของสงคราม
1. มีการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ (UN :United Nations) เพื่อดาเนินงานแทน
องค์การสันนิบาตชาติ ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อรักษาสันติภาพของโลกและให้กลุ่ม
สมาชิกร่วมมือช่วย เหลือกัน และสนับสนุนสันติภาพของโลก รวมทั้งการพัฒนา
ประเทศในด้านต่าง ๆ ซึ่งนับว่ามีความเข้มแข็งกว่าเดิม เพราะสหรัฐอเมริกาเข้าร่วม
เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งและมีกองทหารของสหประชาชาติ
2. การเกิดประเทศเอกราชใหม่ๆ ประเทศที่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก
ต่างประกาศเอกราชของตนเอง ทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชีย และ แอฟริกา และ
บางประเทศถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน เช่น เยอรมนี เกาหลี เวียดนาม
3. สภาพเศรษฐกิจตกต่าทั่วโลก
51. ผลกระทบของสงคราม (ต่อ)
4. ความสูญเสียทางด้านสังคมและทางจิตวิทยา
5. เกิดมหาอานาจของโลกใหม่ คือ สหรัฐอเมริกา และ สหภาพโซเวียต
6. เกิดสงครามเย็น (Cold War) และการแบ่งกลุ่มประเทศระหว่างโลกเสรี
ประชาธิปไตยกับโลกคอมมิวนิสต์
7. ฝ่ายสัมพันธมิตรชนะ มีการนาอาวุธที่ทันสมัยและระเบิดปรมาณูมาใช้ทาให้เกิด
ความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินมากกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1
52. เหตุผลที่ไทยต้องเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2
• ไทยประกาศตนเป็นกลาง แต่ในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ญี่ปุ่นนาเรือรบบุกขึ้น
ชายทะเลภาคใต้ของไทยโดยไม่ทันรู้ตัว รัฐบาลต้องยอมให้ญี่ปุ่นผ่าน ทาพิธีเคารพ
เอกราชกันและกัน
• ผลของการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2ของประเทศไทย
ไทยต้องส่งทหารไปช่วยญี่ปุ่นรบ
เกิดขบวนการเสรีไทย ซึ่งให้พ้นจากการยึดครอง
ไทยได้ดินแดนเชียงตุง และสี่จังหวัดภาคใต้ที่ต้องเสียแก่อังกฤษกลับมา
แต่ต้องคืนให้เจ้าของเมื่อสงครามสงบลง
ไทยได้รับเกียรติเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ
55. การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโระชิมะและนะงะซะกิ (ต่อ)
• หลังการทิ้งระเบิดลูกที่สองเป็นเวลา 6 วัน ญี่ปุ่นประกาศตกลงยอมแพ้
สงครามต่อฝ่ายพันธมิตรเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 และลงนามในตรา
สารประกาศยอมแพ้สงครามมหาสมุทรแปซิฟิกที่นับเป็นการยุติสงครามโลก
ครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการในวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488
• ส่วนนาซีเยอรมนีลงนามตราสารประกาศยอมแพ้และยุติสงครามโลกครั้งที่ 2
ในทวีปยุโรปอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2488
• การทิ้งระเบิดทั้งสองลูกดังกล่าวมีส่วนทาให้ประเทศญี่ปุ่นต้องยอมรับ
หลักการ 3 ข้อว่าด้วยการห้ามมีอาวุธนิวเคลียร์
59. ความหมายของสงครามเย็น
• สงครามเย็น หมายถึง ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองระหว่าง
สองอภิมหาอานาจ คือ อุดมการณ์ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของ
สหรัฐอเมริกากับอุดมการณ์ทางการเมืองแบบคอมมิวนิสต์ของสหภาพ
โซเวียต ซึ่งเกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
• สงครามเย็นเป็นการช่วงชิงกันในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการ
โฆษณาชวนเชื่อ โดยไม่ได้ใช้กาลังทหารและอาวุธมาประหัตประหาร
กัน
60. สาเหตุของสงครามเย็น
1. การเปลี่ยนแปลงดุลทางอานาจของโลก
สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ทาลายสถานะทางอานาจของมหาอานาจเดิมคือ เยอรมนี
และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้แพ้สงคราม ส่วนอังกฤษกับฝรั่งเศสเป็นชาติพันธมิตรที่ชนะสงคราม
แต่อังกฤษก็ได้รับความบอบช้าทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจตกต่า ส่วนฝรั่งเศสถูก
เยอรมนียึดครองประเทศเป็นเวลานาน 4 ปี
ช่วงหลังสงครามสหรัฐอเมริกาจึงกลายเป็นชาติมหาอานาจที่มั่งคั่งที่สุดในโลก
ส่วนสหภาพโซเวียตถึงแม้จะได้รับความบอบช้าแต่ก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว สหภาพ
โซเวียตจึงก้าวขึ้นมาเป็นชาติมหาอานาจคู่กับสหรัฐอเมริกาแทนชาติยุโรปตะวันตกและ
ญี่ปุ่น
67. เครื่องมือทางการทหาร
• การใช้อิทธิพลต่อท่าที พฤติกรรม และการ
ปฏิบัติของประเทศอื่น
• การใช้วิธีการทางทหาร สิ้นเปลืองและมี
อันตรายมากกว่าวิธีอื่น ๆ
• เป็นวิธีการสุดท้ายที่นาออกใช้
• วิวัฒนาการการผลิตอาวุธปัจจุบันทาให้การใช้
กาลังทหารมีผลดีและผลเสียมากขึ้น
การป้องปราม
ป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามทาอะไรที่
คุกคาม
การป้องกันกับการป้องปราม
เหมือนกันตรงที่มุ่งจะป้องกันประเทศ
จากการถูกโจมตีด้วยกาลัง
การป้องกันเป็นการยับยั้งโดยการใช้
กาลังทหารฝ่ายตรงข้าม
การป้องปราม เป็นการยับยั้งที่จะ
ทาลายล้างตอบโต้
ผลของการป้องปรามจะขึ้นอยู่กับ
ความสามารถที่จะทาให้ฝ่ายตรงข้าม
เชื่อว่า ประเทศตนมีทั้งกาลัง และ
ความตั้งใจที่จะลงโทษอย่างรุนแรง
การใช้เครื่องมือทางทหารจะเป็นไปใน
ลักษณะของการบังคับข่มขู่หรือการ
ลงโทษ
การป้องกัน
การใช้กาลังทหารทาการโจมตี หรือลด
ความเสียหายของตนเมื่อถูกโจมตีในการ
ป้องกัน
ใช้กาลังผลักดันการถูกโจมตีเมื่อเกิดขึ้น หรือ
ใช้โจมตีก่อนเมื่อเชื่อว่าตนจวนจะถูกโจมตีอยู่
แล้วหรือไม่มีทางหลีกเลี่ยงต่อการถูกโจมตี
70. GLOBAL CONFLICT
• Globalisation & Localisation
• Hard Power & Soft Power
• Americanization & Islamization
• Capitalism & Socialism
• High Technology & Low Technology
• Tangible & Intangible
• Physical & Mental or Spiritual
• National Resource
71. แนวคิดแบบ Hard Power
• ขาดความรู้ ความคิด และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
• ใช้การต่อสู้แบบตาต่อตา / ฟันต่อฟัน
• การใช้กาลังอานาจทางทหารไม่สามารถหยุดยั้ง Soft
Power ได้
• ภาคใต้มีการใช้แนวคิดตะวันตกมาใช้
72. แนวคิดแบบ Soft Power
• กรณีการเผยแพร่ฆ่าตัดคอผ่านสื่อ Internet ของตะวันตก
• การถอนกาลังของพันธมิตรในอิรัก
• จิตสานึก ISLAM สากลกระทบต่อความมั่นคงโลก
• ครูสอนศาสนามีการเผยแพร่แนวคิด ไปทุกเขตที่มีมุสลิมทั่วโลก
• มุสลิมในประเทศต่างๆ เรียกร้องเอกลักษณ์ และลัทธิทาง
ศาสนา วัฒนธรรมของตนเอง
• เรียกร้องแยกตัวเองเป็นรัฐอิสระ
• ประเทศที่ด้อยทางการจัดการปัญหาเชิงประวัติศาสตร์
76. World Muslim Population
General & Islamic Source
Continent Population in
2003
Muslim
Population in
2003
Muslim
Percentage
Africa 861.20 461.77 53.62
Asia 3830.10 1178.89 30.78
Europe 727.40 52.92 7.28
North America 323.10 6.78 2.10
South America 539.75 3.07 0.57
Oceania 32.23 0.60 1.86
Total 6313.78 1704.03 26.99
Muslim Population is increasing at the rate of 2.9%**
We are taking the rate of natural increase as 2% around the world. The
Muslim population in 2003 was 1704.03 million.
**US Center For World Mission 1997 Report
78. ประเทศมุสลิม
• ประเทศมุสลิมที่ปกครองในระบอบกษัตริย์หรือเจ้าผู้ครองในลักษณะ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือกึ่งๆ(โมร็อกโก จอร์แดน ซาอุดิอารเบีย บรูไน
และรัฐเล็กๆ ริมอ่าวเปอร์เซีย)
• ประเทศมุสลิมประชาธิปไตยแบบสมัยใหม่(มาเลเซีย อินโดนีเซีย ตุรกี)
• ประเทศมุสลิมสมัยใหม่กึ่งประชาธิปไตย(ปากีสถาน แอลจีเรีย อียิปต์
ตูนิเซีย เลบานอน)
• ประเทศมุสลิมแนวปฏิวัติ(อิรัก ซีเรีย ลิเบีย ซึ่งมีผู้นาในลักษณะเผด็จการ
หรือกึ่งเผด็จการ)
• ประเทศมุสลิมสายเคร่ง (คือศาสนามีอานาจเหนือรัฐ) มักรู้จักกันใน
ภาษาอังกฤษว่า Islamic Fundamentalism ได้แก่ อัฟกานิสถาน และ
อิหร่าน (ซึ่งเคร่งน้อยลงกว่าในทศวรรษ ๑๙๘๐)
• ประเทศมุสลิมผสมอิทธิพลของวัฒนธรรมสลาฟ ได้แก่ บรรดาประเทศใน
บริเวณเอเชียกลางและคอเคซัสที่เคยรวมอยู่ในอดีตสหภาพโซเวียต(อุส
เบกิสถาน เติร์กเมนิสถาน คาซักสถาน ทิกิร์เซีย และอาเซอร์ไบจาน)
80. ประเทศมุสลิมที่ต่อต้านสหรัฐอเมริกา และตะวันตก
• มักจะมาจากประเทศหรือกลุ่มมุสลิมสายเคร่ง เช่นอัฟกานิสถาน อิหร่าน
• ขบวนการของชาวปาเลสไตน์บางกลุ่มเช่น “ฮามาส” (Hamas) และ “ฮิซ
โบเลาะห์ (Hezbollah)
• มุสลิมแนวปฏิวัติ เช่น อิรักและลิเบีย ก่อการร้ายต่อสหรัฐอเมริกาและ
กลุ่มประเทศตะวันตก เกิดจากสาเหตุหลายสาเหตุ
• ผู้นาได้นาเอากฎหลักแบบเคร่งครัดของศาสนาอิสลามมาใช้เป็น
“เครื่องมือทางการเมือง” เพื่อต่อต้าน “การครองโลกแบบครบวงจรของ
สหรัฐอเมริกา
• อารยธรรมของชนผิวขาวชาวคริสเตียน” เป็นสัตรูที่เกิดขึ้นระหว่าง “ฝรั่ง”
กับ “มุสลิม” (ฮันติงตันเรียกว่า “The Clash of Civilizations” )
• ผู้นามีความนับถือตัวเอง และเชื่อมั่นในตัวเองสูง เช่น ซัดดัมฮุสเซน โมอา
มาร์ กัดดาฟี
• กฎระเบียบที่มีลักษณะเป็น “กฎโลก” ที่ใช้ในองค์การระหว่างประเทศ
หลายองค์การเช่น สหประชาชาติ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ
ธนาคารโลก องค์การการค้าระหว่างประเทศองค์การกาหนดมาตรฐาน
81. สหรัฐอเมริกาและกลุ่มตะวันตกกับ “ชนมุสลิม”
• มักจะมาจากประเทศหรือกลุ่มมุสลิมสายเคร่ง เช่นอัฟกานิสถาน อิหร่าน
ขบวนการของชาวปาเลสไตน์บางกลุ่มเช่น “ฮามาส” และ“ฮิซโบเลาะห์ รวมทั้ง
มุสลิมแนวปฏิวัติ เช่น อิรักและลิเบีย ก่อการร้ายต่อสหรัฐอเมริกาและกลุ่ม
ประเทศตะวันตก เกิดจากสาเหตุหลายสาเหตุ
• ยึดมั่นในคาสั่งสอนของศาสนาอิสลามอยางเคร่งครัด และต้องการนาเอากฎ
หลักของศาสนามาใช้เป็นกฎหลักของสังคมอย่างเคร่งครัด
• วิถีชีวิตแบบตะวันตกโดยเฉพาะแบบอเมริกัน จะเต็มไปด้วยความเลวทราม
อุจาด ลามก ทุจริต คดโกง เห็นแก่ตัว จะพยายามทาลายขจัดกีดกัน โค่น
ล้ม เท่าที่จะสามารถทาได้ทั้งโดยวิธีสงบและวิธีรุนแรง
• สังคมมุสลิมผู้นาได้นาเอากฎหลักแบบเคร่งครัดของศาสนาอิสลามมาใช้เป็น
เครื่องมือทางการเมือง เพื่อต่อต้านสหรัฐอเมริกา และอารยธรรมของชนผิว
ขาวชาวคริสเตียน” ในลักษณะเช่นนี้ความเป็นสัตรูที่เกิดขึ้นระหว่าง “ฝรั่ง”
กับ “มุสลิม” จะปรากาออกมาในแนวทางที่ แซมวล ฮันติงตันเรียกว่า “The
Clash of Civilizations”
82. Muslim
• ความเปลี่ยนแปลงเริ่มจากศตวรรษที่ 7
• กลุ่มประเทศมุสลิมเพิ่มมากขึ้นจากบริเวณตะวันออกกลาง สู่
ยุโรป
• หลังการล่มสลายของระบบสังคมนิยม 1990 มีบอสเนีย และ
เอเซียกลางแยกจากรัสเซีย รวมเป็น Islamic Conference
Organization(ICO)
• ไม่มีเอกภาพในรูปแบบการปกครองในประเทศ มีนโยบาย
ต่างประเทศที่แตกต่างกัน
• มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง และมีปัจเจกชนนิยมสูง เป็นไป
ตามประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และยุทธศาสตร์ของที่ตั้ง
ประเทศตามภูมิรัฐศาสตร์(Geopolitics)
• มีการนาของประมุขที่มีกรอบแนวความคิด บุคลิก
86. กบฏฮูตี ในเยเมน
• คาเรียกร้องการช่วยเหลือของ
ผู้นาเยเมน ต่อซาอุฯ ทาให้ถูกดึง
เข้าไปสู่สถานการณ์เยเมนอย่าง
เต็มตัว จนเป็น “สงครามตัวแทน”
• อิหร่านซึ่งหนุนหลังผู้นากบฏฮูตีที่
นับถือนิกายชีอะห์ ในขณะที่ซาอุ
ฯ สนับสนุนนิกายสุหนี่
• ซาอุฯ โจมตีทางอากาศถล่ม
“กบฏฮูตี” ในเยเมน
A Publication by www.elifesara.com 86
88. เหตุการณ์ในบัลติมอร์ รัฐแมรี่แลนด์ สหรัฐอเมริกา
• เหตุจลาจลประท้วงการเสียชีวิตของ เฟรดดี้ เกรย์ ชายผิวสี วัย 25 ปีใน
เมืองบัลติมอร์ รัฐแมรีแลนด์ บานปลายเป็นปัญหาระดับชาติ
• ประชาชนในเมืองใหญ่เช่นที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. นครนิวยอร์ก ถือป้าย
ประท้วงหน้าทาเนียบขาว ตะโกนถามเจ้าหน้าที่ถึงระบบประชาธิปไตยของ
ประเทศ เจ้าหน้าที่ตารวจดาเนินการจับกุมผู้ประท้วงที่จตุรัสยูเนียน เกาะ
แมนฮัตตัน
• นายโจเซฟ เคนท์ แกนนาการประท้วงกรณีการเสียชีวิตของวัยรุ่นผิวสี ถูก
เจ้าหน้าที่ตารวจอุ้มหายต่อหน้าสื่อมวลชน
• การประท้วงครั้งนี้รุนแรงที่สุด ตั้งแต่มีการประท้วงการกระทาเกินกว่าเหตุ
ของเจ้าหน้าที่ตารวจครั้งแรกที่ เมืองเฟอร์กูสัน รัฐมิสซูรี ที่สถานการณ์
บานปลายเช่นกัน จนรัฐต้องส่งเนชั่นแนล การ์ดเข้าประจาการ.
A Publication by www.elifesara.com 88